สุดฝัน...นิรันดร์...ปลายฟ้า
สุดฝัน ในหัวของเธอมีความฝันอัดแน่น แต่ยังไม่ถึงเวลา ความขุ่นเคืองในใจถูกเก็บไว้มิดชิดมาตลอด เธอแค่รอเวลาที่จะสะสางทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง
นิรันดร์ ผู้ชายขี้หงุดหงิด ทุกสิ่งล้วนขัดลูกกะตาเขา มีสิ่งเดียวที่คนอย่างเขายอมกระโดดเข้าปกป้อง คือ...ครอบครัว กระจกร้าวๆ บานหนึ่งที่พร้อมแตกออกเป็นเสี่ยงตลอดเวลา
ปลายฟ้า เสียงหัวเราะของสุดฝัน เขาใช้ชีวิตเป็นลูกชายของแม่บ้านที่อยู่ในบ้านของสุดฝัน เขาไม่เคยนึกอิจฉาชีวิตที่เป็นอยู่ ยิ่งไม่เคยคิดอาจเอื้อม สำหรับเขาสุดฝันคือเด็กหญฺงตัวน้อยที่หัวเราะไม่เป็นของเขาเสมอ
นิรันดร์ ผู้ชายขี้หงุดหงิด ทุกสิ่งล้วนขัดลูกกะตาเขา มีสิ่งเดียวที่คนอย่างเขายอมกระโดดเข้าปกป้อง คือ...ครอบครัว กระจกร้าวๆ บานหนึ่งที่พร้อมแตกออกเป็นเสี่ยงตลอดเวลา
ปลายฟ้า เสียงหัวเราะของสุดฝัน เขาใช้ชีวิตเป็นลูกชายของแม่บ้านที่อยู่ในบ้านของสุดฝัน เขาไม่เคยนึกอิจฉาชีวิตที่เป็นอยู่ ยิ่งไม่เคยคิดอาจเอื้อม สำหรับเขาสุดฝันคือเด็กหญฺงตัวน้อยที่หัวเราะไม่เป็นของเขาเสมอ
Tags: สุดฝัน นิรันดร์ ปลายฟ้า
ตอน: บทที่ 1 : สุดฝัน
บทที่ 1
ร่างบอบบางก้มๆ เงยๆ อยู่หลังพุ่มไม้ มือจับเสียมขุดดินลงไม้ดอกแปลงใหม่แทนแปลงเก่าที่เหี่ยวเฉาไปตามกาลเวลา ใบหน้าชุ่มเหงื่อปรากฏแววเหนื่อยล้า และซีดเซียวพร้อมล้มตลอดเวลา แต่ความดื้อดึงในแววตาทำให้เธอยังยืนหยัดที่จะขุดดินต่อไป โดยไม่สนใจอากาศมืดครึ้ม ท้องฟ้าร้องครืนเบื้องบนในตอนนี้
“เธอก็รู้ว่ามันไม่คุ้ม”
มือที่ปริแตกจนแสบผิวจากการขุดดินกำรอบด้ามเสียมไว้แน่น ปากบางกัดเม้มจนเจ็บก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองเงาสูงที่พูดอยู่ตรงหน้า จากนั้นจึงหยิบดอกกุหลาบมาแกะถุงดำออก และวางตัวต้นลงไปในหลุม ใช้มือกวาดดินกลบ
“ทำไมไม่ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ” นิรันดร์กระชากเสียงถามยิ่งขึ้นเมื่อคนฟังเบื้องหน้าเขาดื้อด้านเกินทน ผู้หญิงตรงหน้าเขากำลังเป็นสิ่งมีชีวิตอะไรสักอย่างที่เหมือนคน แต่ไม่ใช่คน มีความคิด แต่ไร้ความรู้สึก! กลับมาสอบสัมภาษณ์รายงานตัวเข้ามหาวิทยาลัยเรียบร้อย ในคณะที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน
“นี่คือสิ่งที่สุดต้องการ” สุดฝันหยัดกายลุกขึ้น สองมือปัดเศษดินที่เปรอะตามมือและตัวออกอย่างเอื่อยเฉื่อย ริมฝีปากประดับยิ้มบางเบาไม่สะดุ้งสะเทือนกับท่าทีขึ้งโกรธของพี่ชาย “สุดอยากเรียนศิลปะ”
“ไม่จริง!”
“สุดทำมันได้ดี”
“เธอโกหก” เขารู้ว่ามือของสุดฝันบอบบาง และเหมาะกับการจับเครื่องมือแพทย์เหนืออื่นใด การที่น้องสาวมาทุ่มเทเพื่อสอบเข้าเรียนศิลปกรรม...คือการทำทุกอย่างที่ฝืนใจตัวเอง
“เหมือนที่พี่รันดร์อยากจะเรียนหมอนั่นแหละค่ะ” อีกครั้งที่รอยยิ้มบนหน้าของสุดฝันเกิดขึ้น หญิงสาวเห็นอาการนิ่งค้าง กัดฟันกรอดของพี่ชายจึงรู้ว่าเธอจี้ใจดำเขาตรงจุด จึงก้มลงเก็บอุปกรณ์ทำสวนต่อ
“เพราะฉันใช่ไหม” ชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวของนักศึกษาเท้าเอวถามเสียงห้วน
สุดฝันหัวเราะหึ มือถือถุงอุปกรณ์ทำสวนลุกขึ้นยืน แหงนหน้ามองฟ้าที่เริ่มพร่างฝนพรำลงมาอย่างไม่สะทกสะท้าน ยืนปล่อยให้ตัวเองเป็นกระบะเปล่าๆ ที่พร้อมรองรับน้ำฝน
นิรันดร์กระตุกแขนเล็กของน้องสาว กึ่งจูงกึ่งลากร่างที่ไม่มีแรงต่อต้านแรงเขาเลยแม้แต่น้อยเข้าบ้าน ชายหนุ่มได้แต่สะกดกลั้นความขมปร่าในปาก เมื่อเขาหันกลับไปอีกครั้ง ใบหน้าที่เปียกชุ่ม มีหยดน้ำประดับบนใบหน้านั้น เขาไม่รู้เลยว่าหยดน้ำเหล่านั้นที่เห็นแท้จริงคือฝน...หรือน้ำตา
“เธอจะไม่มีความสุขในสิ่งที่เลือกหรอก”
หญิงสาวในชุดนักเรียนมัธยมปลายหัวเราะน้อยๆ พอมาหลบใต้ชายคาบ้าน เหล่าคนงานในบ้านที่เห็นคุณหนูเล็กคุณหนูใหญ่ของบ้านเปียกม่อลอกม่อแลกต่างรีบกุลีกุจอหาผ้าขนหนูมาเช็ดให้กันจ้าละหวั่น คฤหาสน์หลังใหญ่มีแสงไฟอบอุ่นส่องสว่างไปทั่ว แต่ดวงตาของเด็กสาวที่กำลังหัวเราะกลับว่างเปล่าเย็นยะเยือก
“ก่อนจะเตือนสุด...พี่รันดร์คงลืมเตือนตัวเองก่อนนะคะ”
ร่างแบบบางที่ไม่ชอบให้ใครมองว่าอ่อนแอ หรือไร้แรงกำลังในการทำสิ่งต่างๆ ว่ายน้ำดำผุดดำว่ายอยู่ในสระน้ำขนาดใหญ่ของบ้านนับชั่วโมงโดยไม่ยอมขึ้นง่ายๆ ปากรูปกระจับซีดง่ายยิ้มให้กับชายสวมชุดคลุมยาวสีขาวที่ใช้ชีวิตเกินกว่าครึ่งชีวิตซึ่งนั่งมองมาจากเก้าอี้เอนหลังบนฝั่ง
“แข็งแรงเหมือนเดิมนะสุด ตาสู้แรงเราไม่ไหวเลย” อรุณยกผ้าขนหนูสะอาดซับหยดน้ำบนหน้า เอนหลังพักเอาแรง
“สุดไม่ได้แข็งแรงขนาดนั้นหรอกค่ะ อยู่ที่โรงเรียนสุดก็ไม่ค่อยได้ออกแรงเท่าไหร่”
“จับแต่พู่กันวาดรูปล่ะสิ” คนสูงวัยส่ายหน้า ดวงตาทอแววผิดหวังไม่ปิดบัง นับตั้งแต่รู้ว่าหลานสาวคนโปรดเลือกเรียนต่อคณะใดมหาวิทยาลัยใด เขาก็ยังยอกแสยง เจ็บใจไม่หาย ถ้าสุดฝันอยู่กับตนมากกว่านี้ คงเข้าใจความต้องการของเขาบ้าง
สุดฝันยิ้มมุมปาก สายตาเหลือบมองสตรีวัยกลางคนคนหนึ่ง บนใบหน้าประดับยิ้มเอื้ออารีมาให้เธอเสมอ สุดฝันจึงปรับรอยยิ้มของตัวเองให้เป็นมิตรมากขึ้น พนมมือไหว้ผู้ใหญ่ที่แม้จะเป็นแค่หัวหน้าแม่บ้าน แต่เธอกลับรู้จักมายาวนานนับสิบปี...ด้วยฐานะอื่น
“สวัสดีค่ะป้าเพียง”
“ไม่ต้องไหว้ป้าหรอกค่ะ” เพียงพนิจวางอุปกรณ์เก็บกวาดรับไหว้แทบไม่ทัน สีหน้าเกรงใจ “เพิ่งกลับมาใช่ไหมคะคุณสุด”
หญิงสาวแหวกว่ายไปขอบสระ ก่อนจับราวบันไดโหนตัวขึ้น ร่างที่มีทรวดทรงองค์เอวชัดเจนในชุดวันพีชสีกรมท่าเดินไปหยิบชุดคลุมที่เธอพาดอยู่ตรงเก้าอี้เอนหลังข้างคุณอรุณอีกตัวมาสวม ก่อนจะหันมาตอบคำถามของคนที่เธอจงใจปล่อยให้รอ...นานๆ
“กลับมาเมื่อวานค่ะ ว่าแต่เมื่อวานนี้ป้าเพียงไปอยู่ที่ไหนคะ สุดไม่เจอป้าเลย” หญิงสาวดึงหมวกคลุมผมออก ใช้ดวงตาสดใสมองแม่บ้านที่มีสีหน้าชะงัก และก้มหลบตา
“คือ...”
“สุดถามไปงั้นแหละค่ะ ใครก็มีธุระกันได้ เมื่อวานนี้ใช่ป้าเพียงคนเดียวที่ไหนที่สุดไม่เห็น สุดเองก็ไม่เห็นพ่อเหมือนกัน” หญิงสาวตัดบทท่าทีอึกอักของฝ่ายพร้อมยิ้มไม่ถือสา แต่ดวงตากลับกดมองคมปลาบชั่วแวบหนึ่งราวกับรู้ทันจนคนมองได้แต่ก้มหน้าหลบเป็นครั้งที่สอง
อรุณขยับตัวอย่างอึดอัด ก่อนจะกระแอมเรียกความสนใจจากหลานสาว “ไปอาบน้ำล้างตัวเถอะสุด ป่านนี้แม่เราคงทำกับข้าวขึ้นโต๊ะแล้ว”
สุดฝันรับคำอย่างว่าง่าย เธอผงกศีรษะลาเพียงพนิจ แล้วจึงเดินลัดขอบสระ ผ่านห้องโถงโอ่โถงยิ่งใหญ่ของบ้าน เครื่องเรือนทุกอย่างเก่าแก่ และมีราคาค่างวดมหาศาล หญิงสาวเดินผ่านโดยไม่ได้สนใจจะนั่งพัก แต่เมื่อเดินผ่านรูปครอบครัวขนาดเท่าคนจริงจึงหยุดมอง ภาพครอบครัวที่อยู่ติดผนังด้านขวา มีพ่อแม่ลูกสมบูรณ์พร้อม ทำให้เธอหวนนึกถึงช่วงเวลาในอดีต เวลาเป็นเด็กที่ไม่ต้องฉลาด ไม่ต้องรู้เรื่องรู้ราว ทำหน้าเซื่องๆ โง่ๆ ได้ตลอดเวลาคนเขาก็ยังเอ็นดู แต่เมื่อเธอเติบโตขึ้น...ความบริสุทธิ์ ความสดใสในวัยเด็ก มันได้เลือนหายไปจากใจเธอจนหมดสิ้น ไม่หลงเหลือสิ่งใดให้จดจำอีก
กมลเวชรักษ์...ตระกูลใหญ่ของผู้บุกเบิกโรงพยาบาลเอกชนรายแรกๆ ของประเทศไทย ปู่ทวดของเธอเริ่มมาจากคุณหมอธรรมดาคนหนึ่ง ท่านมีปณิธานที่อยากจะรักษาผู้ยากไร้ หลังจากที่พ่อของท่านถูกปฏิเสธการรักษาเพียงเพราะความจนของท่านในวัยเด็ก ตามประวัติที่เธอทราบมาคือปู่ทวดยอมแต่งงานกับย่าทวดที่ครอบครัวรวยมาจากธุรกิจโรงแรม และทิ้งคนรักที่ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่รักษาคนไข้กันมา
ความรัก กับเงินตรา สิ่งใดกันเล่าสำคัญสุด เมื่อท้ายที่สุดชีวิตคู่ระหว่างปู่ทวดกับย่าทวดก็มาถึงทางตัน พวกเขาต่างแยกจากกันด้วยความเกลียดชัง สุดฝันยกยิ้มให้กับภาพครอบครัวเบื้องหน้าที่ดูสวยงาม ใครๆ ต่างก็อิจฉาความมีเงิน เป็นคุณหนูของเธอ แต่ใครจะรู้ว่าแท้ที่จริง...ทุกอย่างก็แค่ลวงตา ครอบครัวของเธอมันถูกสาปมาตั้งแต่เริ่มต้น
“มายืนอะไรตรงนี้สุด ไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว ตามพี่รันดร์เขาลงมาด้วยล่ะ”
สตรีเจ้าของพิมพ์หน้าที่หญิงสาวได้รับมายืนทำหน้ายุ่งใส่เธอจากในครัว บนตัวของพุดมณีมีผ้ากันเปื้อนทับชุดลำลองอยู่
“พี่รันดร์ออกไปข้างนอกแต่เช้าแล้วค่ะ”
“อะไรกัน!”
