นางบำเรอเลื่อนขั้น
“ฮึ... มีผัวแล้วฉันก็ไม่เกี่ยงถ้าชอบ แล้วฉันก็ชอบผู้หญิงที่มีบุคลิกขัดแย้งในตัวเองเสียด้วยสิ
ดูภายนอกนี่อ่อนหวาน หัวอ่อน
แต่ข้างในแล้วช่ำชองไม่ยอมคน อยู่บนเตียงคงร้อนแรงอย่าบอกใคร”
‘ชยาภา’ แม่บ้านสาวธรรมดาๆ แห่งโรงแรมพิพิธรีโซเทล
อ้างว่าตัวเองนั้นมีสามีแล้วเพื่อป้องกันอันตรายจาก CEO หนุ่ม เจ้าของโรงแรมที่เธอทำงานอยู่
ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว
เธอคือหญิงสาวคนสุดท้ายที่ใครจะคิดว่าอยู่ในลิสต์รายชื่อผู้หญิงที่เขา ‘ต้อง’ นอนด้วย
เมื่อ ‘อัครรัฐ พิพิธณรงค์’ เป็นถึงนักธุรกิจหนุ่มมหาเศรษฐีผู้หล่อเหลาและร่ำรวยระดับหมื่นๆ ล้าน
แถมยังมีผู้หญิงที่มาจากสังคมชั้นสูง ดาราดังๆ นางแบบระดับท็อปรอเข้าคิวที่จะขึ้นเตียงกับเขาอีกทั้งประเทศ
ชยาภารู้จักกิตติศัพท์ของผู้บริหารโรงแรม ผู้เป็นเจ้านายของเธอดี
ว่าไม่มีทางใดที่เพลย์บอยผู้หล่อเหลาอย่างเขาจะมาสนใจแม่บ้านจืดชืดอย่างเธอ...
แต่เมื่ออัครรัฐกลับเป็นฝ่ายเข้ามายื่นข้อเสนอค่ำคืนที่เร่าร้อนให้เธอ แลกกับ ‘เงื่อนไขพิเศษ’ บางอย่าง
ที่แม่บ้านสาวเงินเดือนน้อยอย่างชยาภาไม่อาจปฏิเสธได้
หลังจากนั้นเขาก็จะผลักไสเธอไปเหมือนที่เคยทํากับผู้หญิงคนอื่นๆ
หากทว่าความต้องการของมหาเศรษฐีหนุ่มกลับเปลี่ยนไปเป็น ‘ไม่เพียงพอ’
...และไม่มีวันอิ่มในรสรักจากแม่บ้านสาว
เมื่อเขาค้นพบ ‘ความลับ’ บางอย่างที่เธอจงใจปกปิดมันเอาไว้
และเสน่ห์ของเธอก็ทําให้เพลย์บอยที่ไม่เคยแคร์ผู้หญิงอย่างเขา เป็นบ้า คลุ้มคลั่ง และโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
ยอมแม้กระทั่งเรียกแม่บ้านผู้ตํ่าต้อยอย่างเธอว่า ‘เมียจ๋า’
ให้ตายเถอะ! แม่บ้านสาวผู้อ่อนต่อโลกกำลังจะกลายเป็นหายนะของชีวิตหนุ่มโสดอย่างเขาอย่างนั้นหรือ!
ดูภายนอกนี่อ่อนหวาน หัวอ่อน
แต่ข้างในแล้วช่ำชองไม่ยอมคน อยู่บนเตียงคงร้อนแรงอย่าบอกใคร”
‘ชยาภา’ แม่บ้านสาวธรรมดาๆ แห่งโรงแรมพิพิธรีโซเทล
อ้างว่าตัวเองนั้นมีสามีแล้วเพื่อป้องกันอันตรายจาก CEO หนุ่ม เจ้าของโรงแรมที่เธอทำงานอยู่
ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว
เธอคือหญิงสาวคนสุดท้ายที่ใครจะคิดว่าอยู่ในลิสต์รายชื่อผู้หญิงที่เขา ‘ต้อง’ นอนด้วย
เมื่อ ‘อัครรัฐ พิพิธณรงค์’ เป็นถึงนักธุรกิจหนุ่มมหาเศรษฐีผู้หล่อเหลาและร่ำรวยระดับหมื่นๆ ล้าน
แถมยังมีผู้หญิงที่มาจากสังคมชั้นสูง ดาราดังๆ นางแบบระดับท็อปรอเข้าคิวที่จะขึ้นเตียงกับเขาอีกทั้งประเทศ
ชยาภารู้จักกิตติศัพท์ของผู้บริหารโรงแรม ผู้เป็นเจ้านายของเธอดี
ว่าไม่มีทางใดที่เพลย์บอยผู้หล่อเหลาอย่างเขาจะมาสนใจแม่บ้านจืดชืดอย่างเธอ...
แต่เมื่ออัครรัฐกลับเป็นฝ่ายเข้ามายื่นข้อเสนอค่ำคืนที่เร่าร้อนให้เธอ แลกกับ ‘เงื่อนไขพิเศษ’ บางอย่าง
ที่แม่บ้านสาวเงินเดือนน้อยอย่างชยาภาไม่อาจปฏิเสธได้
หลังจากนั้นเขาก็จะผลักไสเธอไปเหมือนที่เคยทํากับผู้หญิงคนอื่นๆ
หากทว่าความต้องการของมหาเศรษฐีหนุ่มกลับเปลี่ยนไปเป็น ‘ไม่เพียงพอ’
...และไม่มีวันอิ่มในรสรักจากแม่บ้านสาว
เมื่อเขาค้นพบ ‘ความลับ’ บางอย่างที่เธอจงใจปกปิดมันเอาไว้
และเสน่ห์ของเธอก็ทําให้เพลย์บอยที่ไม่เคยแคร์ผู้หญิงอย่างเขา เป็นบ้า คลุ้มคลั่ง และโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
ยอมแม้กระทั่งเรียกแม่บ้านผู้ตํ่าต้อยอย่างเธอว่า ‘เมียจ๋า’
ให้ตายเถอะ! แม่บ้านสาวผู้อ่อนต่อโลกกำลังจะกลายเป็นหายนะของชีวิตหนุ่มโสดอย่างเขาอย่างนั้นหรือ!
Tags: อัครรัฐ - ชยาภา
ตอน: ตอนที่ 2 100%
เพนท์เฮาส์สุดหรู ชั้นสูงสุดของโรงแรมพิพิธ รีโซเทล
“เอ... ก็ไหนว่าอยู่ในห้องนอน แล้วทำไมหาไม่เจอนะ” ชยาภาบ่นพึมพำกับตัวเอง หลังจากที่เข้ามาหาโทรศัพท์ในห้องนอนแล้วไม่พบ หญิงสาวจึงทิ้งตัวนั่งลงบนปลายเตียงใหญ่ด้วยความเหนื่อยอ่อน แอร์เย็นจัดบวกกับความหอมของกลิ่นเปปเปอร์มิ้นต์ทำให้ร่างบอบบางที่ทำงานติดต่อกันมามากกว่าสิบสองชั่วโมงอ่อนล้า มือเรียวบางเอื้อมไปบีบนวดปลีน่องของตนเองพร้อมกับมองไปยังห้องน้ำที่เปิดไฟสีส้มละออตา “หรือว่าจะอยู่ในห้องน้ำนะ!”
ไวเท่าความคิด ชยาภาผุดลุกขึ้นพร้อมเดินเข้าไปในห้องน้ำโดยที่ไม่รู้ตัวว่าบัดนี้เจ้าของเพนท์เฮาส์สุดหรูได้กลับมาแล้ว และกำลังต้องการผู้หญิงสักคนมาบรรเทาความร้อนรุ่ม อึดอัดที่เกิดขึ้นในร่างกาย!!
ทันทีที่เดินเข้ามาในเพนท์เฮาส์ของตนเอง อัครรัฐก็รีบจัดการถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นที่อยู่บนตัวด้วยความร้อนรน ไม่สนใจว่าห้องที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยจะรกรุงรังเพราะตอนนี้เขาต้องการน้ำเย็นจัด หวังว่าความเย็นเฉียบของมันจะช่วยดับคลื่นความร้อนที่เกิดจากยานรกนี้ได้
ชยาภาคลี่ยิ้มอย่างน่ารักอย่างที่ชอบทำอยู่เป็นประจำ เพราะเพียงแค่เดินเข้ามาในห้องน้ำก็เห็นโทรศัพท์เครื่องบางวางอยู่บนเคาน์เตอร์พลางหย่อนอุปกรณ์สื่อสารราคาแพงลงในกระเป๋าเสื้อ ตั้งใจเดินออกจากห้องนี้ในทันที
“กรี๊ดดด... กรี๊ดดด... กรี๊ดดด... ไอ้บ้า! ไอ้ลามก! เข้ามาในนี้ได้ยังไง ออกไปเดี๋ยวนี้นะ!!” ชยาภาแทบสิ้นสติ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆของใครคนหนึ่งเดินไล่หลังเข้ามาในห้องน้ำ และเพียงแค่หันหลังกลับไปมองก็ต้องอ้าปากค้าง ตกตะลึง ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าจะเจอเรื่องแบบนี้ ผู้ชายจิตวิปริตที่ไหนก็ไม่รู้กำลังเปลือยกายแกร่ง ทั้งกึ่งกลางกายยังดูน่าพรั่นพรึงจนทำให้หลุดปากต่อว่าต่อขานออกไปไม่หยุดปาก!
