ดั่งดาวพราวฝัน (ภาคแยก ของ เกมดาริกา)
หลังปิดโอกาสการเป็นดาวเด่นในวงการบันเทิงเพราะอารมณ์ชั่ววูบของตัวเอง พราวนภาก็ได้พบกับเขา ดาวรุ่งดวงใหม่ผู้โด่งดังจากโลกออนไลน์ ที่เป็นแรงผลักดันให้หล่อน กลับมาตามหาความฝันอีกครั้ง
Tags: ดั่งดาวพราวฝัน, เกมดาริกา, ดารา, ความฝัน

ตอน: ตอนที่ 1 แด่คนช่างฝัน

สวัสดีครับ หากใครยังจำนวนิยายเรื่อง เล่ห์ดาริกา ที่เคยลงในเว็บนี้ได้
(ภายหลัง ตีพิมพ์เป็นนวนิยายกับ สำนักพิมพ์อรุณ
และตอนนี้ กำลังจะสร้างเป้นละคร เกมมายา ทางช่อง One 31
นำแสดงโดย ดีเจพุฒ , จุ๋ย วรัทยา , บีม กวี)

ตอนนี้ ผมกำลังเขียนภาคต่อ คือ บ่วงดาราธร
และทำภาคแยกออกมา คือ ดั่งดาวพราวฝัน นะครับ

โดย บ่วงดาราธร จะเป็นเรื่องของ เดือนพงษ์ น้องชายของพิมพ์ดาว
และ ดั่งดาวพราวฝัน จะเป็นเรื่องของ เกริก เพื่อนสนิทของเดือนพงษ์อีกที

มีเหตุผลบางประการในการทำภาคแยก อยากฝากให้ลองอ่านกัน โดยทุกเรื่องสามารถอ่านโดยไม่ต้องอ่านเกมดาริกามาก่อนก็ได้ครับ

ฝากผลงานเรื่องนี้ด้วยนะครับ

------------------------------------------------------

แท็กซี่คันสีชมพูสะท้อนแสงจอดลงตรงหน้าสถานีโทรทัศน์ทูเก็ตเตอร์ แชนแนล วันนี้เป็นวันแรกของการรับสมัครเหล่าสาวงามเพื่อเข้าประกวดในรายการ ‘เกมฝัน บันไดมายา’ เรียลลิตี้โชว์สุดจัดจ้านที่ทางช่องซื้อลิขสิทธิ์มาจากต่างประเทศ รายการได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้น และกลายเป็นกระแสฮือฮามาตั้งแต่มีข่าวหลุดว่า ‘พิมพ์ดาว ดาราธร’ ซูเปอร์สตาร์อันดับหนึ่งซึ่งเป็นดาราตัวท็อปของช่อง บินไปเจรจากับทางเจ้าของลิขสิทธิ์ที่สิงคโปร์เมื่อปีกลาย ส่งผลให้สาวไทยหลายคนถึงกับฟิตซ้อมและดูแลเรือนร่าง รวมทั้งฝึกฝนความสามารถต่าง ๆ หวังคว้าโอกาสเป็นผู้เข้ารอบสิบหกคนสุดท้ายประจำรายการนี้

พราวนภาเป็นคนหนึ่งที่เตรียมตัวมานาน สำหรับสาววัยยี่สิบเอ็ดที่ทำอะไรล้ม ๆ เลิก ๆ มาจนจวนจบปริญญาตรี ความพยายามครั้งนี้นับเป็นความตั้งใจอันแน่วแน่ที่หล่อนอยากจะมาเอาชนะใจตัวเองมากกว่าสิ่งอื่น เพื่อพิสูจน์ว่า หล่อนไม่ใช่คนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ดีแต่แต่งตัวอวดสวยไปวัน ๆ อย่างที่ผู้เป็นมารดาของหล่อนปรามาสไว้

