ยอดรักจอมเผด็จการ
“ผมไม่เคยใส่เสื้อผ้านอนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
เมื่อ ‘ลาโคลอฟ พาวิลเชนโก’ รัฐมนตรีหนุ่มมหาเศรษฐีผู้หล่อเหลาแห่งแอลเมเรีย 
เชื้อเชิญให้หญิงสาวกำพร้าผู้มีชีวิตแสนธรรมดาอย่าง ‘ปานชีวา’ เต้นรำที่งานเลี้ยงอันหรูหรา หญิงสาวก็
วาดฝันว่า... ตนเองจะได้รู้สึกเหมือนเป็นเจ้าหญิงซินเดอเรลล่าและใช้ค่ำคืนที่มีมนตร์ขลังนั้นร่วมกันกับเขา
ทว่าเมื่อนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน เธอกลับไม่ได้วิ่งหนี หากยังคงอยู่ในอ้อมแขนอันแข็งแกร่งของเขา 
จนกระทั่งเธอตระหนักได้ว่าเพลย์บอยหนุ่มผู้อื้อฉาวร้ายกาจอย่างลาโคลอฟคือผู้ชายประเภทสุดท้ายที่เธอ
ต้องการให้เป็น ‘พ่อของลูก’ ...ก่อนที่เขาจะทอดทิ้งเธอเช่นเดียวกับผู้หญิงอื่นๆ!
 
มหาเศรษฐีหนุ่มรู้สึกได้ว่าผู้หญิงเบื้องหน้าเขาคือคนคนเดียว
ที่สามารถสัมผัสได้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา มันคือครั้งแรกในชีวิตที่หนุ่มโสดทรงเสน่ห์อย่างเขาคิดถึง
เสียงระฆังแต่งงาน แต่การจะทำให้เธอเชื่อมั่นในความรัก รวมไปถึงครอบครัวที่ร่ำรวยและเอาแต่ใจ
ของเขาดูเหมือนจะต้องใช้มากกว่าการฉวยรองเท้าแก้วเอาไว้แค่ข้างเดียว เพราะมันต้องใช้ความทุ่มเท
และทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามี... รวมถึงพิสูจน์ให้เธอเห็นว่า ‘ทายาทในครรภ์’ ของเธอ... เขาจะสามารถ
เป็นพ่อที่ดีได้อย่างไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องด้วย!
 
“อย่าต่อต้าน คุณต้องรู้จักกับมัน แล้วจะเข้าใจว่าผมอดทนรอด้วยความทรมานชนิดไหน”
 
“ซินเดอเรลล่าจอมพยศกับเพลย์บอยมหาเศรษฐี นี่คือธีมสุดพิเศษของวรรณกรรมชุดนี้ค่ะ 
พบกับเพลย์บอยรูปหล่อที่ถึงเวลาจะต้องเลือกระหว่าง ชีวิตโสดที่แสนสนุกและหวงแหนกับผู้หญิง
นอกสายตาที่เขาคิดว่าจะขึ้นเตียงแค่เพียงชั่วคราว 
แต่กลับกลายเป็นผู้ที่สามารถยึดหัวใจของเขาได้ทั้งดวง เงินในธนาคารถูกทุ่มไปอย่างไม่อั้น 
รถยนต์อันแพงระยับ คฤหาสน์บนผืนดินอันกว้างใหญ่ และทายาทที่เขาไม่คิดว่าตนเองจะมีได้... 
คุณศิริพารา เธอจัดเต็มไม่ให้ผิดหวังตั้งแต่หน้าแรก!” 
รองสนิท ณ สงขลา บรรณาธิการที่ปรึกษา
Tags: ลาโคลอฟ ปานชีวา

ตอน: ตอนที่ 2 100%

นนทบุรี ประเทศไทย

“อาหารเสร็จรึยัง แม่ลูกปัด” จรรยาเดินเข้ามาถามถึงในครัว เมื่อเห็นว่าบนโต๊ะอาหารยังว่างเปล่า

“เรียบร้อยแล้วค่ะ กำลังจะยกออกไปค่ะ” ปานชีวาบอกพลางใช้ผ้าสะอาดเช็ดคราบอาหารที่เลอะขอบจาน ก่อนจะถอยออกมาเล็กน้อยแล้วหันมาพยักหน้าให้กับแม่บ้านเป็นเชิงให้ยกอาหารออกไปด้านนอก

