คลินิคหัวใจ กลางสายหมอก
คนคนหนึ่งหลบลี้หนีจากเมืองหลวงเพื่อไปรักษาอาการของหัวใจ กับอีกหนึ่งคนที่ดวงใจยังไม่เคยเปิดรับใครเข้ามาก่อน สองคนสองดวงใจได้มาพบเจอกันในเมืองที่สวยงามท่ามหลางขุนเขาและสายหมอกสามฤดู
Tags: รักหวานละมุนละไมในเมืองหมอกสามฤดู

ตอน: หัวใจออกเดินทาง

สวัสดีค่าชาวเวบเลิฟ ณ มน หายหน้าไปนานมากกกกกกกกกก จากเวบของพี่ตา
แถมกลับมาคราวนี้ อยากจะตั้งชื่อว่า ณ มน ก็ไม่ได้ค่ะ เพราะเขาห้ามเว้นวรรค เลยใช้ namonแทน
ยังไงก็อย่าเพิ่งงงกันนะค้า ^_^

กลับมาคราวนี้มีนิยายเรื่องใหม่มาฝากค่ะ คลินิคหัวใจ กลางสายหมอก
ขอใช้ฉากเป็นเมืองเหนืออีกสักครั้ง หวังว่าคงไม่เบื่อกันนะคะ
ใครที่ยังจำณ มนได้ มาทักทายกันหน่อยนะค้า


.............

กล่องใส่ของขนาดย่อมกำลังถูกมือเล็กๆ สองมือหยิบโน่นจับนี่ใส่ลงไปอยู่ตลอดเวลา ส่วนมากแล้วก็จะเป็นพวกอุปกรณ์การเขียน ปฏิทิน นาฬิกาขนาดเล็ก แจกันน่ารักที่ตอนนี้ถูกห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ สมุดโน้ตหลายเล่ม เพียงเวลาไม่นานข้าวของส่วนตัวบนโต๊ะทำงานก็ถูกวางอยู่ในกล่องจนครบ

จนเมื่อมีชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะ เจ้าของมือเล็กๆ จึงหยุดทำงานแล้วเงยหน้าขึ้นมองฝ่ายนั้น

“หมอกไม่จำเป็นต้องลาออกก็ได้” เสียงทุ้มนั่นเอ่ยเบาๆ ให้ได้ยินเพียงสองคน

หญิงสาวเจ้าของชื่อหมอกหรือมทินาสบตากับคนพูดที่ชื่อกรภู ผู้เป็นเจ้าของร่างสูงโปร่งผิวขาวแบบคนไทยเชื้อสายจีน ใบหน้าของเขาจัดได้ว่าหล่อเหลาทีเดียว คิ้วตาจมูกปากรับกันเหมาะเจาะไปหมด ใบหน้าที่ไม่ว่าหญิงคนไหนได้เห็นก็ต้องอยากจะเหลียวมามองซ้ำ

และก็เป็นใบหน้าเดียวกันนี่ล่ะที่เธอเองก็เคยรับเขาเอาไว้เป็นคนพิเศษในหัวใจมานานหลายปี ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยมาด้วยกันจนกระทั่งได้เข้ามาทำงานที่บริษัทเดียวกัน แต่หลังจากนั้นมันก็มีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้น เรื่องที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และนั่นมันส่งผลมาถึงหน้าที่การงานของเธอด้วย

“หมอกลาออกน่ะดีแล้วภู ไม่อยากมีปัญหามากไปกว่านี้”

“แล้วหมอกจะทำยังไง งานใหม่ก็ยังไม่มีไม่ใช่หรือ”

เขาถามด้วยน้ำเสียงเหมือนจะมีความห่วงใยเจือมาด้วย แต่มทินาไม่ได้ใส่ใจอีกแล้ว พอกันทีกับผู้ชายคนนี้เธอจะไม่หลงไปกับคารมหวานๆ ของเขาอีกแล้ว

“ยังไงเราก็ไม่อดตายหรอกน่า อย่างน้อยๆ พี่มิตรคงไม่ปล่อยให้น้องอดตายหรอก”

