ทัณฑ์สวาทจอมเถื่อน
“คนทั้งโลกคงหยาบคายอย่างนี้รึเปล่าถึงได้มีลูกหลานสืบพันธุ์ออกมาจะล้นโลกอยู่แล้ว
ผมหยาบคายจนทำให้คุณครางได้แบบนี้แล้วจะไปบอกตำรวจยังไงกันคิตตี้ ฮึ?”
ทันทีที่ ‘อเตต้าร์ เมนดิส โดส ซานโตส โอลีเวย์ร่า’ ได้เห็นใบหน้าเย้ายวนของ
‘มนตร์ลดา’ แม่พยาบาลสาวผู้เป็น ‘อนุ’ ของพี่ชายกำลังมั่วอยู่ในบาร์เหล้าที่เต็มไปด้วยผู้หญิงหากิน
มหาเศรษฐีหนุ่มเจ้าของธุรกิจไวน์ก็หมดความอดทนจนต้องลากเธอเข้าห้อง
เพื่อพิสูจน์ลีลาที่เธอใช้ล่อลวงพี่ชายเขาเสียจนอยู่หมัด
แต่กลับพบว่าเธอเป็นแค่เมียน้อยจอมปลอมที่ยังไม่เคยผ่านมือชายมาก่อน
แถมยังฤทธิ์แรง เหวี่ยงสะบัด
ขนาดประกาศกร้าวว่าจะลากคอเขาเข้าตะรางในข้อหากระทำชำเราให้ได้
โดยไม่มีแม้แต่เสียงคร่ำครวญหรือน้ำตาสักหยด
แต่ยังไม่ทันตกลงกันได้ แม่สาวน้อยผู้คาดเดาได้ยากก็หายตัวไปเฉยๆ
ทิ้งให้เขางุนงงว่าตกลงเธอจะเอายังไงกันแน่... ผู้ชายอย่างอเตต้าร์ไม่เคยถูกใครปั่นหัว
ยิ่งกับไก่อ่อนที่เพิ่งจะเสียความสาวครั้งแรกอย่างนี้ด้วย... และดูเหมือนโชคจะเข้าข้าง
เมื่อภรรยาคืนเดียวที่เคยเสียสาวให้เขากลับมาติดบ่วงเสียเอง พร้อมอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ
อเตต้าร์จึงฉวยโอกาสนี้บีบบังคับให้เธอเดินเข้ามาสู่ข้อตกลงอันตรายที่เร่าร้อน รัญจวนใจ
เพื่อตอกย้ำให้มนตร์ลดารู้ว่า เมื่อขึ้นมาอยู่บนเตียงของเขาแล้ว อย่าได้คิดที่จะก้าวลงเด็ดขาด
โดยเฉพาะเมื่อเขาติดใจเธอขนาดนี้
เขาก็จะไม่ยอมให้ใครได้ชิมความสาวของเธอเป็นการทับรอย!
“ลืมตาสิคนสวย... อย่าต่อต้านแล้วมันจะไม่เจ็บ หรือชอบให้ผมคลึงไปด้วยแบบนี้ ฮึ?”
“ไอ้คน-ชั่ว-ช้า!” มนตร์ลดาต้องลืมตาตามที่เขาสั่ง หากต้องอ้าปากค้างเมื่อไอ้คนชั่วช้ายิ้มพราย
จ้องมองเธอพร้อมทำเสียงครางซี้ดซ้าดไม่หยุดปาก
“ห้ามมองนะ!!”
“ไม่รู้สึกตัวช้าไปหน่อยเหรอคิตตี้... แค่มองมันไม่สึกหรอหรอกน่า...
ผมทั้งจูบทั้งชิมมาแล้ว ก็ยังอยู่ครบถ้วนเหมือนเดิมนี่”
“ปากเสีย!”
“ปากจัด! ทีเมื่อกี้ไม่เห็นพูดอย่างนี้เลย ครางอ๋อย... อย่างเดียว”
อเตต้าร์สวนกลับทันควัน
ผมหยาบคายจนทำให้คุณครางได้แบบนี้แล้วจะไปบอกตำรวจยังไงกันคิตตี้ ฮึ?”
ทันทีที่ ‘อเตต้าร์ เมนดิส โดส ซานโตส โอลีเวย์ร่า’ ได้เห็นใบหน้าเย้ายวนของ
‘มนตร์ลดา’ แม่พยาบาลสาวผู้เป็น ‘อนุ’ ของพี่ชายกำลังมั่วอยู่ในบาร์เหล้าที่เต็มไปด้วยผู้หญิงหากิน
มหาเศรษฐีหนุ่มเจ้าของธุรกิจไวน์ก็หมดความอดทนจนต้องลากเธอเข้าห้อง
เพื่อพิสูจน์ลีลาที่เธอใช้ล่อลวงพี่ชายเขาเสียจนอยู่หมัด
แต่กลับพบว่าเธอเป็นแค่เมียน้อยจอมปลอมที่ยังไม่เคยผ่านมือชายมาก่อน
แถมยังฤทธิ์แรง เหวี่ยงสะบัด
ขนาดประกาศกร้าวว่าจะลากคอเขาเข้าตะรางในข้อหากระทำชำเราให้ได้
โดยไม่มีแม้แต่เสียงคร่ำครวญหรือน้ำตาสักหยด
แต่ยังไม่ทันตกลงกันได้ แม่สาวน้อยผู้คาดเดาได้ยากก็หายตัวไปเฉยๆ
ทิ้งให้เขางุนงงว่าตกลงเธอจะเอายังไงกันแน่... ผู้ชายอย่างอเตต้าร์ไม่เคยถูกใครปั่นหัว
ยิ่งกับไก่อ่อนที่เพิ่งจะเสียความสาวครั้งแรกอย่างนี้ด้วย... และดูเหมือนโชคจะเข้าข้าง
เมื่อภรรยาคืนเดียวที่เคยเสียสาวให้เขากลับมาติดบ่วงเสียเอง พร้อมอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ
อเตต้าร์จึงฉวยโอกาสนี้บีบบังคับให้เธอเดินเข้ามาสู่ข้อตกลงอันตรายที่เร่าร้อน รัญจวนใจ
เพื่อตอกย้ำให้มนตร์ลดารู้ว่า เมื่อขึ้นมาอยู่บนเตียงของเขาแล้ว อย่าได้คิดที่จะก้าวลงเด็ดขาด
โดยเฉพาะเมื่อเขาติดใจเธอขนาดนี้
เขาก็จะไม่ยอมให้ใครได้ชิมความสาวของเธอเป็นการทับรอย!
“ลืมตาสิคนสวย... อย่าต่อต้านแล้วมันจะไม่เจ็บ หรือชอบให้ผมคลึงไปด้วยแบบนี้ ฮึ?”
“ไอ้คน-ชั่ว-ช้า!” มนตร์ลดาต้องลืมตาตามที่เขาสั่ง หากต้องอ้าปากค้างเมื่อไอ้คนชั่วช้ายิ้มพราย
จ้องมองเธอพร้อมทำเสียงครางซี้ดซ้าดไม่หยุดปาก
“ห้ามมองนะ!!”
“ไม่รู้สึกตัวช้าไปหน่อยเหรอคิตตี้... แค่มองมันไม่สึกหรอหรอกน่า...
ผมทั้งจูบทั้งชิมมาแล้ว ก็ยังอยู่ครบถ้วนเหมือนเดิมนี่”
“ปากเสีย!”
“ปากจัด! ทีเมื่อกี้ไม่เห็นพูดอย่างนี้เลย ครางอ๋อย... อย่างเดียว”
อเตต้าร์สวนกลับทันควัน
Tags: อเตต้าร์ - มนตร์ลดา
ตอน: ตอนที่ 8 100%
สองวันต่อมาเป็นวันหยุดวันแรกที่มนตร์ลดาเลือกหยุดทำงานเพราะไม่ต้องการพบหน้าใครบางคน ประกอบกับของใช้ส่วนตัวบางอย่างหมดลง จึงนัดแนะกับคุณหมอปาโต้มารับออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าตรู่ ความจริงนั้นมนตร์ลดาสามารถเลือกวันหยุดได้หนึ่งวันในรอบสัปดาห์แต่ก็ปฏิเสธมาตลอดโดยให้เหตุผลกับคุณปู่การันก้าว่า จะวันหยุดหรือวันทำงานก็ไม่ต่างกันเพราะงานที่นี่ไม่ได้หนักหนาอะไร สบายจนรู้สึกว่าตัวเองทำงานได้ไม่คุ้มกับค่าจ้างที่ได้รับเสียด้วยซ้ำ หากแต่วันนี้หญิงสาวจงใจที่จะหลบหน้าอเตต้าร์เพราะรู้มาจากกานโช่ว่า วันนี้อเตต้าร์จะหยุดพักผ่อนหลังจากที่ตรากตรำหนักมาหลายเดือน
มนตร์ลดาแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตเข้ารูปสีชมพูอ่อนกับกางเกงยีนส์สีดำตัวโปรด สวมรองเท้าผ้าใบ สะพายกระเป๋าผ้าใบโตดูทะมัดทะแมง ใบหน้างดงามเคลือบเพียงลิปกรอสสีใสแวววาว โชว์ความผ่องใสของผิวเนียนได้เป็นอย่างดี
“คุณปู่คะ... หนูไปก่อนนะคะคุณหมอปาโต้มารอแล้ว อย่าลืมทานยาให้ตรงเวลาด้วยนะคะ ส่วนนมสดหนูชงเก็บไว้ในตู้เย็นให้แล้ว เดี๋ยวกานโช่คงเอาออกมาอุ่นให้ค่ะ” มนตร์ลดาเข้าไปบอกกล่าวการันก้า ที่นั่งอยู่ในห้องอาหาร
“ไปเถอะ... เที่ยวให้สนุกนะ อย่าลืมซื้อขนมมาฝากปู่ด้วย” การันก้าเคยคิดว่าอยากได้หลานสาวคงจะออดอ้อนออเซาะเขาเหมือยอย่างแม่หนูมิ้นต์นี่ จึงไม่มีใครในบ้านแปลกใจที่เห็นคุณท่านรักและเอ็นดูพยาบาลสาวคนนี้ในเวลาอันรวดเร็ว
“ค่า... จะซื้อมาฝากเยอะๆเลย หนูจดไว้เรียบร้อยแล้วว่าคุณปู่ชอบอะไรบ้าง ไปแล้วนะคะแล้วจะรีบกลับค่ะ” มนตร์ลดาบอกพร้อมกับส่งรอยยิ้มสดใสให้คุณปู่การันก้าและกานโช่ แล้วจึงเดินออกไป
“เธอสดใสร่าเริงเหมือนเด็กๆนะครับ แต่เวลาทำงานดูเหมือนคนละคน เป็นผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบ” กานโช่ที่ทำหน้าอำนวยความสะดวกให้เจ้านายบนโต๊ะอาหารเอ่ยปากชมพยาบาลสาวที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ได้เพียงสองสัปดาห์ เธอก็เรียกเสียงชมจากคนในบ้านได้กันถ้วนหน้าแล้ว
“อืม... หวังว่าแม่หนูมิ้นต์คงจะอยู่กับฉันได้นานๆ” การันก้าพูดพลางเริ่มจัดการกับอาหารเช้าต่อไปเรื่อยๆ “เมื่อคืนอาร์ตี้มาถึงดึกไหม?”
“เซญอร์เพิ่งกลับมาถึงตอนตีห้าครึ่งนี่เองครับ ไมนาสบอกว่าเซญอร์อาร์ตี้เรียกพวกของดิม่า มาสอบถามทีละคน เพราะไม่อยากให้พวกของฮักซ์รู้ตัว กว่าจะสอบสวนครบทุกคนก็เล่นเอาเกือบสว่างครับ”
การันก้าพยักหน้ารับ เรื่องธุระกิจการงานนั้นหลานชายของเขาไว้ใจ รอบคอบเสมอ ผู้สูงวัยเข้าใจถึงเหตุผลที่ต้องรอให้เรื่องบาดหมางกันระหว่างคนงานในไร่จบไปถึงสองวัน อเตต้าร์ถึงได้เรียกคนงานมาสอบสวนและเชื่อว่าต้องได้เบาะแสสำคัญมาแน่ หลานชายถึงได้ยอมกลับบ้านได้
ชั่วโมงต่อมามนตร์ลดาและปาโต้กำลังนั่งรับประทานอาหารเช้าอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ใจกลางย่านธุรกิจ ร้านอาหารน่านั่งที่ตั้งโต๊ะให้ลูกค้าได้ออกมานั่งหน้าร้าน มองดูบรรยากาศยามเช้าที่เต็มไปด้วยผู้คนและความวุ่นวายของสังคมเมือง ทั้งคู่สั่งอาหารเช้าสำหรับตัวเอง การพูดคุยโทรศัพท์หลังจากที่ได้พบกันครั้งแรกนั้นทำให้มนตร์ลดาสบายใจเป็นอย่างมาก เพราะปาโต้ออกตัวว่าจะคิดกับเธอแค่น้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น หญิงสาวจึงไม่ขัดข้องที่จะคบหากันในฐานะเพื่อนต่างวัยคนหนึ่ง
“ทำยังไงถึงมาทำงานอยู่ที่นี่ได้?” ปาโต้ถามขึ้นหลังจากที่บริกรหนุ่มเสิร์ฟอาหารให้ทั้งคู่แล้ว
“ช่วงที่มิ้นต์กำลังจะย้ายจากบูซิโอสไปที่รีโอเดอจาเนโร มิ้นต์มีโอกาสได้ดูแลภรรยาของเซญอร์ฟาเบียโน่น่ะค่ะ พอเธออาการดีขึ้นเซญอร์ฟาเบียโน่ก็เลยบอกว่าพยาบาลประจำตัวของคุณท่านการันก้าลาออก มิ้นต์สนใจที่จะมาอยู่ที่นี่รึเปล่า เขาก็บอกรายละเอียดมาน่ะค่ะ มิ้นต์ก็เลยตัดสินใจมาอยู่ที่นี่ แต่ที่แปลกใจนี่ไม่คิดว่าจะมาเจอคุณที่นี่น่ะสิคะ”
“เหตุผลเดียวกับที่มิ้นต์ตัดสินใจลาออกจากโรงพยาบาลล่ะมั้ง” ปาโต้ตอบแล้วต้องรีบแก้ตัวเป็นพัลวันเพราะเห็นสีหน้าปั้นยากเหมือนลำบากใจของหญิงสาว “เฮ้!! อย่าเพิ่งทำหน้าอย่างกับว่าผมจะจีบคุณอีกน่าสาวน้อย ผมแค่หยอกเล่นเท่านั้นเอง”
คำพูดและสีหน้าร้อนใจของปาโต้ทำให้มนตร์ลดาหัวเราะเสียงใสออกมาได้ “ยังไม่ได้ว่าอะไรนะคะ”
“ปากไม่ว่าแต่ใจคุณคิด... เชื่อใจผมเถอะน่าพอได้คุยกับลูลาแล้ว ผมก็เข้าใจถึงความรู้สึกของคุณได้”
มนตร์ลดาเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย เพราะอยากรู้ว่าลูลาพยาบาลสาวใหญ่ที่เคยทำงานด้วยกันพูดอย่างไรถึงได้ทำให้คุณหมอปาโต้มีท่าทีที่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนได้ “ชักอยากรู้แล้วสิคะว่าพี่ลูลาพูดอะไรบ้าง?”
ปาโต้ยิ้มกริ่มนึกถึงคำพูดที่เตือนสติตัวเองให้มองอีกมุมอีกด้านหนึ่ง “เธอคงรำคาญผมมากที่ถามถึงแต่คุณไม่หยุด วันๆนึงผมเจอหน้าลูลาผมก็จะถามถึงแต่คุณตลอด มีอยู่ครั้งนึงเธอบอกผมว่า มิ้นต์คงรู้สึกอึดอัดใจเหมือนเวลาที่เซเรน่าตามตื้อผม ผมอึดอัดใจยังไงมิ้นต์ก็คงรู้สึกอย่างนั้น เธอบอกผมว่าความรักมันบังคับใจกันไม่ได้ ต่อให้เรารักมากเท่าไหร่แต่ถ้าเขาไม่ได้มีใจให้แล้ว ความรักมากมายนั้นมันก็เป็นเพียงแค่ความว่างเปล่า ที่จับต้องไม่ได้ รู้สึกถึงไม่ได้ด้วยซ้ำ”
มนตร์ลดายิ้มแหยๆไม่คิดว่าลูลาจะพูดตรงถึงเพียงนี้ “คือมันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ เอ่อ...”
“ไม่เป็นไร ผมบอกแล้วว่าเข้าใจทุกอย่างเป็นอย่างดี มาถึงตอนนี้ยังรู้สึกขอบคุณคำพูดของลูลาอยู่เลย มันเหมือนเป็นคำเตือนที่ปลดล็อกความรู้สึกเกรงใจ ความอึดอัดใจทั้งหลายที่ผมมีต่อเซเรน่าเหมือนกัน ผมทิ้งตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายอายุรกรรมจากที่นั่นมาเป็นหมอเล็กๆไม่มีตำแหน่งอะไรใหญ่โตเหมือนเดิม แต่มันกลับสบายใจ โล่งใจที่สุด” ปาโต้บอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง สีหน้าผ่อนคลาย “เพราะฉะนั้นคุณไว้ใจผมได้ว่าจะไม่คิดบีบบังคับใจใครอีกแล้ว ถ้าจะหาแม่ใหม่ให้ลูกก็จะหาที่เธอรักผมแล้วผมก็รักเธอมันน่าจะดีกว่า จริงไหม?”
มนตร์ลดาไม่ตอบแต่พยักหน้ารับยิ้มๆ “มิ้นต์ว่าอีกไม่นานคงได้เจอผู้หญิงคนนั้นแน่ค่ะ”
ทั้งคู่หัวเราะออกมาพร้อมๆกัน เมื่อการพูดคุยที่เกิดขึ้นทลายความรู้สึกแง่ติดลบออกไปหมด เหลือไว้เพียงมิตรภาพความเป็นเพื่อนที่มีให้แก่กัน หลังจากนั้นทั้งคู่จึงออกจากร้านอาหารแล้วไปเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าชื่อดังที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม ต่างคนต่างเลือกซื้อของใช้ส่วนตัวของตนเองพร้อมคุยกันถูกคอได้อย่างสนิทใจ บ่ายจัดทั้งคู่จึงออกจากห้างหรูพร้อมทั้งแวะรับลูกชายวัยหกขวบของปาโต้ จากโรงเรียนอนุบาลก่อนแล้วจึงมุ่งหน้าไปส่งมนตร์ลดายังคฤหาสน์โอลีเวย์ร่า
ในขณะที่หลังเวลาเที่ยงวันเล็กน้อยอเตต้าร์เพิ่งตื่นขึ้นมาทานอาหารเช้าและเที่ยงไปพร้อมๆกัน หลังอาหารอเตต้าร์เดินวนไปเวียนมาอยู่ในห้องหนังสือพลางสอดส่ายสายตาหาพยาบาลสาวที่ควรจะเห็นเธอเดินวนเวียนอยู่แถวนี้ แต่วันนี้กลับไม่เห็นแม้เพียงเงา
“มองหาใครอาร์ตี้??” คุณปู่การันก้าที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ เพราะรำคาญกับท่าทางฮึดฮัด อยู่ไม่สุขของหลานชายเหลือเกิน
“เปล่านี่ครับ” อเตต้าร์ยักไหล่ เบ้ปากตอบด้วยท่าทางกวนอารมณ์เหมือนเคย
“แม่หนูมิ้นต์น่ะเขาออกไปข้างนอกกับหมอปาโต้ตั้งแต่เช้าแล้ว” พูดจบคุณปู่การันก้าก็หันไปสนใจหนังสือในมือตัวเองต่อ
“หึ! มาทำงานได้ไม่เท่าไหร่ก็ระริกระรี้ออกไปเที่ยวกับผู้ชายซะแล้ว” อเตต้าร์แทบจะแยกเขี้ยวคำรามออกมา!
