มลทินปรารถนา
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ‘นีราภา’ พนักงานนวดสาวคนใหม่จากร้านสปา 
คิดว่าเธอคงไม่มีปัญหากับการสัมผัสเนื้อตัวของลูกค้าที่เป็นผู้ชายระหว่างทำงาน
และเธอก็ไม่เคยคิดว่าจะมีใครที่สร้างความตะขิดตะขวงใจให้เธอได้...

จนกระทั่งถึงวันที่ได้พบกับเขา... ‘ทัตเทพ วิชิตเมธา’ 

มหาเศรษฐีรูปหล่อผู้มั่งคั่ง เจ้าของธุรกิจนำเข้าซูเปอร์คาร์แบรนด์หรู ลูกค้าคนสำคัญ 
ผู้นิยมเรียกพนักงานสปาไปบริการถึงคฤหาสน์ของเขา ‘แบบส่วนตัว!’

เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าร่างกายเปลือยเปล่าที่มีผ้าเช็ดตัวปกปิดไว้เพียงผืนเดียวบนเตียง
หญิงสาวก็ต้องมือไม้สั่นกับเรือนร่างที่กำยำ แข็งแกร่ง และเซ็กซี่อย่างสมบูรณ์แบบ
จนเธอถึงกับพลาดท่า ทำสิ่งที่อาจจะต้องเสียใจไปจนชั่วชีวิต

 

ในฐานะของนักธุรกิจมหาเศรษฐีผู้ประสบความสำเร็จ

เขาคิดอยู่เสมอว่าเงินสามารถซื้ออะไรหรือใครก็ได้ในโลกใบนี้

แต่เมื่อเขาปล่อยร่างกายให้ล่องลอยไปกับสัมผัสลูบไล้จากมือของเธอ
เขาก็รู้ทันทีว่าตัวเองจะต้องพบกับปัญหา...

ปัญหาที่มาพร้อมกับทรวดทรงองค์เอวและผิวนุ่มเนียนจนยากจะหักห้าม
ปัญหาที่เขาเต็มใจ ‘กระทำ’ กับเธอทันที เดี๋ยวนี้... โดยไม่สนใจผลใดๆ ที่จะตามมาทั้งสิ้น...

และเมื่อชายหนุ่มล่อลวงเธอ และต้องการให้ ‘มือของเธอ’ ไปนวดเฟ้น ‘ส่วนอื่น’ จนกระทั่งเลยเถิด
มันก็สายเกินไปเสียแล้ว ...เมื่อเขาได้รับรู้ในอีก ‘เก้าเดือน’ ว่า 
‘หมอนวดส่วนตัว’ ของเขากำลังปกปิดความลับที่ทําให้เขาโมโหอย่างถึงที่สุด!

 

“เธอต่างหากที่ต้องจำไว้ว่าอย่าต่อล้อต่อเถียงปลุกอารมณ์ฉันขึ้นมาอีก
หรือว่าที่ดิ้นๆ นี่ชักติดใจอยากเลื่อนชั้นจากอนุบาลมาเป็นประถม ฮึ?... แม่สาวไม่ประสา” 

ทัตเทพตอกกลับสาวน้อยอย่างยั่วอารมณ์ 

“เอ๊ะ! ความจริงเธออยู่ประถมแล้วนี่นะ เมื่อตอนที่เธอเคลื่อนไหวอยู่บนตัวฉันน่ะ
เธอหัวไวจนฉันให้สอบผ่านด้วยคะแนนเต็มร้อยเชียวล่ะทูนหัว”
Tags: ทัตเทพ - นีราภา

ตอน: ตอนที่ 1 100%

เชียงใหม่...

เช้าตรู่วันทำงานแรกของสัปดาห์ บัณฑิตสาวจากคณะบัญชี มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของจังหวัด ที่เพิ่งจบการศึกษาได้หนึ่งเดือนเต็มรีบอาบน้ำแต่งตัว มือเรียวบางหยิบแฟ้มเอกสารซึ่งประกอบด้วยประวัติส่วนตัวและผลการเรียนเพื่อใช้เป็นเอกสารในการสมัครงาน