“อ้าว! แล้วจะยืนบื้อทำไม รู้ทั้งรู้ว่าคุณพ่อมีแขกสำคัญ รีบๆช่วยกันยกอาหารออกไปสิ” จรรยาตำหนิลูกติดสามีด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ หากต้องถลึงตาใส่เมื่อปานชีวายังยืนนิ่งราวกับทองไม่รู้ร้อน “เอ๊ะ! เด็กคนนี้ พูดแล้วยังมามองหน้า สิ่งที่ฉันพร่ำสอนตั้งแต่เล็กจนโตนี่เคยเข้าสมองบ้างไหม”

ปานชีวาลอบถอนหายใจ เดินเข้าไปหยิบถาดอาหารตามคำสั่งพลางนับหนึ่งถึงร้อยในใจ ‘อดทนๆ พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องเห็นหน้าคนที่ไม่ชอบใจแล้ว’

เมื่อแม่บ้านเห็นเช่นนั้นจึงรีบเข้ามาถือถาดในมือปานชีวาแล้วนำอาหารไปตั้งบนโต๊ะทันที เป็นเวลาเดียวกันที่อาคมพาแขกคนสำคัญเดินเข้ามาในห้องอาหาร

อาคมผายมือเชิญหัวหน้าผู้พิพากษาของจังหวัดแห่งหนึ่งไปยังโต๊ะรับประทานอาหาร ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่เคยเรียนกฎหมายมาด้วยกัน “เชิญท่านรับประทานอาหารครับ”

“อย่าเกรงใจน่า... ยังไงเราก็เพื่อนกัน นายพูดกับฉันเหมือนสมัยเรียนด้วยกันดีกว่า” ผู้พิพากษากล่าวอย่างไม่ถือตัว

“นั่นสิคะ พูดเป็นทางการอย่างนั้น คงคุยกันไม่สนิทใจ อีกอย่างเราอยู่ที่บ้าน คุณพี่ก็ไม่ต้องมีพิธีรีตองมากนักหรอกค่ะ” จรรยากล่าวเสริมขึ้นมาทันทีพลางหันไปยิ้มกว้างให้ลูกสาวที่เดินลงมาจากชั้นบน “มาๆ ลูกแก้ว มาทำความรู้จักกับคุณลุงเอาไว้”

โศรยาเดินเข้ามาหามารดาทันทีพลางยกมือไหว้สวัสดีอย่างอ่อนช้อย “สวัสดีค่ะ คุณลุง”

“สวัสดีหลานสาว” หัวหน้าผู้พิพากษารับไหว้พลางทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ของโต๊ะรับประทานอาหาร “คนนี้ใช่ไหมที่สอบชิงทุนไปเรียนที่แอลเมเรีย”

“เปล่าหรอก คนนี้ชื่อลูกแก้วเพิ่งอยู่มหาวิทยาลัยปีสอง คนที่สอบชิงทุนไปเรียนที่แอลเมเรียได้ชื่อลูกปัด” อาคมตอบด้วยท่าทางภูมิใจจนจรรยาเบ้ปากอย่างหมั่นไส้ “ลูกปัด มาทำความรู้จักกับคุณลุงสิ”

“สวัสดีค่ะ” ปานชีวายกมือไหว้สวัสดีด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทว่าคำทักทายที่มาพร้อมกับคำชื่นชมทำให้ปานชีวายิ้มรับอย่างสุภาพ

“หลานสาวคนเก่งนี่เอง ได้ยินลูกชายฉันชมว่านิติกรประจำศาล ทั้งเรียนเก่งทั้งสวย พอได้ยินนามสกุล ฉันก็คิดถึงหน้านายทันที เก่งจริงๆ” หัวหน้าผู้พิพากษาพูดกับอาคมแล้วหันมาชมปานชีวา “ใส่ผ้ากันเปื้อนอย่างนี้ อย่าบอกนะว่าอาหารบนโต๊ะนี่ก็ฝีมือหลานสาวเหมือนกัน”

