แค้นรักแค้นเสน่หา
“ผมไม่วิปริตเหมารวมทั้งครอบครัวหรอกจ้ะ เอาแค่คุณคนเดียวแต่ไม่ใช่ครั้งเดียว โอเค้?” พูดหน้าตายแล้วแนบฝ่ามือเข้าหา ในขณะที่เจ้าตัวไม่รู้จะปกปิดส่วนไหนของร่างกายที่ถูกเขาคุกคามอย่างหนัก “อีกอย่าง... คุณต้องทรีตร่างกายผมให้หนักกว่านี้สักหน่อย ไม่ใช่เงอะงะ ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ถ้าผมไม่กำไรอย่างน้อยก็เท่าทุนยังดี”
เมื่ออสังหาริมทรัพย์หลายแปลงถูกโกงไปอย่างน่าโมโห มีหรือที่CEO แห่งติโมชุก อินดัสตรี ซึ่งมีผลประกอบการสูงติดอันดับโลกจะยอมถูกลูบคม “ฮาร์คิฟ ติโมชุก” จึงต้องมาทวงคืนจากผู้เป็น “พ่อบุญธรรม” ด้วยตัวเอง
หากรูปร่างน่าปรารถนาและแววตาที่ใช้เชิญชวนเพศตรงข้ามของลูกสาวพ่อบุญธรรม ก็ทำให้เขาอยากสั่งสอนสองพ่อลูกได้ตระหนักว่า... การฉกเอาทรัพย์สินคนอื่นไปเป็นของตนนั้นต้องชดใช้ทั้งต้นและดอกเบี้ยให้ครบถ้วน
“อภินรา” ไม่เคยระแวงใจในดวงตาสีเขียวอมฟ้าแสนเซ็กซี่คู่นั้นเลยสักครั้ง เขามีเสน่ห์ ดึงดูดใจจนทำให้โลกของเธอสั่นสะเทือน เขากำลังใช้เสน่ห์ทางกายล่อลวงให้เธอ “เผลอใจ” และคิดดอกเบี้ยอย่างหฤโหดด้วยการทำให้เธอ “เผลอตัว” แม้จะรู้แก่ใจว่ากำลังใช้หนี้ แต่ดอกเบี้ยแห่งปรารถนาที่เขาทวงจากเธอทุกค่ำคืนก็เริงร้อน วาบหวามน่าหลงใหล
เขากำลังทำสงครามบนเตียงกับลูกหนี้สาว ที่ไม่เคยใจดียอมให้ใครรีเควสได้อย่างเธอ ไม่ว่าจะ... ดับเบิ้ล ทริปเปิ้ลหรือนอนสต็อป เขาก็ไม่เคยเกี่ยงที่จะเก็บหนี้เลยสักวินาทีทั้งยังติดอกติดใจจนคิดแผนการเหนือชั้นเพื่อ “ตลบหลัง” ลูกหนี้สาว ด้วยการ... ทำให้เธออยู่บนเตียงของเขาตลอดไป
“ฉันไม่นิยมความสัมพันธ์แบบ วัน ไนท์ สแตนด์ หรอกค่ะ คุณคงมาหาผิดคนแล้ว”
เขาเงียบและจ้องหน้าเธอชั่วครู่ จากนั้นก็หัวเราะร่วนอย่างชอบใจ “เอลก้าที่รัก... แน่นอนว่าผมคิดกับคุณมากกว่าหนึ่งคืน อันที่จริงผมคิดทุกวินาทีด้วยซ้ำ แต่ถ้าพูดออกไปตรงๆกลัวว่าคุณจะรังเกียจ พานเกลียดขี้หน้าผมน่ะสิ”
อภินราทำตาโต มองค้อนเขาตาเขียวปัด ไม่คิดว่าเขาจะกล้าพูดเปิดเผย ตรงเสียจนกลายเป็นแข็งทื่อเช่นนี้
“คนเหลือทน! คุณพูดมันออกมาแล้วต่างหาก”
เมื่ออสังหาริมทรัพย์หลายแปลงถูกโกงไปอย่างน่าโมโห มีหรือที่CEO แห่งติโมชุก อินดัสตรี ซึ่งมีผลประกอบการสูงติดอันดับโลกจะยอมถูกลูบคม “ฮาร์คิฟ ติโมชุก” จึงต้องมาทวงคืนจากผู้เป็น “พ่อบุญธรรม” ด้วยตัวเอง
หากรูปร่างน่าปรารถนาและแววตาที่ใช้เชิญชวนเพศตรงข้ามของลูกสาวพ่อบุญธรรม ก็ทำให้เขาอยากสั่งสอนสองพ่อลูกได้ตระหนักว่า... การฉกเอาทรัพย์สินคนอื่นไปเป็นของตนนั้นต้องชดใช้ทั้งต้นและดอกเบี้ยให้ครบถ้วน
“อภินรา” ไม่เคยระแวงใจในดวงตาสีเขียวอมฟ้าแสนเซ็กซี่คู่นั้นเลยสักครั้ง เขามีเสน่ห์ ดึงดูดใจจนทำให้โลกของเธอสั่นสะเทือน เขากำลังใช้เสน่ห์ทางกายล่อลวงให้เธอ “เผลอใจ” และคิดดอกเบี้ยอย่างหฤโหดด้วยการทำให้เธอ “เผลอตัว” แม้จะรู้แก่ใจว่ากำลังใช้หนี้ แต่ดอกเบี้ยแห่งปรารถนาที่เขาทวงจากเธอทุกค่ำคืนก็เริงร้อน วาบหวามน่าหลงใหล
เขากำลังทำสงครามบนเตียงกับลูกหนี้สาว ที่ไม่เคยใจดียอมให้ใครรีเควสได้อย่างเธอ ไม่ว่าจะ... ดับเบิ้ล ทริปเปิ้ลหรือนอนสต็อป เขาก็ไม่เคยเกี่ยงที่จะเก็บหนี้เลยสักวินาทีทั้งยังติดอกติดใจจนคิดแผนการเหนือชั้นเพื่อ “ตลบหลัง” ลูกหนี้สาว ด้วยการ... ทำให้เธออยู่บนเตียงของเขาตลอดไป
“ฉันไม่นิยมความสัมพันธ์แบบ วัน ไนท์ สแตนด์ หรอกค่ะ คุณคงมาหาผิดคนแล้ว”
เขาเงียบและจ้องหน้าเธอชั่วครู่ จากนั้นก็หัวเราะร่วนอย่างชอบใจ “เอลก้าที่รัก... แน่นอนว่าผมคิดกับคุณมากกว่าหนึ่งคืน อันที่จริงผมคิดทุกวินาทีด้วยซ้ำ แต่ถ้าพูดออกไปตรงๆกลัวว่าคุณจะรังเกียจ พานเกลียดขี้หน้าผมน่ะสิ”
อภินราทำตาโต มองค้อนเขาตาเขียวปัด ไม่คิดว่าเขาจะกล้าพูดเปิดเผย ตรงเสียจนกลายเป็นแข็งทื่อเช่นนี้
“คนเหลือทน! คุณพูดมันออกมาแล้วต่างหาก”
Tags: ฮาร์คิฟ - อภินรา
ตอน: ตอนที่ 7 100%
สายจัดของวันถัดมา... เสียงของพนักงานที่รายงานผลการว่า วรโชติ คอนสตรักชั่นคือผู้ชนะการประมูลงาน หลังจากที่วางสายโทรศัพท์อภินราแทบจะกระโดดโลดเต้น จริงอยู่ว่ามันไม่ใช่การประมูลงานครั้งแรก แต่พูดได้เต็มปากว่ามันเป็นครั้งแรกที่ทำให้หัวใจเธอเต้นระทึก หวั่นเกรงต่อชายร่างกำยำ
ใบหน้าหล่อเหลาที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของฮาร์คิฟแวบขึ้นมาในสมองทันที หากไม่มีเขาก็ไม่แน่ว่าเธอคงตัดสินใจหั่นราคาให้ต่ำลงมาอีกจนเหลือกำไรน้อยเต็มที คำพูด แววตา สีหน้าที่ให้กำลังใจยังเด่นชัดในความทรงใจ เธออยากขอบคุณเขาจากใจจริง หากเสียงหวานที่ดังขึ้นผ่านอินเตอร์คอมก็ทำให้อภินรา หยุดคิดเรื่องนี้เสียก่อน เพราะวันนี้ยังมีเรื่องสำคัญที่รอให้เธอไปจัดการ
“คุณเอลก้าคะ รถพร้อมจอดรออยู่ด้านล่างแล้วนะคะ”
นิ้วเรียวของอภินรายื่นไปกดปุ่มตอบกลับเลขานุการหน้าห้องในทันที “เธอลงไปรอที่รถก่อน เดี๋ยวฉันจะตามลงไปในห้านาที”
“ค่ะ” เลขานุการรับคำสั้นๆ
อภินราลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ของตนไปยังห้องน้ำ เพื่อสำรวจตรวจตราความเรียบร้อยของตนก่อนที่จะเข้าพบลินเนอุส คอนราดสัน นักลงทุนมันสมองระดับอัจฉริยะที่ไม่ว่าขยับตัวทำอะไร ก็ส่งผลต่อเศรษฐกิจของโลก ความประหม่าที่ต้องเข้าพบกับคนเก่งกาจเช่นนี้ทำให้อภินราหัวใจเต้นแรง อดคิดถึงคนขี้โอ่ที่การันตีว่าเธอต้องทำสำเร็จเพียงเพราะใช้ตัวเลขไม่กี่ตัว แต่ตอนนี้กลับหายหน้าไม่เห็นแม้กระทั่งเงา