นีราภา อำนวยพรหรือองุ่น เดินออกจากหอพักที่อาศัยมานานเกือบสองปีด้วยความรวดเร็ว สาวน้อยอมยิ้มเมื่อมองเห็นรถแดงแล่นมาแต่ไกล ไม่ต้องเสียเวลารอนานเช่นหลายวันที่ผ่านมา ‘รถแดง’ ก็คือรถกระบะต่อเติมโครงหลังคาด้านหลังเพื่อให้สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ราวสิบคนหรือมากกว่านั้น บางครั้งก็จะเห็นรถแดงนี้รับส่งผู้โดยสารตามแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ โด่งดังหลายแห่งในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งนั่นก็แล้วแต่ว่าผู้ใช้บริการจะตกลงราคากับพนักงานขับรถได้อย่างไร

นีราภาเริ่มใช้ชีวิตอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่เมื่อสี่ปีที่ผ่านมา หลังจากที่สามารถเอ็นทรานซ์เข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย นับจากวันนั้นนีราภาต้องแยกจากพี่สาวอีกสองคนซึ่งอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร และมีโอกาสได้กลับไปพบหน้ากันในช่วงเวลาปิดภาคเรียนไม่ถึงสัปดาห์เพราะสาวน้อยต้องกลับมาทำงานพาร์ทไทม์เพื่อหารายได้แบ่งเบาภาระจากพี่สาวคนโต ซึ่งรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในบ้าน

มือบางของนีราภาควานหาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าจากโปรแกรมโซเซียลเน็ตเวิร์ก ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันและเธอเองก็ใช้มันเป็นเครื่องมือสื่อสารกับพี่สาวอีกสองคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครเป็นประจำ

‘เรารู้ว่าวันนี้ตัวออกมาสมัครงานอีก สู้ๆนะ! นี่เราก็ออกมาสมัครงานเหมือนกัน’

‘อือ... สู้ๆเหมือนกันนะ ระวังตัวด้วยล่ะ อย่าให้เกิดเรื่องเหมือนเมื่อวานนี้นะ คนเราเดี๋ยวนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ’ นีราภาพิมพ์ข้อความส่งกลับพี่สาวฝาแฝดที่ลืมตาออกมาดูโลกก่อนตนเพียงเจ็ดนาที เมื่อวานนี้กันตาภา ฝาแฝดคนพี่ไปทำงานพาร์ทไทม์เป็นพริตตี้ให้ค่ายรถยนต์หรูแห่งหนึ่งแต่กลับถูกวางยานอนหลับเพื่อขายให้กับอาเสี่ยกระเป๋าหนัก แต่บังเอิญว่าเพื่อนเจ้านายของพี่สาวคนโตมาช่วยเหลือไว้ได้เสียก่อน ไม่อย่างนั้นคงต้องเกิดเรื่องน่าเศร้าใจขึ้นกับครอบครัวของตนเป็นแน่


นีราภาอมยิ้มกับโทรศัพท์เครื่องบาง คิดถึงพี่สาวทั้งสองคนขึ้นมาจับหัวใจ หากแต่ต้องข่มความคิดถึงไว้ให้ลึกสุดใจเพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือหางานทำให้ได้เป็นหลักเป็นฐาน อย่างน้อยก็ต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้เสียก่อน ‘นี่ส้มโอ เราใกล้จะถึงที่สมัครงานแล้ว เอาไว้เย็นๆจะโทรหานะ แล้วก็ระวังตัวเองให้ดีล่ะ’

ใบหน้างดงามกระจ่างใสเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ สอดส่องสายตาวาววับไปยังสภาพแวดล้อมข้างๆที่รถแดงเคลื่อนที่ผ่านพลางกดกริ่งให้พนักงานขับรถได้จอดที่ป้ายรถประจำทางข้างหน้า โดยที่ไม่ได้สนใจว่า รถแท็กซี่คันข้างหลังที่เคลื่อนตัวตามกันมาติดๆนั้นมีสายตาคมกริบของนักธุรกิจหนุ่มใหญ่ที่กำลังอารมณ์เสียสุดๆ จ้องมองตัวเองอย่างไม่วางตา!

เขาตกตะลึงจนต้องชันตัวขึ้นชะโงกมองข้ามเบาะนั่งคู่หน้าเพื่อเบิ่งตามองผู้หญิงที่นั่งอยู่บนรถแดงคันข้างหน้าให้ชัดๆเต็มสองตา
ทัตเทพ วิชิตเมธาหรือเทมส์ นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงวัยสามสิบปีเต็มที่ติดอันดับหนุ่มโสดในฝันของสาวน้อยใหญ่ ยิ่งมองหน้าใบหน้าของเธอได้ชัดเจนขึ้นเมื่อเธอกำลังลงจากรถแดงแล้วเดินอ้อมไปจ่ายค่าโดยสารกับพนักงานขับรถ!