อัครรัฐไม่ได้อับอายเลยแม้แต่น้อยที่มีหญิงสาวใบหน้างดงาม รูปร่างน่าปรารถนากำลังต่อว่าต่อขาน มองตนราวกับเป็นไอ้บ้ากามโรคจิตที่หลุดออกมาจากโรงพยาบาล ให้ตายเถอะ! สาบานได้เลยว่าตอนนี้เขามองเห็นเธออยู่ในสภาพเปลือยเปล่า มีเพียงผ้ากันเปื้อนซึ่งจำได้ว่าเป็นชุดฟอร์มของโรงแรมตัวเองเท่านั้น ปกปิดทรวงอกอวบใหญ่ “โอ... ให้ตายเถอะนางฟ้า เธอตกลงมาจากสวรรค์เพื่อฉันใช่ไหม”
“กรี๊ด... ไอ้บ้า อย่าเข้ามาใกล้ฉันนะ ออกไปเดี๋ยวนี้!” ชยาภาถอยหลังกรู พยายามไม่มองต่ำกว่าแผงอกแกร่งทั้งยังขู่เสียงแข็ง เมื่อเห็นว่าร่างเปลือยเดินเข้ามาหาตนด้วยท่าทีคุกคาม
อัครรัฐสะบัดศีรษะแรงๆราวกับเรียกสติของตัวเองให้กลับคืนมา “เธอ... ไล่ใครนะ?”
“ไล่แก... อุ๊บ! คะ...คุณนั่นแหละ” ชยาภาเริ่มเสียงสั่นเพราะความรู้สึกหลากหลายที่ประดังเข้ามา ทั้งกลัวผู้ชายเปลือยตรงหน้าและกลัวว่าจะถูกเล่นงาน เมื่อปากดีกล้าไปด่าทอเจ้านาย
“นี่มันห้องฉัน เธอกล้าดียังไงถึงได้มาไล่ฉัน อา... โธ่โว้ย! อะไรนักหนาวะ” อัครรัฐครางพร้อมสบถออกมาเมื่อความต้องการในร่างการแล่นขึ้นมาตามสายเลือดเป็นริ้วๆ สองตาจดจ้องริมฝีปากอวบอิ่มสีระเรื่อไม่วางตา ตอนนี้นั้นสายตาเริ่มเห็นว่าผู้หญิงตรงหน้ากำลังถอดผ้ากันเปื้อนออกด้วยลีลายั่วยวนใจ หากแต่ชายหนุ่มรู้ดีว่ามันเป็นเพียงภาพลวงตาที่เกิดขึ้นจากความต้องการอันล้นปรี่ในร่างกายของตัวเองต่างหาก “ออกไปจากห้องนี้ซะ ถ้ายังไม่อยากถูกฉันขย้ำ!”
ชยาภาอ้าปากค้าง อยากจะต่อว่าอย่างใจคิดแต่แววตาหื่นกระหายราวกับไอ้บ้ากามโรคจิต ใบหน้าคร้ามคมแดงก่ำทำให้ตัดสินใจว่าต้องพาตัวเองออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุด แต่เพียงแค่หลับหูหลับตาวิ่งผ่านร่างแกร่งเปลือยเปล่า ก็ต้องกรีดร้องออกมาจนสุดเสียงด้วยความตกใจ เพราะแรงกอดรัดตรงช่วงเอวแล้วกระชากเข้าสู่อ้อมกอดร้อนระอุ “กรี๊ดดด... ปล่อยนะ!”
ความจริงแล้วตั้งใจปล่อยให้เธอได้จากไปเพราะมั่นใจว่าผู้หญิงรูปร่างอ้อนแอ้นเช่นนี้คงไม่สามารถรองรับอารมณ์เสน่หาซึ่งตีรวมกับฤทธิ์ยาปลุกเซ็กซ์ได้เป็นแน่ แต่ความปรารถนาที่คุโชนขึ้นในร่างกายกลับสั่งการให้กอดรัดฟัดเหวี่ยง ระดมจูบเข้าที่ซอกคอ ผิวเนื้อเนียนช่างกระตุ้นเร้าร่างกายมากขึ้น สัดส่วนโค้งเว้าช่างทำให้อยากฝังกายลงในร่างงดงามนี้เหลือเกิน “ออกไป บอกว่าให้ออกไปไกลๆฉัน!”
“ก็ปล่อยฉันสักทีสิ มากอดฉันแน่นอย่างนี้ทำไม!” ชยาภาแทบร้องไห้ทั้งงงงันว่าเพราะเหตุใด เขาจึงทำอะไรที่ขัดแย้งกันเช่นนี้ ปากพร่ำไล่แต่ร่างกาย มือไม้กลับรัดแน่นจนไม่มีทางดิ้นหลุด “ปล่อยนะ อย่าทำอะไรฉันเลยนะคะ...”
น้ำเสียงขอร้องความเมตตาอย่างสั่นเครือ ทำให้สติที่มีอยู่น้อยนิดของอัครรัฐกลับคืนมาบ้าง แต่เขาต้องต่อสู้กับความต้องการที่โจมตีราวกับทะเลคลั่งในร่างกายอย่างยากลำบาก พลางดึงร่างอ้อนแอ้นในอ้อมกอดออกมามองด้วยสายตาที่หญิงสาวไม่มีทางล่วงรู้ความต้องการ และการปล่อยเธอไปในเวลานี้ก็ควรจะมีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างที่ทำให้เขาได้ทุเลาเสน่หาลงได้บ้าง ริมฝีปากบึกบึนก้มลงต่ำอย่างรวดเร็วอย่างที่เธอไม่ทันระวังตัว...
“อื้ม...” ชยาภากรีดร้องอึกอักในโพรงปากร้อนรุ่มซึ่งบดขยี้ลงมาอย่างไม่ปรานี สองมือทุบตีแผงอกแกร่งไปทั่ว หากแต่เจ้าของร่างเปลือยเปล่ากับกอดรัดแน่นยิ่งขึ้น สอดมือเข้าตรึงท้ายทอยแล้วตวัดลิ้นหนาไปทั่วโพรงปาก ดูดดึงเอาลิ้นนุ่มไว้ราวกับกลัวว่าเธอจะเลือนหายไปในอากาศ
อัครรัฐไล้มืออีกข้างซึ่งกอดรัดช่วงเอวคอดไปฟอนเฟ้นบั้นท้ายงอนงามอย่างซ่านใจ ความเต่งตึงทว่านุ่มนิ่มของผิวเนื้อนวลช่างหลอกล่อให้เขาหลงใหลอยู่กับริมฝีปากหวานฉ่ำนี้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอช่างให้ความรู้สึกหวานล้ำยิ่งนักแต่ทว่าหยดน้ำร้อนๆที่ไหลออกมาจากดวงตาคู่หวาน กลับทำให้อัครรัฐถอนจูบ ผละออกจากเธออย่างกะทันหัน “ออกไปให้พ้น! คนอย่างฉันไม่เคยขาดแคลนผู้หญิงจนต้องหน้ามืดขืนใจเธอหรอก”
เมื่อเป็นอิสระชยาภาก็รีบถอยห่างร่างเปลือยเปล่าทันที กลัวจนลนลานก้าวเดินอย่างคนอ่อนแรง สั่งตัวเองให้รีบออกห่างจากผู้ชายอันตรายคนนี้โดยเร็ว หากแต่เพียงวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงสบถราวกับคนกำลังเจ็บปวดเจียนตาย
“อา... ระยำเอ๊ย! สาบานว่าฉันไม่ปล่อยเธอไปแน่ โอ... ฉันต้องผ่านมันไปให้ได้!” อัครรัฐบอกตัวเองพลางเดินอย่างคนเจ็บปวดเนื้อตัว หย่อนขาลงไปในอ่างจากุชชี่ซึ่งมีน้ำไหลวนอยู่เกือบเต็มอ่างแต่ต้องกระตุกขากลับ “บ้าเอ๊ย! ใครใช้ให้มาเปิดน้ำอุ่นวะ”
ชยาภาซึ่งแอบมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ตรงประตู สังเกตได้ถึงความแปลกประหลาดและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในตัวเจ้านายหนุ่ม ดูเขาเจ็บปวดผิดปกติซึ่งแตกต่างจากคนบ้ากาม หน้ามืดอย่างไม่มีสติ แต่จะให้กลับไปสอบถามเขาว่าต้องการความช่วยเหลือบ้างรึเปล่าล่ะก็... เธอไม่ทำแน่ๆ การรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ให้กับลาวัลย์ได้รับทราบ อาจจะช่วยเหลือเขาให้ดีขึ้นบ้างก็ได้
ไม่กี่นาทีต่อมา... ชยาภาก็รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นกับท่านรองประธานให้ลาวัลย์ หัวหน้าแผนกแม่บ้านได้รับรู้ พร้อมได้รับอนุญาตให้เลิกงานได้ หญิงสาวจึงเดินออกจากโรงแรมหรูในใจอดคิดไม่ได้ว่าเขาต้องถูกวางยาเป็นแน่ และคงจะไม่ลำบากเท่าไหร่นักเพราะลาวัลย์คงไม่ปล่อยให้เจ้านายต้องเผชิญกับความยากลำบากเพียงลำพัง มือเรียวบางยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างไม่รู้ตัว เผลอคิดถึงสัมผัสวาบหวามที่เพิ่งได้เรียนรู้เป็นครั้งแรกและไม่อาจเปิดเผยให้ใครได้ล่วงรู้ ว่าแท้จริงแล้วตนก็เผลอไผลไปกับความวาบหวาม รัญจวนใจนั้นเช่นกัน
