บังลังค์รักภูผา
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอน 5
ตอน 5
ดวงจันทราลอยเด่นขึ้นบนท้องฟ้า เหนือพงไพรของภูเขาดำ แสงสีเหลืองนวลละมุนจับตาคนที่มองอยู่ แต่ไม่ได้ตรึงความคิดของผู้นำหุบผาเขียวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ที่วางอยู่บนสนามหญ้าหน้าเรือนพักของตัวเอง ให้หยุดนิ่งอยู่กับแสงนั้นได้ เพราะมีเรื่องที่ต้องคิดคำนึงถึงอยู่นั่นเอง และเรื่องใดก็ไม่ทำให้ต้องคิดเท่ากับเรื่อง...ที่ผู้พิทักษ์มือหนึ่งไม่มาคุ้มครองผู้ครองบัลลังก์ ซึ่งเขาก็รู้แล้วว่า มันหายตัวไป
วิหคเพิ่งได้รับข่าวนี้มาจากลูกน้องที่ทำตัวเป็นหมานัย คอยสอดแนมความเป็นไปในภูเขาดำ รายงานมาให้รู้ และก็รู้โดยปริยายเช่นกันว่าหุบผาอื่นๆก็คงรู้ข่าวนี้แล้วเช่นกัน เพราะต่างก็มีคนสอดแนมของตัวเองทั้งนั้น อยู่ที่ว่าใครจะซ่อนได้มิดชิดกว่ากันเท่านั้น มุมปากของวิหคยกขึ้นหยันความหน้าซื่อใจคดของไอ้ผู้นำอีกสองหุบผา ที่ต่อหน้าก็ทำราวกับไม่รู้เรื่องอะไร แต่ความจริงนั้นต่างก็รู้เช่นเห็นชาติกันหมดแล้ว แล้วตวัดสายตาไปมองร่างสูงของคนที่กำลังเดินตรงมาหา ซึ่งไม่ใช่ใครเวหาลูกชายของเขา กับพิชิตคนสนิทนั่นเอง
ทั้งหมดเดินมาหยุดยืนหน้าผู้นำ ก้มคำนับบอกความเคารพ แล้วเวหาก็นั่งลงบนเก้าอี้ข้างคนเป็นพ่อ ส่วนพิชิตนั้นยืนหลังเก้าอี้ที่นายทั้งคู่นั่งอยู่
“รู้ข่าวแล้วใช่ไหม”
เวหาเลิกคิ้วเข้มของตัวเองขึ้นเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำถามของคนเป็นพ่อ แล้วพยักหน้าเป็นการบอกให้รู้ว่ารู้ โดยไม่ต้องถามว่าเรื่องอะไรเพราะพอจะรู้อยู่แล้ว
“แล้วจะหาคำตอบได้หรือเปล่า ว่าที่มันไม่โผล่หน้ามา มันหายไปไหน”
“ได้ครับ”
คำตอบของลูกชายนั้นทำให้วิหค ต้องเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย และบอกด้วยสายตาให้พูดอธิบายออกมา ซึ่งเวหาก็บอกว่า “มันยังไม่ได้หายไป ยังอยู่ แค่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนเท่านั้นเอง”
“หมายความว่าไง หรือว่าที่มันหายไปเพราะ...แก”
ไม่มีคำปฏิเสธจากเวหา แต่คนเป็นพ่อก็ยังไม่คิดว่าใช่ เพราะลูกชายเขานั่นเป็นลูกไม้ใต้ต้น สีหน้าที่มีรอยยิ้มนิดๆติดอยู่นั้นคือความเจ้าเล่ห์ไม่ต่างจากเขา ฉะนั้นการที่ไม่ได้ยินคำพูดที่ออกมาจากปาก ก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าใช่ แล้วก็เป็นอย่างที่เขาคิด เมื่อลูกเขาบอกว่า
“ผมไม่เอาตัวไปเสี่ยงแบบนั่นหรอกครับ แต่ที่ผมรู้ เพราะผมมีคำตอบของเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ในมือต่างหาก”
“ใคร”
เวหายื่นหน้าไปกระซิบบอกคนเป็นพ่อ ดวงตาผู้นำหุบผาเขียวเปิดกว้างทันทีที่ได้ยิน แล้วยิ้มกว้างออกมา “โชคเข้าข้างเราซินะ”
“ครับ แต่...”
