พิษเพลิงสิเน่หา
สวัสดีนักอ่านที่รัก
พบกับศิริพาราอีกครั้งในนิยายเรื่อง พิษเพลิงสิเน่หา (รามอส + น้องวุ้น) เรื่องราวของนักเตะหนุ่มลูกครึ่งอังกฤษ-สเปน แต่ไปค้าแข้งในพรีเมียร์ลีก กับเจ้าของร้าน ศาลาขนมไทย หัวดื้อ นางเอ๊ก...นางเอก...(ตามสไตล์ของศิริพารานะคะ ฟอร์มเยอะแต่แอบหื่นเหมือนสาวๆนี่แหละ ส่วนพระเอกนี่หื่นออกหน้าออกตา แต่ก็เฉพาะกับนางเอกคนเดียว อะคึๆ)
เรื่องนี้เป็น E-Book เรื่องแรกของศิริพาราและจะอัพให้อ่านในเว็บต่างๆ 50% เหมือนทุกเรื่องนะคะ แต่ๆๆๆๆๆๆ มีข้อแม้นิดโหน่ยยยยยเพราะถ้าแฟนพันธุ์แท้ในเว็บเด็กดีถึง 500คน ศิริพาราจะอัพให้อ่านจนจบเลยน้าค้า ขอมากไปรึเปล่าไม่รู้ แต่อยากสัมผัสกับฟีลลิ่งนั้นบ้างงงงงงงง
วันนี้มาโปรยอ่อยๆและมาจองชื่อไว้ก่อนนะครัช รับรองว่าเขียนจบแล้วจะมาอัพให้อ่านทุกวันเลยน้า
จุ๊บๆๆ
ศิริพารา

โปรยปกหลัง
"มันเป็นความสัมพันธ์ที่ง่ายดาย ไม่มีอะไรซับซ้อน พอใจกับความสุขที่ต่างคนต่างได้รับ จบเกมก็จบกัน เข้าใจอะไรง่ายๆหน่อยสิ ขนมหวาน" รามอสยังทำใจเย็นอธิบายทั้งที่หงุดหงิดแทบตายเมื่อเธอทำท่าขยะแขยงกับพฤติกรรมชายโสดที่ผ่านมา ทั้งที่มันเป็นเรื่องปกติ
"ค่ะ" เธอยังรับคำสั้นๆ สุภาพ เรียบร้อย ไว้เนื้อไว้ตัวราวสาวพรหมจรรย์ที่เห็นความสุขระหว่างหญิงชายเป็นเรื่องน่าประหลาดและมันทำให้มนุษย์ผู้ชายที่เติบโตมาอย่างสบายไร้แบบแผนสุดๆเช่นเขานึกโมโห
"แม่คุณ... ช่วยปฏิบัติกับผมอย่างคนไร้อารยธรรมมั่งเถอะ เผื่อจะตีความได้ง่ายขึ้นว่าคุณกำลังหึง"
"ไม่ยักรู้ว่าคุณละเมอเป็นเรื่องเป็นราว" ภัทรษาตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
แต่... สายตา รอยยิ้มน้อยๆที่มุมปากของแม่ขนมหวานตัวร้ายกลับทำให้นักเตะหนุ่มรู้ว่ากำลังถูกเยาะเย้ย
แต่... เธอแน่ใจแล้วหรือว่าจะแสดงกิริยาเช่นนี้กับคนที่ทำให้เธอละเมอร้องขอบางอย่างแทบไม่เป็นภาษา "จ้ะ แล้วคุณอยากละเมอเหมือนผมมั่งไหม บิดตัวเร่าๆ ปากคมๆก็ครวญครางไม่หยุด ลองไหมจ๊ะ"

หล่อเหลา เก่งกาจ จนคนทั่วโลกกล่าวขานถึงเขาว่า Born to be a football player ยิ่งทำให้รามอส รูบิโอ กลายเป็นนักเตะแข้งทองค่าตัวมหาศาล เขาโก้หรู เข้าถึงตัวยาก มีรสนิยมเฉพาะตัวอันเฉียบขาด กล้ามเนื้อแน่นตึงแบบฉบับนักกีฬาระดับเวิร์ดคลาส รวมไปถึงความมั่งคั่งเป็นเหมือนสนามแม่เหล็กดึงดูดผู้หญิงโปรไฟล์เริดหรูเข้าหา แน่นอนว่าความจริงในข้อนี้ทำให้เขาไม่เคยคิดว่า วันหนึ่งต้องมาปวดเศียรเวียนเกล้ากับพรหมจรรย์ที่ช่วงชิงมาจากแม่ค้าขนมหวานอย่าง ภัทรษา
เขา... ไม่เคยทำให้ผู้หญิง ‘ผิดหวัง’ โดยเฉพาะเรื่อง ‘บนเตียง!’
เรื่องจริงที่ผู้ชายหน้าทน หลงตัวเองประกาศกร้าว เขาทำราวกับว่าการได้ครอบครองเธอทั้งตัวแล้วจะหมายรวมถึงหัวใจ กระทั่งคำขอโทษก็ดูเหมือนจะไร้ซึ่งความจำเป็นในความคิดของเขา แต่กลับหึงหวง ทำตัวน่าโมโห จนเธอต้องอับอายกับเสียงขู่คำรามที่ดังข้างกายตลอดเวลา
เธอ... ไม่จำเป็นต้องคิดว่า ‘ผู้ชายคนแรก’ ต้องเป็น ‘พ่อของลูก’ เสมอไป!
