แค้นรักแค้นเสน่หา
“ผมไม่วิปริตเหมารวมทั้งครอบครัวหรอกจ้ะ เอาแค่คุณคนเดียวแต่ไม่ใช่ครั้งเดียว โอเค้?” พูดหน้าตายแล้วแนบฝ่ามือเข้าหา ในขณะที่เจ้าตัวไม่รู้จะปกปิดส่วนไหนของร่างกายที่ถูกเขาคุกคามอย่างหนัก “อีกอย่าง... คุณต้องทรีตร่างกายผมให้หนักกว่านี้สักหน่อย ไม่ใช่เงอะงะ ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ถ้าผมไม่กำไรอย่างน้อยก็เท่าทุนยังดี”

เมื่ออสังหาริมทรัพย์หลายแปลงถูกโกงไปอย่างน่าโมโห มีหรือที่CEO แห่งติโมชุก อินดัสตรี ซึ่งมีผลประกอบการสูงติดอันดับโลกจะยอมถูกลูบคม “ฮาร์คิฟ ติโมชุก” จึงต้องมาทวงคืนจากผู้เป็น “พ่อบุญธรรม” ด้วยตัวเอง

หากรูปร่างน่าปรารถนาและแววตาที่ใช้เชิญชวนเพศตรงข้ามของลูกสาวพ่อบุญธรรม ก็ทำให้เขาอยากสั่งสอนสองพ่อลูกได้ตระหนักว่า... การฉกเอาทรัพย์สินคนอื่นไปเป็นของตนนั้นต้องชดใช้ทั้งต้นและดอกเบี้ยให้ครบถ้วน

“อภินรา” ไม่เคยระแวงใจในดวงตาสีเขียวอมฟ้าแสนเซ็กซี่คู่นั้นเลยสักครั้ง เขามีเสน่ห์ ดึงดูดใจจนทำให้โลกของเธอสั่นสะเทือน เขากำลังใช้เสน่ห์ทางกายล่อลวงให้เธอ “เผลอใจ” และคิดดอกเบี้ยอย่างหฤโหดด้วยการทำให้เธอ “เผลอตัว” แม้จะรู้แก่ใจว่ากำลังใช้หนี้ แต่ดอกเบี้ยแห่งปรารถนาที่เขาทวงจากเธอทุกค่ำคืนก็เริงร้อน วาบหวามน่าหลงใหล

เขากำลังทำสงครามบนเตียงกับลูกหนี้สาว ที่ไม่เคยใจดียอมให้ใครรีเควสได้อย่างเธอ ไม่ว่าจะ... ดับเบิ้ล ทริปเปิ้ลหรือนอนสต็อป เขาก็ไม่เคยเกี่ยงที่จะเก็บหนี้เลยสักวินาทีทั้งยังติดอกติดใจจนคิดแผนการเหนือชั้นเพื่อ “ตลบหลัง” ลูกหนี้สาว ด้วยการ... ทำให้เธออยู่บนเตียงของเขาตลอดไป

“ฉันไม่นิยมความสัมพันธ์แบบ วัน ไนท์ สแตนด์ หรอกค่ะ คุณคงมาหาผิดคนแล้ว”
เขาเงียบและจ้องหน้าเธอชั่วครู่ จากนั้นก็หัวเราะร่วนอย่างชอบใจ “เอลก้าที่รัก... แน่นอนว่าผมคิดกับคุณมากกว่าหนึ่งคืน อันที่จริงผมคิดทุกวินาทีด้วยซ้ำ แต่ถ้าพูดออกไปตรงๆกลัวว่าคุณจะรังเกียจ พานเกลียดขี้หน้าผมน่ะสิ”
อภินราทำตาโต มองค้อนเขาตาเขียวปัด ไม่คิดว่าเขาจะกล้าพูดเปิดเผย ตรงเสียจนกลายเป็นแข็งทื่อเช่นนี้
“คนเหลือทน! คุณพูดมันออกมาแล้วต่างหาก”

Tags: ฮาร์คิฟ - อภินรา

ตอน: บทนำ

พฤษภาคม 2555

อภินราเดินเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ใบหน้างดงามบึ้งตึงเพราะไม่เข้าใจในการกระทำของพ่อและพี่ชาย
การ์ดแต่งงานของอดิรุจ ผู้เป็นพี่ชายถูกแจกจ่ายให้กับผู้คนในวงสังคมที่อยู่ในงานเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ของครอบครัว ใบหน้าสวยเฉี่ยวของจิดาภา ว่าที่เจ้าสาวควงแขนว่าที่เจ้าบ่าวพูดคุยกับคนในงานอย่างยิ้มแย้ม ทั้งยังหยอกล้อกันจนเธอนึกหมั่นไส้ ในใจสงสารวาเรียจนไม่อยากคิดว่า หากวาเรียมาเห็นและได้รับรู้เรื่องนี้แล้วจะเกิดอะไรขึ้น?!

อดิรุจจะแต่งงานกับจิดาภาได้อย่างไร? ในเมื่อระยะเวลาสี่ปีเศษอยู่กินกับวาเรีย อย่างออกหน้าออกตา แม้ว่าจะไม่ได้มีพิธีรีตองถูกต้องตามประเพณีหรือจดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย แต่เด็กชายวัยสี่ขวบก็เป็นพยานรักของทั้งคู่ เป็นโซ่พันธนาการที่พี่ชายของเธอต้องตระหนักว่า หากต้องเลือกเจ้าสาวสักคนผู้หญิงคนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากวาเรีย

หากการ์ดแต่งงานที่มีชื่อของนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีก็ทำให้อภินราเข้าใจได้ว่า การแต่งงานของพี่ชายและลูกสาวของนักการเมืองชื่อดังในครั้งนี้ เป็นเรื่องที่ตระเตรียมไว้เป็นอย่างดี หากไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดพ่อของเธอถึงเห็นดีเห็นงามกับเรื่องนี้
ปัง!

