IF
ถ้าไม่มีเขา...เธอคงไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไป | ถ้าไม่มีเธอ...ชีวิตเขาคงไม่มีความหมาย | ถ้าไม่มีเขา...ทุกอย่างคงจบลงอย่างง่ายดาย | ถ้าไม่มีเธอและเขา...เราคงไม่มีวันได้รู้จักคำว่า 'รัก'
Tags: จิตวิทยา, วัยรุ่น, รัก, ดราม่า, อิงฟ้า, อิสระ, if, ดาร์ก

ตอน: บทที่ 1 : คนประหลาด

ถ้าไม่มีเขา...เธอคงไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไป
ถ้าไม่มีเธอ...ชีวิตเขาคงไม่มีความหมาย
ถ้าไม่มีเขา...ทุกอย่างคงจบลงอย่างง่ายดาย
ถ้าไม่มีเธอและเขา...เราคงไม่มีวันได้รู้จักคำว่า 'รัก'


She's broken, but so is he.
She always acts cool.
Unlike him, who seems like a fool.
They meet at the very unexpected place.
To everyone else, she's quiet and strong.
To everybody else, he's weird and wrong.
She can't shake him.
Yet he constantly gets under her skin.
She does care and all, though he doesn't care at all.
They both are different, still they are the same.
The end is near, as you can hear the ticking sound.
I'll do everything to save you.
Hold on to me now, until we're forced to let go.



บทที่ 1

คนประหลาด

INGFAR อิงฟ้า





ถ้าหากว่าเธอตายไปตอนนี้ ความเจ็บปวดจะหายไปหรือเปล่า



หญิงสาวก้มมองลงไปยังพื้นเบื้องล่างอันแสนห่างไกล มันช่างดูลึกราวกับหุบเหวของนรก เธอเคยยืนอยู่ตรงนั้นแล้วเงยหน้ามองขึ้นมาบนนี้เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว แต่น่าแปลกนักที่ความกว้างของสนามโรงเรียนไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งหรือมีตัวตนอยู่ ณ ที่นั้นเลยสักนิด เธอเป็นเพียงก้อนหินไร้ชีวิตที่ตั้งอยู่บนสนามหญ้า แม้จะมีขนาดเล็กนิดเดียวแต่กลับหนักอึ้งเสียจนแทบจะจมพื้นดินลงไปได้ทุกเมื่อ

เสียงเฮฮาของนักเรียนคนอื่นๆ ได้กลายเป็นเสียงพร่าเลือน การเคลื่อนไหวรอบตัวเชื่องช้าลงเหมือนกับมีใครมากดปุ่มลดความเร็วลงไปครึ่งหนึ่ง ความรู้สึกหน่วงในอกทำให้เธอหายใจไม่ออก

มันจะต้องเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน...

อิงฟ้าพร่ำถามคำถามเดิมกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า คำถามเดิมที่เธอเฝ้าถามตัวเองอยู่ทุกเช้าเมื่อลืมตาตื่น บังคับให้ตัวเองลุกออกจากเตียงไปล้างหน้าแปรงฟัน

หญิงสาวยืนมองตัวเองในกระจกแล้วก็ต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่าคนตรงหน้าเป็นใครกันนะ ดวงตาสีน้ำตาลที่จ้องกลับมานั้นช่างดูมืดหม่นและเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง คนในกระจกมีชีวิตอยู่จริงหรือเปล่า หรือเป็นเพียงแค่หุ่นยนต์ที่เต้นไปตามความต้องการของสองสามีภรรยาคู่หนึ่ง

มันเหนื่อยเหมือนกันนะ...

การใช้ชีวิต

สิบเจ็ดปีที่ผ่านมานี้มันช่างเหนื่อยเหลือเกิน...แม้กระทั่งการหายใจ เธออยากจะหยุดหายใจเสียเดี๋ยวนี้ ไม่อยากจะคิดอะไรต่อไปอีกแล้ว

อิงฟ้าค่อยๆ หลับตาลงพร้อมกับปล่อยหัวสมองให้ว่างโล่ง ไม่คิดอะไรอีกต่อไป ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าตัวเองเดินขึ้นบันไดมาจนถึงชั้นดาดฟ้าตั้งแต่เมื่อไหร่ สำหรับเธอแล้วไม่มีอะไรที่ต้องใส่ใจอีกต่อไป แต่ก็น่าเศร้าใจไม่น้อยที่ตลอดสิบเจ็ดปีที่ผ่านมาเธอไม่เคยค้นพบคุณค่าของการใช้ชีวิต มีเพียงความกดดันและความผิดหวังเท่านั้น จนทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในกรงขังอันมืดมิด เป็นเพียงแค่นกไร้ค่าตัวหนึ่งที่ไร้ทางออก