“หมอก ผม เอ่อ ผมขอโทษ...” กรภูเหมือนจะพูดอะไรออกมาอีกหากแต่หญิงสาวยกมือห้ามเขาเสียก่อน

“ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกภู ที่ลาออกนี่หมอกก็ตัดสินใจเองไม่เกี่ยวกับภู หมอกไปนะ ลาก่อน”

หญิงสาวกล่าวกับเขาแล้วก็ยกกล่องใบย่อมขึ้นมาเตรียมจะเดินออกจากห้องทำงาน หากแต่เพื่อนร่วมงานชายอีกคนที่ในแผนกรีบเข้ามาช่วยยกของเสียก่อน จากนั้นมทินาก็เดินลิ่วๆ ตามหลังฝ่ายนั้นไปทันที หญิงสาวไม่แม้แต่หันกลับมามองชายหนุ่มร่างสูง ที่กำลังทอดสายตามองเธอด้วยแววตารู้สึกผิดปะปนกับแววตาของความอาลัยอาวรณ์เลยสักนิด




“ไป...ค่ะ”

มทินาเอ่ยชื่อที่พักของพี่สาวกับคนขับแท็กซี่ ซึ่งเธอได้ขนของของตนเองไปไว้ที่นั่นหมดแล้ว อพาร์ทเมนท์ที่เช่าเอาไว้ได้บอกคืนไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อน

นับตั้งแต่เข้าทำงานที่บริษัทแห่งนี้เธอก็แยกตัวออกมาพักอยู่ตามลำพัง เพราะงานที่เธอทำนั้นเป็นงานที่รับจัดกิจกรรมให้กับบริษัทห้างร้านต่างๆ รวมทั้งผลิตรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับเรื่องไอทีอีกด้วย งานบางงานต้องอยู่ทำจนดึกดื่นหญิงสาวจึงเลือกที่พักในย่านใจกลางเมือง เดินทางสะดวกและปลอดภัยหากต้องกลับบ้านในเวลาดึกๆ

แต่เมื่อเธอลาออกจากบริษัทแห่งนั้นแล้ว หญิงสาวจึงเลือกที่จะขนข้าวของกลับไปอยู่กับพี่สาว ซึ่งอีกฝ่ายทำงานเป็นครูสอนศิลปะให้กับโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในแถบชานเมือง ถึงบ้านพักของพี่แห่งนี้จะอยู่ไกลไปนิดแต่ก็สงบดี และที่สำคัญที่นั่นมีคนที่หวังดีกับเธออย่างจริงใจ ไม่ใช่คนที่ต่อหน้าอย่างลับหลังอีกอย่าง หรือคนที่สามารถลืมคำพูดลืมคำสัญญาได้หน้าตาเฉยเหมือนที่เธอเพิ่งจากมา

เมื่อรถมาจอดที่หน้าบ้าน มิตรสินีพี่สาวคนเดียวของเธอก็ยืนส่งยิ้มรออยู่แล้ว และถึงแม้จะมีข้าวของเพียงกล่องกระดาษใบย่อมกับกระเป๋าสะพายอีกใบเดียวเท่านั้น แต่พี่สาวก็ยังรีบกุลีกุจอเข้ามาช่วยยกของ การแสดงออกของพี่สาวนั้นทำให้มทินารู้ดีว่า ไม่ว่าเธอจะอายุเท่าไหร่เธอก็ยังคงเป็นน้องน้อยของพี่อยู่เสมอ

พี่มิตรดูแลและปกป้องเธอราวกับว่าเธอยังเป็นแค่เด็กหญิงตัวเล็กๆ นับตั้งแต่เข้ามาเรียนต่อจนกระทั่งเรียนจบและทำงานที่กรุงเทพฯด้วยกันสองคนพี่น้อง โดยที่พ่อกับแม่ต่างก็อยู่ที่ต่างจังหวัดด้วยกันทั้งคู่ พี่สาวจึงรับตำแหน่งผู้ปกครองไปในตัว แถมยังทำตัวไม่เหมือนพี่สาวเลยด้วยซ้ำ หากบอกว่าเป็นพี่ชายน่าจะเหมาะกว่าเพราะอีกฝ่ายออกจะห้าวหาญเหลือกำลัง