“ก็เขามาทำงานได้สองอาทิตย์แล้วยังไม่ได้หยุดสักวัน เขาจะหยุดบ้างมันจะเป็นอะไรไป แล้วสองคนนั่นเขาก็รู้จักกันมาก่อนที่แม่หนูมิ้นต์จะมาอยู่ที่นี่ซะอีก ดีไม่ดีอาจจะเป็นคนรักกันก็ได้ แกก็พูดเหมือนกับแม่หนูมิ้นต์เป็นคนด่วนได้ใจเร็ว!!” การันก้าปิดหนังสือและวางลงบนโต๊ะเตี้ยๆที่อยู่ใกล้มือ
“เสน่ห์แรงจริงจริ๊ง... แม่หนูมิ้นต์ของปู่เนี่ย หลงกันทั้งหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ เดินไปที่ไหนในบ้านก็ได้ยินแต่คนในบ้านชมเซญอริต้ามิ้นต์กันทั้งบ้านแล้ว รำคาญ!!”
“แต่ฉันว่าคนที่หลงเสน่ห์แม่หนูมิ้นต์มากว่าคนอื่นก็เห็นจะเป็น ไอ้หนุ่มเจ้าของไร่ทั้งที่โดนเธอต่อยตาแทบบอดมันยังไม่ปริปากบ่นซักคำมากกว่านะ!” คุณปู่ยั่วเย้าหลานชายที่ทำหน้าตกใจ เป็นใบ้ไปชั่วขณะ “แกว่าอย่างฉันไหมอาร์ตี้??”
“อะ...เอ่อ”
การันก้าระเบิดเสียงหัวเราะ เขาแทบจำไม่ได้ว่าอเตต้าร์คนห่ามที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงลิบลิ่วจะมีท่าทีเหมือนเด็กหลงทาง ตอบคำถามไม่ได้ จับต้นชนปลายไม่ถูกแบบนี้ “ติดอ่างไปเลยทีเดียว ปกติแม่หนูมิ้นต์เป็นคนร่าเริงสดใส อ่อนน้อมอ่อนหวานเป็นมิตรยิ้มแย้มกับคนทั่วไป แกไปทำอีท่าไหนว่ะ? เธอถึงได้ฝากรอยรัก โอ๊ะไม่ใช่สิ! ฝากรอยแค้นไว้ได้?”
อเตต้าร์เม้มปากเป็นเส้นตรงเพราะคาดไม่ถึงว่าจะมีใครได้เห็นเหตุการณ์นั้น พลางเดินดุ่มๆไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่ ยกขายาวพาดบนโต๊ะเตี้ยด้านหน้าอย่างที่ชอบทำมาตลอด “ผมเริ่มจะรู้เบาะแสของไฟไหม้ไร่องุ่นแล้วนะ”
“เรื่องนั้นฉันยังไม่อยากรู้เพราะรู้ว่ายังไงแกก็จัดการได้ อีกอย่างมันก็ไม่ใช่หน้าที่ของฉันแล้ว แกอย่ามาเปลี่ยนเรื่องดีกว่า ตอบมาดีๆแกไปทำอะไรแม่หนูมิ้นต์ เธอถึงได้ทำร้ายร่างกายแกอย่างนั้น!?” การันก้ายังลากหลานชายกลับเข้ามาในเรื่องได้อีกครั้ง “ตอบมาอเตต้าร์”
“ไม่มีอะไร... ก็แค่ เธอคงไม่ชอบที่ผมปากมอมไปหน่อย!”
“ฉันไม่เชื่อว่าผู้หญิงมารยาทดีอย่างนั้น จะต่อยแกเพราะว่าอดรนทนต่อคำพูดที่ไม่ได้รับการกลั่นกรองจากสมองของแกไม่ไหว” การันก้ายิ่งซักก็ยิ่งเห็นได้ชัดถึงความผิดปกติของคนตรงหน้า สายตาหลุกหลิกเหมือนคนมีความผิดที่อาจจะปิดคนทั้งโลกได้สนิท แต่ไม่อาจจะปิดบังคนที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยได้ “แกยิ่งทำอย่างนี้ฉันก็ยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่”
“เธอคงไม่ชอบหน้าผม” อเตต้าร์ตอบเลี่ยงๆ แต่ผู้สูงวัยกลับสังหรณ์ใจว่ามันต้องมีลับลมคมในบางอย่างซ่อนอยู่ และเขารู้ดีว่าจุดอ่อนของผู้ชายแข็งกระด้างคนนี้คืออะไร?!!
“ฉันไม่รู้ว่าแกไปทำอะไรให้แม่หนูมิ้นต์เขาแสดงกิริยาแบบนั้นออกมา แต่รู้ว่ามันคงเกินที่เธอจะรับไหว ถ้าหากว่าฉันจะเอ่ยปากถามเธอมันก็ดูไม่เหมาะ ฉันถึงได้มาถามแก เพราะแกเป็นหลานของฉัน ฉันเลี้ยงแกมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย มีครั้งไหนไหมที่ฉันสอนให้แกหนีปัญหา ถ้าแกไม่ร้อนรนว่าแม่หนูมิ้นต์เขาจะออกไปกลับใครฉันก็คงไม่ได้คิดมากคิดไปไกลอยู่อย่างนี้แน่ จะพูดอะไรก็พูดมา ถ้าไม่พูดตอนนี้ก็ไม่ต้องมาพูดเรื่องนี้อีกต่อไป!!”
นี่แหละคือความเด็ดขาดที่อเตต้าร์และพี่ชายได้ถูกอบรมมาตั้งแต่เล็กจนโต แม่ของเขาจากไปตั้งแต่ยังเล็กนัก ความทรงจำเกี่ยวกับท่านจึงลางเลือนเต็มที รู้เพียงแต่ว่าท่านจากไปด้วยอุบัติเหตุทางเรือ แล้วจากนั้นอีกเพียงแค่สองปีพ่อของเขาก็จากไปเพราะโรคมะเร็งปอด คุณปู่การันก้า จึงเป็นคนเลี้ยงเขากับพี่ชายมา อเตต้าร์เป็นหนุ่มเลือดร้อนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร คนรอบข้างมักจะบอกว่าเขาเป็นคนสุดโต่ง ทำอะไรต้องทำให้สุดๆไม่มีครึ่งๆกลางๆ ชอบคือชอบ ถ้าหากว่าไม่ชอบแล้วแม้แต่หางตาเขาก็จะไม่เหลียวแล
คุณปู่การันก้า นั้นรู้นิสัยส่วนตัวของหลานชายมากที่สุด มันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะอ่านคนอย่างอเตต้าร์นัก คนส่วนมากอาจจะมองว่าเขาเป็นคนหยาบ!... เถื่อน!... ไร้หัวใจ!... คบกับผู้หญิงมากหน้าหลายตาแบบที่ไม่มีข้อผูกมัดผูกพันใดๆทั้งสิ้น แต่คนเป็นปู่กลับมองหลานชายได้อย่างทะลุปรุโปร่งเพราะเรียกได้ว่าไอ้หลานตัวแสบนี่ถอดแบบดีเอ็นเอจากตัวเองก็ว่าได้!!
“ว่าไง! ลูกผู้ชายกล้าทำกล้ารับ!! แล้วแกกล้าไหม??” ประโยคที่เป็นเหมือนระเบิดลูกโตทิ้งลงตรงหน้าเปิดปากหนุ่มมาดเถื่อน ปากร้ายได้ในที่สุด
“ผมปล้ำเธอ”
“อะไรนะ!!?” เสียงสูงปรี๊ด... ของคุณปู่การันก้าที่ย้ำถามมันเป็นโทนเสียงที่อเตต้าร์เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกในชีวิต
“ปู่ได้ยินแล้วน่า...” หนุ่มหล่อลากเสียงยาวเหมือนกำลังพูดเรื่องล้อเล่น สนุกๆทั่วไป แต่ก็ต้องถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่เมื่อได้เห็นสายตาเอาจริงเอาจัง คาดคั้นของท่าน “มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันนิดๆหน่อยๆเท่านั้นล่ะครับ”
“ถึงฉันจะไม่ใช่พวกหัวโบราณ มองว่าเซ็กส์เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ แต่ก็ไม่ได้ไร้จิตสำนึกเข้าใจว่าที่แกปล้ำแม่หนูมิ้นต์เป็นเรื่องนิดๆหน่อยๆหรอกนะ ผู้หญิงของแกมันหายหัวไปไหนหมดถึงได้ไปทำอย่างนั้น แกเป็นบ้าอะไรอาร์ตี้ไปรังแกผู้หญิง? แล้วมันตั้งแต่เมื่อไหร่? ยังไงกัน??” น้ำเสียงดัง แทบเป็นตวาดถาม
“โธ่!... เบาๆก็ได้อยู่กันใกล้แค่นี้เอง กลัวว่าจะไม่ได้ยินกันทั้งบ้านหรือไงครับ”
“อ้อ... ชั่วแล้วกลัวคนอื่นรู้ด้วย”
“เอาเข้าไปซ้ำเติมกันเข้าไป แค่นี้ผมรู้สึกเหมือนไอ้หน้าตัวเมียเต็มทีแล้ว ก็คนมันเข้าใจผิด อีกอย่างปู่ก็รู้ว่าอารมณ์นั้นใครจะไปห้ามตัวเองไหว”
“เห็นคนสวยเลยหน้ามืดว่างั้นเถอะ แล้วไปเข้าใจผิดยังไงไหนลองว่ามาซิ!??” การันก้าถามด้วยสีหน้า สายตาประนามเป็นที่สุด
“ตอนผมไปหาเฟลิกซ์ที่รีโอเดอจาเนโร จิงเจอร์เล่าให้ผมฟังว่าเฟลิกซ์กับมิ้นต์แอบมีอะไรกันในห้องทำงาน ผมก็เลยเข้าใจอย่างงั้น พอผมไปนั่งดื่มที่บาร์แห่งนึงเห็นมิ้นต์เข้า ในตอนที่บาร์นั่นจัดให้มีเต้นโชว์ ไม่ใช่โชว์เปลือยนะแต่ประมาณว่าโชว์เพื่อเรียกค่าตัวอ่ะ ผมเห็นเธอทำลับๆล่อๆอยู่ข้างเวที ก็เลยยิ่งเข้าใจไปว่าเธอเป็นผู้หญิงอย่างว่า ตอนกลางวันทำงานปกติตอนกลางคืนรับจ๊อบพิเศษ คืนนั้นผมก็เลย...”
“ขืนใจเธอซะเลย แล้วมาบอกว่าอารมณ์นั้นห้ามตัวเองไม่ไหว” คุณปู่การันก้าชิงพูดตัดหน้าหลานชาย “เฮอะ!! ใครเชื่อแกก็บ้าแล้ว แกไม่ใช่ไอ้ไก่อ่อนเพิ่งหัดมีเซ็กส์นะอาร์ตี้ ต่อให้แกสาบานต่อหน้าพระเจ้าฉันก็ไม่เชื่อว่าแกหยุดตัวเองไม่ได้ แต่แกไม่คิดจะหยุดต่างหากล่ะ!”
คิ้วหนาของอเตต้าร์ขมวดจรดกันทันทีที่ได้ยินคำต่อว่านั่น แต่ปากกลับเถียงไม่ออกเพราะมันเป็นความจริงอย่างที่สุดแล้ว
การันก้ามองหลานชายตัวแสบท่าทางเบื่อหน่ายใจเหลือทน หากเป็นเมื่อก่อนเขาจะไม่แปลกใจเลยสักนิดถ้าหากได้รับคำอธิบายเช่นนี้แต่นี่ อเตต้าร์เป็นผู้ชายที่ไม่เคยขาดผู้หญิง แล้วมันยังจะมีหน้ามาทำหน้าอินโนเซ้นส์อย่างนั้นอีก “แล้วทีนี้เป็นไง ติดใจสาวเวอร์จิ้นแล้วล่ะสิ ให้ฉันเดาคงไปปากหมาใส่เขาเป็นหมาหวงก้างล่ะมั้ง แม่หนูมิ้นต์เลยยัดหมัดเข้าที่เบ้าตาให้”
“ตกลงปู่อยากรู้เพื่อจะได้ซ้ำเติม ถากถางผมใช่มั้ย!?”
“ฉันแค่สงสัยว่าคนอย่างแกคงไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนมาชกหน้าได้ง่ายๆแน่ มันยิ่งทำให้ฉันแปลกใจเข้าไปใหญ่เพราะความจริงแกควรไล่ตะเพิดแม่หนูมิ้นต์ออกไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วแต่นี่แกกลับเงียบ แล้วยังทำตัวเป็นหมาหวงก้างแบบนี้”
“ผมไม่ได้ทำอย่างนั้นนะ!!” หลานชายปฏิเสธทันควันแต่คนเป็นปู่กลับพูดไปอีกอย่าง
“นั่นสิ! ความจริงมานึกย้อนดูแล้วการกระทำหลายอย่างของแกก็มีพิรุธ อย่างเซ็นสัญญาบ้าๆนั่นแล้วยังจะชอบหาเรื่องหาราวแม่หนูมิ้นต์เป็นเด็กๆอีก”
“ที่ผมเล่าความระยำของตัวเองให้ปู่ฟังนี่ก็เผื่อว่าปู่จะให้คำแนะนำได้บ้าง ถ้ารู้ว่าปู่จะค่อนขอดผมอย่างนี้ไม่บอกหรอก”
“หึ... คำแนะนำดีๆใช้ไม่ได้สำหรับเรื่องระยำที่แกทำกับเธอหรอกอาร์ตี้ เพราะไม่มีคนดีๆที่ไหนเขาทำกัน แกทำของแกเองก็แก้ปัญหาเอาเองแล้วกัน” พูดจบคุณปู่การันก้าก็กดปุ่มบังคับรถเข็นไฟฟ้าออกไปนอกห้องหน้าตาเฉย ทิ้งให้หลานชายอ้าปากค้างมองตามอย่างที่คาดไม่ถึงว่าจะได้คำตอบแบบนี้
ลับร่างคุณปู่การันก้า สมองอันชาญฉลาดก็วกกลับมาคิดว่า ถ้าเป็นผู้หญิงคนไหนทำร้ายร่างกายเขาแบบแม่คิตตี้นี่แล้วล่ะก็ คงไม่มีทางได้เดินลอยหน้าลอยตาในอาณาบริเวณของเขาเป็นแน่ คงได้หนีหัวซุกหัวซุนเก็บของออกจากคฤหาสน์แทบไม่ทัน แต่แม่พยาบาลคนงามนั่นกลับไม่ได้ตกอยู่ในสภาพนั้นและเขาก็ยังไม่ได้รู้สึกโกรธเธออีกด้วย วันนั้นมันรู้สึกสบายใจเป็นบ้าที่ได้ควบขี่เจ้าอะเมซอนม้าคู่ใจกับเธอ เนื้อตัวนุ่มนิ่ม กลิ่นหอมอ่อนๆของเธอมันมำให้เขาสบายใจ อารมณ์ดีขนาดว่าโดนแม่คุณฝากรอยรัก เฮ้ย!! ฝากรอยแค้นไว้ที่ขุมตายังไม่รู้สึกโกรธสักนิด
ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก้าวย่างจากโซฟาไปยังหน้าต่างบานใหญ่มุมห้อง ไม่นานนักก็เห็นรถยนต์กลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดด้านหน้าคฤหาสน์ ร่างสมส่วนของผู้หญิงที่อยู่ในความคิดก็ก้าวลงมาพร้อมกับเด็กชายที่คิดว่าน่าจะเป็นลูกชายไอ้หมอปาโต้ ตามคำบอกเล่าคร่าวๆของไมนาส ลูกน้องคนสนิท ไอ้เด็กนั่นกำลังก้มลงหอมแก้มเธอซ้ายทีขวาที ดวงตาของหนุ่มมาดเถื่อนลุกวาว เมื่อไอ้เด็กน้อยนั่นมันเหนี่ยวลำคอระหงแล้วฝากจุมพิตไว้ที่ริมฝีปากอิ่มของเธอด้วย!!
หน็อย!! ไอ้เด็กแก่แดด พ่อมันคงให้ทำแทนล่ะสิ นี่คงจูบกันมาทั้งตัวแล้วพอมีเด็กอยู่ด้วยเลยไม่สะดวกถึงได้ให้เด็กทำแทน!! มันจะมากไปแล้วนะ เธอยังจะหัวเราะสดใส ทำหน้าตาน่ารักอย่างที่เธอชอบทำกับทุกคนยกเว้นเขา!! โบกมือลาชะเง้อมองจนคอยาวเป็นยีราฟขนาดว่าสองพ่อลูกนั่นขับรถออกไปแล้วก็ตาม
มนตร์ลดาหมุนตัวกลับเมื่อโบกมือลาสองหนุ่มต่างวัยที่ตลอดทางคุยถูกคอกันเป็นอย่างดี พลางชอบใจในความน่ารัก เป็นเด็กช่างพูดของเบเนโต้ เด็กชายวัยหกขวบลูกคุณหมอปาโต้ ความสดใสและช่างซักถามของหนุ่มน้อยทำให้คนรักเด็กผู้ชายเป็นทุนเดิมอยู่แล้วยิ้มแก้มปริ เดินขึ้นเข้ามาในตัวคฤหาสน์อย่างอารมณ์ดี
มนตร์ลดาหุบยิ้มฉับ! กลั้นหายใจ เดินเลี่ยงไปอีกทาง เมื่อเห็นเจ้าของคฤหาสน์ตัวโตยืนกอดอก ทำหน้าตาบอกบุญไม่รับ ยืนขวางทางอยู่
“อยู่นอกบ้านกับผู้ชายอื่นยิ้มหน้าระรื่น พอกลับมาถึงบ้านหน้าตาบูดบึ้งขนาดเห็นเจ้าของบ้านยังไม่รู้จักทักทายกันสักคำ”
มนตร์ลดาถอนใจเฮือกเพราะคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าถ้าได้เจอหน้ากันเป็นอันต้องมีวาจาร้ายๆ กระทบกระเทียบอยู่เสมอจึงเอ่ยทักทายเพียงสั้นๆเพราะไม่อยากต่อปากต่อคำด้วย “สวัสดีค่ะ ขอตัวนะคะ”
อเตต้าร์บดกรามตัวเองแน่น เดินตามร่างน่าปราถนาไปติดด้วยความหมั่นไส้ “นี่เหรอที่คนทั้งบ้านชมว่ามารยาทดี น่ารักอย่างนั้นน่ารักอย่างนี้ ทักทายแบบเสียไม่ได้แบบนี้ เฮอะ! น่ารักตายล่ะ”
“ใครมาดีด้วยดิฉันก็ดีตอบ ใครมาร้ายดิฉันก็ร้ายตอบ จะให้ร้ายมาแล้วดีตอบเนี่ยดิฉันทำไม่ได้หรอกค่ะ” มนตร์ลดาหมุนตัวกลับมาแบบกระทันหัน ทำให้ต้องเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดแข็งแรงของคนที่เดินตามมาติดๆทันที “เอ๊ะ!! ปล่อยดิฉันนะ!”