คนขับแท็กซี่ทำเป็นกระแอมอีกครั้ง จงใจเป็นสัญญาณเตือนว่าเขาจอดรอหล่อนล้วงหาค่าโดยสารอยู่นานแล้ว หญิงสาวเสียเวลากับการค้นธนบัตรฉบับย่อย ๆ เพราะหล่อนคงโดนด่าเปิงหากจ่ายค่าแท็กซี่ราคาร้อยเศษ ๆ ด้วยฉบับสีเทา แต่สุดท้ายเพื่อตัดปัญหา พราวนภาก็หยิบเอาใบสีแดงสองใบจ่ายให้แล้วบอกว่าไม่ต้องทอน พอหล่อนก้าวลงจากรถแล้วสาวเท้าฉับ ๆ เข้าไปอยู่บริเวณล็อบบี้ ซึ่งบัดนี้ คราคร่ำไปด้วยผู้คนที่หวังจะเป็นส่วนหนึ่งของการประกวดนี้ จนล้นทะลักออกมานอกอาคาร
ในสื่อสังคมออนไลน์ร่ำลือว่า บางคนมาจองคิวต่อแถวตั้งแต่ตีสองสี่สาม แล้วหล่อนที่มาถึงปาเข้าไปเกือบสิบเอ็ดโมงเช้า จะได้รับใบสมัครเป็นคิวที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้

พราวนภามีความใฝ่ฝันอยากทำงานในวงการบันเทิงมาตั้งแต่อายุสิบห้า เพราะความสามารถพิเศษที่สวรรค์เลือกจะประทานให้หล่อน ก็เห็นจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยเด่นสะดุดตา แต่ก็ใช่ว่าพระเจ้าจะเลือกประทานให้หล่อนเพียงคนเดียว ยังมีอีกหลายคนที่สวยกว่า เป๊ะกว่า หุ่นดีกว่า ซ้ำทั้งยังรวย ยังเก่ง ให้ร้อง ให้เต้น เล่นละครก็ทำได้หมด เฮ้อ...แล้วคนที่เคยโดนแฟนเก่าด่าว่า ‘สวยแต่รูป’ อย่างหล่อน จะไปสู้อะไรเขาได้
ระหว่างที่กำลังยืนทอดถอนใจ ทันใด...เสียงฮือฮาดังขึ้น ทุกคนหันมามองที่พราวนภา แล้วต่างกรี๊ดกร๊าด หญิงสาวตกใจ ทำไมอยู่ ๆ สายตาทุกคู่ก็จับจ้องมาที่คนอย่างหล่อนเช่นนี้ เปลือกนอกอันโดดเด่นไม่ช่วยให้พราวนภาเกิดความมั่นใจในตัวเองขึ้นมาเลย คิดว่าต้องมีใครสักคนอยู่ข้างหลังอย่างแน่นอน

ยังไม่ทันหันไปดูให้ดี คน ๆ นั้นก็เดินแซงหน้าหล่อนตรงไปยังฝูงชน มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย มาคอยกันและบอกให้ผู้เข้ามาสมัครแหวกทางให้พิมพ์ดาว ซึ่งนอกจากจะเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์รายการแล้ว หล่อนยังมารับทำหน้าที่เป็นหนึ่งในโค้ชที่ต้องเฟ้นหาผู้เข้าประกวดมาอยู่ในสังกัดทีมของตัวเองอีกด้วย ท่าทางการเดินของดาราสาวสวยสง่า สะกดทุกสายตาสมกับที่เป็นตัวแม่ของเมืองไทยจริง ๆ