ตอนนี้เธออยู่สูงกว่าทุกคนเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเพื่อนร่วมชั้นสี่คนที่กำลังจะเดินเข้าไปยังใต้ตึกเรียน เธอจำได้ว่าหนึ่งในสี่คนนั้นเคยรับรางวัลชนะเลิศเมื่อปีที่แล้วในการแข่งคณิตศาสตร์ม.4 หรือนักเรียนหญิงคนโน้นที่เป็นมือกีตาร์ของวง Beat Me วงดนตรีสากลประจำโรงเรียน หรือแม้แต่เหล่าอาจารย์และผู้อำนวยการที่กำลังเดินลัดเลาะสนามไปยังบริเวณหน้าเสาธงเนื่องจากใกล้จะถึงเวลาเข้าแถวเต็มที

ช่างสูงส่ง

ดังที่พ่อกับแม่ต้องการอย่างไรเล่า พวกเขาต้องการให้เธออยู่สูงคับฟ้า ถึงได้ตั้งชื่อให้เธอว่า ‘อิงฟ้า’ และพร่ำสอนเธอให้อยู่เหนือทุกๆ คน

พ่อคะ...แม่คะ...ตอนนี้อิงขึ้นมาอยู่จุดสูงสุดได้อย่างที่พ่อกับแม่หวังแล้วล่ะ

ตามคำสอนของพ่อกับแม่ว่าจงเป็นที่หนึ่งเสมอ

บางครั้งเธอก็อยากหลุดพ้นไปจากความกดดันทั้งปวงนี้ หลบหนีออกจากโลกแห่งความเป็นจริง จนถึงกับจินตนาการว่าตัวเองคืออะลาดินผู้ค้นพบตะเกียงวิเศษ

ถ้าหากว่าเธอสามารถขอพรวิเศษได้ข้อหนึ่ง...เธอจะขออะไรงั้นหรือ

เธอเคยฝันว่าอยากเป็นนก...แต่เมื่อใดที่ได้มองท้องฟ้าสว่างเบื้องบนแล้วเธอกลับรู้สึกคลื่นไส้อย่างประหลาด ดังนั้นเธอจึงไม่อยากเป็นนกอีกต่อไปแล้ว เธอไม่ต้องการบินสูงขึ้นไปบนฟ้า เธอไม่ต้องการอยู่บนนั้น เพราะเธอรู้แล้วว่าความฝันของเธอคือความจริงมาโดยตลอด

เธอเป็นนกอยู่แล้วต่างหาก

แต่เป็นนกที่ถูกกักขัง โดยมีหินผาถ่วงเท้าทั้งสองข้าง รอวันปีกหัก เมื่อไม่สามารถคงตำแหน่งที่หนึ่งตามที่พ่อกับแม่ต้องการเอาไว้ได้อีกต่อไป

อิงฟ้าค่อยๆ ก้าวขึ้นไปยืนอยู่บนขอบกั้นแล้วหลับตาลง เงยหน้ารับแรงลมอ่อนๆ ที่พัดเข้ามากระทบผิว จินตนาการถึงภาพท้องฟ้าประดิษฐ์ที่ตัวเองสร้างขึ้นในหัว มันช่างสดใสต่างจากโลกความจริงอันโหดร้ายหลายร้อยเท่านัก

สุดท้ายแล้วก้อนหินอันหนักอึ้งก็จะถ่วงน้ำหนักฉุดเจ้านกน้อยร่วงสู่พื้นดิน

“เธอต้องเอาหัวลงล่ะ”

เสียงใสของใครบางคนดังมาจากข้างหลัง ทำลายความสงบเงียบรอบตัวเสียจนพังพินาศ อิงฟ้ารีบหันขวับไปมองข้างหลังด้วยความตกใจทันที เพราะเธอไม่คิดมาก่อนว่าจะมีใครขึ้นมาอยู่บนนี้ทั้งที่ใกล้เวลาเข้าแถวแล้ว

“อย่าเข้ามานะ!” เสียงตื่นตระหนกร้องตะโกนลั่น

แต่ผู้มาใหม่กลับเดินเข้ามาใกล้ขึ้นอีก พลางอมยิ้มนิดๆ ราวกับไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้เธอต้องหวั่นวิตก เบิกตากว้างมองเขาอย่างหวาดระแวง

“นายเป็นใครน่ะ!?”

