ตราบฟ้าไร้ดาว
พี่หิน หนุ่มน้อยนิรนาม ผู้มามอบโลกใบใหม่ที่สดใสสวยงามให้น้องเอ๋ย และจากไปพร้อมกับโลกใบนั้น
ทิ้งไว้แต่โลกมืด โลกไร้สุขและสิ้นหวังเอาไว้ให้
น้องสาวที่เขาเองก็รักปานดวงใจ
‘พี่รักเอ๋ยนะจ๊ะ สามสี่วันที่ออกเรือ พี่คงจะต้องเป็นบ้าแน่ๆ เพราะคิดถึงเอ๋ย แล้วเอ๋ยล่ะ รักพี่และจะคิดถึงพี่หรือเปล่า’
‘ไหนบอกให้พี่ชื่นใจหน่อยสิจ๊ะคนดี’
‘บอกให้พี่ได้ยินหน่อยสิจ๊ะคนดีของพี่ เดี๋ยวเราต้องรีบกลับเข้าบ้านกันแล้วนะ’
‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’
‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’
‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’
วรินรำไพ หรือ เอ๋ย หญิงสาวผู้ไม่หลงเหลือหัวใจให้ใครได้แล้ว
นอกจาก 'พี่หิน' คนเดียวเท่านั้น
“พี่หินจ๋า! เอ๋ยมารับพี่หินแล้ว พี่หินอยู่ไหนจ๊ะ พี่หินกลับมาหาเอ๋ยสิจ๊ะ”
น้ำตาที่ไม่เคยเหือดแห้งนั้น หลั่งไหลลงมาอีกมากมาย เมื่อภาพในค่ำคืนนั้นลอยมาอยู่ตรงหน้าสาวน้อยที่กำลังเจ็บเสียด แน่นที่อกเพราะความเสียใจ
“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยรักพี่หิน”
“เอ๋ยจะรักเพียงพี่หินคนเดียวเท่านั้น พี่หินต้องกลับมาหาเอ๋ยนะจ๊ะ เอ๋ยรู้ว่าพี่หินยังไม่ตาย”
ร่างเล็กยกเสื้อผ้าพี่ชายขึ้นมากอดไว้ ก่อนจะแนบแก้มลงไปหา ปล่อยให้หยาดหยดน้ำตาไหลรินลงไปใส่ ประหนึ่งอยากให้พี่ชายที่แสนดีมาซับน้ำตาที่หลั่งรินออกมาเพราะความเสียใจอย่างสุดซึ้งก็ไม่ปาน
“เอ๋ยจะรอพี่หินอยู่ตรงนี้ตลอดไป พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยจะรอพี่หินคนเดียว และจะรักพี่หินคนเดียวเท่านั้น”
ประโยคอ้อนวอนของพี่ ตกย้ำซ้ำเติมให้น้ำตาน้องหลั่งรินออกมามากมายแล้วแทบจะกลายเป็นสายเลือด เพราะความเสียดายที่ไม่ได้บอกคำที่พี่อยากได้ยินออกไป ถ้าเพียงแต่น้องคนนี้ล่วงรู้ว่าความตายจะมาพรากพี่ไปจากน้องในรวดเร็วขนาดนี้
“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักและจะรอให้พี่หินกลับมาหาเอ๋ยอีก กลับมาสร้างบ้านในฝันของเรา กลับมาอยู่กับเอ๋ย มีลูกตัวเล็กๆ กับเอ๋ย แล้วเราจะจูงลูกไปส่งโรงเรียน เหมือนที่พี่หินบอกไว้ไงจ๊ะพี่หินจ๋า”
กายเล็กๆ และยังกอดเสื้อผ้าพี่หินอยู่นั้น ค่อยๆ รูดเลื่อนไปตามผนังเก๋งเรือลงไปหาพื้น เมื่อมีประโยคอ้อนวอนของพี่ลอยมาตอกย้ำความผิดพลาดไม่ขาดหาย
และถ้าเพียงเลือกได้อีกครั้ง ถ้าเพียงย้อนเวลากลับมาได้อีกครั้ง ถ้าเพียงมีพี่ชายที่แสนดีอยู่ข้างกายอีกครั้ง ถ้าเพียงค่ำคืนสุดท้ายที่ได้อยู่กับพี่ชายแบบนั้นอีกครั้ง
“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักมาก รักมากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก และพี่หินจะอยู่ในใจเอ๋ยตลอดไปจ๊ะ แล้วเอ๋ยก็จะรอ รอวันที่พี่หินกลับมาหาเอ๋ย กลับมาฟังคำบอกรักจากเอ๋ย กลับมาทำความฝันที่เรามีด้วยกัน เอ๋ยจะรอพี่หินจ๊ะ ต่อให้เอ๋ยจะต้องไปตลอดชีวิต เอ๋ยก็จะรอพี่หินคนเดียว จะรักและจะรอพี่หินของเอ๋ยคนเดียว ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เอ๋ยก็จะรอ”
ชลธิป จิระธนานนท์ หรือ คุณร๊อค
ผู้บริหารหนุ่มเจ้าของ‘ตาเบบูญา บางปูปาร์ค รีโซเทล แอนด์ สปา’
ผู้ที่หวนกลับมาทำร้ายคนที่เขารักปานดวงใจ
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว กระทั่งวินาทีสุดท้าย
“นรกสำหรับคุณไง!”
เขาคว้าแขนเล็กๆ ไว้แล้วกระชากตามตัวไปอย่างแรง
“เงียบทำไม! ถึงเวลาที่คุณจะต้องอธิบายให้ผมฟังได้แล้ว ว่าคุณทำยังไงถึงได้รอดจากการติดคุก ถ้าเหตุผลเพียงเพราะคุณอยากได้ตัวผม เงินผม คุณก็บอกมาดีๆ สิ ผมจะจัดให้!”
“...”
“เงียบทำไม! คุณบอกผมมาสิว่าทำไม! ตอบผมมาให้ได้! ไม่อย่างนั้นคุณจะต้องเสียใจกับการกระทำของคุณเอง! ตอบผมมา!!!”
ประตูห้องเปิดออกได้ ร่างผอมบางก็ถูกกระชากแขนอย่างแรงเข้าไปในห้องจนกระแทกกับตู้เสื้อผ้า ทว่าวริญรำไพก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา นอกจากมีน้ำตาไหลรินอาบสองแก้มเท่านั้น
“คุณพูดไม่ออกเหรอ! หรือบอกผมไม่ถูกว่าคุณใช้วิธีไหน ถึงได้รอดคุกมา!”