คนอย่างฉัน จะมีวันได้ยืนในจุดนั้นกะเขาบ้างไหมหนอ,,,
หญิงสาวมองตามพิมพ์ดาวไปอย่างเห็นว่าเขาเป็นบุคคลต้นแบบ ส่วนหนึ่งที่หล่อนอยากมาสมัครรายการนี้ เพราะว่ามีพิมพ์ดาวเป็นไอดอล ตลอดเวลากว่าสิบปีที่ซูเปอร์สตาร์ตลอดกาลคนนี้อยู่ในวงการ แม้จะเจอทั้งเรื่องดีเรื่องร้ายจนขึ้นข่าวหน้าหนึ่งรายวัน แต่เธอก็ยังแข็งแกร่ง และยังยืนหยัดอยู่ในแวดวงนี้ได้ ซึ่งในบางครั้งเรื่องที่โดนโจมตีจะหนักหนาสาหัสจนถึงขั้นสะบักสะบอมเลยก็ตาม

พราวนภามัวแต่ยืนมองยืนเหม่อ จนใครบางคนที่ก้มหน้าก้มตารีบเดินตรงมายังสถานที่รับสมัครเพราะมาสายเช่นกัน ก็ชนเข้ากับหล่อน จนแทบจะล้มหน้าคะมำ
“ว้าย…”
หล่อนคนนั้น ดวงหน้าคม แม้จะมีผิวสีน้ำผึ้งแต่ก็ดูกระจ่างสวยและมีเสน่ห์ ดูงามไปเสียทุกอย่างตรงข้ามกับนิสัยและมารยาทที่ปรากฏ
“เกะกะจริง ๆ” ผู้หญิงที่หล่อนนึกชมมองค้อนก่อนเชิดหน้ากลับไป ไม่มีแม้แต่คำขอโทษออกมาสักแอะ
“อื้อหือ…คิดว่าตัวเองมาจากสวรรค์วิมานขุมไหนยะ ถึงได้พูดกับคนอื่นแบบนี้” คนถูกชนเหลืออด “นิสัยอย่างเธอ มีหวังอย่าได้เข้ารอบเลย”
ถึงจะจิกได้เจ็บแค่ไหน พราวนภาก็ได้แค่ปาว ๆ เพราะเธอคนนั้นกลับทำเหมือนหล่อนเป็นอากาศธาตุ ไม่สนใจเหมือนเวลาเดินผ่านหมาที่เอาแต่เห่า พอไม่เล่นด้วยมันก็หยุดเห่าไปเองเสียอย่างนั้น
“ไม่สะมงสมัครมันแล้ว !”

หญิงสาวหัวเสีย หล่อนปล่อยให้คนแปลกหน้าเข้ามาขวางด้วยอารมณ์ชั่ววูบ พอเห็นจักรยานยนต์รับจ้างแล่นผ่านมาก็โบกเรียกแล้วกระโดดขึ้นซ้อนท้าย บอกชายคนขับว่า ‘ไปสยาม’ สถานที่ตั้งหลักยามคิดอะไรไม่ออกของหนุ่มสาว ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานีโทรทัศน์ทูเก็ตเตอร์ แชนแนลเท่าไหร่นัก
พราวนภากระฟัดกระเฟียดตลอดทาง หล่อนโทษว่าที่ตัวเองไม่ได้ไปสมัครเพื่อสานฝันเป็นดาราสมใจ เพราะแม่ที่ไม่ยอมปลุก เพราะสถานที่สมัครซึ่งอยู่ไกลบ้าน เพราะการจราจรที่หนาแน่น เพราะแม่ผู้หญิงหน้าคมคนนั้น แต่ไม่เคยคิดเลยว่าทั้งหมดเป็นเพราะตัวหล่อนเอง

