เจ้าสาวแสนแสบ
เมื่อสายลับสาวแสบ ต้องจับพลัดจับผลูไปเป็นเมียเจ้าพ่อหนุ่มเข้าให้


มาลุ้นกันว่า...เธอจะทำภารกิจลับที่ได้รับมอบหมายสำเร็จ


หรือจะ...เสร็จ...มาเฟียตัวร้ายก่อนกัน!!


และถ้าต้องเลือก...เธอจะเลือกอย่างไหน...



หน้าที่...หรือ...หัวใจ


Tags: รัตนรัตน์,เจ้าสาวแสนแสบ,romantic comedy

ตอน: บทที่ 7 : จุมพิตแรก (part II)

เจ้าสาวแสนแสบ


โดย รัตนรัตน์






บทที่ 7 : จุมพิตแรก



“ไม่ต้อง! ฉันเปลี่ยนใจแล้ว!”



เสียงเข้มเอ่ยขึ้น พร้อมกับที่ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงก่อนจะแนบริมฝีปากของตนกับกลีบปากเรียวนุ่มสีชมพูสดอย่างรวดเร็ว


ภิตะวันเบิกตากว้างสุดขีดด้วยความตกใจ ก็ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีประสบการณ์ประกบปากแบบนี้กับใครมาก่อน ใครจะคิดเล่าว่าเธอจะต้องมาทำแบบนี้กับคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบกันเพียงไม่กี่ครั้งเช่นนี้ แถมอีกฝ่ายดูท่าว่าจะเป็นจอมวายร้ายของสังคมอีกต่างหาก


เตะสิ! ต่อยมันเลย...ไม่ก็ตุ๊ยหน้าท้องมันเลยสิ!


เสียงในหัวสั่งการให้ทำอะไรบางอย่างเพื่อให้หลุดพ้นจากสภาพที่เป็นอยู่ ทว่าเธอจะทำแบบนั้นได้ยังไง...ในเมื่อแขนและขาของเธอจู่ๆ ก็พากันไร้เรี่ยวแรงเสียดื้อๆ เช่นนี้!


ซึ่งนั่นก็ทำให้เจ้าพ่อหนุ่มสามารถลิ้มชิมรสเรียวปากงามได้ตามแต่ใจ…


กลีบปากนุ่มให้รสชาติหวานล้ำราวกับได้ลิ้มรสไวน์แก้วโปรดที่มาพร้อมความหอมละมุนของกลิ่นน้ำผึ้ง น้ำตาลไหม้และลูกพีช ในบรรยากาศสบายๆ ใต้แสงจันทร์อย่างไรอย่างนั้น


พายุไม่คิดมาก่อนว่าจุมพิตที่ได้รับจากหญิงสาวตรงหน้าจะถูกใจตนเองมากมายเช่นนี้…


…ยิ่งสัมผัส...ยิ่งสนิทแนบ...ก็ยิ่งติดใจ!


...หวาน...หวานเหลือเกิน…


ริมฝีปากของเธอให้ความรู้สึกหวานฉ่ำ จนเขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยลิ้มรสอะไรหรือสิ่งใดที่หอมหวานเท่านี้มาก่อน...


ดูท่าว่าเขาจะติดใจรสชาติของเรียวปากแสนหวานจนถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว และในเมื่อทำให้เขาติดอกติดใจได้ถึงเพียงนี้...เห็นทีว่าคงปล่อยให้เธอกลับไปโดยสวัสดิภาพไม่ได้!!!


ทั้งนี้คงกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของใครไม่ได้ทั้งนั้น เพราะหากจะมีก็คงเป็นเพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นหญิงสาวตรงหน้านั่นเอง


...ช่วยไม่ได้ใครใช้ให้เธอหวานหอมไปทั้งเนื้อทั้งตัวเช่นนี้กันเล่า!...