“สุดคนเดียวก็จัดการไหวนะคะ”
พุดมณีมองค้อนบุตรสาว ส่ายหัวให้กับความขี้อวด “พูดมาอย่างนี้เดี๋ยวแม่ทำเยอะจะหาว่าไม่เตือน”
สุดฝันตาโต ก่อนจะหัวเราะเบาๆ ถึงรสมือของแม่จะพอรับประทานได้ แต่ก็ยังห่างไกลจากคำว่าอร่อยของ
เธออยู่หลายขุม บางเมนูเคยทำให้เธอท้องเดินไปสามวัน “ฝากจองห้องน้ำให้สุดด้วยนะคะ” พูดจบก็เผ่นแผล็ว ปล่อยให้มารดามองค้อนตาม
เมื่อใดที่อยากพูด...เธอจึงพูด เมื่อใดที่ไม่อยากพูด ให้รอบข้างยิงคำถามใส่...เธอก็เงียบ
มื้อเช้าผ่านไป โดยทั้งโต๊ะมีแค่อรุณ พุดมณี และสุดฝัน หลังแยกย้ายเธอจึงออกมาเดินรับลมเล่นข้างนอก ชีวิตปิดเทอมก่อนก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย จะว่าน่าสนุกก็สนุก จะว่าน่าเบื่อก็ได้ หญิงสาวทรุดตัวลงนอน หัวมีหญ้าในสนามรองต่างหมอน ไม่สนใจว่าเสื้อยืดราคาถูกจากตลาดนัดกลางคืนจะเปื้อนหรือไม่ เธอก็แค่อยากหลับตาพัก ปิดโลกที่แค่ลืมตาก็จะมองเห็นใครบางคนที่พยายามเรียกชื่อเธออยู่ไม่ไกล
“สุดอยู่ไหนครับ” เสียงอันคุ้นเคยที่ร้างลาจากหูเธอไปนานปีดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกล แม้ตาจะปิดกั้นภาพ แต่นั่นยิ่งทำให้ประสาทการฟังของเธอชัดเจน
“คุณสุดนอนอยู่ตรงนั้น”
คนสวนของบ้านบอกเขาแบบนั้น สุดฝันส่งเสียงหึในใจ และนับเวลาเป็นวินาทีในใจว่าอีกกี่ก้าวที่ ‘เขา’ จะเดินมาถึงเธอ
หนึ่ง...สอง...สาม...
“โป้ง!”
คนนอนอยู่หลังพุ่มไม้ลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน แสงอาทิตย์ที่สาดแสงลงมาผ่านร่างเบื้องหน้าทำให้สุดฝันมองเห็นใบหน้าของคนตัวสูง ร่างกำยำนี้ได้ไม่ชัดเจน แต่จากโครงร่างที่เธอสังเกตเงียบๆ นี้ทำให้รู้ว่าหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ปลายฟ้าตัวใหญ่ขึ้น
“ไฮ!”
“แค่ไฮเนี่ยนะ” ร่างสูงทรุดกายนั่งอยู่ข้างกัน จงใจเบี่ยงหลัง กางมือป้องกันให้แดดถูกตัวคนนอนอยู่บนพื้นหญ้าน้อยที่สุด สุดฝันมองการกระทำของปลายฟ้านิ่งนานเป็นนาที ให้ดวงตาที่ปรับแสงจ้าได้สังเกตใบหน้าคมคร้ามเข้ม ที่มีไรหนวดขึ้นประปราย ไหนจะสีผิวที่แทนเข้มกว่าเมื่อหนึ่งปีก่อน
“ดำขึ้นนะ”
สุดฝันยันศอกกึ่งนั่งกึ่งนอน ลอบหัวเราะในใจกับอาการหน้าตาบอกบุญไม่รับของคนถูกทักว่า ‘ดำ’ “กระผมเรียนเกษตรนะครับ จะให้ไปปลูกผักทำไร่ในห้องแอร์หรือไง”
“อยู่โรงเรียนประจำคงมีอะไรให้ทำเพลินๆ ไม่มีเวลาคิดถึงกันเลยใช่ไหม” ปลายฟ้าบ่นน้อยใจ คนที่คิดอะไรก็แสดงออกอย่างนั้นจึงไม่มีลับลมคมในปิดบัง “เงียบหายไปเลย”
“คิดถึงเหรอ” สุดฝันเยี่ยมหน้าไปถามทีเล่นทีจริง ก่อนจะถอนร่างกลับไป แหงนหน้าเหม่อมองฟ้าแล้วเงียบ
“ไม่คิดถึงเราก็ไม่บ่นน้อยใจหรอก” ปลายฟ้าเขกมะเหงกคุณหนูเล็กผู้ชอบเหม่อของบ้านกมลเวชรักษ์อย่างหมั่นเขี้ยว เขากับหญิงสาวเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่แปดปีก่อน สมัยที่แม่ของเขา ‘เพียงพนิจ’ เข้ามาทำงาน และอยู่อาศัยที่นี่ สมัยนั้นเด็กหญิงสุดฝันทั้งมึนตึงไม่น่าคบเลยสักนิด ไม่ใช่เพราะเธอร้ายกาจ แต่เพราะเธอ...เฉยเมยไร้ความรู้สึกเกินไป
‘นี่คือคุณสุด คุณหนูเล็กของบ้านหลังนี้’
เด็กหญิงวัยประถมสี่เดินลงมาจากรถกึ่งแวนของบ้าน บนหลังมีกระเป๋าหนังสือใบเขื่องเกินตัว ใบหน้าเล็กมีแว่นกรอบโตวางอยู่บนดั้ง คนตัวเล็กโบกมือไม่ให้ใครมายุ่มย่ามกับกระเป๋าสัมภาระที่เธอแบก ขณะที่เดินผ่านหน้าเขาไปราวกับไม่เห็นร่างเขาที่กำลังยืดร่างเพื่อให้อยู่ในสายตา
‘นี่คือคุณรันดร์ คุณหนูคนโตของบ้าน’ ชายที่ตัวสูงเกือบจะเท่าเขาเดินลงมาอีกคน เด็กที่อ่อนกว่าเขาเล็กน้อยถือเป้เคียงใบเดียว เหลือบตามองเขานิดหนึ่ง ก่อนจะไม่สนใจ
โครม! ร่างเล็กที่เดินล่วงหน้าไปสะดุดพื้นกรอบประตูจนล้มคว่ำ ร้อนทุกคนต้องไปช่วยพยุงขึ้น พี่ชายของคุณหนูสุดดึงแขนน้องสาวแทบเป็นกระชากให้ลุกขึ้น ก่อนจะบ่นคำหนึ่งออกมาแล้วเดินขึ้นชั้นสองไปไม่รั้งรอ
‘ซุ่มซ่าม!’
เด็กหญิงล้มเงียบไม่ต่อปาก นอกจากนวดแขนและขาของตัวเองที่กระแทกอย่างแรงกับพื้นเพราะความไม่ระวัง ปลายฟ้าส่ายหน้า อดไม่ได้ที่จะหัวเราะให้กับความซุ่มซ่ามไม่เอาอ่าวของเด็กแว่นหนาเตอะคนนี้
คนถูกหัวเราะมองเขาอย่างเฉยชา ‘หัวเราะใคร’
‘เธอไง ตลกจริง’
คนรอบข้างต่างยะเยือก สูดหายใจลึกอย่างกังวล กลัวว่าสุดฝันจะทำในสิ่งที่เรียกว่าบันดาลโทสะทั้งที่ไม่เคยมีใครเห็นเวลาคุณหนูเล็กโกรธ แต่ผิดคาดเมื่อเธอไม่ถือสาสักคำ ซ้ำยังพูดกับเขาโดยตรง ‘เพิ่งรู้นะว่าเราตลก วันหลังมาทำให้เราหัวเราะได้บ้างสิ’
‘หัวเราะมันยากตรงไหน’ เด็กหนุ่มวัยสิบสามเอียงคอสงสัย หัวเราะก็แค่หัวเราะ ของอย่างนี้ต้องสอนกันด้วยเหรอ...เด็กพิลึก
‘ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ’
ปลายฟ้าเลิกคิ้วไม่เข้าใจ เขาจงใจทำสีหน้าพิลึกพิลั่นอย่างการบิดปาก ย่นจมูก หรือตาเหล่ แต่คนมองก็ยังใช้หน้าไร้ความรู้สึกมองตอบกลับมา ตรงข้ามกับบรรดาคนงานในบ้านที่หัวเราะจนน้ำตาเล็ด สุดท้ายเด็กหนุ่มจึงยอมแพ้
‘เริ่มคิดว่าหัวเราะมันยากแล้วล่ะ’
‘บอกแล้ว...ว่ามันยาก’ เด็กหญิงบอกสั้นๆ อย่างจริงจัง ปล่อยให้บรรยากาศบริเวณนั้นอึมครึมต่อไป แม้เธอจะขึ้นไปยังห้องพักแล้วก็ตาม
‘คุณสุดก็เป็นอย่างนี้ล่ะ’ คนงานในบ้านคนหนึ่งบอกอย่างนั้น คล้ายคุ้นชินกับอาการเฉยชาของเด็กหญิงคนนี้เป็นอย่างดี
อย่างนี้...สำหรับเด็กสิบขวบไม่ใช่เรื่องที่ควรเป็น ไม่ใช่เหรอ เด็กใกล้หนุ่มส่ายหน้าไม่เห็นด้วย
นึกถึงครั้งแรกที่เจอ ตัดกับภาพของผู้หญิงที่เป็นสาวเต็มตัวนั่งเหม่อมองฟ้าเขาก็ได้แต่ถอนใจเงียบๆ ในวันนี้จะว่าไปสุดฝันดูพูดง่ายขึ้น เข้าถึงง่ายขึ้น แต่นั่นก็แค่เปลือก...บางสิ่งที่สุดฝันป้องกันยังเป็นปราการที่อยู่ไกลเกินความสามารถของเขาเสมอ สายตาที่มองฟ้าเงียบๆ ในเวลานี้ เธอคงกำลังปล่อยความคิดให้ลอยไปไกลด้วยบางเรื่อง...ทั้งที่เขานั่งอยู่ตรงนี้
“ท้องฟ้า น่ามองกว่าปลายฟ้าเหรอ”
สุดฝันละสายตาจากท้องฟ้าที่มีเมฆเอื่อยลอยอยู่ช้าๆ สนใจ ‘ปลายฟ้า’ ที่เป็นคนในที่สุด เธอยิ้มขำ “มุกนี้ตลกดีนะ...เราตลก”
“เราไม่ได้เล่นตลก พูดจริง”
รอยยิ้มที่ติดอยู่บนใบหน้าของสุดฝันเลือนหายไป เหลือเพียงร่องรอยของความเฉยชาไร้ความรู้สึก “ทุกวันที่เราเบื่อเราก็จะมองฟ้า ทุกวันที่เราเหนื่อยเราก็จะมองฟ้า ทุกวันที่คิดถึงใครสักคนเราก็จะมองฟ้า...ท้องฟ้าทำให้เราสงบ” สุดฝันมองหน้าคนฟังที่เอาแต่ขมวดคิ้วยุ่งไม่หาย ก่อนคลี่ยิ้มให้คลายใจ “ปลายไม่รู้สึกอย่างนั้นบ้างเหรอ”
“ที่สุดพูดมามีแต่จะทำให้เราเบื่อ เหนื่อย แล้วก็เหงาขึ้น ท้องฟ้าคุยกับเราไม่ได้ ตอบเราไม่ได้ ยิ้มให้เรายังไม่ได้เลย”
หญิงสาวฟังแล้วดวงตาวูบไหว ได้แต่หยัดกายมานั่งกอดเข่า ไม่รักษามาดคุณหนู เหม่อมองท้องฟ้าเงียบเชียบ ไม่ยอมเอ่ยสิ่งที่ค้างคาอยู่แต่ในใจ...ฟ้าของเธอคือเขา ‘ปลายฟ้า’ เธอคิดถึงเขาเสมอ
“รำคาญเหรอ” หลังจากปล่อยให้เงียบอยู่หลายนาที สุดฝันจึงลดคางลง และหันมองเพื่อนที่เอนตัวนอนราบ หลับตาอยู่ข้างกาย ลมหายใจสม่ำเสมอ คำถามของเธอไม่มีใครตอบได้นอกจากความเงียบงัน มือบอบบางและแขนเรียวเล็กยื่นออกไปเหนือร่างของปลายฟ้า ปล่อยให้แดดลามเลียผิวกายขาวซีดของเธอ แทนที่ผิวแทนของเขาอย่างเป็นห่วงกลัวเขาจะร้อน ดวงตาแสดงความรู้สึกมากมาย ที่เธอมักเก็บซ่อนไว้ไม่ให้ปลายฟ้าอ่านออก
ความสัมพันธ์ที่เธอก้าวข้ามไปไม่ได้...และไม่คิดปล่อยตัวให้ถลำลึกไปกว่านี้ ให้เขาเป็นเพียงเพื่อนคนแรกที่ยอมเข้ามาเพื่อเป็นเสียงหัวเราะ ซึ่งเธอไม่เคยมีมาก่อน...เป็นมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
ร่างเล็กเดินตามร่างสูงที่เดินนำหน้าอยู่ก้าวหนึ่งอย่างไม่เร่งร้อน สายตากวาดมองบรรดาคนเจ็บป่วยที่มาหาหมอด้วยหน้าอมทุกข์ บ้างโอดครวญเจ็บปวดตลอดระยะทางที่เดินเข้ามา นิรันดร์เหลียวมามองความสนใจของน้องสาวพลางหัวเราะในลำคอ แสยะยิ้มมุมปาก ดวงตาที่ทอประกายสนอกสนใจ ผสานความเห็นใจ และท้ายสุดคือความเสียดายล้วนอยู่ในสายตาของเขาทั้งหมด
“เสียดายไหม”
เมื่อทั้งสองเดินเข้าไปในลิฟต์ด้วยกัน นิรันดร์จึงพูดขึ้น ผนังของลิฟต์สะท้อนใบหน้าของน้องสาวเขาอย่างชัดเจนว่ากำลังเม้มปากสะกดกลั้นความรู้สึกบางอย่างในหัวใจ “ทำไมไม่เลือกความฝันของตัวเอง”
“สุดสอบไม่ได้หรอก”
“ได้ข่าวว่าเธอไม่ได้แม้แต่จะสมัครสอบ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าสอบไม่ได้ สมองหัวกะทิ บ้าเรียนมาแต่เด็กอย่างเธอ มีเหรอจะเข้าไม่ได้ ขนาดศิลปะที่ไม่ถนัด เธอยังทู่ซี้สอบเข้าไปได้เลย”
“พี่จะมารู้จักสุดมากกว่าตัวสุดเองได้ยังไง”
“พ่อขอมาใช่ไหม” นิรันดร์ไม่สนใจเหตุผลร้อยแปดของน้องสาว “ถ้าใช่ เธอก็โง่มาก”
“เหมือนพี่...เราต่างโง่เหมือนกัน” ลิฟต์เปิดออก สุดฝันปรายตามองพี่ชายอย่างเฉยชาแล้วเดินนำออกไป โถงชั้นบนของอาคารโรงพยาบาลประกอบด้วยห้องประชุมใหญ่ และห้องพักของผู้บริหาร หญิงสาวกัดฟันอดทนเก็บใบหน้าเมินเฉยต่อแพทย์ผู้ใหญ่หลายคนที่ทักทายเธออย่างคุ้นเคย บ้างถามไถ่ถึงการตัดสินใจเรียนของเธอว่าเลือกอะไร