“ชมพู่... ทางนี้”
เสียงห้าวที่ดังขึ้นทำลายภวังค์ความคิดของหญิงสาวให้กลับเข้ามาอยู่ในโลกของความจริง พร้อมกับรอยยิ้มของผู้ชายแสนดี กิริยาสุภาพยืนโบกมือเมื่อเห็นร่างคุ้นตาเดินใกล้เข้ามา
“รอนานไหมคะ” ชยาภาอมยิ้มเมื่อได้รับคำตอบเป็นการส่ายหน้าเร็วพร้อมยืนขึ้นเต็มความสูง ออกเดินไปยังสถานีรถไฟฟ้าเพื่อเดินทางกลับบ้าน “ความจริงไม่ต้องรอชมพู่ก็ได้นะคะ กลับบ้านไปแล้วยังต้องออกมาอีกครั้งเสียเวลาพักผ่อนไปตั้งหลายชั่วโมง”
“มันอันตรายนะ ผู้หญิงกลับบ้านดึกๆดื่นๆคนเดียว เดี๋ยวพี่จะลองพูดกับหัวหน้าให้ว่าขอให้ชมพู่ทำงานกะเช้าได้ไหมหรือว่าทำงานในฝ่ายออฟฟิศจะดีกว่า” รวิ ซึ่งทำงานอยู่ฝ่ายบุคคลบอกอย่างเป็นกังวล
“จะห่วงอะไรนักหนาคะ ใครๆเขาก็ทำกัน แล้วก็อย่าไปขอหัวหน้าอย่างนั้นเชียวเดี๋ยวคนอื่นจะมองไม่ดี อีกอย่างจากโรงแรมถึงบ้านก็ไม่เปลี่ยว ไม่น่ากลัวด้วย” ชยาภาบอกในระหว่างที่ยืนรอขบวนรถไฟฟ้า
“ดูจะชอบมากกว่างานเดิมอีกนะเนี่ย” รวิถาม ความจริงแล้วดีใจเป็นอย่างมากที่รู้ว่าแฟนสาวได้รับเลือกให้เป็นพนักงานบริการดีเด่น แต่การกลับบ้านดึกดื่นเช่นนี้มันก็ทำให้เขานอนไม่หลับเพราะความเป็นห่วงเช่นกัน
“ก็ไม่เลวนะคะ ความจริงชมพู่เก็บเงินได้มากกว่างานประจำที่เคยทำซะอีก ถ้าได้อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆก็คงดี ระหว่างที่ส้มโอกับองุ่นเพิ่งเรียนจบ หางานทำยังไม่ได้ ชมพู่ก็จะได้ทำงานเป็นหลักต่อไป ไม่อยากไปเร่งรัดน้องน่ะค่ะ รู้ดีว่างานสมัยนี้มันหายาก งานดีๆมันมีมากกว่าคน งานไม่ดีก็ไม่อยากให้น้องทำ” คนเป็นพี่ที่ต้องรับภาระส่งเสียน้องสาวฝาแฝดจนจบการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยคิดพลางก้าวเข้าไปอยู่ในรถไฟฟ้าพร้อมๆกับแฟนหนุ่ม ซึ่งรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงขยัน นิสัยดี จิตใจดี ต่อให้ห้ามปรามอย่างไรก็คงไม่มีทางเป็นไปได้เพราะเรียกได้ว่า เธอทำงานเพื่อน้องสาวฝาแฝดทั้งสองอย่างที่ไม่เคยเกรงกลัวต่อความเหน็ดเหนื่อย
ชยาภา อำนวยพรหรือชมพู่ หญิงสาววัย 25 ปี พี่สาวคนโตของครอบครัวเล็กซึ่งมีน้องสาวฝาแฝดอีกสองคน เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดของครอบครัวเพราะบิดาและมารดานั้นด่วนจากไปอย่างกะทันหันเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อราวห้าปีที่ผ่านมา ชยาภาจึงต้องทำหน้าที่เป็นเสาหลักของครอบครัวตั้งแต่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยชั้นปีที่สอง หญิงสาวทำงานทุกอย่างโดยไม่เกรงกลัวต่อความเหน็ดเหนื่อย ด้วยเป็นคนที่มีใบหน้างดงาม รูปร่างผิวพรรณผุดผ่องทำให้หลายครั้งหลายครามีเพื่อนนักศึกษาชักชวนให้ทำงานพิเศษ นั่นคือการเป็นบ้านเล็กบ้านน้อยของอาเสี่ยกระเป๋าหนัก หากแต่ความใฝ่ดีและเชื่อมั่นในคำพร่ำสอนของพ่อแม่นั้นเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจให้หญิงสาวรูปร่างอ้อนแอ้น แต่หัวใจกลับแข็งแกร่ง เลือกดำเนินชีวิตอย่างยากลำบากและหวังว่าสักวันเมื่อสำเร็จการศึกษา มีการงานอย่างมั่นคงจะสามารถยืนด้วยตัวเองอย่างภาคภูมิ
ซึ่งสิ่งเหล่านั้นกำลังก่อร่างสร้างตัวให้เห็นเป็นรูปธรรมขึ้นเรื่อยๆ ความมานะ อุตสาหะ ทำให้ชยาภาสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี ทั้งยังสามารถส่งเสียน้องสาวฝาแฝดให้เรียนจบในระดับเดียวกันได้อีกด้วย อีกทั้งตอนนี้ยังมีผู้ชายแสนดีที่คอยให้กำลังใจ คอยเป็นห่วงเป็นใยยืนอยู่เคียงข้างไม่ห่างกาย ทั้งคู่เริ่มพูดคุยถึงอนาคตที่กำลังสร้างขึ้นด้วยกันหลังจากที่หญิงสาวหมดภาระจากน้องสาวฝาแฝดทั้งสองในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ทันทีที่ทั้งคู่สามารถหางานทำที่มั่นคง หารายได้เลี้ยงชีพอย่างสุจริต
ราวหนึ่งชั่วโมงต่อมาสองหนุ่มสาวที่เดินทางมาถึงบ้านเช่าหลังเล็กๆ ซึ่งอยู่สุดซอยที่ไม่เคยมีเรื่องปล้นชิงวิ่งราวให้ได้ขวัญเสียเท่าไหร่นัก แต่รวิก็ไม่เคยไว้ใจกับภัยมืดเหล่านี้เลย ชายหนุ่มจะต้องไปรับแฟนสาวแล้วส่งเธอให้ถึงประตูบ้านทุกวันจึงจะวางใจและวันนี้ก็เป็นเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา
“ขอบคุณนะคะมาส่งถึงหน้าบ้านทุกวันแล้วตัวเองก็ต้องเสียเวลาพักผ่อนไปอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงบ้าน” ชยาภาพูดด้วยน้ำเสียงสดใสทันทีที่เดินมาถึงบ้านเช่าหลังเล็กๆของตน
“ทำไมต้องพูดเหมือนคนเกรงใจกันอย่างนั้น ระหว่างเราต้องมีคำว่าขอบคุณด้วยหรือไง พี่จะนอนหลับไปได้ยังไงถ้าไม่เห็นกับตาว่าชมพู่ถึงบ้านกับตาตัวเอง” รวิพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “อ้อ! ระหว่างที่ชมพู่ทำงานกะดึกอยู่อย่างนี้ พี่ก็คงต้องมาส่งที่บ้านไปเรื่อยๆนั่นแหละ”
“ค่า... ตามใจพี่โต้งก็แล้วกัน ชมพู่รู้ว่าห้ามไปพี่โต้งก็ไม่เชื่อหรอก ไม่ชวนเข้าบ้านนะคะ ดึกมากแล้วพรุ่งนี้ต้องตื่นมาร้อยมาลัยส่งป้าหน้าปากซอยอีก”
“จ้ะ ทำงานหนักก็ทานข้าวเยอะๆด้วยนะ ผอมจนจะปลิวลมอยู่แล้ว” รวิรู้ดีว่าแฟนสาวต้องทำงานหนักและขยันกว่าคนทั่วไปอยู่หลายเท่าเพราะมีภาระใหญ่หลวงต้องรับผิดชอบ วันที่เธอหมดภาระต้องส่งเสียน้องสาวและสามารถทำงานเก็บหอมรอบริบได้นั้นก็เริ่มจะมีความหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน “ไปแล้วนะ บายจ้า...”