ว่าแล้วริมฝีปากบางเฉียบของเจ้าพ่อหนุ่มก็ค่อยๆ ละเลียดชิมรสไวน์แสนหวานจากเรียวปากนุ่มอย่างค่อยเป็นค่อยไป ว่ากันว่าหากจะดื่มไวน์ให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมแล้วล่ะก็ ต้องค่อยๆ จิบทีละนิด


เจ้าพ่อหนุ่มจึงไม่รีบไม่ร้อน ค่อยๆ เข้าครอบครองริมฝีปากแสนหวานอย่างช้าๆ ดูดดื่มกับความหวานล้ำของรสสัมผัสที่ตราตรึง พร้อมกับสูดดมกลิ่นหอมละมุนของผิวเนื้อนวลไปด้วย


ร่างเล็กที่ค้างนิ่งเป็นหินราวกับถูกสาปทำให้ชายหนุ่มอดยิ้มขำในความไม่ประสีประสาของหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้ ยิ่งเห็นเธอสั่นเขาก็ยิ่งอยากโอบกอดปลอบขวัญ แต่จะเพียงแค่ปลอบประโลมหรือไม่นั้น สายตาเจ้าเล่ห์ของเขาเท่านั้นที่บอกได้...


ร่างบางของภิตะวันเมื่อถูกโอบรัดด้วยแผงอกแกร่งกำยำดูเล็กลงถนัดตา ดวงตากลมโตของเธอกระพริบถี่ ขณะที่ลมหายใจขาดห้วงเพราะจมูกโด่งคมที่บดเบียดเข้ามาแย่งออกซิเจนอย่างหน้าไม่อายของเจ้าพ่อหนุ่มนั่นเอง...


...อา...นี่เราจะขาดอากาศหายใจตายไหมนะ...


ภิตะวันแอบถามตัวเองในใจ ด้วยไม่รู้จะทำเช่นไรกับเหตุการณ์ตรงหน้า...แขนและขาก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเหน็บชาแบบไม่ทราบสาเหตุ สมองของเธอก็สั่งการช้าๆ คล้ายโดนวางยาชาอย่างไรอย่างนั้น ขณะที่หัวใจก็วูบๆ วาบ เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวแปลกๆ พิกล ยิ่งริมฝีปากยิ่งแล้วใหญ่ เพราะยิ่งปากบางเฉียบของไอ้เจ้าพ่อบ้านั่นลุกล้ำเข้ามามากเท่าใด อาการไหววูบของเธอก็ยิ่งทับทวี


หญิงสาวไม่รู้ว่าอาการแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับตนเองเพราะสาเหตุอะไร รู้แต่ว่าทุกครั้งที่ลมหายใจร้อนระอุพาดผ่านผิวกาย ก็ได้ดึงเอาสติสัมปชัญญะของเธอไปด้วย


แต่เธอจะยอมให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เธอมีหน้าที่ๆ สำคัญที่ต้องทำให้สำเร็จ!...


ว่าแล้วก็พยายามแย่งอากาศจากใครบางคน และสูดมันเข้าจนเต็มปอด ก่อนจะรวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิงให้กลับมารวมกันในที่สุด


นี่แน่ะ!!!


หญิงสาวใช้ฟันหน้างับริมฝีปากบางเฉียบที่สัมผัสอ้อยอิ่งอยู่บนปากของตนเอง ก่อนจะโยกศีรษะเข้ากระแทกหน้าผากของเจ้าพ่อหนุ่มอย่างแรงจนบังเกิดเสียงดัง...โป๊ก!! พร้อมกันนั้นก็ผลักร่างหนาให้ห่างจากตัวแรงเท่าที่จะแรงได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น


เจ็บชะมัดเลย!!! หัวคนรึก้อนหินวะเนี่ย!!!