คำถามนั้นเป็นคำถามหลุดปากอารามตกใจ

จริงๆ แล้วเธอรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนกับว่าจะเคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อน นักเรียนชายผู้ชอบใส่เกือกคนนี้มีผิวขาวซีดยิ่งกว่าเธอเสียอีก เขาอยู่ในชุดนักเรียนที่ค่อนข้างรุ่ยร่าย สวมปลอกแขนยาวสีดำสนิททั้งสองข้าง ผมยุ่งๆ ไม่เป็นทรงเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน ใบหน้ามีบาดแผลตามมุมปากและหัวคิ้ว บ่งบอกได้ว่านี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาโดดเข้าแถวขึ้นมาซ่อนตัวอยู่บนดาดฟ้า

คนถูกถามเอียงคอน้อยๆ พลางครุ่นคิดถึงคำตอบราวกับว่าคำถามของเธอเป็นปริศนาคำทายสำหรับนักวิทยาศาตร์ในโลกหน้า

“นั่นขึ้นอยู่กับว่าเธอเป็นใครล่ะนะ” เขาเอ่ยกลับมาแค่นั้น

ฮะ? ตอนนี้เธอยังไม่รู้เลยว่าตัวเองยังเป็นคนอยู่รึเปล่าด้วยซ้ำ

ชายหนุ่มยิ้มแย้มก้าวเดินเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด กระโดดขึ้นมายืนอยู่บนขอบกั้นอีกคนอย่างไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น แล้วหันมาจ้องเธอเขม็งราวกับว่าเธอเป็นตัวอะไรสักอย่างที่น่าสนใจมาก ทำให้อิงฟ้ารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองถูกบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวกะทันหัน ถึงอยากจะหนีแต่ก็หนีไม่ได้ในเมื่อพื้นที่ยืนของขอบกั้นนั้นมีจำกัด จึงได้มองคนข้างตัวอย่างงงงวย ไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่

นี่เขาตั้งใจจะมากระโดดตึกไปพร้อมกับเธอด้วยหรือเปล่าน่ะ

พอได้มองใบหน้าของเขาชัดๆ แล้วอิงฟ้าก็จำได้ว่าอีกฝ่ายอยู่ชั้นม.5 เหมือนกัน แต่อยู่ห้อง 8 สายศิลป์ภาษา ส่วนเธออยู่ห้อง 1 สายวิทย์คณิต แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เคยเห็นเขาอยู่บ่อยๆ และได้ยินเพื่อนคนอื่นๆ ซุบซิบนินทาเกี่ยวกับ ‘ตัวตลก’ ผู้มักตกเป็นประเด็นร้อนให้คนได้ลือกันไปทั่ว ว่ากันว่าเขาเป็นพวกนักเลงชอบไปมีเรื่องชกต่อยมั่งล่ะ ดูได้จากบาดแผลที่มีติดตัวอยู่ตลอดเวลา หรือไม่ก็เรื่องพฤติกรรมประหลาดจนทำให้ได้ชื่อว่าเป็นพวกนอกคอก...

แม้กระทั่งคนที่ไม่มีเพื่อนอย่างเธอยังรู้เลยว่า ‘ตัวตลก’ อย่างเขานั้นมีแต่คนบอกให้ ‘อยู่ห่างๆ’ เข้าไว้

อิงฟ้าเหลือบมองอีกฝ่ายจากทางหางตา

“...นายทำอะไรอยู่น่ะ”

ใบหน้าอมยิ้มนิดๆ กำลังจ้องตรงมาตาไม่กระพริบ

“มองเธอ”

หา!! คนสติดีที่ไหนเขามายืนจ้องคนที่กำลังจะฆ่าตัวตายกันบ้าง

“ออกไปนะ! อย่ามายุ่งกับฉัน!”