พอจักรยานยนต์รับจ้างจอดลงตรงหน้าศูนย์การค้าใจกลางสยาม พราวนภาก็คืนหมวกกันน็อกแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมายกหู เพื่อจะถามเพื่อนร่วมก๊วนอีกสองคนว่าอยู่ตรงส่วนไหนของย่านนี้ เพราะแม่สองสาวตกเสาร์ – อาทิตย์ ต้องออกมาเหล่หนุ่ม ๆ ที่นั่น ประหนึ่งเป็นบ้านหลังที่สอง
“ว่าไง ยายพราวฝัน เบื่อล่ะสิ นั่งรอเข้าคิวออดิชั่น” จรัสรัตน์ดักคอ “เขาว่ากันว่า นั่งกันจนบั้นท้ายเสื่อมสภาพนั่นแหละ กว่าจะได้เข้าไปพบกรรมการ”
ความจริงชื่อเล่นแต่แรกเกิดของพราวนภาชื่อ พราว เฉย ๆ แต่ด้วยความเป็นคนช่างฝัน หญิงสาวจึงบอกให้เพื่อน ๆ เรียกหล่อน ‘พราวฝัน’

“ออดิช่ง ออดิชั่นอะไรกันเล่า นี่ฉันอยู่สยามแล้ว” พราวนภาตอบ
“อ้าว...ทำไมล่ะ ใบสมัครหมดเหรอ”
“เปล่า มีคนมาทำให้อารมณ์เสียนิดหน่อย ก็เลยเปลี่ยนใจ ไม่สมัคร”
“ทำยังงี้อีกแล้วนะเธอ” หนึ่งในเพื่อนรักบ่นอุบ “ใช้อารมณ์ตัดสินปัญหาอยู่เรื่อย แต่ก็เอาเถอะ เธออยู่ไหนแล้วล่ะ ฉันอยู่กับยายอาภาแล้วเนี่ย”
จรัสรัตน์หมายถึงอาภาวดีที่เดินถ่ายเซลฟี่ตัวเองอยู่ข้าง ๆ
“ตรงร้านสเต๊กสตาร์ไลท์ สยามภรากร”
“อ้าว ฉันกับยายอาภาก็อยู่ตรงร้านนี่เนี่ย เธออยู่ไหน”
สองสาวมองหากันไปมา จนสุดท้ายก็พบว่า ยืนหันหลังให้กันอยู่นั่นเอง

ศูนย์การค้าสยามภรากรในวันเสาร์ – อาทิตย์ คราคร่ำไปด้วยผู้คน นับว่าบางตากว่าสถานที่รับสมัคร ‘เกมฝัน บันไดมายา’ เล็กน้อย เพราะผู้คนเดินกระจายตัวไปตามจุดต่าง ๆ ไม่ได้ออตรงจุดใดจุดหนึ่งอย่างที่นั่น พราวนภาทั้งร้อนทั้งหิว ไม่อยากเสียเวลาเดินเลือกร้านให้ท้องร้องเข้าไปอีก จึงตัดสินใจชวนสองสาวนั่งรับประทานสเต๊กกันที่ร้านดังกล่าว ซึ่งกำลังจัดโปรโมทชั่นฉลองเปิดสาขาได้ครบหนึ่งปีพอดี

หลังจากสั่งอาหารเสร็จ พราวนภาเพิ่งสังเกตว่า เพื่อนรักทั้งสองคนเงียบผิดปกติ พอสังเกตดี ๆ ก็เห็นทั้งสองคนลอบมองกันเองไปมา ซ้ำยังแอบสะกิดอีกฝ่าย เหมือนจะเกี่ยงกันให้พออะไรบางอย่างกับหล่อน
หญิงสาวกอดอกแล้วถามโพล่งออกไปทันที
“มีอะไรก็พูดมา”
“เอ่อ...คือ...” อาภาวดีอึกอัก จรัสรัตน์ทนไม่ไหวจึงแทรกขึ้น