ขนมหวานอาบยาพิษ คือสิ่งที่เขากลืนเข้าไปหนำซ้ำยังติดใจในรสชาติอันหลากหลาย ยาพิษ อันร้อนแรง หวานแหลมที่หาดื่มชิมได้จากเรือนกายเธอเพียงผู้เดียว ทั้งยังมั่นใจว่าเธอก็พึงใจในสิ่งที่มีร่วมกันแต่กลับปากแข็ง เล่นตัวอย่างหนัก แถมยังเรียกร้องคำพูดง่ายๆที่ไม่เคยหลุดจากปากเขามาก่อน คำขอโทษจะทำให้เขามีสิทธิ์ได้เล่นตัวเธออีกครั้ง รับรองว่าเขาจะพูดมันซ้ำแล้วซ้ำอีก พูดทุกครั้งที่เธออิดออด ย้ำให้บ่อยจนสายตาเธอจะมองเขาเพียงผู้เดียว แต่... ใครจะรู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าคือคนที่โลภมากที่สุดที่เขาเคยพบเจอ เมื่อเงื่อนไขนั้นหนักข้อมากขึ้นทุกที
มีเพียง ‘คำรัก’ เท่านั้นล่ะที่จะทำให้เขาอ้างสิทธิ์เหนือตัวเธอได้ทุกประการ

Tags: รามอส + ภัทรษา

ตอน: ตอนที่ 3 100%

***พิษเพลิงสิเน่หาพร้อมให้คุณเป็นเจ้าของแล้ววันนี้ที่เมพ meb e-book
อ่านจบแล้วบอกความรู้สึกหน้าเมพลุ้นรับของรางวัลสุดพิเศษด้วยนะคะ***
มากาเร็ตแนะนำให้ลูกชายรู้จักกับไพลินและบุษราคัม ผู้เป็นแม่และน้าของวทานิกา ซึ่งกำลังสั่งการให้คนในบ้านจัดเตรียมของที่จะใช้ในงานมงคลสมรสวันพรุ่งนี้ แน่นอนว่าใบหน้าอันหล่อเหลา รูปร่างสูงใหญ่อย่างนักกีฬาอาชีพซึ่งต้องออกกำลังกายอย่างมีแบบแผนนั้นเรียกความสนใจจากสายตาทุกคู่ได้เป็นอย่างดี
“สวัสดีครับ” รามอสเอ่ยด้วยภาษาไทยที่ไม่ชัดเจน แต่การพนมมือไหว้ที่พี่สะใภ้สอนมานั้นก็ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองเปิดยิ้มด้วยความเอ็นดู
ไพลินรับไหว้ก่อนจะมองชายหนุ่มด้วยความชื่นชม ไม่ต่างจากเสียงซุบซิบของแม่บ้านซึ่งกำลังหัวเราะและมีท่าทางกระดี๊กระด๊าอย่างออกนอกหน้า “รูปร่างหน้าตาแบบนี้นี่เองถึงทำให้สาวๆ คลั่งไคล้”
“เตะฟุตบอลก็เก่งด้วยค่ะ” บุษราคัมกล่าวเสริม
“รู้ได้ยังไงจ๊ะ เธอดูฟุตบอลเมืองนอกด้วยรึ” ไพลินถามน้องสาว
“โธ่... ก็สาวๆ ในบ้านนี่พร่ำเพ้อถึงรามอสอยู่หลายวัน ตั้งแต่รู้ว่าจะได้เห็นตัวเป็นๆ นี่คะ” บุษราคัมกล่าวพลางพยักพเยิดไปยังสาวๆ ที่ทำท่าเอียงอาย ไม่เป็นอันทำงานที่ได้รับมอบหมายสักเท่าไหร่ “ดูโน่นสิคะ เขินจนตัวจะบิดเป็นเกลียวกันหมดแล้ว”
รามอสไม่อาจเข้าใจในบทสนทนาดังกล่าว แต่ก็พอจะเดาท่าทางของสาวๆ เหล่านั้นได้ไม่ยาก ก็มันเป็นท่าทีปกติของผู้หญิงที่ได้พบเจอเขา ที่เห็นเขินอายนี่ยังน้อยไป บางคนถึงกับปรี่เข้ามาหาจนมันกลายเป็นเรื่องปกติสามัญเสียแล้ว แต่ในตอนนี้มีสาวน้อยเพียงคนเดียวเท่านั้นล่ะที่เขาอยากกอดรัด
“รามอส มาแล้ว” โจเซลีนผละจากขนมหวานและวิ่งเข้าสู่อ้อมกอดของผู้เป็นอาทันที
นักเตะหนุ่มช้อนอุ้มหลานสาวตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน กดจมูกสูดเอาความหอมจากสองแก้มยุ้ยอย่างแสนรัก ทว่าเสียงกรี๊ดกร๊าดที่ดูเหมือนจะเงียบลงบ้างกลับดังขึ้นอีกครั้งราวกับว่า ตนอยู่ในอ้อมแขนของเทพบุตรแข้งทอง
‘อ๊าย... หล่อแล้วยังรักเด็กอีกด้วย ในที่สุดหนูก็ได้เจอพ่อของลูก’
‘กรี๊ดดด ผู้ชายตัวโตแถมรักเด็ก แม่อยากเป็นเด็กให้รู้แล้วรู้รอด ฉันอิจฉาน้องลินนี่’
ประโยคคำพูดอีกมากมายที่แม่บ้านรวมไปจนถึงคนของเวดดิ้งแพลนเนอร์หลุดออกมาอย่างอดไม่ได้ แน่ล่ะว่าทำให้ไพลินและบุษราคัมส่ายหน้ากับความคิดของสาวแท้สาวเทียมสมัยใหม่