ชยาภาอมยิ้มพร้อมโบกมือลาแฟนหนุ่ม “บายค่า... พรุ่งนี้เจอกัน”
“ฮะแฮ่ม!” เสียงกระแอมที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ชยาภาหันขวับเพราะรู้ดีว่ามีคนเสียมารยาทแอบฟังคนอื่นคุยกัน
“แอบฟังคนอื่นคุยกันอีกแล้วนะเราน่ะ” ชยาภาปรามน้องสาวด้วยน้ำเสียงดุอย่างไม่จริงจังนัก
กันตาภาอมยิ้มพลางหมุนตัวเดินตามพี่สาวเข้ามานั่งบนโต๊ะรับประทานอาหารชุดเล็กๆที่ตั้งอยู่หน้าทีวีรุ่นธรรมดา “คนอื่นที่ไหน พี่สาวกับว่าที่พี่เขยคุยกัน อีกอย่างไม่ได้แอบสักหน่อย เสียงคุยกันมันลอยมากระทบหูส้มโอเอง”
ชยาภาถอนหายใจพร้อมส่ายหน้าให้กับความแสนซนของน้องสาวตัวเอง “เมื่อเช้าพี่โอนตังค์ให้เราสองคนแล้ว องุ่นโทรมารึเปล่า?”
“โทรมาแล้ว... องุ่นว่าโทรหาพี่เหมือนกันแต่ไม่รับสาย สงสัยติดงาน ได้ยินองุ่นบอกว่าได้งานพาร์ทไทม์ใหม่แล้ว รายได้ดีอยู่
เหมือนกัน เขาคิดค่าแรงให้เป็นชั่วโมง” กันตาภาหรือส้มโอฝาแฝดคนพี่ของนีราภาหรือองุ่น รายงานพี่สาวคนโต
“แล้วองุ่นได้งานอะไร ถามน้องรึเปล่า?”
กันตาภา ฝาแฝดคนพี่ที่ลืมตาดูโลกก่อนไม่ถึงห้านาทีส่ายหน้าพร้อมยิ้มแหยๆ “ยังไม่ทันได้ถามอะไร องุ่นก็รีบวางสายไปเพราะบอกว่าลูกค้ามาพอดี เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยโทรไปถามอีกทีแล้วกัน”
“ข้อความไปถามไม่ได้เหรอ พี่อยากรู้ว่ามันงานอะไร อันตรายรึเปล่า” ชยาภาถามด้วยความร้อนใจพลางควานหาโทรศัพท์ของตนขึ้นมาเพื่อส่งข้อความถึงน้องสาวคนเล็กที่อยู่ไกลถึงเชียงใหม่
“ส้มโอส่งข้อความไปถามตั้งแต่วางสายแล้ว แต่องุ่นยังไม่อ่านข้อความเลย สงสัยจะปิดเสียงแจ้งเตือนไว้ พรุ่งนี้ค่อยโทรถามใหม่ก็ได้ คงหลับไปแล้วล่ะ ตอนนี้ดึกแล้วด้วย” กันตาภาที่เพิ่งเรียนจบในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของรัฐบาลบอกกับพี่สาว พลางเลื่อนชามบะหมี่ที่ซื้อติดมือเข้ามาจากหน้าปากซอยไว้ตรงหน้าชยาภา “พี่ทานบะหมี่แล้วอาบน้ำเข้านอนเลยนะ พรุ่งนี้ตื่นสายได้เพราะส้มโอจัดการร้อยมาลัยให้เรียบร้อยแล้ว พี่ออกไปทำงานก็เอาไปส่งป้าได้เลย”
ชยาภาเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเพราะปกติกันตาภานั้นเป็นเด็กสาวแก่นเซี้ยว ไม่ค่อยชอบทำงานฝีมือ ยิ่งการร้อยมาลัยขายยิ่งต้องมีความละเอียดให้ดูสวยงามสมราคา “ไหนว่าไม่ชอบไง แล้ววันนี้นึกยังไงถึงร้อยมาลัยได้ตั้งหลายพวง แล้วทำสวยรึเปล่า ไม่ใช่ต้องให้พี่ไปซื้อดอกไม้มาทำใหม่เปลืองตังค์ไปอีกนะ”
“โธ่! ฝีมือส้มโอซะอย่าง รับรองว่าไม่ทำให้ขายหน้า ความจริงก็ทำได้แหละแต่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่” กันตาภาบอกพลางยิ้มอย่างดีใจเมื่อเห็นพี่สาวตั้งหน้าตั้งตารับประทานบะหมี่อย่างเอร็ดอร่อย จึงลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เย็นพร้อมรินน้ำใส่แก้วมาเสิร์ฟให้พี่สาว “ส้มโอว่าเพลาๆลงบ้างก็ได้นะเรื่องทำงานน่ะ ความจริงส้มโอกับองุ่นก็ทำงานเก็บตังค์พอที่จะเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวได้ เห็นพี่ทำงานหนักกลับบ้านดึกดื่นอย่างนี้แล้วพวกเราไม่สบายใจเลย มันอันตรายมากนะ เดี๋ยวนี้พวกโจรปล้นจี้ยิ่งเยอะอยู่ด้วย”
ชยาภาอมยิ้มเมื่อได้ฟังน้องสาวที่มีอายุห่างจากตนสี่ปี แต่กำลังพูดจากเหมือนแม่แก่ เตือนให้ระวังภัยสังคม “จะมาจี้เอาอะไรจากพี่ล่ะ เงินทองนี่ไม่เคยพกติดตัวเกินห้าร้อยบาทหรอกนะ”
“พูดเป็นเล่นไป นี่พวกเราเป็นห่วงพี่จริงๆนะ สวยๆอย่างพี่น่ะ โจรชั่วมันไม่อยากได้เงินหรอกค่า...” กันตาภาลากเสียงยาวอย่างประชดประชัน รู้ดีว่าพี่สาวของตนนั้นแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนพูด
“พี่รู้จักระวังตัวน่า... ความจริงจากนี้ไปพี่อยากให้ส้มโอกับองุ่นตั้งใจหางานดีๆที่มีความมั่นคงมากกว่า ไม่ต้องมากังวลใจกับค่าใช้จ่ายเพราะพี่สามารถส่งเสียให้เราสองคนได้อยู่แล้ว พี่เคยผ่านช่วงนี้มาก่อน มันลำบากใจทั้งจะหางานทั้งจะมาคิดเรื่องค่าใช้จ่าย มันจะทำให้เราไม่มีรสมาธิ ค่อยๆหาไปเรื่อยๆ อย่าไปเร่งรีบมาก ไม่ต้องห่วงพี่ ยังไงเสียพี่สามารถส่งเราได้จนเรียนจบ จะหาเงินส่งเสียต่อไปอีกก็ไม่ได้ลำบากอะไร” ชยาภาบอกอย่างคนที่มีความรับผิดชอบในตัวอยู่เต็มเปี่ยม แต่เมื่อเห็นสีหน้าของน้องสาวซึ่งเป็นกังวลและมีท่าทีว่าไม่เห็นด้วยมากขึ้นจึงเปลี่ยนน้ำเสียงให้จริงจังลงเล็กน้อย “ความจริงพี่ทำงานหนักอีกแค่ไม่กี่เดือนนะ ถ้าเราสองคนได้งานทำพี่ก็จะอยู่บ้านเฉยๆ ให้ส้มโอกับองุ่นเลี้ยงบ้าง”
กันตาภาหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงสดใสเมื่อได้ยินเช่นนั้นพลางมองพี่สาวที่ยกแก้วน้ำสะอาดขึ้นดื่มเมื่อรับประทานบะหมี่จนเกลี้ยงชาม “เลี้ยงน่ะเลี้ยงได้... แต่พี่โต้งคงไม่ยอมเพราะดูท่าอยากอาสาเลี้ยงพี่จนตัวสั่น แล้วถ้ามีตัวเล็กออกมาร้องแงๆคงได้อยู่บ้านจริงๆล่ะค่ะ”
ชยาภาหน้าแดงก่ำเมื่อได้ยินคำพูดของน้องสาวที่พูดไกลไปถึงเด็กตัวน้อยซึ่งตนยังไม่เคยคิดเช่นนั้น “อย่าไปพูดให้ใครได้ยินเชียวนะ เดี๋ยวคนอื่นจะมองเราไม่ดี” จบคำพูดก็ลุกขึ้นพร้อมถือชามบะหมี่เดินเข้าไปในส่วนที่แบ่งเป็นห้องครัวเล็กๆด้วยความเขินอาย
“พูดเรื่องจริงก็ต้องอายด้วย พี่นี่ขี้อายจริงๆ” กันตาภาเดินตามแต่กลับหยุดตรงหน้าประตูห้องนอนของตัวเอง
ชยาภาฟังเสียงเจื้อยแจ้วของน้องสาวที่มักล้อเลียนตัวเองเสมอ นี่ยังดีที่อยู่แค่คนเดียว หากนีราภาฝาแฝดคนน้องอยู่สมทบด้วยแล้วล่ะก็... เธอซึ่งเป็นพี่ใหญ่อย่าหวังว่าจะพูดทันแฝดคู่นี้เชียว “รีบๆเข้านอนได้แล้วส้มโอ พรุ่งนี้ออกสายรถติดแล้วอย่ามาบ่นนะ!”