เสียงปิดประตูที่ดังขึ้นทำให้ประมุขของบ้านละสายตาจากเอกสารตรงหน้ามองลูกสาวด้วยสายตาตำหนิอย่างเปิดเผย “ดูเหมือนฉันจะหย่อนการอบรมคุณสมบัติผู้ดีกับลูกสาวไปสินะ”

“ขอโทษค่ะ แต่หนูมีเรื่องร้อนใจ” อภินรารีบกล่าวคำขอโทษ ไม่รีรอที่จะเข้าถามในเรื่องคาใจ “พ่อรู้ไหมคะว่าวันนี้อังเดร ก่อเรื่องใหญ่แล้ว”

“ถ้าเรื่องใหญ่ที่ว่า... หมายถึงการที่พี่ชายแกจะสละโสด มันก็เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าดีใจไม่ใช่แกจะมองฉันด้วยสายตาตำหนิแบบนี้” อานันท์ วรโชติ กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

แววตาที่มองผู้เป็นพ่ออย่างตำหนิ บัดนี้ยังมีความไม่เข้าใจเพิ่มขึ้น

“หนุ่มสาวรักกัน ฉันจะไปขัดขวางอะไรได้” อานันท์ถอนหายใจ มองลูกสาวเพียงคนเดียวอย่างรำคาญ

“แล้วอังเดรจะเอาลูกกับเมียไปไว้ตรงไหนของชีวิต” อภินราถามผู้เป็นพ่อด้วยความรู้สึกย่ำแย่ ไม่คิดมาก่อนว่าจะได้ยินคำตอบง่ายๆ เช่นนี้

วาเรีย หญิงสาวชาวยูเครนซึ่งเป็นภรรยาโดยพฤตินัยของอดิรุจ หรือคนส่วนใหญ่จะเรียกเขาว่าอังเดร ทั้งคู่มีพยานรักวัยสี่ขวบคนหนึ่ง

“ก็อยู่บ้านหลังนี้ต่อไป ฉันก็ไม่ได้คิดจะขับไสไล่ส่งวาเรียไปไหนอยู่แล้ว ยังไงเสียหลังแต่งงาน อังเดรก็คงต้องย้ายไปอยู่บ้านฝ่ายหญิงอยู่แล้ว” อานันท์บอกพลางเปิดเอกสารไปเรื่อยๆ พลางนึกถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้นบนโต๊ะอาหาร

จิดาภาเป็นลูกสาวของนักการเมืองใหญ่ทั้งยังครอบครัวยังเป็นเอเย่นนำเข้าเหล็กรายใหญ่ที่สุดในภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ นามสกุลของจิดาภาเป็นที่รู้จักในแวดวงสังคมชั้นสูง บ่งบอกฐานะและบารมีจนเขาไม่เห็นว่า การที่อดิรุจ ลูกชายเพียงคนเดียวจะตกล่องปล่องชิ้นกับจิดาภาจะมีเรื่องใดเสียหาย ครอบครัวของจิดาภาไม่ได้ติดใจในเรื่องที่อดิรุจมีลูกชายแล้ว มันเป็นเรื่องปกติของผู้ชายทุกยุคทุกสมัยที่พลาดพลั้งจนเกิดลูกนอกสมรส และในปัจจุบันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่จะหมกเม็ดเป็นความลับ

“ทำไมพ่อพูดอย่างนี้ล่ะคะ วาเรียเป็นคนในครอบครัวของเรา เป็นลูกสะใภ้ของพ่อ เป็นแม่ของหลานที่กำลังน่ารักน่าชัง พ่อกับอังเดรไม่ใจร้ายเกินไปหน่อยเหรอคะที่ทำกับวาเรียแบบนี้”

อภินรายังเป็นคนเดียวในบ้านที่เข้าอกเข้าใจวาเรียเสมอ เธอไม่เคยคิดว่าวาเรียเหมาะสมกับหนุ่มเจ้าสำราญอย่างอดิรุจมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ด้วยอายุของวาเรียที่มากกว่าอดิรุจถึงหกปี เมื่อใช้ชีวิตร่วมกันยิ่งทำให้ทั้งสองมีช่องว่างระหว่างวัยมากขึ้น

“แกทำเหมือนไม่รู้ว่าหลังๆมานี่อังเดรกับวาเรีย ทะเลาะกันทุกวัน วาเรียเองก็เหมือนคนจิตว่าง ระแวงสารพัด แล้วผู้ชายที่ไหนจะทนได้”

“นั่นก็เป็นเพราะอังเดรเปลี่ยนไปและหนูก็เพิ่งจะเข้าใจวันนี้ว่าอะไรที่ทำให้เขาเปลี่ยนไป กลายเป็นคนขาดความรับผิดชอบ แล้งน้ำใจกระทั่งกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ของลูก” อภินราต่อว่าอย่างไม่เกรงกลัว “หนูไม่เคยคิดมาก่อนว่าพ่อก็จะเห็นดีเห็นงามกับเรื่องนี้ด้วย แต่เมื่อได้ยินพ่อพูดอย่างนี้ก็เข้าใจแล้วว่าการแต่งงานของอังเดร ส่วนหนึ่งคงจะเป็นความต้องการของพ่อด้วย”

อานันท์ละสายตาจากเอกสารตรงหน้าพร้อมมองลูกสาวอย่างไร้อารมณ์ “รู้อย่างนี้แล้วก็ออกไปซะ ฉันจะทำงาน”

อภินราเหลือบสายตามองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้อง ได้เวลาที่วาเรียจะรับลูกชายกลับจากโรงเรียนแล้ว จึงถอนหายใจหนักๆเพราะรู้ดีว่าวันนี้คงต้องเกิดเรื่องใหญ่เป็นแน่ “แล้วพ่อจะบอกเรื่องนี้กับวาเรียยังไงคะ ไหนจะคุณป้ามาร่าอีกคน”

อานันท์ยิ้มเย็นเพราะที่ผ่านมา... มาร่า ผู้เป็นแม่ของวาเรีย คือผู้หญิงที่เชื่อใจเขาที่สุดในโลก เขาคือผู้เสียสละ คือพ่อพระที่เธอบูชา ขนาดว่าบังคับให้ลูกชายและลูกสาวเรียกตนว่า “พ่อบุญธรรม”

“เท่าที่แกจำความได้ มาร่าเคยไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของฉันรึเปล่า ฮึ?...”

เสียงหัวเราะในลำคออย่างพอใจทำให้อภินราพูดไม่ออก แต่เสียงแหลมที่ร้องกรี๊ดๆดังลอดเข้ามาในห้องทำให้เธอรีบวิ่งออกไปด้านนอกพลางคิดในใจว่า ปัญหาใหญ่... กำลังเริ่มขึ้นแล้ว


“กรี๊ด... กรี๊ด... ทำไมถึงทำกับฉันแบบนี้?” วาเรียวางลูกชายวัยสี่ขวบที่เข้าเรียนชั้นอนุบาลปีที่สองลง แล้วหันไปยืนขวางสามีโดยพฤตินัยที่เดินทางมาถึงคฤหาสน์หลังใหญ่พร้อมๆกันทันที เธอแทบจะกรีดร้องกลางโรงเรียนอนุบาล เมื่อผู้ปกครองของเพื่อนลูกชายยื่นการ์ดเชิญให้เธอได้ทัศนาอย่างเต็มตา พร้อมซักถามอย่างอยากรู้ หากยังไม่ได้คำตอบว่าอย่างไร วาเรียกลับอุ้มลูกชายวิ่งขึ้นรถและบังคับมันให้ถึงจุดหมายทั้งน้ำตา

การ์ดเชิญสีสดเพราะฝ่ายเจ้าสาวมีเชื้อสายชาวจีน ถูกปาใส่หน้าอกของอดิรุจอย่างแรง กิริยาและสายตาเกรี้ยวกราด ทำให้หญิงชายที่ใช้ชีวิตร่วมกันมาหลายปีต่างจ้องมองกันด้วยเพลิงโทสะราวกับว่าไม่เคยรักกันและไม่มีพยานรักที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ยืนอยู่ในเหตุการณ์ด้วย

“อย่ามาทำตัวหยาบคายกับผมนะวาเรีย” อดิรุจตวาดเสียงดัง

วาเรียหัวเราะพรืดออกมา มองผู้ชายที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อของลูกอย่างตัดพ้อ “ถ้าคุณไม่ใจดำ หักหลังฉันแบบนี้ ฉันจะกล้าทำตัวหยาบคายได้ยังไง ฉันต้องการคำอธิบาย คุณพูดมา?”

“คุณก็เห็นแล้วนี่วาเรีย จะให้อธิบายอะไรอีก” ปรายตามองการ์ดที่ตกอยู่บนพื้นและเหลือบสายตาขึ้นมองผู้หญิงตรงหน้าอย่างรำคาญใจ “เราเข้ากันไม่ได้เลย ทะเลาะกันจนผมจะเป็นประสาท ทางที่ดีเราควรแยกกันอยู่จะดีกว่า”

คำพูดขาดความรับผิดชอบที่หลุดออกมาจากปากพ่อของลูกทำให้น้ำตาของวาเรียไหลออกมาไม่ขาดสาย เสียงร้องและคำตัดพ้อที่คร่ำครวญออกมาทำให้ลูกชายตัวน้อยซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลรีบวิ่งเข้ามากอดขาคนเป็นแม่ หากพี่เลี้ยงรีบเข้ามาอุ้มเด็กชายอชิรวัชร์ออกไปจากสถานการณ์อันตึงเครียดนี้เสียก่อน

“แล้วซีโลล่ะ คุณจะให้ลูกกับฉันใช้ชีวิตต่อไปยังไง? ฮือ...” วาเรียถามทั้งน้ำตา มองตามอชิรวัชร์หรือที่ใครๆเรียกกันติดปากว่าซีโล (CeeLo) ถูกกันออกไปอยู่อีกห้องแล้ว

“คุณพ่อกับเอลก้าจะเป็นคนดูแลซีโลเอง ผมหมายถึงว่าถ้าคุณไม่สบายใจที่จะอยู่ที่นี่”

“คุณใจดำมากที่ทำกับฉันแบบนี้ อังเดร” วาเรียบอกและยังคงร้องไห้ไม่หยุด

“คุณน่าจะยอมรับว่าเราไปกันไม่ได้ ถ้ายังดื้อดึงที่จะอยู่กันต่อไปก็คงไม่พ้นต้องเกลียดกันเปล่าๆ”

“วินาทีที่คุณทำให้ฉันเจ็บปวดที่สุด ฉันก็ยังไม่เคยเกลียดคุณเลยอังเดร” วาเรียบอกออกมาจากใจ ก้อนแข็งๆที่จุกตรงกลางลำคอทำให้เธอพูดออกมาอย่างอยากลำบาก “นี่ใช่ไหมคือเหตุผลที่คุณกลับบ้านดึกๆดื่นๆ รอยลิปสติก กลิ่นน้ำหอมที่ติดอยู่บนเสื้อคุณเป็นของผู้หญิงคนนี้ใช่ไหม การแต่งงานที่คุณปกปิดฉันไว้อย่างมิดชิดนี่ใช่ไหม คือเหตุผลที่คุณบอกว่าเราเข้ากันไม่ได้”