หญิงสาวตะโกนไล่คนข้างตัวด้วยความโกรธจัด แล้วหันกลับไปมองที่พื้นเบื้องล่าง ตอนนี้เธอต้องมีสมาธิอยู่กับการฆ่าตัวตาย ดังนั้นเธอจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อให้จิตใจกลับมาสงบนิ่งดังเดิม

แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ยังคงเห็นชายหนุ่มประหลาดจากทางหางตาอีกอยู่ดี เขายังคงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน อิงฟ้าจึงค่อยๆ หันไปมองคนข้างตัวอีกหน พยายามระงับอารมณ์คุกรุ่นเอาไว้อย่างสุดความสามารถ

“...นี่นายกำลังทำอะไรอยู่ไม่ทราบ”

อีกฝ่ายมองสบตากับเธอด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“มองเธอ”

อิงฟ้าอยากจะกรีดร้องออกมาด้วยความปวดหัว แต่เธอไม่เคยแสดงอารมณ์รุนแรงใดๆ กับใครมาก่อน จึงได้แต่ยืนทำตาเขียวใส่เขา เม้มปากสนิทพร้อมกับกำมือแน่นด้วยความโมโห

แต่ดูเหมือนชายหนุ่มประหลาดผู้นี้จะคิดว่าเธอมีความสุขกับชีวิตของตัวเองดี เขาถึงได้ส่งรอยยิ้มกว้างมาให้อีกครั้ง แววตาเป็นประกายราวกับค้นพบของเล่นแสนวิเศษ แล้วเริ่มต้นพล่ามเรื่องบ้าอะไรก็ไม่รู้อย่างกระตือรือร้น

“ถ้าเธอเอาหัวลงนะ หัวเธอก็จะกระแทกกับพื้นจนแหลกละเอียดก่อน แล้วเลือดก็จะไหลนองออกมา เธอเคยดูพวกหนังสยองขวัญมั้ย หรือหนังฆาตกรรมก็ได้ เหมือนแบบนั้นนั่นแหละ สมองของเธอก็จะไหลออกมาด้วยเพราะว่ากระโหลกแตก กลายเป็นประตูให้คุณสมองได้เป็นอิสระ แต่ก็น่าสงสารคุณลุงภารโรงน่าดูที่ต้องมาทำความสะอาดเลือ...”

“ไม่ต้องพูดแล้ว!” เสียงแข็งโพล่งออกไปด้วยความรู้สึกสะอิดสะเอียน เธอเผลอนึกภาพตามคำพูดของอีกฝ่ายจนทำให้อาการคลื่นไส้ประจำวันได้หวนกลับมาหาอีกครั้ง

ชายหนุ่มประหลาดเงียบเสียงไป ทำให้อิงฟ้ารู้สึกโล่งขึ้นเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ตั้งสติดี จู่ๆ เขาก็โพล่งเรื่องบ้าอะไรไม่รู้ออกมาอีก

“ถ้าหากว่าเธอสามารถขอพรวิเศษได้ข้อหนึ่ง” เสียงรื่นเริงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มสดใส “เธอจะขออะไรเหรอ”

อิงฟ้ากระพริบตาตาปริบๆ ประมวลผลคำถามของอีกฝ่ายอย่างงุนงง จู่ๆ เขาก็ถามคำถามที่มันนามธรรมและไม่เหมาะกับสถานการณ์ตึงเครียดในขณะนี้เป็นอย่างยิ่ง

“...ฮะ?”

“พรวิเศษไง” เขาถามย้ำอย่างตื่นเต้น “เธอจะขออะไร”

คนถูกถามหันกลับไปมองพื้นสนามเบื้องล่างสลับกับใบหน้าคาดหวังของคนข้างกายอย่างสับสน เธอไม่ค่อยแน่ใจว่าตัวเองควรจะทำอะไรก่อนระหว่างกระโดดลงไปเลยหรือว่าคิดหาคำตอบของคำถามอันแสนประหลาดนั่น

“ฉันเป็นผู้วิเศษ” ชายหนุ่มยืดอกกล่าวต่ออย่างมั่นใจ “เพราะงั้นบอกมาได้เลย ฉันจะดลบันดาลให้ทุกอย่างเอง”

อิงฟ้าชักลังเลว่าจะไปต่อบทสนทนากับอีกฝ่ายด้วยดีหรือไม่ ในเมื่อเขาดูเหมือนกับว่ากำลังล่องลอยอยู่ในโลกความฝันอันสวยงามของตัวเอง

“...นายมาถามฉันทำไม”

"เพราะว่ามันมีได้หลายคำตอบ แต่ละคนก็เลือกกันคนละอย่าง ฉันก็เลยอยากรู้ว่าเธอจะเลือกอะไร"