“โอ๊ย... ไม่ใช่หรอกค่ะ ฝีมือแม่บ้านทั้งนั้น เด็กๆสมัยนี้อย่าว่าแต่เข้าครัวทำอาหารเลยค่ะ แค่ไหว้วานให้มาเป็นลูกมือนี่ก็ลำบากแสนเข็ญ เขาไม่เข้าใจนะคะว่าเราอยากสอนเรื่องการบ้านการเรือนให้มีติดตัวไปบ้าง” จรรยาชิงตอบคำถามนั้นเสียเองพลางทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้เมื่อเห็นว่าแขกนั่งลงก่อนแล้ว

“อ้าว! แล้วหลานสาวไม่มานั่งทานข้าวด้วยกันหรอกรึ” หัวหน้าผู้พิพากษาถามด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นบุตรสาวคนโตของเพื่อนยังยืนอยู่ที่เดิม

“ลูกปัด มาทานข้าวด้วยกันมาลูก” อาคมบอกพลางยิ้มให้ลูกสาวอย่างอ่อนโยน “ไหนๆพรุ่งนี้ก็จะบินไปแอลเมเรียแล้ว”

จรรยาได้แต่ข่มความไม่พอใจเอาไว้ หมดหน้าที่แล้วก็น่าจะรีบเดินออกไป ยังมาเสนอหน้าจนผู้ใหญ่ต้องเรียกมาร่วมโต๊ะอาหาร “มานั่งสิลูกปัด ผู้ใหญ่เรียกให้มาทานข้าวแล้วยังยืนนิ่งทำไม”

ปานชีวาลอบถอนหายใจ พลางถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วเดินเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะรับประทานอาหาร เป็นครั้งแรกในรอบกี่ปีก็ไม่สามารถรู้ได้ที่เธอไม่เคยได้นั่งร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกับครอบครัวเลย ปกติเธอจะใช้ชีวิตอยู่กับคุณย่าที่เรือนหลังเล็ก ตั้งแต่ที่ท่านจากไปก็ใช้ชีวิตในเรือนหลังเล็กนั้นคนเดียวตลอดมา

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดูเหมือนจะฝืดคอสำหรับจรรยา เพราะเพื่อนของสามีมีความสนอกสนใจในตัวของปานชีวามากกว่าโศรยา

“น่าเสียดายที่เรารู้จักกันช้าไป ไม่อย่างนั้นจะให้ลูกชายมาขอคำแนะนำจากหลานสาว ทำยังไงถึงเรียนเก่งอย่างนี้”

“ไม่ถึงอย่างนั้นหรอกค่ะ อาจจะเป็นเพราะโชคเข้าข้างด้วย” ปานชีวาตอบยิ้มๆ

“จะเดินทางพรุ่งนี้แล้วใช่ไหม?”

“ใช่ค่ะ”

ผู้พิพากษาพยักหน้ารับพลางมองด้วยสายตาชื่นชม “เสียดายแทนเจ้าภู น่าจะได้รู้จักกันเอาไว้ ลูกชายฉันเพื่อนเยอะ ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องชวนกันออกไปดื่ม”

อาคมหัวเราะร่วนเมื่อได้ยินคำพูดของเพื่อนเก่า “พูดอะไรอย่างนั้น ท่านภูดิศเป็นผู้พิพากษาหนุ่มไฟแรง ลูกสาวฉันสิต้องเป็นฝ่ายไปขอคำปรึกษา”

“นั่นสิคะ วันหลังเชิญทั้งสองท่านมารับประทานอาหารที่บ้านอีกนะคะ ดิฉันจะได้ให้ลูกแก้วขอคำปรึกษาจากท่านภูดิศบ้าง” จรรยากล่าวเสริม

“อ้อ... หนูลูกแก้วเรียนอะไรจ๊ะ?” หัวหน้าผู้พิพากษาถามด้วยความเอ็นดู

“เรียนนิติศาสตร์ปีสองค่ะ” โศรยาตอบด้วยน้ำเสียงหวานจับใจ เมื่อได้รู้ว่าลูกชายของท่านเป็นถึงผู้พิพากษาหนุ่มอนาคตไกล

“ความจริงแล้วลูกแก้วท่องตำราแล้วไม่เข้าใจอยู่หลายอย่าง ถ้าได้คำแนะนำจากคนเก่งๆคงคลายข้อสงสัยได้มากค่ะ”