จบคำพูดวาเรียก็ปรี่เข้ามาตบตีอดิรุจทันที ไม่สนใจว่าฝ่ามือของตัวเองจะทำร้ายเข้าส่วนใด สิ่งที่แสดงออกมาคืออารมณ์ล้วนๆที่อัดแน่นอยู่ในตัวเธอ คำสถบหยาบคายจนกระทั่งตัดพ้อต่อว่าพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย

“หยุดบ้าได้แล้ววาเรีย หยุด!” อดิรุจพยายามจับมือทั้งสองของของเธอเอาไว้ แต่ดูเหมือนความโกรธจะเพิ่มพละกำลังได้มากโข “โธ่โว้ย... บอกให้หยุดไงเล่า พูดกันดีๆ อย่ามาทำกิริยาเหมือนผู้หญิงข้างถนนนะ”

เปรียบเหมือนฟางเส้นสุดท้ายขาดผึง วาเรียไม่สามารถระงับสติอารมณ์ได้อีก รู้แต่เพียงว่าการระบายอารมณ์ ทุบตีเขาไม่เลือกที่จะทำให้เขามีสติ กลับคำพูดที่ทำให้ครอบครัวเล็กๆแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี

“หยุด! ถอยไป...”

“โอ๊ย...” วาเรียล้มลงบนพื้นหินอ่อนตามแรงผลักของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของลูก หากวันนี้เขาเป็นผู้ชายที่ร้ายกาจที่สุด ทำเธอเจ็บตัวแต่กลับไม่มีท่าทีเข้ามาช่วยเหลือ ขอโทษหรือทำอะไรสักอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกไม่ย่ำแย่ไปกว่านี้ “คุณใจดำกับฉันมากไปแล้วนะอังเดร”

อดิรุจกลอกตาอย่างคนระอาใจ ไม่อยากเห็นแววตาที่มองตนอย่างตำหนิ “คุณทำตัวเองนะวาเรีย ผมบอกแล้วใช่ไหมให้คุยกันดีๆอย่างคนมีสติ”

“อะไรกันอังเดร ทำไมพี่ต้องทำร้ายผู้หญิงด้วย” เสียงแหลมของอภินราดังขึ้นพร้อมกับถลาเข้าไปประคองร่างของวาเรียที่กองอยู่กับพื้นให้ลุกขึ้น จากนั้นจึงหันมาถามหญิงสาวในอ้อมกอดที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความเห็นใจ “ไม่เป็นไรนะคะ”

วาเรียส่ายหน้าทั้งน้ำตา “ช่วยด้วยเอลก้า พี่ชายเธอจะทิ้งฉันกับซีโลไปมีเมียใหม่ ฮือ...”

หากอภินรายังไม่ได้เอ่ยปากว่าอย่างไร เสียงดุเข้มของอานันท์ก็ดังขึ้น “พวกแกไม่เห็นหัวฉันกันแล้วใช่ไหม ไม่มีความเคารพเกรงใจ ทะเลาะกันเสียงดังลั่นบ้านให้ฉันต้องอับอายคนในบ้าน”

“แต่คุณพ่อคะ อังเดรจะ...” วาเรียพูดไม่ทันจบประโยค ผู้เป็นประมุขของบ้านก็ชิงพูดตัดบทขึ้นเสียก่อน

“ฉันไม่รับรู้อะไรกับพวกแกทั้งนั้น ตอนพวกแกสองคนรักกัน หอบลูกในท้องเข้ามาอยู่ที่นี่ ก็แค่มาบอกให้ฉันรับรู้ แล้วตอนเกิดปัญหาจะลากเอาฉันไปแก้ปัญหาด้วยทำไม”

“แต่อังเดรจะทิ้งหนู ทิ้งลูกไปแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น” วาเรียโต้กลับอย่างไม่ยอมลงให้ง่ายๆ

“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่านั่นมันปัญหาของพวกแก ฉันไม่รับรู้และไม่อยากได้ยินเสียงทะเลาะเบาะแว้ง ถ้ายังอยากจะเอาปัญหาของตัวเองมาประจานให้อับอายขายหน้าคนในบ้านก็เชิญกลับไปสาวไส้กันต่อที่บ้านแกโน่น” อานันท์ตวาดเสียงเข้มกว่าเดิม มองลูกๆด้วยสายตาตำหนิ “พาวาเรียไปสงบสติอารมณ์ได้แล้ว หรือจะให้ฉันอกแตกตายเสียก่อน!”

อดิรุจเดินออกจากห้องโถงไปอย่างหัวเสีย ไม่สนใจเสียงตะโกนไล่หลังของวาเรียที่เรียกตามแม้แต่น้อย “หยุดนะอังเดร มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน ฉันบอกให้หยุด...”

อภินราถอนหายใจให้กับทั้งคู่ที่เดินออกไป แม้ผู้เป็นพ่อจะยุติความขัดแย้งลงได้แต่มันก็เป็นแค่การชั่วคราว เหนือสิ่งอื่นใดนั่นเป็นการช่วยให้อดิรุจสลัดวาเรียที่ตามตอแยไม่หยุด หากสายตาที่หญิงสาวกำลังมองผู้เป็นพ่อกลับทำให้ถูกตำหนิเสียเอง

“ฉันเป็นพ่อแกนะ สมควรแล้วเหรอที่จะใช้สายตาแบบนี้มองฉัน!” อานันท์ตวาดซ้ำพลางถอนหายใจเมื่อลูกสาวหลบสายตา “ไปดูแลซีโลได้แล้ว วันนี้ก็ให้ค้างที่นี่เสียเลย พ่อกับแม่ทะเลาะกันหนักอย่างนั้น ให้เด็กรับรู้ไม่ได้”