“เลือกเรียนแพทย์ที่ไหนล่ะหนูสุด” ศัลยแพทย์ทรวงอกที่เคยสอนหญิงสาวเรียนเรื่องระบบของร่างกายให้สมัยเธอมาเยี่ยมดูงานช่วงปิดเทอมทักทายยิ้มแย้ม
หญิงสาวยิ้ม ดวงตาหลุบต่ำ “สุดไม่ได้เรียนแพทย์หรอกค่ะ”
“เภสัชกร ไม่ก็พวกเทคนิคการแพทย์ใช่ไหม”
“เขาเลือกเรียนศิลปะครับ” นิรันดร์จงใจตอบแทน น้ำเสียงส่อแววเหน็บแนมประชด
“อ้าว เหรอ” คนฟังมีสีหน้าอึ้งไปเล็กน้อย “ศิลปะก็ดีนะ หนูสุดเรียนให้เต็มที่ล่ะ”
“ค่ะ” สุดฝันหน้าชาเล็กน้อย เธอไม่ได้รู้สึกว่าคนฟังมีสีหน้าดูถูกดูแคลนกับการตัดสินใจของเธอ ตรงกันข้าม คนที่รู้ทั้งหลายต่างประหลาดใจกับเธอมากกว่า เด็กที่พยายามเอาตัวมาขลุกอยู่ในโรงพยาบาลตั้งแต่เด็ก เรียนหนักมาตลอดเพื่อสืบทอดธุรกิจของทวด มีปณิธานอันแรงกล้าที่จะช่วยเหลือคนเจ็บป่วย ทำไมถึงหันหลังให้กับความต้องการของตัวเอง
‘หมอไม่ใช่แค่ถือยา ถือเครื่องมือผ่าตัด แต่เราถือชีวิต ไม่ใช่แค่คนป่วย แต่ยังถือชีวิตพ่วงท้ายครอบครัวเขาไว้ด้วย คนที่เจ็บตรงหน้าอาจเป็นเสาหลักในครอบครัว อาจเป็นลูก อาจเป็นคนรัก คนสำคัญของใครสักคน เราช่วยหนึ่งชีวิตได้ ก็เท่ากับช่วยชีวิตคนในครอบครัวเขาได้ด้วย’
ตาของเธอเคยถ่ายทอดคำพูดของทวดให้ฟังแต่เล็ก ทำให้เธอพากเพียรมาตลอดเพื่อรักษาชีวิตของคนอื่น ซึ่งทุกอย่างเกือบถึงปลายทาง กระทั่งเธอเป็นคนปิดประตูฝันของตัวเองลงเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว
“พี่รันดร์ชอบเรียนวาดรูป ชอบศิลปะ สุดเองก็ไม่เคยลืมนะคะ” ก่อนจะเปิดประตูห้องของผู้บริหารโรงพยาบาลสุดฝันจึงหันมาพูดกับพี่ชาย เห็นอีกฝ่ายนิ่งงันไป ดวงตาคล้ายกำลังด่าเขาว่า ‘ช่างยอกย้อน’
“ทำอย่างนี้เพื่อประชดพี่เหรอ”
สุดฝันกระตุกยิ้มมุมปาก ดวงตาฉายร่องรอยเด็ดเดี่ยว อีกครั้งที่หญิงสาวไม่ปฏิเสธ “ค่ะ!”
“ถ้าฉันลาออก เธอจะกลับมาเรียนแพทย์ไหม” น้ำเสียงห้วนกระซิบถาม เขาไม่ต้องการให้บทสนทนานี้เล็ดรอดไปถึงหูคนในห้อง
อีกครั้งที่หญิงสาวเมินหน้าไปทางอื่น ร่างบางเดินไปชิดกระจกที่เผยวิวด้านนอกอย่างแจ่มชัด ภาพคนป่วยที่หลังใหลเข้ามาโรงพยาบาลมีไม่ได้ขาด ทำให้เธอเคืองเมื่อได้ยินพี่ชายเอาเรื่องนี้มาพูดราวกับมันไม่สำคัญ “เมื่อเลือกเรียนหมอแล้ว สิ่งที่พี่รันดร์ควรคิดถึงมากที่สุดคือคนไข้ พี่รันดร์อาจได้โควตาตรงนี้แทนคนอีกหลายคนที่อยากเรียนแพทย์มากกว่าพี่ แต่เขาไม่มีโอกาส คนอย่างพี่หนึ่งคนสามารถช่วยชีวิตได้หลายชีวิต ถ้าพี่หายไปคน อาจจะมีคนเจ็บคนป่วยเพิ่มมากขึ้น”
“คนที่กินอุดมการณ์อย่างเธอยังทิ้งคนไข้ในอนาคตมาได้ แล้วทำไมฉันที่ไร้อุดมการณ์จะทำไม่ได้” นิรันดร์กระชากประตูห้องของนายแพทย์ก่อบุญออกอย่างแรงตามอารมณ์ ปล่อยให้น้องสาวยืนทอดอารมณ์อยู่ริมกระจกต่อไปอยู่หลายนาที กว่าที่เธอจะละสายตาจากวิวภายนอก และหันหน้าตรงสู่ประตูเบื้องหน้า สถานที่ที่มีคนขีดฆ่าความฝันของเธอและพี่ชายนั่งอยู่ เธอต้องบังคับสีหน้าอยู่นานไม่ให้แสดงออกถึงความรู้สึกด้านลบที่อัดแน่นจนล้นปรี่ในในเธอ
“มาแล้วเหรอ...ลูกสุด”
ชายสวมชุดกาวน์ บนหน้ามีริ้วรอยแห่งกาลเวลาอยู่บ้างประปราย การดูแลตัวเองอย่างดีของก่อบุญทำให้หนุ่มใหญ่วัยเกือบห้าสิบยังคล้ายหนุ่มวัยสามสิบตอนปลายเท่านั้น รอยยิ้มของเขาพุ่งตรงมาที่เธอชัดเจน ถ้ามีสปอร์ตไลต์ส่องหน้าเธอได้ก็คงอธิบายได้ประมาณนั้น หญิงสาวยกมือไหว้บิดาที่เพิ่งพบหน้ากันในรอบหลายวัน นั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน ติดกับพี่ชายที่ยังแสดงออกถึงความหงุดหงิดใจให้เธอได้เห็น
“รันดร์อารมณ์เสียอะไรมาล่ะ หรือสองคนทะเลาะกันมา” ก่อบุญรับรู้บรรยากาศมาคุของสองพี่น้องตั้งแต่แรกเริ่ม
“พี่รันดร์ก็แค่ชอบพาลแบบเด็กๆ ค่ะ”
“เธอนี่มัน...” นิรันดร์หันมาแยกเขี้ยว(แบบเด็กๆ) ตามที่ถูกว่าเข้าจริงๆ พอรู้ตัวก็ยิ่งเข่นเขี้ยวกับท่าทางแยกเขี้ยวล้อเลียนเขาของสุดฝัน
“พอแล้ว ทะเลาะกันเป็นเด็กๆ อยู่เรื่อยนะ” ก่อบุญว่าหน้ายิ้มๆ ก่อนมาแสดงความยินดีกับลูกสาว “เก่งไม่เบาเลยลูกพ่อ เข้าคณะดังของมหาวิทยาลัยดังได้ โรงพยาบาลของเราคงมีผลงานของลูกมาติดในอนาคตอันใกล้นี้แน่ พ่อเพิ่งรู้ว่าหนูมีฝีมือด้านนี้”
“ผมเองก็เพิ่งรู้” นิรันดร์ปรายตามองน้องอย่างขุ่นเคือง “ร้อยวันพันปีเคยเห็นแต่ขลุกอยู่กับหนังสือเรียน ชอบวิชาชีวะ อ่านหนังสือกายภาพตั้งแต่มัธยมต้น แปลกนะครับที่จู่ๆ จะเบนหัวเรือมาคนละทางเลย” ชายหนุ่มหยุดสายตาอยู่ที่บิดาแน่วนิ่ง
“เลิกเอาเรื่องของสุดมาพูดเถอะค่ะ...น่าเบื่อ” เสียงเรียบเรื่อยปรามสงครามที่เธอไม่รู้ว่าสรุปแล้วนิรันดร์อยากสร้างศึกน้ำลายกับเธอ...หรือกับพ่อกันแน่
บทสนทนาหลังจากนั้นก็เป็นไปอย่างอึดอัด และห่างเหิน แม้ก่อบุญจะพยายามชวนคุย นิรันดร์ก็จะตอบแบบขอไปที ไม่นับสุดฝันที่ยิ่งแล้วใหญ่ที่ยังอาศัยบางช่วงแอบนั่งเหม่อมองโน่นนี่ ไม่ฟังคนอื่นเสียเลย อย่างเช่นตอนนี้ที่นิรันดร์หันดีดคางเรียวของน้องสาวอย่างแรงทีหนึ่ง สุดฝันสะดุ้งมองหน้าคนประทุษร้ายเธออย่างมึนงง
“เหม่อ!”
สุดฝันทำเมินไม่สนใจหลังฟังข้อกล่าวหา ปล่อยให้นิรันดร์เข่นเขี้ยว แล้วขอตัวออกไปรอข้างนอก เขารึอุตส่าห์จะหาทางลากสุดฝันไปพร้อมกัน
“อยู่คุยกันต่อสิ” ก่อบุญรั้งร่างของลูกสาวคนเล็กที่ตั้งท่าจะผละจากโดยไม่บอกกล่าว เขารอกระทั่งนิรันดร์ลับร่างไป รอยยิ้มใจดีบนหน้าจึงแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขานั่งเอนหลัง วางมือบนหน้าขา ทำทุกอย่างเป็นธรรมชาติเสียจนเธอคิดว่าคนก่อนหน้านั้นเป็นแค่คนหน้าเหมือนเขาเท่านั้น
“เธอทำดีมาก”
“ไม่ต้องชมหรอกค่ะ” สุดฝันยิ้มรับแต่เพียงแค่ปาก ดวงตาของเธอเองก็แปรเปลี่ยนจะหน่ายเป็นเย็นชา “ฉันมีคุณเป็นต้นแบบ”
‘พ่อ’ คำๆ นี้เธอเรียกเขาไม่ออกมานับสิบปีแล้ว สุดฝันจะมีโอกาสเรียกก่อบุญว่าพ่อก็ต่อเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น ลับหลังเมื่ออยู่กันสองคน ต่างไม่มีใครคิดจะฟังหรือแยแสสายสัมพันธ์นั้นอีกแล้ว
“อย่าวอแวกับนิรันดร์มาก”
“เขาเป็นพี่ชายของฉัน”
“และเป็นคนที่จะสืบทอดธุรกิจของครอบครัว”
คนฟังมีสีหน้าหน่ายรำคาญอย่างไม่ปิดบัง “ฉันทราบดีค่ะ”
“ขอบคุณที่ไม่คิดมาแข่งกันเองระหว่าง ‘พี่น้อง’” ก่อบุญเน้นย้ำคำว่าพี่น้องให้สุดฝันได้ฟัง หญิงสาวเพียงแค่แค่นยิ้ม ดวงตาเลิกขึ้นมองพ่อที่เธอเรียกเขามาตลอดชีวิตด้วยความรู้สึกว่างเปล่า...ไม่เกลียด แต่ก็ไม่รัก เธอคงถือว่าเป็นลูกบาปคนหนึ่งที่โลกต้องจารึกไว้
หญิงสาวลุกขึ้นยืน สูดหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดในสิ่งที่เธอเฝ้าปรารถนามาตลอดชีวิต “ฉันจะทำให้คุณหย่ากับแม่ให้ได้” สุดฝันหันหลัง ผินเสี้ยวหน้ามาให้ก่อบุญเห็นรอยยิ้มตรงมุมปาก “ฉันสัญญา”
“ถึงฉันจะหย่ากับพุด ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะมีสิทธิ์ได้เป็นหมอ ความสามารถของเธอสู้พี่ชายเธอไม่ได้หรอก ยอมรับตรงนี้ให้ได้ล่ะ”
ทายาทคนเล็กแห่งกมลเวชรักษ์หันกลับมาจ้องหน้าก่อบุญอีกครั้ง สาธยายความจริง และทั้งหมดในการตัดสินใจของเธอออกมา
“ฉันเอาชีวิตของฉันเดิมพันไว้ ถ้าฉันทำให้คุณหย่ากับแม่ไม่ได้ ฉันจะไม่ให้ตัวเองได้เดินตามทางของฉันเด็ดขาด ถ้าฉันจะเรียนหมอ ฉันจะทุ่มตัวและวิญญาณของฉันไปเต็มร้อย แต่ตอนนี้ฉันยังมีเรื่องที่ค้างคาใจ เรื่องที่ทำให้ฉันนอนไม่หลับไปตลอดชีวิตถ้าไม่ได้ทำอยู่เรื่องหนึ่ง” สุดฝันเอื้อมมือมาปัดป้ายชื่อผู้อำนวยการโรงพยาบาลลง พร้อมประกาศกร้าว “ฉันจะขอล้มคุณให้ได้ก่อนตาย”
“ฉันเป็นพ่อเธอนะ!” คนโกรธโมโหจนเส้นบริเวณขมับขึ้นอย่างชัดเจน
“แล้วพ่อที่ดี...คือสิ่งที่คุณทำกับฉัน กับแม่อย่างนั้นเหรอคะ” น้ำเสียงหวานย้อนถามสูง คล้ายคำถามกวนประสาท รอยยิ้มยอกย้อนเย้ยหยันสาดกลับไปไม่กริ่งเกรง เมื่อเห็นว่าทำให้คนฟังมีอาการคอแข็ง ตากร้าวได้เธอจึงหันหลังออกมาจากห้อง มือที่กำไว้จนแน่นสั่นอย่างไม่น่าให้อภัย เธอได้แต่ใช้อีกมือกอบกุมมือของตัวเองไว้ สงครามในครั้งนี้ไม่สามารถตัดสินได้ว่าใครแพ้...หรือชนะ เพราะหัวใจของเธอก็เจ็บแสบราวกับมีใครเอาน้ำกรดมาราดรดเช่นกัน
นึกย้อนไป การแสดงออกของเธอก็ถูกบ่มเพาะมาจากเขาทั้งนั้น
‘พ่อคะ’ เด็กหญิงวัยสี่ขวบพยายามซอยเท้าวิ่งตามบิดาที่กำลังลงบันไดจากบ้านในกลางดึก เธอไม่รู้ว่าพ่อไปไหน หลายคืนติดกันด้วยเวลาเดิมนี้
ก่อบุญคล้ายเงาสูงใหญ่ยามหยุดอยู่ตรงเชิงบันได เงาใหญ่ดูทะมึนกว่าทุกครั้งขณะที่เขาย่างกรายขึ้นมา เด็กหญิงผู้อ่านธรรมชาติของมนุษย์ไม่ออก ไม่ได้ล่วงรู้ชะตากรรมใด ได้แต่เอียงคอมองพ่อ พลางยิ้มอย่างดีใจที่พ่อกลับมาหาเธอ
‘ทำไมยังไม่นอน’
‘นอนไม่หลับค่ะ’ สุดฝันเบะปาก ‘แม่นอนละเมอทุกคืนเลย’
‘ไม่ชินอีกเหรอ’
‘พ่อจะไปไหนคะ อยู่กับแม่เถอะนะ’ มือเล็กเอื้อมจับมือของพ่อไว้แน่น เด็กหญิงมีความรู้สึกหนึ่งคือไม่อยากให้พ่อจากไป
‘แม่เขารู้ดีว่าพ่อไปไหน’
‘แต่ว่า...’