เมื่อผละจากอ้อมอกของเจ้าพ่อหนุ่มได้ ภิตะวันมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเคืองขุ่นที่ทำให้เธอต้องเจ็บตัว ทว่าคนตรงหน้ากลับไม่สะทกสะท้านสักนิด หนำซ้ำดวงตาวาววับคู่นั้นยังมองตามริมฝีปากของเธออย่างมีเลศนัยอีกต่างหาก…ถ้าคิดจะทำกับเธอแบบนั้นได้อีกล่ะก็...ฝันไปเถอะ!


ข้างชายหนุ่มที่กำลังเคลิบเคลิ้มกับรสชาติหอมหวาน แต่กลับถูกดึงให้หล่นจากสวรรค์แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ชำเลืองมองริมฝีปากสีชมพูสดพลางแสยะยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะย่างสามขุมเข้าไปใกล้หญิงสาวเจ้าของดวงตากลมโตอย่างช้าๆ ราวกับนักล่าที่กำลังจะตะครุบเหยื่อ


นาทีนี้ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งเขาได้อีกต่อไปแล้ว พายุรู้ดีว่าหากเขาไม่เรียกแล้วล่ะก็ ย่อมไม่มีใครหน้าไหนกล้าเข้ามาขัดจังหวะเป็นแน่!



ทว่าสิ่งที่เขาคิดกลับผิดถนัด เพราะทันทีที่เขาก้าวไปข้างหน้าเพียงก้าวเดียวและยังไม่ถึงหญิงสาวตรงหน้าเสียด้วยซ้ำ ประตูห้องน้ำบานใหญ่ก็ถูกกระแทกพังเข้ามา


พร้อมกับที่แสงสว่างทั้งหมดได้ถูกดับลง และเสียงผู้คนโวยวายโหวกเหวกโกลาหลดังแทรกเข้ามาภายในห้อง


เจ้าพ่อหนุ่มรู้ด้วยสัญชาตญาณว่าต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลเป็นแน่ หากแต่นาทีนี้เขาไม่มีเวลาสังเกตเหตุการณ์ภายนอกสักเท่าใดนัก ในเมื่อเหตุการณ์เบื้องหน้าของเขาก็ดูท่าว่าจะอันตรายไม่ต่างกัน ว่าแล้วฝ่ามือใหญ่จึงกระชากคนตัวเล็กให้มาหลบด้านหลังตนเอง จากนั้นจึงหันไปรับมือกับผู้บุกรุกที่ตรงเข้ามาทั้งเตะและต่อยเขาไม่ยั้ง ทว่าด้วยเพราะการต่อสู้ด้วยมือเปล่าเป็นสิ่งที่เขาถนัด ดังนั้นนอกจากจะสามารถรับมือคนที่จู่โจมตนเองก่อนได้แล้ว เขายังสวนกลับได้อย่างรวดเร็ว จนผู้บุกรุกกลับเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเสียเอง


“ใครส่งแกมา!”

เจ้าพ่อหนุ่มถามเสียงกร้าว หากแต่ร่างดำทะมึนในความมืดกลับนิ่งเฉย


“ฉันถามว่าใครส่งแกมา!!!”

พายุเค้นคอถาม พร้อมกับตั้งท่าเหนี่ยวไกปืนในมือหมายขู่ให้อีกฝ่ายหวาดกลัว หากแต่ไม่เลย คนตรงหน้าหาได้มีทีท่ากริ่งเกรงต่อความตายสักนิด ทั้งนี้แม้ว่าภายในห้องแห่งนี้จะมืด ทว่าดวงตาที่เขาได้สบกลับแฝงไปด้วยความแน่วแน่และกล้าหาญ ดูท่าอีกฝ่ายจะไม่ใช่ปลาซิวปลาสร้อยธรรมดาเสียแล้ว กับทั้งจากที่ได้ปะทะฝีมือกันเขาก็พอรู้ว่าที่ตนนั้นเอาชนะอีกฝ่ายได้โดยง่าย ก็เพราะว่าชายผู้นี้น่าจะได้รับบาดแผลที่ใดที่หนึ่งในร่างกายเป็นแน่ ถึงได้เคลื่อนไหวตัวเองไม่สะดวกเท่าไหร่นัก


ภิตะวันมองเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยแววตาเครียด เธอรู้ว่าคนที่บุกเข้ามาคือ ดนัย หากแต่ก็ไม่รู้ว่าจะแทรกตัวเข้าไปช่วยเขาในการต่อสู้เมื่อครู่ได้อย่างไร เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก กับทั้งความมืดที่ปกคลุมทำให้เธอไม่แน่ใจว่าหากยื่นมือเข้าไปช่วยนั้นเธอจะพลาดไปโดนพวกเดียวกันหรือเปล่า ทว่าตอนนี้...นาทีนี้...เธอคงต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป!


“ไฟไหม้!!!”


ภิตะวันตะโกนเสียงดัง พร้อมกับทำชี้มือชี้ไม้ฝ่าความมืดไปยังผู้คนที่กำลังโกลาหลด้านนอกอย่างตื่นตระหนกตกใจเป็นที่สุด เป็นเหตุให้เจ้าพ่อหนุ่มเสียสมาธิ จนถูกคู่ต่อสู้ผลักปืนออกจากมือได้สำเร็จ ก่อนจะกระแทกเข่าเข้าที่ชายโครงของเจ้าพ่ออย่างแรง แล้วจึงรีบสาวเท้าหนีไปอย่างรวดเร็ว


เห็นดังนั้นภิตะวันจึงไม่รอช้ารีบหยิบซองเอกสารที่เป็นตัวต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดตามไปในทันที โชคดีที่เหตุการณ์ภายนอกกำลังโกลาหลด้วยเพราะกำลังเกิดเพลิงไหม้อย่างที่เธอตะโกนบอกไปจริงๆ เธอไม่รู้ว่าเป็นดนัยหรือเปล่าที่ทำเช่นนั้น รู้แต่ว่าต้องขอบคุณคนที่ช่วยให้เธอและคู่หูสามารถหลบหนีออกไปได้อย่างปลอดภัยเหลือเกิน


“ไปทางนี้เถอะ ทางนี้เร็วกว่า!” เสียงหนึ่งดังฝ่าความวุ่นวายดังขึ้นมา ภิตะวันหันไปมองจึงเห็นว่าเป็นดารานั่นเอง


“ตามฉันมา ฉันจะไปส่งเธอเอง” ดาราเอ่ยก่อนจะเดินสวนกระแสผู้คนไปอีกทาง ผู้คนจำนวนมากพากันกรูออกจากคลับหรูทางด้านหน้า หากว่าเธอและดนัยไปทางนี้ด้วยแล้ว ไม่แคล้วต้องโดนจับได้อย่างแน่นอน ดังนั้นทางเลือกของภิตะวันและดนัยจึงมีไม่มาก


“เชื่อฉัน...” ดารายืนยันอีกครั้ง แววตาของเธอบอกให้รู้ว่ารู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดแค่ไหน กับทั้งเธอได้ให้สัญญากับภิตะวันว่าโชว์จบลงเมื่อใดเธอจะส่งภิตะวันกลับออกไปอย่างปลอดภัย ดังนั้นเมื่อบอกไปแล้ว เธอก็ต้องทำตามเช่นนั้นให้ได้


ในที่สุดดนัยและภิตะวันก็สาวเท้าตามดาราไป ทางออกที่ทั้งสามออกมาคือทางออกของเหล่าพนักงานระดับล่าง อันได้แก่เหล่าแม่บ้าน และยาม ประตูทางออกเป็นเพียงประตูบานเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีใครสังเกตเห็นเท่าไหร่


“ฉันคงส่งเธอได้แค่นี้”


“ขอบคุณมาก” ภิตะวันเอ่ยก่อนจะรีบพาดนัยหลบหนีไป อย่างน้อยคราวนี้เธอก็ไม่ถึงกับคว้าน้ำเหลวเสียเลยทีเดียว เพราะว่าเธอได้เอกสารสำคัญที่ฟูจิวาระมอบให้กับเจ้าพ่อพายุมาไว้ในมือเช่นนี้


*******************

“อะไรกันเนี่ย! ซองเปล่า!!!”