“ฉันเปล่า ฉันไม่ได้ทำอะไร คุณก็รู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”
“ผมไม่โง่พอที่จะเชื่อคำของคุณ เหมือนพ่อผม เหมือนพ่อตาผม เหมือนทนายนั่น หรือเหมือนไอ้หน้าโง่คนไหนทั้งนั้น เพราะผมรู้ดีว่าคุณมันแผนสูง คุณมันเก่งเรื่องมารยาสาไถจนผมเกือบจะหลงเชื่ออยู่แล้ว บอกผมมาสิ ว่าคุณไปทำอีท่าไหนทุกคนถึงได้เชื่อคุณนัก คุณลงทุนเอาตัวไปประเคนให้ถึงเตียง เหมือนที่ประเคนให้ไอ้ล่ำนั่นหรือเปล่า!!!”
“ฉันเปล่า คุณกำลังเข้าในฉันผิด”
“ใช่! ผมเข้าใจคุณผิด ผิดมาโดยตลอดที่คิดว่าคุณมันเป็นคนดี! คนซื่อ คนสะอาดบริสุทธิ์! แต่ตอนนี้ผมเข้าใจถูกต้องแล้ว ว่าคุณมันเลวยังไง! คดยังไง! สปรกแค่ไหน! ในตัวคุณมันเต็มไปด้วยคราบคาวของผู้ชายรวยๆ กี่สิบคนแล้ว หรือกี่เที่ยวแล้วล่ะ คุณถึงได้พ้นผิด คุณไปแบให้ตั้งแต่ร้อยเวรที่โรงพักยันไอ้ทนายมือหนึ่งนั่นเลยหรือเปล่า! พวกเขาถึงได้เชื่อ จนปล่อยให้คุณออกมายืนหน้าตาเฉยแบบนี้ได้ ทีนี้ก็ถึงเวลาที่คุณจะทำให้ผมเชื่อเหมือนคนพวกนั้นบ้างแล้วล่ะ”
“ไม่จริง! ฉันไม่เคยทำอะไร คุณกำลังเข้าใจผิดค่ะ ฉันไม่เคยทำแบบนั้น!”
“ผมไม่เชื่อ!!! หรือถ้าคุณอยากให้ผมเชื่อ ก็ให้ผมพิสูจน์สิ! ว่าคุณมันบริสุทธิ์จริง! อย่าดีแต่เสแสร้ง!” เขาเข้าไปจับสองไหล่เหวี่ยงไปหาเตียง
“โอ๊ย!!!”
จนร่างผอมๆ ร้องด้วยความจุก “คุณเจ็บเหรอ! แค่นี้มันยังน้อยไป! มันยังไม่สาสมที่คุณทำให้ผมเจ็บ! ต่อไปนี้คุณก็เชิญมีชีวิตอยู่ในขุมนรกกับผมก็แล้วกัน!”
ร่างเล็กๆ ถูกร่างใหญ่ๆ ล็อกไว้กับเตียงทันที ปากก็ร้องขอ อ้อนวอนต่อเขาทั้งน้ำตา “อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่า!!!”
“นี่เป็นคือคำพิพากษาสูงสุดจากผมสำหรับผู้หญิงชั่วอย่างคุณ!!!”
“อย่า!!! ได้โปรดอย่าทำ...”
เรี่ยวแรงในกายที่เคยมีตอนนี้หดหายไปหมดแล้ว เมื่อถูกอีกกายตรึงไว้กับเตียงใหญ่ แล้วระดมจูบอย่างรุนแรง ไร้ซึ่งความปรานีใดๆ จนเดาได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อเขายื่นความจำนงค์ให้รู้อย่างโจ่งแจ้ง
“อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่าทำอย่างนี้กับฉัน!!!”
“อย่ามาขอชีวิตจากยมบาลอย่างผม! เพราะไม่มีทางที่ผมจะปล่อยให้คุณลอยนวลอยู่ได้โดยไม่ต้องชดใช้อะไรแน่!!! คุณต้องตาย! และต้องตายทั้งเป็นด้วย!!!”
ดลยา นิติพงษ์พาณิชย์ หรือ คุณย่า
สาวผู้เกิดมามีทุกอย่างพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ
และมีเป็นที่รักของผู้คนรอบข้าง เพราะเธอนั้นแสนดีจนเป็นที่เลื่องชื่อ
จนได้หัวใจของชลธิปไปครอบครอง
“มาแล้วตากล้องมือดีที่คุณย่าจองตัวไว้ เอ๋ยมารู้จักคุณย่าเร็วๆ เข้า”
พอไปถึงซุ้มเรือนไทยที่ใช้เป็นที่ตระเตรียมข้าวของ เจ้านายสาวก็รีบลากแขนให้เดินตรงไปหาว่าที่เจ้าสาวที่อยู่ในชุดขาวสะอาดตา สวยงามราวเทพธิดาจำแลงกายมาก็ไม่ปาน
“สวัสดีค่ะคุณเอ๋ย ได้เจอตัวกันสักทีนะคะ หลังจากที่คาดกันมาสองสามรอบแล้ว”
ดลยาเป็นฝ่ายเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสก่อน วริญรำไพที่ยกมือไหว้ดวงกมลแล้วถึงได้หันไปหาลูกค้าซุปเปอร์วีไอพี “สวัสดีค่ะคุณย่า ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
แล้วก็ยกมือไหว้ทักทายพร้อมส่งยิ้มบางๆ เพียงเล็กน้อยให้ตามสไตล์ที่ทุกคนมักจะคุ้นเคย “เช่นกันค่ะ ยังไงก็ต้องใช้ฝีมือถ่ายภาพย่าออกมาให้สวยที่สุดเลยนะคะ”
“ค่ะ งั้นเอ๋ยขอตัวไปเตรียมกล้องก่อนนะคะ”
ดลยาหันไปหาดวงกมลกับสุภาภรณ์แล้วยิ้มให้อย่างรู้กัน เพราะตอนที่แต่งตัวอยู่บนห้อง ทั้งสองบอกไว้แล้วว่าตากล้องสาวผมยาวถึงเอวเป็นคนพูดน้อย เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ค่อยสังสรรหรือสุงสิงกับใครมากนอกจากจะเกี่ยวข้องกันในเนื้องาน
อติรัตน์ จิระธนานนท์
ผู้หญิงที่กุมชะตากรรมทุกคนไว้ในมือ
ผู้หญิงที่เห็นแก่ตัว ไม่สนใจใครหรืออะไรทั้งสิ้น
นอกจากหน้าตาทางสังคม ความเหมาะสม และผลประโยชน์
“ไม่ต้องมาสำบัดสำนวนกับฉันให้มากความหรอก!! เท่าไหร่บอกมา!!!”
“ห้าล้านพอมั้ย!!!” อติรัตน์รีบยื่นข้อเสนอ
“ถ้าน้อยไปก็สิบล้าน!!! แล้วเธอก็ต้องปิดปากให้เงียบ!!! อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร!!!”