‘ปล่อยพ่อไปเถอะสุด’ น้ำเสียงที่พูดออกมาไร้ความลังเลใจ ทำให้เด็กหญิงรีบตะครุบมือพ่อไว้มั่นส่ายหน้าดิก ‘พูดให้มันรู้เรื่องหน่อยสิสุด’ คนโตดุจนเกือบตะคอก
ก่อบุญพยายามเกาะร่างที่กอดเขาเป็นปลิงไว้ไม่ยอมปล่อย มือทั้งแกะ ทั้งบิดเนื้อจนเด็กหญิงเริ่มร้องไห้ เพราะยื้อยุดกันตรงบันได ท้ายที่สุดเรี่ยวแรงอันเล็กน้อยของเด็กวัยสี่ขวบก็สู้แรงของหนุ่มวัยเพิ่งจะสามสิบไม่ได้ ร่างเล็กจึงหลุดก้าวจากขั้นบันได หมุนกลิ้งเป็นลูกข่างจนถึงพื้น ความเจ็บปวด ความรวดร้าวที่ร่างกายได้รับ ยังไม่เท่าภาพที่เธอเห็นพ่อยืนอยู่บนบันไดที่สูงขั้นขึ้นไป ดวงตาที่มีน้ำเอ่อคลออย่างเจ็บปวดจ้องเงานั้น รอคอยว่าเมื่อใดเขาจะลงมาช่วยเธอ เด็กหญิงอดทนรออยู่นานเกือบนาที ร่างของพ่อก็ยังเดินผ่านเธอไป พร้อมคำพูดที่เขาคาดว่าเด็กอย่างเธอจะรู้ความหมาย
‘ตื่นสักที’
จนทนไม่ไหว ความรวดร้าวทางกายทำให้เธอเปล่งเสียงร้องออกมาลั่นบ้าน ความวุ่นวายภายในจึงเกิดขึ้น ใบหน้าของคนแรกที่มาถึงแม้จะเป็นพ่อของเธอ แต่นับจากนาทีนั้นสุดฝันก็รู้แล้ว...เขาไม่ใช่พ่อที่เธอรู้จักอีกต่อไป เธอตื่นแล้ว!
ของเล่นส่งให้กับเด็กน้อยหลายชีวิตที่วิ่งมารับกันอย่างหน้าเปี่ยมสุข สุดฝันเหลือบมองผู้หญิงวัยกลางคนที่ดูเป็นที่รักของเด็กๆ ด้วยสายตาว่างเปล่า ระลึกถึงมารดาที่ได้แต่นอนป่วยออดๆ แอดๆ อยู่บ้านอย่างเปรียบเทียบ เพียงพนิจเป็นหญิงตรากตรำงานมาแต่ยังสาว แข็งแรง เลี้ยงลูกมาคนเดียว แตกต่างจากมารดาของเธอที่ไม่เคยลำบาก ทุกวันนี้ก็เป็นแม่บ้าน ถึงจะไม่เก่งอย่างแม่ใครเขา แต่เธอกลับรักแม่ของเธอมากกว่าเดิม
นับตั้งแต่เธอลืมตาขึ้นมาในบ้านกมลเวชรักษ์ คนที่เธอรักและห่วงความรู้สึกมากที่สุดก็คือมารดา ผู้หญิงที่ไม่เคยแสดงความอ่อนแอ หรือปริปากบ่น
“แม่เราดูมีความสุขมากเลยนะ” ปลายฟ้ายิ้มแก้มปริ หัวใจอิ่มบุญที่ได้มาช่วยเหล่าเด็กกำพร้าที่นี่ ไหนจะได้พาแม่มาเปิดหูเปิดตาข้างนอก “ต้องขอบคุณสุดที่ชวนแม่เรามา”
“ต้องขอบคุณพี่รันดร์ต่างหาก” สุดฝันมองแถวเด็กที่มาต่อคิวตรงหน้าเธอสั้นกุด เธอไม่ได้รู้สึกประหลาดใจนัก เพราะเธอเคยได้ยินคำค่อนขอดมาไม่น้อยจากเพื่อนเรียนว่าเธอมันมี ‘ออร่าไม่น่าคบ’ กระจายอยู่รอบตัว ทั้งยิ้มหยัน เฉยชา เหม่อ และขี้เกียจพูดไปเฉยๆ
ปลายฟ้าทำหน้าแขยง เห็นนิรันดร์ยืนเต๊ะจุ๊ยถ่ายรูปกับคณะคนดูแลบ้านเด็กกำพร้าอย่างหมั่นไส้ “เขาก็แค่ทำดีเอาหน้า แบกชื่อโรงพยาบาลมาแปะป้ายอุปถัมภ์”
“วันนี้วันเกิดพี่รันดร์”
คนแก้ไขความเข้าใจผิดหัวเราะในคอ ส่ายหน้าให้กับความคิดแง่ลบของปลายฟ้า ปกติปลายฟ้าเป็นคนอารมณ์ดี ไม่คิดเล็กคิดน้อย แต่เมื่อใดที่นิรันดร์และปลายฟ้ามาเจอกัน พวกเขาสองคนราวกับศัตรูคู่อาฆาตมาเจอะกันไม่ปาน ปลายฟ้าไม่ถูกชะตากับท่าเยอะ และมองเขาเป็นเถ้าธุลีดินที่นิรันดร์ชอบใช้มองเสมอ
“แก่ไปอีกปี”
“แต่ปลายแก่สุด”
“แค่สองปี”
“กับเราสามปีนะ”
ก่อนจะมีศึกต่างวัยรบพุ่งใส่กัน เพียงพนิจจึงหันมาสนทนาห้ามศึกกรายๆ “ไม่มีใครจัดงานวันเกิดเหรอคะ”
“ผมไม่ต้องการ เปลือง” นิรันดร์แถลงเสร็จสรรพ พร้อมเดินกอดอกมายืนอยู่ข้างสุดฝัน “มากันสองคนก็พอ จะชวนคนอื่นมาทำไมยุ่งยาก”
“นายรันดร์!” ปลายฟ้าขึ้นเสียงไม่พอใจ ถึงกับกำหมัดเตรียมรบพุ่ง เพราะ ‘คนอื่น’ ที่นิรันดร์กล่าวมาไม่ได้มีแค่เขา ยังรวมถึงมารดาเขาเข้าไปด้วย
สุดฝันมองหน้าเพียงพนิจที่แต่เดิมแต้มยิ้มค่อยๆ ซีดเผือด ลึกๆ ในใจของเธอสะใจ แต่เมื่อหันมาเห็นว่าปลายฟ้ากำลังง้างหมัดใส่หน้าของนิรันดร์กลางลานเป็นที่น่าอายของเด็กๆ เธอจึงไม่รอช้าที่จะเข้าไปขวาง และไม่รู้ว่าหมัดใครสักคนพุ่งใส่จมูกเธอจนมึน หญิงสาวล้มเงยหน้ามองเห็นดาวทั้งที่เป็นเวลากลางวัน เห็นนิรันดร์หันไปตั้งท่าจะต่อยปลายฟ้าที่ยืนช็อกอยู่ก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าของหมัดเมื่อครู่เป็นของใคร
“ยังจะชกกันอีก” สุดฝันกัดฟันพยุงกายขึ้นทั้งที่ยังมึนอยู่มาก ก่อนจะใช้มุกคลาสสิกที่เธอนิยมใช้พิสูจน์ความจริงใจของคนอื่นอยู่ตลอดด้วยการสะดุดขาตัวเองให้ล้มหน้าทิ่ม นิรันดร์จึงปราดเข้ามากระชากแขนซ้ายเธอข้างหนึ่งเหมือนที่ชอบทำเวลาเธอล้ม และปลายฟ้าเข้ามาโอบไหล่เธอไว้อย่างทะนุถนอม กลัวทำให้เธอเจ็บเพิ่ม
“น้องฉัน แกไม่ต้องยุ่ง”
“สุดก็เพื่อนฉัน”
คนเจ็บก่นด่าทั้งสองคนในใจ ก่อนจะสะบัดแขน และเบี่ยงตัวออกจากมือทั้งคู่ เงยหน้าที่แดงไปเป็นแถบจากการถูกต่อยไปให้ทั้งสองเห็นกันชัดๆ และพอเธอจะหาเสียงมาบอกว่าไม่เป็นไร ปลายฟ้าก็ชี้หน้าเธอ พูดตะกุกตะกักหน้าซีด
“สุดเลือดออก”
นิ้วเรียวยกปาดเลือดที่ออกมาจากจมูก เธอเบ้หน้าที่ระบมเล็กน้อย ใช้สายตาก่นด่าคนสองคนที่ยังไม่ยอมโตไปอีกกระบุง แต่คำพูดกลับสวนไปอีกทาง “ช่างมันเถอะ” หลังจากนั้นเพียงพนิจจึงเข้ามาดูแลเธอ ใช้ผ้าสะอาดมาเช็ดเลือด หาน้ำแข็งมาประคบรอยช้ำให้ ปากก็เทศนาลูกชายที่ได้แต่คอตกอยู่ใกล้ๆ ให้เธอต้องลอบยิ้ม จนนึกมาชื่นชมลับหลังขณะที่เดินรั้งท้ายขึ้นรถกลับ
“มุกคอตกเมื่อกี๊ตลกมาก”
“ไม่ตลก เศร้าจริง”
สุดฝันดึงสองแก้มคนเศร้าออกจนสุด พยายามทำให้คล้ายว่ากำลังยิ้ม ทั้งที่ในรูจมูกของเธอยังมีกระดาษทิชชู่ม้วนใส่อยู่ข้างหนึ่ง หลังจากนิรันดร์เห็นว่าเลือดเธอไม่ยอมหยุดง่ายๆ “เศร้าอะไรเราปกติจะตาย”
“เจ็บจนเลือดออกขนาดนี้ ปกติตรงไหน” ปลายฟ้านึกกังวลถึงมารดาว่าจะรับเคราะห์ไปกับเขาด้วยหรือไม่หลังกลับไปที่บ้าน สุดฝันเป็นหลานรักของคุณอรุณ คุณท่านของบ้านกมลเวชรักษ์ขนาดไหนทำไมพวกเขาจะไม่รู้
“เราหกล้มหน้าทิ่ม เมื่อตะกี๊พี่รันดร์ก็เห็น”
“ไม่เห็น!” เสียงในรถตอบกลับมาอย่างหงุดหงิด
“พี่รันดร์ไม่เห็นอะไรเลย ทีนี้ก็ไร้พยานแล้ว เราหกล้ม เรายืนยันได้” สุดฝันย้ำอย่างเข้มแข็ง ก่อนจะดุนหลังปลายฟ้าให้ขึ้นรถ ทีนี้ต่อให้นิรันดร์ทำเสียงฮึ่มฮั่มอยากงับหัวปลายฟ้าขนาดไหนก็ไม่กล้า เมื่อมีสุดฝันขวางกลาง และพูดออกมาราวกับหน้าตัวเองไม่มีรอยช้ำ “สุดหกล้มนะคะทุกคน...เป็นอันเข้าใจตรงกัน”
“ตลกหน้าตายมาก!” นิรันดร์แยกเขี้ยวใส่น้องสาว ที่หันมายิ้มรับได้กวนประสาทลูกกะตาเขาที่สุด...เยี่ยมยอด ยัยสุดมีพัฒนาการด้านอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว
...........................................