หากเธอไม่มีเวลาที่จะคิดเรื่องอื่นใดจึงรีบเดินออกจากห้องเพื่อเดินทางไปพบกับมิสเตอร์ลินเนอุสในคอฟฟี่ช็อปของโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง อภินราส่ายหน้าให้กับตัวเองเพราะเมื่อคืนหลังจากที่เตรียมตอบคำถามเกี่ยวกับโครงการเป็นอย่างดีแล้ว เธอยังเบียดเบียนเวลาพักผ่อนที่เหลือน้อยเต็มทีด้วยการนั่งคำนวณผลกำไรที่เฉลี่ยนาทีตามที่ฮาร์คิฟบอก ซึ่งมันทำให้เธอได้หลับไปไม่ถึงสองชั่วโมงก่อนฟ้าสาง
ฮาร์คิฟมองภาพของผู้หญิงที่เดินออกมาจากลิฟต์นิ่งงันไปครู่ใหญ่ เดรสแขนกลายสีเทาเข้มยาวเสมอหัวเข่ากับรองเท้าส้นสูงสีดำที่มีสายหนังเส้นเล็กๆรัดข้อเท้า มีกระเป๋าหนังแบรนด์ดังของฝรั่งเศสคล้องที่แขนส่งผลให้เธอดูเป็นผู้หญิงที่สง่างามที่สุด แม้ไม่มีเครื่องประดับวาววับสักชิ้น แต่เขาก็รู้ได้ว่าทุกสิ่งที่อยู่บนเรือนร่างน่าปรารถนาราคาแพงระยับทั้งนั้น แน่นอนว่าเขาไม่ใช่พวกบ้าแบรนด์เนม แต่เมื่อเห็นมันรวมอยู่บนตัวเธอแล้วกลับน่ามอง ไม่ทำให้เขาเห็นว่ามันตลกเมื่อเทียบกับผู้หญิงทั่วไปที่ประโคมของแพงไว้บนตัวเช่นนี้
อภินรากะพริบตาถี่ๆไม่อยากเชื่อสายตาว่าผู้ชายที่อยู่ในห้วงความคิดจะยืนอยู่ตรงหน้า เขายิ้มด้วยความพึงใจอย่างเปิดเผย มองเธอนิ่งอยู่ครู่ใหญ่จนเธอก้าวลงจากบันไดไปยืนตรงหน้า มือใหญ่ถึงได้เปิดประตูรถยนต์ออกกว้าง
“ทำไมต้องสวยขนาดนี้ด้วยนะเอลก้า” ฮาร์คิฟครางออกมาราวกับไม่รู้ตัว หากอยู่เพียงลำพังเขาคงใช้มือดึงทึ้งผมตัวเอง แล้วโอดครวญกับตัวเองว่าไม่อยากให้ไอ้หน้าไหนมันได้เห็นเธอ!
“อย่าล้อฉันอย่างนี้สิคะ แล้วคุณมา...”
“มารับคุณนั่นแหละ ขึ้นรถเร็วเข้าเดี๋ยวจะสาย” บอกพลางดันแผ่นหลังบอบบางให้เข้าไปในรถและดักคอเธอเอาไว้อย่างรู้ทันความคิด บุ้ยใบ้ไปยังร่างของคนสนิทที่เดินไปบอกคนขับรถของเธอให้ล่วงหน้าไปยังโรงแรมเสียก่อน
“เดี๋ยวนัดพวกเขาไปเจอกันที่โรงแรมเลย”
อภินราถอนหายใจเมื่อไม่สามารถโต้แย้งได้ เขาถือวิสาสะจัดการเรื่องทุกอย่างทั้งที่เธอยังไม่ได้มีโอกาสอ้าปากเอื้อนเอ่ยสักนิด “ผู้ชายยูเครนนี่เขาเผด็จการกันอย่างนี้ทุกคนเหรอคะ”
ฮาร์คิฟหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจกับคำประชดประชันของเธอ “ที่ผมทำนี่เขาเรียกกันว่าทรีตจ้ะ ถึงแม้ว่ายูเครนจะเคยเป็นประเทศคอมมิวนิสต์แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว อย่ากล่าวหากันรุนแรงแบบนั้น”
อภินราอมยิ้มเพราะถึงอย่างไรเธอยังค้างคำขอบคุณสำหรับเรื่องงานประมูลเมื่อวาน “ขอบคุณนะคะ ฉันชนะงานประมูลเมื่อวานนี้”
“อา... โชคเข้าข้างผมด้วยสิ” ฮาร์คิฟครางแล้วชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ๆเธอ ทวงคำสัญญาที่กลายเป็นว่าเธอติดค้างเขาเพิ่มเป็นสองเท่า “แปลว่าคุณค้างจูบผมอยู่นะเอลก้า”
อภินราทำตาโต ส่ายหน้าอย่างไม่ยอม รีบดันใบหน้าคร้ามคมที่ก้มลงมาหาพร้อมกับร้องห้ามเป็นพัลวัน “อย่าทำบ้าๆนะฮาร์คิฟ อายคนอื่นบ้างสิ”
“รามานมันตาบอด”
คำพูดที่ดังขึ้นทำให้คนขับรถตาบอดเหลือบสายตามองกระจกเพียงแวบเดียว แล้วหันมาทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป
อภินรารีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเมื่อเห็นว่าเขาก้มลงมาหาอีกครั้ง พูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ที่เขายังจับใจความได้ “ถ้าจูบฉันโกรธจริงๆด้วย”
ฮาร์คิฟจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ แปลกใจว่าทำไมเธอต้องทำเป็นต่อต้านทั้งที่ก็อยากได้สัมผัสของเขาเช่นกัน ท่าทางเธอเหมือนสาวไม่ประสากับเรื่องรักใคร่ ทั้งที่เธอกำลังคบหาอยู่กับไอ้หน้าจืดนั่นแล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไรที่หญิงชายสมัยนี้จะคบกันโดยปราศจากเรื่องเซ็กซ์
หากการเคลื่อนตัวกลับไปนั่งที่เดิม ทั้งยังมีท่าทางนิ่งเงียบก็ทำให้อภินราเข้าใจไปว่าเขาโกรธหรืออาจเบื่อที่ต้องเล่นเกมตามตื้อตนเช่นนี้ เข้าใจว่าเขาอาจถูกตาต้องใจ แต่เธอไม่พร้อมและไม่สามารถที่จะปล่อยตัวให้ผู้ชายสักคนอย่างง่ายดายเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นลูกครึ่งชาติเดียวกับเขา แต่ผู้เป็นแม่ก็จากไปตั้งแต่เธออายุสองขวบ เธอแทบจะไม่ได้รับการปลูกฝังอะไรอย่างคนตะวันตก ในขณะที่เติบโตและรับเอาแบบแผนการประพฤติตัวอย่างชาวไทยไว้เต็มเปี่ยม
“ขอโทษที่ทำให้โกรธนะคะ แต่ฉันเคยบอกคุณแล้วว่าไม่นิยมความสัมพันธ์แบบฉาบฉวย”
“ผมก็เคยบอกคุณแล้วเหมือนกันว่าต้องการคุณทุกนาที” อันที่จริงทุกลมหายใจเข้า-ออกด้วยซ้ำ มันอัดแน่นจนแทบระเบิด ไม่มีวันไหนที่เขาหลับตาลงได้อย่างปกติ ใจมันร้อนรุ่มอยากลิ้มรสชาติของเธอว่ามันจะเลิศเลอเพียงใด “คุณต้องการให้ผมทำยังไงเอลก้า ดอกไม้ เครื่องเพชรหรืออะไรก็พูดมาเลย”
น้ำเสียงหงุดหงิดใจของเขาทำให้คนฟังทั้งสองรู้สึกแตกต่างกันออกไป รามานอดสงสัยไม่ได้ว่าเจ้านายกำลังเล่นเกมกับเธอเพียงเพราะต้องการหว่านล้อมให้เธอติดบ่วง แต่เท่าที่ได้เห็นปฏิกิริยาของท่าน เขาแทบจะเชื่อว่าเจ้านายกำลังจีบหญิงสาวจริงๆ
อภินราเองก็จนใจที่จะอธิบายเพราะผู้ชายไม่ว่ายากดีมีจนอย่างไรก็คงหวังแต่เรือนร่างและความสัมพันธ์เร่าร้อนทั้งนั้น เธอเองก็ไม่อยากยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นข้อโต้แย้งจนทำให้เสียความรู้สึกอันดีต่อกัน อย่างไรเสียเขาก็เป็นลุงของซีโลและยังช่วยเหลือเธอ “เอาเป็นว่าฉันจะลืมๆคำพูดที่คุณดูหมิ่นฉันไปนะคะ ดอกไม้หรือเครื่องเพชรอะไรนั่นฉันคิดว่าหาเองได้ ไม่รบกวนคุณหรอกค่ะ”
คำพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับสัมผัสได้ว่าเธอกำลังเสียใจทำให้ฮาร์คิฟมองหน้าเธอ หัวใจกระตุบวาบด้วยความสงสาร สุดท้ายต้องเบนหน้าหนีจากแววตาเจ็บช้ำ
“อันที่จริง ฉันอยากขอบคุณเรื่องเมื่อวาน ขอบคุณสำหรับของขวัญในแบบผู้ชายที่ฉันไม่คาดคิดว่าซีโลจะชอบมัน ส่วนคำแนะนำในเรื่องที่จะไปพบกับมิสเตอร์ลินเนอุส ฉันจะลองทำตาม และยืนยันว่าอยากเลี้ยงข้าวตอบแทนคุณสักมื้อ ฉันคงให้คุณได้เท่านั้นจริงๆ”
“ที่ผมต้องการคุณก็ให้ได้เหมือนกันนั่นแหละเอลก้า”
“เรื่องแบบนี้มันต้องเต็มใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย คุณชอบใจเหรอคะ ถ้าจะปล้นเอาความรู้สึกละเอียดอ่อนแบบนั้นจากฉัน”
ฮาร์คิฟหรี่ตามองผู้หญิงที่ทำให้เขารู้สึกไม่ต่างจากไอ้หื่นกาม เธอฉลาดเป็นกรด ทั้งคำพูด การวางตัวมีแรงดึงดูเช่นนี้สินะ ถึงทำให้ใครต่อใครหลงใหลได้ปลื้ม หากไอ้หน้าโง่นั่นก็รวมเขาเข้าไปด้วยอีกคน
เมื่อเธอเงียบ มองออกไปข้างทางอย่างไร้จุดหมาย สุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้ความเงียบงันนั้น “เอาล่ะๆ ผมยอมคุณแล้ว”
อภินราลอบยิ้มในใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น อย่างน้อยเธอก็สะดวกใจที่จะพูดคุยอยู่ใกล้เขากว่าตอนที่เขาเอาแต่ยกเรื่อง ‘จูบ’ ขึ้นมาอ้าง หากคำพูดต่อไปของเขากลับทำให้เธอมองอย่างไม่เข้าใจ
“คุณน่าจะหาเสื้อมาคลุมสักหน่อย ผมว่าชุดคุณมันเน้นสัดส่วนเกินไป” ฮาร์คิฟพยักหน้าสำทับคำพูดของตัวเองเมื่อเธอมองหน้าตนแล้วก้มลงมองชุดของตัวเอง “เอาสูทผมคลุมทับก็ได้”
อภินราส่ายหน้าเพราะถ้าทำอย่างนั้นเธอคงไม่ต่างจากตัวตลกและทำให้เสียบุคลิกภาพยิ่งนัก ท่าทาง สายตา คำพูดของเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าหวงแหนเธอ แม้ตกใจกับความคิดที่เกิดขึ้นแต่ก็สุขใจอย่างบอกไม่ถูก “อย่าพาล อย่าหาเรื่องสิคะ ใกล้จะถึงแล้วคุณน่าจะปล่อยให้ฉันทำสมาธิบ้าง”
หากสิ่งที่หลุดออกจากปากฮาร์คิฟทำให้เป็นวิธีการพูดจูงใจอันน่าเหลือเชื่อ ทำให้เธอได้รู้ว่าวิสัยทัศน์ของนักธุรกิจที่มีผลประกอบการติดอันดับโลกมีวิธีคิดที่แตกต่างไปจากคนทั่วไปเช่นนี้ เขาสรุปโครงการที่เธอเสียเวลาทำความเข้าใจทั้งคืนออกมาไม่ถึงสิบประโยค สุดท้ายยังไม่พ้นโอ่ตัวว่าต้องสำเร็จเป็นแน่
“เข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม มีอะไรสงสัยถามมาได้เลย” ฮาร์คิฟเปิดโอกาส หากเธอช่างนักรักน่าชังยิ่งนักเมื่อมองเขาตาโตส่ายหน้าอย่างไร้ข้อกังขา “ปล่อยตัวตามสบาย ยิ่งคุณแสดงความประหม่าให้เขาเห็นเท่าไหร่ นั่นก็ไม่ต่างจากแสดงจุดด้อยในโครงการเท่านั้น”
จบคำพูดรถยนต์ก็จอดสนิทหน้าโรงแรมที่นัดหมาย ฮาร์คิฟเปิดประตูและก้าวลงไปจากรถก่อน จากนั้นจึงหมุนตัวกลับมาแล้วยื่นมือไปช่วยพยุงเธอออกมาจากรถ ท่าทางเอาใจใส่ดังกล่าวอยู่ในสายตาของเลขานุการที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว ในใจนั้นส่งเสียงเชียร์หนุ่มต่างชาติคนนี้มากกว่าตฤณ ที่มาเทียวไล้เทียวขื่อเจ้านายสาวของเธออยู่พักใหญ่
ไม่กี่นาทีต่อมาอภินราก็มีโอกาสได้รู้จักกับนักลงทุนระดับโลก ลินเนอุส คอนราดสัน วิธีการนั่งนิ่ง รับฟังในสิ่งที่เธอพูดของเขาแทบไม่ต่างจากฮาร์คิฟ มันทำให้เธอเข้าใจได้ว่า คนที่ทำธุรกิจซึ่งมีมูลค่านับไม่ถ้วนย่อมมีบุคลิกที่ข่มขวัญคนอื่นได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งการมอง
ฮาร์คิฟนั่งอยู่ในคอฟฟี่ช็อปของโรงแรม ห่างจากโต๊ะตัวที่อภินราและเลขานุการของเธออยู่สองโต๊ะในระนาบเดียวกัน ในทิศทางที่สามารถเห็นใบหน้าของลินเนอุสได้เป็นอย่างดี ทั้งคู่ไม่ใช่เพื่อนสนิท ไม่เคยร่วมงานกัน แต่ฮาร์คิฟถือเป็นแรงบันดาลใจในช่วงเวลาที่ลินเนอุสเริ่มสร้างตัว คำแนะนำและเงินทุนก้อนหนึ่งซึ่งไม่ได้มากมายนักแต่ด้วยมันสมองระดับอัจฉริยะของลินเนอุส ทำให้เขาก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาร่ำรวยติดอันดับโลก
ลินเนอุสไม่ได้ใส่ใจคำพูดของเธอนัก เพราะกิริยาท่าทางอันอ่อนหวานทำให้เขาไพล่นึกไปถึงผู้หญิงใจร้ายคนหนึ่ง เธอตามหลอกหลอนเขามาหลายปี จนกระทั่งเขาต้องเดินทางมาถึงประเทศไทยเพื่อจัดการบางอย่างให้เสร็จสิ้น เรื่องที่ฮาร์คิฟต้องการจึงเป็นเรื่องเล็กน้อยที่เขาสามารถทำได้โดยไม่ต้องออกแรง แค่เสียเวลาไม่ถึงยี่สิบนาที นั่งฟังบทบรรยายที่เธอทำความเข้าใจมาเป็นอย่างดี
“ตกลงครับ”
อภินราและเลขานุการสาวหันมาสบสายตากันด้วยความตกใจ เพราะต่างฝ่ายต่างยังคิดว่าตัวเองหูฝาดไป หากการพยักหน้าสำทับในคำพูดเมื่อครู่นี้ก็ทำให้อภินรายิ้มออกมาด้วยความดีใจ เธอทำสำเร็จ ความเครียดทั้งหลายทั้งมวลที่อัดแน่นอยู่ในใจมลายหายไปสิ้นราวกับยกภูเขาออกจากอก
“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณที่คุณตัดสินใจลงทุนกับเราในครั้งนี้” อภินรากล่าวทั้งรอยยิ้มอันแช่มชื่น ซึ่งทำให้คนมองเผลอยิ้มออกมาด้วย
“รายละเอียดต่างหรือสัญญาผมจะให้เลขาฯติดต่อไปทีหลัง” ลินเนอุสพูดพลางลุกขึ้นเต็มความสูง เป็นฝ่ายยื่นมือออกมารอสัมผัส “ยินดีที่ได้ร่วมงานกับคุณ”
“เช่นกันค่ะ ขอบคุณมากๆนะคะ” อภินรายังกล่าวขอบคุณเขาอีกครั้งก่อนที่นักลงทุนระดับโลกจะเดินจากไป เธอจึงหันไปสบสายตากับฮาร์คิฟที่นั่งอยู่ไม่ไกลด้วยความดีใจ
“ไม่คิดมาก่อนเลยนะคะว่ามิสเตอร์จะตกลงใจง่ายๆแบบนี้” เลขานุการสาวพูดอย่างไม่อยากเชื่อ