“ฉันว่า เธอควรทำอะไรสักอย่างที่มันเป็นชิ้นเป็นอันได้แล้ว พวกเราก็เรียนจบมหา’ลัย เตรียมจะรับปริญญากันแล้วนะ จะมามัวเหลาะแหละ จับจด ฝันไว้เต็มไปหมด แต่พอถึงเวลากลับไม่ลงมือทำสักอย่าง มันไม่ได้นะ เธอไม่อยากทำงานประจำไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่อยากก็ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ ไม่งั้นมีหวังได้เข้างานแปดโมงเช้า เลิกงานห้าโมงเย็นแน่ ๆ”
“จ้า ๆ ฉันรู้” พราวนภาตอบอย่างขอไปที “นี่ตกลงพวกเธอเป็นเพื่อนฉันหรือเป็นแม่ฉัน”
“เพื่อน !!!” ทั้งสองสาวตอบพร้อมกัน
“แต่ถ้าเป็นแม่ได้ก็จะเป็นแม่แล้วล่ะ” จรสรัตน์ว่า
“การที่ฉันล้มเลิกความฝันที่จะเข้าประกวดรายการนั่น มันงี่เง่ามากเลยเหรอ”

“เออ !!!” น้ำเสียงของคนทั้งคู่ดูรำคาญ พราวนภาเริ่มไม่มั่นใจว่านี่เพื่อนสนิทของหล่อนหรือคู่รักยมกันแน่
“ทำไมต้องมาว่ากันด้วย ก็แค่รายการประกวดเล็ก ๆ เอง”
“มันก็ไม่เล็กนะ” อาภาวดีเสริม “แถมยังมีคุณพิมพ์ดาวเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์รายการไว้ในมืออีกด้วย”
“เมื่อกี้ฉันก็เจอเขา แต่เจอคนอื่นที่ชวนให้อารมณ์เสีย ฉันก็เลยไม่มีอารมณ์จะสมัครแล้ว”
เฮ้อ.... เพื่อนทั้งสองถอนหายใจพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“เค ๆ ยอมก็ได้ ถ้าคราหน้ามีเวทีไหนจัดประกวดอีก ฉันสัญญาว่า ฉันจะ...”
กรี๊ดดดด..........

เสียงผู้คนกรีดร้องดังขึ้น ทั้งสามหันขวับไปยังทิศทางเดียว บรรดาวัยรุ่นทั้งสาวแท้สาวเทียม ต่างวิ่งกรูกันออกไปทางประตูห้าง ซึ่งพราวนภารู้ดีว่าตรงนั้นเป็นลานกิจกรรม ไม่รู้ว่ามีดาราเกาหลีที่ไหนมาเดินสยาม หรือว่ามีใครถูกฆาตกรรมกลางลานดังกล่าวกันแน่ คนถึงพากันไปมุงเสียขนาดนั้น

ทั้งสามสาวเป็นคนไทยและสัญญาตญาณของ ‘ไทยมุง’ ก็อยู่ในสายเลือด จึงไม่แปลกที่พอหล่อนจะรีบวิ่งไปดู ภาพที่ปรากฏผ่านช่องตรงกลางระหว่างซอกคอของคนข้างหน้า ทำให้พราวนภาเห็นดวงตาตี่ ๆ แต่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของใครคนหนึ่ง จมูก ปากที่ดูเข้ากัน ภาพลักษณ์โดยรวมสามารถสะกดทุกสายตาได้ จนหญิงสาวรู้สึกคุ้นหน้า เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
“ใครกัน เหมือนว่าฉันเคยรู้จัก” อาภาวดีครุ่นคิด

“ถ้ารู้จักเขาอยู่ข้างเดียวแล้วแปลว่ารู้จัก ฉันก็รู้จักย่ะ” จรัสรัตน์เสริม “นั่นนายเกริก เน็ตไอดอลคนดังยังไงล่ะ ที่คัฟเวอร์เพลงลงยูทิวป์ ยอดดูเป็นล้านวิว”
แม้พราวนภาจะวางฟอร์มนิ่งเฉย แต่หล่อนกำลังเงี่ยหูฟัง แล้วเก็บข้อมูลของผู้ชายตรงหน้าจนสุดฤทธิ์ คนอะไร...ทำไมถึงได้มีเสน่ห์ต้องตามัดใจขนาดนี้