“ค่ะ” อภินราทำได้เพียงแค่รับคำและเดินแยกไปอีกห้องที่มีหลานชายตัวน้อยกำลังเล่นสนุกในอ่างอาบน้ำ

มือเล็กๆตีน้ำในอ่างจนกระเด็นถูกพี่เลี้ยง เสียงหัวเราะอย่างถูกอกถูกใจดังขึ้นเป็นระยะๆ อภินราได้แต่มองหลานชายอย่างสะท้อนใจ เพราะไม่รู้ว่าจะเห็นความร่าเริงสดใสไปได้นานเท่าไหร่ จริงอยู่ว่าครอบครัวในปัจจุบันหย่าร้างกันให้กลาดเกลื่อนและมีเด็กมากมายที่ดำเนินชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุข แต่ก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกันที่ปัญหาครอบครัวสร้างปมในใจให้กับเด็ก ซึ่งเธอไม่ปรารถนาให้หลานชายอยู่ในสภาพเช่นนั้น

“เอลก้า... มาเล่นน้ำ” อชิรวัชร์หรือซีโลเรียกด้วยน้ำเสียงสดใส เมื่อเห็นผู้เป็นอายืนอยู่ไม่ไกล

อภินรารีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เอื้อมมือไปหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วคลี่ออก “ขึ้นจากน้ำได้แล้วซีโล ยังไม่ทำการบ้านใช่ไหมครับ”
“อือ...”

“ครับสิจ๊ะ พูดกับผู้ใหญ่ต้องมีหางเสียง จำที่อาเคยสอนได้ไหม”

“คร้าบ...” ซีโลรับคำและเอื้อมมือเกี่ยวต้นคอคุณอาคนสวยทันที

อภินรายิ้มใส่ดวงตาสีเขียวอมฟ้าที่หลานชายถอดแบบมาจากผู้เป็นแม่ เดินออกจากห้องน้ำมายังส่วนที่จัดไว้เป็นห้องแต่งตัวและตู้เสื้อผ้า จัดแจงให้หลานชายยืนอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หยิบครีมบำรุงผิวสำหรับเด็กออกมาทาผิวให้ด้วยความอ่อนโยน โดยมีพี่เลี้ยงเดินไปหยิบเสื้อผ้า

ก๊อก... ก๊อก...

ประตูห้องถูกเปิดออกเมื่อสิ้นเสียงอนุญาตของอภินรา

“คุณวาเรียให้มาเรียนว่าให้คุณซีโลอยู่ที่ตึกใหญ่จนกว่าเธอจะกลับมาค่ะ” หนึ่งในแม่บ้านของคฤหาสน์วรโชติเดินเข้ามารายงาน
“แล้ววาเรียไปไหน?” อภินราถามแล้วถอยหลังออกมาเล็กน้อยปล่อยให้พี่เลี้ยงสวมเสื้อผ้าให้หลานชาย

“ไม่ได้บอกว่าจะออกไปไหนค่ะ แต่หนูคิดว่าน่าจะตามคุณอังเดรออกไปเพราะเธอรีบร้อนแล้วคุณอังเดรก็เพิ่งบึ่งรถออกไปก่อนหน้าไม่กี่นาทีค่ะ” แม่บ้านสาวรายงานตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้อง เมื่อเห็นเจ้านายสาวพยักหน้ารับ

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วดิฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ” พี่เลี้ยงเอ่ยขึ้นเมื่อแต่งตัวให้ซีโลเรียบร้อยและถึงเวลาเลิกงาน

“จ้ะ กลับเถอะ เดี๋ยวฉันดูซีโลต่อเอง” อภินรารับคำและหันมายิ้มให้หลานชาย

“แม่ๆ แม่ไปไหน ซีโลจะหาแม่” พูดพร้อมย่ำเท้าทั้งสองข้าง เริ่มงอแงเมื่อไม่เห็นหน้าแม่ เดือดร้อนคนเป็นอาต้องช้อนอุ้มขึ้นไว้ในอ้อมแขน

“โอ๋... อย่าเพิ่งร้องนะ แม่ไปซื้อขนมให้ซีโลไง” อภินราพยักหน้าสำทับเมื่อหลานชายมองหน้าด้วยความลังเลใจ “จริงๆนะ พอซีโลทำการบ้าน ทานข้าวเย็นเรียบร้อย แม่ก็กลับมาพร้อมขนม”

“เอลก้าอย่าโกหกนะ”

อภินราอุ้มหลานชายด้วยแขนข้างเดียวแล้วใช้อีกข้างที่ว่างยื่นนิ้วก้อย ทำสัญญาให้เชื่อใจ เมื่อหนุ่มน้อยยื่นมือมาเกี่ยวก้อยพร้อมรอยยิ้มร่าเริง อภินราจึงพาร่างในอ้อมแขนเดินไปยังโต๊ะทำการบ้าน แล้วจัดการเอาสมุดจดการบ้านออกมาดู สอนให้หลานชายทำการบ้านตามที่ได้รับมอบหมาย

หากมื้อเย็นที่ผ่านไปแล้วราวชั่วโมง เธอก็ยังต้องอยู่กับหลานชายเช่นเดิม โชคดีที่เด็กวัยนี้ยังไม่ได้สนใจสิ่งหนึ่งสิ่งใดนานนัก คำสัญญาหลังอาหารจึงไม่ได้สร้างปัญหาแต่อย่างใด ซีโลยังคงสนุกอยู่กับการร้องเพลง ออกเสียงพยัญชนะต่างๆและหันมามองเธอเป็นระยะเท่านั้น

อภินรายิ้มและปรบมือเข้าจังหวะเพลงทุกครั้งที่หลานชายมองมา แต่ในใจกลับภาวนาให้พี่ชายและวาเรียปรับความเข้าใจกันและกลับมาดูแลเด็กชายตัวน้อยที่กำลังเล่นสนุกตามประสา ไม่สามารถรับรู้และเข้าใจปัญหาอันยุ่งเหยิงของผู้ใหญ่ หากไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นในกลางดึกของคืนวันนี้จะทำให้ซีโลกลายเป็นเด็กกำพร้า ที่เธอต้องเป็นผู้ปกครอง รับส่งไปโรงเรียนตลอดจนกกกอดให้หลับใหลไปด้วยกันทุกค่ำคืน...