อภินราเองก็คิดเช่นนั้น หากแต่ไม่มีความจำเป็นใดต้องกลับไปคิดถึงเหตุผลในการตัดสินใจของเขา และสายตาคมกริบที่จ้องมองเธออย่างมีความหมาย ไม่กะพริบตาก็ทำให้อภินราขัดเขิน จึงหันมาสั่งให้เลขานุการกลับไปทำหนังสือแจ้งเรื่องนี้กับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ฮาร์คิฟเดินสวนกลับเลขานุการสาวเข้าไปหาอภินราที่ยังยืนอยู่ที่เดิม ดวงตาสีเขียวอมฟ้ายังมองเธอด้วยความต้องการเดิม รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ซึ่งเกิดที่มุมปากยิ่งทำให้เธอทำตัวไม่ถูก “ยิ้มแบบนี้แปลว่าต้องเป็นข่าวดีใช่ไหม?”
“อยากทานอะไรคะ ฉันเป็นเจ้ามือเอง”
“อยากจูบคุณ ได้ไหม?” ตอบอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิดและเขาก็มีวัฒนธรรมพอที่จะพูดให้พอได้ยินกันสองคน
อภินราพูดไม่ออกเมื่อเขาขอด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนให้เธอเห็นใจ จนเธอเผลอไปทั้งใจทว่าโชคยังดีที่ยังตอบปฏิเสธ ไม่เช่นนั้นเธอคงต้องกลายเป็นผู้หญิงใจง่ายอย่างแท้จริง “ฉะ...ฉัน คุณอย่าทำแบบนี้สิคะ ไหนบอกว่ายอมแล้ว”
“จูบเดียวเท่านั้นเอลก้า ถ้าไม่ใช่ผมจะไม่มาให้คุณเห็นหน้าอีกเลย”
แล้วทำไมมันจะไม่ใช่ ในเมื่อว่าเธอเองก็อยากอยู่ใกล้ๆเขา เพียงแค่สามวันที่รู้จักกันในสมองก็มีแต่ใบหน้าของเขาวนเวียนอยู่ในความคิด เธอไม่ใช่เด็กสาวที่จะไม่รู้หัวใจตัวเองเพียงแค่ไม่อาจทำอย่างที่ใจปรารถนาได้ เพราะหน้าที่ของความเป็นลูกยังค้ำคอ
“ฉันกำลังจะแต่งงานค่ะ” ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจพูดประโยคที่ทำร้ายหัวใจตัวเองออกมา
“อะไรนะ?” ฮาร์คิฟถามเสียงสูงอย่างไม่เชื่อ หากเธอยังย้ำด้วยเหตุผลและน้ำเสียงอันหนักแน่น
“จริงๆค่ะ ฉันขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่คุณมอบให้ สัญญาว่าจะไม่ลืมแต่ฉันให้ในสิ่งที่คุณต้องการไม่ได้จริงๆ”
หากยังไม่มีใครได้พูดว่าอย่างไร เสียงห้าวของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น เรียกความสนใจของทั้งคู่ให้หันไปยังต้นกำเนิดของเสียง
“เอลก้า...” ตฤณเรียกคนรักด้วยความดีใจ เขาบึ่งรถจากสนามบินตามเธอมาถึงโรงแรมเพราะอยากเห็นหน้าเธอ อยากบอกความรู้สึกให้เธอรับรู้ว่าดีใจมากแค่ไหนที่ได้ยินว่าเธอตกลงใจที่จะแต่งงานกับเขา อภินรามองผู้ชายที่เดินเข้ามาสมทบสลับกับคนที่ยืนอยู่ข้างๆอย่างกระอักกระอ่วนใจ
“รู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่” อภินราถามด้วยน้ำเสียงเบาโหวง
“พ่อคุณบอก เมื่อกี้นี้ก็เห็นเลขาฯของคุณเดินสวนออกไปพอดี เธอบอกว่าคุณอยู่ในนี้” ตฤณตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม มองคนรักดวงตาเป็นประกาย วันนี้เธอดูสวย เรียบหรูราวกับเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ หากชายร่างสูงที่ยืนอยู่เคียงข้างเธอทำให้เขาเข้าใจว่าเป็นนักลงทุนชื่อดังที่อานันท์บอกเอาไว้ จึงก้มศีรษะให้พร้อมกล่าวคำทักทายในทันที “ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมตฤณ เรืองโกเมศ เป็นคนรักของเธอครับ”
ฮาร์คิฟเบ้ปากอย่างไม่เกรงใจเมื่อได้ยินคำพูดนั้น พลางคิดในใจว่า... ‘ใครถามวะ หรือนั่นมันกำลังข่มเขา’ แต่ก็ยอมยื่นมือไปสัมผัสหากน้ำเสียงที่กล่าวกลับไม่เป็นมิตรเท่าที่ควร “ฮาร์คิฟ ติโมชุก เธอรู้ตัวรึยังว่าได้เป็นคนรักของคุณ”
“ฮาร์คิฟคะ” อภินราปรามและมองเขาอย่างร้องขอ เธอไม่ต้องการที่จะเป็นต้นเหตุให้ทั้งคู่เกิดการวิวาทะในที่ที่มีคนพลุกพล่านเช่นนี้
“ผมหมายถึง ไม่เคยได้ยินเธอพูดถึงคุณสักครั้ง” ฮาร์คิฟเปลี่ยนคำถามให้รื่นหูขึ้นเพราะเห็นแก่สายตาที่มองมาอย่างขอความเห็นใจ หากแต่เธอไม่ปล่อยให้สถานการณ์อันน่าอึดอัดใจนี้ไว้นาน รีบตัดบทสนทนาในทันที
“คุณขับรถมาเองรึเปล่าคะตฤณ” เมื่อได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้า จึงรีบบอกให้เขาไปรอที่รถ “งั้นไปรอที่รถก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะรีบตามไป”
ใจจริงแล้วตฤณอยากเดินออกมาพร้อมเธอ แต่ก็ไม่รู้จะทำเช่นไรเมื่อเธอออกแรงผลักแผ่นหลังให้เดินออกมาจากวงสนทนาราวกับมีความลับที่ไม่อาจให้ใครล่วงรู้ แน่ล่ะว่าเขาเดินออกมาหลบที่ประตูหน้าคอฟฟี่ช็อปเพื่อเฝ้ามองปฏิกิริยาของทั้งคู่
“หวังว่าคงเข้าใจที่ฉันพูดนะคะ ขอบคุณอีกครั้งสำหรับทุกอย่าง”
ฮาร์คิฟยึดข้อมือของคนที่จะเดินหนีหน้าเอาไว้เสียก่อน “คุณยังมีหนี้ค้างผมอยู่ อย่าคิดโกงด้วยการเดินหนีแบบนี้ อภินรา”
“ไม่ได้หนีค่ะ แค่จะขอผัดผ่อนเป็นวันหลัง เพราะวันนี้ฉันมีนัดทานข้าวเย็นกับคนรักแล้ว”
คำว่า ‘คนรัก’ ที่เธอพูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำทำให้เขานิ่งงันไปชั่วขณะและเป็นโอกาสให้เธอบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมของเขาได้ หากการเดินหันหลังให้เขาทำให้เธอรู้สึกเจ็บที่หัวใจ มันบีบคั้นจนไม่เข้าใจตัวเองว่า ทำไมถึงได้อ่อนไหวกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้เหลือเกิน แต่ก็ต้องตัดใจก่อนที่จะถลำลึกจนไม่สามารถสั่งใจตัวเองได้อีก
ตฤณบังคับรถออกจากโรงแรมหรูด้วยความเคลือบแคลงใจ ใบหน้าเรียบเฉยแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความหนักใจ เธอนั่งนิ่งราวกับคนมีเรื่องต้องคิด ความเงียบที่เกิดขึ้นทำให้เขาต้องเอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่เต็มเสียงนัก
“มีเรื่องหนักใจอะไรรึเปล่า เล่าให้ผมฟังได้นะ” เธอเพียงแค่หันมายิ้มและส่ายหน้า จากนั้นก็นั่งเงียบเช่นเดิม “หรือว่าเขาไม่ตกลงในลงทุนกับเรา?”