“งั้นก็ยี่สิบล้าน! ค่าช่วยชีวิตลูกฉัน อีกสิบล้าน! สำหรับเธอที่ต้องปิดปากเงียบ อีกสิบล้าน! สำหรับการเดินไปจากชีวิตลูกฉันซะ และอีกสิบล้าน! สำหรับการไปแล้วไม่ต้องหวนกลับมาหาลูกฉันอีก ทั้งหมดห้าสิบล้าน!!! ฉันว่าเธอรวมคนทั้งเกาะหาไปตลอดชาติก็ไม่มีทางได้เห็นเงินก้อนนี้ด้วยซ้ำ”
“ว่าไง!! จะเอาหรือไม่เอา! อย่ามาลีลาเพื่อจะขึ้นค่าปิดปากนะฉันไม่ชอบ! หรืออยากได้เท่าไหร่ก็บอกมา! ฉันจะชดใช้ให้!!!”
“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉันนะ! บอกมาอยากได้เท่าไหร่ฉันจะจ่าย!!!”
“อย่ามาตีฝีปากกับฉัน!!! เธออยากได้อะไรฉันจะชดใช้ให้!!!”
“บอกมาว่าต้องการเท่าไหร่! ฉันจะจ่ายให้!!! แล้วรีบไสหัวออกไปจากชีวิตพวกฉันสักที!!! ฉันเบื่อที่จะต้องตามแก้ปัญหาที่เธอคอยตามสร้างให้เต็มทีแล้ว!!!”
“ทำไมฉันต้องสนด้วย!!!”
==========================================================
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย
หนึ่งคอมเม้นต์คือหนึ่งแรกผลักดันและกำลังใจของคนเขียนนะคะ
แต่ยินดีต้อนรับนักอ่านเงาทุกท่านค่ะ
นิยายของกันเกราเรื่องไหนที่ยังไม่ได้ทำสัญญากับ สนพ. ยินดีจะลงให้อ่านจนจบเรื่องค่ะ แต่ถ้าเรื่องไหนทำสัญญาแล้ว ขออนุญาตลงแค่ครึ่งเดียวนะคะ
ขอบคุณค่ะ สำหรับทุกๆ กำลังใจที่มีให้เรื่อยมา
ยิ้มมมมมมมมมมมมมมมมม
ทิ้งไว้แต่โลกมืด โลกไร้สุขและสิ้นหวังเอาไว้ให้
น้องสาวที่เขาเองก็รักปานดวงใจ
‘พี่รักเอ๋ยนะจ๊ะ สามสี่วันที่ออกเรือ พี่คงจะต้องเป็นบ้าแน่ๆ เพราะคิดถึงเอ๋ย แล้วเอ๋ยล่ะ รักพี่และจะคิดถึงพี่หรือเปล่า’
‘ไหนบอกให้พี่ชื่นใจหน่อยสิจ๊ะคนดี’
‘บอกให้พี่ได้ยินหน่อยสิจ๊ะคนดีของพี่ เดี๋ยวเราต้องรีบกลับเข้าบ้านกันแล้วนะ’
‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’
‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’
‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’
วรินรำไพ หรือ เอ๋ย หญิงสาวผู้ไม่หลงเหลือหัวใจให้ใครได้แล้ว
นอกจาก 'พี่หิน' คนเดียวเท่านั้น
“พี่หินจ๋า! เอ๋ยมารับพี่หินแล้ว พี่หินอยู่ไหนจ๊ะ พี่หินกลับมาหาเอ๋ยสิจ๊ะ”
น้ำตาที่ไม่เคยเหือดแห้งนั้น หลั่งไหลลงมาอีกมากมาย เมื่อภาพในค่ำคืนนั้นลอยมาอยู่ตรงหน้าสาวน้อยที่กำลังเจ็บเสียด แน่นที่อกเพราะความเสียใจ
“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยรักพี่หิน”
“เอ๋ยจะรักเพียงพี่หินคนเดียวเท่านั้น พี่หินต้องกลับมาหาเอ๋ยนะจ๊ะ เอ๋ยรู้ว่าพี่หินยังไม่ตาย”
ร่างเล็กยกเสื้อผ้าพี่ชายขึ้นมากอดไว้ ก่อนจะแนบแก้มลงไปหา ปล่อยให้หยาดหยดน้ำตาไหลรินลงไปใส่ ประหนึ่งอยากให้พี่ชายที่แสนดีมาซับน้ำตาที่หลั่งรินออกมาเพราะความเสียใจอย่างสุดซึ้งก็ไม่ปาน
“เอ๋ยจะรอพี่หินอยู่ตรงนี้ตลอดไป พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยจะรอพี่หินคนเดียว และจะรักพี่หินคนเดียวเท่านั้น”
ประโยคอ้อนวอนของพี่ ตกย้ำซ้ำเติมให้น้ำตาน้องหลั่งรินออกมามากมายแล้วแทบจะกลายเป็นสายเลือด เพราะความเสียดายที่ไม่ได้บอกคำที่พี่อยากได้ยินออกไป ถ้าเพียงแต่น้องคนนี้ล่วงรู้ว่าความตายจะมาพรากพี่ไปจากน้องในรวดเร็วขนาดนี้
“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักและจะรอให้พี่หินกลับมาหาเอ๋ยอีก กลับมาสร้างบ้านในฝันของเรา กลับมาอยู่กับเอ๋ย มีลูกตัวเล็กๆ กับเอ๋ย แล้วเราจะจูงลูกไปส่งโรงเรียน เหมือนที่พี่หินบอกไว้ไงจ๊ะพี่หินจ๋า”
กายเล็กๆ และยังกอดเสื้อผ้าพี่หินอยู่นั้น ค่อยๆ รูดเลื่อนไปตามผนังเก๋งเรือลงไปหาพื้น เมื่อมีประโยคอ้อนวอนของพี่ลอยมาตอกย้ำความผิดพลาดไม่ขาดหาย
และถ้าเพียงเลือกได้อีกครั้ง ถ้าเพียงย้อนเวลากลับมาได้อีกครั้ง ถ้าเพียงมีพี่ชายที่แสนดีอยู่ข้างกายอีกครั้ง ถ้าเพียงค่ำคืนสุดท้ายที่ได้อยู่กับพี่ชายแบบนั้นอีกครั้ง
“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักมาก รักมากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก และพี่หินจะอยู่ในใจเอ๋ยตลอดไปจ๊ะ แล้วเอ๋ยก็จะรอ รอวันที่พี่หินกลับมาหาเอ๋ย กลับมาฟังคำบอกรักจากเอ๋ย กลับมาทำความฝันที่เรามีด้วยกัน เอ๋ยจะรอพี่หินจ๊ะ ต่อให้เอ๋ยจะต้องไปตลอดชีวิต เอ๋ยก็จะรอพี่หินคนเดียว จะรักและจะรอพี่หินของเอ๋ยคนเดียว ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เอ๋ยก็จะรอ”
ชลธิป จิระธนานนท์ หรือ คุณร๊อค
ผู้บริหารหนุ่มเจ้าของ‘ตาเบบูญา บางปูปาร์ค รีโซเทล แอนด์ สปา’
ผู้ที่หวนกลับมาทำร้ายคนที่เขารักปานดวงใจ
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว กระทั่งวินาทีสุดท้าย
“นรกสำหรับคุณไง!”