คำว่าแต่นั้นทำให้รอยยิ้มบนหน้าคนเป็นพ่อหายไป และเริ่มจะเห็นเค้าลางบางอย่าง “มีอะไร” เสียงถามติดจะเครียดเพราะรู้สึกเหมือนว่าขนมหวานที่ได้มายังไม่ทันได้ลิ้มลองความอร่อย ก็ถูกแย่งชิงไปเสียแล้ว สีหน้าของเวหาไม่ต่างกันแล้วบอกว่า
“มันเจ็บหนัก ความเป็นความตายเท่าเส้นด้ายเท่านั้นครับ”
“ตึงมากขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เรียกว่าบางพร้อมจะขาดได้ทุกเวลาดีกว่าครับ เลือดเต็มตัว แผลที่ขาไม่หนักเท่าไร แต่บาดแผลที่ท้องสาหัสจนน่าหนักใจครับ และยังมีที่คออีก หมอที่พาไปดู ไม่มีคำรับรองให้ด้วยครับ”
“แล้วมันพูดอะไรออกมาบ้างหรือเปล่า”
“ยังครับ ยังไม่ได้คำตอบอะไรเลย มันยังสลบอยู่”
“แล้วเจอมันได้ยังไง”
“ต้องยกความดีให้กับพิชิต ที่ออกตามหาตัวไอ้ผู้พิทักษ์ แกะรอยเผื่อโอกาสจะเป็นของเรา ที่จะลอบกัดกำจัดมันออกไปให้พ้นเส้นทางสู่ยอดเขาของเราเสียที แต่เจอมันเข้าเสียก่อน” เขาบอกแล้วหันไปมองคนสนิทของพ่อ สายตาชื่นชมจน พิชิตต้องก้มหน้าลงรับ
“ขอบคุณครับ ตอนที่เจอมัน มันปกปิดหน้าตาด้วยหมวกไอ้โม่งแต่ยังมีสติอยู่ ผมเกือบจะฆ่ามันเพราะคิดว่ามันเป็นผู้บุกรุก แต่คำว่าผู้พิทักษ์ที่ออกมาจากปากมัน ทำให้ผมต้องยั้งมือ และไม่มีโอกาสถามอะไรเพราะมันสลบไป จึงดึงหมวกไอ้โม่งออกแล้วเอาตัวมาเพื่อผลประโยชน์ของเรา”
“ทำได้ดีมาก แต่...” ผู้นำหุบผาเขียวสบตาคนสนิทของตัวเอง เมื่อมีบางสิ่งที่อยากรู้ ก็ถามออกมา “เห็นหน้าแล้วรู้จักมันไหม”
“ไม่ครับ”
“แน่ใจ” เขาถามย้ำและคำตอบจากพิชิตก็ย้ำชัดเช่นกัน
“ครับ”
“แล้วมันรู้จักไอ้ผู้พิทักษ์ได้ยังไง”
คำถามนี้ทำให้ทั้งลูกน้องและลูกชายพากันนิ่งงัน และพากันครุ่นคิด แต่ไม่มีคำตอบที่จะบอกผู้นำหุบผาเลย นอกจากเวหาจะให้ความเห็นว่า “แสดงว่ามันต้องเป็นคนของใครสักคนในภูเขาดำแห่งนี้ เพราะตอนนี้ผู้ครองบัลลังก์แก่มากแล้ว วัยที่ร่วงโรยเปรียบเหมือนใบไม้สีน้ำตาลใกล้จะร่วงลงจากต้น ตำแหน่งผู้ครองบัลลังก์จึงเหมือนสมบัติที่มีค่ามหาศาล ที่ใครๆก็อยากจะครอบครอง”
“พ่อก็คิดอย่างนั้น ไม่งั้นมันจะพูดคำว่าผู้พิทักษ์ออกมาได้ยังไง ที่สำคัญมันต้องแกะรอยอยู่แน่ ถึงได้ตามไปเล่นงานได้ถูก แต่พ่อยังสงสัยอีกอย่าง ไอ้ผู้พิทักษ์มือหนึ่งมันหายไปทำอะไร”
ทั้งลูกชายและลูกน้องพากันนิ่งไปอีกครั้ง แล้วพิชิตก็เป็นเอ่ยออกมาหลังจากไปสืบข่าวเพิ่มเติมแต่ไม่ได้อะไรกลับมา “ไม่มีข่าวเล็ดรอดออกมาเลยครับท่าน ไอ้ผู้พิทักษ์คนอื่นๆก็ปิดปากเงียบ”
“งั้นก็หาทางให้ใครสักคนเปิดปากออกมาซิ”