โอ! ทำไมเธอถึงได้มีใบหน้าละม้ายคล้ายกับสาวน้อยที่ถูกจัดฉากขึ้นมาด้วยสาเหตุบางประการนักนะ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง ผิวพรรณก็ดูเหมือนราวกับแกะจากแม่พิมพ์เดียวกัน เอ๊ะ!! หรือว่าจะใช่คนเดียวกัน?

ทัตเทพหรี่ตามองร่างสะโอดสะองค์ที่เดินห่างออกไปและไกลออกไปเรื่อยๆ เมื่อรถแท็กซี่ที่ตนนั่งอยู่เริ่มเคลื่อนตัวถึงได้สะบัดศีรษะ ดึงตัวเองและความคิดออกมาจากแววตาสุกใสนั้น พลันแปลกใจตัวเองว่าทำไมเขาถึงได้หลงวนเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลกลมโตของเธอจนหาทางออกไม่เจอเช่นนี้ มันเป็นอาการเหมือนตอนแตกหนุ่มที่ดันไปสนใจรุ่นพี่ในโรงเรียนหญิงล้วนที่ตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับโรงเรียนชายล้วนของตัวเองไม่ผิดเพี้ยน! หากแต่เสียงกรีดร้องของโทรศัพท์เครื่องบางที่ดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มลืมเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไปชั่วขณะ แล้วกรอกเสียงดุห้วนลงไปตามสาย

“อะ...เอ่อ ผมต้องขอประทานโทษเจ้านายด้วยนะครับ คือว่ารถที่ผมเตรียมไปรับเจ้านายที่สนามบินเกิดยางรั่วกลางทางครับ เราเลยต้องเสียเวลาเปลี่ยนยางอะไหล่อยู่ราวสิบห้านาที แล้วตอนนี้เจ้านายอยู่ที่ไหนครับ ผมมารออยู่ที่จุดนัดพบแล้ว” สาธิตละล่ำละลักรายงานเจ้านายอย่างละเอียดยิบเพราะรู้ดีว่าเจ้านายนั้นเป็นคนตรงต่อเวลาและน่าเกรงขามแค่ไหน

ทัตเทพถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ไม่อยากจะต่อว่าให้สมกับความโมโหที่เกิดขึ้นเพราะเกรงใจคนรอบข้างที่ยังร่วมกันใช้รถสาธารณะนี้ จึงเอ่ยเพียงสั้นๆด้วยน้ำเสียงติดรำคาญใจ “ไปเจอกันที่ออฟฟิศเลยก็แล้วกัน”

นี่ดีนะที่เขานัดลูกค้าไว้ในช่วงบ่าย หากนัดตอนเช้าล่ะก็... มีหวังไปไม่ทันนัดเสียการเสียงาน ที่สำคัญยังเสียคำพูด! ซึ่ง ‘คำพูด’ เป็นสิ่งที่เขายึดถือว่าถ้าพูดได้ก็ต้องทำให้ได้อย่างที่พูด หลักการง่ายๆในหลายๆข้อที่ทัตเทพยึดมั่นถือมั่นตลอดมา ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ได้รับการติดต่อจากนิตยสารหัวนอกฉบับหนึ่งซึ่งตีพิมพ์ในหลายภาษาขอเข้าสัมภาษณ์ในชีวิตส่วนตัวและการดำเนินธุรกิจของเขาที่สามารถทำผลกำไรได้อย่างมหาศาล


ราวสามสิบนาทีต่อมา... รถแท็กซี่คันหนึ่งก็จอดสนิทหน้าตึกสูงระฟ้าซึ่งเป็นที่กล่าวขานในจังหวัดเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันรถแวนคันใหญ่สีดำสนิทก็เลี้ยวเข้ามาจอดหน้าออฟฟิศเช่นกัน สาธิตและคนขันรถต่างพากันอ้าปากค้างมองร่างสูงใหญ่ของเจ้านายที่เดินลงมาจากรถแท็กซี่ ท่านกำลังล้วงกระเป๋าจ่ายค่าโดยสารกับพนักงานขับรถแล้วหมุนตัวกลับเดินตัวตรงอย่างสง่าเข้าไปด้านใน