เขาคว้าแขนเล็กๆ ไว้แล้วกระชากตามตัวไปอย่างแรง
“เงียบทำไม! ถึงเวลาที่คุณจะต้องอธิบายให้ผมฟังได้แล้ว ว่าคุณทำยังไงถึงได้รอดจากการติดคุก ถ้าเหตุผลเพียงเพราะคุณอยากได้ตัวผม เงินผม คุณก็บอกมาดีๆ สิ ผมจะจัดให้!”
“...”
“เงียบทำไม! คุณบอกผมมาสิว่าทำไม! ตอบผมมาให้ได้! ไม่อย่างนั้นคุณจะต้องเสียใจกับการกระทำของคุณเอง! ตอบผมมา!!!”
ประตูห้องเปิดออกได้ ร่างผอมบางก็ถูกกระชากแขนอย่างแรงเข้าไปในห้องจนกระแทกกับตู้เสื้อผ้า ทว่าวริญรำไพก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา นอกจากมีน้ำตาไหลรินอาบสองแก้มเท่านั้น
“คุณพูดไม่ออกเหรอ! หรือบอกผมไม่ถูกว่าคุณใช้วิธีไหน ถึงได้รอดคุกมา!”
“ฉันเปล่า ฉันไม่ได้ทำอะไร คุณก็รู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”
“ผมไม่โง่พอที่จะเชื่อคำของคุณ เหมือนพ่อผม เหมือนพ่อตาผม เหมือนทนายนั่น หรือเหมือนไอ้หน้าโง่คนไหนทั้งนั้น เพราะผมรู้ดีว่าคุณมันแผนสูง คุณมันเก่งเรื่องมารยาสาไถจนผมเกือบจะหลงเชื่ออยู่แล้ว บอกผมมาสิ ว่าคุณไปทำอีท่าไหนทุกคนถึงได้เชื่อคุณนัก คุณลงทุนเอาตัวไปประเคนให้ถึงเตียง เหมือนที่ประเคนให้ไอ้ล่ำนั่นหรือเปล่า!!!”
“ฉันเปล่า คุณกำลังเข้าในฉันผิด”
“ใช่! ผมเข้าใจคุณผิด ผิดมาโดยตลอดที่คิดว่าคุณมันเป็นคนดี! คนซื่อ คนสะอาดบริสุทธิ์! แต่ตอนนี้ผมเข้าใจถูกต้องแล้ว ว่าคุณมันเลวยังไง! คดยังไง! สปรกแค่ไหน! ในตัวคุณมันเต็มไปด้วยคราบคาวของผู้ชายรวยๆ กี่สิบคนแล้ว หรือกี่เที่ยวแล้วล่ะ คุณถึงได้พ้นผิด คุณไปแบให้ตั้งแต่ร้อยเวรที่โรงพักยันไอ้ทนายมือหนึ่งนั่นเลยหรือเปล่า! พวกเขาถึงได้เชื่อ จนปล่อยให้คุณออกมายืนหน้าตาเฉยแบบนี้ได้ ทีนี้ก็ถึงเวลาที่คุณจะทำให้ผมเชื่อเหมือนคนพวกนั้นบ้างแล้วล่ะ”
“ไม่จริง! ฉันไม่เคยทำอะไร คุณกำลังเข้าใจผิดค่ะ ฉันไม่เคยทำแบบนั้น!”
“ผมไม่เชื่อ!!! หรือถ้าคุณอยากให้ผมเชื่อ ก็ให้ผมพิสูจน์สิ! ว่าคุณมันบริสุทธิ์จริง! อย่าดีแต่เสแสร้ง!” เขาเข้าไปจับสองไหล่เหวี่ยงไปหาเตียง
“โอ๊ย!!!”
จนร่างผอมๆ ร้องด้วยความจุก “คุณเจ็บเหรอ! แค่นี้มันยังน้อยไป! มันยังไม่สาสมที่คุณทำให้ผมเจ็บ! ต่อไปนี้คุณก็เชิญมีชีวิตอยู่ในขุมนรกกับผมก็แล้วกัน!”
ร่างเล็กๆ ถูกร่างใหญ่ๆ ล็อกไว้กับเตียงทันที ปากก็ร้องขอ อ้อนวอนต่อเขาทั้งน้ำตา “อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่า!!!”
“นี่เป็นคือคำพิพากษาสูงสุดจากผมสำหรับผู้หญิงชั่วอย่างคุณ!!!”
“อย่า!!! ได้โปรดอย่าทำ...”
เรี่ยวแรงในกายที่เคยมีตอนนี้หดหายไปหมดแล้ว เมื่อถูกอีกกายตรึงไว้กับเตียงใหญ่ แล้วระดมจูบอย่างรุนแรง ไร้ซึ่งความปรานีใดๆ จนเดาได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อเขายื่นความจำนงค์ให้รู้อย่างโจ่งแจ้ง
“อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่าทำอย่างนี้กับฉัน!!!”
“อย่ามาขอชีวิตจากยมบาลอย่างผม! เพราะไม่มีทางที่ผมจะปล่อยให้คุณลอยนวลอยู่ได้โดยไม่ต้องชดใช้อะไรแน่!!! คุณต้องตาย! และต้องตายทั้งเป็นด้วย!!!”
ดลยา นิติพงษ์พาณิชย์ หรือ คุณย่า
สาวผู้เกิดมามีทุกอย่างพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ
และมีเป็นที่รักของผู้คนรอบข้าง เพราะเธอนั้นแสนดีจนเป็นที่เลื่องชื่อ
จนได้หัวใจของชลธิปไปครอบครอง
“มาแล้วตากล้องมือดีที่คุณย่าจองตัวไว้ เอ๋ยมารู้จักคุณย่าเร็วๆ เข้า”
พอไปถึงซุ้มเรือนไทยที่ใช้เป็นที่ตระเตรียมข้าวของ เจ้านายสาวก็รีบลากแขนให้เดินตรงไปหาว่าที่เจ้าสาวที่อยู่ในชุดขาวสะอาดตา สวยงามราวเทพธิดาจำแลงกายมาก็ไม่ปาน
“สวัสดีค่ะคุณเอ๋ย ได้เจอตัวกันสักทีนะคะ หลังจากที่คาดกันมาสองสามรอบแล้ว”
ดลยาเป็นฝ่ายเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสก่อน วริญรำไพที่ยกมือไหว้ดวงกมลแล้วถึงได้หันไปหาลูกค้าซุปเปอร์วีไอพี “สวัสดีค่ะคุณย่า ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
แล้วก็ยกมือไหว้ทักทายพร้อมส่งยิ้มบางๆ เพียงเล็กน้อยให้ตามสไตล์ที่ทุกคนมักจะคุ้นเคย “เช่นกันค่ะ ยังไงก็ต้องใช้ฝีมือถ่ายภาพย่าออกมาให้สวยที่สุดเลยนะคะ”
“ค่ะ งั้นเอ๋ยขอตัวไปเตรียมกล้องก่อนนะคะ”
ดลยาหันไปหาดวงกมลกับสุภาภรณ์แล้วยิ้มให้อย่างรู้กัน เพราะตอนที่แต่งตัวอยู่บนห้อง ทั้งสองบอกไว้แล้วว่าตากล้องสาวผมยาวถึงเอวเป็นคนพูดน้อย เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ค่อยสังสรรหรือสุงสิงกับใครมากนอกจากจะเกี่ยวข้องกันในเนื้องาน
อติรัตน์ จิระธนานนท์
ผู้หญิงที่กุมชะตากรรมทุกคนไว้ในมือ
ผู้หญิงที่เห็นแก่ตัว ไม่สนใจใครหรืออะไรทั้งสิ้น
นอกจากหน้าตาทางสังคม ความเหมาะสม และผลประโยชน์
“ไม่ต้องมาสำบัดสำนวนกับฉันให้มากความหรอก!! เท่าไหร่บอกมา!!!”