“เจอมันหรือเปล่า” มิตรสินีถามน้องสาว

“อื้อ”

“แล้วมันว่าไง ได้คุยกันไหม”

“ไม่ค่อยได้คุยอะไรหรอกพี่มิตร หมอกไม่อยากคุยกับเขาอีกแล้ว” หญิงสาวบอกกับผู้พี่ในขณะที่เดินเข้าบ้านมาด้วยกัน

“ดีแล้วคนอย่างไอ้ภูไม่ต้องไปคุยกับมันให้เสียเวลา เปลืองน้ำลายเปล่าๆ แค่หมอกเสียเวลาคบกับมันมาสี่ห้าปีพี่ก็ว่ามากเกินพอแล้ว”

มิตรสินีพูดถึงอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างมาก ก็มีอย่างรึบังอาจมาทำร้ายหัวใจน้องสาวคนเดียวของเธอได้ ทั้งที่ก่อนจะคบกันเธอก็เคยคุยกับหมอนั่นแล้วว่าอย่าได้คิดทำให้น้องเธอเสียน้ำตาเด็ดขาดไม่อย่างนั้น เธอไม่เอาไว้แน่

แล้วกับเรื่องครั้งนี้ทั้งที่อยากจะเอาเลือดหัวหมอนั่นออกมาดูสักหน่อย ให้สมกับที่เจ้านั่นเคยรับปากเอาไว้ว่าหากทำให้มทินาเสียน้ำตาเขายอมให้เธอจัดการยังไงก็ได้ แต่มันก็ดันมาติดตรงที่ว่าน้องสาวของเธอนี่ล่ะไม่เห็นจะร้องห่มร้องไห้ให้ได้เห็นเลย ทั้งที่เลิกกับแฟนที่คบกันมาตั้งหลายปีแท้ๆ แต่มทินากลับเข้มแข็งได้อย่างไม่น่าเชื่อ สุดท้ายคนที่อยากจะตีหัวชาวบ้านใจแทบขาดก็เลยต้องแห้ว ได้แต่คอยด่าลับหลังอยู่นี่ ยิ่งคิดมิตรสินีก็ยิ่งหงุดหงิดหัวใจ

“พักกับพี่ไปก่อนแล้วค่อยคิดเรื่องงานก็ได้”

หญิงสาวลูบศีรษะน้องเบาๆ ก่อนจะทรุดกายนั่งลงบนเตียงนอนข้างๆ น้อง หลังจากที่ยกของเขามาไว้ในห้องเสร็จแล้ว

“หมอกคิดว่าจะไปเที่ยวสักพักอ่ะพี่มิตร”

“จะไปไหนล่ะ”

มิตรสินีหันมาถามน้องด้วยความประหลาดใจเพราะแต่ไหนแต่ไร แม่น้องสาวคนนี้ไม่ค่อยอยากจะไปเที่ยวกับใครนัก เห็นเอาแต่ทำงานและทำงานอย่างเดียว วันหยุดปลายปีเกือบสองอาทิตย์ที่บริษัทให้สิทธิ์ลา ก็กลับไปหาพ่อกับแม่ที่ประจวบฯ เสียส่วนมาก

เออ แต่จะว่าไปน้องเธอลาออกจากงานแล้วนี่นา ถ้าอีกฝ่ายคิดจะเดินทางท่องเที่ยวก็คงไม่แปลกหรอก

“หมอกว่าจะไปหาไผ่น่ะค่ะ”

“อะไรนะ ไปหาไอ้เอ๊ยนายไผ่อ่ะนะ”

มิตรสินีเกือบจะหลุดปากเรียกอีกฝ่ายว่าไอ้ไผ่ออกไปแล้ว แต่น้องสาวหันมาทำตาดุใส่เสียก่อน เธอเลยต้องเปลี่ยนคำเรียกขานเสียใหม่เพราะรายนั้นจัดได้ว่าเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของมทินา

“ทำไมต้องไปไกลขนาดนั้นยัยหมอก นั่นน่ะมันสุดชายแดนเลยนะ แล้วหมอนั่นไม่เห็นทำอะไรวันๆ เอาแต่ตะลอนๆ ไปกับมูลนิธิอะไรไม่รู้ หมอกจะไปหามัน เอ๊ย เขาจริงๆ หรือ”