ทว่าสาวน้อยโจเซลีนในอ้อมกอดกลับหัวเราะคิกคักเพราะจั๊กจี้กับหนวดที่ผุดขึ้นเป็นตอสั้นๆ จึงเอื้อมมือไปสัมผัสปลายคางคร้ามคมของผู้เป็นอา “คิดถึงรามอส”
“โอ... ปากหวานที่สุดลินนี่ของอา” รามอสครวญพลางสูดเอาความหอมจากแก้มยุ้ยอีกครั้ง
วทานิกาซึ่งเดินเข้ามาเห็นภาพดังกล่าวก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ แตกต่างกับสามีที่เดินเข้ามาหลังสุด แม้ตนจะได้รับเสียงกรี๊ดกร๊าดเช่นนี้แต่กลับไม่มีอารมณ์ลำพองใจเหมือนตอนที่ยังเป็นหนุ่มโสด พูดได้อย่างเต็มปากว่าถ้าเสียงนั้นไม่ใช่นิก้าของเขา ทุกสิ่งรอบกายก็ดูเหมือนจะไร้ค่าไร้ความหมาย
“โอ้โห มาถึงก็หว่านเสน่ห์ใส่สาวๆ เลย ให้มันน้อยๆ หน่อยนะไอ้ตัวดี” ทิโมธีเย้าพลางเดินมาทรุดตัวนั่งขัดสมาธิบนพื้นข้างๆ แม่ยาย
รามอสมองท่าทางสงบเสงี่ยมของพี่ชายแล้วเบ้ปาก แบดบอยผู้โอหังบัดนี้เป็นเพียงผู้ชายบูชาความรัก ไร้ซึ่งเขี้ยวเล็บจนสิ้น “แน่ล่ะ... ทำอย่างกับนายไม่เคย ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่นี่”
“ไม่สนใจ รักเมียคนเดียว หลงเมียคนเดียว มีอะไรไหม” ทิโมธีโต้กลับ
“พูดเอาใจนิก้ารึเปล่า” รามอสเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่น่าไว้ใจ
วทานิกาส่ายหน้าอย่างระอาใจเมื่อสองพี่น้องต้องปะทะคารมกันทุกครั้ง ทั้งที่ความจริงแล้วรักใคร่กลมเกลียว เธอจึงหยุดข้อโต้แย้งเล็กๆ นั่นลงด้วยประโยคเด็ด “นั่นสิคะ มิน่าล่ะถึงได้แขวะแต่รามอส ที่แท้ก็อิจฉาใช่ไหม?”
แม้จะรู้ว่าภรรยาถามหยอกเย้าเล่นแต่เขาก็ไม่เคยปล่อยให้เรื่องอ่อนไหวต่อความรู้สึกเช่นนี้เฉียดกรายเข้ามาใกล้ความรู้สึกของเธอเลย “โอ๊ย... มีลูกด้วยกันตั้งสองคนแล้ว นิก้ายังไม่เชื่อใจผมอีก แบบนี้ต้องมีน้องให้ลินนี่จนฟอร์มทีมฟุตบอลครบ นิก้าถึงจะเชื่อใจ จริงไหมครับคุณแม่”
คุณแม่ยายหัวเราะร่วนเพราะรู้ดีว่าลูกเขยตัวโตต้องหักห้ามใจสักแค่ไหนในการแสดงความรักต่อลูกสาวของตน “แม่ไม่ติดใจเรื่องความรักที่ทิมมีให้นิก้าหรอก แต่เรื่องมีลูกจนครบทีมฟุตบอลนี่ไปเคลียร์กันเองเถอะจ้ะ”
สิ้นคำคุณไพลินทุกคนก็หัวเราะครื้นเครงยกเว้นรามอสที่โพล่งถามความข้องใจของตนในทันที
“อย่าบอกนะว่าตอนนี้ลินนี่กำลังจะมีน้อง?” ถามพลางมองหน้าวทานิกาและหลานสาวในอ้อมแขนของตัวเอง
วทานิกาพยักหน้ารับและรอยยิ้มอิ่มเอิบอาบทั่วใบหน้าก็เป็นคำตอบอย่างดี “น่าจะสองเดือนแล้วมั้ง”
“โอ... ยอดเยี่ยมเหลือเกิน ยินดีกับคุณด้วยนิก้า” รามอสบอกพร้อมขยับเข้าไปสวมกอดกับวทานิกาและพี่ชาย “ยินดีด้วย เจ้าบ่าวลูกสอง”
ภาพที่พี่น้องกอดกันอย่างแนบแน่นทำให้มากาเร็ตยิ้มอย่างปลาบปลื้ม แม้ว่าทั้งคู่จะต่างบิดาและเพิ่งได้รับรู้ความจริงไม่นานว่าเป็นพี่น้องกัน แต่สายเลือดของเธอครึ่งหนึ่งที่ไหลเวียนอยู่ในตัวของทิโมธีและรามอสก็ยังเข้มข้น สร้างความกลมเกลียวให้กับทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี
“คุณบุษขา ถามให้หนูหน่อย” แม่บ้านสาวรีบเข้าไปกระแซะข้างบุษราคัมเพราะอยากรู้เหลือเกินว่า นักเตะหนุ่มนั้นมีสาวในดวงใจแล้วหรือยัง