จากนั้นบรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็เป็นไปอย่างชื่นมื่น ด้วยความที่โศรยาเป็นเด็กช่างพูด ยิ้มเก่ง เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่คนส่วนมากจะหลงรักในเสน่ห์ของเธอ ซึ่งแตกต่างจากผู้เป็นพี่สาวที่ดูเงียบๆ ไม่ค่อยพูดจา ถามคำตอบคำ ด้วยความที่เป็นคนช่างสังเกตก็ทำให้ท่านผู้พิพากษาพอจะเดาความสัมพันธ์ในครอบครัวนี้ได้เป็นอย่างดี คงเป็นเรื่องที่เห็นได้ในครอบครัวที่มีแม่เลี้ยงกับลูกติดสามี ยิ่งแม่เลี้ยงเป็นคนที่มีฐานะดีเช่นนี้ คงไม่ยอมเลี้ยงลูกติดสามีให้ทัดเทียมกับลูกของตนเป็นแน่ จึงทำให้บุคลิกของเด็กทั้งสองแตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่ถึงอย่างไร ผู้หญิงที่มีความน่าสนใจในสายตาของเขาก็ยังคงเป็นปานชีวา


ปานชีวาเดินกลับมายังเรือนหลังเล็กของตน หลังจากที่อาหารมื้อเย็นแสนฝืดคอจบลงด้วยความลำบากใจ เพราะคำถามและคำพูดของท่านผู้พิพากษาที่ชื่นชมเธออย่างออกนอกหน้า อันที่จริงแล้วเธอก็ภูมิใจกับสิ่งที่ตนเองพยายามนี้นัก คำชื่นชมเพียงแค่เล็กน้อยนั้นสร้างกำลังใจให้คนที่มุมานะท่องตำราเล่มหนาได้เป็นอย่างดี หากแต่อากัปกิริยาที่แม่เลี้ยงของเธอแสดงออกมาเมื่อรู้ว่าเธอสอบชิงทุนไปเรียนต่างประเทศได้อันดับหนึ่งนั้น คือการเบ้ปาก แสยะยิ้มราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่ใครๆก็ทำได้ ยิ่งสีหน้าที่ไม่พอใจเมื่อครู่ยิ่งทำให้ปานชีวารู้สึกอึดอัดใจจึงรีบขอตัวออกมาเสียก่อน โดยใช้เรื่องการจัดกระเป๋า เตรียมตัวเดินทางดูจะเป็นเหตุผลที่น่าฟังที่สุด

บ้านไม้ชั้นเดียวที่ซ่อมแซมครั้งล่าสุดเมื่อราวสี่ปีที่แล้ว ทาสีขาวตัดกับสีเทาตามความชอบคุณย่า บ้านที่เธออยู่อาศัยมาตั้งแต่อายุแปดขวบ

จำความได้ว่าครั้งแรกที่ย้ายเข้ามาอยู่เพราะต้องสละห้องนอนบนบ้านหลังใหม่ให้โศรยา หลายคืนที่ต้องนอนร้องไห้และหลับไปทั้งน้ำตา ด้วยความคิดถึงแม่ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านถึงทิ้งตนไว้เช่นนี้ ไม่ว่าคุณย่า คุณพ่อ แม่เลี้ยงต่างก็ประณามการกระทำของผู้เป็นแม่ทั้งสิ้น คุณย่าพูดเสมอว่าท่านอับอายและไม่พอใจในการกระทำของแม่เธอเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่เคยรังเกียจหรือเอาความผิดเหล่านั้นมาลงกับเด็กที่ไม่รู้เรื่องอย่างเธอ

แน่นอนว่าเด็กอายุเพียงเท่านั้นจะเข้าใจในเหตุผลหรือคำพูดอันซับซ้อนของผู้ใหญ่ได้เช่นไร ปานชีวาได้แต่เก็บความคิดถึง โหยหาอ้อมกอดอันอบอุ่นของผู้เป็นแม่ไว้ในใจจนนานวันเข้าความคิดถึงเหล่านั้นมันทับถมอยู่ลึกถึงก้นบึ้งของหัวใจ ความไม่เข้าใจ เดียวดาย อ้างว้างเข้ามาเกาะกุมจนดูคล้ายเย็นชา มีโลกส่วนตัวสูง ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวสุงสิงกับใคร

ปานชีวาคิดถึงชีวิตวัยเยาว์ที่ผ่านมาของตนพลางจัดเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นลงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ บ่อยครั้งที่เกิดความรู้สึกอึดอัด คับข้องใจ อยากหลีกหนีไปใช้ชีวิตเพียงลำพังแต่เมื่อโอกาสมาถึงก็อดที่จะใจหายไม่ได้ หากเสียงฝีเท้าที่เดินขึ้นมาบนเรือนโดยไม่ถอดรองเท้านั้น ทำให้ปานชีวาชะงักมือที่กำลังรูดซิบกระเป๋าเดินทาง

จรรยาเปิดประตูห้องนอนออกกว้าง โดยที่ไม่สนใจว่าจะต้องรักษามารยาทกับเด็กที่เสียเงินเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนโต “บอกมานะว่าเธอกับท่านภูดิศมีความสัมพันธ์กันยังไง?”

“อะไรนะคะ” ปานชีวาหันกลับมามองแม่เลี้ยงที่ยืนทำหน้าดุและใช้น้ำเสียงเกรี้ยวกราดถามอยู่ตรงประตู

“ไม่ต้องมาตีหน้าซื่อ” จรรยาโต้กลับทั้งยังมองลูกเลี้ยงด้วยสายตาไม่ไว้ใจ “ถ้าเธอไม่ไปให้ท่าท่านภูดิศ แล้วมีเหรอที่ท่านภัทรจะเอ่ยชมไม่หยุดปาก รู้ไหมว่าก่อนจะกลับท่านภัทรยังพูดเหมือนจะทาบทามเธอให้ลูกชาย”

“ไม่นะคะ หนูไม่ได้รู้จักท่านภูดิศเป็นการส่วนตัว” ปานชีวาตอบพลางส่ายหน้าปฏิเสธ

“จะให้ฉันเชื่อเหรอ” จรรยาถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน กวาดสายตามองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “อย่าเอาท่าทางเรียบร้อย พูดน้อยมาตบตาคนอย่างฉันเลย ฉันเลี้ยงดูส่งเสียเธอมา แม่ยังใจง่ายหนีตามผู้ชายไม่ห่วงลูกสักนิดแล้วมีเหรอที่ลูกมันจะไม่ใจง่ายเหมือนแม่ เชื้อไม่ทิ้งแถว”

ปานชีวาผุดลุกขึ้นด้วยท่าทางไม่พอใจ แม้ว่าแม่ของเธอจะเป็นเช่นไรแต่ก็ไม่ชอบใจที่ใครจะมาต่อว่าท่านเช่นนี้ “คุณจะด่าว่าโขกสับหนูยังไงก็ได้ แต่กรุณาอย่าดึงแม่หนูเข้ามาเกี่ยวข้อง”

จรรยาหัวเราะพรืดออกมาเมื่อเห็นท่าทางอวดดี แววตาไม่ยอมคนของลูกกาฝากที่เป็นภาระมาให้เธอตลอดหลายสิบปี จริงอยู่แม้ว่าปานชีวาจะไม่มีปากเสียง ทำตามคำสั่งของเธอเกือบทุกเรื่อง แต่เมื่อแตะต้องหรือพูดถึงผู้เป็นแม่ เด็กแสบคนนี้จะมีวิธีการตอบโต้เธอแบบดื้อเงียบ ทั้งยังทำให้เกิดกระทบกระทั่งกับสามี