“เลือก?” หญิงสาวทวนด้วยความงุนงง “ฉันไม่เห็นว่าจะมีตัวเลือกอะไรซะหน่อย”

"ถึงเธอจะมองไม่เห็น แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่นี่"

อิงฟ้าอ้าปากตั้งใจจะแย้งเขากลับไป แต่สุดท้ายก็พูดอะไรไม่ออก ประโยคนั้นเหมือนเป็นกระแสไฟฟ้าอะไรบางอย่างที่ตรึงขาทั้งสองข้างเธอเอาไว้จนไม่สามารถก้าวพ้นออกไปจากขอบกั้นนี้ได้ เธอจึงได้แต่ยืนประสานสายตากับเขาอยู่อย่างนั้นราวกับคนที่พลังเวทมนตร์ตรึงเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นอิงฟ้าก็รู้แก่ใจดีว่าต่อให้เธอคิดหาเหตุผลมาลบล้างอีกฝ่ายได้ สุดท้ายเธอก็คงจะไม่กล้าพูดความคิดเห็นของตัวเองออกไปอยู่ดี

แท้จริงแล้วขอบกั้นในที่แห่งนี้ก็คือเส้นแบ่งระหว่างความเป็นกับความตาย สิ่งที่เธอต้องทำมีเพียงแค่ก้าวขอออกไปเท่านั้น

ทางเลือก...

เธอคิดมาตลอดว่าตัวเองไม่มีสิ่งนั้น

แต่ถ้าหากว่าเธอก้าวขาพ้นออกไปจากขอบกั้นเมื่อใด ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะจบสิ้น ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความผิดหวัง ไม่มีความเศร้าหมองใดๆ อีก ไม่มี...

ชีวิต

ชายหนุ่มประหลาดยังคงแย้มยิ้มสดใสอยู่ตลอดเวลา ดูๆ ไปแล้วก็สมกับฉายา 'ตัวตลก' ไม่ใช่น้อย เขาคงเห็นว่าเธอใช้เวลาครุ่นคิดนานเกินไปแล้วถึงได้เสนอมือให้เธอจับ ด้วยการยื่นมือข้างหนึ่งเข้ามาใกล้

แล้วผลักเธอ

“กรี๊ดดดดด!” อิงฟ้ากรีดร้องเสียงแหลมด้วยความตื่นกลัว

ภาพตรงหน้าพลิกหมุนกลับร้อยแปดสิบองศาไปยังประตูดาดฟ้าที่เคยอยู่ด้านหลังในทันใด ขาซ้ายพลัดจากพื้นขอบกั้น สร้างความหวาดเสียวให้ใจหายวูบเมื่อร่างของเธอกำลังจะร่วงไปอยู่กลางอากาศ

แต่แล้วก็มีมือหนึ่งคว้าแขนเธอเอาไว้ได้ทันท่วงที

ชายหนุ่มดึงตัวเธอกลับไปให้ยืนมั่นอยู่บนขอบกั้นอีกครั้ง แต่อิงฟ้ารู้สึกหวาดวิตกขนาดหนักจนต้องก้าวลงจากขอบกั้นให้เร็วที่สุด จนแน่ใจว่ายืนยึดมั่นอยู่บนพื้นแล้วถึงค่อยหันไปจ้องอีกฝ่ายเขม็งด้วยความโมโหว่าเขาต้องการอะไรกันแน่

“นายคิดจะทำอะไรน่ะ”

คนตรงหน้ายังคงไม่ขยับเขยื้อน เขากำลังยืนหันข้างให้เธอ สีหน้าเรียบนิ่งก้มมองไปยังพื้นข้างล่าง ไร้อารมณ์เสียจนอ่านไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ทันใดนั้นเองจู่ๆ เขาก็ขยับตัวเล็กน้อย

อิงฟ้าก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติทันทีเมื่ออีกฝ่ายหันหน้ามาทางเธอ เขายังคงยืนนิ่งอยู่บนขอบกั้น อมยิ้มจางๆ มองตรงมาโดยที่ไม่พูดอะไรสักนิด ทั้งที่เท้าทั้งสองข้างนั้นดูหมิ่นเหม่เสียจนน่าหวาดเสียวว่าจะพลัดตกลงไปได้ทุกเมื่อ แต่เจ้าตัวกลับดูไม่สนใจเลยสักนิด ราวกับว่าเขาไม่มีความรู้สึกกลัวอยู่เลยแม้แต่น้อย

อิงฟ้ารู้สึกได้ถึงหัวใจตัวเองที่กำลังเต้นระรัวในอกอย่างบ้าคลั่ง ราวกับกำลังร้องตะโกนให้เธอเอาตัวเองออกห่างจากคนตรงหน้าโดยเร็ว

เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงได้เอาแต่ยืนอมยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่อย่างนั้น

เมื่อกี้นี้เขาเกือบจะฆ่าเธอเชียวนะ !