มิตรสินีถามย้ำและพอเห็นว่าน้องพยักหน้ายืนยันก็แทบจะร้องตะโกนออกมาด้วยความขัดใจ

หมอนั่น นายไผ่หรือนายบัลลพ เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยอีกคนของน้องสาว เป็นชายหนุ่มที่มาคลุกคลีตีโมงที่บ้านนี้อยู่บ่อยๆ ทั้งตามมทินามาทำงานส่งอาจารย์และมาทำหน้าด้านขอกินข้าวฟรีอยู่หลายครั้ง หน้าตาท่าทางก็ดูดีอยู่หรอก เสียแต่คำพูดคำจาออกจะกะล่อนไปหน่อย ดูกลิ้งเหมือนมะนาวกลมเกลี้ยงเธอเลยแอบยื่นคำขาดกับน้องสาวเอาไว้ว่า หากหมอนั่นมาคิดจีบล่ะก็ให้ถอยห่างออกมาทันที ยังดีแต่ว่ามทินาไม่เคยเห็นบัลลพเป็นอย่างอื่นนอกจากเพื่อน เธอเลยเบาใจได้

แต่เรื่องคิดจะไปหาเจ้านั่นน่ะสิ เธอนึกหวั่นใจนัก ขืนไปหาเจ้าไผ่ น้องสาวจะโดนล้างสมองไปอีกคนหรือเปล่า ก็หมอนั่นเป็นถึงลูกชายนักธุรกิจใหญ่แต่ไม่เห็นทำงานทำการเป็นหลักสักอย่าง ดีแต่ตะลอนไปทั่วกับมูลนิธิส่วนตัว ล่าสุดได้ยินข่าวมาจากปากของน้องสาวว่าเจ้าบัลลพนั่นไปปักหลักอยู่ที่จังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ ที่มีเขตชายแดนติดกับพม่าแล้วก็ไม่ยอมกลับลงมากรุงเทพฯ เป็นปีแล้ว

แล้วนี่ยัยหมอกคิดยังไงถึงจะได้ไปหาเจ้านั่น เอ๊ะ หรือว่าเจ้าไผ่โทรศัพท์มาชวน ถ้าเป็นข้อหลังนี้ล่ะก็ เจอหน้าเมื่อไหร่แม่จะด่าให้เละเลย บังอาจมาคิดชวนน้องสาวฉันเข้าป่าหรือ หนอยแน่ เจ้าบัลลพ

“ไหนๆ ช่วงนี้หมอกก็อยากจะพักสมองอยู่แล้วนี่พี่มิตร หมอกก็จะไปในที่ที่ได้พักจริงๆ” หญิงสาวตอบพี่ไปอย่างนั้นยิ่งทำให้พี่เป็นห่วงเข้าไปใหญ่

“จะไปได้ไงคนเดียว เราน่ะมันเอ๋อจะตายยัยหมอก เดี๋ยวก็ได้ไปหลงทิศหลงทางอีกหรอก”

มิตรสินีเป็นห่วงจริงๆ เพราะรู้จักน้องสาวของตัวเองดี ถึงจะทำงานมากว่าสามปีแล้วแต่นิสัยส่วนตัวของเธอนั้นยังออกจะเด็กๆ อยู่มาก บางทีก็เอ๋อให้เธอต้องได้ห่วงอยู่บ่อยๆ

ที่สำคัญมทินาเป็นคนประเภทไม่ค่อยจะจำทิศทางกับชาวบ้านเขา ไปเที่ยวไหนก็ต้องเดินตามพี่ๆ หรือเพื่อนๆ ตลอด ไม่อย่างนั้นแม่คุณเป็นได้หลงทาง ทำอะไรพร้อมๆ กันก็มีเรื่องให้ต้องเป็นห่วงเพราะอีกเรื่องมันจะดีอีกเรื่องมันจะเสีย นี่ยังไม่นับอาการเมารถขั้นรุนแรงหากเดินทางไปเมืองบนเขาแบบนั้นมีหวังแย่แน่ เจออากาศหนาวๆ ก็ชอบป่วยเป็นประจำแล้วจะไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไง ยิ่งคิดมิตรสินีก็ยิ่งเป็นห่วงน้องสาวจนแทบทนไม่ได้