“เชอะ! ไปก็ได้ แค่นี้ต้องขู่ด้วย” กันตาภาพูดพร้อมยอมกลับเข้าห้องของตนไป เมื่อพี่สาวขู่ด้วยน้ำเสียงเอาจริง
ชยาภาเช็ดมือกับผ้าขี้ริ้วผืนเก่าทว่าดูสะอาดหลังจากลงมือล้างชามบะหมี่ที่เพิ่งรับประทานเรียบร้อยพลางคิดถึงอดีตที่ผ่านมา ซึ่งจะว่าไปแล้วมันก็ไม่ได้สวยหรูอย่างที่ฝันไว้ในช่วงวัยเยาว์เพราะการสูญเสียบิดา มารดาผู้เป็นที่รักไปอย่างไม่มีวันหวนกลับทั้งยังกะทันหันนั้น ทำให้ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งอีกหลายเท่าตัว นับจากต้องทำงานหาค่าใช้จ่ายในส่วนของตนซึ่งยังเรียนอยู่ แล้วยังมีน้องสาวฝาแฝดอีกสองคนที่ต้องดูแล อบรมสั่งสอน ปลอบประโลมให้เหมือนดังเช่นที่ตนได้รับมา
จากวันนั้นมาถึงวันนี้ หญิงสาวภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่สามารถส่งเสียน้องสาวฝาแฝดทั้งสองจนสำเร็จการศึกษา แล้วทั้งคู่ยังรู้จักคิด รู้จักทำงานพาร์ทไทม์หารายได้พิเศษเป็นค่าใช้จ่ายของตัวเอง ไม่ทำตัวออกนอกลู่นอกทางตามสิ่งแวดล้อมอันยั่วยุ เมื่อคิดถึงวันที่น้องสาวทั้งสองสวมชุดพระราชทานปริญญาบัตรนั่นก็ทำให้ความเหน็ดเหนื่อยที่เกิดจากการตรากตรำทำงานหนักนั้นเลือนหายไปจนสิ้น อีกไม่นานอนาคตที่วาดหวังว่าจะสร้างครอบครัวเล็กๆกับผู้ชายที่รักสักคน ซึ่งแน่นนอนว่าคงไม่ได้ร่ำรวย ฟู่ฟ่าบนกองเงินกองทอง หากแต่พรักพร้อมด้วยความรักความอบอุ่นดังเช่นที่ตนเคยได้รับมาตลอดเวลา
ทันใดนั้นภาพของผู้ชายหล่อเหลาเปี่ยมไปด้วยพลังดึงดูดทางเพศซึ่งปล้นจูบแรกของวัยสาวไปอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวก็ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน! ความวาบหวาม รัญจวนใจที่เพิ่งเคยได้สัมผัสลามเลียไปทั่วโพรงปากจนมือเรียวบางต้องยกขึ้นมาสัมผัสแผ่วๆที่ริมฝีปากตัวเองราวกับละเมอ แต่เพีบงแวบเดียวชยาภาก็สะบัดหน้าแรงๆจนผมเผ้ากระจาย เมื่อคิดได้ว่าไปนึกถึงคนที่ไม่ควรพลางส่ายหน้าให้กับความคิดของตัวเองพร้อมเดินเข้าห้องส่วนตัว จัดการอาบน้ำชำระร่างกายแล้วล้มตัวลงนอนหลับสนิทในไม่กี่นาทีต่อมา
“เอ... ก็ไหนว่าอยู่ในห้องนอน แล้วทำไมหาไม่เจอนะ” ชยาภาบ่นพึมพำกับตัวเอง หลังจากที่เข้ามาหาโทรศัพท์ในห้องนอนแล้วไม่พบ หญิงสาวจึงทิ้งตัวนั่งลงบนปลายเตียงใหญ่ด้วยความเหนื่อยอ่อน แอร์เย็นจัดบวกกับความหอมของกลิ่นเปปเปอร์มิ้นต์ทำให้ร่างบอบบางที่ทำงานติดต่อกันมามากกว่าสิบสองชั่วโมงอ่อนล้า มือเรียวบางเอื้อมไปบีบนวดปลีน่องของตนเองพร้อมกับมองไปยังห้องน้ำที่เปิดไฟสีส้มละออตา “หรือว่าจะอยู่ในห้องน้ำนะ!”
ไวเท่าความคิด ชยาภาผุดลุกขึ้นพร้อมเดินเข้าไปในห้องน้ำโดยที่ไม่รู้ตัวว่าบัดนี้เจ้าของเพนท์เฮาส์สุดหรูได้กลับมาแล้ว และกำลังต้องการผู้หญิงสักคนมาบรรเทาความร้อนรุ่ม อึดอัดที่เกิดขึ้นในร่างกาย!!
ทันทีที่เดินเข้ามาในเพนท์เฮาส์ของตนเอง อัครรัฐก็รีบจัดการถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นที่อยู่บนตัวด้วยความร้อนรน ไม่สนใจว่าห้องที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยจะรกรุงรังเพราะตอนนี้เขาต้องการน้ำเย็นจัด หวังว่าความเย็นเฉียบของมันจะช่วยดับคลื่นความร้อนที่เกิดจากยานรกนี้ได้
ชยาภาคลี่ยิ้มอย่างน่ารักอย่างที่ชอบทำอยู่เป็นประจำ เพราะเพียงแค่เดินเข้ามาในห้องน้ำก็เห็นโทรศัพท์เครื่องบางวางอยู่บนเคาน์เตอร์พลางหย่อนอุปกรณ์สื่อสารราคาแพงลงในกระเป๋าเสื้อ ตั้งใจเดินออกจากห้องนี้ในทันที
“กรี๊ดดด... กรี๊ดดด... กรี๊ดดด... ไอ้บ้า! ไอ้ลามก! เข้ามาในนี้ได้ยังไง ออกไปเดี๋ยวนี้นะ!!” ชยาภาแทบสิ้นสติ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆของใครคนหนึ่งเดินไล่หลังเข้ามาในห้องน้ำ และเพียงแค่หันหลังกลับไปมองก็ต้องอ้าปากค้าง ตกตะลึง ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าจะเจอเรื่องแบบนี้ ผู้ชายจิตวิปริตที่ไหนก็ไม่รู้กำลังเปลือยกายแกร่ง ทั้งกึ่งกลางกายยังดูน่าพรั่นพรึงจนทำให้หลุดปากต่อว่าต่อขานออกไปไม่หยุดปาก!
อัครรัฐไม่ได้อับอายเลยแม้แต่น้อยที่มีหญิงสาวใบหน้างดงาม รูปร่างน่าปรารถนากำลังต่อว่าต่อขาน มองตนราวกับเป็นไอ้บ้ากามโรคจิตที่หลุดออกมาจากโรงพยาบาล ให้ตายเถอะ! สาบานได้เลยว่าตอนนี้เขามองเห็นเธออยู่ในสภาพเปลือยเปล่า มีเพียงผ้ากันเปื้อนซึ่งจำได้ว่าเป็นชุดฟอร์มของโรงแรมตัวเองเท่านั้น ปกปิดทรวงอกอวบใหญ่ “โอ... ให้ตายเถอะนางฟ้า เธอตกลงมาจากสวรรค์เพื่อฉันใช่ไหม”
“กรี๊ด... ไอ้บ้า อย่าเข้ามาใกล้ฉันนะ ออกไปเดี๋ยวนี้!” ชยาภาถอยหลังกรู พยายามไม่มองต่ำกว่าแผงอกแกร่งทั้งยังขู่เสียงแข็ง เมื่อเห็นว่าร่างเปลือยเดินเข้ามาหาตนด้วยท่าทีคุกคาม
อัครรัฐสะบัดศีรษะแรงๆราวกับเรียกสติของตัวเองให้กลับคืนมา “เธอ... ไล่ใครนะ?”
“ไล่แก... อุ๊บ! คะ...คุณนั่นแหละ” ชยาภาเริ่มเสียงสั่นเพราะความรู้สึกหลากหลายที่ประดังเข้ามา ทั้งกลัวผู้ชายเปลือยตรงหน้าและกลัวว่าจะถูกเล่นงาน เมื่อปากดีกล้าไปด่าทอเจ้านาย
“นี่มันห้องฉัน เธอกล้าดียังไงถึงได้มาไล่ฉัน อา... โธ่โว้ย! อะไรนักหนาวะ” อัครรัฐครางพร้อมสบถออกมาเมื่อความต้องการในร่างการแล่นขึ้นมาตามสายเลือดเป็นริ้วๆ สองตาจดจ้องริมฝีปากอวบอิ่มสีระเรื่อไม่วางตา ตอนนี้นั้นสายตาเริ่มเห็นว่าผู้หญิงตรงหน้ากำลังถอดผ้ากันเปื้อนออกด้วยลีลายั่วยวนใจ หากแต่ชายหนุ่มรู้ดีว่ามันเป็นเพียงภาพลวงตาที่เกิดขึ้นจากความต้องการอันล้นปรี่ในร่างกายของตัวเองต่างหาก “ออกไปจากห้องนี้ซะ ถ้ายังไม่อยากถูกฉันขย้ำ!”
ชยาภาอ้าปากค้าง อยากจะต่อว่าอย่างใจคิดแต่แววตาหื่นกระหายราวกับไอ้บ้ากามโรคจิต ใบหน้าคร้ามคมแดงก่ำทำให้ตัดสินใจว่าต้องพาตัวเองออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุด แต่เพียงแค่หลับหูหลับตาวิ่งผ่านร่างแกร่งเปลือยเปล่า ก็ต้องกรีดร้องออกมาจนสุดเสียงด้วยความตกใจ เพราะแรงกอดรัดตรงช่วงเอวแล้วกระชากเข้าสู่อ้อมกอดร้อนระอุ “กรี๊ดดด... ปล่อยนะ!”