"...เมื่อกี้…นายคิดจะทำอะไร" เสียงสั่นกลัวถามซ้ำอีกครั้งอย่างหวาดวิตก

ทันใดนั้นเองเสียงกริ่งเรียกเตือนให้นักเรียนเข้าแถวก็ร้องขึ้น อิงฟ้าสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้ละสายตาไปจากชายหนุ่มประหลาดตรงหน้า และเขาเองก็ไม่ได้ละสายตาไปจากเธอเช่นกัน เธอเฝ้าสังเกตทุกการเคลื่อนไหวของเขา พลางฟังเสียงฝีเท้าของเหล่านักเรียนที่กำลังรีบวิ่งลงจากตึกไปรวมตัวกันที่สนาม ชายหนุ่มยังคงยิ้มนิดๆ โดยที่ไม่พูดตอบอะไรทั้งสิ้น ยืนหันหลังให้แสงอาทิตย์เหนือแสงเงาของตัวเองที่ทอดยาวอยู่บนพื้นดาดฟ้า เส้นผมยุ่งเหยิงของเขาพลิ้วไหวเล็กน้อยตามแรงลมที่พัดผ่าน

"เธอเลือกทางนี้จริงๆ ด้วย" เสียงเรียบตอบกลับมาในที่สุด

อิงฟ้าขมวดคิ้วทันทีด้วยความฉงน อยากจะย้อนอีกฝ่ายกลับไปเหลือเกินว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่

"เลือกทางนี้?"

"ถ้าหากว่าเธออยากตายจริงๆ เธอคงกระโดดไปตั้งนานแล้วล่ะ"

หญิงสาวกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ รู้สึกฉุนเล็กน้อยกับคำกล่าวหานั้น

ไม่จริง

คำโต้แย้งผุดขึ้นมาในหัวทันที แต่อิงฟ้าก็ครุ่นคิดอยู่นานว่าจะตอบอย่างไรด้วยความที่ไม่เคยชินกับการแสดงความคิดเห็นต่างของตัวเอง

"ละ...แล้วมันเกี่ยวกับทางเลือกอะไรตรงไหน"

"เกี่ยวสิ" ชายหนุ่มตอบทันทีอย่างกระตือรือร้นราวกับว่ากำลังรอให้เธอถามกลับไปแบบนั้นอยู่แล้ว "ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่เลือกที่จะกลับลงไปยืนบนพื้นนั่นหรอก"

อิงฟ้าอ้าปากจะสวนเขากลับไปอีก แต่เธอก็หาคำอื่นมาแย้งไม่ได้ จึงได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งรู้สึกตัวอีกทีเธอก็ต้องรู้สึกประหลาดใจที่ตัวเองกล้าสบสายตากับอีกฝ่ายตรงๆ เป็นเวลานานขนาดนี้ ทั้งที่เธอมักจะคอยหลบสายตาผู้คนอยู่ตลอดเวลาจนกลายเป็นนิสัยเสียประจำตัวไปเสียแล้ว

เสียงเพลงชาติดังกระหึ่มออกมาจากลำโพงทั่วทั้งโรงเรียน ดึงสติของเธอให้กลับมาดังเดิม ตามด้วยความวิตกกังวลต่างๆ นานาได้พากันกระหน่ำถาโถมเข้ามาในทันใด

อิงฟ้าหันมองรอบตัวอย่างหวาดวิตก ในหัวเริ่มสร้างภาพจินตนาการเหตุการณ์หลังจากนี้ หากมีเพื่อนคนใดหรือพวกครูทั้งหลายได้รู้เรื่องนี้ คนพวกนั้นจะต้องเอาเธอไปซุบซิบนินทา แล้วครูก็จะโทรไปหาพ่อกับแม่จนทำให้เรื่องนี้กลายเป็นปัญหาใหญ่ยักษ์แน่นอน