“ไปไหนมาตั้งครึ่งค่อนวัน?” อเตต้าร์ไม่ปล่อยแต่กลับรัดร่างในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ตั้งคำถามที่มันอัดแน่นอยู่ในใจด้วยสีหน้าเอาเรื่อง แต่แม่คิตตี้ตัวดีก็ร้ายใช่ย่อยนอกจากเธอไม่ยอมตอบแล้ว ยังดิ้นยุกยิกไม่หยุดอีกด้วย “ถ้าไม่ตอบก็จะกอดไว้อย่างนี้ล่ะ หรือว่าชอบ”
มนตร์ลดาแหนหน้าขึ้นจ้องหน้าเขาไม่กระพริบตา ทั้งอยากข่วนหน้ากวนประสาทที่ยักคิ้วหลิ่วตานี่เหลือเกิน แต่ยังไม่ยอมปริปากตั้งหน้าตั้งตาดิ้นหนีหวังจะให้หลุดพ้นจากพัธนาการของเขาอย่างเดียว
“ดีล่ะ... ไม่ตอบแสดงว่าอยากให้ผมกอด แต่เตือนไว้ก่อนนะคิตตี้ ถ้าใครมาเห็นเข้าคุณต้องตอบคำถามพวกเขาเอาเองนะ...” ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงอยากเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างกันให้คนอื่นได้รู้นักทั้งที่มันไม่ได้เกิดจากความยินยอมของเธอ อเตต้าร์ยิ้มพรายเมื่อสาวร่างนุ่มนิ่มในอ้อมแขนของตัวเองเอื้อมมือไปเปิดประตูห้องที่อยู่ใกล้ๆ แล้วออกแรงดันทั้งตัวเธอและเขาเข้ามาอยู่ในห้องที่เป็นห้องรับแขกหนึ่งในหลายๆห้อง ซึ่งตกแต่งในโทนสีที่แตกต่างกันออกไป “อู้ว... เป็นฝ่ายชวนเข้าห้องเองด้วย”
“จะเอายังไง ทำไมถึงได้ตามตอแย กวนประสาทกวนใจดิฉันนัก คุณเป็นคนสร้างข้อตกลงระหว่างเราขึ้นมาเองไม่ใช่เหรอว่าให้ดิฉันอยู่ที่นี่โดยที่ไม่ต้องมาสนใจกัน ต่างคนต่างอยู่ แต่เท่าที่ฉันเห็นเนี่ยคุณคอยแต่หาเรื่องดิฉันตลอดเวลา จะไปไหนมาไหนกับใครมันก็เป็นเรื่องของฉันนี่คะ แล้ววันนี้มันก็เป็นวันหยุดด้วย!!” มนตร์ลดาต่อว่าด้วยสีหน้าเครียดจัด จนลืมไปว่าตลอดเวลายังอยู่ในอ้อมกอดของเขา มือหนาที่ไล้วนขึ้นลงเบาๆตรงสันหลังจึงทำให้รู้สึกตัวว่ายังอยู่ในอ้อมกอดแน่นหนานี้!! “แล้วก็ปล่อยดิฉันด้วย!”
“ก็ตอบมาสิ ว่าไปไหนกับไอ้หมอนั่นมาตั้งครึ่งค่อนวัน ไม่งั้นก็อยู่มันอย่างนี้ล่ะ”
“ไปซื้อของใช้ส่วนตัวค่ะ” มนตร์ลดาตอบเสียงแข็ง
“แล้วทำไมไม่บอกผมหรือให้คนขับรถพาไปก็ได้ ไม่เห็นต้องไปต้องออกไปกับไอ้หมอนั่นเลย”
มนตร์ลดาสูดหายใจลึกเข้าปอด ชักจะทนไม่ไหวกับคำถามมากเรื่องนั่นเหลือเกิน “ไม่อยากรบกวนค่ะ ดิฉันมาอยู่ที่นี่ก็เป็นแค่ลูกจ้างคนนึงเท่านั้นจะให้ไปใช้คนของเจ้านายได้ยังไง อีกอย่างคุณหมอปาโต้กับดิฉันก็รู้จักกันมาก่อน ไม่ใช่คนอื่นที่ไหน”
คำตอบขัดหูของเธอทำให้อเตต้าร์กลับมารัดร่างในอ้อมแขนให้แน่นขึ้นจนเธอรู้สึกอึดอัด! “อ้อ! กับผัวตัวเองนี่คือคนอื่น แต่กับไอ้หมอนั่นคนกันเองสินะ ทำไม? ไปถึงไหนต่อไหนกันแล้วใช่ไหมถึงได้ออกตัวแทนมันอย่างนี้ ห๊ะ?”
มนตร์ลดาได้ยินถ้อยคำร้ายกาจนั่นยิ่งดิ้นรนมากขึ้น แขนข้างหนึ่งหลุดออกจากพันธการพลางเงื้อขึ้นหมายจะทำร้ายเขาให้สมกับความเจ็บปวดใจที่เขาขยันสร้างให้เจ็บช้ำน้ำใจเหลือเกิน “ไอ้!...”
“เอาสิ! ตบเลย อยากจะด่า จะว่า จะตบ จะต่อย จะทำร้ายร่างกายผมก็เอาเลย แต่บอกไว้ก่อนนะว่าคุณด่าผมจูบ คุณตบผมดูด คุณต่อยผมปล้ำ เอาไหมล่ะ?” อเตต้าร์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้กับเธอจนเกือบชิด แล้วก็ต้องยิ้มอย่างพอใจ เมื่อเธอเอนตัวหนีจนเอวแทบหักแต่นั่นมันก็ทำให้ต้นขาเรียวนุ่มของเธอแนบชิดกับต้นขาแกร่งของเขามากขึ้น
“แล้วจะเอายังไงกับดิฉันกันแน่ ทำไมต้องบีบบังคับกันทุกทางแบบนี้ด้วย!?” มนตร์ลดาแหวออกไปอย่างเหลืออด
“ก็ไม่เอายังไง แค่อย่าออกไปไหนกับไอ้หมอนั่นอีก ห้ามทำตัวสนิทกับผู้ชายหน้าไหนไม่เว้นแม้แต่เด็กคนนั้นด้วย” อเตต้าร์ยังพูดด้วยน้ำเสียงที่เอื่อยเฉื่อยเหมือนเดิม แต่คู่สนทนากลับเดือดเป็นน้ำต้มสุกไปแล้ว
“ดิฉันไม่เข้าใจจุดประสงค์ของคุณเลยค่ะ เท่าที่ฉันเข้าใจความสัมพันธ์ของเราคือนายจ้างกับลูกจ้างเท่านั้น ในโลกนี้คงไม่มี
นายจ้างคนไหนออกคำสั่งให้ลูกจ้างของเขาทำแบบนั้น พูดมาตรงๆเลยดีกว่าค่ะ ความจริงคุณเองไม่ได้อยากให้ดิฉันทำงานที่นี่ใช่ไหมถึงได้บีบคั้นกันทุกทางแบบนี้? ถ้ามันอย่างนั้นจริงก็ไม่ต้องลำบากทำขนาดนี้หรอกค่ะ ดิฉันลาออกก็ได้เพราะถ้าขืนทำงานที่นี่ต่อไปก็คงทำตามคำสั่งห้ามของคุณไม่ได้อยู่ดี!” มนตร์ลดาพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว
“ลาออกได้ยังไง แล้วจะเอาเงินที่ไหนส่งให้แม่ที่รีโอเดอจาเนโร ถ้าเกิดผิดนัดค่าเช่าร้านแพงๆอย่างนั้นสักเดือนล่ะก็แย่แน่ๆ ไม่รู้เหรอว่านักเลงเก็บค่าเช่าพวกนั้นมันโหดยังกับอะไรดี แล้วจะลาออกนี่จะเอาเงินที่ไหนมาชดใช้ตามสัญญา”
“คุณมารู้เรื่องครอบครัวของดิฉันได้ยังไง มันจะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวมากเกินไปแล้วนะ!!”
“มันน้อยไปน่ะสิถ้าจะไม่รู้ว่าไปคว้าเอาผู้หญิงที่ไหนมาเก็บไว้ในบ้าน เรื่องส่วนตัวที่คิตตี้ว่าน่ะตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องของผมที่ต้องรู้ความเป็นมาของคนในปกครองแล้ว” อเตต้าร์ตอบเหตุผลข้างๆคูๆ ไปได้หน้าตาเฉย
“ก็ช่างสิ! แม่ก็ยังไม่ได้ผิดนัดค่าเช่าสักหน่อย อีกอย่างถ้าดิฉันไปอธิบายกับคุณปู่ว่าคุณบีบบังคับใจอะไรบ้างท่านคงไม่คิดจะให้ดิฉันจ่ายตามสัญญาบ้าบอของคุณนั่น! แล้วก็หยุดเรียกดิฉันว่าคิตตี้เสียที มันไม่ใช่ชื่อของดิฉัน!!” มนตร์ลดาเหลืออดกับความเรื่องมากของเขาเต็มทีแล้ว
“เอาทีละข้อนะคิตตี้ ข้อแรกมีเงินส่งให้แม่ทุกเดือนให้ท่านเก็บไว้ในยามฉุกเฉินน่ะดีแล้ว ถ้าคิตตี้ไม่ทำงานสักคนนี่ไม่กลัวแม่ลำบากหรือไง ไหนจะป้าที่อยู่เมืองไทยอีก แม่คุณท่านยิ่งมีโรคประจำตัวอยู่ด้วยข้อนี้คุณรู้ดีแก่ใจ ข้อสองปู่น่ะรู้แล้วว่าเราเป็นอะไรกัน ท่านก็ไม่เห็นจะว่าไงนะ ข้อสามชื่อคุณยาวมาก... เรียกยากมาก... มนตร์ลดา กิตติพานิชย์ ไอ้ผมก็จำได้แค่สองคำว่ากิตติ... คิตติ... สรุปว่าคิตตี้เรียกง่ายกว่า แล้วก็พอใจจะเรียกน่ะมีอะไรม่ะ??” อเตต้าร์ยักคิ้วถามอย่างกวนๆ “อ้อ... อีกอย่างนะ ถ้าคุณจะแทนตัวเองว่าดิฉัน ผมก็จะเรียกคุณว่าคิตตี้ให้คนทั้งบ้านได้ยิน ถ้าคุณเปลี่ยนมาพูดกับผมอย่างที่พูดกับคนในบ้านผมก็จะ...”
“ดิฉันไม่เรียกแทนตัวเองว่าอย่างนั้นอีก” มนตร์ลดาต่อให้เพราะเห็นว่าเขาลากเสียงยาวคล้ายกำลังคิด
“จะพิจารณาดูอีกที เพราะตอนนี้ยังแทนตัวเองว่าดิฉันอยู่ มันแก่แดดรู้ไหม เกิดทีหลังผมตั้งสิบปีเชียวนะ!” เป็นครั้งแรกที่คนไร้มารยาทอย่างอเตต้าร์ต่อล้อต่อเถียงเรื่องสรรพนาม แล้วยังพูดอย่างคนที่กำลังอารมณ์ดีสุดขีดอีกต่างหาก
“แต่คุณก็ห้ามเรียกดิ... เอ่อ ห้ามเรียกว่าคิตตี้อีกนะ” มนตร์ลดาเริ่มต่อรองเพราะเห็นว่าสีหน้าของเจ้านายเริ่มดีขึ้นมากแล้ว
“ก็บอกแล้วชื่อยาว เรียกยาก”
“มิ้นต์คำเดียวน่ะเหรอคะออกเสียงยาก เมื่อกี้ได้ยินคุณเรียกชื่อเต็มชัดเจนยังกับคนไทยเสียอีก คุณทำอย่างนี้อยากกวนประสาทฉันมากกว่า”
“ก็แล้วแต่จะคิด อันนี้ห้ามกันไม่ได้”
“สรุปว่าจะเอายังไงคะ คุณเล่นบีบฉันไว้ ดักหน้าล้อมหลังไว้แบบนี้ ฉันจะอยู่ที่นี่อย่างสบายใจได้ยังไง?” มนตร์ลดายังหาข้อสรุปไม่ได้ บทสนทนาที่มีต่อกันนั้นเหมือนกับพายเรือวนในอ่างน้ำ ซึ่งมันทำให้ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตัวต่อไปอย่างไรดี
“ทำไมซื่อบื้ออย่างนี้ล่ะคิตตี้... มันจะอึดอัดอะไรนักหนา คุณก็ทำงานทำหน้าที่ดูแลปู่ต่อไป สิ้นเดือนผมโอนเงินเข้าบัญชีให้ คุณจะโอนให้แม่ให้ป้าก็ตามใจ จะออกไปซื้อของก็บอกผม ผมจะพาไปเองแล้วก็เลิกทำตัวจี๋จ๋ากับไอ้หมอนั่นซะที ง่ายๆแค่นี้มันมีคำพูดไหนของผมที่มันเป็นทฤษฏีฟิสิกส์หรือไง ถึงต้องแปลความหมาย หืม?...”
มนตร์ลดาอยากซัดเข้าที่ใบหน้าคร้ามคมที่ขยันยื่นเข้ามาใกล้เธอเหลือเกิน เคราเขียวครึ้มที่เริ่มผุดออกมาตามแนวสันกราม ต่างหูเพชรเม็ดระยิบบนหูข้างซ้ายนั่น มันทำให้เขาดูกวนประสาทเหลือทน
“ขอเตือนว่าอย่าได้มองผมแบบนี้ คิตตี้...” อเตต้าร์ไล้หลังมือตามโครงหน้างดงาม เตือนด้วยเสียงแหบพร่าหลังจากที่เธอมองหน้าเขาเงียบๆราวกับค้นหาอะไรบางอย่าง
“อะ...เอ่อ ปล่อยสิคะ!”
“รับปากมาก่อนว่าจะไม่ยุ่งกับไอ้หมอปาโต้นั่นอีก” อเตต้าร์ย้ำถาม
“คุณหมอปาโต้ต้องมาตรวจร่างกายคุณปู่ยังไงก็ต้องเจอกันอยู่แล้ว อีกอย่างฉันกับคุณหมอปาโต้ไม่ได้มีอะไรเกินเลยหรือคบหากันในแบบชู้สาวอย่างที่คุณกล่าวหา เราคบกันแบบเพื่อนที่หวังดีต่อกัน แล้วก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องตัดมิตรภาพดีๆนั้นออกไปจากชีวิต ที่สำคัญฉันจะคบใคร สนิทกับใครมันก็ไม่ใช่เรื่องของนายจ้างที่จะมาออกข้อกำหนดบังคับลูกจ้างนี่คะ”
“ปกติถ้าผมจะไม่ออกคำสั่งซ้ำนะ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ถ้าอยากรู้ว่าการฝ่าฝืนคำสั่งผมเป็นยังไง ก็ลองดู” ก่อนที่ทั้งคู่จะได้ปะทะฝีปากกันต่อ ประตูห้องก็เปิดผางออกพร้อมกับร่างของไมนาสก็ปรากฏอยู่ที่หน้าประตู บอดี้การ์ดหนุ่มถึงกับอ้าปากค้างพูดไม่ออกเพราะไม่คิดว่าจะเห็นเจ้านายกับพยาบาลสาวคนใหม่กอดกันกลมอยู่กลางห้อง!! แล้วยังรีบผละออกจากกันอย่างกับเด็กวัยรุ่นแอบมาพลอดรักกันในที่ลับตาคนแล้วมีผู้ใหญ่มาพบเจอเข้าพอดี
โอ!... มันเกิดอะไรขึ้นกันวะเนี่ย ไมนาสยืนนิ่งใบ้กินอยู่หลายนาที
“แกนี่มันมารยาททรามจริงๆ ไม่รู้จักเคาะประตูห้องพอเข้ามาแล้วยังไม่รีบพูดธุระของตัวเองมาอีก เดี๋ยวโดน!” อเตต้าร์ตวาดเสียงดุ ปรายตามองร่างอรชนถอยออกไปยืนไม่ห่างตัวเองนักพร้อมลูบต้นแขนตัวเองขึ้นลงเร็ว ทั้งยังเหลือบสายตาไปเห็นรอยช้ำที่ต้นแขนเธอพลางคิดว่าทำไมเธอถึงได้ผิวบางขนาดนี้วะ... แตะนิดแตะหน่อยก็ได้เห็นรอยช้ำแล้ว
“อะ... เอ่อ ขอโทษครับผมไม่ว่าเซญอร์จะอยู่ในห้องนี้ครับ คุณท่านให้ผมมาเรียนเซญอร์ว่า มิสเตอร์มอร์แกนและคุณมิเชลมาครับ รออยู่ในห้องรับแขก” ไมนาสปั้นหน้ายากตอบ เพราะตั้งแต่รับใช้เจ้านายหนุ่มมาหลายปี พูดได้เต็มปากว่าเซญอร์อเตต้าร์ไม่ใช่คนถือตัว ไม่ใช่ผู้ดีจัดแต่วันนี้กลับดุเขาว่ามารยาททราม โอ๊ะโอ... ไม่ได้สะเทือนต่อมโกรธสักนิดหรอกครับ แต่รู้ทันหรอกน่า... ว่ากำลังเขินเป็นหนุ่มน้อยที่โดนจับได้ว่ากำลังพลอดรักกับสาว!! มิน่าล่ะถึงได้ออกคำสั่งให้ไปสืบประวัติส่วนตัวของเซญอริต้ามิ้นต์ซะละเอียดยิบเชียว ไอ้เราก็คิดว่าอยากรู้ความเป็นมาของเธอทั่วๆไป แต่พอมาเห็นอย่างนี้แล้วถึงบางอ้อเลย ไมนาสคิดต่อในใจพลางขยับตัวหลีกทางให้พยาบาลสาวที่เดินก้มหน้าก้มตาออกมาจากห้องด้วยความรวดเร็ว
“บอกรึเปล่าว่ามีธุระอะไร?” อเตต้าร์ยังยืนอยู่ที่เดิมถามด้วยสีหน้ารำคาญใจเต็มที
“เปล่าครับ ก็คงแวะมาเยี่ยมเยืยนตามปกติครับน่าจะอยู่ทานอาหารเย็นด้วย ได้ยินคุณท่านสั่งให้ตั้งโต๊ะเผื่อทั้งคู่ด้วยครับ” ไมนาสตอบพร้อมกับรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติโดยเร็วที่สุดเพราะกลัวว่าจะถูกเจ้านายเล่นงานอีก หากก็ไม่พ้นสายตาของอเตต้าร์อีกตามเคย
“แกไม่ต้องมามองฉันเยาะเย้ยอย่างนั้นหรอก ทำอย่างกับว่าฉันลักกินขโมยกินอยู่ อยากโดนแตะใช่ไหม?” อเตต้าร์บอกพร้อมกับย่างสามขุมเข้ามาหาลูกน้องมือขวาแต่ก็ช้าเกินไป เพราะมันเผ่นแนบออกไปเห็นแต่หลังไวๆแล้ว ชายหนุ่มเดินออกมาจากห้องพลางถอนใจเฮือกใหญ่เพราะไม่รู้ว่ามิเชลจะมาไม้ไหนอีก เห็นจะมีแต่การเผชิญหน้าและถามอย่างตรงไปตรงมาเท่านั้นล่ะมัง ที่จะทำให้ได้รู้ว่าสองพ่อลูกตระกูลนอร์ท ต้องการอะไร หากต่างฝ่ายต่างเลี่ยงกันไปเลี่ยงกันมาอยู่แบบนี้ เรื่องคาราคาซังไม่จบสิ้นกันสักที
อเตต้าร์เดินเข้ามาในห้องรับแขกพร้อมจับมือทักทายมอร์แกน นอร์ท ที่ลุกขึ้นยืนยิ้มอย่างที่อเตต้าร์คิดว่ามันแฝงไว้ด้วยเลศนัยมาตลอด จากนั้นจึงหันไปรับร่างของมิเชลที่โผเข้ามาจูกแก้มสากของตนเองเป็นการทักทายเหมือนทุกครั้งที่เจอหน้ากัน
“มีธุระอะไรรึเปล่าครับ?” อเตต้าร์ถามพลางผายมือเชิญสองพ่อลูกตระกูลนอร์ท ให้นั่งลงบนโซฟาแล้วตนเองจึงทรุดตัวนั่งลงบ้าง
“แหม... คุณถามยังกับว่าเราเป็นคนอื่นคนไกลกันอย่างนั้น ฉันกับคุณพ่อไม่ได้มาเยี่ยมคุณปู่เป็นการส่วนตัวนานแล้วนี่คะ คราวที่แล้วมางานเลี้ยงเปิดตัวไวน์ ก็ไม่ได้คุยกันซักเท่าไหร่เพราะแขกเยอะเหลือกิน” มิเชลว่าด้วยน้ำเสียงน้อยใจอยู่ในที