บุษราคัมส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ไม่ใช่เพียงแค่หญิงสาวที่เบียดตัวอยู่ข้างๆ แต่รวมไปถึงสาวน้อยสาวใหญ่ สาวแท้และสามเทียมต่างส่งสายตาอ้อนวอนให้ตนทั้งนั้น ไม่นานนักจึงเอ่ยปากออกไป “แล้วเมื่อไหร่พวกเราจะได้ยินดีกับคุณบ้าง รามอส”
นักเตะหนุ่มเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจกับคำถามและหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัวว่าท่าทางเช่นนั้นทำให้สาวๆ ที่รอฟังคำตอบเคลิบเคลิ้ม มีเสียงกรี๊ดกร๊าดหลุดออกมากับรอยยิ้มทรงเสน่ห์นั้น
“ก็...ว่าจะมาหาสาวไทยกลับไปด้วยสักคนครับ” รามอสตอบทีเล่นทีจริง และสาวๆ ที่รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อก็กรี๊ดขึ้นมาอย่างอดใจไว้ไม่ได้ ส่วนคนที่ต้องรอบุษราคัมแปลคำพูดเป็นภาษาไทยก็หลุดเสียงกรี๊ดออกมาเช่นกัน
คุณไพลินจึงเชื้อเชิญทุกคนให้ย้ายไปยังห้องอาหารเพราะถ้าหากเทพบุตรแข้งทองสุดหล่อนี้ยืนโชว์ตัวอยู่เช่นนี้ สาวน้อยสาวใหญ่ทั้งหลายคงจะไม่เป็นอันตระเตรียมงานให้แล้วเสร็จ
“เราย้ายไปห้องอาหารกันดีกว่านะคะ แม่บ้านคงตั้งโต๊ะเรียบร้อยแล้ว” ไพลินเอ่ยขึ้นพร้อมผายมือเชิญครอบครัวที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมให้เดินไปยังห้องอาหาร ทว่าต้องอมยิ้มเมื่อเห็นรามอสเดินอุ้มโจเซลีนไปด้วย หยอกเย้าด้วยการซุกไซ้ใบหน้าลงตามตัวไม่เลือกที่ ไม่แสดงทีท่าเย่อหยิ่งเช่นคนดังทั่วไป
เมื่อทุกคนนั่งประจำที่พี่เลี้ยงของโจเซลีนจึงเดินเข้ามา ตั้งใจจะอุ้มเด็กน้อยออกมาป้อนอาหารแต่หนูน้อยกลับซุกตัวเข้ากับอกกว้างของคุณอาและวาดแขนทั้งสองข้างกอดเอาไว้แน่น ใครก็เกลี้ยกล่อมไม่ได้แม้กระทั่งวทานิกา
“ไม่เป็นไรครับ ผมอุ้มลินนี่ได้สบายมาก” บอกพลางจัดแจงท่านั่งของหลานสาวให้หันหน้าเข้าโต๊ะอาหาร ไถ่ถามว่าจะรับประทานอะไรอย่างคล่องแคล่ว ภาพน่าเอ็นดูที่ทำให้ทุกคนอมยิ้มไพล่คิดไปว่าหากมีลูกเป็นของตัวเอง คงเป็นคุณพ่อที่น่ารักที่สุด
“ถ้าผมเอาภาพนี้ไปขายให้ปาปารัสซี่คงได้เงินมาใช้มากโข” ทิโมธีแขวะน้องชายทีเล่นทีจริง แต่คนถูกแขวะไม่สนใจก้มลงไปพูดกับหลานสาวอย่างสบายใจ
“แถวนี้มีคนขี้อิจฉาเราด้วย” รามอสบอกพลางหัวเราะเมื่อมือป้อมๆ ชี้ไปยังกุ้งชุบแป้งทอดหน้าตาน่ารับประทาน
ไพลินเห็นว่าโจเซลีนอยู่กับรามอสได้จึงพยักหน้าเป็นเชิงให้พี่เลี้ยงถอยออกไป “อ้อ... อย่าลืมให้เด็กเอากระเป๋าเดินทางคุณรามอสไปไว้ที่เรือนริมน้ำด้วย จัดห้องเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
ทิโมธีซึ่งฟังภาษาไทยรู้เรื่องแต่ไม่สามารถพูดจาได้ดีนักจึงเอ่ยขึ้นเพราะรู้ว่าน้องชายนั้นตั้งใจจะไปพักที่โรงแรม ซึ่งเป็นโรงแรมหรูที่เปิดห้องเอาไว้สำหรับแขกเหรื่อที่จะมาร่วมงาน จึงบอกกับแม่ยายด้วยภาษาอังกฤษ “ไม่ต้องหรอกครับคุณแม่ รามอสจะไปพักที่โรงแรม”
“อ้าว... ทำไมล่ะ แม่ให้เด็กเข้าไปทำความสะอาดเตรียมไว้แล้วนะ” ไพลินบอก
“นั่นสิคะ พักที่นี่ก็ได้ บ้านเราออกกว้างขวาง” วทานิกาเสริมและหันไปมองหน้ารามอสอย่างรอคำตอบ
คงจะมีเพียงสองพี่น้องเท่านั้นที่ต่างฝ่ายหันมาจ้องหน้ากันอย่างรู้ทันเกม ใครบ้างไม่รู้ว่านักฟุตบอลต้องฝึกซ้อมหนักแค่ไหน เครียดกับเกมการแข่งขันสักเท่าไร เมื่อมีโอกาสพักผ่อนก็ควรใช้เวลาที่มีอยู่ให้เต็มที่ การปลดปล่อยอารมณ์ตามประสาลูกผู้ชายก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องอยู่ในหัวสมองหนุ่มเต็มวัย