“ถ้าไม่อยากอยู่กรุงเทพฯ พี่ว่าหมอกกลับไปพักที่บ้านเราดีไหม ไม่ต้องไปไกลขนาดนั้นหรอก” หญิงสาวเกลี้ยกล่อมน้องแต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเพราะรายนั้นยืนยันเสียงหนักแน่นทีเดียว

“ไม่ต้องเป็นห่วงหมอกหรอกค่ะพี่มิตร เมืองนั้นเล็กนิดเดียวแล้วหมอกก็หาข้อมูลมาเรียบร้อยมีแผนที่ด้วยรับรองไม่หลง ยาแก้เมารถก็เตรียมแล้วรับรองไม่อาเจียนแน่ ตั๋วรถไฟก็ไปรับมาแล้ว”

“หา นี่เตรียมพร้อมขนาดนี้แล้วหรือยัยหมอก” มิตรสินีมองใบหน้าน้องสาวแบบไม่อยากจะเชื่อ และก็ได้เห็นรอยยิ้มในแบบที่ไม่ได้เห็นมาหลายสัปดาห์แล้วหลังจากที่อีกฝ่ายต้องเลิกรากับกรภู

“ค่ะ พี่มิตรไม่ต้องเป็นห่วงหมอกนะ หมอกดูแลตัวเองได้สัญญาด้วยว่าจะโทรมารายตัวกับพี่ตลอดเลย”

เมื่อเห็นน้องเตรียมพร้อมขนาดนั้น แถมยังมีแววตาเชื่อมั่นเสียเหลือเกิน มิตรสินีก็ให้จนใจที่จะทักท้วง สุดท้ายเลยต้องพยักหน้ายอมรับ


วันที่มทินาออกเดินทางมิตรสินีบังคับให้น้องสาวซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์คันเก่งของเธอมาที่สถานีรถไฟหัวลำโพง ด้วยตนเองมีเวลาจำกัดเพราะจะต้องไปงานกับบรรดาครูในโรงเรียนเดียวกันช่วงเย็น ครั้นจะปล่อยให้น้องมาคนเดียวเธอก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เพราะยังไงก็ต้องเห็นกับตาล่ะว่าน้องสาวขึ้นรถไฟเป็นที่เรียบร้อยถึงจะโล่งใจไปได้ในเปลาะแรก และหลังจากนั้นเธอก็ตั้งใจว่าจะโทรเช็คเป็นระยะ นี่ยังพอโล่งใจได้ว่ารถไฟที่น้องสาวโดยสารไปนั้นเป็นแบบรถสปริ๊นเตอร์ที่มีเจ้าหน้าที่ดูแลอยู่ตลอดและมีแค่สามโบกี้เท่านั้น

เมื่อจอดรถเป็นที่เรียบร้อย มิตรสินีก็คว้าเป้ใบใหญ่ของน้องมาสะพายเอาไว้เสียเอง แล้วก็ออกเดินนำหน้าน้องเข้าสถานีรถไฟ ดูตามตารางเวลารถออกแล้วเธอยังมีเวลาคุยกับน้องสาวอีกนิดหน่อย

“มีอะไรต้องโทรมาหาพี่ทันทีรู้ไหม ดึกดื่นแค่ไหนก็โทรได้ อ้อแล้วถ้าไปถึงแล้วเจ้าบ้านั่นเกิดไม่อยู่หรือติดต่อไม่ได้ก็ให้ไปพักที่เกสต์เฮาส์ที่พี่เคยไปนะ เก็บแผนที่กับเบอร์โทรเอาไว้แล้วใช่ไหม”

“ค่า พี่มิตร”

มทินารับคำของพี่สาวพร้อมกับรอยยิ้มเต็มหน้า ไม่ว่าเมื่อไหร่เธอก็ยังคงเป็นน้องสาวที่พี่มิตรต้องคอยเป็นห่วงเป็นใยเสมอทั้งที่ปีนี้เธอก็อายุยี่สิบสี่เข้าไปแล้ว