ใบหน้าหวานทำหน้าเซ็งสุดชีวิตเมื่อเปิดออกมาแล้วพบว่าข้างในซองเอกสารที่ตนต้องใช้ความพยายามอย่างแสนสาหัสกว่าจะขโมยมาได้นั้น...หาได้มีอะไรอยู่ภายใน


นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน นี่เราต้องเสียจูบให้ไอ้เจ้าพ่อบ้านั่นฟรีๆ เหรอเนี่ย!!! โอ๊ย! อยากจะบ้าตาย!!!! ทำไมซวยอย่างนี้ห๊ะ...ภิตะวัน!!!!


เสียงร้องโหยหวนสุดชีวิตดังขึ้นในสมอง ก่อนที่ผู้เป็นเจ้าของจะกุมขมับด้วยความเครียด...


ข้างดนัยที่นั่งอยู่ไม่ไกลกันนัก หันมามองซองเอกสารที่ว่างเปล่าด้วยนัยน์ตาขรึม เขาไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่นักที่ซองเอกสารที่ภิตะวันนำมาด้วยนั้นว่างเปล่า ด้วยเพราะรู้ดีว่าคนที่ตนนั้นเพิ่งต่อกรมามีกิตติศัพท์ในเรื่องความฉลาดหลักแหลมและ ‘เคี้ยวยาก’ เพียงใด ดังนั้นจึงไม่แปลกหากว่าสิ่งที่ลงมือลงแรงไปครานี้จะคว้าน้ำเหลวกลับมา


“อย่าคิดมากเลยตะวัน เก็บแรงไว้เตรียมลุยต่อคราวหน้าเถอะ” ดนัยเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีกระฟัดกระเฟียด ชายหนุ่มค่อยๆ ยันตัวขึ้น ทว่าร่างสูงกลับล้มลง


“พี่ดนัย!”


ภิตะวันร้องเสียงหลงเมื่อเห็นดนัยกองอยู่กับพื้น เธอลืมไปได้อย่างไรว่าเขาอาจจะได้รับบาดเจ็บจากการที่เข้าไปสืบหาข้อมูลที่ไนต์คลับนั่น ทั้งยังต้องประมือกับไอ้เจ้าพ่อขี้เก๊กชนิดตัวต่อตัวอีกต่างหาก


หญิงสาวตรงเข้าช่วยประคอง ทว่าอีกฝ่ายกลับกล่าวห้าม “พี่ไม่เป็นไรตะวัน แค่ฟกช้ำเฉยๆ”


ภิตะวันหน้าเบ้ ‘แค่ฟกช้ำแต่ทำไมถึงลุกไม่ขึ้นอย่างนี้ล่ะ’ ว่าแล้วก็พยายามเข้าไปพยุง หมายพาอีกฝ่ายไปโรงพยาบาล ซึ่งอยู่ห่างจากสวนสาธารณะที่เธอและเขาแวะมาพักไม่ไกลนัก


“พี่ไม่ไป” ดนัยเอ่ยปฎิเสธทันทีที่ภิตะวันเสนอ


“ไปหน่อยเถอะนะ ให้หมอเค้าตรวจหน่อยก็น่าจะดี”