สาธิตเสียวสันหลังวาบๆกับสายตาคมกริมที่เหลือบมองมายังตน พลางก่นด่าตัวเองในใจว่าคราวนี้คงต้องระเห็ดระเหินออกไปหางานทำใหม่เป็นแน่ ด้วยสาเหตุที่ไปรับเจ้านายที่สนามบินไม่ทันเวลา ซ้ำร้ายท่านยังต้องเดินทางมาจากสนามบินด้วยตัวเอง
“สวัสดีครับคุณทัตเทพ” สาธิตรีบก้าวขาเร็วให้ทันตามร่างของเจ้านาย กล่าวทักทายด้วยความนอบน้อม “อะ...เอ่อ กระเป๋าเดินทางของท่านอยู่ไหนล่ะครับ หรือท่านจะบินกลับกรุงเทพฯเย็นนี้เลยเหรอครับ”

ทัตเทพก้มศีรษะเล็กน้อยรับการทำความเคารพของพนักงานในปกครองที่ต่างลุกขึ้นพร้อมกันด้วยความนอบน้อม จากนั้นจึงหันกลับไปทำงานของตนต่อไป เพียงไม่นานเจ้าของกลุ่มวิชิตยนต์ ซึ่งเป็นเอเย่นนำเข้ารถยนต์สุดหรู แบรนด์ดังระดับโลกก็เดินเข้าห้องทำงานอันกว้างใหญ่ที่เจ้าตัวจะแวะมาใช้ห้องทำงานนี้เพียงเดือนละครั้งเท่านั้น

“กาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลครับ” สาธิตบอกกับเจ้านายเมื่อเลขานุการสาว จัดการเสิร์ฟเครื่องดื่มและเดินออกไปจากห้องเรียบร้อยแล้ว
ทัตเทพยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบของเหลวสีดำสนิททีละน้อยอย่างที่เขาชอบทำ ความหอมกรุ่นและร้อนระอุของกาแฟคั่วสดทำให้อารมณ์แย่ๆที่เกิดขึ้นในช่วงเช้าของวันดีขึ้นภายในเวลาชั่วพริบตา แต่เมื่อความขุ่นมัวในใจเหือดหาย ใบหน้างดงาม อ่อนหวานของสาวน้อยที่เพิ่งพบหน้าเมื่อครู่ก็ทำให้เขาเผลอยิ้มเอ็นดูออกมาโดยไม่รู้ตัว

สาธิตมองใบหน้าอันชื่นมื่นของเจ้านายแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก วันนี้คงเป็นวันที่ท่านอารมณ์ดีสุดๆ ความผิดพลาดที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้นก็น่าที่จะได้รับการอภัยจนไม่ต้องเดือดร้อนไปถึงความมั่นคงของตำแหน่งเก้าอี้ที่นั่งอยู่ “อะ...เอ่อ ท่านจะให้ผมจองตั๋วกลับกรุงเทพในเย็นนี้เลยไหมครับ?”

“ทำไมแกถึงอยากให้ฉันกลับนัก เอาเงินฉันไปหมุนแล้วยังหามาใช้คืนไม่ได้หรือไง?” ทัตเทพถามด้วยสีหน้าเอาเรื่อง
สาธิตตกใจ หน้าซีดเผือดยกไม้ยกมือโบกปฏิเสธเป็นพัลวัน “ปะ...เปล่านะครับท่าน ผมแค่ถามด้วยความหวังดีกลัวว่าเย็นนี้ท่านจะไม่มีเครื่องเดินทางกลับกรุงเทพฯเท่านั้นเองครับ”

ใช่จะไม่รู้ว่าคนอย่างสาธิตนั้นมีความซื่อสัตย์ต่อตนมากแค่ไหน ไม่เช่นนั้นคงไม่ผลักดันจากคนสนิทที่ติดตามมาหลายปีให้ก้าวขึ้นมารับหน้าที่ดูแลโชว์รูมในภาคเหนืออย่างนี้ “แล้วฉันพูดซักคำรึยังวะ ว่าจะกลับวันนี้”

“ก็ผมไม่เห็นว่าคุณทัตเทพเอากระเป๋าเสื้อผ้ามาด้วยนี่ครับ” สาธิตรีบตอบ

“ฉันทิ้งมันไว้ที่สนามบินโน่น หน้าที่ของแกก็คือไปเอากระเป๋ากลับมาให้ฉันให้ได้ แล้วถ้าของในนั้นมันไม่ครบ แกเจ็บตัวแน่ไอ้ธิต!” มันเป็นบทลงโทษเล็กๆน้อยๆที่เขาต้องสั่งสอนให้ลูกน้องได้หลาบจำ

“โธ่! ท่านครับ...”