แต่นาทีคับขันเช่นนี้ทิโมธีก็ไม่รู้ว่าจะช่วยน้องชายเช่นไร พูดให้ถูกคือเกรงใจภรรยาที่นั่งอยู่ข้างๆ แน่ล่ะว่ารามอสรู้ทันความคิดของพี่ชาย จึงได้แต่ลอบถอนหายใจและตอบออกไปในที่สุด
“ถ้าไม่เป็นการรบกวน เอางั้นก็ได้ครับ” รามอสตอบและเห็นว่าคนกลัวเมียมีสีหน้าที่ผ่อนคลายมากขึ้น
“รบกวนอะไรกันจ๊ะ” ไพลินเลือกสนทนาเป็นภาษาอังกฤษในยามที่มีมากาเร็ตและรามอสอยู่ด้วย เพราะรู้ว่าทั้งคู่ไม่สามารถเข้าใจในภาษาไทยเช่นลูกเขยของตน “เรือนริมน้ำนั่นฉันตั้งใจปลูกไว้ให้นิก้า มีข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างครบถ้วนแต่ลินนี่จะเป็นปัญหามากถ้าไปพักที่นั่น เด็กๆ อันตรายมากถ้าให้เล่นอยู่ใกล้น้ำ”
“นอกเสียจากว่าคุณจะนัดกับเพื่อนๆ เอาไว้ หรือสะดวกใจที่จะพักโรงแรมมากกว่าก็ไม่เป็นไรนะจ๊ะ” บุษราคัมเอ่ยขึ้นเพราะเข้าใจถึงความสะดวกของแต่ละบุคคล
“ไม่เป็นไรครับ ความจริงพักที่นี่ก็สะดวกดี อีกอย่างเพื่อนๆ ของผมคงจะมาถึงกลางดึก ไปพักที่โรงแรมตอนนี้ก็ต้องนั่งเหงาอยู่คนเดียว” รามอสตอบในขณะที่มือยังทำหน้าที่ป้อนอาหารให้หลานสาวอยู่เรื่อยๆ
ไอ้กะล่อนนี่มันเข้าใจตอบให้ผู้ใหญ่หลงแล้วตัวเองดูเป็นเทพบุตรโว้ย ทิโมธีคิดในใจอดหมั่นไส้น้องชายไม่ได้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ามาถึงต่างบ้านต่างเมืองทั้งยังเป็นช่วงปิดฤดูกาลแข่งขันแบบนี้ มีผู้ชายที่ไหนบ้างไม่อยากปลดปล่อยความเครียด ปลดปล่อยอารมณ์ที่สะสมในตัวเอง
“งั้นก็พักที่นี่นะคะ เดี๋ยวจะให้เด็กเอากระเป๋าไปเก็บให้เลย” วทานิกาเป็นคนสรุป แล้วหันไปพยักหน้าให้กับพี่เลี้ยงที่ถอยออกจากห้องอาหาร
“จริงสิ ดาเรียไม่มาเหรอ ไม่มาพักด้วยกันที่นี่” รามอสนึกขึ้นมาได้และถามถึงดาเรีย นางแบบสาวชาวรัสเซียผู้โด่งดัง ซึ่งเป็นเพื่อนนางแบบรุ่นเดียวกันกับวทานิกา
วทานิกาปั้นหน้ายากเพราะรู้ดีว่ารามอสนั้นตามจีบและเอ่ยชวนดาเรียออกเดตอยู่หลายครั้งแต่ได้รับเพียงคำปฏิเสธเพราะดาเรียกำลังคบหากับแฟนหนุ่มนายแบบชื่อดังเช่นกัน “มาถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว พักอยู่ที่โรงแรมที่ทิมจองไว้นั่นล่ะค่ะ สงสัยวันนี้จะพาไมกี้ไปเที่ยวรอบๆ กรุงเทพ”
เอ่ยถึงไมกี้ แฟนหนุ่มของดาเรียและคอยสังเกตปฏิกิริยาของคู่สนทนาที่มีใบหน้าเรียบเฉยก้มลงจัดการกับอาหารของตัวเองสลับกับป้อนให้หลานสาว วทานิกาจึงไม่สามารถอ่านใจได้ว่านักเตะหนุ่มนั้นทำใจได้แล้วหรือท่าทีนิ่งเงียบดังกล่าวเป็นเพียงการกลบเกลื่อนอาการอกหักเท่านั้น
รามอสพยักหน้ารับและวงสนทนาก็พูดคุยเกี่ยวกับงานมงคลที่กำลังจะถึงนี้ เกือบสี่สิบนาทีบนโต๊ะอาหารมีแต่ความสุขสดชื่นและเสียงหัวเราะ เป็นบรรยากาศอันอบอุ่นที่รามอสยิ้มรับด้วยความแช่มชื่น พูดได้เต็มปากว่าเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกได้ถึงคำว่า ความอบอุ่นในครอบครัว

“กรี๊ด... จริงเหรอพี่วุ้น งานแต่งพรุ่งนี้มีนักฟุตบอลสโมสร... มาด้วยจริงๆ เหรอคะ กรี๊ด...” พรรณลดาวางมือจากการเรียงทองหยิบ ทองหยอด บนถาดที่ตกแต่งด้วยใบตองพับจีบอย่างประณีตแล้วกรีดร้องออกมาด้วยความดีใจ เมื่อทราบข่าวจากญาติผู้พี่ถึงแขกที่จะมาร่วมในงานแต่งครั้งนี้