“ไม่ใช่ค่ะ ที่คุณคุยกับเขาเมื่อครู่นี้เป็นคุณลุงของซีโล ไม่ใช่นักลงทุนต่างชาติที่ฉันมาคุยด้วย ส่วนเรื่องงาน มิสเตอร์ลินเนอุสตอบตกลงค่ะ ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี”
“อ้าว! ผมเพิ่งรู้ว่าแม่ของซีโลมีพี่ชายด้วย” ตฤณถามอย่างแปลกใจ ถึงแม้ว่าเขาจะเพิ่งเข้ามาสนิทสนมกับอภินรา แต่ประวัติของครอบครัววรโชติโดยทั่วไปแล้วคนส่วนมากก็รับรู้เหมือนๆกันนั่นคือ ซีโลเป็นทายาทรุ่นต่อไปที่พ่อแม่ตายเมื่อสามปีที่แล้ว
“เป็นพี่ชายคนละแม่น่ะค่ะ เขาเดินทางมาเยี่ยมซีโลได้สามสี่วันแล้ว” อภินราตอบแล้วหันไปถามถึงเรื่องส่วนตัวของเขาบ้าง “เล่าเรื่องคุณดีกว่า งานที่โน่นราบรื่นดีไหมคะ”
ตฤณเล่าเรื่องราวของตัวเองในช่วงสามวันที่ไม่พบหน้ากันอย่างละเอียด แต่เรื่องงานยังไม่ทำให้เขาดีใจเท่ากับรู้ว่าเธอตกลงใจที่จะเป็นเจ้าสาวของเขา พิธีแต่งงาน แหวนหมั้น เรือนหอ รถยนต์ เป็นสิ่งที่ออกจากปากของเขาแต่เธอกลับไร้ความรู้สึก ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่เจ้าสาวทั่วไปควรจะตื่นเต้น เธอไม่สามารถจินตนาการได้ว่าเมื่อสวมชุดเจ้าสาวแล้ว คนที่ยืนอยู่เคียงข้างคือตฤณ
หากในวินาทีเดียวกันนั้น ใบหน้าของฮาร์คิฟกลับแจ่มชัดจนเธอเหนื่อยกับหัวใจของตัวเองที่บัดนี้กลายเป็นของฮาร์คิฟแล้วทั้งใจ!
ใบหน้าหล่อเหลาที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของฮาร์คิฟแวบขึ้นมาในสมองทันที หากไม่มีเขาก็ไม่แน่ว่าเธอคงตัดสินใจหั่นราคาให้ต่ำลงมาอีกจนเหลือกำไรน้อยเต็มที คำพูด แววตา สีหน้าที่ให้กำลังใจยังเด่นชัดในความทรงใจ เธออยากขอบคุณเขาจากใจจริง หากเสียงหวานที่ดังขึ้นผ่านอินเตอร์คอมก็ทำให้อภินรา หยุดคิดเรื่องนี้เสียก่อน เพราะวันนี้ยังมีเรื่องสำคัญที่รอให้เธอไปจัดการ
“คุณเอลก้าคะ รถพร้อมจอดรออยู่ด้านล่างแล้วนะคะ”
นิ้วเรียวของอภินรายื่นไปกดปุ่มตอบกลับเลขานุการหน้าห้องในทันที “เธอลงไปรอที่รถก่อน เดี๋ยวฉันจะตามลงไปในห้านาที”
“ค่ะ” เลขานุการรับคำสั้นๆ
อภินราลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ของตนไปยังห้องน้ำ เพื่อสำรวจตรวจตราความเรียบร้อยของตนก่อนที่จะเข้าพบลินเนอุส คอนราดสัน นักลงทุนมันสมองระดับอัจฉริยะที่ไม่ว่าขยับตัวทำอะไร ก็ส่งผลต่อเศรษฐกิจของโลก ความประหม่าที่ต้องเข้าพบกับคนเก่งกาจเช่นนี้ทำให้อภินราหัวใจเต้นแรง อดคิดถึงคนขี้โอ่ที่การันตีว่าเธอต้องทำสำเร็จเพียงเพราะใช้ตัวเลขไม่กี่ตัว แต่ตอนนี้กลับหายหน้าไม่เห็นแม้กระทั่งเงา
หากเธอไม่มีเวลาที่จะคิดเรื่องอื่นใดจึงรีบเดินออกจากห้องเพื่อเดินทางไปพบกับมิสเตอร์ลินเนอุสในคอฟฟี่ช็อปของโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง อภินราส่ายหน้าให้กับตัวเองเพราะเมื่อคืนหลังจากที่เตรียมตอบคำถามเกี่ยวกับโครงการเป็นอย่างดีแล้ว เธอยังเบียดเบียนเวลาพักผ่อนที่เหลือน้อยเต็มทีด้วยการนั่งคำนวณผลกำไรที่เฉลี่ยนาทีตามที่ฮาร์คิฟบอก ซึ่งมันทำให้เธอได้หลับไปไม่ถึงสองชั่วโมงก่อนฟ้าสาง
ฮาร์คิฟมองภาพของผู้หญิงที่เดินออกมาจากลิฟต์นิ่งงันไปครู่ใหญ่ เดรสแขนกลายสีเทาเข้มยาวเสมอหัวเข่ากับรองเท้าส้นสูงสีดำที่มีสายหนังเส้นเล็กๆรัดข้อเท้า มีกระเป๋าหนังแบรนด์ดังของฝรั่งเศสคล้องที่แขนส่งผลให้เธอดูเป็นผู้หญิงที่สง่างามที่สุด แม้ไม่มีเครื่องประดับวาววับสักชิ้น แต่เขาก็รู้ได้ว่าทุกสิ่งที่อยู่บนเรือนร่างน่าปรารถนาราคาแพงระยับทั้งนั้น แน่นอนว่าเขาไม่ใช่พวกบ้าแบรนด์เนม แต่เมื่อเห็นมันรวมอยู่บนตัวเธอแล้วกลับน่ามอง ไม่ทำให้เขาเห็นว่ามันตลกเมื่อเทียบกับผู้หญิงทั่วไปที่ประโคมของแพงไว้บนตัวเช่นนี้
อภินรากะพริบตาถี่ๆไม่อยากเชื่อสายตาว่าผู้ชายที่อยู่ในห้วงความคิดจะยืนอยู่ตรงหน้า เขายิ้มด้วยความพึงใจอย่างเปิดเผย มองเธอนิ่งอยู่ครู่ใหญ่จนเธอก้าวลงจากบันไดไปยืนตรงหน้า มือใหญ่ถึงได้เปิดประตูรถยนต์ออกกว้าง
“ทำไมต้องสวยขนาดนี้ด้วยนะเอลก้า” ฮาร์คิฟครางออกมาราวกับไม่รู้ตัว หากอยู่เพียงลำพังเขาคงใช้มือดึงทึ้งผมตัวเอง แล้วโอดครวญกับตัวเองว่าไม่อยากให้ไอ้หน้าไหนมันได้เห็นเธอ!