“หยุด! แกไม่ต้องมาโอดครวญ” ทัตเทพวางแก้วกาแฟลงพร้อมสั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “รถที่พวกแกๆใช้กันอยู่เนี่ย เป็นแบรนด์หรู ทุกสิ่งอย่างที่ประกอบขึ้นมาล้วนแล้วแต่มีมาตรฐานระดับเวิร์ดคลาสทั้งนั้น ฉันไม่ได้ให้แกใช้รถยนต์กลางเก่ากลางใหม่เพราะฉะนั้น หากรถมันเสีย ยางแตก ยางรั่วขึ้นมาก็เพราะคนใช้มันไม่ดูแล ไม่ตรวจเช็กสภาพให้ดีเสียก่อน เพราะงั้นแกเลยต้องไปตามหากระเป๋ามาให้ฉัน”

“แล้วบ่ายนี้ใครจะไปพบคู่ค้ารายใหม่กับท่านล่ะครับ ไหนจะต้องเตรียมเอกสารอีกมากมาย” สาธิตถามอย่างเป็นห่วง

“เลขานุการของแกไง เอามาให้ฉันยืมสักคน” ทัตเทพจัดการปัญหาอย่างง่ายดาย “อ้อ... หาคนที่รู้ทางด้วยก็ดีนะ ฉันจะขับรถไปเอง เดี๋ยวแกให้ใครเตรียมแอสตันมาร์ติน แวนเทจเอสตัวใหม่ไว้ให้ฉันด้วยแล้วกัน”

สาธิตรับคำพร้อมเดินถอยหลังออกไปจากห้องทำงานใหญ่อย่างรวดเร็ว มันไม่แปลกหรอกที่ท่านจะเลือกใช้ เลือกขับซุปเปอร์คาร์หรูๆสักคัน มันเป็นหลักการทำงานง่ายๆข้อหนึ่งที่เรียนรู้มาตั้งแต่เป็นคนสนิทของท่านแล้วว่า การจะขายรถสักคันให้ลูกค้าโดยเฉพาะรถยนต์ที่มีราคาหกหลักขึ้นไปนั้นมันจำเป็นต้องรู้ข้อดี ข้อเสียของรถยนต์แต่ละคันอย่างถ่องแท้ ซึ่งมันจะเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและความมั่นใจให้ลูกค้าได้เป็นอย่างดี และยิ่งเป็นรถยนต์รุ่นใหม่เพิ่งนำเข้ามาเพียงไม่กี่คันอย่างที่ท่านเอ่ยปากมาเมื่อครู่นี้ด้วยแล้ว ท่านยิ่งต้องทดลองด้วยตัวเองเพราะสนนราคาของมันแพงลิบลิ่วเกือบสิบเก้าล้านบาทเลยทีเดียว


บ่ายของวันเดียวกัน... ทัตเทพเดินทางออกจากโชว์รูมสุดหรูของตนพร้อมกับเลขานุการสาวที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อวดคนทั้งออฟฟิศว่าตนจะได้มีโอกาสนั่งซุปเปอร์คาร์สุดหรูแล้วยังได้มีหนุ่มโสดในฝันของสาวๆนับล้านเป็นคนขับเสียด้วย

เสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์สิบหกสูบ พร้อมความแรงถึงเกือบหกร้อยแรงม้าทำให้ซุปเปอร์คาร์สุดหรูคันนี้ขับเคลื่อนบนท้องถนนด้วยความเร็วที่ไม่ค่อยจะทำได้ในกรุงเทพฯนัก เพราะการจราจรติดขัดแตกต่างจากต่างจังหวัดเช่นนี้ แต่ก็ใช่ว่าชายหนุ่มจะบังคับให้ความเร็วนั้นเป็นได้อย่างใจต้องการเพราะเมื่อรถเคลื่อนตัวเข้ามาในบริเวณชุมชนเมืองก็ต้องลดความเร็วลง สายตาคมกริบกวาดมองตามท้องถนนซึ่งพูดได้ว่าเชียงใหม่เป็นจังหวัดใหญ่ทางตอนบนของประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้ารวดเร็ว และตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากกรุงเทพฯสักเท่าใดนัก