“คงจะยากครับท่าน เพราะพวกมันทุกคนถือสัตย์เป็นที่ตั้ง ถือคำปฏิญาณเทียบเท่าชีวิต ต้องกรีดเลือดสาบาน ต้องผ่านการฝึกทั้งร่างกายและจิตใจ กว่าจะได้เป็นผู้พิทักษ์ดูแลผู้ครองบัลลังก์ และถ้าใครเสียสัตย์รักษาคำพูดไม่ได้ ความตายไม่เพียงพอแต่ความทรมานนั้นต่างหากที่พอเพียง”
คำพูดของลูกน้องนั้น ผู้นำหุบผาเขียวก็รู้ แต่เขาไม่เคยเชื่อว่าความสัตย์มันจะมีอยู่จริง เพราะในโลกของความจริงสัตว์ที่ว่าเชื่องยังทำร้ายเจ้าของ แล้วจิตใจมนุษย์ที่ว่าประเสริฐนั้นแท้จริงแล้วเลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์ สามารถทำร้ายทุกคนได้เพื่อความต้องการของตัวเอง มุมปากเขายกหยันความจริงที่ได้พบเห็นมา แต่ที่พูดออกมาคือ
“งั้นกุญแจสำคัญที่จะให้คำตอบเราได้ ก็มีแค่คนเดียวในตอนนี้คือไอ้โม่ง ถ้ามันรอด ก็เหมือนเรากำเส้นชัยอยู่ในกำมือ ฉะนั้นอย่าให้มันตายเด็ดขาด ไม่ว่าจะยังไง ต้องยื้อวิญญาณมันมาจากยมบาลให้ได้”
“ครับท่าน ผมจะทำให้ดีที่สุด” รับคำแล้ว พิชิตก็ก้มหน้าบอกลาเจ้านายทั้งสองคน เพื่อไปยื้อวิญญาณไอ้โม่ง
สองพ่อลูกยังนั่งอยู่ที่เดิม บรรยากาศยามค่ำคืนเย็นสบายด้วยสายลมจากพงไพรที่ล้อมรอบอยู่ แสงดาวก็ระยิบให้ความสวยงาม แต่สมองยังมีเรื่องให้คิดมากกว่าจะสนใจสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา การหาทางเพื่อจะขึ้นไปให้ถึงยอดเขานั้น มันไม่ได้ง่ายเลย เพราะต้องช่วงชิงกับคนอีกสองกลุ่ม ไม่ใช่แค่นั้นยังมีคนปริศนาเพิ่มมาให้ต้องคิดเพิ่มมากขึ้นอีก
“พ่อคิดว่าไอ้โม่งนั้นน่าจะเป็นคนของใครครับ” เวหาพูดแทรกความเงียบขึ้นมา
“เป็นไปได้ทุกคน”
“แม้แต่ผู้ครองบัลลังก์หรือ...ตัวเราเองเหรอครับ”
ผู้นำหุบผาสบตาลูกชายนิ่งๆ แล้วลุกขึ้นยืนพร้อมกับบอกว่า “พ่อจะไปพักแล้ว และจำไว้ว่า บางอย่างคิดได้ แต่ไม่ควรพูดออกมา เพราะมันจะกลายเป็นดาบสองคม ที่จะย้อนกลับมาฆ่าเราเอง”
พูดจบก็เดินตรงไปที่เรือนทันที ทิ้งให้ลูกชายนั่งนิ่งคิดถึงคำเตือนเมื่อกี้ เขาพลาดไปจริงๆ แต่ว่าความเป็นไปได้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย เมื่อปริศนายังอยู่ เขาก็ไม่อยากให้ค้างคาใจ จึงลุกขึ้นเดินตามพิชิตไป เผื่อจะได้คำตอบที่ต้องการ
**********
ใต้ท้องฟ้าในค่ำคืนที่ยังมืดมิด แต่เรือนของผู้นำหุบผาแดงยังมีแสงไฟสว่างอยู่ ร่างสูงที่ยังสง่างามแม้อายุจะเลยมาเกินครึ่งหนึ่งของชีวิตแล้ว พยัคยืนอยู่บนระเบียงเรือน สายตามองตรงไปที่สนามหญ้าหน้าเรือน ที่ซึ่งเป็นความทรงจำให้คิดถึงเมียรักที่จากไปหลายปี ทิ้งลูกชายให้ดูต่างหน้าไว้คนเดียว แต่ลูกชายที่ชอบอยู่อย่างสงบรักธรรมชาติมากกว่าการต่อสู้ สร้างความหนักใจให้เขาอยู่พอสมควร... หรือหุบผาแดงที่เขาสืบทอดการดูแลมาตั้งแต่บรรพบุรุษ จะสิ้นสุดลงแค่ที่เขา