“อย่าล้อฉันอย่างนี้สิคะ แล้วคุณมา...”
“มารับคุณนั่นแหละ ขึ้นรถเร็วเข้าเดี๋ยวจะสาย” บอกพลางดันแผ่นหลังบอบบางให้เข้าไปในรถและดักคอเธอเอาไว้อย่างรู้ทันความคิด บุ้ยใบ้ไปยังร่างของคนสนิทที่เดินไปบอกคนขับรถของเธอให้ล่วงหน้าไปยังโรงแรมเสียก่อน
“เดี๋ยวนัดพวกเขาไปเจอกันที่โรงแรมเลย”
อภินราถอนหายใจเมื่อไม่สามารถโต้แย้งได้ เขาถือวิสาสะจัดการเรื่องทุกอย่างทั้งที่เธอยังไม่ได้มีโอกาสอ้าปากเอื้อนเอ่ยสักนิด “ผู้ชายยูเครนนี่เขาเผด็จการกันอย่างนี้ทุกคนเหรอคะ”
ฮาร์คิฟหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจกับคำประชดประชันของเธอ “ที่ผมทำนี่เขาเรียกกันว่าทรีตจ้ะ ถึงแม้ว่ายูเครนจะเคยเป็นประเทศคอมมิวนิสต์แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว อย่ากล่าวหากันรุนแรงแบบนั้น”
อภินราอมยิ้มเพราะถึงอย่างไรเธอยังค้างคำขอบคุณสำหรับเรื่องงานประมูลเมื่อวาน “ขอบคุณนะคะ ฉันชนะงานประมูลเมื่อวานนี้”
“อา... โชคเข้าข้างผมด้วยสิ” ฮาร์คิฟครางแล้วชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ๆเธอ ทวงคำสัญญาที่กลายเป็นว่าเธอติดค้างเขาเพิ่มเป็นสองเท่า “แปลว่าคุณค้างจูบผมอยู่นะเอลก้า”
อภินราทำตาโต ส่ายหน้าอย่างไม่ยอม รีบดันใบหน้าคร้ามคมที่ก้มลงมาหาพร้อมกับร้องห้ามเป็นพัลวัน “อย่าทำบ้าๆนะฮาร์คิฟ อายคนอื่นบ้างสิ”
“รามานมันตาบอด”
คำพูดที่ดังขึ้นทำให้คนขับรถตาบอดเหลือบสายตามองกระจกเพียงแวบเดียว แล้วหันมาทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป
อภินรารีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเมื่อเห็นว่าเขาก้มลงมาหาอีกครั้ง พูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ที่เขายังจับใจความได้ “ถ้าจูบฉันโกรธจริงๆด้วย”
ฮาร์คิฟจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ แปลกใจว่าทำไมเธอต้องทำเป็นต่อต้านทั้งที่ก็อยากได้สัมผัสของเขาเช่นกัน ท่าทางเธอเหมือนสาวไม่ประสากับเรื่องรักใคร่ ทั้งที่เธอกำลังคบหาอยู่กับไอ้หน้าจืดนั่นแล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไรที่หญิงชายสมัยนี้จะคบกันโดยปราศจากเรื่องเซ็กซ์
หากการเคลื่อนตัวกลับไปนั่งที่เดิม ทั้งยังมีท่าทางนิ่งเงียบก็ทำให้อภินราเข้าใจไปว่าเขาโกรธหรืออาจเบื่อที่ต้องเล่นเกมตามตื้อตนเช่นนี้ เข้าใจว่าเขาอาจถูกตาต้องใจ แต่เธอไม่พร้อมและไม่สามารถที่จะปล่อยตัวให้ผู้ชายสักคนอย่างง่ายดายเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นลูกครึ่งชาติเดียวกับเขา แต่ผู้เป็นแม่ก็จากไปตั้งแต่เธออายุสองขวบ เธอแทบจะไม่ได้รับการปลูกฝังอะไรอย่างคนตะวันตก ในขณะที่เติบโตและรับเอาแบบแผนการประพฤติตัวอย่างชาวไทยไว้เต็มเปี่ยม
“ขอโทษที่ทำให้โกรธนะคะ แต่ฉันเคยบอกคุณแล้วว่าไม่นิยมความสัมพันธ์แบบฉาบฉวย”
“ผมก็เคยบอกคุณแล้วเหมือนกันว่าต้องการคุณทุกนาที” อันที่จริงทุกลมหายใจเข้า-ออกด้วยซ้ำ มันอัดแน่นจนแทบระเบิด ไม่มีวันไหนที่เขาหลับตาลงได้อย่างปกติ ใจมันร้อนรุ่มอยากลิ้มรสชาติของเธอว่ามันจะเลิศเลอเพียงใด “คุณต้องการให้ผมทำยังไงเอลก้า ดอกไม้ เครื่องเพชรหรืออะไรก็พูดมาเลย”
น้ำเสียงหงุดหงิดใจของเขาทำให้คนฟังทั้งสองรู้สึกแตกต่างกันออกไป รามานอดสงสัยไม่ได้ว่าเจ้านายกำลังเล่นเกมกับเธอเพียงเพราะต้องการหว่านล้อมให้เธอติดบ่วง แต่เท่าที่ได้เห็นปฏิกิริยาของท่าน เขาแทบจะเชื่อว่าเจ้านายกำลังจีบหญิงสาวจริงๆ
อภินราเองก็จนใจที่จะอธิบายเพราะผู้ชายไม่ว่ายากดีมีจนอย่างไรก็คงหวังแต่เรือนร่างและความสัมพันธ์เร่าร้อนทั้งนั้น เธอเองก็ไม่อยากยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นข้อโต้แย้งจนทำให้เสียความรู้สึกอันดีต่อกัน อย่างไรเสียเขาก็เป็นลุงของซีโลและยังช่วยเหลือเธอ “เอาเป็นว่าฉันจะลืมๆคำพูดที่คุณดูหมิ่นฉันไปนะคะ ดอกไม้หรือเครื่องเพชรอะไรนั่นฉันคิดว่าหาเองได้ ไม่รบกวนคุณหรอกค่ะ”
คำพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับสัมผัสได้ว่าเธอกำลังเสียใจทำให้ฮาร์คิฟมองหน้าเธอ หัวใจกระตุบวาบด้วยความสงสาร สุดท้ายต้องเบนหน้าหนีจากแววตาเจ็บช้ำ
“อันที่จริง ฉันอยากขอบคุณเรื่องเมื่อวาน ขอบคุณสำหรับของขวัญในแบบผู้ชายที่ฉันไม่คาดคิดว่าซีโลจะชอบมัน ส่วนคำแนะนำในเรื่องที่จะไปพบกับมิสเตอร์ลินเนอุส ฉันจะลองทำตาม และยืนยันว่าอยากเลี้ยงข้าวตอบแทนคุณสักมื้อ ฉันคงให้คุณได้เท่านั้นจริงๆ”
“ที่ผมต้องการคุณก็ให้ได้เหมือนกันนั่นแหละเอลก้า”
“เรื่องแบบนี้มันต้องเต็มใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย คุณชอบใจเหรอคะ ถ้าจะปล้นเอาความรู้สึกละเอียดอ่อนแบบนั้นจากฉัน”
ฮาร์คิฟหรี่ตามองผู้หญิงที่ทำให้เขารู้สึกไม่ต่างจากไอ้หื่นกาม เธอฉลาดเป็นกรด ทั้งคำพูด การวางตัวมีแรงดึงดูเช่นนี้สินะ ถึงทำให้ใครต่อใครหลงใหลได้ปลื้ม หากไอ้หน้าโง่นั่นก็รวมเขาเข้าไปด้วยอีกคน