ความจริงแล้วตั้งใจปล่อยให้เธอได้จากไปเพราะมั่นใจว่าผู้หญิงรูปร่างอ้อนแอ้นเช่นนี้คงไม่สามารถรองรับอารมณ์เสน่หาซึ่งตีรวมกับฤทธิ์ยาปลุกเซ็กซ์ได้เป็นแน่ แต่ความปรารถนาที่คุโชนขึ้นในร่างกายกลับสั่งการให้กอดรัดฟัดเหวี่ยง ระดมจูบเข้าที่ซอกคอ ผิวเนื้อเนียนช่างกระตุ้นเร้าร่างกายมากขึ้น สัดส่วนโค้งเว้าช่างทำให้อยากฝังกายลงในร่างงดงามนี้เหลือเกิน “ออกไป บอกว่าให้ออกไปไกลๆฉัน!”
“ก็ปล่อยฉันสักทีสิ มากอดฉันแน่นอย่างนี้ทำไม!” ชยาภาแทบร้องไห้ทั้งงงงันว่าเพราะเหตุใด เขาจึงทำอะไรที่ขัดแย้งกันเช่นนี้ ปากพร่ำไล่แต่ร่างกาย มือไม้กลับรัดแน่นจนไม่มีทางดิ้นหลุด “ปล่อยนะ อย่าทำอะไรฉันเลยนะคะ...”
น้ำเสียงขอร้องความเมตตาอย่างสั่นเครือ ทำให้สติที่มีอยู่น้อยนิดของอัครรัฐกลับคืนมาบ้าง แต่เขาต้องต่อสู้กับความต้องการที่โจมตีราวกับทะเลคลั่งในร่างกายอย่างยากลำบาก พลางดึงร่างอ้อนแอ้นในอ้อมกอดออกมามองด้วยสายตาที่หญิงสาวไม่มีทางล่วงรู้ความต้องการ และการปล่อยเธอไปในเวลานี้ก็ควรจะมีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างที่ทำให้เขาได้ทุเลาเสน่หาลงได้บ้าง ริมฝีปากบึกบึนก้มลงต่ำอย่างรวดเร็วอย่างที่เธอไม่ทันระวังตัว...
“อื้ม...” ชยาภากรีดร้องอึกอักในโพรงปากร้อนรุ่มซึ่งบดขยี้ลงมาอย่างไม่ปรานี สองมือทุบตีแผงอกแกร่งไปทั่ว หากแต่เจ้าของร่างเปลือยเปล่ากับกอดรัดแน่นยิ่งขึ้น สอดมือเข้าตรึงท้ายทอยแล้วตวัดลิ้นหนาไปทั่วโพรงปาก ดูดดึงเอาลิ้นนุ่มไว้ราวกับกลัวว่าเธอจะเลือนหายไปในอากาศ
อัครรัฐไล้มืออีกข้างซึ่งกอดรัดช่วงเอวคอดไปฟอนเฟ้นบั้นท้ายงอนงามอย่างซ่านใจ ความเต่งตึงทว่านุ่มนิ่มของผิวเนื้อนวลช่างหลอกล่อให้เขาหลงใหลอยู่กับริมฝีปากหวานฉ่ำนี้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอช่างให้ความรู้สึกหวานล้ำยิ่งนักแต่ทว่าหยดน้ำร้อนๆที่ไหลออกมาจากดวงตาคู่หวาน กลับทำให้อัครรัฐถอนจูบ ผละออกจากเธออย่างกะทันหัน “ออกไปให้พ้น! คนอย่างฉันไม่เคยขาดแคลนผู้หญิงจนต้องหน้ามืดขืนใจเธอหรอก”
เมื่อเป็นอิสระชยาภาก็รีบถอยห่างร่างเปลือยเปล่าทันที กลัวจนลนลานก้าวเดินอย่างคนอ่อนแรง สั่งตัวเองให้รีบออกห่างจากผู้ชายอันตรายคนนี้โดยเร็ว หากแต่เพียงวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงสบถราวกับคนกำลังเจ็บปวดเจียนตาย
“อา... ระยำเอ๊ย! สาบานว่าฉันไม่ปล่อยเธอไปแน่ โอ... ฉันต้องผ่านมันไปให้ได้!” อัครรัฐบอกตัวเองพลางเดินอย่างคนเจ็บปวดเนื้อตัว หย่อนขาลงไปในอ่างจากุชชี่ซึ่งมีน้ำไหลวนอยู่เกือบเต็มอ่างแต่ต้องกระตุกขากลับ “บ้าเอ๊ย! ใครใช้ให้มาเปิดน้ำอุ่นวะ”
ชยาภาซึ่งแอบมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ตรงประตู สังเกตได้ถึงความแปลกประหลาดและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในตัวเจ้านายหนุ่ม ดูเขาเจ็บปวดผิดปกติซึ่งแตกต่างจากคนบ้ากาม หน้ามืดอย่างไม่มีสติ แต่จะให้กลับไปสอบถามเขาว่าต้องการความช่วยเหลือบ้างรึเปล่าล่ะก็... เธอไม่ทำแน่ๆ การรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ให้กับลาวัลย์ได้รับทราบ อาจจะช่วยเหลือเขาให้ดีขึ้นบ้างก็ได้
ไม่กี่นาทีต่อมา... ชยาภาก็รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นกับท่านรองประธานให้ลาวัลย์ หัวหน้าแผนกแม่บ้านได้รับรู้ พร้อมได้รับอนุญาตให้เลิกงานได้ หญิงสาวจึงเดินออกจากโรงแรมหรูในใจอดคิดไม่ได้ว่าเขาต้องถูกวางยาเป็นแน่ และคงจะไม่ลำบากเท่าไหร่นักเพราะลาวัลย์คงไม่ปล่อยให้เจ้านายต้องเผชิญกับความยากลำบากเพียงลำพัง มือเรียวบางยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างไม่รู้ตัว เผลอคิดถึงสัมผัสวาบหวามที่เพิ่งได้เรียนรู้เป็นครั้งแรกและไม่อาจเปิดเผยให้ใครได้ล่วงรู้ ว่าแท้จริงแล้วตนก็เผลอไผลไปกับความวาบหวาม รัญจวนใจนั้นเช่นกัน
“ชมพู่... ทางนี้”
เสียงห้าวที่ดังขึ้นทำลายภวังค์ความคิดของหญิงสาวให้กลับเข้ามาอยู่ในโลกของความจริง พร้อมกับรอยยิ้มของผู้ชายแสนดี กิริยาสุภาพยืนโบกมือเมื่อเห็นร่างคุ้นตาเดินใกล้เข้ามา
“รอนานไหมคะ” ชยาภาอมยิ้มเมื่อได้รับคำตอบเป็นการส่ายหน้าเร็วพร้อมยืนขึ้นเต็มความสูง ออกเดินไปยังสถานีรถไฟฟ้าเพื่อเดินทางกลับบ้าน “ความจริงไม่ต้องรอชมพู่ก็ได้นะคะ กลับบ้านไปแล้วยังต้องออกมาอีกครั้งเสียเวลาพักผ่อนไปตั้งหลายชั่วโมง”
“มันอันตรายนะ ผู้หญิงกลับบ้านดึกๆดื่นๆคนเดียว เดี๋ยวพี่จะลองพูดกับหัวหน้าให้ว่าขอให้ชมพู่ทำงานกะเช้าได้ไหมหรือว่าทำงานในฝ่ายออฟฟิศจะดีกว่า” รวิ ซึ่งทำงานอยู่ฝ่ายบุคคลบอกอย่างเป็นกังวล
“จะห่วงอะไรนักหนาคะ ใครๆเขาก็ทำกัน แล้วก็อย่าไปขอหัวหน้าอย่างนั้นเชียวเดี๋ยวคนอื่นจะมองไม่ดี อีกอย่างจากโรงแรมถึงบ้านก็ไม่เปลี่ยว ไม่น่ากลัวด้วย” ชยาภาบอกในระหว่างที่ยืนรอขบวนรถไฟฟ้า
“ดูจะชอบมากกว่างานเดิมอีกนะเนี่ย” รวิถาม ความจริงแล้วดีใจเป็นอย่างมากที่รู้ว่าแฟนสาวได้รับเลือกให้เป็นพนักงานบริการดีเด่น แต่การกลับบ้านดึกดื่นเช่นนี้มันก็ทำให้เขานอนไม่หลับเพราะความเป็นห่วงเช่นกัน