พฤษภาคม 2558

“ฮือ... แม่ ฮือ ซีโลคิดถึงแม่...”

เสียงร้องไห้ที่ดังขึ้นในกลางดึก ทำให้อภินรารู้สึกตัวแล้วหันไปดึงร่างหลานชายที่นอนอยู่ข้างๆเข้ามากอด “ชู่ว... แม่อยู่นี่แล้ว อย่าร้องนะซีโล ชู่ว...”

“ฮือ... ไอ้เพื่อนบ้า อย่ามาว่า เราว่าลูก ไม่มีพ่อไม่มีแม่ นะ ฮือ...” ละเมออย่างกระท่อนกระแท่น หากทำให้คนได้ยินใจหายวาบด้วยความสงสารจับใจ

อภินรากระชับอ้อมกอดพร้อมทั้งลูบแขนลูบหลังปลอบโยน พลางขมวดคิ้วมุ่นกับคำละเมอที่ได้ยิน “ไม่เป็นไรนะซีโล ไม่เป็นไร...”
ไม่นานนักร่างในอ้อมกอดก็เงียบเสียงและหายใจอย่างสม่ำเสมอ อภินราจึงคลายอ้อมกอดพลางวางศีรษะได้รูปลงบนหมอนนุ่ม ดึงหมอนข้างให้หลานชายตะกายกอดในท่าที่สบายที่สุดแล้วค่อยๆล้มตัวลงนอนซ้อนด้านหลัง

สามปีที่เธอทำหน้าที่เสมือนแม่ของซีโล นับตั้งแต่ตื่นเช้าจนถึงเข้านอน เด็กวัยสี่ขวบที่ต้องมารับรู้ว่าไม่มีพ่อแม่อยู่ด้วย ทำให้เด็กร่าเริง ช่างสงสัยกลายเป็นคนพูดน้อย เอาแต่ร้องไห้โยเย ช่วงปีแรกเธอต้องดูแลซีโลอย่างไม่คลาดสายตา เพราะกลัวว่าความสูญเสียที่พบเจอตั้งแต่เด็กจะทำให้เขากลายเป็นเด็กเซื่องซึมหรือมีพัฒนาการที่ช้ากว่าปกติ ช่วงอายุสี่ขวบจึงเป็นปีที่เธอพาหลานชายเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น แต่ความพยายามของเธอก็ไม่สูญเปล่าเมื่อซีโลไม่ได้มีอาการอย่างที่กังวล

แต่การร้องไห้ โยเยคิดถึงแม่เป็นสิ่งไม่อาจเลี่ยงได้ แม้อภินราจะพยายามชักจูง หันเหความสนใจด้วยกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวาดรูป ร้องเพลง นั่นก็คลายความเศร้าใจได้เพียงชั่วเวลาหนึ่ง เมื่อถึงเวลาเข้านอนหรือไปโรงเรียนแล้วเห็นเพื่อนๆต่างก็มีพ่อแม่ไปรับ-ส่ง ซีโลจะมองตามตาละห้อย มีอาการซึมจนอภินราหนักใจ แล้วตอนนี้ก็เพิ่งจะทราบว่าเพื่อนที่โรงเรียนต้องล้อเรื่องพ่อแม่เป็นแน่ พรุ่งนี้เธอคงต้องเข้าไปคุยกับครูประจำชั้นให้เข้าใจ ย้ำให้ดูแลในเรื่องนี้ให้มากขึ้น

การดูแลซีโลแม้จะทำให้เหนื่อยกายเพียงใดนั่นก็ยังไม่เท่ากับฮาร์คิฟ ผู้ชายที่เธอต้องเผชิญหน้าในเวลานี้ เขาเป็นพี่ชายแท้ๆของวาเรีย มีศักดิ์เป็นลุงของซีโล บทสนทนาระหว่างกันเมื่อหัวค่ำย้อนกลับเข้ามาในความคิด มันยิ่งทำให้อภินรานอนตาค้างเพราะสังหรณ์ใจว่า... ปัญหาในธุรกิจที่ไม่เคยเกิดขึ้น แต่ก็เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา

ใช่ว่าจะไม่เคยรับมือกับคู่แข่งทางธุรกิจ ในฐานะรองประธานบริหารของบริษัท วรโชติ คอนสตรักชั่น จำกัด เธอย่อมมีวิธีจัดการกับคู่แข่งทางธุรกิจอยู่แล้ว แต่การปะทะกับคนที่สามารถเขย่าหัวใจของเธอให้สั่นคลอนได้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ ผู้ชายที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดใจ มันเป็นเรื่องยากเย็นที่ทำให้เธอปวดหนึบที่หัวใจนัก อภินราหลับตาพลางยกมือขึ้นคลึงขมับ หัวเราะเยาะให้กับความใจง่ายของตน เขาเข้ามาทำดีให้ตายใจ หลอกให้รักแล้วเอาความรักของเธอมาเป็นข้อต่อรองเพื่อ...