“ห้าล้านพอมั้ย!!!” อติรัตน์รีบยื่นข้อเสนอ
“ถ้าน้อยไปก็สิบล้าน!!! แล้วเธอก็ต้องปิดปากให้เงียบ!!! อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร!!!”
“งั้นก็ยี่สิบล้าน! ค่าช่วยชีวิตลูกฉัน อีกสิบล้าน! สำหรับเธอที่ต้องปิดปากเงียบ อีกสิบล้าน! สำหรับการเดินไปจากชีวิตลูกฉันซะ และอีกสิบล้าน! สำหรับการไปแล้วไม่ต้องหวนกลับมาหาลูกฉันอีก ทั้งหมดห้าสิบล้าน!!! ฉันว่าเธอรวมคนทั้งเกาะหาไปตลอดชาติก็ไม่มีทางได้เห็นเงินก้อนนี้ด้วยซ้ำ”
“ว่าไง!! จะเอาหรือไม่เอา! อย่ามาลีลาเพื่อจะขึ้นค่าปิดปากนะฉันไม่ชอบ! หรืออยากได้เท่าไหร่ก็บอกมา! ฉันจะชดใช้ให้!!!”
“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉันนะ! บอกมาอยากได้เท่าไหร่ฉันจะจ่าย!!!”
“อย่ามาตีฝีปากกับฉัน!!! เธออยากได้อะไรฉันจะชดใช้ให้!!!”
“บอกมาว่าต้องการเท่าไหร่! ฉันจะจ่ายให้!!! แล้วรีบไสหัวออกไปจากชีวิตพวกฉันสักที!!! ฉันเบื่อที่จะต้องตามแก้ปัญหาที่เธอคอยตามสร้างให้เต็มทีแล้ว!!!”
“ทำไมฉันต้องสนด้วย!!!”
==========================================================
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย
หนึ่งคอมเม้นต์คือหนึ่งแรกผลักดันและกำลังใจของคนเขียนนะคะ
แต่ยินดีต้อนรับนักอ่านเงาทุกท่านค่ะ
นิยายของกันเกราเรื่องไหนที่ยังไม่ได้ทำสัญญากับ สนพ. ยินดีจะลงให้อ่านจนจบเรื่องค่ะ แต่ถ้าเรื่องไหนทำสัญญาแล้ว ขออนุญาตลงแค่ครึ่งเดียวนะคะ
ขอบคุณค่ะ สำหรับทุกๆ กำลังใจที่มีให้เรื่อยมา
ยิ้มมมมมมมมมมมมมมมมม
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: เสมือนโลกหมุนกลับ ๑๐๐%
โตโยต้าวิโก้แชมป์ดำเลี้ยวเข้าสู้พิกัดที่จีพีเอสในมือถือบอกไว้ ชั่วอึดใจก็เห็นป้าย ‘ตาเบบูญา บางปูปาร์ค รีโซเทล แอนด์ สปา’ สูงตระหง่านมองเห็นแต่ไกลเรียบร้อยแล้ว
วริญรำไพกดปิดจีพีเอสทันที ขับไปชั่วครู่ก็ถึงประตูทางเข้า ที่มี รปภ. คอยโบกมือโบกไม้ ให้รถเก๋งเลี้ยวไปหาเส้นทางเล็กๆ มีอุโมงค์ต้นไม้ ส่วนรถบัสหรือรถตู้ก็จะถูกให้ใช้เส้นทางข้างๆ กันและติดกับกำแพงรั้วของโรงแรม แต่ไม่มีอุโมงค์ต้นไม้เท่านั้น เนื่องมีความสูงเป็นปัญหา
รถค่อยๆ แล่นผ่านอุโมงค์ต้นไม้ที่ออกดอกสีชมพูอ่อนๆ ตั้งแต่ทางเข้าไปความยาวที่มองเข็มไมค์คือหนึ่งกิโลกับอีกเก้าร้อยเก้าสิบเก้าเมตร พอดิบพอดีเมื่อหน้ารถแล่นไปจรดทางเข้าล๊อบบี้
“เอ๋ยๆ เอารถไปจอดที่อาคารตรงโน้นเลย แล้วลงมาเจอกันที่สนามตรงนั้นนะ เด็กๆ รออยู่”
“ค่ะพี่สุ”
วริญรำไพทันได้แค่รับคำเจ้านายสาวที่ลงทุนมาดูหน้างานเอง เมื่อลูกค้าคนสำคัญเป็นเพื่อนของดวงกมลซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเจ้านายอีกที
‘ลูกค้ารายนี้เป็นซุปเปอร์วีไอพีของเราเลยล่ะ ต้องดูแลดีๆ แล้วจะได้ลูกค้ามาอีกเพียบ’
จำได้ดีว่าเจ้านายย้ำนักย้ำหนาในวันประชุมก่อนวริญรำไพจะบินไปเยี่ยมบ้านที่กระบี่ วิโก้แชมป์แล่นไปอีกเกือบสองกิโลเมตร
+++++++++++++++
ถึงจะเห็นอาคารจอดรถที่ยังว่างตั้งแต่ชั้นล่างไปยังชั้นสิบห้า เพราะยังเช้าอยู่ บวกกับโรงแรมเพิ่งจะเปิดให้บริการลูกค้าเมื่อไม่กี่วันด้วยซ้ำ ตามที่เจ้านายบอกในที่ประชุม
วริญรำไพรีบคว้ากระเป๋ากล้องกับอุปกรณ์ ซึ่งเป็นของส่วนตัวที่เจ้านายเป็นคนแอดว้านซ์ให้ก่อนค่อยผ่อนตามหลัง เพราะราคาเหยียบแสน รวมเลนส์ต่างๆ แล้วก็เหยียบสองแสน
นั่นถือว่าเป็นเงินจำนวนมากสำหรับช่างภาพที่เพิ่งเริ่มทำงานจริงๆ จังๆ มาได้แค่สามปีหลังจบปริญญาตรี และเพราะความเป็นตากล้องหญิงที่ฝีมือดี ต้องตาเตะใจสุภาภรณ์ผู้เป็นเจ้านาย และเป็นรุ่นพี่ในคณะเดียวกัน