“เป็นอะไรรึเปล่าน้องไวน์ ร้องทำไมลูก...” วรรณาวิ่งหน้าตื่นเข้ามาในห้องนั่งเล่นทั้งที่ยังถือตะหลิวเอาไว้ในมือ มองหลานสาวที่ยกมือขึ้นปิดหู ส่วนลูกสาวของตนยิ้มแหยๆ ราวกับทำความผิดสักอย่าง
“น้าณา/แม่...” ภัทรษาและพรรณลดาเรียกพร้อมๆ กัน แต่กลับไม่มีใครเอ่ยว่าอย่างไรสักคน
“ว่ายังไง เป็นอะไรถึงได้กรี๊ดลั่นบ้านแบบนี้” ถามและมองลูกสาวดุๆ
“ก็... ไม่มีอะไรค่ะ ไวน์แค่ดีใจไปหน่อย” พรรณลดากระอ้อมกระแอ้มบอกอย่างไม่เต็มเสียงนัก หากต้องอธิบายต่อเมื่อเห็นสีหน้าของผู้เป็นแม่ว่ายังไม่เข้าใจและไม่พอใจในคำตอบสักเท่าไหร่ “ไม่หน่อยก็ได้... ดีใจมากไปน่ะค่ะ”
“ตกลงมันเรื่องอะไร ไวน์?” คนเป็นแม่ถามเสียงดุกว่าเดิมทั้งยังเรียกด้วยชื่อเล่นเสียงห้วนบอกให้ลูกสาวรู้ว่าไม่ชอบกิริยาเช่นนี้เอาเสียเลย
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะน้าณา น้องแค่...” ภัทรษาตั้งใจจะออกรับแทนแต่ยังไม่ทันได้พูดจบประโยคก็ถูกดักคอเสียแล้ว
“เราก็ไม่ต้องมาออกรับแทนน้อง” วรรณาบอกและหันไปมองลูกสาวที่ประสานมือเข้าหากันด้วยท่าทีเรียบร้อยเป็นที่สุดแต่นั่นก็ใช่จะตบตาคนที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่ลืมตาดูโลกได้ “พูดมาเดี๋ยวนี้”
“วะ...ไวน์แค่ดีใจที่ได้ยินว่างานพรุ่งนี้จะมีนักฟุตบอลจากอังกฤษมาร่วมงานด้วย เลย...กรี๊ดดังไปหน่อยค่ะ”
“พรรณลดา!” วรรณาเรียกชื่อเต็มของลูกสาวเช่นนี้ทุกครั้งที่โกรธจัดหรือในตอนที่ลูกทำอะไรไม่เข้าท่า เดือดร้อนภัทรษาเข้ามากอดและพาเดินเข้าไปในครัวเช่นเดิม อย่างน้อยก็ให้วรรณาอารมณ์เย็นลงกว่านี้ เมื่ออธิบายหรือหาเหตุผลแก้ต่างก็จะได้เข้าใจง่ายขึ้น
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะน้าณา น้องแค่ดีใจตามประสาพอรู้ว่าจะได้เจอคนที่ชื่นชอบหลายคนเท่านั้นเอง อย่าดุแกเลยนะคะ” ภัทรษาบอกพลางเอื้อมมือไปลูบต้นแขนขึ้นลงอย่างเอาใจ
“มันใช้ได้ที่ไหน ดูซิ! กรี๊ดเสียได้ยินไปสามบ้านแปดบ้านเพราะดีใจที่จะได้เจอผู้ชายเนี่ยนะ แม่ก็อยู่ในบ้านทั้งคน รู้จักคิดเกรงอกเกรงใจกันบ้างไหม” ตำหนิเสียงดังและรู้ว่าลูกสาวที่อยู่อีกห้องต้องได้ยิน
ภัทรษาเข้าใจทั้งผู้เป็นน้าและญาติผู้น้อง รู้ดีว่าวรรณาต้องพบกับความรักที่ไม่สมหวัง ถูกพ่อของพรรณลดาทอดทิ้งไปหลายปี ก็เป็นธรรมดาที่จะหวงลูกสาวและไม่ชอบใจเอามากๆ ที่เห็นกิริยาเช่นนั้น “น้องก็แค่ดีใจตามประสาล่ะค่ะ ไม่ได้มีอะไรเกินเลยหรอก น้าณาอย่าโมโหเลยนะคะ ไวน์ยังเด็กอาจจะดีใจจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่เท่านั้นเอง”
วรรณาละสายตาจากกระทะมาตอบโต้หลานสาว ในขณะที่มือยังทำงานอย่างคล่องแคล่ว “เรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายแบบนี้ไม่เรียกเด็กแล้วนะ น้ารู้ว่าไวน์แค่ดีใจเกินเหตุไปหน่อย แต่มันใช่เรื่องไหมที่กรี๊ดกร๊าดบ้านแทบแตกด้วยเรื่องแค่นี้ ไม่เกรงใจแม่ไม่เกรงใจพี่ก็ต้องเกรงใจบ้านใกล้เรือนเคียงบ้าง เขาจะหาว่าน้าไม่รู้จักอบรมสั่งสอน”
ระหว่างที่วรรณาบ่นไปเรื่อยๆ สายตาของภัทรษาก็เหลือบไปเห็นว่าน้องสาวส่งสัญญาณบางอย่างจึงได้แต่ถอนหายใจและทำตามเพราะน้อยคนนักที่จะต้านทานสายตาออดอ้อนของพรรณลดาได้