‘ฝีมือคุณใช่ไหมคะ?’ อภินราถามพร้อมมองเขาอย่างค้นคว้า

ฮาร์คิฟละสายตาจากหนังสือพิมพ์ในมือ หากยังนั่งไขว่ห้างมองผู้หญิงที่ยืนนิ่งตรงหน้า ในมือเธอกำเอกสารไว้แน่นแต่นั่นไม่ได้ทำให้การทัศนาของเขารื่นรมย์ได้เท่า เรียวขาสวยที่พ้นจากกระโปรงตัวสั้น ชุดจากแบรนด์ระดับไฮเอ็นที่อยู่บนตัวเธอแล้วทำให้เขาร้อนฉ่าได้อย่างเหลือเชื่อ

‘ถ้าจะกรุณาขยายความสักหน่อย’ ถามทั้งที่เข้าใจว่าเธอหมายถึงเรื่องอะไร

อภินราชูกระดาษสองสามแผ่นที่กำไว้ในมือ แล้วย้ำถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ‘อย่ามาทำไขสือได้ไหม ถ้าไม่ใช่ฝีมือคุณก็ปฏิเสธมาเลย’

‘ทำไมต้องหงุดหงิดใจขนาดนั้นด้วย ทีผมถามว่าวาเรียยิงตัวตายหรืออังเดรยิงวาเรีย คุณยังโยกโย้’ ฮาร์คิฟถามกลับในสิ่งที่ตนข้องใจมาตลอด

‘ฉันไม่ได้โยกโย้ แต่ตำรวจสรุปคดีออกมาแล้วว่าวาเรียบันดาลโทสะพลั้งมือยิงอังเดร แล้วก็ยิงตัวเอง...’ หากยังตอบไม่จบประโยคอย่างที่คิดเอาไว้ อภินราก็ต้องเงียบเสียงเมื่อมองใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาเฉียบคมเต็มไปด้วยเพลิงโทสะจนความจริงข้อหนึ่งแวบเข้ามาในสมอง ‘อ่อ... ที่ผ่านมาคุณมาทำดีกับเราเพียงเพราะไม่เชื่อว่าวาเรียยิงตัวตายเท่านั้นเหรอ’

‘คิดดูดีๆนะเอลก้า สมบัติของติโมชุกที่ครอบครัวคุณฮุบไปครองมันมหาศาลแค่ไหน’

อภินราหัวเราะพรืด เมินหน้าหนีจากคนที่กำลังก้าวเข้ามาหา ‘เปิดเผยธาตุแท้ออกมาแล้วสินะ ถ้าคุณต้องการสมบัติของวาเรียที่พวกเราตั้งใจเก็บไว้ให้ซีโล ก็พูดมาตรงๆได้นี่คะ ทำไมต้องเข้ามาปั่นป่วน สร้างความเดือดร้อนแบบนี้ด้วย’

‘คำพูดคนตระกูลวรโชตินี่สวยหรูจริงๆนะ ดูเป็นคนดีจนคนอื่นเลวได้ถนัดตา’ ฮาร์คิฟพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแสแสร้งอีกต่อไป สองพ่อลูกตระกูลวรโชติต้องชดใช้ในสิ่งที่เขาสูญเสียอย่างสาสม

‘ฉันเลี้ยงดูซีโลด้วยเงินของตัวเองทุกบาททุกสตางค์ เลี้ยงเพราะเขาคือหลานชาย ไม่เคยคิดว่าเลี้ยงเขาเพราะหวังสมบัติพัสถานอะไร แล้วฉันก็ไม่รู้ว่าคุณโกรธแค้นเราเรื่องอะไร ต่อให้คุณเดินเอาปืนมายิงฉันให้ตายตามวาเรียไป ฉันยังไม่เสียความรู้สึกเท่านี้’
‘มันก็ไม่ต่างจากที่พวกคุณทำหรอก ชอบล้อเล่นกับความรู้สึกของคนอื่น พอเจอกับตัวเองเข้าหน่อยทำเป็นเจ็บปวด มาร่าต้องทนทรมานคิดถึงลูกหลานตั้งสามปี ยังไม่มีใครสนใจจะไปดูดำดูดี’ จริงอยู่ว่าดวงตากลมโตของเธอที่มองเขาอย่างผิดหวังทำให้เกือบใจอ่อน แต่เมื่อคิดถึงสภาพจิตใจอันย่ำแย่ของมาร่าแล้ว ฮาร์คิฟก็สลัดความรู้สึกต่อเธอออกไปได้อย่างรวดเร็ว ‘ผมให้เวลาพวกคุณสนุกมามากพอแล้ว ถึงเวลาผมเอาคืนอย่าโอดครวญก็แล้วกัน’

อภินรากัดริมฝีปากล่างจนเจ็บร้าว หากไม่อยากโต้เถียงกับเขาไปมากกว่านี้เพราะรู้ดีว่าต่างฝ่ายต่างกำลังร้อนเป็นไฟ อีกทั้งยังอยากไถ่ถามกับผู้เป็นพ่อให้แน่ชัดว่าสิ่งที่รู้มากับสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริงหรือไม่ จึงหมุนตัวกลับตั้งใจจะเดินออกจากห้องทำงานของเขา หากเดินไปเพียงไม่กี่ก้าวก็ถูกท่อนแขนแข็งแรงรวบเข้าที่เอวคอดกิ่วจากด้านหลัง

‘ปล่อยนะ!’