เมื่อเธอเงียบ มองออกไปข้างทางอย่างไร้จุดหมาย สุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้ความเงียบงันนั้น “เอาล่ะๆ ผมยอมคุณแล้ว”
อภินราลอบยิ้มในใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น อย่างน้อยเธอก็สะดวกใจที่จะพูดคุยอยู่ใกล้เขากว่าตอนที่เขาเอาแต่ยกเรื่อง ‘จูบ’ ขึ้นมาอ้าง หากคำพูดต่อไปของเขากลับทำให้เธอมองอย่างไม่เข้าใจ
“คุณน่าจะหาเสื้อมาคลุมสักหน่อย ผมว่าชุดคุณมันเน้นสัดส่วนเกินไป” ฮาร์คิฟพยักหน้าสำทับคำพูดของตัวเองเมื่อเธอมองหน้าตนแล้วก้มลงมองชุดของตัวเอง “เอาสูทผมคลุมทับก็ได้”
อภินราส่ายหน้าเพราะถ้าทำอย่างนั้นเธอคงไม่ต่างจากตัวตลกและทำให้เสียบุคลิกภาพยิ่งนัก ท่าทาง สายตา คำพูดของเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าหวงแหนเธอ แม้ตกใจกับความคิดที่เกิดขึ้นแต่ก็สุขใจอย่างบอกไม่ถูก “อย่าพาล อย่าหาเรื่องสิคะ ใกล้จะถึงแล้วคุณน่าจะปล่อยให้ฉันทำสมาธิบ้าง”
หากสิ่งที่หลุดออกจากปากฮาร์คิฟทำให้เป็นวิธีการพูดจูงใจอันน่าเหลือเชื่อ ทำให้เธอได้รู้ว่าวิสัยทัศน์ของนักธุรกิจที่มีผลประกอบการติดอันดับโลกมีวิธีคิดที่แตกต่างไปจากคนทั่วไปเช่นนี้ เขาสรุปโครงการที่เธอเสียเวลาทำความเข้าใจทั้งคืนออกมาไม่ถึงสิบประโยค สุดท้ายยังไม่พ้นโอ่ตัวว่าต้องสำเร็จเป็นแน่
“เข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม มีอะไรสงสัยถามมาได้เลย” ฮาร์คิฟเปิดโอกาส หากเธอช่างนักรักน่าชังยิ่งนักเมื่อมองเขาตาโตส่ายหน้าอย่างไร้ข้อกังขา “ปล่อยตัวตามสบาย ยิ่งคุณแสดงความประหม่าให้เขาเห็นเท่าไหร่ นั่นก็ไม่ต่างจากแสดงจุดด้อยในโครงการเท่านั้น”
จบคำพูดรถยนต์ก็จอดสนิทหน้าโรงแรมที่นัดหมาย ฮาร์คิฟเปิดประตูและก้าวลงไปจากรถก่อน จากนั้นจึงหมุนตัวกลับมาแล้วยื่นมือไปช่วยพยุงเธอออกมาจากรถ ท่าทางเอาใจใส่ดังกล่าวอยู่ในสายตาของเลขานุการที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว ในใจนั้นส่งเสียงเชียร์หนุ่มต่างชาติคนนี้มากกว่าตฤณ ที่มาเทียวไล้เทียวขื่อเจ้านายสาวของเธออยู่พักใหญ่
ไม่กี่นาทีต่อมาอภินราก็มีโอกาสได้รู้จักกับนักลงทุนระดับโลก ลินเนอุส คอนราดสัน วิธีการนั่งนิ่ง รับฟังในสิ่งที่เธอพูดของเขาแทบไม่ต่างจากฮาร์คิฟ มันทำให้เธอเข้าใจได้ว่า คนที่ทำธุรกิจซึ่งมีมูลค่านับไม่ถ้วนย่อมมีบุคลิกที่ข่มขวัญคนอื่นได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งการมอง
ฮาร์คิฟนั่งอยู่ในคอฟฟี่ช็อปของโรงแรม ห่างจากโต๊ะตัวที่อภินราและเลขานุการของเธออยู่สองโต๊ะในระนาบเดียวกัน ในทิศทางที่สามารถเห็นใบหน้าของลินเนอุสได้เป็นอย่างดี ทั้งคู่ไม่ใช่เพื่อนสนิท ไม่เคยร่วมงานกัน แต่ฮาร์คิฟถือเป็นแรงบันดาลใจในช่วงเวลาที่ลินเนอุสเริ่มสร้างตัว คำแนะนำและเงินทุนก้อนหนึ่งซึ่งไม่ได้มากมายนักแต่ด้วยมันสมองระดับอัจฉริยะของลินเนอุส ทำให้เขาก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาร่ำรวยติดอันดับโลก
ลินเนอุสไม่ได้ใส่ใจคำพูดของเธอนัก เพราะกิริยาท่าทางอันอ่อนหวานทำให้เขาไพล่นึกไปถึงผู้หญิงใจร้ายคนหนึ่ง เธอตามหลอกหลอนเขามาหลายปี จนกระทั่งเขาต้องเดินทางมาถึงประเทศไทยเพื่อจัดการบางอย่างให้เสร็จสิ้น เรื่องที่ฮาร์คิฟต้องการจึงเป็นเรื่องเล็กน้อยที่เขาสามารถทำได้โดยไม่ต้องออกแรง แค่เสียเวลาไม่ถึงยี่สิบนาที นั่งฟังบทบรรยายที่เธอทำความเข้าใจมาเป็นอย่างดี
“ตกลงครับ”
อภินราและเลขานุการสาวหันมาสบสายตากันด้วยความตกใจ เพราะต่างฝ่ายต่างยังคิดว่าตัวเองหูฝาดไป หากการพยักหน้าสำทับในคำพูดเมื่อครู่นี้ก็ทำให้อภินรายิ้มออกมาด้วยความดีใจ เธอทำสำเร็จ ความเครียดทั้งหลายทั้งมวลที่อัดแน่นอยู่ในใจมลายหายไปสิ้นราวกับยกภูเขาออกจากอก
“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณที่คุณตัดสินใจลงทุนกับเราในครั้งนี้” อภินรากล่าวทั้งรอยยิ้มอันแช่มชื่น ซึ่งทำให้คนมองเผลอยิ้มออกมาด้วย
“รายละเอียดต่างหรือสัญญาผมจะให้เลขาฯติดต่อไปทีหลัง” ลินเนอุสพูดพลางลุกขึ้นเต็มความสูง เป็นฝ่ายยื่นมือออกมารอสัมผัส “ยินดีที่ได้ร่วมงานกับคุณ”
“เช่นกันค่ะ ขอบคุณมากๆนะคะ” อภินรายังกล่าวขอบคุณเขาอีกครั้งก่อนที่นักลงทุนระดับโลกจะเดินจากไป เธอจึงหันไปสบสายตากับฮาร์คิฟที่นั่งอยู่ไม่ไกลด้วยความดีใจ
“ไม่คิดมาก่อนเลยนะคะว่ามิสเตอร์จะตกลงใจง่ายๆแบบนี้” เลขานุการสาวพูดอย่างไม่อยากเชื่อ
อภินราเองก็คิดเช่นนั้น หากแต่ไม่มีความจำเป็นใดต้องกลับไปคิดถึงเหตุผลในการตัดสินใจของเขา และสายตาคมกริบที่จ้องมองเธออย่างมีความหมาย ไม่กะพริบตาก็ทำให้อภินราขัดเขิน จึงหันมาสั่งให้เลขานุการกลับไปทำหนังสือแจ้งเรื่องนี้กับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ฮาร์คิฟเดินสวนกลับเลขานุการสาวเข้าไปหาอภินราที่ยังยืนอยู่ที่เดิม ดวงตาสีเขียวอมฟ้ายังมองเธอด้วยความต้องการเดิม รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ซึ่งเกิดที่มุมปากยิ่งทำให้เธอทำตัวไม่ถูก “ยิ้มแบบนี้แปลว่าต้องเป็นข่าวดีใช่ไหม?”