ไม่นะ…

หญิงสาวก้มมองพื้นด้วยความรู้สึกหวาดผวา ค่อยๆ ก้าวถอยหลังออกห่างจากคนตรงหน้ามาเรื่อยๆ หวาดกลัวอนาคตที่กำลังจะมาถึง แม้กระทั่งปัจจุบันเธอก็รู้สึกขายหน้าตัวเองเหลือเกินที่มีคนมาเห็นเธอในสภาพน่าสมเพชขนาดนี้ พ่อกับแม่จะต้องผิดหวังในตัวเธอมาก แล้วก็จะใช้สายตาแบบนั้นจ้องมาที่เธออีกหน สายตาผิดหวังที่แสนน่าปวดร้าวยิ่งกว่าการต่อว่าหรือตำหนิมากนัก สายตาของพวกเขามันช่างเย็นเฉียบเสียจนทำให้เธอต้องรู้สึกขนลุกและหายใจไม่ออก

เหมือนอย่างเช่นตอนนี้

เธอกำลังจะตาย... ที่แห่งนี้ไม่มีอากาศหายใจสำหรับเธออีกต่อไป

อิงฟ้าพยายามหายใจเข้าออกอย่างสุดความสามารถ รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะร้องไห้ในอีกไม่ช้าและไม่รู้ว่าจะพยายามฝนกลั้นน้ำตาเอาไว้ต่อไปได้อีกนานแค่ไหน ภาพจินตนาการนึกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นทำให้ดวงตาทั้งสองข้างเริ่มมีน้ำใสๆ คลอเบ้า

“นาย…อย่าบอกให้ใครรู้เรื่องนี้ได้มั้ย” เสียงสั่นหันไปกล่าวขอร้องอีกฝ่ายด้วยความสิ้นหวัง รู้ทั้งรู้ว่าอีกเดี๋ยวเขาก็ต้องเอาเรื่องของเธอไปโพทะนาแน่นอน ในเมื่อการแฉเรื่องคนอื่นนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนต่างก็ชื่นชอบกันเหลือเกิน แล้วคนทั้งโรงเรียนก็จะรู้เรื่องนี้ ส่วนเธอก็จะต้องกลายเป็นผู้สืบทอดฉายา ‘ตัวตลก’ ต่อจากเขา

คำตอบที่ได้รับจากอีกฝ่ายนั้นมีแต่ความเงียบ

ทั้งที่เธอกำลังหวาดกลัวอนาคตจนแทบคลั่ง แต่คนตรงหน้ากลับเอาแต่ยืนนิ่งไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ ทั้งนั้น

“ถ้านายบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้ล่ะก็…ฉัน…ฉันไม่ยอมแน่!” เสียงจริงจังหันไปพูดขู่อีกฝ่าย พร้อมกับออกคำสั่งเตือนตัวเองอยู่ในใจว่าเธอจะต้องไม่ยอมเขาจริงๆ ในเมื่อใช้การขอร้องไม่ได้ผลเธอก็คงจะต้องใช้วิธีข่มขู่กันล่ะ แต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าท่าทางขึงขังของเธอจะสามารถทำให้เขากลัวได้หรือเปล่า

และแล้วจู่ๆ ชายหนุ่มประหลาดก็ยกมุมปากขึ้นนิดๆ ยิ้มทะเล้นราวกับรู้สึกถูกใจอะไรบางอย่าง

“ถ้า...?” เสียงเรียบขึ้นสูงเล็กน้อยเป็นเชิงถาม

“ใช่” อิงฟ้าย้ำคำอีกครั้งอย่างหนักแน่น “ถ้า”

เธอต้องแสดงท่าจริงจังเข้าไว้เพื่อที่จะไม่ตกอยู่ในสถานะเป็นรอง แต่มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสักนิดเดียวในเมื่อทั้งชีวิตของเธอนั้นต้องคอยยอมผู้อื่นมาโดยตลอด

เสียงผู้อำนวยการให้โอวาทประจำทุกเช้าดังออกมาจากลำโพง ย้ำเตือนให้รู้ว่ากิจกรรมหน้าเสาธงกำลังจะสิ้นสุดลงในอีกไม่ช้าหากไม่มีคำประกาศเพิ่มเติมอีก เพราะฉะนั้นเธอควรจะต้องรีบลงจากดาดฟ้าแล้วกลับไปที่ห้องเรียนภายในสิบนาที ไม่อย่างนั้นเธอจะต้องถูกเช็กชื่อว่าขาดเรียนหรือไม่ก็มาสายไปโดยปริยาย