ทันใดนั้น เหมือนมีใครบางคนพยายามเบียดกระแซะหล่อนเข้ามา เนื้อตัวชุ่มได้ด้วยเหงื่อ พอ ๆ กับไขมันที่ทำให้เขาดูเจ้าเนื้อ เสียงตะโกนเชียร์ ‘เกริก สู้ ๆ’ ที่ดังจนออกนอกหน้า เดาได้ว่าเขาไม่ใช่ชายแท้เหมือนรูปลักษณ์ภายนอกอย่างแน่นอน
อินโทรเพลงดังขึ้น หนุ่มหล่อพร้อมกับกลุ่มแดนเซอร์ก้าวขึ้นไปบนเวที เขาเอ่ยทักทายทุกคนตามธรรมเนียม จนเหมือนว่าเป็นขนบที่นักร้องทุกคนต้องทำเหมือนกัน
“สวัสดีครับ ขอเสียงวัยรุ่นหน่อย เร็ว !”

บรรดาสาวแท้สาวเทียมต่างกรี๊ดเสียงแปดหลอดดังลั่น จนพราวนภาหูชา และที่กรี๊ดมากกว่าใครเพื่อน นอกจากยายจรัสรัตน์กับอาภาวดีแล้ว ก็เห็นจะเป็นหญิงร่างยักษ์ในร่างชายหนุ่มที่คอยเอาแขนชุ่มเหงื่อมาสีหล่อนอยู่นั่นแหละ
“เกริกลูกแม่ เริ่ศที่สุด...” เสียงที่ตั้งใจจะตะโกนให้คนบนเวทีได้ยินนั้น กลับกรอกเข้าใส่รูหูของหญิงสาวอย่างจัง จนหล่อนอยากถามกลับว่า ‘เป็นแม่บังเกิดเกล้าที่คลอดน้องมาเองเลยหรือเปล่าคะ’

แม้จะมีคนข้าง ๆ ชวนให้รู้สึกรำคาญหู รำคาญตา รำคาญจมูก แต่เสียงร้องเพลงอันมีเสน่ห์ของชายที่ชื่อเกริก ก็พอจจะช่วยให้หล่อนทำเป็นลืม ๆ เรื่องไม่น่าพิสมัยไปบ้าง จะว่าไปน้ำเสียงของเขาค่อนข้างจะมีลักษณะเฉพาะตัว ถือเป็นเสียงที่หาฟังได้ยาก และไม่แปลกใจเลยที่ยอดผู้ชมในโลกออนไลน์ของเขาจะมากเป็นล้าน ๆ
เพลงแรกจบลง แม่เจ้าพระคุณรุนช่อง อะไรดลใจให้ชายคนข้าง ๆ เบียดหล่อนเข้าไปอีก พราวนภาหันไปมองจรัสรัตน์กับอาภาวดี หวังว่าทั้งสองจะช่วยอะไรหล่อนได้บ้าง แต่เปล่าเลย...สายตาของทั้งคู่จับจ้องอยู่แต่พ่อเทพบุตรบนเวที

สมาธิของพราวนภาไม่ได้อยู่ที่หนุ่มรูปงามบนเวทีอีกต่อไป จังหวะนั้น...ไฟเกิดตกพอดี ทุกอย่างเงียบลง ขณะที่หญิงสาวปรีดแตกออกมา
“นี่คุณ จะเบียดจะสีฉันไปถึงไหน ถ้าไม่ติดว่าไม่ใช่ชายแท้ อีกนิดคงจะได้เสียกันแล้วมั้งคะ”
ทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว รวมทั้งนายเกริกผู้กำลังถือไมโครโฟนที่บัดนี้มีประโยชน์แค่เอาไว้ขว้างใส่หัวใครเท่านั้น จรัสรัตน์กับอาภาวดีตกใจ ยิ่งเมื่อเห็นว่า คนที่พราวนภาด่าอยู่เป็น ก็ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่