เรื่องที่แล้วจอดอยู่ริมท่าน้ำยังไม่ได้แจวเพิ่ม ยังริอาจเปิดเรื่องใหม่ (สังเกตได้ว่าปวราเป็นประเภทเปิดเรื่องใหม่ไว้สักพัก ก็ยังไม่จบ) แต่อยากเขียนเรื่องนี้ให้จบจริงๆ ค่ะ ร่างพล็อตไว้แซ่บดี ปาดน้ำหมาก ฮา อัพให้อ่านยาวๆ เลย เพราะตอนสองจะมาเมื่อไหร่ยังไม่รู้ ฝากสุด รันดร์ และปลายด้วยนะคะ ^_^ ป.ล.มาแบบชายสองหญิงหนึ่งอีกแล้วววว ฮา
ร่างบอบบางก้มๆ เงยๆ อยู่หลังพุ่มไม้ มือจับเสียมขุดดินลงไม้ดอกแปลงใหม่แทนแปลงเก่าที่เหี่ยวเฉาไปตามกาลเวลา ใบหน้าชุ่มเหงื่อปรากฏแววเหนื่อยล้า และซีดเซียวพร้อมล้มตลอดเวลา แต่ความดื้อดึงในแววตาทำให้เธอยังยืนหยัดที่จะขุดดินต่อไป โดยไม่สนใจอากาศมืดครึ้ม ท้องฟ้าร้องครืนเบื้องบนในตอนนี้
“เธอก็รู้ว่ามันไม่คุ้ม”
มือที่ปริแตกจนแสบผิวจากการขุดดินกำรอบด้ามเสียมไว้แน่น ปากบางกัดเม้มจนเจ็บก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองเงาสูงที่พูดอยู่ตรงหน้า จากนั้นจึงหยิบดอกกุหลาบมาแกะถุงดำออก และวางตัวต้นลงไปในหลุม ใช้มือกวาดดินกลบ
“ทำไมไม่ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ” นิรันดร์กระชากเสียงถามยิ่งขึ้นเมื่อคนฟังเบื้องหน้าเขาดื้อด้านเกินทน ผู้หญิงตรงหน้าเขากำลังเป็นสิ่งมีชีวิตอะไรสักอย่างที่เหมือนคน แต่ไม่ใช่คน มีความคิด แต่ไร้ความรู้สึก! กลับมาสอบสัมภาษณ์รายงานตัวเข้ามหาวิทยาลัยเรียบร้อย ในคณะที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน
“นี่คือสิ่งที่สุดต้องการ” สุดฝันหยัดกายลุกขึ้น สองมือปัดเศษดินที่เปรอะตามมือและตัวออกอย่างเอื่อยเฉื่อย ริมฝีปากประดับยิ้มบางเบาไม่สะดุ้งสะเทือนกับท่าทีขึ้งโกรธของพี่ชาย “สุดอยากเรียนศิลปะ”
“ไม่จริง!”
“สุดทำมันได้ดี”
“เธอโกหก” เขารู้ว่ามือของสุดฝันบอบบาง และเหมาะกับการจับเครื่องมือแพทย์เหนืออื่นใด การที่น้องสาวมาทุ่มเทเพื่อสอบเข้าเรียนศิลปกรรม...คือการทำทุกอย่างที่ฝืนใจตัวเอง
“เหมือนที่พี่รันดร์อยากจะเรียนหมอนั่นแหละค่ะ” อีกครั้งที่รอยยิ้มบนหน้าของสุดฝันเกิดขึ้น หญิงสาวเห็นอาการนิ่งค้าง กัดฟันกรอดของพี่ชายจึงรู้ว่าเธอจี้ใจดำเขาตรงจุด จึงก้มลงเก็บอุปกรณ์ทำสวนต่อ
“เพราะฉันใช่ไหม” ชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวของนักศึกษาเท้าเอวถามเสียงห้วน
สุดฝันหัวเราะหึ มือถือถุงอุปกรณ์ทำสวนลุกขึ้นยืน แหงนหน้ามองฟ้าที่เริ่มพร่างฝนพรำลงมาอย่างไม่สะทกสะท้าน ยืนปล่อยให้ตัวเองเป็นกระบะเปล่าๆ ที่พร้อมรองรับน้ำฝน
นิรันดร์กระตุกแขนเล็กของน้องสาว กึ่งจูงกึ่งลากร่างที่ไม่มีแรงต่อต้านแรงเขาเลยแม้แต่น้อยเข้าบ้าน ชายหนุ่มได้แต่สะกดกลั้นความขมปร่าในปาก เมื่อเขาหันกลับไปอีกครั้ง ใบหน้าที่เปียกชุ่ม มีหยดน้ำประดับบนใบหน้านั้น เขาไม่รู้เลยว่าหยดน้ำเหล่านั้นที่เห็นแท้จริงคือฝน...หรือน้ำตา
“เธอจะไม่มีความสุขในสิ่งที่เลือกหรอก”
หญิงสาวในชุดนักเรียนมัธยมปลายหัวเราะน้อยๆ พอมาหลบใต้ชายคาบ้าน เหล่าคนงานในบ้านที่เห็นคุณหนูเล็กคุณหนูใหญ่ของบ้านเปียกม่อลอกม่อแลกต่างรีบกุลีกุจอหาผ้าขนหนูมาเช็ดให้กันจ้าละหวั่น คฤหาสน์หลังใหญ่มีแสงไฟอบอุ่นส่องสว่างไปทั่ว แต่ดวงตาของเด็กสาวที่กำลังหัวเราะกลับว่างเปล่าเย็นยะเยือก
“ก่อนจะเตือนสุด...พี่รันดร์คงลืมเตือนตัวเองก่อนนะคะ”
ร่างแบบบางที่ไม่ชอบให้ใครมองว่าอ่อนแอ หรือไร้แรงกำลังในการทำสิ่งต่างๆ ว่ายน้ำดำผุดดำว่ายอยู่ในสระน้ำขนาดใหญ่ของบ้านนับชั่วโมงโดยไม่ยอมขึ้นง่ายๆ ปากรูปกระจับซีดง่ายยิ้มให้กับชายสวมชุดคลุมยาวสีขาวที่ใช้ชีวิตเกินกว่าครึ่งชีวิตซึ่งนั่งมองมาจากเก้าอี้เอนหลังบนฝั่ง
“แข็งแรงเหมือนเดิมนะสุด ตาสู้แรงเราไม่ไหวเลย” อรุณยกผ้าขนหนูสะอาดซับหยดน้ำบนหน้า เอนหลังพักเอาแรง
“สุดไม่ได้แข็งแรงขนาดนั้นหรอกค่ะ อยู่ที่โรงเรียนสุดก็ไม่ค่อยได้ออกแรงเท่าไหร่”
“จับแต่พู่กันวาดรูปล่ะสิ” คนสูงวัยส่ายหน้า ดวงตาทอแววผิดหวังไม่ปิดบัง นับตั้งแต่รู้ว่าหลานสาวคนโปรดเลือกเรียนต่อคณะใดมหาวิทยาลัยใด เขาก็ยังยอกแสยง เจ็บใจไม่หาย ถ้าสุดฝันอยู่กับตนมากกว่านี้ คงเข้าใจความต้องการของเขาบ้าง
สุดฝันยิ้มมุมปาก สายตาเหลือบมองสตรีวัยกลางคนคนหนึ่ง บนใบหน้าประดับยิ้มเอื้ออารีมาให้เธอเสมอ สุดฝันจึงปรับรอยยิ้มของตัวเองให้เป็นมิตรมากขึ้น พนมมือไหว้ผู้ใหญ่ที่แม้จะเป็นแค่หัวหน้าแม่บ้าน แต่เธอกลับรู้จักมายาวนานนับสิบปี...ด้วยฐานะอื่น
“สวัสดีค่ะป้าเพียง”
“ไม่ต้องไหว้ป้าหรอกค่ะ” เพียงพนิจวางอุปกรณ์เก็บกวาดรับไหว้แทบไม่ทัน สีหน้าเกรงใจ “เพิ่งกลับมาใช่ไหมคะคุณสุด”
หญิงสาวแหวกว่ายไปขอบสระ ก่อนจับราวบันไดโหนตัวขึ้น ร่างที่มีทรวดทรงองค์เอวชัดเจนในชุดวันพีชสีกรมท่าเดินไปหยิบชุดคลุมที่เธอพาดอยู่ตรงเก้าอี้เอนหลังข้างคุณอรุณอีกตัวมาสวม ก่อนจะหันมาตอบคำถามของคนที่เธอจงใจปล่อยให้รอ...นานๆ
“กลับมาเมื่อวานค่ะ ว่าแต่เมื่อวานนี้ป้าเพียงไปอยู่ที่ไหนคะ สุดไม่เจอป้าเลย” หญิงสาวดึงหมวกคลุมผมออก ใช้ดวงตาสดใสมองแม่บ้านที่มีสีหน้าชะงัก และก้มหลบตา
“คือ...”
“สุดถามไปงั้นแหละค่ะ ใครก็มีธุระกันได้ เมื่อวานนี้ใช่ป้าเพียงคนเดียวที่ไหนที่สุดไม่เห็น สุดเองก็ไม่เห็นพ่อเหมือนกัน” หญิงสาวตัดบทท่าทีอึกอักของฝ่ายพร้อมยิ้มไม่ถือสา แต่ดวงตากลับกดมองคมปลาบชั่วแวบหนึ่งราวกับรู้ทันจนคนมองได้แต่ก้มหน้าหลบเป็นครั้งที่สอง
อรุณขยับตัวอย่างอึดอัด ก่อนจะกระแอมเรียกความสนใจจากหลานสาว “ไปอาบน้ำล้างตัวเถอะสุด ป่านนี้แม่เราคงทำกับข้าวขึ้นโต๊ะแล้ว”
สุดฝันรับคำอย่างว่าง่าย เธอผงกศีรษะลาเพียงพนิจ แล้วจึงเดินลัดขอบสระ ผ่านห้องโถงโอ่โถงยิ่งใหญ่ของบ้าน เครื่องเรือนทุกอย่างเก่าแก่ และมีราคาค่างวดมหาศาล หญิงสาวเดินผ่านโดยไม่ได้สนใจจะนั่งพัก แต่เมื่อเดินผ่านรูปครอบครัวขนาดเท่าคนจริงจึงหยุดมอง ภาพครอบครัวที่อยู่ติดผนังด้านขวา มีพ่อแม่ลูกสมบูรณ์พร้อม ทำให้เธอหวนนึกถึงช่วงเวลาในอดีต เวลาเป็นเด็กที่ไม่ต้องฉลาด ไม่ต้องรู้เรื่องรู้ราว ทำหน้าเซื่องๆ โง่ๆ ได้ตลอดเวลาคนเขาก็ยังเอ็นดู แต่เมื่อเธอเติบโตขึ้น...ความบริสุทธิ์ ความสดใสในวัยเด็ก มันได้เลือนหายไปจากใจเธอจนหมดสิ้น ไม่หลงเหลือสิ่งใดให้จดจำอีก
กมลเวชรักษ์...ตระกูลใหญ่ของผู้บุกเบิกโรงพยาบาลเอกชนรายแรกๆ ของประเทศไทย ปู่ทวดของเธอเริ่มมาจากคุณหมอธรรมดาคนหนึ่ง ท่านมีปณิธานที่อยากจะรักษาผู้ยากไร้ หลังจากที่พ่อของท่านถูกปฏิเสธการรักษาเพียงเพราะความจนของท่านในวัยเด็ก ตามประวัติที่เธอทราบมาคือปู่ทวดยอมแต่งงานกับย่าทวดที่ครอบครัวรวยมาจากธุรกิจโรงแรม และทิ้งคนรักที่ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่รักษาคนไข้กันมา
ความรัก กับเงินตรา สิ่งใดกันเล่าสำคัญสุด เมื่อท้ายที่สุดชีวิตคู่ระหว่างปู่ทวดกับย่าทวดก็มาถึงทางตัน พวกเขาต่างแยกจากกันด้วยความเกลียดชัง สุดฝันยกยิ้มให้กับภาพครอบครัวเบื้องหน้าที่ดูสวยงาม ใครๆ ต่างก็อิจฉาความมีเงิน เป็นคุณหนูของเธอ แต่ใครจะรู้ว่าแท้ที่จริง...ทุกอย่างก็แค่ลวงตา ครอบครัวของเธอมันถูกสาปมาตั้งแต่เริ่มต้น
“มายืนอะไรตรงนี้สุด ไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว ตามพี่รันดร์เขาลงมาด้วยล่ะ”
สตรีเจ้าของพิมพ์หน้าที่หญิงสาวได้รับมายืนทำหน้ายุ่งใส่เธอจากในครัว บนตัวของพุดมณีมีผ้ากันเปื้อนทับชุดลำลองอยู่
“พี่รันดร์ออกไปข้างนอกแต่เช้าแล้วค่ะ”
“อะไรกัน!”