อิงฟ้าหันไปมองประตูเหล็กตรงกำแพงตึกด้านหลังด้วยความรู้สึกลังเล ไม่แน่ใจว่าควรจะรีบไปตอนนี้ดีหรือไม่ในเมื่อเธอยังไม่ได้รับคำยืนยันจากคนตรงหน้าเลยว่าเขาจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใคร

“ถ้าฉันไม่บอกใครตามที่เธอบอก...” เขากระโดดกลับลงมาที่พื้นแล้วเดินตามเข้ามายืนตรงหน้าเธอ ใบหน้ายิ้มแย้มปรากฏรอยยิ้มกว้างขึ้นอย่างตื่นเต้น “เธอก็ต้องทำตามที่ฉันบอกด้วยนะ”

หญิงสาวก้าวถอยหลังหนีจากอีกฝ่ายอีกครั้งอย่างระแวง

“ทำอะไร...?”

“เราจะพิชิตความกลัวไปด้วยกัน” เสียงสดใสตอบด้วยรอยยิ้มกว้างราวกับกำลังคาดหวังเรื่องอะไรบางอย่างที่สนุกมากๆ

อิงฟ้าขมวดคิ้วด้วยความงุนงงโดยพลัน พิชิตความกลัวอะไร นี่เขากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่น่ะ แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะดูออกว่าเธอไม่เข้าใจ เขาถึงได้รีบพูดขยายความต่ออย่างรวดเร็ว

“เธอกลัวจนไม่กล้าที่จะกระโดดลงไป จริงๆ แล้วสาเหตุที่เธอต้องขึ้นมาอยู่บนนี้ก็เป็นเพราะความกลัวนั่นแหละ แถมยังทำให้เธอกลัวแม้กระทั่งความตายจนหนีไปจากความกลัวนั้นไม่ได้”

ประโยคนั่นเปรียบเสมือนตะปูตัวยักษ์ที่ถูกตอกลึกเข้ามาในใจ เฉือนสติของเธอให้ขาดผึงในพริบตา

“นายอยากจะพูดอะไรกันแน่!”

นี่เขาคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน เขาเป็นแค่ตัวตลกประจำห้องบ๊วยสุดของชั้นปี แต่กลับมาทำเป็นรู้จักเธอดีอย่างนั้นแหละ เธอไม่ได้กลัวความตาย ความตายคือสิ่งที่เธอปรารถนา เขาต่างหากที่เป็นตัวขัดขวาง เขาต่างหากที่จะต้องยอมทำตามที่เธอบอก!

ชายหนุ่มยักไหล่ทีหนึ่งราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งนั้นที่ถูกตะคอกใส่

“ฉันแค่จะบอกว่าความกลัวมันน่าหงุดหงิด ฉันก็เลยชอบที่จะเอาชนะมัน อย่างเช่นถ้าหากว่าฉันกลัวความสูง ฉันก็จะชอบฝึกไปอยู่ในที่สูงบ่อยๆ เพื่อเอาชนะมันให้ได้ แล้วก็จะเพิ่มระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ชั้นสาม...ชั้นห้า...ชั้นหก ไปจนถึงดาดฟ้า... เมื่อเธอไม่มีความกลัวอีกต่อไปแล้ว ใครก็ทำอะไรเธอไม่ได้ เพราะว่าเธอคือผู้พิชิตที่แข็งแกร่งที่สุด”

อิงฟ้าค่อยๆ ก้าวถอยหลังออกห่างจากอีกฝ่ายทีละนิด จ้องเขม็งไปยังคนตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ เขากำลังพูดถึงเรื่องบ้าอะไรก็ไม่รู้ด้วยสีหน้าเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าจนทำให้เธอเริ่มรู้สึกผวา ราวกับว่าเขาได้หลุดไปในโลกแฟนตาซีอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่ความเป็นจริง แล้วกำลังหว่านล้อมให้เธอไปยังโลกแห่งนั้นด้วยกัน

หญิงสาวค่อยๆ ก้าวเท้าถอยห่างจากคนประหลาดทีละนิด แล้วตัดสินใจวิ่งหนีไม่คิดชีวิตไปที่ประตูทันที









ทีSmit
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ก.ค. 2559, 19:08:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ส.ค. 2559, 02:29:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 797





เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account