“อยากทานอะไรคะ ฉันเป็นเจ้ามือเอง”
“อยากจูบคุณ ได้ไหม?” ตอบอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิดและเขาก็มีวัฒนธรรมพอที่จะพูดให้พอได้ยินกันสองคน
อภินราพูดไม่ออกเมื่อเขาขอด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนให้เธอเห็นใจ จนเธอเผลอไปทั้งใจทว่าโชคยังดีที่ยังตอบปฏิเสธ ไม่เช่นนั้นเธอคงต้องกลายเป็นผู้หญิงใจง่ายอย่างแท้จริง “ฉะ...ฉัน คุณอย่าทำแบบนี้สิคะ ไหนบอกว่ายอมแล้ว”
“จูบเดียวเท่านั้นเอลก้า ถ้าไม่ใช่ผมจะไม่มาให้คุณเห็นหน้าอีกเลย”
แล้วทำไมมันจะไม่ใช่ ในเมื่อว่าเธอเองก็อยากอยู่ใกล้ๆเขา เพียงแค่สามวันที่รู้จักกันในสมองก็มีแต่ใบหน้าของเขาวนเวียนอยู่ในความคิด เธอไม่ใช่เด็กสาวที่จะไม่รู้หัวใจตัวเองเพียงแค่ไม่อาจทำอย่างที่ใจปรารถนาได้ เพราะหน้าที่ของความเป็นลูกยังค้ำคอ
“ฉันกำลังจะแต่งงานค่ะ” ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจพูดประโยคที่ทำร้ายหัวใจตัวเองออกมา
“อะไรนะ?” ฮาร์คิฟถามเสียงสูงอย่างไม่เชื่อ หากเธอยังย้ำด้วยเหตุผลและน้ำเสียงอันหนักแน่น
“จริงๆค่ะ ฉันขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่คุณมอบให้ สัญญาว่าจะไม่ลืมแต่ฉันให้ในสิ่งที่คุณต้องการไม่ได้จริงๆ”
หากยังไม่มีใครได้พูดว่าอย่างไร เสียงห้าวของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น เรียกความสนใจของทั้งคู่ให้หันไปยังต้นกำเนิดของเสียง
“เอลก้า...” ตฤณเรียกคนรักด้วยความดีใจ เขาบึ่งรถจากสนามบินตามเธอมาถึงโรงแรมเพราะอยากเห็นหน้าเธอ อยากบอกความรู้สึกให้เธอรับรู้ว่าดีใจมากแค่ไหนที่ได้ยินว่าเธอตกลงใจที่จะแต่งงานกับเขา อภินรามองผู้ชายที่เดินเข้ามาสมทบสลับกับคนที่ยืนอยู่ข้างๆอย่างกระอักกระอ่วนใจ
“รู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่” อภินราถามด้วยน้ำเสียงเบาโหวง
“พ่อคุณบอก เมื่อกี้นี้ก็เห็นเลขาฯของคุณเดินสวนออกไปพอดี เธอบอกว่าคุณอยู่ในนี้” ตฤณตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม มองคนรักดวงตาเป็นประกาย วันนี้เธอดูสวย เรียบหรูราวกับเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ หากชายร่างสูงที่ยืนอยู่เคียงข้างเธอทำให้เขาเข้าใจว่าเป็นนักลงทุนชื่อดังที่อานันท์บอกเอาไว้ จึงก้มศีรษะให้พร้อมกล่าวคำทักทายในทันที “ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมตฤณ เรืองโกเมศ เป็นคนรักของเธอครับ”
ฮาร์คิฟเบ้ปากอย่างไม่เกรงใจเมื่อได้ยินคำพูดนั้น พลางคิดในใจว่า... ‘ใครถามวะ หรือนั่นมันกำลังข่มเขา’ แต่ก็ยอมยื่นมือไปสัมผัสหากน้ำเสียงที่กล่าวกลับไม่เป็นมิตรเท่าที่ควร “ฮาร์คิฟ ติโมชุก เธอรู้ตัวรึยังว่าได้เป็นคนรักของคุณ”
“ฮาร์คิฟคะ” อภินราปรามและมองเขาอย่างร้องขอ เธอไม่ต้องการที่จะเป็นต้นเหตุให้ทั้งคู่เกิดการวิวาทะในที่ที่มีคนพลุกพล่านเช่นนี้
“ผมหมายถึง ไม่เคยได้ยินเธอพูดถึงคุณสักครั้ง” ฮาร์คิฟเปลี่ยนคำถามให้รื่นหูขึ้นเพราะเห็นแก่สายตาที่มองมาอย่างขอความเห็นใจ หากแต่เธอไม่ปล่อยให้สถานการณ์อันน่าอึดอัดใจนี้ไว้นาน รีบตัดบทสนทนาในทันที
“คุณขับรถมาเองรึเปล่าคะตฤณ” เมื่อได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้า จึงรีบบอกให้เขาไปรอที่รถ “งั้นไปรอที่รถก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะรีบตามไป”
ใจจริงแล้วตฤณอยากเดินออกมาพร้อมเธอ แต่ก็ไม่รู้จะทำเช่นไรเมื่อเธอออกแรงผลักแผ่นหลังให้เดินออกมาจากวงสนทนาราวกับมีความลับที่ไม่อาจให้ใครล่วงรู้ แน่ล่ะว่าเขาเดินออกมาหลบที่ประตูหน้าคอฟฟี่ช็อปเพื่อเฝ้ามองปฏิกิริยาของทั้งคู่
“หวังว่าคงเข้าใจที่ฉันพูดนะคะ ขอบคุณอีกครั้งสำหรับทุกอย่าง”
ฮาร์คิฟยึดข้อมือของคนที่จะเดินหนีหน้าเอาไว้เสียก่อน “คุณยังมีหนี้ค้างผมอยู่ อย่าคิดโกงด้วยการเดินหนีแบบนี้ อภินรา”
“ไม่ได้หนีค่ะ แค่จะขอผัดผ่อนเป็นวันหลัง เพราะวันนี้ฉันมีนัดทานข้าวเย็นกับคนรักแล้ว”
คำว่า ‘คนรัก’ ที่เธอพูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำทำให้เขานิ่งงันไปชั่วขณะและเป็นโอกาสให้เธอบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมของเขาได้ หากการเดินหันหลังให้เขาทำให้เธอรู้สึกเจ็บที่หัวใจ มันบีบคั้นจนไม่เข้าใจตัวเองว่า ทำไมถึงได้อ่อนไหวกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้เหลือเกิน แต่ก็ต้องตัดใจก่อนที่จะถลำลึกจนไม่สามารถสั่งใจตัวเองได้อีก
ตฤณบังคับรถออกจากโรงแรมหรูด้วยความเคลือบแคลงใจ ใบหน้าเรียบเฉยแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความหนักใจ เธอนั่งนิ่งราวกับคนมีเรื่องต้องคิด ความเงียบที่เกิดขึ้นทำให้เขาต้องเอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่เต็มเสียงนัก
“มีเรื่องหนักใจอะไรรึเปล่า เล่าให้ผมฟังได้นะ” เธอเพียงแค่หันมายิ้มและส่ายหน้า จากนั้นก็นั่งเงียบเช่นเดิม “หรือว่าเขาไม่ตกลงในลงทุนกับเรา?”
“ไม่ใช่ค่ะ ที่คุณคุยกับเขาเมื่อครู่นี้เป็นคุณลุงของซีโล ไม่ใช่นักลงทุนต่างชาติที่ฉันมาคุยด้วย ส่วนเรื่องงาน มิสเตอร์ลินเนอุสตอบตกลงค่ะ ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี”
“อ้าว! ผมเพิ่งรู้ว่าแม่ของซีโลมีพี่ชายด้วย” ตฤณถามอย่างแปลกใจ ถึงแม้ว่าเขาจะเพิ่งเข้ามาสนิทสนมกับอภินรา แต่ประวัติของครอบครัววรโชติโดยทั่วไปแล้วคนส่วนมากก็รับรู้เหมือนๆกันนั่นคือ ซีโลเป็นทายาทรุ่นต่อไปที่พ่อแม่ตายเมื่อสามปีที่แล้ว
“เป็นพี่ชายคนละแม่น่ะค่ะ เขาเดินทางมาเยี่ยมซีโลได้สามสี่วันแล้ว” อภินราตอบแล้วหันไปถามถึงเรื่องส่วนตัวของเขาบ้าง “เล่าเรื่องคุณดีกว่า งานที่โน่นราบรื่นดีไหมคะ”
ตฤณเล่าเรื่องราวของตัวเองในช่วงสามวันที่ไม่พบหน้ากันอย่างละเอียด แต่เรื่องงานยังไม่ทำให้เขาดีใจเท่ากับรู้ว่าเธอตกลงใจที่จะเป็นเจ้าสาวของเขา พิธีแต่งงาน แหวนหมั้น เรือนหอ รถยนต์ เป็นสิ่งที่ออกจากปากของเขาแต่เธอกลับไร้ความรู้สึก ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่เจ้าสาวทั่วไปควรจะตื่นเต้น เธอไม่สามารถจินตนาการได้ว่าเมื่อสวมชุดเจ้าสาวแล้ว คนที่ยืนอยู่เคียงข้างคือตฤณ
หากในวินาทีเดียวกันนั้น ใบหน้าของฮาร์คิฟกลับแจ่มชัดจนเธอเหนื่อยกับหัวใจของตัวเองที่บัดนี้กลายเป็นของฮาร์คิฟแล้วทั้งใจ!
ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 มิ.ย. 2558, 12:55:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 มิ.ย. 2558, 12:55:37 น.
จำนวนการเข้าชม : 1242
<< ตอนที่ 6 100% | ตอนที่ 8 100% >> |