“มิเชลก็อย่าไปถือสาเลย รู้จักกันมาตั้งนานน่าจะรู้ว่าอาร์ตี้น่ะพูดจาไม่ค่อยเข้าหูคนซักเท่าไหร่” คุณปู่การันก้าว่าให้หลานชายเพราะยังหมั่นไส้กับเรื่องที่เขาทำกับพยาบาลสาวอยู่ “แค่ได้ยินว่ายังคิดถึงกันอยู่ก็ดีใจแล้ว เสียเวลามาถึงที่นี่ด้วยตัวเองก็ทั้งดีใจ ทั้งเกรงใจเพราะรู้ดีว่ามอร์แกน งานรัดตัว”
“ผมไม่ได้มาเยี่ยมเป็นการส่วนตัวนานแล้วคราวนี้ได้พักสามสี่วันเลยถือโอกาสมาครับ”มอร์แกนวางถุงของกำนัลหลายอย่างลงบนโต๊ะกลางหน้าโซฟาตัวใหญ่
“ขอบคุณมาก คราวหลังไม่ต้องลำบากหรอกนะ” คุณปู่การันก้าตอบตามมารยาท กานโช่ก็เข้ามาหยิบถุงของหลายอย่างออกไปอย่างรู้งาน ส่วนอเตต้าร์นั้นเบือนหน้าหนีจากวงสนทนาเพราะระอาใจนักที่สองพ่อลูกตระกูลนอร์ท มักแสแสร้งใส่หน้ากากเข้าหาทุกครั้งที่เจอกัน “งั้นวันนี้อยู่ทานอาหารเย็นซะด้วยกันเลยนะ ฉันให้พ่อบ้านเตรียมไว้ให้แล้ว”
“แหม... หวังว่าอาร์ตี้คงไม่ขัดข้องหรอกนะคะ” มิเชลเอ่ยขึ้นพลางมองร่างสูงใหญ่ผุดลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินไปกดปุ่มบังคับรถเข็นคุณปู่การันก้า เพื่อจะไปยังห้องอาหาร
“ไม่หรอกครับ ทานหลายคนคงสนุกพิลึก” หนุ่มมาดเถื่อนว่า พลางเดินนำสองพ่อลูกออกจากห้องรับแขกเลยไม่มีโอกาสได้เห็นสายตาของพ่อลูกตระกูลนอร์ทที่หันมาประสานสายตากันราวกับว่าแผนการสำเร็จไปอีกขั้นแล้ว
ในห้องอาหารมนตร์ลดาและกานโช่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อทั้งหมดทยอยเดินเข้ามานั่งบนโต๊ะที่จัดอาหารไว้หลายอย่าง มนตร์ลดาจัดการส่งยาก่อนอาหารให้คุณปู่การันก้า และกำลังจะเดินออกจากห้องอาหารเมื่อทำหน้าที่ของตนเองเรียบร้อยแล้ว
“อ้าว... แม่หนูมิ้นต์จะไปไหน ทำไมไม่มาทานอาหารด้วยกัน” คุณปู่การันก้าเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นพยาบาลคู่ใจมีท่าทีว่าจะไม่ร่วมโต๊ะอาหาร
“อะ... เอ่อ คือหนูจะไปทานกับไมนาสน่ะค่ะ” มนตร์ลดาตอบอย่างเกรงใจ เพราะวันนี้เจ้านายของตนมีแขกมาร่วมโต๊ะอาหารด้วย คงไม่เป็นการสมควรนักหากเธอจะนั่งเสนอหน้าอยู่บนโต๊ะอาหารอย่างทุกวัน
คำตอบของมนตร์ลดาทำให้อเตต้าร์บดกรามตัวเองแน่น มันจะอะไรกันนักหนาว่ะ!! ทำไมรอบกายเธอถึงได้มีแต่ผู้ชายทั้งนั้น มันน่าโมโหจริงๆ “มานั่งกินด้วยกันก็ได้ ไม่เห็นหรือไงว่ากานโช่จัดอาหารไว้ให้คุณด้วย” อเตต้าร์กระแทกเสียงบอก
“นั่นสิ... มาๆ มานั่งด้วยกัน คนกันเองทั้งนั้นไม่เห็นต้องเกรงใจเลย” คุณปู่การันก้าว่า
“เชิญครับมิส... เรารู้จักกันแล้วนี่ครับ” มอร์แกนรบเร้าอีกคน ชายวัยหกสิบปีเต็มหากแต่ยังคงรักษารูปร่างท่าทางได้ราวกับหนุ่มใหญ่วัยห้าสิบต้นๆ จดจำใบหน้างดงามกระจ่างตาของพยาบาลสาวได้เป็นอย่างดี
มนตร์ลดาหันมามองหน้ากับกานโช่ที่ยืนอยู่ข้างๆโต๊ะอาหารแล้วจำต้องเดินกลับมาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ อเตต้าร์ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะยังเหลืออาหารที่จัดเตรียมไว้อยู่ตรงนั้นเพียงแค่ที่เดียว
“คุณมิ้นต์อายุเท่าไหร่แล้วครับ?” มอร์แกนเปิดฉากถามขึ้นทันทีที่พยาบาลสาวนั่งลง “อย่าคิดมากนะครับ ตอนแรกที่ได้พบคุณก็นึกว่าคุณเพิ่งเรียนจบมาใหม่ๆเสียอีก ก็เลยอยากรู้เท่านั้น”
มนตร์ลดายิ้มน้อยๆพลางลอบถอนหายใจเพราะร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างๆนี่ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้จนเกินเหตุจนต้นแขนแกร่งเกือบชนกับหัวไหล่ของตนเองแล้ว “ดิฉันอายุยี่สิบสามปีเต็มแล้วค่ะ”
“แม่หนูมิ้นต์เขาหน้าเด็ก ตอนแรกที่ฉันเห็นก็คิดว่าคงจะเหยาะแหยะไม่สู้งานแต่ความจริงแล้วทำงานเก่งมาก ดูแลฉันดีกว่าหลายคนที่ผ่านมา” การันก้ากล่าวเสริม พลางลงมือรับประทานอาหารไปด้วย
“รู้สึกว่าหนุ่มๆจะหลงเสน่ห์คุณพยาบาลกันทั้งนั้นเลยนะคะ หลังจากได้เจอกันในงานเลี้ยงคราวที่แล้วคุณพ่อชมว่าคุณพยาบาลสวยไม่ขาดปากเลยค่ะ มิเชลเพิ่งเข้าใจว่าเดี๋ยวนี้หนุ่มๆคงเปลี่ยนสเป็กไปชอบสาวเอเชียร่างเล็กกันหมดแล้ว” สาวผมบรอนด์ทรงโตอย่างมิเชลพูดเพราะรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาทันที “ไม่แปลกใจเลยล่ะค่ะ ทำไมคุณพ่อถึงได้รบเร้าจะมาที่นี่นัก!”
“อ้าว... ลูกคนนี้ทำไมพูดขายหน้าพ่อตัวเองอย่างนั้น” คำพูดของมอร์แกนทำให้ทุกคนบนโต๊ะอาหารหัวเราะออกมาได้ยกเว้นอเตต้าร์ที่โกรธจนควันแทบออกหู แต่ก็ยังนิ่งเงียบฟังคำพูดของมอร์แกนต่อไป “ความจริงแล้วมาคราวนี้ได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้หลายอย่างครับ และมีอีกอย่างที่ต้องมาขออนุญาตอาร์ตี้ด้วยตัวเอง”
“ว่ามาเถอะครับ... ผมรอฟังอยู่” อเตต้าร์พูดอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าสองพ่อลูกตระกูลนอร์ท จะต้องมีเรื่องรบกวนแน่
“คืออาจะทำโฆษณาตัวใหม่ของ นอร์ทซุปเปอร์มาร์เก็ต เราวางโครงการปรับปรุงจนเกือบเสร็จทุกสาขาแล้ว จุดเด่นของนอร์ทซุปเปอร์มาเก็ตโฉมใหม่นี้ไฮไลท์อยู่ที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่มแอลกอฮอร์ที่รวบรวมเครื่องดื่มทุกชนิดที่ผู้คนนิยมไว้อยู่มากที่สุด หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้นไวน์ของเซฮา เดอ ชาโต ที่เราเป็นดีลเลอร์4รายใหญ่มาช้านาน อาก็เลยอยากจะขอถ่ายทำโฆษณาในโรงบ่มไวน์ย้ำให้ลูกค้าได้เห็นว่าเรายังเป็นดีลเลอร์รายใหญ่อยู่เหมือนเดิม”
อเตต้าร์และคุณปู่การันก้าสบสายตากันแวบหนึ่ง หลังจากได้ยินคำร้องขอของมอร์แกน นอร์ท
“ต้องยอมรับว่าทางเราได้รับผลกระทบอยู่ไม่น้อยในเรื่องที่อาร์ตี้เพิ่มดีลเลอร์ในการจัดจำหน่ายไวน์เซฮา เดอ ชาโต ขึ้นแต่ละทวีป รายได้ก็ลดลงอยู่มากโขประกอบกับอาได้ปรับปรุงนอร์ทซุปเปอร์มาเก็ตใหม่ก็เลยถือโอกาสโฆษณาตรงนี้ก่อนใครๆ หวังว่าคุณท่านกับอาร์ตี้คงเห็นแก่ความสัมพันธ์อันดีต่อกันที่มีมายาวนานอนุญาตให้อาได้ตามที่ขอ”
“เรื่องที่ผมเพิ่มดีลเลอร์ขึ้นมาแต่ละทวีปนั้นก็เป็นเพราะอยากลดราคาของไวน์แต่ละขวดให้น้อยลงกว่าที่เป็นอยู่ ที่ผ่านมานั้นกว่าที่ไวน์แต่ละขวดจะถึงมือลูกค้าจริงๆก็ต้องผ่านพ่อค้าคนกลางอยู่หลายทอด มันถึงทำให้ไวน์ราคาสูงอยู่แล้วเพิ่มมากขึ้นไปอีกหวังว่าอามอร์แกนคงเข้าใจ” อเตต้าร์อธิบายอย่างใจเย็น
“เรื่องนั้นอาเข้าใจดี แต่ก็อยากให้อาร์ตี้เข้าใจด้วยว่ามันตัดทอนรายได้ของอาลงไปมาก ซึ่งอาเองก็คงไม่สามารถจะคัดค้านอะไรได้ ก็เลยต้องหาทางโปรโมทธุรกิจของตัวเองบ้าง หวังว่าอาร์ตี้คงจะเห็นใจและไม่ขัดข้องนะ”
อเตต้าร์เงียบไปชั่วขณะ กรรมวิธีทุกขั้นตอนในการผลิตไวน์นั้นมันเป็นความลับสุดยอดที่สืบเนื่องกันมาจากรุ่นสู่รุ่น การที่จะเปิดเผยให้บุคคลภายนอกได้มีโอกาสเห็นหรือล่วงรู้นั้นมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วแต่หากอเตต้าร์ปฏิเสธคำร้องขอของมอร์แกนล่ะก็ ต้องเกิดเรื่องร้ายๆขึ้นอีกเป็นแน่ ซึ่งชายหนุ่มไม่ปราถนาที่จะให้มันเป็นเช่นนั้นเพราะเรื่องไฟไหม้ไร่องุ่นนั้นก็ยังไม่สามารถจับตัวจอมบงการที่แท้จริงมารับโทษได้
“อาเข้าใจดีนะว่ามันเป็นสูตรลับ แต่อาไม่ได้จะเข้าไปละลาบละล้วงพื้นที่ส่วนตัวตรงนั้น อาขอแค่ได้ถ่ายทำบรรยากาศจริงๆในโรงบ่มไวน์ ห้องเก็บไวน์ ให้ผู้บริโภคสัมผัสได้ถึงความพิถีพิถันนั้นจริงๆเท่านั้นเอง” มอร์แกนเข้าใจพูดกดดันให้อเตต้าร์ไม่สามารถปฏิเสธคำร้องขอได้
“เอาล่ะครับ ในเมื่อพูดขนาดนั้นแล้วผมก็คงปฏิเสธไม่ได้ แต่ผมขอดูทุกขั้นตอนของการถ่ายทำแล้วก็ต้องลบภาพนั้นทิ้งทันทีหากว่าภาพที่ถ่ายทำไปนั้น ผมเห็นว่าไม่เป็นการสมควร ถ้ารับเงื่อนไขตรงนี้ได้ผมก็ไม่ขัดข้อง!”
มอร์แกนข่มอารมณ์ฉุนของตัวเองไว้ให้ลึกที่สุด แสร้งสีหน้ายิ้มแย้มออกไปทันที “รับได้อยู่แล้ว แค่อาร์ตี้อนุญาตให้อาได้มีโอกาสเข้าไปชมโรงบ่มไวน์ที่ไม่เคยมีใครได้เห็นมาก่อนก็ถือว่า อาได้กำไรมากกว่าคนอื่นแล้ว”
“แหม... คราวนี้มิเชลรู้ทันทีเลยล่ะค่ะ ว่าทำไมธุรกิจที่อยู่ภายใต้การดูแลของอาร์ตี้ถึงได้มั่นคง แล้วก็มีผลกำไรที่มากกว่าคู่แข่งรายอื่นนัก คุณเคี่ยวมากค่ะที่รัก...” มิเชลพูดทีเล่นทีจริงจนทำให้คุณปู่การันก้า ที่กำลังฟังหลานชายต่อรองเรื่องธุรกิจอยู่ขำออกมาทันที
“เป็นข้อเดียวที่อาร์ตี้มีอยู่ในตัวมากกว่าปู่กับพ่อของมัน” คุณปู่การันก้าพูดติดตลกทำให้มอร์แกนต้องฝืนหัวเราะออกมาด้วย “แม่หนูมิ้นต์ทำไมเงียบนักล่ะ คุยบ้างก็ได้คนกันเองทั้งนั้น”
มนตร์ลดายิ้มอย่างน่ารักให้ผู้สูงวัยพลางรับคำสั้นๆแล้วต้องหันไปมองหน้ามอร์แกน ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม
“คุณมิ้นต์ไปดูการถ่ายทำโฆษณาด้วยกันนะครับ ผมจ้างมืออาชีพทั้งนั้นมาทำงานนี้ ดีไม่ดีพวกช่างภาพเห็นเข้าอาจจะชวนคุณมิ้นต์ไปถ่ายแบบก็ได้ ช่วงนี้เทรนนางแบบเอเชียกำลังมากแรงเชียวนะครับ” มอร์แกนพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกเกินความจำเป็นจนทำให้มนตร์ลดาอึดอัดแต่จำต้องยิ้มอย่างเป็นมิตรให้
“ขอบคุณที่ชวนนะคะ แต่ดิฉันต้องทำงานน่ะค่ะคงไม่ว่างไปด้วยเอาไว้โอกาสหน้านะคะ”
“ดีแล้วล่ะ... ทำงานของตัวเองไปอย่าได้ไปหวังเลยว่าจะมีช่างภาพที่ไหนอยากได้นางแบบตัวเล็กๆเตี้ยๆแบบนี้ คงต้องหากล่องหาลังมาให้ยืนกันวุ่นวาย เป็นพยาบาลนั่นแหละเหมาะสมแล้ว!!” ผู้ชายปากจัดข้างมนตร์ลดาพูดเสียงเข้มออกมาทันที
ตามด้วยเสียงหัวเราะเย้ยหยันของมิเชล เมื่อได้ยินคำพูดถูกใจของอเตต้าร์ ผู้หญิงบุคลิกวัยใสแบบแม่พยาบาลนี่ คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนักต่อให้อยู่กันตามลำพังก็คงไม่อาจปลุกเร้าความปราถนาของผู้ชายร้อนแรงอย่างอเตต้าร์ได้ “คุณก็พูดเกินไปค่ะอาร์ตี้... เดี๋ยวนี้คุณพ่อก็หันมาชอบผู้หญิงตัวกระทัดรัดอย่างคุณพยาบาลค่ะ แต่สำหรับคุณแล้วคงจะชอบแบบที่เปรี้ยวจนเข็ดฟันมากกว่า”
คุณปู่การันก้าหรี่ตามองหลานชายปากมอมด้วยความสะใจ ทำไมจะไม่รู้ว่าในใจหลานชายนั้นรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดของมอร์แกนมากกว่า แต่ปากจัดชอบว่าคนอื่นให้ได้เจ็บช้ำน้ำใจอยู่เรื่อย คงต้องสั่งสอนให้ได้รู้สำนึกหน่อยแล้ว “ไปเถอะแม่หนูมิ้นต์ ปู่ก็เป็นผู้ชายคนนึงที่เพิ่งเปลี่ยนสเปกมาชอบผู้หญิงตัวกระทัดรัด ไปดูว่าเขาถ่ายทำกันยังไงเผื่อมีดวงดารา นางแบบกับเขาบ้าง ฝากแม่หนูมิ้นต์ด้วยแล้วกันมอร์แกน เผื่อว่าความสวยของเธอจะไปเตะตาผู้กำกับบ้างเดี๋ยวงานนี้ฉันจะออกโรงเป็นป๋าดันเอง ฮ่า...”
จบคำพูดของคุณปู่การันก้า ที่ตั้งใจจะยั่วอารมณ์ของหลานชายให้คุกรุ่น เกรี้ยวกราดมากขึ้นและดูเหมือนว่ามันจะได้ผลเพราะ อเตต้าร์เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้จนหัวไล่หัวมนชนกับแขนแข็งแรงของตนราวกับจะกางปีกปกป้องของรักของหวง! แต่ก็ทำอะไรไปไม่ได้มากกว่านี้
หลังอาหารมื้อค่ำที่แต่ละคนก็มีความรู้สึกแตกต่างกันออกไป อเตต้าร์ มอร์แกนและมิเชลแยกตัวออกไปคุยกันในห้องนั่งเล่น ส่วนมนต์ลดานั้นก็พาคุณปู่การันก้าออกมาเดินย่อยอาหารตามปกติแล้ว ครู่ใหญ่จึงพาท่านกลับเข้ามาในห้องนอน จัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมทั้งส่งท่านเข้านอนเรียบร้อยแล้ว จึงกลับเข้ามาพักผ่อนในห้องของตัวเองบ้าง
มนตร์ลดาออกมายืนรับลมในตอนดึกสงัดอยู่ริมระเบียงห้องนอนของตน พร้อมคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น ตั้งแต่มีผู้ชายที่แสนเกลียดอย่างอเตต้าร์ผ่านเข้ามาในชีวิตก็ดูเหมือนว่าจะไม่เรื่องเหนือความคาดหมายหลายอย่างเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพบหน้ากันอีกครั้งในสถานะนายจ้างกับลูกจ้าง การได้มาเจอกับคุณหมอปาโต้ที่คิดว่าจะไม่ต้องเจอกันอีก สิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นความจริงที่สุดก็คือทฤษฏีโลกกลมและการหนีปัญหาไม่ใช่ทางออกของการดำเนินชีวิต!