“น้าณาไปนั่งรอที่โต๊ะอาหารดีกว่า อารมณ์จะได้ดีขึ้น เดี๋ยวที่เหลือวุ้นจะจัดการเองนะคะ” ภัทรษาตะล่อมด้วยน้ำเสียงเอาใจและแย่งเอาตะหลิวในมือมาถือไว้เสียเอง
แม้ว่าวรรณาจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แต่ก็ยอมเดินออกจากห้องครัว มองผ่านลูกสาวที่ยืนตัวลีบ ทำหน้าสำนึกผิดแล้วไปทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ของโต๊ะอาหารขนาดย่อม
ภัทรลดาจัดการตักผัดผักบุ้งไฟแดงใส่จานและตักอาหารที่ทำเสร็จแล้วถือออกมาวางบนโต๊ะอาหาร หากต้องกลั้นยิ้มจนปวดกรามเมื่อเห็นว่าพรรณลดากำลังใช้ลูกอ้อนงอนง้อผู้เป็นแม่ที่นั่งหน้าตึงปล่อยให้ลูกสาวคุกเข่าตรงหน้า แล้ววาดแขนทั้งสองข้างกอดเอว ซุกไซ้ศีรษะกับทรวงอก ปากพร่ำสัญญาว่าจะไม่ทำตัวน่าโมโหเช่นนี้อีก
ภัทรษาเดินกลับเข้าไปในครัวอีกครั้งและออกมาพร้อมโถข้าวสวยร้อนๆ ทว่ารอยยิ้มของน้องสาวที่ส่งมาให้นั้น ก็ทำให้เธอรู้ว่างอนง้อผู้เป็นแม่ได้สำเร็จแล้ว
“พี่วุ้นนั่งลงเลยน้า... เดี๋ยวไวน์จะตักข้าวให้เอง” พรรณลดาบอกพลางดันร่างอ้อนแอ้นของพี่สาวให้นั่งลงบนเก้าอี้
“ทำตัวดีๆ ให้เสมอต้นเสมอปลายหน่อยเถอะ นับวันโตขึ้นเรื่อยๆ นะน้องไวน์ เราก็รู้ว่าแม่ไม่ชอบเห็นเด็กผู้หญิงไปคลั่งไคล้พวกดารา นักกีฬาอะไรอย่างนั้น เป็นผู้หญิงต้องทำตัวให้มีคุณค่า” วรรณาสอน
“ค่า... ไม่ทำอีกแล้วค่า...” สาวน้อยวัยกระเตาะรับปากเสียงสดใสแล้วนั่งประจำที่ของตน เตรียมพร้อมรับประทานอาหาร ทว่าคำพูดต่อมาของผู้เป็นแม่ทำให้อาหารที่ตักใส่ช้อนจ่อค้างที่ริมฝีปาก!
“พรุ่งนี้แม่จะไปกับพี่วุ้นเอง น้องไวน์ไปเฝ้าร้านก็แล้วกัน” วรรณาบอกและก้มลงจัดการกับอาหารตรงหน้า
“มะ...ไม่ได้นะ” พรรณลดาครางเสียงเบาหวิวจนปลายประโยคแทบจะกลืนเข้าไปในลำคอเมื่อเห็นสายตาคาดโทษของผู้เป็นแม่
“จะไม่สะดวกน่ะสิคะน้าณา” ภัทรษารีบห้ามทัพและอธิบายด้วยเหตุผลอันแท้จริง “ไม่ใช่ว่าวุ้นไม่อยากให้น้าณาไปนะ แต่คุณนิก้าเธอตั้งใจจะให้วุ้นกับไวน์ไปอธิบายเรื่องขนมกับแขกชาวต่างชาติ ถ้าน้าณาไปกลัวว่าจะไม่สะดวกสิคะ”
โอ... นางฟ้าของน้อง พรรณลดาคร่ำครวญในใจขณะที่มองพี่สาวไม่ต่างจากนางฟ้าลงมาโปรด แตกต่างกับผู้เป็นแม่ซึ่งกำลังนิ่งงันกับเหตุผล แต่เพียงเสี้ยววินาทีก็พูดโพล่งออกมาอีกครั้ง
“งั้นก็ไปด้วยกันหมดนี่แหละ”
“อ้าว แล้วใครจะเปิดร้านละคะ” พรรณลดาถามแม่กลับทันท่วงที
“ปิดสักวัน โทษเราเองที่ทำให้แม่ไม่ไว้ใจ”
“แต่พรุ่งนี้วันเสาร์ แม่เคยบอกว่าเสาร์-อาทิตย์ขายดีที่สุด ของก็เตรียมไว้แล้วจะไม่เปิดร้านเหรอคะ” พรรณลดาโน้มน้าวใจแม่สุดฤทธิ์
“เอาอย่างนี้ดีไหมคะ พรุ่งนี้เราก็เปิดร้านตามปกติ วุ้นเสียดายของที่เตรียมเอาไว้ ส่วนงานแต่งตอนเช้าก็ให้ไวน์ไปด้วยรับรองว่าวุ้นจะดูแลน้องอย่างดี ไม่ให้คลาดสายตา ส่วนตอนเย็นวุ้นตั้งใจจะไปคนเดียวอยู่แล้วเพราะแขกไม่ถึงห้าสิบคนคงไม่มีอะไรยุ่งนัก แต่ที่ร้านลูกค้าน่าจะเยอะ” ภัทรษาบอกด้วยความจริงและทำให้วรรณานิ่งงันไปครู่ใหญ่ รู้ดีว่าน้าต้องยอมเพราะเหตุผลของตน จึงแอบเลื่อนมือไปจับมือของน้องสาวเป็นเชิงปราม
“เอาอย่างนั้นก็ได้” วรรณาบอกออกมาในที่สุด มองหน้าลูกและหลานสลับกันไปมาราวกับจะหาความมั่นใจ