วริญรำไพจึงถูกจองตัวให้ไปช่วยงานที่สตูดิโอในวันหยุดหรือปิดเทอมตั้งแต่เรียนรุ่นพี่จบออกไปเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง ส่วนรุ่นน้องก็ขึ้นปีสอง บวกกับรุ่นพี่อยากได้ตากล้องที่เป็นผู้หญิงมาช่วยงานเท่านั้น เพราะอยากให้เป็นเอกลักษณ์ของบริษัทด้วย
“ไปล๊อบบีหรือเปล่าครับ”
พอลงมาถึงชั้นล่างได้ พนักงานขับรถกอล์ฟก็ร้องถามทันที วริญรำไพเลยรีบก้าวเท้ายาวๆ ขึ้นกว่าเดิม เป็นคำตอบให้หนุ่มใหญ่ร่างอวบหน้าตาบ่งบอกว่ามาจากทางภาคอีสานไม่มีผิดเพี้ยน
“ขอบคุณค่ะ”
พอลงรถได้ก็เอ่ยขอบคุณแล้วรีบสะพายกล้องไปหาเจ้านายที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการชี้นิ้วสั่งนั้นสั่งนี้ลูกน้องอยู่สนามหญ้าอันกว้างใหญ่และเขียวขจี ดูแล้วให้ความสดชื่นดีเหลือเกิน
+++++++++++++++
“สวัสดีค่ะพี่สุ”
“สวัสดีจ้ะเอ๋ย เป็นไงบ้าง เห็นวิวหรือเปล่า สวยมั้ย ชอบมั้ย พี่เดินดูรอบๆ กับยัยดวงกับคุณย่าแล้วนะ ชอบมาก มีวิวดีๆ ให้ดูเพียบ เอ๋ยลองดูว่าจะใช้มุมไหน พี่จะขึ้นไปดูสองสาวแต่งตัวอยู่บนห้องก่อน”
เป็นสไตลของสุภาภรณ์ที่มักจะพูดเร็ว และไม่ได้ต้องการคำตอบมากมายจากคู่สนทนามากไปกว่าคำว่า
“ค่ะ”
ที่วริญรำไพเอ่ยรับเท่านั้น แล้วก็มองร่างสูงเพรียวในชุดกระโปรงสั้นเสื้อสูทของเจ้านายที่เดินผละไปอย่างเร่งรีบ แต่ยังไปได้ไม่กี่ก้าว ก็หันกลับมาหาลูกน้องอีก
“อ้อ! คุณย่าบอกว่ามีซุ้มดอกโคมญี่ปุ่นอยู่บนดาดฟ้าตึกโรมิโอนะ ส่วนยอดตึกจูเลียตแกว่าเป็นร้านอาหารแต่พี่ยังไม่ได้ไปดูหรอก เอ๋ยไปดูเลยนะพี่บอกให้คุณย่าแจ้งเจ้าหน้าที่ไว้แล้ว เอ๋ยห้อยป้ายวิซิทเตอร์แล้วก็เข้าไปได้เลยมีป้ายไว้ให้แล้วถามน้องๆ เอา”
“ค่ะ”
วริญรำไพรับคำเจ้านายสั้นๆ เพราะรู้ว่าเจ้านายไม่มีเวลาจะมาฟังอะไรที่ยืดยาวนัก พอหันไปหาทีมงานที่ต่างก็ยิ้มออกมาไม่แพ้กัน ก่อนจะหันกลับไปหาอุปกรณ์ที่กองรวมกันไว้
+++++++++++++++
แล้วช่วยกันหิ้วคนละสองสามอันตรงไปยังซุ้มกลางสนามหญ้าซึ่งจะเป็นที่เก็บอุปกรณ์ชั่วคราวก่อนตากล้องสาวจะเลือกโลเคชั่นได้ว่าจะถ่ายตรงไหนก่อนหลัง
“จะตั้งตรงไหนดีล่ะพี่เอ๋ย อินจะได้ขนของไปไว้เลย” อินทิราสาวน้อยที่ต้องคอยดูแลทุกเรื่องให้คนในทีมหันมาถามเป็นเรื่องแรก “พี่ว่ายังไงเราก็ต้องถ่ายที่อุโมงค์ดอกชมพูพันธ์ทิปก่อนนะ”
“เขาเขียนป้ายว่าดอก ตาเบบูญาสักหน่อย ห้ามเรียกชมพูพันธ์ทิป เพราะเจ้าของอยากให้เรียกชื่อแรกมากกว่า และเป็นชื่อเดียวกับชื่อโรงแรมด้วย พี่สุเพิ่งจะบอกเมื่อกี้นี้เอง”
“โอเคๆ งั้นอินไปดูที่เหมาะๆ ตรงอุโมงค์ก่อน พี่จะไปดูวิวที่อื่นแล้วขึ้นไปบนดาดฟ้าด้วย ถ้าใกล้จะเสร็จโทรบอกพี่นะ”
“ค่ะพี่ แต่คงอีกเป็นชั่วโมงๆ ล่ะอินว่า เห็นช่างโทรมาบอกว่ายังแต่งหน้าให้เจ้าสาวไม่เสร็จเลย”
วริญรำไพเพียงแค่ยิ้มให้เพื่อนร่วมงานเท่านั้น ก่อนจะเดินตรงไปหาตึกแฝดที่มีชื่อเก๋ไก๋ ทรงนาฬิกาทรายที่ตั้งตระหงานอยู่ขอบสนาม
‘โรมิโอ กับจูเลียต’
แล้วมีสะพานลอยเชื่อมสองตักไว้ด้วยตรงตรงกลาง แต่วริญรำไพเลือกที่จะตรงไปยังอีกตึกแล้วกดลิฟต์ขึ้นไปชั้นห้าสิบสองซึ่งเป็นชั้นบนสุดก่อน
++++++++++++++
ไม่มี รปภ. เฝ้าประตูออกไปดาดฟ้าอย่างที่คิดไว้ เมื่อขึ้นไปถึงชั้นบนแล้ว แถมเปิดทิ้งไว้ประหนึ่งรอแขกเข้าไปยังไงยังงั้น วริญรำไพค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดไปก็ตกตะลึงกับภาพตรงหน้าทันที
เพราะเต็มไปด้วยดอกโคมญี่ปุ่นห้อยระย้าลงมาจากโครงเหล็กที่ทำครอบดาดฟ้าอันกว้างใหญ่เอาไว้ทั้งหมด มีเสาเหล็กขนาดไม่ใหญ่มากคอยค้ำโครงเหล็กไว้เป็นระยะๆ ไปตลอดแนว