ครั้งแรกตัดสินใจหนีคุณหมอปาโต้ด้วยการลาออกจากโรงพยาบาล ครั้งที่สองตัดสินใจหนีเหตุการณ์อัปยศด้วยการย้ายมาอยู่ที่นี่แต่ก็ต้องมาพบกับทั้งคู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่าการดำเนินชีวิตต่อจากนี้ การตั้งสติรับมือกับเรื่องที่เกิดขึ้น ใช้สติไตร่ตรองและแก้ไขมันเท่านั้นถึงจะผ่านพ้นมันไปได้และไม่ต้องกลับมาแก้ปัญหานั้นซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนดังที่เป็นอยู่นี้ โชคยังดีที่คุณหมอปาโต้นั้นคิดได้แล้วแต่กับผู้ชายที่สร้างความอดสูใจ มักทำให้ได้เจ็บช้ำน้ำใจอยู่บ่อยๆนี้ต่างหากที่ต้องคิดหาวิธีรับมือกับเขาให้จงได้
ปฏิกิริยาเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของเจ้านายปากมอมที่แสดงออกมานั้น ทำให้ไม่รู้ว่าใจจริงของเขานั้นรู้สึกอย่างไร คำก็เตี้ยสองคำก็ตัวเล็ก คำพูดประชดประชันบนโต๊ะอาหารนั้นมันแสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้งว่าเขาไม่ชอบหน้าเธอเท่าไหร่นัก แต่หลายครั้งที่เขาชอบพูดจาหาเรื่อง ต่อล้อต่อเถียงราวกับว่าสนุกนักหนา คำสั่งห้ามให้เข้าใกล้ผู้ชายคนอื่นนั้นบางครั้งก็ทำให้เผลอคิดไปว่าเขากำลังหึงหวงอยู่!!
คุณพระช่วย!... มีแต่คนรักกันเท่านั้นล่ะถึงจะรู้สึกหึงหวงคนรักของตนเมื่อเข้าไปสนิทสนมกับเพศตรงกันข้ามได้ แล้วเขาก็ประกาศออกมาเสียชัดเจนว่า ผู้หญิงด้อยประสบการณ์อย่างเธอได้ลองครั้งเดียวก็เต็มกลืนแล้วจะมาหึงหวงได้อย่างไรกัน ส่วนเธอก็ต้องท่องให้ขึ้นใจว่าเขาคือผู้ชายป่าเถื่อนที่ย่ำยีศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิงคนหนึ่งจนป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดีให้ขึ้นใจ
อเตต้าร์หมุนตัวกลับหลังจากที่รถยนต์ของสองพ่อลูกตระกูลนอร์ท เคลื่อนตัวออกจากคฤหาสน์แล้ว ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองไปยังระเบียงห้องปีกตะวันออก ก็ได้พบกับร่างอรชนที่จู่ๆก็สะบัดศรีษะตัวเองจนผมเผ้ากระจาย! แล้ววิ่งหายเข้าไปในห้องด้วยความรู้สึกประหลาดใจ เธอทำราวกับว่ากำลังเห็นปีศาจสักตนแล้วต้องวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไปอย่างนั้น
อเตต้าร์ส่ายหน้าดิกราวกับพบเจอเรื่องเหนื่อยใจนักหนาที่ต้องจัดการกันตัวแม่คิตตี้คนงามให้พ้นจากความปราถนาของมอร์แกน แล้วพรุ่งนี้ยังไม่รู้เลยว่าสองพ่อลูกนั่นจะมาไม้ไหนกันแน่ แต่คุณปู่ผู้แสนใจดียังโยนแม่คิตตี้ของเขาลงในมือไอ้แก่ตัณหากลับมอร์แกน เพิ่มความยุ่งยากใจให้เขามากขึ้นไปอีก
ฮึ่ม!!... มันน่านัก รอบตัวเขาก็เต็มไปด้วยศัตรูฝีมือร้ายกาจอยู่แล้ว ตอนนี้ปู่ยังทำตัวเป็นปัญหาให้เขาเสียเอง สงสัยคงต้องหาเวลานั่งคุยกันให้รู้เรื่องเสียที อเตต้าร์คิดพร้อมเดินกลับเข้ามาในคฤหาสน์หลังงามอีกครั้งพร้อมกับจบวันอันยุ่งยากบนเตียงกว้างตามลำพัง ไม่มีสาวๆทรวดทรงดินระเบิดคอยปลอเปลื้องอารมณ์ให้อย่างเคย มันเป็นเช่นนี้ตั้งแต่ได้ลิ้มลองรสชาติของแม่คิตตี้คนงามแล้ว!
มนตร์ลดาแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตเข้ารูปสีชมพูอ่อนกับกางเกงยีนส์สีดำตัวโปรด สวมรองเท้าผ้าใบ สะพายกระเป๋าผ้าใบโตดูทะมัดทะแมง ใบหน้างดงามเคลือบเพียงลิปกรอสสีใสแวววาว โชว์ความผ่องใสของผิวเนียนได้เป็นอย่างดี
“คุณปู่คะ... หนูไปก่อนนะคะคุณหมอปาโต้มารอแล้ว อย่าลืมทานยาให้ตรงเวลาด้วยนะคะ ส่วนนมสดหนูชงเก็บไว้ในตู้เย็นให้แล้ว เดี๋ยวกานโช่คงเอาออกมาอุ่นให้ค่ะ” มนตร์ลดาเข้าไปบอกกล่าวการันก้า ที่นั่งอยู่ในห้องอาหาร
“ไปเถอะ... เที่ยวให้สนุกนะ อย่าลืมซื้อขนมมาฝากปู่ด้วย” การันก้าเคยคิดว่าอยากได้หลานสาวคงจะออดอ้อนออเซาะเขาเหมือยอย่างแม่หนูมิ้นต์นี่ จึงไม่มีใครในบ้านแปลกใจที่เห็นคุณท่านรักและเอ็นดูพยาบาลสาวคนนี้ในเวลาอันรวดเร็ว
“ค่า... จะซื้อมาฝากเยอะๆเลย หนูจดไว้เรียบร้อยแล้วว่าคุณปู่ชอบอะไรบ้าง ไปแล้วนะคะแล้วจะรีบกลับค่ะ” มนตร์ลดาบอกพร้อมกับส่งรอยยิ้มสดใสให้คุณปู่การันก้าและกานโช่ แล้วจึงเดินออกไป
“เธอสดใสร่าเริงเหมือนเด็กๆนะครับ แต่เวลาทำงานดูเหมือนคนละคน เป็นผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบ” กานโช่ที่ทำหน้าอำนวยความสะดวกให้เจ้านายบนโต๊ะอาหารเอ่ยปากชมพยาบาลสาวที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ได้เพียงสองสัปดาห์ เธอก็เรียกเสียงชมจากคนในบ้านได้กันถ้วนหน้าแล้ว
“อืม... หวังว่าแม่หนูมิ้นต์คงจะอยู่กับฉันได้นานๆ” การันก้าพูดพลางเริ่มจัดการกับอาหารเช้าต่อไปเรื่อยๆ “เมื่อคืนอาร์ตี้มาถึงดึกไหม?”
“เซญอร์เพิ่งกลับมาถึงตอนตีห้าครึ่งนี่เองครับ ไมนาสบอกว่าเซญอร์อาร์ตี้เรียกพวกของดิม่า มาสอบถามทีละคน เพราะไม่อยากให้พวกของฮักซ์รู้ตัว กว่าจะสอบสวนครบทุกคนก็เล่นเอาเกือบสว่างครับ”
การันก้าพยักหน้ารับ เรื่องธุระกิจการงานนั้นหลานชายของเขาไว้ใจ รอบคอบเสมอ ผู้สูงวัยเข้าใจถึงเหตุผลที่ต้องรอให้เรื่องบาดหมางกันระหว่างคนงานในไร่จบไปถึงสองวัน อเตต้าร์ถึงได้เรียกคนงานมาสอบสวนและเชื่อว่าต้องได้เบาะแสสำคัญมาแน่ หลานชายถึงได้ยอมกลับบ้านได้
ชั่วโมงต่อมามนตร์ลดาและปาโต้กำลังนั่งรับประทานอาหารเช้าอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ใจกลางย่านธุรกิจ ร้านอาหารน่านั่งที่ตั้งโต๊ะให้ลูกค้าได้ออกมานั่งหน้าร้าน มองดูบรรยากาศยามเช้าที่เต็มไปด้วยผู้คนและความวุ่นวายของสังคมเมือง ทั้งคู่สั่งอาหารเช้าสำหรับตัวเอง การพูดคุยโทรศัพท์หลังจากที่ได้พบกันครั้งแรกนั้นทำให้มนตร์ลดาสบายใจเป็นอย่างมาก เพราะปาโต้ออกตัวว่าจะคิดกับเธอแค่น้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น หญิงสาวจึงไม่ขัดข้องที่จะคบหากันในฐานะเพื่อนต่างวัยคนหนึ่ง
“ทำยังไงถึงมาทำงานอยู่ที่นี่ได้?” ปาโต้ถามขึ้นหลังจากที่บริกรหนุ่มเสิร์ฟอาหารให้ทั้งคู่แล้ว
“ช่วงที่มิ้นต์กำลังจะย้ายจากบูซิโอสไปที่รีโอเดอจาเนโร มิ้นต์มีโอกาสได้ดูแลภรรยาของเซญอร์ฟาเบียโน่น่ะค่ะ พอเธออาการดีขึ้นเซญอร์ฟาเบียโน่ก็เลยบอกว่าพยาบาลประจำตัวของคุณท่านการันก้าลาออก มิ้นต์สนใจที่จะมาอยู่ที่นี่รึเปล่า เขาก็บอกรายละเอียดมาน่ะค่ะ มิ้นต์ก็เลยตัดสินใจมาอยู่ที่นี่ แต่ที่แปลกใจนี่ไม่คิดว่าจะมาเจอคุณที่นี่น่ะสิคะ”
“เหตุผลเดียวกับที่มิ้นต์ตัดสินใจลาออกจากโรงพยาบาลล่ะมั้ง” ปาโต้ตอบแล้วต้องรีบแก้ตัวเป็นพัลวันเพราะเห็นสีหน้าปั้นยากเหมือนลำบากใจของหญิงสาว “เฮ้!! อย่าเพิ่งทำหน้าอย่างกับว่าผมจะจีบคุณอีกน่าสาวน้อย ผมแค่หยอกเล่นเท่านั้นเอง”
คำพูดและสีหน้าร้อนใจของปาโต้ทำให้มนตร์ลดาหัวเราะเสียงใสออกมาได้ “ยังไม่ได้ว่าอะไรนะคะ”
“ปากไม่ว่าแต่ใจคุณคิด... เชื่อใจผมเถอะน่าพอได้คุยกับลูลาแล้ว ผมก็เข้าใจถึงความรู้สึกของคุณได้”
มนตร์ลดาเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย เพราะอยากรู้ว่าลูลาพยาบาลสาวใหญ่ที่เคยทำงานด้วยกันพูดอย่างไรถึงได้ทำให้คุณหมอปาโต้มีท่าทีที่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนได้ “ชักอยากรู้แล้วสิคะว่าพี่ลูลาพูดอะไรบ้าง?”
ปาโต้ยิ้มกริ่มนึกถึงคำพูดที่เตือนสติตัวเองให้มองอีกมุมอีกด้านหนึ่ง “เธอคงรำคาญผมมากที่ถามถึงแต่คุณไม่หยุด วันๆนึงผมเจอหน้าลูลาผมก็จะถามถึงแต่คุณตลอด มีอยู่ครั้งนึงเธอบอกผมว่า มิ้นต์คงรู้สึกอึดอัดใจเหมือนเวลาที่เซเรน่าตามตื้อผม ผมอึดอัดใจยังไงมิ้นต์ก็คงรู้สึกอย่างนั้น เธอบอกผมว่าความรักมันบังคับใจกันไม่ได้ ต่อให้เรารักมากเท่าไหร่แต่ถ้าเขาไม่ได้มีใจให้แล้ว ความรักมากมายนั้นมันก็เป็นเพียงแค่ความว่างเปล่า ที่จับต้องไม่ได้ รู้สึกถึงไม่ได้ด้วยซ้ำ”
มนตร์ลดายิ้มแหยๆไม่คิดว่าลูลาจะพูดตรงถึงเพียงนี้ “คือมันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ เอ่อ...”
“ไม่เป็นไร ผมบอกแล้วว่าเข้าใจทุกอย่างเป็นอย่างดี มาถึงตอนนี้ยังรู้สึกขอบคุณคำพูดของลูลาอยู่เลย มันเหมือนเป็นคำเตือนที่ปลดล็อกความรู้สึกเกรงใจ ความอึดอัดใจทั้งหลายที่ผมมีต่อเซเรน่าเหมือนกัน ผมทิ้งตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายอายุรกรรมจากที่นั่นมาเป็นหมอเล็กๆไม่มีตำแหน่งอะไรใหญ่โตเหมือนเดิม แต่มันกลับสบายใจ โล่งใจที่สุด” ปาโต้บอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง สีหน้าผ่อนคลาย “เพราะฉะนั้นคุณไว้ใจผมได้ว่าจะไม่คิดบีบบังคับใจใครอีกแล้ว ถ้าจะหาแม่ใหม่ให้ลูกก็จะหาที่เธอรักผมแล้วผมก็รักเธอมันน่าจะดีกว่า จริงไหม?”
มนตร์ลดาไม่ตอบแต่พยักหน้ารับยิ้มๆ “มิ้นต์ว่าอีกไม่นานคงได้เจอผู้หญิงคนนั้นแน่ค่ะ”
ทั้งคู่หัวเราะออกมาพร้อมๆกัน เมื่อการพูดคุยที่เกิดขึ้นทลายความรู้สึกแง่ติดลบออกไปหมด เหลือไว้เพียงมิตรภาพความเป็นเพื่อนที่มีให้แก่กัน หลังจากนั้นทั้งคู่จึงออกจากร้านอาหารแล้วไปเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าชื่อดังที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม ต่างคนต่างเลือกซื้อของใช้ส่วนตัวของตนเองพร้อมคุยกันถูกคอได้อย่างสนิทใจ บ่ายจัดทั้งคู่จึงออกจากห้างหรูพร้อมทั้งแวะรับลูกชายวัยหกขวบของปาโต้ จากโรงเรียนอนุบาลก่อนแล้วจึงมุ่งหน้าไปส่งมนตร์ลดายังคฤหาสน์โอลีเวย์ร่า
ในขณะที่หลังเวลาเที่ยงวันเล็กน้อยอเตต้าร์เพิ่งตื่นขึ้นมาทานอาหารเช้าและเที่ยงไปพร้อมๆกัน หลังอาหารอเตต้าร์เดินวนไปเวียนมาอยู่ในห้องหนังสือพลางสอดส่ายสายตาหาพยาบาลสาวที่ควรจะเห็นเธอเดินวนเวียนอยู่แถวนี้ แต่วันนี้กลับไม่เห็นแม้เพียงเงา
“มองหาใครอาร์ตี้??” คุณปู่การันก้าที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ เพราะรำคาญกับท่าทางฮึดฮัด อยู่ไม่สุขของหลานชายเหลือเกิน
“เปล่านี่ครับ” อเตต้าร์ยักไหล่ เบ้ปากตอบด้วยท่าทางกวนอารมณ์เหมือนเคย
“แม่หนูมิ้นต์น่ะเขาออกไปข้างนอกกับหมอปาโต้ตั้งแต่เช้าแล้ว” พูดจบคุณปู่การันก้าก็หันไปสนใจหนังสือในมือตัวเองต่อ
“หึ! มาทำงานได้ไม่เท่าไหร่ก็ระริกระรี้ออกไปเที่ยวกับผู้ชายซะแล้ว” อเตต้าร์แทบจะแยกเขี้ยวคำรามออกมา!
“ก็เขามาทำงานได้สองอาทิตย์แล้วยังไม่ได้หยุดสักวัน เขาจะหยุดบ้างมันจะเป็นอะไรไป แล้วสองคนนั่นเขาก็รู้จักกันมาก่อนที่แม่หนูมิ้นต์จะมาอยู่ที่นี่ซะอีก ดีไม่ดีอาจจะเป็นคนรักกันก็ได้ แกก็พูดเหมือนกับแม่หนูมิ้นต์เป็นคนด่วนได้ใจเร็ว!!” การันก้าปิดหนังสือและวางลงบนโต๊ะเตี้ยๆที่อยู่ใกล้มือ
“เสน่ห์แรงจริงจริ๊ง... แม่หนูมิ้นต์ของปู่เนี่ย หลงกันทั้งหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ เดินไปที่ไหนในบ้านก็ได้ยินแต่คนในบ้านชมเซญอริต้ามิ้นต์กันทั้งบ้านแล้ว รำคาญ!!”
“แต่ฉันว่าคนที่หลงเสน่ห์แม่หนูมิ้นต์มากว่าคนอื่นก็เห็นจะเป็น ไอ้หนุ่มเจ้าของไร่ทั้งที่โดนเธอต่อยตาแทบบอดมันยังไม่ปริปากบ่นซักคำมากกว่านะ!” คุณปู่ยั่วเย้าหลานชายที่ทำหน้าตกใจ เป็นใบ้ไปชั่วขณะ “แกว่าอย่างฉันไหมอาร์ตี้??”
“อะ...เอ่อ”
การันก้าระเบิดเสียงหัวเราะ เขาแทบจำไม่ได้ว่าอเตต้าร์คนห่ามที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงลิบลิ่วจะมีท่าทีเหมือนเด็กหลงทาง ตอบคำถามไม่ได้ จับต้นชนปลายไม่ถูกแบบนี้ “ติดอ่างไปเลยทีเดียว ปกติแม่หนูมิ้นต์เป็นคนร่าเริงสดใส อ่อนน้อมอ่อนหวานเป็นมิตรยิ้มแย้มกับคนทั่วไป แกไปทำอีท่าไหนว่ะ? เธอถึงได้ฝากรอยรัก โอ๊ะไม่ใช่สิ! ฝากรอยแค้นไว้ได้?”
อเตต้าร์เม้มปากเป็นเส้นตรงเพราะคาดไม่ถึงว่าจะมีใครได้เห็นเหตุการณ์นั้น พลางเดินดุ่มๆไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่ ยกขายาวพาดบนโต๊ะเตี้ยด้านหน้าอย่างที่ชอบทำมาตลอด “ผมเริ่มจะรู้เบาะแสของไฟไหม้ไร่องุ่นแล้วนะ”
“เรื่องนั้นฉันยังไม่อยากรู้เพราะรู้ว่ายังไงแกก็จัดการได้ อีกอย่างมันก็ไม่ใช่หน้าที่ของฉันแล้ว แกอย่ามาเปลี่ยนเรื่องดีกว่า ตอบมาดีๆแกไปทำอะไรแม่หนูมิ้นต์ เธอถึงได้ทำร้ายร่างกายแกอย่างนั้น!?” การันก้ายังลากหลานชายกลับเข้ามาในเรื่องได้อีกครั้ง “ตอบมาอเตต้าร์”
“ไม่มีอะไร... ก็แค่ เธอคงไม่ชอบที่ผมปากมอมไปหน่อย!”
“ฉันไม่เชื่อว่าผู้หญิงมารยาทดีอย่างนั้น จะต่อยแกเพราะว่าอดรนทนต่อคำพูดที่ไม่ได้รับการกลั่นกรองจากสมองของแกไม่ไหว” การันก้ายิ่งซักก็ยิ่งเห็นได้ชัดถึงความผิดปกติของคนตรงหน้า สายตาหลุกหลิกเหมือนคนมีความผิดที่อาจจะปิดคนทั้งโลกได้สนิท แต่ไม่อาจจะปิดบังคนที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยได้ “แกยิ่งทำอย่างนี้ฉันก็ยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่”
“เธอคงไม่ชอบหน้าผม” อเตต้าร์ตอบเลี่ยงๆ แต่ผู้สูงวัยกลับสังหรณ์ใจว่ามันต้องมีลับลมคมในบางอย่างซ่อนอยู่ และเขารู้ดีว่าจุดอ่อนของผู้ชายแข็งกระด้างคนนี้คืออะไร?!!