“นี่ นังชะนี” อีกฝ่ายชี้หน้าเท้าเอว “ฉันจะมาดูลูกชายฉัน คิดว่าฉันพิศวาสหล่อนนักหรือไง ถ้าคนไม่แน่นฉันคงไม่สัมผัสเรือนร่างของหล่อนหรอก ขี้เกียจเอาน้ำมาล้าง”
“น้ำมะพร้าวไหม ล้างตัวเสร็จก็เอาไปล้างหน้าต่อ”
“นี่หล่อนจะมากไปแล้ว รู้ไหมยะ ว่าฉันเป็นใคร”

พราวนภาเบ้ปาก ไม่เห็นอยากจะรู้จักสักนิดว่าคนตรงหน้าเป็นใคร ทันใดนั้น เกริกที่วิ่งลงมาจากเวทีก็เข้ามาห้ามศึก
“เกิดอะไรขึ้นครับ คุณแม่...”
หญิงสาวหันขวับ หล่อนไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม ที่หนุ่มรูปหล่อเรียกคู่กรณีของหล่อนว่า ‘คุณแม่’ จรัสรัตน์ท่าท่างกล้า ๆ กลัว ๆ เธอค่อย ๆ ขยับมาสะกิดพราวนภา
“ยายพราว คนนี้คือ คุณประพนธ์ไง”
“ประพนธ์?” หญิงสาวมุ่นคิ้ว “ประพนธ์คือใคร”

“ก็โมเดลลิ่งมือทองของวงการยังไงล่ะ” อาภาวดีขยับตัวเข้ามาเสริม
พราวนภาถึงกับหน้าเจื่อนลงไปเล็กน้อย ใฝ่ฝันอยากเข้าวงการทั้งที่ แต่ก็ดันไปมีเรื่องกับกระดูกเบอร์ใหญ่ในวงการเสียแล้ว
“ใจเย็นนะครับ คุณแม่ อย่ามีเรื่องกันเลย”
“ถ้านังนี่มันไม่ขอโทษแม่ แม่ก็ไม่ยอม”

“คุณมาเบียดฉัน เอาตัวมาถูฉัน แล้วทำไมฉันต้องขอโทษ” พออารมณ์ขึ้น พราวนภาก็ไม่ยอมคนเอาง่าย ๆ
ประพนธ์เหลือบไปเห็นไมโครโฟนที่อยู่ในมือ
“คนอย่างหล่อนน่ะ ต้องให้ลงไม้ลงมือใช่ไหม ถึงจะหยุดปากดี” พูดแล้ว เจ๊ประพนธ์ก็คว้าเอาสิ่งที่เกริกถืออยู่ ด้วยสัญญาตญาณที่คาดเดาได้ว่าจะเกิดอันตราย หญิงสาวจึงก้าวถอย แต่สายไปเสียแล้ว ประพนธ์ง้างมือจะขว้างไมค์ใส่ศีรษะของพราวนภา
“อย่า...แม่”

คำห้ามปราบของเกริก ต่อให้เร็วหรือช้ากว่านี้ก็คงไม่ทัน เพราะใจของประพนธ์มุ่งคิดที่จะทำร้ายผู้หญิงซึ่งอยู่ตรงหน้าไปแล้ว ไม่ทันขาดคำ ไมโครโฟนลอยขว้างตรงไป แต่ท่ามกลางความชุลวุนนั้น นักร้องหนุ่มถลาตัวไปขวาง วัตถุที่กำลังล่องลอยไปในอากาศฟาดใส่หัวเขาอย่างจัง
จะว่าเข้าตำราหมองูตายเพราะงูก็คงไม่ใช่ เพราะเกริกยังไมได้ตายเพราะไมโครโฟนของเขา เพียงแต่มันทำให้ศีรษะของชายหนุ่มแตก จนเลือดไหลเป็นทางเท่านั้น