“ท่านครับ”
เสียงเรียกดังขึ้นหยุดความคิดของพยัค ผู้นำหุบผาแดง ตวัดสายตาไปยังที่มาของเสียง ซึ่งก็คือลูกน้องคนสนิทเสือกับสิงห์นั่นเอง ทั้งคู่ยืนนิ่งอยู่หน้าระเบียง เขาจึงพยักหน้าให้ขึ้นมาด้านบน ทั้งสองคนจึงก้าวขึ้นบันไดมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าคนเป็นนายที่ให้ไปกรองข่าวที่ได้รับรู้มา
“ไม่มีความคืบหน้าครับท่าน” สิงห์เป็นคนรายงานออกมา “ทุกอย่างยังนิ่งเงียบ ผู้พิทักษ์มือหนึ่งยังไม่กลับมา”
“แล้วที่เรือนผู้ครองบัลลังก์เป็นไงบ้าง”
“เงียบสงบเหมือนเดิม ทุกอย่างปรกติเสมือนว่าการหายตัวไปของเขา ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับที่นั้นเลยครับ”
“น้ำนิ่งกำลังไหลลึกอยู่ละซิ”
ลูกน้องคนสนิททั้งสองคนตวัดสายตามามองกัน อย่างพอจะรู้ความนัยที่คนเป็นนายสื่อออกมา ว่าหมายถึงการรอดูท่าทีจากทุกฝ่ายอยู่ แม้ยังไม่มีอะไรชัดเจน แต่สัญญาณมันก็เริ่มก่อตัวขึ้นมาแล้ว การหายตัวไปอย่างไม่มีสาเหตุของผู้พิทักษ์มือหนึ่ง คิดไปได้หลายอย่าง ว่าอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา หรือไปสืบหาอะไรบางอย่างกันแน่
“ถ้าเป็นอย่างที่เราคิด จากนี้ไปพื้นน้ำคงไม่นิ่งแล้วละครับ คงมีรอยกระเพื่อมให้เห็นกันบ้าง”
“ใช่ แต่ก่อนจะมีรอยกระเพื่อม ฉันกลัวว่าน้ำจะกัดเซาะภูผาให้หายไปเสียก่อน และถึงตอนนั้นภูเขาดำจะร้อนเป็นไฟ เพราะไอ้พวกที่รอจะฮุบอำนาจต้องเคลื่อนไหวออกมาให้เห็น”
“แต่ภูผาแข็งแกร่งคงไม่มีอะไรทำลายได้ง่ายๆ” เสือเอ่ยออกมาเพราะเคยทดสอบฝีมือกันมาแล้วว่าเก่งกาจเพียงใด คงยากที่ใครจะทำอะไรได้
“น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน แล้วคิดดูซิว่าชีวิตคนแค่คนเดียว เป็นเป้าให้คนหลายคน ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ยากที่จะต้านทาน สักวันก็ต้องพลาดพลั้งเหมือนกัน”
เสือกับสิงห์นิ่งไปกับความจริงข้อนี้ น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟฉันท์ใด ภูเขาที่แข็งแกร่งก็ย่อยยับมากับน้ำมือคนมามากมายแล้วฉันท์นั้น ยิ่งคนดูแลไม่มีก็ยิ่งง่ายสำหรับคนที่จ้องจะทำลาย
“ถ้าเป็นอย่างที่เราคิดก็น่าห่วงนะครับท่าน” เสียงเสือกังวลออกมาแต่อีกความคิดหนึ่งก็บอกว่า “แต่ในมุมกลับกันถ้าเป็นอย่างนั้น จะเป็นผลดีกับเรานะครับ เมื่อท่านก็มีสิทธิที่จะขึ้นไปยังตำแหน่งสูงสุดนั้น เท่าๆกับผู้นำอีกสองหุบผา”