“ฉันไม่รู้ว่าแกไปทำอะไรให้แม่หนูมิ้นต์เขาแสดงกิริยาแบบนั้นออกมา แต่รู้ว่ามันคงเกินที่เธอจะรับไหว ถ้าหากว่าฉันจะเอ่ยปากถามเธอมันก็ดูไม่เหมาะ ฉันถึงได้มาถามแก เพราะแกเป็นหลานของฉัน ฉันเลี้ยงแกมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย มีครั้งไหนไหมที่ฉันสอนให้แกหนีปัญหา ถ้าแกไม่ร้อนรนว่าแม่หนูมิ้นต์เขาจะออกไปกลับใครฉันก็คงไม่ได้คิดมากคิดไปไกลอยู่อย่างนี้แน่ จะพูดอะไรก็พูดมา ถ้าไม่พูดตอนนี้ก็ไม่ต้องมาพูดเรื่องนี้อีกต่อไป!!”
นี่แหละคือความเด็ดขาดที่อเตต้าร์และพี่ชายได้ถูกอบรมมาตั้งแต่เล็กจนโต แม่ของเขาจากไปตั้งแต่ยังเล็กนัก ความทรงจำเกี่ยวกับท่านจึงลางเลือนเต็มที รู้เพียงแต่ว่าท่านจากไปด้วยอุบัติเหตุทางเรือ แล้วจากนั้นอีกเพียงแค่สองปีพ่อของเขาก็จากไปเพราะโรคมะเร็งปอด คุณปู่การันก้า จึงเป็นคนเลี้ยงเขากับพี่ชายมา อเตต้าร์เป็นหนุ่มเลือดร้อนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร คนรอบข้างมักจะบอกว่าเขาเป็นคนสุดโต่ง ทำอะไรต้องทำให้สุดๆไม่มีครึ่งๆกลางๆ ชอบคือชอบ ถ้าหากว่าไม่ชอบแล้วแม้แต่หางตาเขาก็จะไม่เหลียวแล
คุณปู่การันก้า นั้นรู้นิสัยส่วนตัวของหลานชายมากที่สุด มันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะอ่านคนอย่างอเตต้าร์นัก คนส่วนมากอาจจะมองว่าเขาเป็นคนหยาบ!... เถื่อน!... ไร้หัวใจ!... คบกับผู้หญิงมากหน้าหลายตาแบบที่ไม่มีข้อผูกมัดผูกพันใดๆทั้งสิ้น แต่คนเป็นปู่กลับมองหลานชายได้อย่างทะลุปรุโปร่งเพราะเรียกได้ว่าไอ้หลานตัวแสบนี่ถอดแบบดีเอ็นเอจากตัวเองก็ว่าได้!!
“ว่าไง! ลูกผู้ชายกล้าทำกล้ารับ!! แล้วแกกล้าไหม??” ประโยคที่เป็นเหมือนระเบิดลูกโตทิ้งลงตรงหน้าเปิดปากหนุ่มมาดเถื่อน ปากร้ายได้ในที่สุด
“ผมปล้ำเธอ”
“อะไรนะ!!?” เสียงสูงปรี๊ด... ของคุณปู่การันก้าที่ย้ำถามมันเป็นโทนเสียงที่อเตต้าร์เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกในชีวิต
“ปู่ได้ยินแล้วน่า...” หนุ่มหล่อลากเสียงยาวเหมือนกำลังพูดเรื่องล้อเล่น สนุกๆทั่วไป แต่ก็ต้องถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่เมื่อได้เห็นสายตาเอาจริงเอาจัง คาดคั้นของท่าน “มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันนิดๆหน่อยๆเท่านั้นล่ะครับ”
“ถึงฉันจะไม่ใช่พวกหัวโบราณ มองว่าเซ็กส์เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ แต่ก็ไม่ได้ไร้จิตสำนึกเข้าใจว่าที่แกปล้ำแม่หนูมิ้นต์เป็นเรื่องนิดๆหน่อยๆหรอกนะ ผู้หญิงของแกมันหายหัวไปไหนหมดถึงได้ไปทำอย่างนั้น แกเป็นบ้าอะไรอาร์ตี้ไปรังแกผู้หญิง? แล้วมันตั้งแต่เมื่อไหร่? ยังไงกัน??” น้ำเสียงดัง แทบเป็นตวาดถาม
“โธ่!... เบาๆก็ได้อยู่กันใกล้แค่นี้เอง กลัวว่าจะไม่ได้ยินกันทั้งบ้านหรือไงครับ”
“อ้อ... ชั่วแล้วกลัวคนอื่นรู้ด้วย”
“เอาเข้าไปซ้ำเติมกันเข้าไป แค่นี้ผมรู้สึกเหมือนไอ้หน้าตัวเมียเต็มทีแล้ว ก็คนมันเข้าใจผิด อีกอย่างปู่ก็รู้ว่าอารมณ์นั้นใครจะไปห้ามตัวเองไหว”
“เห็นคนสวยเลยหน้ามืดว่างั้นเถอะ แล้วไปเข้าใจผิดยังไงไหนลองว่ามาซิ!??” การันก้าถามด้วยสีหน้า สายตาประนามเป็นที่สุด
“ตอนผมไปหาเฟลิกซ์ที่รีโอเดอจาเนโร จิงเจอร์เล่าให้ผมฟังว่าเฟลิกซ์กับมิ้นต์แอบมีอะไรกันในห้องทำงาน ผมก็เลยเข้าใจอย่างงั้น พอผมไปนั่งดื่มที่บาร์แห่งนึงเห็นมิ้นต์เข้า ในตอนที่บาร์นั่นจัดให้มีเต้นโชว์ ไม่ใช่โชว์เปลือยนะแต่ประมาณว่าโชว์เพื่อเรียกค่าตัวอ่ะ ผมเห็นเธอทำลับๆล่อๆอยู่ข้างเวที ก็เลยยิ่งเข้าใจไปว่าเธอเป็นผู้หญิงอย่างว่า ตอนกลางวันทำงานปกติตอนกลางคืนรับจ๊อบพิเศษ คืนนั้นผมก็เลย...”
“ขืนใจเธอซะเลย แล้วมาบอกว่าอารมณ์นั้นห้ามตัวเองไม่ไหว” คุณปู่การันก้าชิงพูดตัดหน้าหลานชาย “เฮอะ!! ใครเชื่อแกก็บ้าแล้ว แกไม่ใช่ไอ้ไก่อ่อนเพิ่งหัดมีเซ็กส์นะอาร์ตี้ ต่อให้แกสาบานต่อหน้าพระเจ้าฉันก็ไม่เชื่อว่าแกหยุดตัวเองไม่ได้ แต่แกไม่คิดจะหยุดต่างหากล่ะ!”
คิ้วหนาของอเตต้าร์ขมวดจรดกันทันทีที่ได้ยินคำต่อว่านั่น แต่ปากกลับเถียงไม่ออกเพราะมันเป็นความจริงอย่างที่สุดแล้ว
การันก้ามองหลานชายตัวแสบท่าทางเบื่อหน่ายใจเหลือทน หากเป็นเมื่อก่อนเขาจะไม่แปลกใจเลยสักนิดถ้าหากได้รับคำอธิบายเช่นนี้แต่นี่ อเตต้าร์เป็นผู้ชายที่ไม่เคยขาดผู้หญิง แล้วมันยังจะมีหน้ามาทำหน้าอินโนเซ้นส์อย่างนั้นอีก “แล้วทีนี้เป็นไง ติดใจสาวเวอร์จิ้นแล้วล่ะสิ ให้ฉันเดาคงไปปากหมาใส่เขาเป็นหมาหวงก้างล่ะมั้ง แม่หนูมิ้นต์เลยยัดหมัดเข้าที่เบ้าตาให้”
“ตกลงปู่อยากรู้เพื่อจะได้ซ้ำเติม ถากถางผมใช่มั้ย!?”
“ฉันแค่สงสัยว่าคนอย่างแกคงไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนมาชกหน้าได้ง่ายๆแน่ มันยิ่งทำให้ฉันแปลกใจเข้าไปใหญ่เพราะความจริงแกควรไล่ตะเพิดแม่หนูมิ้นต์ออกไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วแต่นี่แกกลับเงียบ แล้วยังทำตัวเป็นหมาหวงก้างแบบนี้”
“ผมไม่ได้ทำอย่างนั้นนะ!!” หลานชายปฏิเสธทันควันแต่คนเป็นปู่กลับพูดไปอีกอย่าง
“นั่นสิ! ความจริงมานึกย้อนดูแล้วการกระทำหลายอย่างของแกก็มีพิรุธ อย่างเซ็นสัญญาบ้าๆนั่นแล้วยังจะชอบหาเรื่องหาราวแม่หนูมิ้นต์เป็นเด็กๆอีก”
“ที่ผมเล่าความระยำของตัวเองให้ปู่ฟังนี่ก็เผื่อว่าปู่จะให้คำแนะนำได้บ้าง ถ้ารู้ว่าปู่จะค่อนขอดผมอย่างนี้ไม่บอกหรอก”
“หึ... คำแนะนำดีๆใช้ไม่ได้สำหรับเรื่องระยำที่แกทำกับเธอหรอกอาร์ตี้ เพราะไม่มีคนดีๆที่ไหนเขาทำกัน แกทำของแกเองก็แก้ปัญหาเอาเองแล้วกัน” พูดจบคุณปู่การันก้าก็กดปุ่มบังคับรถเข็นไฟฟ้าออกไปนอกห้องหน้าตาเฉย ทิ้งให้หลานชายอ้าปากค้างมองตามอย่างที่คาดไม่ถึงว่าจะได้คำตอบแบบนี้
ลับร่างคุณปู่การันก้า สมองอันชาญฉลาดก็วกกลับมาคิดว่า ถ้าเป็นผู้หญิงคนไหนทำร้ายร่างกายเขาแบบแม่คิตตี้นี่แล้วล่ะก็ คงไม่มีทางได้เดินลอยหน้าลอยตาในอาณาบริเวณของเขาเป็นแน่ คงได้หนีหัวซุกหัวซุนเก็บของออกจากคฤหาสน์แทบไม่ทัน แต่แม่พยาบาลคนงามนั่นกลับไม่ได้ตกอยู่ในสภาพนั้นและเขาก็ยังไม่ได้รู้สึกโกรธเธออีกด้วย วันนั้นมันรู้สึกสบายใจเป็นบ้าที่ได้ควบขี่เจ้าอะเมซอนม้าคู่ใจกับเธอ เนื้อตัวนุ่มนิ่ม กลิ่นหอมอ่อนๆของเธอมันมำให้เขาสบายใจ อารมณ์ดีขนาดว่าโดนแม่คุณฝากรอยรัก เฮ้ย!! ฝากรอยแค้นไว้ที่ขุมตายังไม่รู้สึกโกรธสักนิด
ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก้าวย่างจากโซฟาไปยังหน้าต่างบานใหญ่มุมห้อง ไม่นานนักก็เห็นรถยนต์กลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดด้านหน้าคฤหาสน์ ร่างสมส่วนของผู้หญิงที่อยู่ในความคิดก็ก้าวลงมาพร้อมกับเด็กชายที่คิดว่าน่าจะเป็นลูกชายไอ้หมอปาโต้ ตามคำบอกเล่าคร่าวๆของไมนาส ลูกน้องคนสนิท ไอ้เด็กนั่นกำลังก้มลงหอมแก้มเธอซ้ายทีขวาที ดวงตาของหนุ่มมาดเถื่อนลุกวาว เมื่อไอ้เด็กน้อยนั่นมันเหนี่ยวลำคอระหงแล้วฝากจุมพิตไว้ที่ริมฝีปากอิ่มของเธอด้วย!!
หน็อย!! ไอ้เด็กแก่แดด พ่อมันคงให้ทำแทนล่ะสิ นี่คงจูบกันมาทั้งตัวแล้วพอมีเด็กอยู่ด้วยเลยไม่สะดวกถึงได้ให้เด็กทำแทน!! มันจะมากไปแล้วนะ เธอยังจะหัวเราะสดใส ทำหน้าตาน่ารักอย่างที่เธอชอบทำกับทุกคนยกเว้นเขา!! โบกมือลาชะเง้อมองจนคอยาวเป็นยีราฟขนาดว่าสองพ่อลูกนั่นขับรถออกไปแล้วก็ตาม
มนตร์ลดาหมุนตัวกลับเมื่อโบกมือลาสองหนุ่มต่างวัยที่ตลอดทางคุยถูกคอกันเป็นอย่างดี พลางชอบใจในความน่ารัก เป็นเด็กช่างพูดของเบเนโต้ เด็กชายวัยหกขวบลูกคุณหมอปาโต้ ความสดใสและช่างซักถามของหนุ่มน้อยทำให้คนรักเด็กผู้ชายเป็นทุนเดิมอยู่แล้วยิ้มแก้มปริ เดินขึ้นเข้ามาในตัวคฤหาสน์อย่างอารมณ์ดี
มนตร์ลดาหุบยิ้มฉับ! กลั้นหายใจ เดินเลี่ยงไปอีกทาง เมื่อเห็นเจ้าของคฤหาสน์ตัวโตยืนกอดอก ทำหน้าตาบอกบุญไม่รับ ยืนขวางทางอยู่
“อยู่นอกบ้านกับผู้ชายอื่นยิ้มหน้าระรื่น พอกลับมาถึงบ้านหน้าตาบูดบึ้งขนาดเห็นเจ้าของบ้านยังไม่รู้จักทักทายกันสักคำ”
มนตร์ลดาถอนใจเฮือกเพราะคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าถ้าได้เจอหน้ากันเป็นอันต้องมีวาจาร้ายๆ กระทบกระเทียบอยู่เสมอจึงเอ่ยทักทายเพียงสั้นๆเพราะไม่อยากต่อปากต่อคำด้วย “สวัสดีค่ะ ขอตัวนะคะ”
อเตต้าร์บดกรามตัวเองแน่น เดินตามร่างน่าปราถนาไปติดด้วยความหมั่นไส้ “นี่เหรอที่คนทั้งบ้านชมว่ามารยาทดี น่ารักอย่างนั้นน่ารักอย่างนี้ ทักทายแบบเสียไม่ได้แบบนี้ เฮอะ! น่ารักตายล่ะ”
“ใครมาดีด้วยดิฉันก็ดีตอบ ใครมาร้ายดิฉันก็ร้ายตอบ จะให้ร้ายมาแล้วดีตอบเนี่ยดิฉันทำไม่ได้หรอกค่ะ” มนตร์ลดาหมุนตัวกลับมาแบบกระทันหัน ทำให้ต้องเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดแข็งแรงของคนที่เดินตามมาติดๆทันที “เอ๊ะ!! ปล่อยดิฉันนะ!”
“ไปไหนมาตั้งครึ่งค่อนวัน?” อเตต้าร์ไม่ปล่อยแต่กลับรัดร่างในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ตั้งคำถามที่มันอัดแน่นอยู่ในใจด้วยสีหน้าเอาเรื่อง แต่แม่คิตตี้ตัวดีก็ร้ายใช่ย่อยนอกจากเธอไม่ยอมตอบแล้ว ยังดิ้นยุกยิกไม่หยุดอีกด้วย “ถ้าไม่ตอบก็จะกอดไว้อย่างนี้ล่ะ หรือว่าชอบ”
มนตร์ลดาแหนหน้าขึ้นจ้องหน้าเขาไม่กระพริบตา ทั้งอยากข่วนหน้ากวนประสาทที่ยักคิ้วหลิ่วตานี่เหลือเกิน แต่ยังไม่ยอมปริปากตั้งหน้าตั้งตาดิ้นหนีหวังจะให้หลุดพ้นจากพัธนาการของเขาอย่างเดียว
“ดีล่ะ... ไม่ตอบแสดงว่าอยากให้ผมกอด แต่เตือนไว้ก่อนนะคิตตี้ ถ้าใครมาเห็นเข้าคุณต้องตอบคำถามพวกเขาเอาเองนะ...” ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงอยากเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างกันให้คนอื่นได้รู้นักทั้งที่มันไม่ได้เกิดจากความยินยอมของเธอ อเตต้าร์ยิ้มพรายเมื่อสาวร่างนุ่มนิ่มในอ้อมแขนของตัวเองเอื้อมมือไปเปิดประตูห้องที่อยู่ใกล้ๆ แล้วออกแรงดันทั้งตัวเธอและเขาเข้ามาอยู่ในห้องที่เป็นห้องรับแขกหนึ่งในหลายๆห้อง ซึ่งตกแต่งในโทนสีที่แตกต่างกันออกไป “อู้ว... เป็นฝ่ายชวนเข้าห้องเองด้วย”
“จะเอายังไง ทำไมถึงได้ตามตอแย กวนประสาทกวนใจดิฉันนัก คุณเป็นคนสร้างข้อตกลงระหว่างเราขึ้นมาเองไม่ใช่เหรอว่าให้ดิฉันอยู่ที่นี่โดยที่ไม่ต้องมาสนใจกัน ต่างคนต่างอยู่ แต่เท่าที่ฉันเห็นเนี่ยคุณคอยแต่หาเรื่องดิฉันตลอดเวลา จะไปไหนมาไหนกับใครมันก็เป็นเรื่องของฉันนี่คะ แล้ววันนี้มันก็เป็นวันหยุดด้วย!!” มนตร์ลดาต่อว่าด้วยสีหน้าเครียดจัด จนลืมไปว่าตลอดเวลายังอยู่ในอ้อมกอดของเขา มือหนาที่ไล้วนขึ้นลงเบาๆตรงสันหลังจึงทำให้รู้สึกตัวว่ายังอยู่ในอ้อมกอดแน่นหนานี้!! “แล้วก็ปล่อยดิฉันด้วย!”
“ก็ตอบมาสิ ว่าไปไหนกับไอ้หมอนั่นมาตั้งครึ่งค่อนวัน ไม่งั้นก็อยู่มันอย่างนี้ล่ะ”
“ไปซื้อของใช้ส่วนตัวค่ะ” มนตร์ลดาตอบเสียงแข็ง
“แล้วทำไมไม่บอกผมหรือให้คนขับรถพาไปก็ได้ ไม่เห็นต้องไปต้องออกไปกับไอ้หมอนั่นเลย”
มนตร์ลดาสูดหายใจลึกเข้าปอด ชักจะทนไม่ไหวกับคำถามมากเรื่องนั่นเหลือเกิน “ไม่อยากรบกวนค่ะ ดิฉันมาอยู่ที่นี่ก็เป็นแค่ลูกจ้างคนนึงเท่านั้นจะให้ไปใช้คนของเจ้านายได้ยังไง อีกอย่างคุณหมอปาโต้กับดิฉันก็รู้จักกันมาก่อน ไม่ใช่คนอื่นที่ไหน”
คำตอบขัดหูของเธอทำให้อเตต้าร์กลับมารัดร่างในอ้อมแขนให้แน่นขึ้นจนเธอรู้สึกอึดอัด! “อ้อ! กับผัวตัวเองนี่คือคนอื่น แต่กับไอ้หมอนั่นคนกันเองสินะ ทำไม? ไปถึงไหนต่อไหนกันแล้วใช่ไหมถึงได้ออกตัวแทนมันอย่างนี้ ห๊ะ?”
มนตร์ลดาได้ยินถ้อยคำร้ายกาจนั่นยิ่งดิ้นรนมากขึ้น แขนข้างหนึ่งหลุดออกจากพันธการพลางเงื้อขึ้นหมายจะทำร้ายเขาให้สมกับความเจ็บปวดใจที่เขาขยันสร้างให้เจ็บช้ำน้ำใจเหลือเกิน “ไอ้!...”