“เสร็จงานแล้วไวน์จะรีบไปหาแม่ที่ร้านเลยค่ะ” พรรณลดาบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สวนทางกับความดีใจที่ซ่อนเอาไว้ หากไม่มีมือของพี่สาวเอื้อมมากุมเอาไว้คงจะกระโดดโลดเต้นเป็นแน่ “จริงๆ นะคะ แม่น่าจะเชื่อไวน์บ้าง ที่ผ่านมาไวน์ไม่เคยทำตัวเสียหายให้แม่ผิดหวังสักหน่อย”
มีความน้อยใจเจืออยู่ในน้ำเสียงออดอ้อนนั้น แน่นอนว่าผู้เป็นแม่รับสิ่งที่ลูกสื่อสารออกมาได้เป็นอย่างดี ทั้งยังฉุกใจคิดได้ว่าแม้จะชอบทำตัวให้โมโหอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่เคยประพฤติตัวนอกลู่นอกทาง การเรียนดีและไม่เคยเกเร หากมันก็ไม่ยุติธรรมที่เธอจะเอาความผิดพลาดของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นกับตนในอดีต มาตัดสินชีวิตลูกเช่นนี้
“เอาล่ะ ทานข้าวเถอะเดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อย พรุ่งนี้ก็เอาตามที่วุ้นพูดก็แล้วกัน” วรรณาสรุปออกมาในที่สุด
จากนั้นบรรยากาศในโต๊ะอาหารก็กลับมาเป็นปกติเช่นทุกวัน ในเมืองหลวงอันเต็มไปด้วยการเอาตัวรอด แก่งแย่งชิงดี แต่ตรงหน้านี้กลับทำให้ภัทรษาอบอุ่นใจ คลายความคิดถึงพ่อและแม่ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัด
ภัทรษา บริบูรณ์กุล หรือวุ้น อายุ 25 ปี เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวที่เข้ามาเรียนปริญญาตรีในเมืองหลวงของประเทศ สองปีหลังจากที่เข้าทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดี หญิงสาวตัดสินใจลาออกและเข้าคอร์สเรียนทำการขนมไทยชนิดต่างๆ ลองผิดลองถูกจนสร้างสูตรขนมไทยของตนขึ้นมาจึงตัดสินใจเปิดร้านขนมเล็กๆ โดยใช้ชื่อว่า ศาลาขนมไทย
เมื่อกิจการดำเนินไปได้อย่างดี ลูกค้าติดใจในรสมือ ภัทรษาจึงชักชวนให้วรรณาผู้เป็นน้า ซึ่งมีฝีมือในการทำขนมหวานไทยประเภทน้ำกะทิ แกงบวดต่างๆ เดิมขายในตลาดต่างจังหวัดเข้ามาร่วมกันทำให้ร้านศาลาขนมหวานกลายเป็นที่กล่าวขานของผู้คนที่อาศัยอยู่ในย่านนี้ ความฝันแรกของเธอเป็นจริงขึ้นมาแล้ว ทว่าภัทรษากลับอยากเก็บเงินสักก้อนพอที่จะกลับไปเปิดร้านขนมหวานอีกสักแห่งในจังหวัดบ้านเกิด ซึ่งบัดนี้พ่อและแม่ของเธอยังอาศัยอยู่ที่นั่น ผู้เป็นพ่อนั้นเพิ่งเกษียณจากข้าราชการครู ส่วนแม่ยังต้องทำงานต่อไปอีกหนึ่งปี หญิงสาวตั้งใจจะกลับไปดูแลท่านในยามแก่ชราด้วยตัวเอง
หลังอาหารเย็นสามสาวอายุต่างวัยช่วยกันจัดเรียงขนมหวานลงในถาดที่มีใบตองจับจีบ เป็นระเบียบ สวยงาม น่ารับประทานยิ่งนัก ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก่อนห้าทุ่ม วรรณาจึงไล่ให้สองสาวไปอาบน้ำแล้วรีบเข้านอนเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืด ทั้งยังเป็นงานสำคัญและเป็นครั้งแรกที่จะได้ต้อนรับคนสำคัญระดับโลก แม้เธอเองจะไม่สนใจและไม่เคยรู้มาก่อนว่า นักฟุตบอลอาชีพในต่างประเทศนั้นโด่งดังและมีผู้คนคลั่งไคล้ยิ่งกว่าดาราดังๆ บางคนเสียอีก...



ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ธ.ค. 2558, 09:31:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ธ.ค. 2558, 09:31:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 929





<< ตอนที่ 2 100%   ตอนที่ 4 100% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account