ความสูงคะเนได้ด้วยสายตานั้นไม่น่าจะเกินสองเมตร คนออกแบบคงกะไว้ให้เดินสะดวกทั้งแขกชายและหญิงเป็นแน่ ซึ่งเป็นระยที่พอเหมาะในความคิดของวริญรำไพ เพราะไม่ต่ำและไม่สูงจนเกินไป
กล้องเล็กในกระเป๋ากางเกงยีนส์สีเข้มกับเสื้อยืดตราห่านสีขาวถูกดึงออกมากดชัดเตอร์เก็บภาพความประทับใจแรกไว้แทบจะทันที ใบหน้าที่มักจะเศร้าหมองถึงกับยิ้มน้อยๆ ออกมา
เมื่อมีความงามของสีชมพูสลับขาวแซมด้วยสีม่วงเป็นบางจุดห้อยระย้าลงมาตามโครงหลังคา มีสีเขียวของใบปะปนอยู่ประปราย ให้ความสมบูรณ์กับภาพในเฟรมไม่น้อย จนตากล้องสาวต้องกดชัดเตอร์รัวไปหลายภาพ
มานั่งไม้สักตัวยาวที่ตั้งไว้ใต้ซุ้มเป็นระยะๆ สำหรับไว้คอยนั่งแหงนมองความงามของโคมญี่ปุ่นถูกแผ่นหลังเล็กๆ บางๆ ทาบลงไป เพื่อให้ได้เก็บภาพความงามใต้โคมดอกอย่างชัดเจน ทั้งดอกและใบต่างหวิวไหวไปตามแรงลม
+++++++++++++++
ที่พัดโชยมาเป็นระยะๆ กลิ่นก็หอมอบอวล ชวนให้ใบหน้าเศร้าหมองเผลอยิ้มออกมาต้อนรับความงามอย่างไร้ที่ติ และชื่นชมไอเดียของคนที่สร้างซุ้มบุปผานี้ขึ้นมาอยู่ในที
ก่อนจะค่อยๆ ก้าวเดินไปใต้หลังคาโคมญี่ปุ่น สูดกลิ่นหอมๆ ไปด้วย กระทั่งถึงกำแพงกั้นกันพลัดตกลงไปที่ทำไว้สูงเลยระดับเอวขึ้นมาเล็กน้อย สายตาคู่เศร้ามองลงไปหาวิวสีชมพูของอุโมงค์
ถึงได้เห็นว่าสวยงามมากเพียงใด แล้วก็เห็นแนวดอกตาเบบูญาสีเหลืองที่ปลูกขนาบไว้ตามกำแพงโรงแรมจากประตูทางเข้าเรื่อยไปจนจรดเข้ากับอุโมงค์ดอกสีชมพู
ซึ่งมองแต่ไกลและจากประสบการณ์ที่ถ่ายภาพดอกไม้มามากต่อมาก วริญรำไพเดาว่านั่นน่าจะเป็นดอก ‘เหลืองปรีดียาธร’ หรือ ‘ตาเบบูญาสีเหลือง’ เจ้าของสถานที่อยากให้เรียกให้ตรงกับชื่อโรงแรมนั่นเอง
แม้จะชอบวิวบนนี้แต่ก็ต้องรีบลงไป เพราะต้องเดินดูวิวจุดอื่นอีก สองขาก็ก้าวเดิน มือก็มัวแต่ยัดกล้องจิ๋วแต่แจ๋วใส่กระเป๋ากางเกง หน้าก็ก้มลงไปหากล้องเลยไม่ทันได้มองข้างหน้า
“อุ๊ย!!!”
เป็นเหตุให้เดินชนเข้ากับสิ่งขวางกั้นที่มีขนาดใหญ่และสูงกว่าตัวเองมาก จนร่างผอมบางเสียหลักเกือบจะล้ม หากไม่มีสองวงแขนแข็งแรงรีบฉุดดึงเอาไว้ได้ทันท่วงที
++++++++++++++
วริญรำไพเงยหน้าขึ้นจ้องมองเจ้าของแขนที่กำลังรั้งตัวเองไว้ไม่ให้ล้ม แล้วก็ตกใจยิ่งกว่าตอนเดินชนกันเมื่อครู่นี้หลายล้านเท่า ชีพจรแทบจะหยุดเต้น ร่างทั้งร่างแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
ในหัวมึนงงสงสัยเหมือนมีฆ้อนใหญ่ๆ มาทุบตรงท้ายทอยยังไงยังงั้น รอบกายเหมือนถูกตรึงด้วยเชือกพันเส้นจนไม่อาจจะพากายเคลื่อยย้ายออกห่างจากอีกร่างที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมถึง
‘พี่หิน!!! พี่หิน!!! พี่หิน!!! พี่หิน!!! พี่หิน!!!’
สมองก็คิดได้เพียงแค่ชื่อนี้เท่านั้น เพราะผู้ชายตรงหน้านี้ช่างมีใบหน้าละม้ายคล้ายพี่หินของเอ๋ยที่จากไปไม่มีผิดเพี้ยน ดวงตาคู่เศร้าจ้องมองอีกใบหน้าแทบไม่กระพริบ หัวใจก็เต้น
‘ตึก! ตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!! ตึกตัก!!! ตึกตัก!!!! ตึกตัก!!!!!’
เพิ่มระดับแรงและเร็วขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ ก่อนสติจะดับวูบลง ร่างทั้งร่างอ่อนยวบ แล้วแน่นิ่งอยู่ในวงแขนของเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ในอาการตกใจไม่น้อยเช่นกันเมื่อเห็นสาวตรงหน้าเป็นลมลงไป
“คุณ! คุณครับ! คุณ!”
แล้ววงแขนแข็งแรงก็รีบช้อนเอาร่างผอมบางขึ้นอย่างรวดเร็ว และพาไปยังห้องพยาบาลที่อยู่ชั้นสามของตึกด้วยความห่วงใยคนในวงแขน แม้จะไม่รู้ว่าเป็นใครแต่ก็เดาได้ว่าน่าจะเป็นแขกเพราะมีป้ายติดอยู่นั่นเอง
+++++++++++++++
‘เอ๋ยอย่าลืมมารอพี่นะ เอ๋ย! จำไว้นะ! อย่าลืมมารอพี่นะ’
“พี่หิน!!!”