“ก็ไม่เลวนะคะ ความจริงชมพู่เก็บเงินได้มากกว่างานประจำที่เคยทำซะอีก ถ้าได้อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆก็คงดี ระหว่างที่ส้มโอกับองุ่นเพิ่งเรียนจบ หางานทำยังไม่ได้ ชมพู่ก็จะได้ทำงานเป็นหลักต่อไป ไม่อยากไปเร่งรัดน้องน่ะค่ะ รู้ดีว่างานสมัยนี้มันหายาก งานดีๆมันมีมากกว่าคน งานไม่ดีก็ไม่อยากให้น้องทำ” คนเป็นพี่ที่ต้องรับภาระส่งเสียน้องสาวฝาแฝดจนจบการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยคิดพลางก้าวเข้าไปอยู่ในรถไฟฟ้าพร้อมๆกับแฟนหนุ่ม ซึ่งรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงขยัน นิสัยดี จิตใจดี ต่อให้ห้ามปรามอย่างไรก็คงไม่มีทางเป็นไปได้เพราะเรียกได้ว่า เธอทำงานเพื่อน้องสาวฝาแฝดทั้งสองอย่างที่ไม่เคยเกรงกลัวต่อความเหน็ดเหนื่อย
ชยาภา อำนวยพรหรือชมพู่ หญิงสาววัย 25 ปี พี่สาวคนโตของครอบครัวเล็กซึ่งมีน้องสาวฝาแฝดอีกสองคน เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดของครอบครัวเพราะบิดาและมารดานั้นด่วนจากไปอย่างกะทันหันเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อราวห้าปีที่ผ่านมา ชยาภาจึงต้องทำหน้าที่เป็นเสาหลักของครอบครัวตั้งแต่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยชั้นปีที่สอง หญิงสาวทำงานทุกอย่างโดยไม่เกรงกลัวต่อความเหน็ดเหนื่อย ด้วยเป็นคนที่มีใบหน้างดงาม รูปร่างผิวพรรณผุดผ่องทำให้หลายครั้งหลายครามีเพื่อนนักศึกษาชักชวนให้ทำงานพิเศษ นั่นคือการเป็นบ้านเล็กบ้านน้อยของอาเสี่ยกระเป๋าหนัก หากแต่ความใฝ่ดีและเชื่อมั่นในคำพร่ำสอนของพ่อแม่นั้นเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจให้หญิงสาวรูปร่างอ้อนแอ้น แต่หัวใจกลับแข็งแกร่ง เลือกดำเนินชีวิตอย่างยากลำบากและหวังว่าสักวันเมื่อสำเร็จการศึกษา มีการงานอย่างมั่นคงจะสามารถยืนด้วยตัวเองอย่างภาคภูมิ
ซึ่งสิ่งเหล่านั้นกำลังก่อร่างสร้างตัวให้เห็นเป็นรูปธรรมขึ้นเรื่อยๆ ความมานะ อุตสาหะ ทำให้ชยาภาสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี ทั้งยังสามารถส่งเสียน้องสาวฝาแฝดให้เรียนจบในระดับเดียวกันได้อีกด้วย อีกทั้งตอนนี้ยังมีผู้ชายแสนดีที่คอยให้กำลังใจ คอยเป็นห่วงเป็นใยยืนอยู่เคียงข้างไม่ห่างกาย ทั้งคู่เริ่มพูดคุยถึงอนาคตที่กำลังสร้างขึ้นด้วยกันหลังจากที่หญิงสาวหมดภาระจากน้องสาวฝาแฝดทั้งสองในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ทันทีที่ทั้งคู่สามารถหางานทำที่มั่นคง หารายได้เลี้ยงชีพอย่างสุจริต
ราวหนึ่งชั่วโมงต่อมาสองหนุ่มสาวที่เดินทางมาถึงบ้านเช่าหลังเล็กๆ ซึ่งอยู่สุดซอยที่ไม่เคยมีเรื่องปล้นชิงวิ่งราวให้ได้ขวัญเสียเท่าไหร่นัก แต่รวิก็ไม่เคยไว้ใจกับภัยมืดเหล่านี้เลย ชายหนุ่มจะต้องไปรับแฟนสาวแล้วส่งเธอให้ถึงประตูบ้านทุกวันจึงจะวางใจและวันนี้ก็เป็นเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา
“ขอบคุณนะคะมาส่งถึงหน้าบ้านทุกวันแล้วตัวเองก็ต้องเสียเวลาพักผ่อนไปอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงบ้าน” ชยาภาพูดด้วยน้ำเสียงสดใสทันทีที่เดินมาถึงบ้านเช่าหลังเล็กๆของตน
“ทำไมต้องพูดเหมือนคนเกรงใจกันอย่างนั้น ระหว่างเราต้องมีคำว่าขอบคุณด้วยหรือไง พี่จะนอนหลับไปได้ยังไงถ้าไม่เห็นกับตาว่าชมพู่ถึงบ้านกับตาตัวเอง” รวิพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “อ้อ! ระหว่างที่ชมพู่ทำงานกะดึกอยู่อย่างนี้ พี่ก็คงต้องมาส่งที่บ้านไปเรื่อยๆนั่นแหละ”
“ค่า... ตามใจพี่โต้งก็แล้วกัน ชมพู่รู้ว่าห้ามไปพี่โต้งก็ไม่เชื่อหรอก ไม่ชวนเข้าบ้านนะคะ ดึกมากแล้วพรุ่งนี้ต้องตื่นมาร้อยมาลัยส่งป้าหน้าปากซอยอีก”
“จ้ะ ทำงานหนักก็ทานข้าวเยอะๆด้วยนะ ผอมจนจะปลิวลมอยู่แล้ว” รวิรู้ดีว่าแฟนสาวต้องทำงานหนักและขยันกว่าคนทั่วไปอยู่หลายเท่าเพราะมีภาระใหญ่หลวงต้องรับผิดชอบ วันที่เธอหมดภาระต้องส่งเสียน้องสาวและสามารถทำงานเก็บหอมรอบริบได้นั้นก็เริ่มจะมีความหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน “ไปแล้วนะ บายจ้า...”
ชยาภาอมยิ้มพร้อมโบกมือลาแฟนหนุ่ม “บายค่า... พรุ่งนี้เจอกัน”
“ฮะแฮ่ม!” เสียงกระแอมที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ชยาภาหันขวับเพราะรู้ดีว่ามีคนเสียมารยาทแอบฟังคนอื่นคุยกัน
“แอบฟังคนอื่นคุยกันอีกแล้วนะเราน่ะ” ชยาภาปรามน้องสาวด้วยน้ำเสียงดุอย่างไม่จริงจังนัก
กันตาภาอมยิ้มพลางหมุนตัวเดินตามพี่สาวเข้ามานั่งบนโต๊ะรับประทานอาหารชุดเล็กๆที่ตั้งอยู่หน้าทีวีรุ่นธรรมดา “คนอื่นที่ไหน พี่สาวกับว่าที่พี่เขยคุยกัน อีกอย่างไม่ได้แอบสักหน่อย เสียงคุยกันมันลอยมากระทบหูส้มโอเอง”
ชยาภาถอนหายใจพร้อมส่ายหน้าให้กับความแสนซนของน้องสาวตัวเอง “เมื่อเช้าพี่โอนตังค์ให้เราสองคนแล้ว องุ่นโทรมารึเปล่า?”
“โทรมาแล้ว... องุ่นว่าโทรหาพี่เหมือนกันแต่ไม่รับสาย สงสัยติดงาน ได้ยินองุ่นบอกว่าได้งานพาร์ทไทม์ใหม่แล้ว รายได้ดีอยู่
เหมือนกัน เขาคิดค่าแรงให้เป็นชั่วโมง” กันตาภาหรือส้มโอฝาแฝดคนพี่ของนีราภาหรือองุ่น รายงานพี่สาวคนโต
“แล้วองุ่นได้งานอะไร ถามน้องรึเปล่า?”