ไม่กี่นาทีต่อมาสปอร์ตคาร์สุดหรูสีขาวสะอาดตาก็จอดสนิทหน้าโรงแรมพิพิธรีโซเทล ล้านนา ซึ่งมีอัครรัฐ พิพิธณรงค์เพื่อนสนิทที่สุดของตนเป็นเจ้าของ และในตอนนี้มันคงไม่ได้คิดถึงเรื่องธุรกิจแต่อย่างใดเพราะกำลังปราบพยศผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งตนก็ไม่เคยได้มีโอกาสเห็นหน้าค่าตา แต่รู้ได้ว่าคงต้องสวยบาดจิต ไอ้เพื่อนรักของตนถึงได้วางแผนให้วุ่นวายหลายชั้นเพียงเพื่อต้องการเธอไปครอง

แต่ชายหนุ่มต้องหันกลับไปถามเลขานุการสาวที่นั่งมาด้วยกันอย่างเป็นห่วง เพราะเห็นสีหน้าของเธอไม่ค่อยจะสู้ดีนักทั้งการเดินเหินก็ดูผิดปกติไปมาก

“คุณโอเครึเปล่าอุษณี ทำไมถึงดูหน้าซีดเหมือนคนจะเป็นลมอย่างนั้น”

คนถูกถามยิ้มรับอย่างเนือยๆพลางสูดดมยาด้วยการหายใจเข้าลึกๆ “หัวใจจะวายค่ะ คุณทัตเทพขับรถยังกับพายุ นี่ดีนะคะที่ช่วงกลางวันยังพอมีรถคันอื่นบ้าง ถ้าถนนโล่งๆเหมือนตอนดึกๆ ดิฉันคิดว่าคงสลบไปแล้วค่ะ”

ทัตเทพหัวเราะร่วนอย่างถูกใจ พลางยกมือขึ้นเชิงบอกขอโทษเลขานุการสาว “โทษที ผมแค่อยากลองว่ามันจะสมราคาแค่ไหน”
อุษณียิ้มแหยๆอย่างเข็ดหลาบ ส่ายหน้าดิกไม่ขอก้าวขึ้นรถยนต์ที่มีสมรรถนะสูงเช่นนี้อีกแล้ว หากแต่ต้องเอ่ยคำขอโทษออกไปเมื่อรู้ตัวว่ากำลังต่อว่าใครอยู่ “เอ่อ... ดิฉันขอโทษนะคะที่ว่าท่านอย่างนั้น”

“ไม่เป็นไร... ว่าแต่คุณเอโคนะ หรือต้องให้ผมไปส่งที่โรงพยาบาลก่อนไหม?”

“ไม่เป็นไรแล้วค่ะ ดิฉันว่าเราไปรีบเข้าไปด้านในดีกว่านะคะ” อุษณีบอกพลางผายมือเชิญให้เจ้านายได้เดินเข้าไปในโรงแรมหรู

ห้องอาหาร ในโรงแรมพิพิธรีโซเทล ล้านนา

สองสามีภรรยาท่าทางภูมิฐานรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันทีเมื่อเห็นว่ามีชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เดินใกล้เข้ามายังโต๊ะอาหาร

“สวัสดีครับคุณทัตเทพ” วสันต์ผู้เป็นสามีเอ่ยทักทายก่อนอย่างเกรงใจ “เชิญนั่งครับ เชิญนั่ง... คุณทัตเทพคงไม่ว่าอะไรนะครับ ที่ผมถือวิสาสะพาภรรยาผมมาด้วยโดยที่ไม่ได้บอกกล่าวก่อน”

“ไม่เป็นไรครับ อย่าเกรงใจไปเลย” ทัตเทพบอกพลางผายมือออกเชิญทั้งคู่นั่ง แล้วตนก็นั่งลงเช่นกันโดยอุษณีเลขานุการจำเป็นนั่งลงข้างๆเจ้านาย

“คุณทัตเทพทานมื้อกลางวันมารึยังครับ สั่งอาหารก่อนดีไหมครับ อาหารพื้นเมืองที่โรงแรมนี้อร่อยและโด่งดังมากเลยนะครับ” วสันต์บอกโดยที่ไม่รู้ว่าเจ้าของโรงแรมแห่งนี้คือเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของทัตเทพ

ชายหนุ่มส่ายศีรษะเล็กน้อย อมยิ้มปฏิเสธอย่างสุภาพ “ผมเรียบร้อยมาแล้วครับ คุยเรื่องงานของเราดีกว่า”

วสันต์พยักหน้าพลางรับแฟ้มเอกสารจากภรรยาแล้วเลื่อนไปตรงหน้าชายหนุ่ม “นี่คือรูปรถเทลเลอร์ของผมทั้งหมดซึ่งมีมากกว่ายี่สิบคัน คุณทัตเทพสามารถดูสภาพของรถได้ตามรูปเลยนะครับ”