‘รู้ความผิดแล้วคิดจะหนีหรือไง’ ฮาร์คิฟออกแรงยกร่างอรชรเพียงเล็กน้อย ปลายเท้าก็ลอยหวือเหนือพื้น ‘อยู่ชดใช้ความผิดให้ผมคลายความโกรธก่อนสิคนสวย’

อภินราย่นคอพลางเบี่ยงหน้าหนีจากคนที่เข้าประชิดตัวอย่างสนิทชิดเชื้อ น้ำเสียงยั่วเย้าที่ดังขึ้นข้างหูทำให้เธอขนลุกทั่วสรรพางค์กาย ‘ไม่ได้หนี ฉันจะไปถามพ่อให้รู้เรื่องว่าไปเอาสมบัติอะไรของพวกคุณมากันแน่ แต่ถ้าฉันมีหลักฐานมายืนยันว่าคุณเข้าใจผิด ก็อย่าลืมชดใช้ให้ความรู้สึกดีๆที่ฉันสูญเสียไปด้วยล่ะ’

ฮาร์คิฟระเบิดเสียงหัวเราะอย่างชอบใจ เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงผนังห้องและพลิกร่างเธอให้หันมาเผชิญหน้า ใช้ผนังห้องอย่างเป็นประโยชน์จนได้มองใบหน้างดงามที่แดงก่ำด้วยความโกรธ ‘อู๊ว... คนสวยนี่เวลาโกรธยิ่งสวยสินะ รู้อะไรไหมเอลก้า คุณทำให้ผมนึกถึงผู้หญิงตอนที่มีเซ็กซ์กัน พวกเธอจะตัวแดงก่ำ ผิวสวยน่ามองเหมือนผิวคุณตอนนี้ล่ะ’

‘จำเป็นต้องหยาบคายกับฉันแบบนี้ด้วยเหรอคนเลว แล้วคุณต้องเสียใจที่ทำกับฉันแบบนี้ คุณต้องชดใช้ความรู้สึกดีๆที่ฉันเสียไป’ อภินราโต้กลับอย่าไม่ยอมเช่นกัน

‘พนันกันไหมว่าคนที่ต้องชดใช้คือคุณ’

‘ไม่’ ตวาดดุทั้งถลึงตาใส่ เพราะดิ้นรนเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล เขาจัดการตรึงข้อมือทั้งสองข้างไว้เหนือศีรษะ จงใจเบียดเนื้อตัวอันอุดมไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรงเข้าหาโดยไม่เกรงใจ

‘ขี้โกงแถมยังขี้ขลาดอีกด้วย’ ฮาร์คิฟบอกพลางขยิบตาใส่อย่างยั่วเย้า ‘ฮุบสมบัติผมไปจนหมดตัวก็รับเลี้ยงผมด้วยแล้วกัน ผมไม่มูมมามแต่จะค่อยๆละเลียดไปเรื่อยๆ อาจจะใช้เวลานานหน่อยกว่าจะอิ่มแล้วปล่อยคุณลงจากเตียง แต่ก็นั่นแหละ รับรองว่าสนุกกว่าทุกครั้งที่คุณเคยมา และ... ความสนุกนั่นเป็นแค่ดอกเบี้ย’

‘จะมากไปแล้วนะฮาร์คิฟ!’

‘คุณก็ชอบความมักมากของผมนี่จ๊ะ ตาคุณมันฟ้องว่าอยากได้ผมเหมือนกันนั่นแหละเอลก้า’

‘แล้วคุณจะต้องเสียใจที่ทำกับฉันแบบนี้’ อภินราตวาดออกมาอย่างเหลืออด ทั้งโมโหทั้งโกรธตัวเองที่เผลอมีใจให้กับคนอวดดีอย่างเขา หากความหงุดหงิดใจที่เธอแสดงออกมากลับทำให้เขาเกิดความรู้สึกผิดแปลกจากที่ควรจะเป็น เธอเหมือนนางมารเจ้าอารมณ์ที่เขาเห็นว่าเซ็กซี่ขาดใจ

‘เสียใจจริงๆ แต่เสียใจที่ปล่อยให้พวกคุณทำเรื่องร้ายๆอยู่นาน ผมน่าจะมัดคุณไว้บนเตียงตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้ากัน’ พูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ หากสายตาคมกริบที่กวาดมองอย่างไม่เกรงใจ ทำให้อภินรารู้สึกอับอายเหมือนเปลือยเปล่าทั้งที่ยังสวมเสื้อผ้าครบถ้วน ‘ถึงคราวชดใช้ก็อย่าบ่นมากนักนางมารน้อย คุณล้วงเงินผมไปจนเกลี้ยง ผมก็จะล้วงคุณให้ทั่วทุกซอกทุกมุมเหมือนกัน ผมจะเอาคืน เอาให้ถึงใจแบบที่ผมชอบนั่นแหละ’


...หากไม่ได้คนสนิทของเขาเคาะเป็นประตูด้วยเรื่องสำคัญ เธอก็ไม่รู้เลยว่าจะรอดออกมาจากวงแขนหนาแน่นนั้นอย่างไร?
อภินรายังพลิกตัวกระสับกระส่ายด้วยหลายเรื่องที่กวนใจ หากอดที่จะตำหนิตัวเองไม่ได้ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้เผลอใจให้เขาได้อย่างรวดเร็วเช่นนั้น ทั้งที่ครั้งแรกที่เจอหน้ากันก็เหมือนมีเซนส์เตือนให้รู้ว่าเขาเข้ามาในชีวิตอย่างมีเบื้องลึกเบื้องหลัง แต่เธอกลับเชื่อในสิ่งที่มองเห็นได้ด้วยตาและตอนนี้มันกำลังทำให้เธอหนักใจเพราะต้องรับมือกับผู้ชายที่เหนือกว่าตนทุกทาง แข็งแกร่งกว่าทั้งกายและใจ ชื่อของเขายังคงรังควานใจ ทำให้เธอนอนไม่หลับจนถึงรุ่งสาง ฮาร์คิฟ ติโมชุก



ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 มิ.ย. 2558, 21:09:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 มิ.ย. 2558, 21:09:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 1266





   ตอนที่ 1 100% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account