“สุดคนเดียวก็จัดการไหวนะคะ”
พุดมณีมองค้อนบุตรสาว ส่ายหัวให้กับความขี้อวด “พูดมาอย่างนี้เดี๋ยวแม่ทำเยอะจะหาว่าไม่เตือน”
สุดฝันตาโต ก่อนจะหัวเราะเบาๆ ถึงรสมือของแม่จะพอรับประทานได้ แต่ก็ยังห่างไกลจากคำว่าอร่อยของ
เธออยู่หลายขุม บางเมนูเคยทำให้เธอท้องเดินไปสามวัน “ฝากจองห้องน้ำให้สุดด้วยนะคะ” พูดจบก็เผ่นแผล็ว ปล่อยให้มารดามองค้อนตาม
เมื่อใดที่อยากพูด...เธอจึงพูด เมื่อใดที่ไม่อยากพูด ให้รอบข้างยิงคำถามใส่...เธอก็เงียบ
มื้อเช้าผ่านไป โดยทั้งโต๊ะมีแค่อรุณ พุดมณี และสุดฝัน หลังแยกย้ายเธอจึงออกมาเดินรับลมเล่นข้างนอก ชีวิตปิดเทอมก่อนก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย จะว่าน่าสนุกก็สนุก จะว่าน่าเบื่อก็ได้ หญิงสาวทรุดตัวลงนอน หัวมีหญ้าในสนามรองต่างหมอน ไม่สนใจว่าเสื้อยืดราคาถูกจากตลาดนัดกลางคืนจะเปื้อนหรือไม่ เธอก็แค่อยากหลับตาพัก ปิดโลกที่แค่ลืมตาก็จะมองเห็นใครบางคนที่พยายามเรียกชื่อเธออยู่ไม่ไกล
“สุดอยู่ไหนครับ” เสียงอันคุ้นเคยที่ร้างลาจากหูเธอไปนานปีดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกล แม้ตาจะปิดกั้นภาพ แต่นั่นยิ่งทำให้ประสาทการฟังของเธอชัดเจน
“คุณสุดนอนอยู่ตรงนั้น”
คนสวนของบ้านบอกเขาแบบนั้น สุดฝันส่งเสียงหึในใจ และนับเวลาเป็นวินาทีในใจว่าอีกกี่ก้าวที่ ‘เขา’ จะเดินมาถึงเธอ
หนึ่ง...สอง...สาม...
“โป้ง!”
คนนอนอยู่หลังพุ่มไม้ลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน แสงอาทิตย์ที่สาดแสงลงมาผ่านร่างเบื้องหน้าทำให้สุดฝันมองเห็นใบหน้าของคนตัวสูง ร่างกำยำนี้ได้ไม่ชัดเจน แต่จากโครงร่างที่เธอสังเกตเงียบๆ นี้ทำให้รู้ว่าหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ปลายฟ้าตัวใหญ่ขึ้น
“ไฮ!”
“แค่ไฮเนี่ยนะ” ร่างสูงทรุดกายนั่งอยู่ข้างกัน จงใจเบี่ยงหลัง กางมือป้องกันให้แดดถูกตัวคนนอนอยู่บนพื้นหญ้าน้อยที่สุด สุดฝันมองการกระทำของปลายฟ้านิ่งนานเป็นนาที ให้ดวงตาที่ปรับแสงจ้าได้สังเกตใบหน้าคมคร้ามเข้ม ที่มีไรหนวดขึ้นประปราย ไหนจะสีผิวที่แทนเข้มกว่าเมื่อหนึ่งปีก่อน
“ดำขึ้นนะ”
สุดฝันยันศอกกึ่งนั่งกึ่งนอน ลอบหัวเราะในใจกับอาการหน้าตาบอกบุญไม่รับของคนถูกทักว่า ‘ดำ’ “กระผมเรียนเกษตรนะครับ จะให้ไปปลูกผักทำไร่ในห้องแอร์หรือไง”
“อยู่โรงเรียนประจำคงมีอะไรให้ทำเพลินๆ ไม่มีเวลาคิดถึงกันเลยใช่ไหม” ปลายฟ้าบ่นน้อยใจ คนที่คิดอะไรก็แสดงออกอย่างนั้นจึงไม่มีลับลมคมในปิดบัง “เงียบหายไปเลย”
“คิดถึงเหรอ” สุดฝันเยี่ยมหน้าไปถามทีเล่นทีจริง ก่อนจะถอนร่างกลับไป แหงนหน้าเหม่อมองฟ้าแล้วเงียบ
“ไม่คิดถึงเราก็ไม่บ่นน้อยใจหรอก” ปลายฟ้าเขกมะเหงกคุณหนูเล็กผู้ชอบเหม่อของบ้านกมลเวชรักษ์อย่างหมั่นเขี้ยว เขากับหญิงสาวเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่แปดปีก่อน สมัยที่แม่ของเขา ‘เพียงพนิจ’ เข้ามาทำงาน และอยู่อาศัยที่นี่ สมัยนั้นเด็กหญิงสุดฝันทั้งมึนตึงไม่น่าคบเลยสักนิด ไม่ใช่เพราะเธอร้ายกาจ แต่เพราะเธอ...เฉยเมยไร้ความรู้สึกเกินไป
‘นี่คือคุณสุด คุณหนูเล็กของบ้านหลังนี้’
เด็กหญิงวัยประถมสี่เดินลงมาจากรถกึ่งแวนของบ้าน บนหลังมีกระเป๋าหนังสือใบเขื่องเกินตัว ใบหน้าเล็กมีแว่นกรอบโตวางอยู่บนดั้ง คนตัวเล็กโบกมือไม่ให้ใครมายุ่มย่ามกับกระเป๋าสัมภาระที่เธอแบก ขณะที่เดินผ่านหน้าเขาไปราวกับไม่เห็นร่างเขาที่กำลังยืดร่างเพื่อให้อยู่ในสายตา
‘นี่คือคุณรันดร์ คุณหนูคนโตของบ้าน’ ชายที่ตัวสูงเกือบจะเท่าเขาเดินลงมาอีกคน เด็กที่อ่อนกว่าเขาเล็กน้อยถือเป้เคียงใบเดียว เหลือบตามองเขานิดหนึ่ง ก่อนจะไม่สนใจ
โครม! ร่างเล็กที่เดินล่วงหน้าไปสะดุดพื้นกรอบประตูจนล้มคว่ำ ร้อนทุกคนต้องไปช่วยพยุงขึ้น พี่ชายของคุณหนูสุดดึงแขนน้องสาวแทบเป็นกระชากให้ลุกขึ้น ก่อนจะบ่นคำหนึ่งออกมาแล้วเดินขึ้นชั้นสองไปไม่รั้งรอ
‘ซุ่มซ่าม!’
เด็กหญิงล้มเงียบไม่ต่อปาก นอกจากนวดแขนและขาของตัวเองที่กระแทกอย่างแรงกับพื้นเพราะความไม่ระวัง ปลายฟ้าส่ายหน้า อดไม่ได้ที่จะหัวเราะให้กับความซุ่มซ่ามไม่เอาอ่าวของเด็กแว่นหนาเตอะคนนี้
คนถูกหัวเราะมองเขาอย่างเฉยชา ‘หัวเราะใคร’
‘เธอไง ตลกจริง’
คนรอบข้างต่างยะเยือก สูดหายใจลึกอย่างกังวล กลัวว่าสุดฝันจะทำในสิ่งที่เรียกว่าบันดาลโทสะทั้งที่ไม่เคยมีใครเห็นเวลาคุณหนูเล็กโกรธ แต่ผิดคาดเมื่อเธอไม่ถือสาสักคำ ซ้ำยังพูดกับเขาโดยตรง ‘เพิ่งรู้นะว่าเราตลก วันหลังมาทำให้เราหัวเราะได้บ้างสิ’
‘หัวเราะมันยากตรงไหน’ เด็กหนุ่มวัยสิบสามเอียงคอสงสัย หัวเราะก็แค่หัวเราะ ของอย่างนี้ต้องสอนกันด้วยเหรอ...เด็กพิลึก
‘ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ’
ปลายฟ้าเลิกคิ้วไม่เข้าใจ เขาจงใจทำสีหน้าพิลึกพิลั่นอย่างการบิดปาก ย่นจมูก หรือตาเหล่ แต่คนมองก็ยังใช้หน้าไร้ความรู้สึกมองตอบกลับมา ตรงข้ามกับบรรดาคนงานในบ้านที่หัวเราะจนน้ำตาเล็ด สุดท้ายเด็กหนุ่มจึงยอมแพ้
‘เริ่มคิดว่าหัวเราะมันยากแล้วล่ะ’
‘บอกแล้ว...ว่ามันยาก’ เด็กหญิงบอกสั้นๆ อย่างจริงจัง ปล่อยให้บรรยากาศบริเวณนั้นอึมครึมต่อไป แม้เธอจะขึ้นไปยังห้องพักแล้วก็ตาม
‘คุณสุดก็เป็นอย่างนี้ล่ะ’ คนงานในบ้านคนหนึ่งบอกอย่างนั้น คล้ายคุ้นชินกับอาการเฉยชาของเด็กหญิงคนนี้เป็นอย่างดี
อย่างนี้...สำหรับเด็กสิบขวบไม่ใช่เรื่องที่ควรเป็น ไม่ใช่เหรอ เด็กใกล้หนุ่มส่ายหน้าไม่เห็นด้วย
นึกถึงครั้งแรกที่เจอ ตัดกับภาพของผู้หญิงที่เป็นสาวเต็มตัวนั่งเหม่อมองฟ้าเขาก็ได้แต่ถอนใจเงียบๆ ในวันนี้จะว่าไปสุดฝันดูพูดง่ายขึ้น เข้าถึงง่ายขึ้น แต่นั่นก็แค่เปลือก...บางสิ่งที่สุดฝันป้องกันยังเป็นปราการที่อยู่ไกลเกินความสามารถของเขาเสมอ สายตาที่มองฟ้าเงียบๆ ในเวลานี้ เธอคงกำลังปล่อยความคิดให้ลอยไปไกลด้วยบางเรื่อง...ทั้งที่เขานั่งอยู่ตรงนี้
“ท้องฟ้า น่ามองกว่าปลายฟ้าเหรอ”
สุดฝันละสายตาจากท้องฟ้าที่มีเมฆเอื่อยลอยอยู่ช้าๆ สนใจ ‘ปลายฟ้า’ ที่เป็นคนในที่สุด เธอยิ้มขำ “มุกนี้ตลกดีนะ...เราตลก”
“เราไม่ได้เล่นตลก พูดจริง”
รอยยิ้มที่ติดอยู่บนใบหน้าของสุดฝันเลือนหายไป เหลือเพียงร่องรอยของความเฉยชาไร้ความรู้สึก “ทุกวันที่เราเบื่อเราก็จะมองฟ้า ทุกวันที่เราเหนื่อยเราก็จะมองฟ้า ทุกวันที่คิดถึงใครสักคนเราก็จะมองฟ้า...ท้องฟ้าทำให้เราสงบ” สุดฝันมองหน้าคนฟังที่เอาแต่ขมวดคิ้วยุ่งไม่หาย ก่อนคลี่ยิ้มให้คลายใจ “ปลายไม่รู้สึกอย่างนั้นบ้างเหรอ”
“ที่สุดพูดมามีแต่จะทำให้เราเบื่อ เหนื่อย แล้วก็เหงาขึ้น ท้องฟ้าคุยกับเราไม่ได้ ตอบเราไม่ได้ ยิ้มให้เรายังไม่ได้เลย”
หญิงสาวฟังแล้วดวงตาวูบไหว ได้แต่หยัดกายมานั่งกอดเข่า ไม่รักษามาดคุณหนู เหม่อมองท้องฟ้าเงียบเชียบ ไม่ยอมเอ่ยสิ่งที่ค้างคาอยู่แต่ในใจ...ฟ้าของเธอคือเขา ‘ปลายฟ้า’ เธอคิดถึงเขาเสมอ
“รำคาญเหรอ” หลังจากปล่อยให้เงียบอยู่หลายนาที สุดฝันจึงลดคางลง และหันมองเพื่อนที่เอนตัวนอนราบ หลับตาอยู่ข้างกาย ลมหายใจสม่ำเสมอ คำถามของเธอไม่มีใครตอบได้นอกจากความเงียบงัน มือบอบบางและแขนเรียวเล็กยื่นออกไปเหนือร่างของปลายฟ้า ปล่อยให้แดดลามเลียผิวกายขาวซีดของเธอ แทนที่ผิวแทนของเขาอย่างเป็นห่วงกลัวเขาจะร้อน ดวงตาแสดงความรู้สึกมากมาย ที่เธอมักเก็บซ่อนไว้ไม่ให้ปลายฟ้าอ่านออก
ความสัมพันธ์ที่เธอก้าวข้ามไปไม่ได้...และไม่คิดปล่อยตัวให้ถลำลึกไปกว่านี้ ให้เขาเป็นเพียงเพื่อนคนแรกที่ยอมเข้ามาเพื่อเป็นเสียงหัวเราะ ซึ่งเธอไม่เคยมีมาก่อน...เป็นมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
ร่างเล็กเดินตามร่างสูงที่เดินนำหน้าอยู่ก้าวหนึ่งอย่างไม่เร่งร้อน สายตากวาดมองบรรดาคนเจ็บป่วยที่มาหาหมอด้วยหน้าอมทุกข์ บ้างโอดครวญเจ็บปวดตลอดระยะทางที่เดินเข้ามา นิรันดร์เหลียวมามองความสนใจของน้องสาวพลางหัวเราะในลำคอ แสยะยิ้มมุมปาก ดวงตาที่ทอประกายสนอกสนใจ ผสานความเห็นใจ และท้ายสุดคือความเสียดายล้วนอยู่ในสายตาของเขาทั้งหมด
“เสียดายไหม”
เมื่อทั้งสองเดินเข้าไปในลิฟต์ด้วยกัน นิรันดร์จึงพูดขึ้น ผนังของลิฟต์สะท้อนใบหน้าของน้องสาวเขาอย่างชัดเจนว่ากำลังเม้มปากสะกดกลั้นความรู้สึกบางอย่างในหัวใจ “ทำไมไม่เลือกความฝันของตัวเอง”
“สุดสอบไม่ได้หรอก”
“ได้ข่าวว่าเธอไม่ได้แม้แต่จะสมัครสอบ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าสอบไม่ได้ สมองหัวกะทิ บ้าเรียนมาแต่เด็กอย่างเธอ มีเหรอจะเข้าไม่ได้ ขนาดศิลปะที่ไม่ถนัด เธอยังทู่ซี้สอบเข้าไปได้เลย”
“พี่จะมารู้จักสุดมากกว่าตัวสุดเองได้ยังไง”
“พ่อขอมาใช่ไหม” นิรันดร์ไม่สนใจเหตุผลร้อยแปดของน้องสาว “ถ้าใช่ เธอก็โง่มาก”
“เหมือนพี่...เราต่างโง่เหมือนกัน” ลิฟต์เปิดออก สุดฝันปรายตามองพี่ชายอย่างเฉยชาแล้วเดินนำออกไป โถงชั้นบนของอาคารโรงพยาบาลประกอบด้วยห้องประชุมใหญ่ และห้องพักของผู้บริหาร หญิงสาวกัดฟันอดทนเก็บใบหน้าเมินเฉยต่อแพทย์ผู้ใหญ่หลายคนที่ทักทายเธออย่างคุ้นเคย บ้างถามไถ่ถึงการตัดสินใจเรียนของเธอว่าเลือกอะไร
“เลือกเรียนแพทย์ที่ไหนล่ะหนูสุด” ศัลยแพทย์ทรวงอกที่เคยสอนหญิงสาวเรียนเรื่องระบบของร่างกายให้สมัยเธอมาเยี่ยมดูงานช่วงปิดเทอมทักทายยิ้มแย้ม
หญิงสาวยิ้ม ดวงตาหลุบต่ำ “สุดไม่ได้เรียนแพทย์หรอกค่ะ”
“เภสัชกร ไม่ก็พวกเทคนิคการแพทย์ใช่ไหม”
“เขาเลือกเรียนศิลปะครับ” นิรันดร์จงใจตอบแทน น้ำเสียงส่อแววเหน็บแนมประชด
“อ้าว เหรอ” คนฟังมีสีหน้าอึ้งไปเล็กน้อย “ศิลปะก็ดีนะ หนูสุดเรียนให้เต็มที่ล่ะ”
“ค่ะ” สุดฝันหน้าชาเล็กน้อย เธอไม่ได้รู้สึกว่าคนฟังมีสีหน้าดูถูกดูแคลนกับการตัดสินใจของเธอ ตรงกันข้าม คนที่รู้ทั้งหลายต่างประหลาดใจกับเธอมากกว่า เด็กที่พยายามเอาตัวมาขลุกอยู่ในโรงพยาบาลตั้งแต่เด็ก เรียนหนักมาตลอดเพื่อสืบทอดธุรกิจของทวด มีปณิธานอันแรงกล้าที่จะช่วยเหลือคนเจ็บป่วย ทำไมถึงหันหลังให้กับความต้องการของตัวเอง
‘หมอไม่ใช่แค่ถือยา ถือเครื่องมือผ่าตัด แต่เราถือชีวิต ไม่ใช่แค่คนป่วย แต่ยังถือชีวิตพ่วงท้ายครอบครัวเขาไว้ด้วย คนที่เจ็บตรงหน้าอาจเป็นเสาหลักในครอบครัว อาจเป็นลูก อาจเป็นคนรัก คนสำคัญของใครสักคน เราช่วยหนึ่งชีวิตได้ ก็เท่ากับช่วยชีวิตคนในครอบครัวเขาได้ด้วย’
ตาของเธอเคยถ่ายทอดคำพูดของทวดให้ฟังแต่เล็ก ทำให้เธอพากเพียรมาตลอดเพื่อรักษาชีวิตของคนอื่น ซึ่งทุกอย่างเกือบถึงปลายทาง กระทั่งเธอเป็นคนปิดประตูฝันของตัวเองลงเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว
“พี่รันดร์ชอบเรียนวาดรูป ชอบศิลปะ สุดเองก็ไม่เคยลืมนะคะ” ก่อนจะเปิดประตูห้องของผู้บริหารโรงพยาบาลสุดฝันจึงหันมาพูดกับพี่ชาย เห็นอีกฝ่ายนิ่งงันไป ดวงตาคล้ายกำลังด่าเขาว่า ‘ช่างยอกย้อน’
“ทำอย่างนี้เพื่อประชดพี่เหรอ”
สุดฝันกระตุกยิ้มมุมปาก ดวงตาฉายร่องรอยเด็ดเดี่ยว อีกครั้งที่หญิงสาวไม่ปฏิเสธ “ค่ะ!”