ทัตเทพดึงแฟ้มเอกสารตรงหน้ามาเปิดดูตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้าย มันคือรถพ่วงหรือที่เรียกกันจนติดปากว่ารถเทลเลอร์ (Trailer) ซึ่งสามารถขนส่งรถยนต์จำนวนหลายคันได้ในคราวเดียว มันเป็นวิธีการขนส่งที่เขาเคยใช้บริการมาอยู่ตลอดเวลา หากแต่ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้เขาจะยกเลิกสัญญาจ้างกับผู้ประกอบการขนส่งรายเก่าเพราะเกิดปัญหาขึ้นมากมายจนทำให้การส่งมองรถยนต์สุดหรูให้ลูกค้าล่าช้า สร้างความไม่พอใจให้ลูกค้าเป็นอย่างมาก

“อืม... สภาพรถเทลเลอร์ก็ดูใหม่ทุกคันนะ แล้วคุณวสันต์พอใจในค่าเช่าบริการที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้รึเปล่า?” ทัตเทพถามพลางปิดแฟ้มเอกสารในมือลง

“พอใจครับ ผมมีอีกเรื่องที่จะเสนอคุณทัตเทพ” วสันต์บอกแล้วรีบพูดต่อทันทีเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้าเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม “ผมมีรถเทลเลอร์อยู่หลายคัน อยากเสนอให้คุณทัตเทพใช้บริการขนส่งของผมทั่วทั้งประเทศแต่เพียงผู้เดียว รับรองว่าผมจะไม่สร้างปัญหาเดิมๆที่เคยพบเจอมา หากคุณทัตเทพไม่เชื่อถือลองสืบถามข้อมูลจากบริษัท... ดูก็ได้นะครับ”

“จริงค่ะ เปลี่ยนขนส่งมาหลายราย แต่พอหันมาใช้บริการของเราก็ไม่คิดจะเปลี่ยนไปไหนอีกเลย” ผู้เป็นภรรยาเอ่ยสำทับ

“ลองร่วมงานกันไปก่อน ผมว่าให้คุณรับผิดชอบจากกรุงเทพมาทางภาคเหนือคือหนึ่งเส้นทาง แล้วอีกเส้นทางคือจากเหนือไปสิบสองปันนานี่ก็มากพอแล้วนะ” ทัตเทพปฏิเสธกลายๆ

“เอาอย่างนี้ดีไหมครับ ถ้าคุณทัตเทพตกลงใจที่จะให้ผมรับผิดชอบทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว ผมจะลดค่าบริการให้อีกสิบเปอร์เซ็นต์” อาเสี่ยกิจการขนส่งรายใหญ่ในภาคเหนือเสนออย่างใจป้ำ!

ทัตเทพหัวเราะร่วนอย่างชอบใจ จนสองสามีภรรยานึกว่าเข้าทางตัวเองเสียแล้วจึงหันไปสบสายตากันอย่างพอใจแต่คำตอบของชายหนุ่มกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิด “ผมดูเหมือนเป็นคนชอบของถูกอย่างนั้นเชียว?”

“โอ๊ะ! ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะคุณทัตเทพอย่าเข้าใจเจตนาของเราสองคนผิด...” นารีรีบเอ่ยหากแต่ไม่ทันชายหนุ่มที่นั่งตรงกันข้ามเสียแล้ว

“จะเห็นได้ว่าค่าขนส่งที่เราตกลงกันไว้ มันมากกว่าปกติอยู่ราวสองถึงสามเปอร์เซ็นต์เพราะผมไม่อยากได้ยินปัญหาว่ารถเสีย น้ำมันแพงหยุดให้บริการเพราะอยากได้ค่าขนส่งเพิ่ม เพราะฉะนั้นเรื่องของถูกกับผมใช้ไม่ได้ผล ที่ผมต้องการคือคุณภาพของงานเพราะเราขายซุปเปอร์คาร์ราคาหลายล้าน ไม่ได้ขายเศษเหล็กยังไม่แปรรูปที่ไม่มีใครต้องการ ส่วนเรื่องให้คุณเป็นคนรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวน่ะ ผลงานข้างหน้าจะเป็นตัวตัดสินเอง ไม่ต้องห่วงครับ” ทัตเทพพูดจาอย่างตรงไปตรงมา ชัดเจน หาได้คลุมเครือจนทำให้สองสามีภรรยาไม่มีข้อเสนอใดๆอีก

แต่วงสนทนาที่กำลังเงียบกริบชั่วขณะก็ต้องหันไปตามเสียงเรียของใครบางคนที่ดังมาแต่ไกล...