“ทำไมฉันจะพูดไม่ได้ ถ้าเก่งนักก็พาพ่อของเธอไปด้วย ไปดูแลกันเอาเอง ฉันว่าเธอคงไม่โง่จนไม่รู้หรอกนะว่าทำไมหน้าที่การงานของพ่อถึงไม่ก้าวหน้าอย่างใครๆ จริงอยู่ว่าเงินเดือนของพ่อเธอก็ไม่น้อย แต่มันก็เป็นอยู่อย่างนี้มากี่ปีแล้ว จะไปพอกับค่าใช้จ่ายภายในบ้านได้ยังไง ที่เห็นว่ามีบ้านหลังใหญ่ มีรถยนต์หรูๆ กินดีอยู่ดีก็เงินจากกองมรดกของฉันทั้งนั้น” จรรยาตวาดพลางลอบยิ้มในใจเมื่อเห็นว่าปานชีวามีปฏิกิริยาที่อ่อนลง “เธอก็เหมือนกัน อย่าคิดนะว่าชีวิตนักเรียนนอกจะโก้หรู จำใส่ใจเอาไว้ว่าฉันจะไม่ส่งเสียให้เธออีกสักสตางค์แดงเดียว เก่งนักก็เจียดค่าใช้จ่ายจากทุนที่ได้ก็แล้วกัน”

ปานชีวากลืนก้อนแข็งๆที่จุกอยู่กลางลำคอลงอย่างยากลำบาก เงินเดือนของข้าราชการตำแหน่งทรงเกียรติอาจมองดูว่ามากโขแต่เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายภายในบ้าน ข้าวของเสื้อผ้าของแม่เลี้ยงและน้องสาว ไหนจะรถยนต์ยุโรปคันใหญ่ที่มักเปลี่ยนรุ่นอยู่เสมอ แม่บ้านและคนสวนที่มีเกินความจำเป็น แน่นอนว่าความฟุ่มเฟือยเหล่านี้ย่อมทำให้เกิดความขัดสน บ่อยครั้งที่พ่อและแม่เลี้ยงมีปากเสียงเกี่ยวกับการเงินและแม่เลี้ยงก็มักจะกล่าวอ้างถึงเงินมรดกที่เอามาใช้จ่ายภายในบ้าน

ซึ่งข้อจริงเท็จจะเป็นอย่างไรนั้น ปานชีวาก็ไม่อาจทราบได้แต่เมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางหนักใจของผู้เป็นพ่อทำให้เห็นใจท่านยิ่งนัก จึงไม่อยากสร้างความหนักใจเพิ่มอีกได้แต่อดทนยอมรับและกระทำในสิ่งที่แม่เลี้ยงร้องขอ

ปานชีวาลอบถอนหายใจเมื่อสุดท้ายต้องอดทนกับความเกรี้ยวกราดของแม่เลี้ยง “ค่ะ หนูก็ไม่ได้คิดจะให้ทำอะไรอย่างนั้นเพราะรู้ดีว่าที่ผ่านมาก็มากพอแล้ว”

จรรยาแสยะยิ้มพลางคิดในใจว่า... ไม่ว่าเด็กคนนี้จะเก่งกาจมาจากไหน แผลงฤทธิ์จนทำให้เธอทะเลาะเบาะแว้งกับสามี แต่สุดท้ายก็ต้องอยู่ภายใต้อาณัติของเธอ “จำเอาไว้นะปานชีวา บุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่เป็นหนี้ฉันมันท่วมหัวเธอนัก อย่าได้บังอาจคิดการใหญ่แย่งของที่ควรเป็นของลูกแก้ว จำเอาไว้ว่าเธอเลือกที่จะเดินออกไปจากบ้านหลังนี้เอง ก็ต้องไปให้รอด”
ปานชีวากำมือแน่น คำพูดที่บาดลึกไปถึงขั้วหัวใจมันเจ็บปวดเหลือคณา หากแต่ต้องอดทนกับความเจ็บปวดนี้มาหลายสิบปีจนเริ่มชินชา “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ถ้าหนูคิดการใหญ่อย่างนั้นคงไม่ทิ้งท่านภูดิศไปเรียนต่อแน่ๆ แค่ใช้มารยาอย่างที่หนูถนัดเข้าล่อก็อาจจะสบายไปทั้งชาติแล้ว”

จรรยาอยากให้สามีหรือใครต่อใครที่ชื่นชมปานชีวามาได้ยินคำพูดนี้นัก มันแสดงธาตุแท้ได้ดีเหลือเกิน “คิดได้เมื่อสายสินะ อยากเปลี่ยนใจตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว”