“อย่ามาทำหน้าล้อเลียนพี่นะยัยหมอก เราน่ะมันเอ๋ออยู่เรื่อยพี่ก็ต้องเป็นห่วงแบบนี้แหละ” มิตรสินีดุน้องเล็กๆ ที่อีกฝ่ายเห็นความเป็นห่วงของเธอเป็นเรื่องตลกไปเสียได้

“หมอกไม่ได้ล้อเลียนค่ะ รู้ว่าพี่มิตรเป็นห่วงแต่ไม่ต้องกังวลนะคะหมอกจะดูแลตัวเองดีๆ” หญิงสาวบอกกับพี่ก่อนจะโน้มกายมากอดพี่สาวเอาไว้แนบแน่นเมื่อได้ยินเสียงประกาศเรียกให้ขึ้นรถ

“ถึงสถานีปลายทางแล้วโทรมาบอกพี่ด้วยรู้ไหม”

มิตรสินีเดินตามขึ้นมาส่งน้องสาวบนรถ พร้อมกับที่จัดแจงเอากระเป๋าใบ้ใส่ไว้ในช่องเหนือศีรษะให้น้องเพราะความสูงที่มีมากกว่าอีกฝ่าย

“พี่มิตรกลับได้แล้วล่ะเดี๋ยวไม่ทันนัดนะคะ” มทินาเอ่ยปากกับพี่สาว ฝ่ายนั้นถึงได้ยอมลงจากรถไป

เมื่อพี่ลงจากรถไปแล้วมทินาก็เอนศีรษะพิงกับเบาะแล้วหลับตานิ่ง ไม่กี่เดือนมานี้ชีวิตของเธอที่เคยสงบเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นหลายเรื่อง ทั้งเรื่องหัวใจและเรื่องงานซึ่งมันไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันเลย หากแต่มันก็เกี่ยวกันโดยตรงเพราะชายคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักและคบหากันมานานกว่าสี่ปี เรียกว่าคบกันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายจนกระทั่งมาทำงานที่เดียวกัน เขาเกิดเปลี่ยนใจไปชอบผู้หญิงคนอื่น และถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ลูกสาวเจ้าของบริษัทที่เธอทำงานอยู่ เรื่องก็คงจะไม่ยุ่งเท่านี้

พิมพิดาเพิ่งจะเรียนจบปริญญาโทมาจากอเมริกา และกลับมาช่วยดูแลในเรื่องของการบริหารบุคคล ทั้งรูปลักษณ์ ความรู้และฐานะทางสังคมเมื่อหากนำมาเปรียบกันแล้ว แน่นอนเธอไม่มีทางเทียบได้ แต่ก็ไม่เคยคิดจะนำมาคิดน้อยเนื้อต่ำใจเลยสักครั้งเพราะรู้ดีว่าตนเองนั้นเป็นเพียงผู้หญิงหน้าตาธรรมดา ผลการเรียนก็ปานกลาง ฐานะทางบ้านก็ระดับกลางๆ พ่อเป็นข้าราชการแม่เป็นแม่บ้าน เรื่องการทำงานก็ไม่ได้โดดเด่นเกินหน้าใคร แต่ที่เธอภาคภูมิใจที่สุดก็คือเธอทำงานด้วยความขยันขันแข็งและอดทนยิ่ง งานที่ได้รับมอบหมายมาไม่เคยบกพร่องเลยสักครั้ง

แต่เมื่อพิมพิดาก้าวเข้ามาในชีวิตของกรภู งานการที่เธอเคยได้รับผิดชอบก็ดูจะไม่เป็นที่ถูกใจอีกฝ่ายเลยสักครั้ง แถมบางงานที่เธอติดต่อเอาไว้อย่างดีกลับมีเรื่องผิดพลาดขึ้นมาเสียได้ ทำให้ต้องโดนตำหนิจากหัวหน้าฝ่าย แรกๆ เธอก็ไม่เคยจะใส่ใจหากแต่หลายครั้งเข้าก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยและสืบหาสาเหตุ และเมื่อรู้ว่ามีเหตุมาจากไหน ก็เลยคิดว่าตอนเองถอยออกมาเสียยังจะดีกว่า