“ไม่” ชายหนุ่มรุ่นพี่ยืนยันแข็งขัน นั่นเพราะเขาไม่อยากให้ฝ่ายตรงข้ามจับพิรุธอะไรได้ทั้งนั้น เพราะหากโยงใยมาได้ ทุกคนที่เกี่ยวข้องก็อาจเป็นอันตราย ไม่เว้นแม้แต่หญิงสาวตรงหน้าด้วยเช่นกัน
“ตะวันช่วยโทรเรียกไอ้เจษให้ก็พอแล้ว” พูดจบก็ส่งโทรศัพท์มือถือของตนให้ ทั้งนี้ ‘เจษฎา’ ที่เอ่ยถึงก็คือชายหนุ่มซึ่งเป็นอายุรแพทย์เพื่อนสนิทของดนัยนั่นเอง ภิตะวันเคยเจอเขาครั้ง สองครั้ง แต่ก็พอดูออกว่าอีกฝ่ายเป็นคนดี น่าคบหา


หลังจากต่อโทรศัพท์ถึงเจษฎาเรียบร้อยแล้ว ภิตะวันจึงพาดนัยไปส่งยังที่พัก ซึ่งเป็นห้องพักขนาดเล็กบริเวณชานเมือง และเมื่อเธอไปถึง จึงเห็นว่าหมอเจษมาถึงก่อนแล้ว สีหน้าของหมอหนุ่มมีแววกังวลไม่ใช่น้อย จากนั้นเธอและเจษฎาจึงช่วยกันพาดนัยไปยังห้องพักของเขา


“ตะวันกลับบ้านไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วง ถ้ามีอะไรคืบหน้าพี่จะโทรไปบอกก็แล้วกัน” ดนัยเอ่ยก่อนจะล้มตัวลงนอนอย่างอ่อนแรง


และนั่นก็ทำให้ภิตะวันต้องขอตัวกลับก่อน เพราะไม่อยากรบกวนคนป่วย กับทั้งเห็นว่ามีหมอดูแลอยู่แล้วด้วย คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เอาไว้พรุ่งนี้ก็แล้วกัน เธอจะมาเยี่ยมใหม่ เธอเองก็เหนื่อยจนตาจะปิดแล้วเหมือนกัน


ว่าแล้วเจ้าตัวก็ขึ้นคร่อมเจ้าปุปะมอเตอร์ไซด์คันโปรดที่วันนี้พาเธอและดนัยหนีได้ทันเวลา ทว่าเสียงโทรศัพท์เรียกเข้ากลับดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อนเมื่อเห็นว่าเป็นใครโทรมาภิตะวันจึงรีบกดรับทันที


“หายไปนานเลยนะคราวนี้”

“ว่าไงนะ! จะมาถึงพรุ่งนี้!”

“ได้สิๆ เดี๋ยวไปรับ”

“เออน่า...ไม่เบี้ยวหรอก ถ้าไปช้าก็รอหน่อยละกัน”


เอ่ยจบก็ปิดโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว พร้อมกับที่รอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้นตรงมุมปาก จากนั้นจึงขับเจ้าปุปะกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี




to be continued....



***************************


ทายซิว่าใครมา หุหุ

แล้วก็ไปลุ่นกันตอนหน้านะคะว่าเจ้าพ่อมาดดุ
จะตามหาน้องดวงซวยเจอรึเปล่า อิอิ ><


ขอบคุณที่แวะมาอ่านนะคะ...^^


~รัตนรัตน์ ~




รัตนรัตน์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 เม.ย. 2554, 16:19:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 เม.ย. 2554, 16:19:59 น.

จำนวนการเข้าชม : 3195





<< บทที่ 7 : จุมพิตแรก (part I)   บทที่ 8 : เธอคือใคร? (part I) >>
jink 5 เม.ย. 2554, 21:14:16 น.
ใครจะมากันนะ


SaiParn 10 เม.ย. 2554, 19:50:52 น.
ลุ้นนนนนนนนนนนคร่า


cherryfirm 8 พ.ค. 2554, 20:07:54 น.
ชอบบบบบบบบบบบบจังเลยหนุกดีคร้าาาาา ^^


XaWarZd 29 พ.ค. 2554, 02:09:11 น.
ดนัยเจ็บหนักมะเนี่ย เป็นห่วงน๊า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account