‘เปลี่ยนใจงั้นหรือ?’ จะทำเช่นนั้นทำไมเมื่อเธออยากเดินออกจากบ้านหลังนี้อยู่ทุกลมหายใจ “เอาเป็นว่าพรุ่งนี้คุณก็ไม่ต้องเจอหน้าหนูแล้ว ทำใจให้สบายเถอะค่ะ อย่างน้อยคุณก็คงไม่ต้องเห็นหน้าหนูอีกสักสองสามปี”

“รู้อะไรไหม ฉันหวังว่าจะไม่ต้องเจอหน้าเธออีกชั่วชีวิตปานชีวา” จรรยาพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เก็บข้าวของของเธอให้เรียบร้อย ทำความสะอาดทุกซอกทุกมุมให้หมดจด อย่าให้ต้องกลายมาเป็นภาระของแม่บ้านอีก”

ปานชีวาถอนหายใจพลางทรุดตัวลงนั่งบนปลายเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน เมื่อร่างของแม่เลี้ยงเดินลงส้นเท้าหนักๆด้วยความไม่พอใจออกไปจากเรือนหลังเล็ก ความจริงแล้วเธอเก็บกวาดทำความสะอาดบ้านหลังนี้ด้วยตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยได้รบกวนหรือร้องขอให้แม่บ้านจากบ้านหลังใหญ่เลยสักครั้ง เธอต่างหากที่เป็นคนขึ้นไปทำความสะอาดบ้านหลังใหญ่ในยามที่แม่บ้านลาออกกะทันหันยังหาคนใหม่มาแทนไม่ได้ หน้าที่ทุกอย่างจึงตกเป็นของเธอโดยปริยาย แต่ก็ไม่เคยปริปากบ่นเพราะรู้ว่าหากทำเช่นนั้นจะทำให้ผู้เป็นพ่อและแม่เลี้ยงมีปากเสียง จึงก้มหน้าก้มตาทำเพราะถือว่าเป็นการทดแทนคุณที่ส่งเสียเลี้ยงดู

นับตั้งแต่เรียนจบและสอบบรรจุในตำแหน่งนิติกรประจำศาลแห่งหนึ่ง ปานชีวาก็แบ่งเงินเดือนไว้ส่วนหนึ่งชำระค่าน้ำค่าไฟฟ้าเรือนหลังเล็กนี้มาตลอด ค่าใช้จ่ายภายในบ้านที่เกิดขึ้นของคุณย่าเธอก็เป็นคนรับผิดชอบทั้งสิ้น แต่นั่นก็ยังไม่ได้ทำให้แม่เลี้ยงพอใจ ซึ่งคุณย่าของเธอเคยสอนให้ปล่อยวาง อย่าเอาคำพูดร้ายกาจเหล่านั้นมาบั่นทอนจิตใจ

เมื่อเก็บข้าวของ เตรียมเอกสารในการเดินทางเรียบร้อยแล้ว ปานชีวาจึงออกมานั่งลงบนเก้าอี้โยกไม้สักที่ตั้งไว้อยู่ตรงระเบียง ดอกกล้วยไม้หลากหลายชนิดที่กำลังแข่งกันออกดอก แม้ว่าในยามค่ำคืนที่มืดมิดสีสันสดสวยยังทำให้จิตใจเบิกบานแต่อีกไม่กี่วันพวกมันคงต้องเฉี่ยวเฉาและตาย เพราะไม่มีใครดูแล แม้ว่าแม่บ้านจะอาสาดูแลพวกมันแล้วก็ตามที หากสิ่งเหล่านี้มันไปขัดใจแม่เลี้ยงก็คงไม่มีใครกล้าขัดใจ

ปานชีวาถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน ไม่อยากเอาเรื่องที่ผ่านไปแล้วกลับมาคิดให้เสียสุขภาพจิต แม้ว่าจะใจหาย อาดูรในสภาพแวดล้อมรอบตัวแต่เธอควรจะทำจิตใจให้เบิกบาน ทิ้งเรื่องเก่าไว้ที่นี่แล้วตั้งใจเล่าเรียนอย่าให้คำปรามาสของแม่เลี้ยงต้องเป็นความจริง!



ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 เม.ย. 2558, 23:17:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 เม.ย. 2558, 23:17:21 น.

จำนวนการเข้าชม : 944





<< ตอนที่ 1 100%   ตอนที่ 3 100% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account