“เอาสิ! ตบเลย อยากจะด่า จะว่า จะตบ จะต่อย จะทำร้ายร่างกายผมก็เอาเลย แต่บอกไว้ก่อนนะว่าคุณด่าผมจูบ คุณตบผมดูด คุณต่อยผมปล้ำ เอาไหมล่ะ?” อเตต้าร์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้กับเธอจนเกือบชิด แล้วก็ต้องยิ้มอย่างพอใจ เมื่อเธอเอนตัวหนีจนเอวแทบหักแต่นั่นมันก็ทำให้ต้นขาเรียวนุ่มของเธอแนบชิดกับต้นขาแกร่งของเขามากขึ้น
“แล้วจะเอายังไงกับดิฉันกันแน่ ทำไมต้องบีบบังคับกันทุกทางแบบนี้ด้วย!?” มนตร์ลดาแหวออกไปอย่างเหลืออด
“ก็ไม่เอายังไง แค่อย่าออกไปไหนกับไอ้หมอนั่นอีก ห้ามทำตัวสนิทกับผู้ชายหน้าไหนไม่เว้นแม้แต่เด็กคนนั้นด้วย” อเตต้าร์ยังพูดด้วยน้ำเสียงที่เอื่อยเฉื่อยเหมือนเดิม แต่คู่สนทนากลับเดือดเป็นน้ำต้มสุกไปแล้ว
“ดิฉันไม่เข้าใจจุดประสงค์ของคุณเลยค่ะ เท่าที่ฉันเข้าใจความสัมพันธ์ของเราคือนายจ้างกับลูกจ้างเท่านั้น ในโลกนี้คงไม่มี
นายจ้างคนไหนออกคำสั่งให้ลูกจ้างของเขาทำแบบนั้น พูดมาตรงๆเลยดีกว่าค่ะ ความจริงคุณเองไม่ได้อยากให้ดิฉันทำงานที่นี่ใช่ไหมถึงได้บีบคั้นกันทุกทางแบบนี้? ถ้ามันอย่างนั้นจริงก็ไม่ต้องลำบากทำขนาดนี้หรอกค่ะ ดิฉันลาออกก็ได้เพราะถ้าขืนทำงานที่นี่ต่อไปก็คงทำตามคำสั่งห้ามของคุณไม่ได้อยู่ดี!” มนตร์ลดาพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว
“ลาออกได้ยังไง แล้วจะเอาเงินที่ไหนส่งให้แม่ที่รีโอเดอจาเนโร ถ้าเกิดผิดนัดค่าเช่าร้านแพงๆอย่างนั้นสักเดือนล่ะก็แย่แน่ๆ ไม่รู้เหรอว่านักเลงเก็บค่าเช่าพวกนั้นมันโหดยังกับอะไรดี แล้วจะลาออกนี่จะเอาเงินที่ไหนมาชดใช้ตามสัญญา”
“คุณมารู้เรื่องครอบครัวของดิฉันได้ยังไง มันจะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวมากเกินไปแล้วนะ!!”
“มันน้อยไปน่ะสิถ้าจะไม่รู้ว่าไปคว้าเอาผู้หญิงที่ไหนมาเก็บไว้ในบ้าน เรื่องส่วนตัวที่คิตตี้ว่าน่ะตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องของผมที่ต้องรู้ความเป็นมาของคนในปกครองแล้ว” อเตต้าร์ตอบเหตุผลข้างๆคูๆ ไปได้หน้าตาเฉย
“ก็ช่างสิ! แม่ก็ยังไม่ได้ผิดนัดค่าเช่าสักหน่อย อีกอย่างถ้าดิฉันไปอธิบายกับคุณปู่ว่าคุณบีบบังคับใจอะไรบ้างท่านคงไม่คิดจะให้ดิฉันจ่ายตามสัญญาบ้าบอของคุณนั่น! แล้วก็หยุดเรียกดิฉันว่าคิตตี้เสียที มันไม่ใช่ชื่อของดิฉัน!!” มนตร์ลดาเหลืออดกับความเรื่องมากของเขาเต็มทีแล้ว
“เอาทีละข้อนะคิตตี้ ข้อแรกมีเงินส่งให้แม่ทุกเดือนให้ท่านเก็บไว้ในยามฉุกเฉินน่ะดีแล้ว ถ้าคิตตี้ไม่ทำงานสักคนนี่ไม่กลัวแม่ลำบากหรือไง ไหนจะป้าที่อยู่เมืองไทยอีก แม่คุณท่านยิ่งมีโรคประจำตัวอยู่ด้วยข้อนี้คุณรู้ดีแก่ใจ ข้อสองปู่น่ะรู้แล้วว่าเราเป็นอะไรกัน ท่านก็ไม่เห็นจะว่าไงนะ ข้อสามชื่อคุณยาวมาก... เรียกยากมาก... มนตร์ลดา กิตติพานิชย์ ไอ้ผมก็จำได้แค่สองคำว่ากิตติ... คิตติ... สรุปว่าคิตตี้เรียกง่ายกว่า แล้วก็พอใจจะเรียกน่ะมีอะไรม่ะ??” อเตต้าร์ยักคิ้วถามอย่างกวนๆ “อ้อ... อีกอย่างนะ ถ้าคุณจะแทนตัวเองว่าดิฉัน ผมก็จะเรียกคุณว่าคิตตี้ให้คนทั้งบ้านได้ยิน ถ้าคุณเปลี่ยนมาพูดกับผมอย่างที่พูดกับคนในบ้านผมก็จะ...”
“ดิฉันไม่เรียกแทนตัวเองว่าอย่างนั้นอีก” มนตร์ลดาต่อให้เพราะเห็นว่าเขาลากเสียงยาวคล้ายกำลังคิด
“จะพิจารณาดูอีกที เพราะตอนนี้ยังแทนตัวเองว่าดิฉันอยู่ มันแก่แดดรู้ไหม เกิดทีหลังผมตั้งสิบปีเชียวนะ!” เป็นครั้งแรกที่คนไร้มารยาทอย่างอเตต้าร์ต่อล้อต่อเถียงเรื่องสรรพนาม แล้วยังพูดอย่างคนที่กำลังอารมณ์ดีสุดขีดอีกต่างหาก
“แต่คุณก็ห้ามเรียกดิ... เอ่อ ห้ามเรียกว่าคิตตี้อีกนะ” มนตร์ลดาเริ่มต่อรองเพราะเห็นว่าสีหน้าของเจ้านายเริ่มดีขึ้นมากแล้ว
“ก็บอกแล้วชื่อยาว เรียกยาก”
“มิ้นต์คำเดียวน่ะเหรอคะออกเสียงยาก เมื่อกี้ได้ยินคุณเรียกชื่อเต็มชัดเจนยังกับคนไทยเสียอีก คุณทำอย่างนี้อยากกวนประสาทฉันมากกว่า”
“ก็แล้วแต่จะคิด อันนี้ห้ามกันไม่ได้”
“สรุปว่าจะเอายังไงคะ คุณเล่นบีบฉันไว้ ดักหน้าล้อมหลังไว้แบบนี้ ฉันจะอยู่ที่นี่อย่างสบายใจได้ยังไง?” มนตร์ลดายังหาข้อสรุปไม่ได้ บทสนทนาที่มีต่อกันนั้นเหมือนกับพายเรือวนในอ่างน้ำ ซึ่งมันทำให้ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตัวต่อไปอย่างไรดี
“ทำไมซื่อบื้ออย่างนี้ล่ะคิตตี้... มันจะอึดอัดอะไรนักหนา คุณก็ทำงานทำหน้าที่ดูแลปู่ต่อไป สิ้นเดือนผมโอนเงินเข้าบัญชีให้ คุณจะโอนให้แม่ให้ป้าก็ตามใจ จะออกไปซื้อของก็บอกผม ผมจะพาไปเองแล้วก็เลิกทำตัวจี๋จ๋ากับไอ้หมอนั่นซะที ง่ายๆแค่นี้มันมีคำพูดไหนของผมที่มันเป็นทฤษฏีฟิสิกส์หรือไง ถึงต้องแปลความหมาย หืม?...”
มนตร์ลดาอยากซัดเข้าที่ใบหน้าคร้ามคมที่ขยันยื่นเข้ามาใกล้เธอเหลือเกิน เคราเขียวครึ้มที่เริ่มผุดออกมาตามแนวสันกราม ต่างหูเพชรเม็ดระยิบบนหูข้างซ้ายนั่น มันทำให้เขาดูกวนประสาทเหลือทน
“ขอเตือนว่าอย่าได้มองผมแบบนี้ คิตตี้...” อเตต้าร์ไล้หลังมือตามโครงหน้างดงาม เตือนด้วยเสียงแหบพร่าหลังจากที่เธอมองหน้าเขาเงียบๆราวกับค้นหาอะไรบางอย่าง
“อะ...เอ่อ ปล่อยสิคะ!”
“รับปากมาก่อนว่าจะไม่ยุ่งกับไอ้หมอปาโต้นั่นอีก” อเตต้าร์ย้ำถาม
“คุณหมอปาโต้ต้องมาตรวจร่างกายคุณปู่ยังไงก็ต้องเจอกันอยู่แล้ว อีกอย่างฉันกับคุณหมอปาโต้ไม่ได้มีอะไรเกินเลยหรือคบหากันในแบบชู้สาวอย่างที่คุณกล่าวหา เราคบกันแบบเพื่อนที่หวังดีต่อกัน แล้วก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องตัดมิตรภาพดีๆนั้นออกไปจากชีวิต ที่สำคัญฉันจะคบใคร สนิทกับใครมันก็ไม่ใช่เรื่องของนายจ้างที่จะมาออกข้อกำหนดบังคับลูกจ้างนี่คะ”
“ปกติถ้าผมจะไม่ออกคำสั่งซ้ำนะ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ถ้าอยากรู้ว่าการฝ่าฝืนคำสั่งผมเป็นยังไง ก็ลองดู” ก่อนที่ทั้งคู่จะได้ปะทะฝีปากกันต่อ ประตูห้องก็เปิดผางออกพร้อมกับร่างของไมนาสก็ปรากฏอยู่ที่หน้าประตู บอดี้การ์ดหนุ่มถึงกับอ้าปากค้างพูดไม่ออกเพราะไม่คิดว่าจะเห็นเจ้านายกับพยาบาลสาวคนใหม่กอดกันกลมอยู่กลางห้อง!! แล้วยังรีบผละออกจากกันอย่างกับเด็กวัยรุ่นแอบมาพลอดรักกันในที่ลับตาคนแล้วมีผู้ใหญ่มาพบเจอเข้าพอดี
โอ!... มันเกิดอะไรขึ้นกันวะเนี่ย ไมนาสยืนนิ่งใบ้กินอยู่หลายนาที
“แกนี่มันมารยาททรามจริงๆ ไม่รู้จักเคาะประตูห้องพอเข้ามาแล้วยังไม่รีบพูดธุระของตัวเองมาอีก เดี๋ยวโดน!” อเตต้าร์ตวาดเสียงดุ ปรายตามองร่างอรชนถอยออกไปยืนไม่ห่างตัวเองนักพร้อมลูบต้นแขนตัวเองขึ้นลงเร็ว ทั้งยังเหลือบสายตาไปเห็นรอยช้ำที่ต้นแขนเธอพลางคิดว่าทำไมเธอถึงได้ผิวบางขนาดนี้วะ... แตะนิดแตะหน่อยก็ได้เห็นรอยช้ำแล้ว
“อะ... เอ่อ ขอโทษครับผมไม่ว่าเซญอร์จะอยู่ในห้องนี้ครับ คุณท่านให้ผมมาเรียนเซญอร์ว่า มิสเตอร์มอร์แกนและคุณมิเชลมาครับ รออยู่ในห้องรับแขก” ไมนาสปั้นหน้ายากตอบ เพราะตั้งแต่รับใช้เจ้านายหนุ่มมาหลายปี พูดได้เต็มปากว่าเซญอร์อเตต้าร์ไม่ใช่คนถือตัว ไม่ใช่ผู้ดีจัดแต่วันนี้กลับดุเขาว่ามารยาททราม โอ๊ะโอ... ไม่ได้สะเทือนต่อมโกรธสักนิดหรอกครับ แต่รู้ทันหรอกน่า... ว่ากำลังเขินเป็นหนุ่มน้อยที่โดนจับได้ว่ากำลังพลอดรักกับสาว!! มิน่าล่ะถึงได้ออกคำสั่งให้ไปสืบประวัติส่วนตัวของเซญอริต้ามิ้นต์ซะละเอียดยิบเชียว ไอ้เราก็คิดว่าอยากรู้ความเป็นมาของเธอทั่วๆไป แต่พอมาเห็นอย่างนี้แล้วถึงบางอ้อเลย ไมนาสคิดต่อในใจพลางขยับตัวหลีกทางให้พยาบาลสาวที่เดินก้มหน้าก้มตาออกมาจากห้องด้วยความรวดเร็ว
“บอกรึเปล่าว่ามีธุระอะไร?” อเตต้าร์ยังยืนอยู่ที่เดิมถามด้วยสีหน้ารำคาญใจเต็มที
“เปล่าครับ ก็คงแวะมาเยี่ยมเยืยนตามปกติครับน่าจะอยู่ทานอาหารเย็นด้วย ได้ยินคุณท่านสั่งให้ตั้งโต๊ะเผื่อทั้งคู่ด้วยครับ” ไมนาสตอบพร้อมกับรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติโดยเร็วที่สุดเพราะกลัวว่าจะถูกเจ้านายเล่นงานอีก หากก็ไม่พ้นสายตาของอเตต้าร์อีกตามเคย
“แกไม่ต้องมามองฉันเยาะเย้ยอย่างนั้นหรอก ทำอย่างกับว่าฉันลักกินขโมยกินอยู่ อยากโดนแตะใช่ไหม?” อเตต้าร์บอกพร้อมกับย่างสามขุมเข้ามาหาลูกน้องมือขวาแต่ก็ช้าเกินไป เพราะมันเผ่นแนบออกไปเห็นแต่หลังไวๆแล้ว ชายหนุ่มเดินออกมาจากห้องพลางถอนใจเฮือกใหญ่เพราะไม่รู้ว่ามิเชลจะมาไม้ไหนอีก เห็นจะมีแต่การเผชิญหน้าและถามอย่างตรงไปตรงมาเท่านั้นล่ะมัง ที่จะทำให้ได้รู้ว่าสองพ่อลูกตระกูลนอร์ท ต้องการอะไร หากต่างฝ่ายต่างเลี่ยงกันไปเลี่ยงกันมาอยู่แบบนี้ เรื่องคาราคาซังไม่จบสิ้นกันสักที
อเตต้าร์เดินเข้ามาในห้องรับแขกพร้อมจับมือทักทายมอร์แกน นอร์ท ที่ลุกขึ้นยืนยิ้มอย่างที่อเตต้าร์คิดว่ามันแฝงไว้ด้วยเลศนัยมาตลอด จากนั้นจึงหันไปรับร่างของมิเชลที่โผเข้ามาจูกแก้มสากของตนเองเป็นการทักทายเหมือนทุกครั้งที่เจอหน้ากัน
“มีธุระอะไรรึเปล่าครับ?” อเตต้าร์ถามพลางผายมือเชิญสองพ่อลูกตระกูลนอร์ท ให้นั่งลงบนโซฟาแล้วตนเองจึงทรุดตัวนั่งลงบ้าง
“แหม... คุณถามยังกับว่าเราเป็นคนอื่นคนไกลกันอย่างนั้น ฉันกับคุณพ่อไม่ได้มาเยี่ยมคุณปู่เป็นการส่วนตัวนานแล้วนี่คะ คราวที่แล้วมางานเลี้ยงเปิดตัวไวน์ ก็ไม่ได้คุยกันซักเท่าไหร่เพราะแขกเยอะเหลือกิน” มิเชลว่าด้วยน้ำเสียงน้อยใจอยู่ในที
“มิเชลก็อย่าไปถือสาเลย รู้จักกันมาตั้งนานน่าจะรู้ว่าอาร์ตี้น่ะพูดจาไม่ค่อยเข้าหูคนซักเท่าไหร่” คุณปู่การันก้าว่าให้หลานชายเพราะยังหมั่นไส้กับเรื่องที่เขาทำกับพยาบาลสาวอยู่ “แค่ได้ยินว่ายังคิดถึงกันอยู่ก็ดีใจแล้ว เสียเวลามาถึงที่นี่ด้วยตัวเองก็ทั้งดีใจ ทั้งเกรงใจเพราะรู้ดีว่ามอร์แกน งานรัดตัว”
“ผมไม่ได้มาเยี่ยมเป็นการส่วนตัวนานแล้วคราวนี้ได้พักสามสี่วันเลยถือโอกาสมาครับ”มอร์แกนวางถุงของกำนัลหลายอย่างลงบนโต๊ะกลางหน้าโซฟาตัวใหญ่
“ขอบคุณมาก คราวหลังไม่ต้องลำบากหรอกนะ” คุณปู่การันก้าตอบตามมารยาท กานโช่ก็เข้ามาหยิบถุงของหลายอย่างออกไปอย่างรู้งาน ส่วนอเตต้าร์นั้นเบือนหน้าหนีจากวงสนทนาเพราะระอาใจนักที่สองพ่อลูกตระกูลนอร์ท มักแสแสร้งใส่หน้ากากเข้าหาทุกครั้งที่เจอกัน “งั้นวันนี้อยู่ทานอาหารเย็นซะด้วยกันเลยนะ ฉันให้พ่อบ้านเตรียมไว้ให้แล้ว”
“แหม... หวังว่าอาร์ตี้คงไม่ขัดข้องหรอกนะคะ” มิเชลเอ่ยขึ้นพลางมองร่างสูงใหญ่ผุดลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินไปกดปุ่มบังคับรถเข็นคุณปู่การันก้า เพื่อจะไปยังห้องอาหาร
“ไม่หรอกครับ ทานหลายคนคงสนุกพิลึก” หนุ่มมาดเถื่อนว่า พลางเดินนำสองพ่อลูกออกจากห้องรับแขกเลยไม่มีโอกาสได้เห็นสายตาของพ่อลูกตระกูลนอร์ทที่หันมาประสานสายตากันราวกับว่าแผนการสำเร็จไปอีกขั้นแล้ว
ในห้องอาหารมนตร์ลดาและกานโช่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อทั้งหมดทยอยเดินเข้ามานั่งบนโต๊ะที่จัดอาหารไว้หลายอย่าง มนตร์ลดาจัดการส่งยาก่อนอาหารให้คุณปู่การันก้า และกำลังจะเดินออกจากห้องอาหารเมื่อทำหน้าที่ของตนเองเรียบร้อยแล้ว
“อ้าว... แม่หนูมิ้นต์จะไปไหน ทำไมไม่มาทานอาหารด้วยกัน” คุณปู่การันก้าเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นพยาบาลคู่ใจมีท่าทีว่าจะไม่ร่วมโต๊ะอาหาร
“อะ... เอ่อ คือหนูจะไปทานกับไมนาสน่ะค่ะ” มนตร์ลดาตอบอย่างเกรงใจ เพราะวันนี้เจ้านายของตนมีแขกมาร่วมโต๊ะอาหารด้วย คงไม่เป็นการสมควรนักหากเธอจะนั่งเสนอหน้าอยู่บนโต๊ะอาหารอย่างทุกวัน
คำตอบของมนตร์ลดาทำให้อเตต้าร์บดกรามตัวเองแน่น มันจะอะไรกันนักหนาว่ะ!! ทำไมรอบกายเธอถึงได้มีแต่ผู้ชายทั้งนั้น มันน่าโมโหจริงๆ “มานั่งกินด้วยกันก็ได้ ไม่เห็นหรือไงว่ากานโช่จัดอาหารไว้ให้คุณด้วย” อเตต้าร์กระแทกเสียงบอก
“นั่นสิ... มาๆ มานั่งด้วยกัน คนกันเองทั้งนั้นไม่เห็นต้องเกรงใจเลย” คุณปู่การันก้าว่า
“เชิญครับมิส... เรารู้จักกันแล้วนี่ครับ” มอร์แกนรบเร้าอีกคน ชายวัยหกสิบปีเต็มหากแต่ยังคงรักษารูปร่างท่าทางได้ราวกับหนุ่มใหญ่วัยห้าสิบต้นๆ จดจำใบหน้างดงามกระจ่างตาของพยาบาลสาวได้เป็นอย่างดี
มนตร์ลดาหันมามองหน้ากับกานโช่ที่ยืนอยู่ข้างๆโต๊ะอาหารแล้วจำต้องเดินกลับมาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ อเตต้าร์ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะยังเหลืออาหารที่จัดเตรียมไว้อยู่ตรงนั้นเพียงแค่ที่เดียว
“คุณมิ้นต์อายุเท่าไหร่แล้วครับ?” มอร์แกนเปิดฉากถามขึ้นทันทีที่พยาบาลสาวนั่งลง “อย่าคิดมากนะครับ ตอนแรกที่ได้พบคุณก็นึกว่าคุณเพิ่งเรียนจบมาใหม่ๆเสียอีก ก็เลยอยากรู้เท่านั้น”
มนตร์ลดายิ้มน้อยๆพลางลอบถอนหายใจเพราะร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างๆนี่ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้จนเกินเหตุจนต้นแขนแกร่งเกือบชนกับหัวไหล่ของตนเองแล้ว “ดิฉันอายุยี่สิบสามปีเต็มแล้วค่ะ”
“แม่หนูมิ้นต์เขาหน้าเด็ก ตอนแรกที่ฉันเห็นก็คิดว่าคงจะเหยาะแหยะไม่สู้งานแต่ความจริงแล้วทำงานเก่งมาก ดูแลฉันดีกว่าหลายคนที่ผ่านมา” การันก้ากล่าวเสริม พลางลงมือรับประทานอาหารไปด้วย
“รู้สึกว่าหนุ่มๆจะหลงเสน่ห์คุณพยาบาลกันทั้งนั้นเลยนะคะ หลังจากได้เจอกันในงานเลี้ยงคราวที่แล้วคุณพ่อชมว่าคุณพยาบาลสวยไม่ขาดปากเลยค่ะ มิเชลเพิ่งเข้าใจว่าเดี๋ยวนี้หนุ่มๆคงเปลี่ยนสเป็กไปชอบสาวเอเชียร่างเล็กกันหมดแล้ว” สาวผมบรอนด์ทรงโตอย่างมิเชลพูดเพราะรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาทันที “ไม่แปลกใจเลยล่ะค่ะ ทำไมคุณพ่อถึงได้รบเร้าจะมาที่นี่นัก!”