กันตาภา ฝาแฝดคนพี่ที่ลืมตาดูโลกก่อนไม่ถึงห้านาทีส่ายหน้าพร้อมยิ้มแหยๆ “ยังไม่ทันได้ถามอะไร องุ่นก็รีบวางสายไปเพราะบอกว่าลูกค้ามาพอดี เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยโทรไปถามอีกทีแล้วกัน”
“ข้อความไปถามไม่ได้เหรอ พี่อยากรู้ว่ามันงานอะไร อันตรายรึเปล่า” ชยาภาถามด้วยความร้อนใจพลางควานหาโทรศัพท์ของตนขึ้นมาเพื่อส่งข้อความถึงน้องสาวคนเล็กที่อยู่ไกลถึงเชียงใหม่
“ส้มโอส่งข้อความไปถามตั้งแต่วางสายแล้ว แต่องุ่นยังไม่อ่านข้อความเลย สงสัยจะปิดเสียงแจ้งเตือนไว้ พรุ่งนี้ค่อยโทรถามใหม่ก็ได้ คงหลับไปแล้วล่ะ ตอนนี้ดึกแล้วด้วย” กันตาภาที่เพิ่งเรียนจบในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของรัฐบาลบอกกับพี่สาว พลางเลื่อนชามบะหมี่ที่ซื้อติดมือเข้ามาจากหน้าปากซอยไว้ตรงหน้าชยาภา “พี่ทานบะหมี่แล้วอาบน้ำเข้านอนเลยนะ พรุ่งนี้ตื่นสายได้เพราะส้มโอจัดการร้อยมาลัยให้เรียบร้อยแล้ว พี่ออกไปทำงานก็เอาไปส่งป้าได้เลย”
ชยาภาเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเพราะปกติกันตาภานั้นเป็นเด็กสาวแก่นเซี้ยว ไม่ค่อยชอบทำงานฝีมือ ยิ่งการร้อยมาลัยขายยิ่งต้องมีความละเอียดให้ดูสวยงามสมราคา “ไหนว่าไม่ชอบไง แล้ววันนี้นึกยังไงถึงร้อยมาลัยได้ตั้งหลายพวง แล้วทำสวยรึเปล่า ไม่ใช่ต้องให้พี่ไปซื้อดอกไม้มาทำใหม่เปลืองตังค์ไปอีกนะ”
“โธ่! ฝีมือส้มโอซะอย่าง รับรองว่าไม่ทำให้ขายหน้า ความจริงก็ทำได้แหละแต่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่” กันตาภาบอกพลางยิ้มอย่างดีใจเมื่อเห็นพี่สาวตั้งหน้าตั้งตารับประทานบะหมี่อย่างเอร็ดอร่อย จึงลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เย็นพร้อมรินน้ำใส่แก้วมาเสิร์ฟให้พี่สาว “ส้มโอว่าเพลาๆลงบ้างก็ได้นะเรื่องทำงานน่ะ ความจริงส้มโอกับองุ่นก็ทำงานเก็บตังค์พอที่จะเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวได้ เห็นพี่ทำงานหนักกลับบ้านดึกดื่นอย่างนี้แล้วพวกเราไม่สบายใจเลย มันอันตรายมากนะ เดี๋ยวนี้พวกโจรปล้นจี้ยิ่งเยอะอยู่ด้วย”
ชยาภาอมยิ้มเมื่อได้ฟังน้องสาวที่มีอายุห่างจากตนสี่ปี แต่กำลังพูดจากเหมือนแม่แก่ เตือนให้ระวังภัยสังคม “จะมาจี้เอาอะไรจากพี่ล่ะ เงินทองนี่ไม่เคยพกติดตัวเกินห้าร้อยบาทหรอกนะ”
“พูดเป็นเล่นไป นี่พวกเราเป็นห่วงพี่จริงๆนะ สวยๆอย่างพี่น่ะ โจรชั่วมันไม่อยากได้เงินหรอกค่า...” กันตาภาลากเสียงยาวอย่างประชดประชัน รู้ดีว่าพี่สาวของตนนั้นแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนพูด
“พี่รู้จักระวังตัวน่า... ความจริงจากนี้ไปพี่อยากให้ส้มโอกับองุ่นตั้งใจหางานดีๆที่มีความมั่นคงมากกว่า ไม่ต้องมากังวลใจกับค่าใช้จ่ายเพราะพี่สามารถส่งเสียให้เราสองคนได้อยู่แล้ว พี่เคยผ่านช่วงนี้มาก่อน มันลำบากใจทั้งจะหางานทั้งจะมาคิดเรื่องค่าใช้จ่าย มันจะทำให้เราไม่มีรสมาธิ ค่อยๆหาไปเรื่อยๆ อย่าไปเร่งรีบมาก ไม่ต้องห่วงพี่ ยังไงเสียพี่สามารถส่งเราได้จนเรียนจบ จะหาเงินส่งเสียต่อไปอีกก็ไม่ได้ลำบากอะไร” ชยาภาบอกอย่างคนที่มีความรับผิดชอบในตัวอยู่เต็มเปี่ยม แต่เมื่อเห็นสีหน้าของน้องสาวซึ่งเป็นกังวลและมีท่าทีว่าไม่เห็นด้วยมากขึ้นจึงเปลี่ยนน้ำเสียงให้จริงจังลงเล็กน้อย “ความจริงพี่ทำงานหนักอีกแค่ไม่กี่เดือนนะ ถ้าเราสองคนได้งานทำพี่ก็จะอยู่บ้านเฉยๆ ให้ส้มโอกับองุ่นเลี้ยงบ้าง”
กันตาภาหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงสดใสเมื่อได้ยินเช่นนั้นพลางมองพี่สาวที่ยกแก้วน้ำสะอาดขึ้นดื่มเมื่อรับประทานบะหมี่จนเกลี้ยงชาม “เลี้ยงน่ะเลี้ยงได้... แต่พี่โต้งคงไม่ยอมเพราะดูท่าอยากอาสาเลี้ยงพี่จนตัวสั่น แล้วถ้ามีตัวเล็กออกมาร้องแงๆคงได้อยู่บ้านจริงๆล่ะค่ะ”
ชยาภาหน้าแดงก่ำเมื่อได้ยินคำพูดของน้องสาวที่พูดไกลไปถึงเด็กตัวน้อยซึ่งตนยังไม่เคยคิดเช่นนั้น “อย่าไปพูดให้ใครได้ยินเชียวนะ เดี๋ยวคนอื่นจะมองเราไม่ดี” จบคำพูดก็ลุกขึ้นพร้อมถือชามบะหมี่เดินเข้าไปในส่วนที่แบ่งเป็นห้องครัวเล็กๆด้วยความเขินอาย
“พูดเรื่องจริงก็ต้องอายด้วย พี่นี่ขี้อายจริงๆ” กันตาภาเดินตามแต่กลับหยุดตรงหน้าประตูห้องนอนของตัวเอง
ชยาภาฟังเสียงเจื้อยแจ้วของน้องสาวที่มักล้อเลียนตัวเองเสมอ นี่ยังดีที่อยู่แค่คนเดียว หากนีราภาฝาแฝดคนน้องอยู่สมทบด้วยแล้วล่ะก็... เธอซึ่งเป็นพี่ใหญ่อย่าหวังว่าจะพูดทันแฝดคู่นี้เชียว “รีบๆเข้านอนได้แล้วส้มโอ พรุ่งนี้ออกสายรถติดแล้วอย่ามาบ่นนะ!”
“เชอะ! ไปก็ได้ แค่นี้ต้องขู่ด้วย” กันตาภาพูดพร้อมยอมกลับเข้าห้องของตนไป เมื่อพี่สาวขู่ด้วยน้ำเสียงเอาจริง
ชยาภาเช็ดมือกับผ้าขี้ริ้วผืนเก่าทว่าดูสะอาดหลังจากลงมือล้างชามบะหมี่ที่เพิ่งรับประทานเรียบร้อยพลางคิดถึงอดีตที่ผ่านมา ซึ่งจะว่าไปแล้วมันก็ไม่ได้สวยหรูอย่างที่ฝันไว้ในช่วงวัยเยาว์เพราะการสูญเสียบิดา มารดาผู้เป็นที่รักไปอย่างไม่มีวันหวนกลับทั้งยังกะทันหันนั้น ทำให้ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งอีกหลายเท่าตัว นับจากต้องทำงานหาค่าใช้จ่ายในส่วนของตนซึ่งยังเรียนอยู่ แล้วยังมีน้องสาวฝาแฝดอีกสองคนที่ต้องดูแล อบรมสั่งสอน ปลอบประโลมให้เหมือนดังเช่นที่ตนได้รับมา
จากวันนั้นมาถึงวันนี้ หญิงสาวภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่สามารถส่งเสียน้องสาวฝาแฝดทั้งสองจนสำเร็จการศึกษา แล้วทั้งคู่ยังรู้จักคิด รู้จักทำงานพาร์ทไทม์หารายได้พิเศษเป็นค่าใช้จ่ายของตัวเอง ไม่ทำตัวออกนอกลู่นอกทางตามสิ่งแวดล้อมอันยั่วยุ เมื่อคิดถึงวันที่น้องสาวทั้งสองสวมชุดพระราชทานปริญญาบัตรนั่นก็ทำให้ความเหน็ดเหนื่อยที่เกิดจากการตรากตรำทำงานหนักนั้นเลือนหายไปจนสิ้น อีกไม่นานอนาคตที่วาดหวังว่าจะสร้างครอบครัวเล็กๆกับผู้ชายที่รักสักคน ซึ่งแน่นนอนว่าคงไม่ได้ร่ำรวย ฟู่ฟ่าบนกองเงินกองทอง หากแต่พรักพร้อมด้วยความรักความอบอุ่นดังเช่นที่ตนเคยได้รับมาตลอดเวลา
ทันใดนั้นภาพของผู้ชายหล่อเหลาเปี่ยมไปด้วยพลังดึงดูดทางเพศซึ่งปล้นจูบแรกของวัยสาวไปอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวก็ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน! ความวาบหวาม รัญจวนใจที่เพิ่งเคยได้สัมผัสลามเลียไปทั่วโพรงปากจนมือเรียวบางต้องยกขึ้นมาสัมผัสแผ่วๆที่ริมฝีปากตัวเองราวกับละเมอ แต่เพีบงแวบเดียวชยาภาก็สะบัดหน้าแรงๆจนผมเผ้ากระจาย เมื่อคิดได้ว่าไปนึกถึงคนที่ไม่ควรพลางส่ายหน้าให้กับความคิดของตัวเองพร้อมเดินเข้าห้องส่วนตัว จัดการอาบน้ำชำระร่างกายแล้วล้มตัวลงนอนหลับสนิทในไม่กี่นาทีต่อมา
ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 พ.ค. 2558, 20:16:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 พ.ค. 2558, 20:16:11 น.
จำนวนการเข้าชม : 1215
<< ตอนที่ 1 100% | ตอนที่ 3 100% >> |