แต่ก่อนที่จะก้าวถอยออกมาอย่างเต็มตัว ลูกสาวท่านประธานบริษัทก็ควงกรภูออกนอกหน้าแล้วและยังมีข่าวเล็ดลอดมาอีกว่าอาจจะมีงานหมั้นหมายเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ท่านประธานจะเห็นชอบกับลูกสาวเพราะรายนั้นใครๆ ก็รู้ว่ารักและตามใจลูกเสียยิ่งกว่าอะไร หากสิ่งใดที่ลูกอยากได้เป็นต้องหามาให้ไม่เคยขาด และไม่เคยคิดจะขัดใจหรือปฏิเสธในสิ่งที่ลูกสาวร้องขอสักครั้ง แล้วนับประสาอะไรหากลูกจะคบหากับลูกน้องในบริษัท ซึ่งมีฝีมือในการทำงานไม่น้อยหน้าใครซ้ำยังเป็นคนทำให้บริษัทได้งานชิ้นสำคัญจากลูกค้าอยู่บ่อยๆ เนื่องมาจากมันสมองของเขา

ทั้งที่มีข่าวลือในบริษัทเรื่องที่กรภูอาจจะได้เลื่อนตำแหน่งงานและอาจจะได้ตำแหน่งลูกเขยท่านประธานควบมาด้วย แต่เธอก็ไม่เห็นว่าเขาจะพูดปฏิเสธแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเขากลับควงพิมพิดาไปไหนมาไหนแบบเปิดเผย เขาเลือกที่จะไม่สนใจใยดีเธอผู้ซึ่งคบหาเป็นแฟนกันมาตั้งแต่มหาวิทยาลัย เวลาสี่ปีที่คบกันสำหรับกรภูนั้นดูเหมือนจะไม่มีค่ามีความหมายแต่อย่างใดเลยเมื่อเขาได้พบกับพิมพิดา

เมื่อทุกอย่างเป็นแบบนั้นเธอก็คิดว่าสมควรแล้วที่จะถอยออกมาเสียยังจะดีกว่า ขืนอยู่ต่อไปไม่รู้ว่าจะโดนกลั่นแกล้งเรื่องงานมากแค่ไหน และที่สำคัญศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจในตัวเองมันคงจะลดลงไปมากหากยังอยู่ที่นั่น เพราะหลายคนในบริษัทก็รู้ดีว่าเธอกับเขาเคยคบหากันมาก่อนแต่สุดท้ายอีกฝ่ายกลับเลือกลูกสาวท่านประธานแล้วเขี่ยแฟนเก่าทิ้งแบบไม่เห็นค่า

มทินาไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายเมื่อต้องเลิกกับเขา สิ่งนี้ทำให้หญิงสาวรู้สึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน หรืออาจจะเป็นเพราะว่าก่อนที่จะมาคบหาเป็นแฟนกันนั้น เธอและเขาต่างเป็นเพื่อนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันมาก่อน แต่เมื่ออีกฝ่ายเปิดเผยความในใจให้ได้รู้และคอยเป็นห่วงเป็นใยอยู่เสมอ เธอก็เลยตกลงคบหากับเขา และถึงจะคบกันแล้วเวลาพูดคุยกันนั้นมันก็เหมือนกับตอนสมัยเรียนไม่มีผิด จนกรภูเองยังออกปากว่าอยากให้เธอทำให้เขารู้สึกว่าตนเองเป็นคนสำคัญสำหรับเธอบ้าง ไม่ใช่ทำเหมือนเป็นเพื่อนกัน

อีกอย่างหนึ่งการคบหาเป็นแฟนกับกรภูนั้นก็ไม่ได้เกินเลยขีดความเหมาะสมที่เธอวางเอาไว้ มทินาไม่รู้ว่านี่หรือเปล่าที่ทำให้กรภูเคยแสดงท่าทีเหมือนงอนๆ อยู่หลายครั้งที่ไม่ตามใจเขา และที่สุดเขาก็เลือกที่จะไปคบกับคนอื่นแทน

เอาเถอะ เรื่องมันก็มาจนถึงขนาดนี้แล้วนี่นา จะมัวมาคิดถึงความหลังอีกทำไม ยังมีอะไรรอเธออยู่ข้างหน้าอีกมาก สู้เก็บกำลังและเก็บสมองเอาไว้สำหรับเรื่องในภายภาคหน้าจะดีกว่า และเมื่อคิดอย่างนั้นหญิงสาวก็สลัดเรื่องราวแต่หนหลังทิ้งไปเสีย และบอกกับตนเองว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่จะคิดถึงเรื่องของผู้ชายคนนี้

............


ฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ เพราะร้างมือจากที่เวบนี้ไปนาน
อย่าปล่อยให้ณ มนว้าเหว่นะค้า มาทักทายกันหน่อย^_^

ณ มน



namon
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.ค. 2554, 22:35:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.ค. 2554, 22:36:25 น.

จำนวนการเข้าชม : 3649





หนอนฮับ 13 ก.ค. 2554, 23:05:33 น.
กรี๊ดดดดดดด...เย้ๆๆๆๆ พี่ ณ มน มาแว้ววววว
รอคอยเธอมาแสนนนนนนนนน นานนนนนนนนนนน...อิอิ
แล้วหนอนจะมาทวงบ่อยๆ นะคะ พี่ขา ฮาาาาาาา


หนอนฮับ 13 ก.ค. 2554, 23:27:55 น.
อ้อ..หนอนไปเยี่ยมๆ มองๆ ตามร้านหนังสือ เจอเรื่องนี้ด้วย แสนเซอร์...เธอที่รัก น่ารักดีคะ อิอิ


namon 13 ก.ค. 2554, 23:32:18 น.
หนอนฮับ...ขอบใจมากๆจ้าที่ไม่ลืมพี่ ณ มน ทั้งที่พี่หายหน้าไปนานมากกกกกกกกกก แหะๆ ขอบใจล่วงหน้าด้วยที่จะแวะเวืยนมาหาพี่บ่อยๆ อิอิ ส่วนแสนเซอร์...เธอที่รัก นั่นเขียนเมื่อปีที่แล้วค่ะ แล้วก็ไม่ได้เอาลงที่ไหนเลย ยังไงฝากด้วยนะคะ แล้วก็ "ชวนเธอมาลุ้นรัก" ตอนนี้ออกกับสนพ.อรุณอุ่นไอรักค่ะ เจอหน้าค่าตาเมื่อไหร่ พี่นะ ฝากด้วยนะค้า แหะๆ ขายของมากมายเลยพี่


ปูสีน้ำเงิน 14 ก.ค. 2554, 02:04:16 น.
ช่าย ....
หายไปนานจริงๆ


Siang 15 ก.ค. 2554, 10:24:56 น.
ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ คุณ ณ มน คิดถึงมากมายยังสงสัยอยู่ว่าหายไปไหน แต่พอเห็นหนังสือ แสนเซอร์ เธอที่รัก เลยรู้ว่ายังเขียนนิยายอยู่ เป็นเจ้าของเรียบร้อยแล้วทั้ง ชวนเธอมาลุ้นรัก และแสนเซอร์ฯ ค่ะ


ดุจเดือน 20 ก.ค. 2554, 09:29:21 น.
ขอบคุณนะคะ สำหรับนิยายน่ารักๆที่เอามาฝากกัน o(>v<)o !!!


posty 27 ก.ค. 2554, 18:10:36 น.
ดีค่ะ พี่ณ มนที่แรกก็อ่านแล้วไม่แน่ใจว่าใช่เปล่า จะตามอ่านตอนต่อไปนะค่ะ


ameerahTaec 28 ก.ค. 2554, 13:46:39 น.
คิดถึงคุณ ณ มน มากค่า >_<


พุดหอม 16 พ.ย. 2554, 13:48:04 น.
ณ มนคะ ทำไมอ่านคลินิคหัวใจ กลางสายหมอกไม่ได้คะ


รักกันเบาเบา 30 เม.ย. 2555, 21:50:12 น.
ชวนเธอมาลุ้นรัก...เล่มนี้ได้มาอยู่ในมือแล้วจ้า...รอโอกาสว่าง ๆ มาเยือนคงจะได้อ่านซะที...ยังติดตามผลงานนู๋นะดีเสมอ ๆ นะจ๊ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account