“ว้าย...ลูกแม่” พอได้สติกลับคืนมาและรู้ว่าตนทำอะไรลงไป ประพนธ์ก็ปรี่เข้าไปหาเด็กหนุ่ม ที่กำลังเอามือสัมผัสบริเวณบาดแผล พอเหล่าไทยมุงเห็นว่ามีความรุนแรงเกิดขึ้นก็ผงะ ก้าวถอยออกห่างจากจุดที่ทั้งสามปะทะคารมกัน
พราวนภามองภาพความห่วงใยที่ประพนธ์มีต่อเกริกแล้วนึกสะเอียดสะเอียน ดูเหมือนชายร่างยักษ์ที่เลี้ยงต้อยเด็กหนุ่มยังไงก็ไม่รู้ ยิ่งพฤติกรรมที่แสดงออกมาด้วยแล้ว หล่อนสรุปออกมาได้คำเดียว
“ถ่อย !”

อีกฝ่ายหันขวับ โพล่งสวนกลับออกมา
“หล่อนพูดว่าอะไรยะ”
“’ถ่อย’ ไงคะ” หญิงสาวเน้นคำ “ใช้แต่กำลัง ไม่รู้จักใช้สมอง แล้วถ้าคนที่โดนไม่ใช่ลูกทูนหัวของเจ๊ แต่เป็นฉัน จะเกิดอะไรขึ้น”
“หน็อย...นังนี่ ว่าฉันไม่มีสมองเหรอยะ”
จรัสรัตน์กับอาภาวดีกลัวเรื่องบานปลาย จึงพยายามเข้ามาห้าม แต่ก็กลัว ๆ กล้า ๆ เพราะรู้ว่า ถ้าพราวนภาหันมาวีนใส่ ก็น่ากลัวไม่แพ้กัน

“เกิดอะไรขึ้นครับ” เจ้าหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของทางศูนย์การค้าวิ่งมาดู
หญิงสาวในร่างชายเจ้าเนื้อตกใจ ภาวการณ์กลัวความผิดบันดาลให้เขาพูดปดออกมาเพื่อเอาตัวรอด
“มันค่ะ มันทำ” นางชี้หน้าพราวนภา “มันเอาไมโครโฟนตีหัวลูกชายฉัน”
“เฮ้ย...” เสียงอุทานของหญิงสาว สมชายยิ่งกว่าอีกฝ่ายเสียอีก “ทำไมถึงได้สตรอว์เบอร์รี่แบบนี้ล่ะเจ๊ เจ๊นั่นแหละ พยายามจะทำร้ายฉัน แต่เจ้าพ่อคุณทูนหัวของเจ๊เข้ามาปกป้อง”
“ปากยังงี้ อย่าเอาไว้พูดเลย เอาไว้ประคบน้ำแข็งเถอะ”

“กล้าก็เอาเซ่” พราวนภาท้า ทั้งสองรี่ตรงเข้าหากัน พร้อมจะเปิดศึก เกริกหงุดหงิด ตะโกนห้ามทั้งที่เลือดก็ยังไหลไม่หยุด ในขณะที่ทั้งสองไม่ฟังเสียงคัดค้านจากใครทั้งนั้น ไม่ได้สังเกตว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจวิ่งมาสมทบ หลังจากที่พี่ยามใช้วิทยุสื่อสารแจ้งมา ความชุลมุนสงบลงอีกครั้ง เมื่อเสียงนกหวีดดังขึ้น
“หยุด ! ผมขอเชิญพวกคุณทั้งหมดไปที่โรงพักเดี๋ยวนี้เลย”



ธรากร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ก.ค. 2559, 21:25:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ก.ค. 2559, 22:25:36 น.

จำนวนการเข้าชม : 840





เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account