วริญรำไพตกใจกับความฝันว่ามีพี่หินมายืนยิ้มอยู่ใกล้ๆ แล้วสุดท้ายก็จากไปอีกจนสะดุ้งตื่นแล้วผุดลุกขึ้นมาทันที เหงื่อเม็ดโตๆ ผุดขึ้นตามหน้าผากและไรผมหลายเม็ด
“อ้าว! ฟื้นแล้วเหรอคะ เป็นยังไงบ้างคะ”
เสียงหวานๆ ของพยาบาลที่เพิ่งเปิดประตูห้องเข้ามาทำให้คนนั่งอยู่บนเตียงต้องหันไปหา ก็ได้พบกับใบหน้าสวยใสพร้อมแว่นสายตายิ้มมาหาพอดี
“ค่ะ เอ๋ญเป็นอะไรไปคะ แล้วมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วผู้ชายคนนั้น...”
“คนที่พาน้องมาที่นี่เหรอคะ” พยาบาลยิ้มบางๆ ให้ มือก็ยื่นน้ำในแก้วให้ด้วย คนไม่ป่วยรับมาดื่มด้วยความกระหายก่อน ถึงได้ตอบ “ค่ะ”
“อ้อ! คุณชลธิป หรือที่ใครๆ ในโรงแรมเรียกว่าคุณร็อกค่ะ แกพาน้องมาบอกว่าเป็นลมอยู่บน...”
‘ด้วยรัก...ด้วยหวงห่วงกัน’
‘อย่าถามใจฉัน...รักเธอเพียงไหน’
วริญรำไพรีบคว้ามือถือในกระเป๋ากางเกงออกมารับทันที “จ้ะๆ พี่กำลังจะลงไปเดี๋ยวนี้จ้ะ” เมื่องานเร่งเร้ามาเลยต้องรีบลุกขึ้นจากเตียง
“เอ่อ! ขอบคุณนะคะคุณพยาบาล แล้วฝากบอกขอบคุณคุณคนนั้นอีกทีค่ะ แล้วเอ๋ยจะมาขอบคุณด้วยตัวเองอีกครั้ง แต่ตอนนี้ต้องรีบไปทำงานแล้วค่ะ”
++++++++++++++
“ค่ะๆ”
พยาบาลได้แต่ส่งเสียงงงๆ ตามร่างผอมบางที่รีบตรงไปหาประตูแล้วออกจากห้องไปอย่างเร่งรีบ แล้วก็เดินวนหาลิฟต์อยู่เป็นนาทีกว่าจะเจอ
“มาแล้วตากล้องมือดีที่คุณย่าจองตัวไว้ เอ๋ยมารู้จักคุณย่าเร็วๆ เข้า”
พอไปถึงซุ้มเรือนไทยที่ใช้เป็นที่ตระเตรียมข้าวของ เจ้านายสาวก็รีบลากแขนให้เดินตรงไปหาว่าที่เจ้าสาวที่อยู่ในชุดขาวสะอาดตา สวยงามราวเทพธิดาจำแลงกายมาก็ไม่ปาน
“สวัสดีค่ะคุณเอ๋ย ได้เจอตัวกันสักทีนะคะ หลังจากที่คาดกันมาสองสามรอบแล้ว”
ดลยาเป็นฝ่ายเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสก่อน วริญรำไพที่ยกมือไหว้ดวงกมลแล้วถึงได้หันไปหาลูกค้าซุปเปอร์วีไอพี “สวัสดีค่ะคุณย่า ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
แล้วก็ยกมือไหว้ทักทายพร้อมส่งยิ้มบางๆ เพียงเล็กน้อยให้ตามสไตล์ที่ทุกคนมักจะคุ้นเคย “เช่นกันค่ะ ยังไงก็ต้องใช้ฝีมือถ่ายภาพย่าออกมาให้สวยที่สุดเลยนะคะ”
“ค่ะ งั้นเอ๋ยขอตัวไปเตรียมกล้องก่อนนะคะ”
ดลยาหันไปหาดวงกมลกับสุภาภรณ์แล้วยิ้มให้อย่างรู้กัน เพราะตอนที่แต่งตัวอยู่บนห้อง ทั้งสองบอกไว้แล้วว่าตากล้องสาวผมยาวถึงเอวเป็นคนพูดน้อย เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ค่อยสังสรรหรือสุงสิงกับใครมากนอกจากจะเกี่ยวข้องกันในเนื้องาน
+++++++++++++++
“เรากลับก่อนนะย่า ไว้เลิกงานแล้วจะแวะมาหา สุด้วยนะ จะได้มากินข้าวเย็นด้วยกันจะได้คุยกันนานๆ หน่อย แล้วอย่าลืมพาไปกินบนยอดตึกนะอยากไปมาก ” ดวงกมลคว้ากระเป๋าสะพายแล้วหันไปหาสองเพื่อน
“ได้ๆ เดี๋ยวเราก็จะกลับเหมือนกัน หลังจากดูแลความเรียบร้อยให้คุณย่าก่อน” สุภรภรณ์ยกมือโบกลาเพื่อน แล้วหันไปหาลูกน้องที่กำลังตั้งกล้องกันอย่างเร่งรีบ
“อ้าว! แล้วว่าที่เจ้าบ่าวจะมาเมื่อไหร่คะคุณย่า”
สุภาภรณ์เลยนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่มาถึงยังไม่ได้เห็นหน้าว่าที่เจ้าบ่าวเลยแม้แต่ครั้งเดียว ติดต่อคุยเรื่องการจัดงานแต่งก็มักจะเป็นดลยากับดวงกมล หรือกับแม่ตัว หรือกับแม่ว่าที่สามีไปแทนมากกว่า
“โน่นไงคะนั่งรถกอล์ฟมาแล้ว”
ดลยาปรายหน้าไปทางว่าที่เจ้าบ่าวแสนรูปหล่อที่มาพร้อมช่างแต่งหน้าในชุดทักซิโดสีขาวเข้ากับชุดเจ้าสาว สุภาภรณ์ที่ได้เห็นหน้าเจ้าบ่าวมาครั้งเดียวรีบทักทายตอนไปลองชุดรีบทักทายด้วยความมีไมตรีทันที
“สวัสดีค่ะคุณร๊อก วันนี้หล่อนะคะ ขนาดมีเวลาเตรียมตัวไม่ถึงยี่สิบนาทีเท่านั้น สุชักจะอิจฉาคุณย่าแล้วสิคะ”
ว่าที่เจ้าบ่าวยิ้มบางๆ ให้สาวสวยตรงหน้าที่ตัวเองเพิ่งจะเคยเห็นแค่สองครั้งด้วยความฉงนกับการตีสนิทคนเก่งขนาดนี้ เขาเองก็ควรจะมีเพราะทำงานด้านบริการ แต่ติดตรงที่คุยไม่เก่งเอาเสียเลย
กันเกรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ก.ย. 2558, 12:58:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ก.ย. 2558, 12:58:50 น.
จำนวนการเข้าชม : 953
<< ชีวิตที่เหมือนฝันร้าย ๑๐๐% | ผิดหรือที่สงสัยในตัวเธอ >> |