“อ้าว... ลูกคนนี้ทำไมพูดขายหน้าพ่อตัวเองอย่างนั้น” คำพูดของมอร์แกนทำให้ทุกคนบนโต๊ะอาหารหัวเราะออกมาได้ยกเว้นอเตต้าร์ที่โกรธจนควันแทบออกหู แต่ก็ยังนิ่งเงียบฟังคำพูดของมอร์แกนต่อไป “ความจริงแล้วมาคราวนี้ได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้หลายอย่างครับ และมีอีกอย่างที่ต้องมาขออนุญาตอาร์ตี้ด้วยตัวเอง”
“ว่ามาเถอะครับ... ผมรอฟังอยู่” อเตต้าร์พูดอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าสองพ่อลูกตระกูลนอร์ท จะต้องมีเรื่องรบกวนแน่
“คืออาจะทำโฆษณาตัวใหม่ของ นอร์ทซุปเปอร์มาร์เก็ต เราวางโครงการปรับปรุงจนเกือบเสร็จทุกสาขาแล้ว จุดเด่นของนอร์ทซุปเปอร์มาเก็ตโฉมใหม่นี้ไฮไลท์อยู่ที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่มแอลกอฮอร์ที่รวบรวมเครื่องดื่มทุกชนิดที่ผู้คนนิยมไว้อยู่มากที่สุด หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้นไวน์ของเซฮา เดอ ชาโต ที่เราเป็นดีลเลอร์4รายใหญ่มาช้านาน อาก็เลยอยากจะขอถ่ายทำโฆษณาในโรงบ่มไวน์ย้ำให้ลูกค้าได้เห็นว่าเรายังเป็นดีลเลอร์รายใหญ่อยู่เหมือนเดิม”
อเตต้าร์และคุณปู่การันก้าสบสายตากันแวบหนึ่ง หลังจากได้ยินคำร้องขอของมอร์แกน นอร์ท
“ต้องยอมรับว่าทางเราได้รับผลกระทบอยู่ไม่น้อยในเรื่องที่อาร์ตี้เพิ่มดีลเลอร์ในการจัดจำหน่ายไวน์เซฮา เดอ ชาโต ขึ้นแต่ละทวีป รายได้ก็ลดลงอยู่มากโขประกอบกับอาได้ปรับปรุงนอร์ทซุปเปอร์มาเก็ตใหม่ก็เลยถือโอกาสโฆษณาตรงนี้ก่อนใครๆ หวังว่าคุณท่านกับอาร์ตี้คงเห็นแก่ความสัมพันธ์อันดีต่อกันที่มีมายาวนานอนุญาตให้อาได้ตามที่ขอ”
“เรื่องที่ผมเพิ่มดีลเลอร์ขึ้นมาแต่ละทวีปนั้นก็เป็นเพราะอยากลดราคาของไวน์แต่ละขวดให้น้อยลงกว่าที่เป็นอยู่ ที่ผ่านมานั้นกว่าที่ไวน์แต่ละขวดจะถึงมือลูกค้าจริงๆก็ต้องผ่านพ่อค้าคนกลางอยู่หลายทอด มันถึงทำให้ไวน์ราคาสูงอยู่แล้วเพิ่มมากขึ้นไปอีกหวังว่าอามอร์แกนคงเข้าใจ” อเตต้าร์อธิบายอย่างใจเย็น
“เรื่องนั้นอาเข้าใจดี แต่ก็อยากให้อาร์ตี้เข้าใจด้วยว่ามันตัดทอนรายได้ของอาลงไปมาก ซึ่งอาเองก็คงไม่สามารถจะคัดค้านอะไรได้ ก็เลยต้องหาทางโปรโมทธุรกิจของตัวเองบ้าง หวังว่าอาร์ตี้คงจะเห็นใจและไม่ขัดข้องนะ”
อเตต้าร์เงียบไปชั่วขณะ กรรมวิธีทุกขั้นตอนในการผลิตไวน์นั้นมันเป็นความลับสุดยอดที่สืบเนื่องกันมาจากรุ่นสู่รุ่น การที่จะเปิดเผยให้บุคคลภายนอกได้มีโอกาสเห็นหรือล่วงรู้นั้นมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วแต่หากอเตต้าร์ปฏิเสธคำร้องขอของมอร์แกนล่ะก็ ต้องเกิดเรื่องร้ายๆขึ้นอีกเป็นแน่ ซึ่งชายหนุ่มไม่ปราถนาที่จะให้มันเป็นเช่นนั้นเพราะเรื่องไฟไหม้ไร่องุ่นนั้นก็ยังไม่สามารถจับตัวจอมบงการที่แท้จริงมารับโทษได้
“อาเข้าใจดีนะว่ามันเป็นสูตรลับ แต่อาไม่ได้จะเข้าไปละลาบละล้วงพื้นที่ส่วนตัวตรงนั้น อาขอแค่ได้ถ่ายทำบรรยากาศจริงๆในโรงบ่มไวน์ ห้องเก็บไวน์ ให้ผู้บริโภคสัมผัสได้ถึงความพิถีพิถันนั้นจริงๆเท่านั้นเอง” มอร์แกนเข้าใจพูดกดดันให้อเตต้าร์ไม่สามารถปฏิเสธคำร้องขอได้
“เอาล่ะครับ ในเมื่อพูดขนาดนั้นแล้วผมก็คงปฏิเสธไม่ได้ แต่ผมขอดูทุกขั้นตอนของการถ่ายทำแล้วก็ต้องลบภาพนั้นทิ้งทันทีหากว่าภาพที่ถ่ายทำไปนั้น ผมเห็นว่าไม่เป็นการสมควร ถ้ารับเงื่อนไขตรงนี้ได้ผมก็ไม่ขัดข้อง!”
มอร์แกนข่มอารมณ์ฉุนของตัวเองไว้ให้ลึกที่สุด แสร้งสีหน้ายิ้มแย้มออกไปทันที “รับได้อยู่แล้ว แค่อาร์ตี้อนุญาตให้อาได้มีโอกาสเข้าไปชมโรงบ่มไวน์ที่ไม่เคยมีใครได้เห็นมาก่อนก็ถือว่า อาได้กำไรมากกว่าคนอื่นแล้ว”
“แหม... คราวนี้มิเชลรู้ทันทีเลยล่ะค่ะ ว่าทำไมธุรกิจที่อยู่ภายใต้การดูแลของอาร์ตี้ถึงได้มั่นคง แล้วก็มีผลกำไรที่มากกว่าคู่แข่งรายอื่นนัก คุณเคี่ยวมากค่ะที่รัก...” มิเชลพูดทีเล่นทีจริงจนทำให้คุณปู่การันก้า ที่กำลังฟังหลานชายต่อรองเรื่องธุรกิจอยู่ขำออกมาทันที
“เป็นข้อเดียวที่อาร์ตี้มีอยู่ในตัวมากกว่าปู่กับพ่อของมัน” คุณปู่การันก้าพูดติดตลกทำให้มอร์แกนต้องฝืนหัวเราะออกมาด้วย “แม่หนูมิ้นต์ทำไมเงียบนักล่ะ คุยบ้างก็ได้คนกันเองทั้งนั้น”
มนตร์ลดายิ้มอย่างน่ารักให้ผู้สูงวัยพลางรับคำสั้นๆแล้วต้องหันไปมองหน้ามอร์แกน ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม
“คุณมิ้นต์ไปดูการถ่ายทำโฆษณาด้วยกันนะครับ ผมจ้างมืออาชีพทั้งนั้นมาทำงานนี้ ดีไม่ดีพวกช่างภาพเห็นเข้าอาจจะชวนคุณมิ้นต์ไปถ่ายแบบก็ได้ ช่วงนี้เทรนนางแบบเอเชียกำลังมากแรงเชียวนะครับ” มอร์แกนพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกเกินความจำเป็นจนทำให้มนตร์ลดาอึดอัดแต่จำต้องยิ้มอย่างเป็นมิตรให้
“ขอบคุณที่ชวนนะคะ แต่ดิฉันต้องทำงานน่ะค่ะคงไม่ว่างไปด้วยเอาไว้โอกาสหน้านะคะ”
“ดีแล้วล่ะ... ทำงานของตัวเองไปอย่าได้ไปหวังเลยว่าจะมีช่างภาพที่ไหนอยากได้นางแบบตัวเล็กๆเตี้ยๆแบบนี้ คงต้องหากล่องหาลังมาให้ยืนกันวุ่นวาย เป็นพยาบาลนั่นแหละเหมาะสมแล้ว!!” ผู้ชายปากจัดข้างมนตร์ลดาพูดเสียงเข้มออกมาทันที
ตามด้วยเสียงหัวเราะเย้ยหยันของมิเชล เมื่อได้ยินคำพูดถูกใจของอเตต้าร์ ผู้หญิงบุคลิกวัยใสแบบแม่พยาบาลนี่ คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนักต่อให้อยู่กันตามลำพังก็คงไม่อาจปลุกเร้าความปราถนาของผู้ชายร้อนแรงอย่างอเตต้าร์ได้ “คุณก็พูดเกินไปค่ะอาร์ตี้... เดี๋ยวนี้คุณพ่อก็หันมาชอบผู้หญิงตัวกระทัดรัดอย่างคุณพยาบาลค่ะ แต่สำหรับคุณแล้วคงจะชอบแบบที่เปรี้ยวจนเข็ดฟันมากกว่า”
คุณปู่การันก้าหรี่ตามองหลานชายปากมอมด้วยความสะใจ ทำไมจะไม่รู้ว่าในใจหลานชายนั้นรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดของมอร์แกนมากกว่า แต่ปากจัดชอบว่าคนอื่นให้ได้เจ็บช้ำน้ำใจอยู่เรื่อย คงต้องสั่งสอนให้ได้รู้สำนึกหน่อยแล้ว “ไปเถอะแม่หนูมิ้นต์ ปู่ก็เป็นผู้ชายคนนึงที่เพิ่งเปลี่ยนสเปกมาชอบผู้หญิงตัวกระทัดรัด ไปดูว่าเขาถ่ายทำกันยังไงเผื่อมีดวงดารา นางแบบกับเขาบ้าง ฝากแม่หนูมิ้นต์ด้วยแล้วกันมอร์แกน เผื่อว่าความสวยของเธอจะไปเตะตาผู้กำกับบ้างเดี๋ยวงานนี้ฉันจะออกโรงเป็นป๋าดันเอง ฮ่า...”
จบคำพูดของคุณปู่การันก้า ที่ตั้งใจจะยั่วอารมณ์ของหลานชายให้คุกรุ่น เกรี้ยวกราดมากขึ้นและดูเหมือนว่ามันจะได้ผลเพราะ อเตต้าร์เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้จนหัวไล่หัวมนชนกับแขนแข็งแรงของตนราวกับจะกางปีกปกป้องของรักของหวง! แต่ก็ทำอะไรไปไม่ได้มากกว่านี้
หลังอาหารมื้อค่ำที่แต่ละคนก็มีความรู้สึกแตกต่างกันออกไป อเตต้าร์ มอร์แกนและมิเชลแยกตัวออกไปคุยกันในห้องนั่งเล่น ส่วนมนต์ลดานั้นก็พาคุณปู่การันก้าออกมาเดินย่อยอาหารตามปกติแล้ว ครู่ใหญ่จึงพาท่านกลับเข้ามาในห้องนอน จัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมทั้งส่งท่านเข้านอนเรียบร้อยแล้ว จึงกลับเข้ามาพักผ่อนในห้องของตัวเองบ้าง
มนตร์ลดาออกมายืนรับลมในตอนดึกสงัดอยู่ริมระเบียงห้องนอนของตน พร้อมคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น ตั้งแต่มีผู้ชายที่แสนเกลียดอย่างอเตต้าร์ผ่านเข้ามาในชีวิตก็ดูเหมือนว่าจะไม่เรื่องเหนือความคาดหมายหลายอย่างเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพบหน้ากันอีกครั้งในสถานะนายจ้างกับลูกจ้าง การได้มาเจอกับคุณหมอปาโต้ที่คิดว่าจะไม่ต้องเจอกันอีก สิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นความจริงที่สุดก็คือทฤษฏีโลกกลมและการหนีปัญหาไม่ใช่ทางออกของการดำเนินชีวิต!
ครั้งแรกตัดสินใจหนีคุณหมอปาโต้ด้วยการลาออกจากโรงพยาบาล ครั้งที่สองตัดสินใจหนีเหตุการณ์อัปยศด้วยการย้ายมาอยู่ที่นี่แต่ก็ต้องมาพบกับทั้งคู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่าการดำเนินชีวิตต่อจากนี้ การตั้งสติรับมือกับเรื่องที่เกิดขึ้น ใช้สติไตร่ตรองและแก้ไขมันเท่านั้นถึงจะผ่านพ้นมันไปได้และไม่ต้องกลับมาแก้ปัญหานั้นซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนดังที่เป็นอยู่นี้ โชคยังดีที่คุณหมอปาโต้นั้นคิดได้แล้วแต่กับผู้ชายที่สร้างความอดสูใจ มักทำให้ได้เจ็บช้ำน้ำใจอยู่บ่อยๆนี้ต่างหากที่ต้องคิดหาวิธีรับมือกับเขาให้จงได้
ปฏิกิริยาเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของเจ้านายปากมอมที่แสดงออกมานั้น ทำให้ไม่รู้ว่าใจจริงของเขานั้นรู้สึกอย่างไร คำก็เตี้ยสองคำก็ตัวเล็ก คำพูดประชดประชันบนโต๊ะอาหารนั้นมันแสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้งว่าเขาไม่ชอบหน้าเธอเท่าไหร่นัก แต่หลายครั้งที่เขาชอบพูดจาหาเรื่อง ต่อล้อต่อเถียงราวกับว่าสนุกนักหนา คำสั่งห้ามให้เข้าใกล้ผู้ชายคนอื่นนั้นบางครั้งก็ทำให้เผลอคิดไปว่าเขากำลังหึงหวงอยู่!!
คุณพระช่วย!... มีแต่คนรักกันเท่านั้นล่ะถึงจะรู้สึกหึงหวงคนรักของตนเมื่อเข้าไปสนิทสนมกับเพศตรงกันข้ามได้ แล้วเขาก็ประกาศออกมาเสียชัดเจนว่า ผู้หญิงด้อยประสบการณ์อย่างเธอได้ลองครั้งเดียวก็เต็มกลืนแล้วจะมาหึงหวงได้อย่างไรกัน ส่วนเธอก็ต้องท่องให้ขึ้นใจว่าเขาคือผู้ชายป่าเถื่อนที่ย่ำยีศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิงคนหนึ่งจนป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดีให้ขึ้นใจ
อเตต้าร์หมุนตัวกลับหลังจากที่รถยนต์ของสองพ่อลูกตระกูลนอร์ท เคลื่อนตัวออกจากคฤหาสน์แล้ว ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองไปยังระเบียงห้องปีกตะวันออก ก็ได้พบกับร่างอรชนที่จู่ๆก็สะบัดศรีษะตัวเองจนผมเผ้ากระจาย! แล้ววิ่งหายเข้าไปในห้องด้วยความรู้สึกประหลาดใจ เธอทำราวกับว่ากำลังเห็นปีศาจสักตนแล้วต้องวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไปอย่างนั้น
อเตต้าร์ส่ายหน้าดิกราวกับพบเจอเรื่องเหนื่อยใจนักหนาที่ต้องจัดการกันตัวแม่คิตตี้คนงามให้พ้นจากความปราถนาของมอร์แกน แล้วพรุ่งนี้ยังไม่รู้เลยว่าสองพ่อลูกนั่นจะมาไม้ไหนกันแน่ แต่คุณปู่ผู้แสนใจดียังโยนแม่คิตตี้ของเขาลงในมือไอ้แก่ตัณหากลับมอร์แกน เพิ่มความยุ่งยากใจให้เขามากขึ้นไปอีก
ฮึ่ม!!... มันน่านัก รอบตัวเขาก็เต็มไปด้วยศัตรูฝีมือร้ายกาจอยู่แล้ว ตอนนี้ปู่ยังทำตัวเป็นปัญหาให้เขาเสียเอง สงสัยคงต้องหาเวลานั่งคุยกันให้รู้เรื่องเสียที อเตต้าร์คิดพร้อมเดินกลับเข้ามาในคฤหาสน์หลังงามอีกครั้งพร้อมกับจบวันอันยุ่งยากบนเตียงกว้างตามลำพัง ไม่มีสาวๆทรวดทรงดินระเบิดคอยปลอเปลื้องอารมณ์ให้อย่างเคย มันเป็นเช่นนี้ตั้งแต่ได้ลิ้มลองรสชาติของแม่คิตตี้คนงามแล้ว!
ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 พ.ค. 2558, 12:10:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 พ.ค. 2558, 12:10:16 น.
จำนวนการเข้าชม : 1227
<< ตอนที่ 7 100% | ตอนที่ 9 100% >> |