“ปะป๊ากับแม่มาทำอะไรที่นี่ ผมหาตั้งนาน... ทำไมถึงทิ้งเงินไว้ให้ผมแค่ห้าพัน เงินแค่นี้จะไปใช้ถึงเย็นได้ยังไง” หนุ่มวัยคะนอง หน้าตี๋ผิวขาวเดินลากรองเท้าแตะเข้ามาในห้องอาหารของโรงแรมหรู!

“ตายแล้วชีวิน ทำไมลูกเสียมารยาทอย่างนี้ ไหว้คุณทัตเทพแล้วออกไปรอแม่ข้างนอก” นารีตวาดลูกชายที่เดินหน้าหงิกเข้ามาหา
“ไม่อ่ะ แม่เอาเงินมาอีกห้าพัน วินจะรีบไปรับหญิง” ชีวินไม่ได้ทำตามคำสั่งแต่กลับพูดไปอีกอย่างจนคนเป็นพ่อต้องหันมาปรามด้วยน้ำเสียงดุดันพลางหันไปขอโทษขอโพยชายหนุ่มที่นั่งมองด้วยสายตาอันยากจะคาดเดาอารมณ์

“ขอโทษคุณทัตเทพด้วยนะครับ เด็กหนุ่มวัยคะนอง อย่าไปถือสาเก็บมาใส่ใจเลยนะครับ” วสันต์บอกหลังจากที่ลูกชายหันมายกมือไหว้ทักทายทัตเทพแล้ว “คุณน่ะ รีบๆจ่ายเงินให้ลูกไป”

ทัตเทพเลิกคิ้วอย่างเหลือเชื่อเมื่อเห็นผู้เป็นแม่ควักเงินธนบัตรสีเทาให้ลูกชาย ‘เออ! อย่างนี้ก็มีด้วย ลูกขอเงินแม่ บอกจะรีบไปรับหญิง แม่ยังรีบควักให้เหมือนจะกลัวลูกไปรับหญิงไม่ทัน เจริญล่ะ! ลูกบังเกิดเกล้า’

“อ้อ... ผมโตจนเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วพ่ออย่าชอบพูดให้คนอื่นเห็นว่าผมเป็นเด็กได้ไหม” พูดจบก็หมุนตัวเดินกลับไปอย่างไม่พอใจเท่าไหร่นัก หากแต่เสียงห้าวห้วนที่ดังขึ้น ก็ชะงักการก้าวเดินของหนุ่มวัยคะนองได้เป็นอย่างดี

“แต่ให้เรียนจบเป็นด็อกเตอร์แต่ถ้ายังแบมือขอเงินพ่อแม่ใช้ก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กประถม” พูดจบทัตเทพก็ลุกขึ้นเต็มความสูง บอกสองสามีภรรยาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ถ้าไม่มีปัญหาอะไร พรุ่งนี้ก็ให้เข้าไปเซ็นสัญญาที่ออฟฟิศได้เลย ส่วนเวลาและก็เอกสารต่างๆเดี๋ยวทางเราแจ้งคุณไปอีกที วันนี้ผมต้องขอตัว”

ทัตเทพเดินผ่านหน้าหนุ่มวัยคะนองออกไปด้วยสายตาเย้ยหยัน ไม่รู้เป็นอะไรถึงได้ไม่ชอบหน้าไอ้เด็กคนนี้เหลือเกิน ยิ่งได้เห็นกิริยาได้ฟังคำพูดแล้วยิ่งอยากจะสั่งสอน ถ้าเป็นน้องเป็นนุ่งจะเฆี่ยนมันให้หลังลาย ดีนะที่น้องชายของเขาไม่มีนิสัยอย่างนี้
ชีวินมองใบหน้าหล่อเหลาของผู้ชายท่าทางโก้หรูที่เดินไกลออกไปอย่างไม่พอใจ พลางคิดในใจว่า อย่าให้มีโอกาสเชียวนะ จะสั่งสอนให้มันรู้ไว้ซะบ้างว่าใหญ่มาจากไหนชีวินไม่สน แต่นี่คือถิ่นของข้าอย่าได้ผยองมาสั่งสอนคนอย่างชีวิน!




ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 มิ.ย. 2558, 20:50:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 มิ.ย. 2558, 20:50:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 1159





   ตอนที่ 2 100% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account