“ถ้าฉันลาออก เธอจะกลับมาเรียนแพทย์ไหม” น้ำเสียงห้วนกระซิบถาม เขาไม่ต้องการให้บทสนทนานี้เล็ดรอดไปถึงหูคนในห้อง
อีกครั้งที่หญิงสาวเมินหน้าไปทางอื่น ร่างบางเดินไปชิดกระจกที่เผยวิวด้านนอกอย่างแจ่มชัด ภาพคนป่วยที่หลังใหลเข้ามาโรงพยาบาลมีไม่ได้ขาด ทำให้เธอเคืองเมื่อได้ยินพี่ชายเอาเรื่องนี้มาพูดราวกับมันไม่สำคัญ “เมื่อเลือกเรียนหมอแล้ว สิ่งที่พี่รันดร์ควรคิดถึงมากที่สุดคือคนไข้ พี่รันดร์อาจได้โควตาตรงนี้แทนคนอีกหลายคนที่อยากเรียนแพทย์มากกว่าพี่ แต่เขาไม่มีโอกาส คนอย่างพี่หนึ่งคนสามารถช่วยชีวิตได้หลายชีวิต ถ้าพี่หายไปคน อาจจะมีคนเจ็บคนป่วยเพิ่มมากขึ้น”
“คนที่กินอุดมการณ์อย่างเธอยังทิ้งคนไข้ในอนาคตมาได้ แล้วทำไมฉันที่ไร้อุดมการณ์จะทำไม่ได้” นิรันดร์กระชากประตูห้องของนายแพทย์ก่อบุญออกอย่างแรงตามอารมณ์ ปล่อยให้น้องสาวยืนทอดอารมณ์อยู่ริมกระจกต่อไปอยู่หลายนาที กว่าที่เธอจะละสายตาจากวิวภายนอก และหันหน้าตรงสู่ประตูเบื้องหน้า สถานที่ที่มีคนขีดฆ่าความฝันของเธอและพี่ชายนั่งอยู่ เธอต้องบังคับสีหน้าอยู่นานไม่ให้แสดงออกถึงความรู้สึกด้านลบที่อัดแน่นจนล้นปรี่ในในเธอ
“มาแล้วเหรอ...ลูกสุด”
ชายสวมชุดกาวน์ บนหน้ามีริ้วรอยแห่งกาลเวลาอยู่บ้างประปราย การดูแลตัวเองอย่างดีของก่อบุญทำให้หนุ่มใหญ่วัยเกือบห้าสิบยังคล้ายหนุ่มวัยสามสิบตอนปลายเท่านั้น รอยยิ้มของเขาพุ่งตรงมาที่เธอชัดเจน ถ้ามีสปอร์ตไลต์ส่องหน้าเธอได้ก็คงอธิบายได้ประมาณนั้น หญิงสาวยกมือไหว้บิดาที่เพิ่งพบหน้ากันในรอบหลายวัน นั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน ติดกับพี่ชายที่ยังแสดงออกถึงความหงุดหงิดใจให้เธอได้เห็น
“รันดร์อารมณ์เสียอะไรมาล่ะ หรือสองคนทะเลาะกันมา” ก่อบุญรับรู้บรรยากาศมาคุของสองพี่น้องตั้งแต่แรกเริ่ม
“พี่รันดร์ก็แค่ชอบพาลแบบเด็กๆ ค่ะ”
“เธอนี่มัน...” นิรันดร์หันมาแยกเขี้ยว(แบบเด็กๆ) ตามที่ถูกว่าเข้าจริงๆ พอรู้ตัวก็ยิ่งเข่นเขี้ยวกับท่าทางแยกเขี้ยวล้อเลียนเขาของสุดฝัน
“พอแล้ว ทะเลาะกันเป็นเด็กๆ อยู่เรื่อยนะ” ก่อบุญว่าหน้ายิ้มๆ ก่อนมาแสดงความยินดีกับลูกสาว “เก่งไม่เบาเลยลูกพ่อ เข้าคณะดังของมหาวิทยาลัยดังได้ โรงพยาบาลของเราคงมีผลงานของลูกมาติดในอนาคตอันใกล้นี้แน่ พ่อเพิ่งรู้ว่าหนูมีฝีมือด้านนี้”
“ผมเองก็เพิ่งรู้” นิรันดร์ปรายตามองน้องอย่างขุ่นเคือง “ร้อยวันพันปีเคยเห็นแต่ขลุกอยู่กับหนังสือเรียน ชอบวิชาชีวะ อ่านหนังสือกายภาพตั้งแต่มัธยมต้น แปลกนะครับที่จู่ๆ จะเบนหัวเรือมาคนละทางเลย” ชายหนุ่มหยุดสายตาอยู่ที่บิดาแน่วนิ่ง
“เลิกเอาเรื่องของสุดมาพูดเถอะค่ะ...น่าเบื่อ” เสียงเรียบเรื่อยปรามสงครามที่เธอไม่รู้ว่าสรุปแล้วนิรันดร์อยากสร้างศึกน้ำลายกับเธอ...หรือกับพ่อกันแน่
บทสนทนาหลังจากนั้นก็เป็นไปอย่างอึดอัด และห่างเหิน แม้ก่อบุญจะพยายามชวนคุย นิรันดร์ก็จะตอบแบบขอไปที ไม่นับสุดฝันที่ยิ่งแล้วใหญ่ที่ยังอาศัยบางช่วงแอบนั่งเหม่อมองโน่นนี่ ไม่ฟังคนอื่นเสียเลย อย่างเช่นตอนนี้ที่นิรันดร์หันดีดคางเรียวของน้องสาวอย่างแรงทีหนึ่ง สุดฝันสะดุ้งมองหน้าคนประทุษร้ายเธออย่างมึนงง
“เหม่อ!”
สุดฝันทำเมินไม่สนใจหลังฟังข้อกล่าวหา ปล่อยให้นิรันดร์เข่นเขี้ยว แล้วขอตัวออกไปรอข้างนอก เขารึอุตส่าห์จะหาทางลากสุดฝันไปพร้อมกัน
“อยู่คุยกันต่อสิ” ก่อบุญรั้งร่างของลูกสาวคนเล็กที่ตั้งท่าจะผละจากโดยไม่บอกกล่าว เขารอกระทั่งนิรันดร์ลับร่างไป รอยยิ้มใจดีบนหน้าจึงแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขานั่งเอนหลัง วางมือบนหน้าขา ทำทุกอย่างเป็นธรรมชาติเสียจนเธอคิดว่าคนก่อนหน้านั้นเป็นแค่คนหน้าเหมือนเขาเท่านั้น
“เธอทำดีมาก”
“ไม่ต้องชมหรอกค่ะ” สุดฝันยิ้มรับแต่เพียงแค่ปาก ดวงตาของเธอเองก็แปรเปลี่ยนจะหน่ายเป็นเย็นชา “ฉันมีคุณเป็นต้นแบบ”
‘พ่อ’ คำๆ นี้เธอเรียกเขาไม่ออกมานับสิบปีแล้ว สุดฝันจะมีโอกาสเรียกก่อบุญว่าพ่อก็ต่อเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น ลับหลังเมื่ออยู่กันสองคน ต่างไม่มีใครคิดจะฟังหรือแยแสสายสัมพันธ์นั้นอีกแล้ว
“อย่าวอแวกับนิรันดร์มาก”
“เขาเป็นพี่ชายของฉัน”
“และเป็นคนที่จะสืบทอดธุรกิจของครอบครัว”
คนฟังมีสีหน้าหน่ายรำคาญอย่างไม่ปิดบัง “ฉันทราบดีค่ะ”
“ขอบคุณที่ไม่คิดมาแข่งกันเองระหว่าง ‘พี่น้อง’” ก่อบุญเน้นย้ำคำว่าพี่น้องให้สุดฝันได้ฟัง หญิงสาวเพียงแค่แค่นยิ้ม ดวงตาเลิกขึ้นมองพ่อที่เธอเรียกเขามาตลอดชีวิตด้วยความรู้สึกว่างเปล่า...ไม่เกลียด แต่ก็ไม่รัก เธอคงถือว่าเป็นลูกบาปคนหนึ่งที่โลกต้องจารึกไว้
หญิงสาวลุกขึ้นยืน สูดหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดในสิ่งที่เธอเฝ้าปรารถนามาตลอดชีวิต “ฉันจะทำให้คุณหย่ากับแม่ให้ได้” สุดฝันหันหลัง ผินเสี้ยวหน้ามาให้ก่อบุญเห็นรอยยิ้มตรงมุมปาก “ฉันสัญญา”
“ถึงฉันจะหย่ากับพุด ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะมีสิทธิ์ได้เป็นหมอ ความสามารถของเธอสู้พี่ชายเธอไม่ได้หรอก ยอมรับตรงนี้ให้ได้ล่ะ”
ทายาทคนเล็กแห่งกมลเวชรักษ์หันกลับมาจ้องหน้าก่อบุญอีกครั้ง สาธยายความจริง และทั้งหมดในการตัดสินใจของเธอออกมา
“ฉันเอาชีวิตของฉันเดิมพันไว้ ถ้าฉันทำให้คุณหย่ากับแม่ไม่ได้ ฉันจะไม่ให้ตัวเองได้เดินตามทางของฉันเด็ดขาด ถ้าฉันจะเรียนหมอ ฉันจะทุ่มตัวและวิญญาณของฉันไปเต็มร้อย แต่ตอนนี้ฉันยังมีเรื่องที่ค้างคาใจ เรื่องที่ทำให้ฉันนอนไม่หลับไปตลอดชีวิตถ้าไม่ได้ทำอยู่เรื่องหนึ่ง” สุดฝันเอื้อมมือมาปัดป้ายชื่อผู้อำนวยการโรงพยาบาลลง พร้อมประกาศกร้าว “ฉันจะขอล้มคุณให้ได้ก่อนตาย”
“ฉันเป็นพ่อเธอนะ!” คนโกรธโมโหจนเส้นบริเวณขมับขึ้นอย่างชัดเจน
“แล้วพ่อที่ดี...คือสิ่งที่คุณทำกับฉัน กับแม่อย่างนั้นเหรอคะ” น้ำเสียงหวานย้อนถามสูง คล้ายคำถามกวนประสาท รอยยิ้มยอกย้อนเย้ยหยันสาดกลับไปไม่กริ่งเกรง เมื่อเห็นว่าทำให้คนฟังมีอาการคอแข็ง ตากร้าวได้เธอจึงหันหลังออกมาจากห้อง มือที่กำไว้จนแน่นสั่นอย่างไม่น่าให้อภัย เธอได้แต่ใช้อีกมือกอบกุมมือของตัวเองไว้ สงครามในครั้งนี้ไม่สามารถตัดสินได้ว่าใครแพ้...หรือชนะ เพราะหัวใจของเธอก็เจ็บแสบราวกับมีใครเอาน้ำกรดมาราดรดเช่นกัน
นึกย้อนไป การแสดงออกของเธอก็ถูกบ่มเพาะมาจากเขาทั้งนั้น
‘พ่อคะ’ เด็กหญิงวัยสี่ขวบพยายามซอยเท้าวิ่งตามบิดาที่กำลังลงบันไดจากบ้านในกลางดึก เธอไม่รู้ว่าพ่อไปไหน หลายคืนติดกันด้วยเวลาเดิมนี้
ก่อบุญคล้ายเงาสูงใหญ่ยามหยุดอยู่ตรงเชิงบันได เงาใหญ่ดูทะมึนกว่าทุกครั้งขณะที่เขาย่างกรายขึ้นมา เด็กหญิงผู้อ่านธรรมชาติของมนุษย์ไม่ออก ไม่ได้ล่วงรู้ชะตากรรมใด ได้แต่เอียงคอมองพ่อ พลางยิ้มอย่างดีใจที่พ่อกลับมาหาเธอ
‘ทำไมยังไม่นอน’
‘นอนไม่หลับค่ะ’ สุดฝันเบะปาก ‘แม่นอนละเมอทุกคืนเลย’
‘ไม่ชินอีกเหรอ’
‘พ่อจะไปไหนคะ อยู่กับแม่เถอะนะ’ มือเล็กเอื้อมจับมือของพ่อไว้แน่น เด็กหญิงมีความรู้สึกหนึ่งคือไม่อยากให้พ่อจากไป
‘แม่เขารู้ดีว่าพ่อไปไหน’
‘แต่ว่า...’
‘ปล่อยพ่อไปเถอะสุด’ น้ำเสียงที่พูดออกมาไร้ความลังเลใจ ทำให้เด็กหญิงรีบตะครุบมือพ่อไว้มั่นส่ายหน้าดิก ‘พูดให้มันรู้เรื่องหน่อยสิสุด’ คนโตดุจนเกือบตะคอก
ก่อบุญพยายามเกาะร่างที่กอดเขาเป็นปลิงไว้ไม่ยอมปล่อย มือทั้งแกะ ทั้งบิดเนื้อจนเด็กหญิงเริ่มร้องไห้ เพราะยื้อยุดกันตรงบันได ท้ายที่สุดเรี่ยวแรงอันเล็กน้อยของเด็กวัยสี่ขวบก็สู้แรงของหนุ่มวัยเพิ่งจะสามสิบไม่ได้ ร่างเล็กจึงหลุดก้าวจากขั้นบันได หมุนกลิ้งเป็นลูกข่างจนถึงพื้น ความเจ็บปวด ความรวดร้าวที่ร่างกายได้รับ ยังไม่เท่าภาพที่เธอเห็นพ่อยืนอยู่บนบันไดที่สูงขั้นขึ้นไป ดวงตาที่มีน้ำเอ่อคลออย่างเจ็บปวดจ้องเงานั้น รอคอยว่าเมื่อใดเขาจะลงมาช่วยเธอ เด็กหญิงอดทนรออยู่นานเกือบนาที ร่างของพ่อก็ยังเดินผ่านเธอไป พร้อมคำพูดที่เขาคาดว่าเด็กอย่างเธอจะรู้ความหมาย
‘ตื่นสักที’
จนทนไม่ไหว ความรวดร้าวทางกายทำให้เธอเปล่งเสียงร้องออกมาลั่นบ้าน ความวุ่นวายภายในจึงเกิดขึ้น ใบหน้าของคนแรกที่มาถึงแม้จะเป็นพ่อของเธอ แต่นับจากนาทีนั้นสุดฝันก็รู้แล้ว...เขาไม่ใช่พ่อที่เธอรู้จักอีกต่อไป เธอตื่นแล้ว!
ของเล่นส่งให้กับเด็กน้อยหลายชีวิตที่วิ่งมารับกันอย่างหน้าเปี่ยมสุข สุดฝันเหลือบมองผู้หญิงวัยกลางคนที่ดูเป็นที่รักของเด็กๆ ด้วยสายตาว่างเปล่า ระลึกถึงมารดาที่ได้แต่นอนป่วยออดๆ แอดๆ อยู่บ้านอย่างเปรียบเทียบ เพียงพนิจเป็นหญิงตรากตรำงานมาแต่ยังสาว แข็งแรง เลี้ยงลูกมาคนเดียว แตกต่างจากมารดาของเธอที่ไม่เคยลำบาก ทุกวันนี้ก็เป็นแม่บ้าน ถึงจะไม่เก่งอย่างแม่ใครเขา แต่เธอกลับรักแม่ของเธอมากกว่าเดิม
นับตั้งแต่เธอลืมตาขึ้นมาในบ้านกมลเวชรักษ์ คนที่เธอรักและห่วงความรู้สึกมากที่สุดก็คือมารดา ผู้หญิงที่ไม่เคยแสดงความอ่อนแอ หรือปริปากบ่น
“แม่เราดูมีความสุขมากเลยนะ” ปลายฟ้ายิ้มแก้มปริ หัวใจอิ่มบุญที่ได้มาช่วยเหล่าเด็กกำพร้าที่นี่ ไหนจะได้พาแม่มาเปิดหูเปิดตาข้างนอก “ต้องขอบคุณสุดที่ชวนแม่เรามา”
“ต้องขอบคุณพี่รันดร์ต่างหาก” สุดฝันมองแถวเด็กที่มาต่อคิวตรงหน้าเธอสั้นกุด เธอไม่ได้รู้สึกประหลาดใจนัก เพราะเธอเคยได้ยินคำค่อนขอดมาไม่น้อยจากเพื่อนเรียนว่าเธอมันมี ‘ออร่าไม่น่าคบ’ กระจายอยู่รอบตัว ทั้งยิ้มหยัน เฉยชา เหม่อ และขี้เกียจพูดไปเฉยๆ
ปลายฟ้าทำหน้าแขยง เห็นนิรันดร์ยืนเต๊ะจุ๊ยถ่ายรูปกับคณะคนดูแลบ้านเด็กกำพร้าอย่างหมั่นไส้ “เขาก็แค่ทำดีเอาหน้า แบกชื่อโรงพยาบาลมาแปะป้ายอุปถัมภ์”
“วันนี้วันเกิดพี่รันดร์”
คนแก้ไขความเข้าใจผิดหัวเราะในคอ ส่ายหน้าให้กับความคิดแง่ลบของปลายฟ้า ปกติปลายฟ้าเป็นคนอารมณ์ดี ไม่คิดเล็กคิดน้อย แต่เมื่อใดที่นิรันดร์และปลายฟ้ามาเจอกัน พวกเขาสองคนราวกับศัตรูคู่อาฆาตมาเจอะกันไม่ปาน ปลายฟ้าไม่ถูกชะตากับท่าเยอะ และมองเขาเป็นเถ้าธุลีดินที่นิรันดร์ชอบใช้มองเสมอ
“แก่ไปอีกปี”
“แต่ปลายแก่สุด”
“แค่สองปี”
“กับเราสามปีนะ”
ก่อนจะมีศึกต่างวัยรบพุ่งใส่กัน เพียงพนิจจึงหันมาสนทนาห้ามศึกกรายๆ “ไม่มีใครจัดงานวันเกิดเหรอคะ”
“ผมไม่ต้องการ เปลือง” นิรันดร์แถลงเสร็จสรรพ พร้อมเดินกอดอกมายืนอยู่ข้างสุดฝัน “มากันสองคนก็พอ จะชวนคนอื่นมาทำไมยุ่งยาก”
“นายรันดร์!” ปลายฟ้าขึ้นเสียงไม่พอใจ ถึงกับกำหมัดเตรียมรบพุ่ง เพราะ ‘คนอื่น’ ที่นิรันดร์กล่าวมาไม่ได้มีแค่เขา ยังรวมถึงมารดาเขาเข้าไปด้วย
สุดฝันมองหน้าเพียงพนิจที่แต่เดิมแต้มยิ้มค่อยๆ ซีดเผือด ลึกๆ ในใจของเธอสะใจ แต่เมื่อหันมาเห็นว่าปลายฟ้ากำลังง้างหมัดใส่หน้าของนิรันดร์กลางลานเป็นที่น่าอายของเด็กๆ เธอจึงไม่รอช้าที่จะเข้าไปขวาง และไม่รู้ว่าหมัดใครสักคนพุ่งใส่จมูกเธอจนมึน หญิงสาวล้มเงยหน้ามองเห็นดาวทั้งที่เป็นเวลากลางวัน เห็นนิรันดร์หันไปตั้งท่าจะต่อยปลายฟ้าที่ยืนช็อกอยู่ก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าของหมัดเมื่อครู่เป็นของใคร
“ยังจะชกกันอีก” สุดฝันกัดฟันพยุงกายขึ้นทั้งที่ยังมึนอยู่มาก ก่อนจะใช้มุกคลาสสิกที่เธอนิยมใช้พิสูจน์ความจริงใจของคนอื่นอยู่ตลอดด้วยการสะดุดขาตัวเองให้ล้มหน้าทิ่ม นิรันดร์จึงปราดเข้ามากระชากแขนซ้ายเธอข้างหนึ่งเหมือนที่ชอบทำเวลาเธอล้ม และปลายฟ้าเข้ามาโอบไหล่เธอไว้อย่างทะนุถนอม กลัวทำให้เธอเจ็บเพิ่ม
“น้องฉัน แกไม่ต้องยุ่ง”
“สุดก็เพื่อนฉัน”
คนเจ็บก่นด่าทั้งสองคนในใจ ก่อนจะสะบัดแขน และเบี่ยงตัวออกจากมือทั้งคู่ เงยหน้าที่แดงไปเป็นแถบจากการถูกต่อยไปให้ทั้งสองเห็นกันชัดๆ และพอเธอจะหาเสียงมาบอกว่าไม่เป็นไร ปลายฟ้าก็ชี้หน้าเธอ พูดตะกุกตะกักหน้าซีด
“สุดเลือดออก”
นิ้วเรียวยกปาดเลือดที่ออกมาจากจมูก เธอเบ้หน้าที่ระบมเล็กน้อย ใช้สายตาก่นด่าคนสองคนที่ยังไม่ยอมโตไปอีกกระบุง แต่คำพูดกลับสวนไปอีกทาง “ช่างมันเถอะ” หลังจากนั้นเพียงพนิจจึงเข้ามาดูแลเธอ ใช้ผ้าสะอาดมาเช็ดเลือด หาน้ำแข็งมาประคบรอยช้ำให้ ปากก็เทศนาลูกชายที่ได้แต่คอตกอยู่ใกล้ๆ ให้เธอต้องลอบยิ้ม จนนึกมาชื่นชมลับหลังขณะที่เดินรั้งท้ายขึ้นรถกลับ
“มุกคอตกเมื่อกี๊ตลกมาก”
“ไม่ตลก เศร้าจริง”
สุดฝันดึงสองแก้มคนเศร้าออกจนสุด พยายามทำให้คล้ายว่ากำลังยิ้ม ทั้งที่ในรูจมูกของเธอยังมีกระดาษทิชชู่ม้วนใส่อยู่ข้างหนึ่ง หลังจากนิรันดร์เห็นว่าเลือดเธอไม่ยอมหยุดง่ายๆ “เศร้าอะไรเราปกติจะตาย”
“เจ็บจนเลือดออกขนาดนี้ ปกติตรงไหน” ปลายฟ้านึกกังวลถึงมารดาว่าจะรับเคราะห์ไปกับเขาด้วยหรือไม่หลังกลับไปที่บ้าน สุดฝันเป็นหลานรักของคุณอรุณ คุณท่านของบ้านกมลเวชรักษ์ขนาดไหนทำไมพวกเขาจะไม่รู้
“เราหกล้มหน้าทิ่ม เมื่อตะกี๊พี่รันดร์ก็เห็น”
“ไม่เห็น!” เสียงในรถตอบกลับมาอย่างหงุดหงิด
“พี่รันดร์ไม่เห็นอะไรเลย ทีนี้ก็ไร้พยานแล้ว เราหกล้ม เรายืนยันได้” สุดฝันย้ำอย่างเข้มแข็ง ก่อนจะดุนหลังปลายฟ้าให้ขึ้นรถ ทีนี้ต่อให้นิรันดร์ทำเสียงฮึ่มฮั่มอยากงับหัวปลายฟ้าขนาดไหนก็ไม่กล้า เมื่อมีสุดฝันขวางกลาง และพูดออกมาราวกับหน้าตัวเองไม่มีรอยช้ำ “สุดหกล้มนะคะทุกคน...เป็นอันเข้าใจตรงกัน”
“ตลกหน้าตายมาก!” นิรันดร์แยกเขี้ยวใส่น้องสาว ที่หันมายิ้มรับได้กวนประสาทลูกกะตาเขาที่สุด...เยี่ยมยอด ยัยสุดมีพัฒนาการด้านอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว
...........................................
เรื่องที่แล้วจอดอยู่ริมท่าน้ำยังไม่ได้แจวเพิ่ม ยังริอาจเปิดเรื่องใหม่ (สังเกตได้ว่าปวราเป็นประเภทเปิดเรื่องใหม่ไว้สักพัก ก็ยังไม่จบ) แต่อยากเขียนเรื่องนี้ให้จบจริงๆ ค่ะ ร่างพล็อตไว้แซ่บดี ปาดน้ำหมาก ฮา อัพให้อ่านยาวๆ เลย เพราะตอนสองจะมาเมื่อไหร่ยังไม่รู้ ฝากสุด รันดร์ และปลายด้วยนะคะ ^_^ ป.ล.มาแบบชายสองหญิงหนึ่งอีกแล้วววว ฮา
ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 มิ.ย. 2558, 22:21:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 มิ.ย. 2558, 23:17:54 น.