“นั่นซินะ ถ้าเพียงแต่ใจฉันละโมบเหมือนคนอื่น ฉันก็น่าจะยินดีกับสิ่งที่เรากำลังคิดอยู่ แต่ถึงจะไม่ละโมบฉันก็ควรจะรักษาสิทธิของตัวเองเพื่อทุกคนในหุบผาแดงแห่งนี้”
“หมายความว่านายจะเป็นน้ำกัดเซาะภูเขาเหมือนกัน”
“คิดว่าฉันควรจะทำไหมละ”
“ที่สุดครับ” เสือตอบออกมาเพราะรู้ใจเจ้านายดี เนื่องจากรับใช้มาหลายปี สิงห์ก็คิดไม่ต่างกัน และรอฟังว่าคนเป็นนายจะตกลงใจว่ายังไง
ผู้นำหุบผานิ่งคิด ไม่นานก็มีคำตอบให้คนสนิท “ไปพักเถอะ”
ทั้งสองคนนิ่งไปกับคำตอบที่ได้ยิน แต่ไม่ถามอะไรออกมา เพราะเข้าใจดีว่าเวลาที่คิดนั้นน้อยเกินไป เรื่องสำคัญกับสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้ใจอย่างนี้ ต้องมีเวลาคิดมากๆ เพราะถ้าพลาดไปแม้แต่เพียงนิดเดียว ชีวิตอาจจะดับดิ้นได้ แล้วก้มหน้าลงบอกลา เดินลงจากเรือนไป
สิ่งที่ทั้งสองคนคิดไม่ต่างจากที่คนเป็นนายคิด พยัคหมุนตัวเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวยาวที่วางอยู่ไม่ห่าง พร้อมกับคิดว่าเขาจะไม่เป็นน้ำที่กัดเซาะภูเขา จะไม่เป็นไฟที่เผาผลาญป่า แต่เขาจะเป็นคนคอยป้องกัน จะไม่ยอมให้ไอ้พวกเห็นแก่ตัว แก่ประโยชน์ของตัวเองมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม ขึ้นมาเป็นใหญ่ จะหาทางขัดขวางทุกวิธีที่พอจะทำได้ แล้วถอนหายใจออกมา เมื่อคนที่เขาพอจะพึ่งได้ ได้หายตัวไปอย่างนี้ แล้วเขาจะทำยังไง ที่น่าห่วงคือผู้เฒ่าโพธิ์ ความชรานั้นเป็นเหมือนขนมหวานของคนที่คอยจะทำลายจริงๆ
ผู้นำหุบผาถอนหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่ ก็ลุกขึ้นเดินไปที่ห้องนอนบนเรือน เพียงเสียงประตูปิดลง ก็มีเงาของคนค่อยๆโผล่ออกมาจากมุมมืดบนเรือน ร่างนั้นเดินมาหยุดยืนตรงที่ผู้นำหุบผายืนเมื่อกี้ แสงไฟที่สว่างอยู่จึงส่องให้เห็นใบหน้าคร้ามคม ซึ่งก็ไม่ใช่ใคร พนา ลูกชายของท่านผู้นำนั่นเอง แววตาเขามีแววครุ่นคิดกับถึงสิ่งที่ได้ยิน และแม้จะไม่ชอบการต่อสู้แต่เขาก็จะไม่อยู่เฉยๆแน่นอน
*******
ยามรุ่งสางตรงเส้นขอบฟ้าแสงตะวันรำไรส่องไพรพนา สกุณาส่งเสียงร้องก้องไปทั่วบริเวณ หยาดน้ำค้างบนใบไม้ไหลหยดลงมาสู่พื้นพสุธา สู่หนุ่มฉกรรจ์ที่นั่งหลับพิงต้นไม้ เพียงความเปียกชื้นกระทบผิว ดวงตาที่ปิดสนิทก็ลืมตื่นขึ้น ตวัดมองไปรอบๆพร้อมฟังเสียงสรรพสัตว์ที่ดังมาให้ได้ยิน ไม่มีเสียงใดเป็นอันตรายให้ต้องระวัง สายตาก็หยุดเมื่อสะดุดกับบางที่อย่างหายไป ซึ่งก็ไม่ใช่อะไร ภาระที่เขารับมาแบกไว้นั่นเอง...
ร่างอรชรแจ่มชัดขึ้นในสมอง พร้อมกับความหวานที่ได้รับกลางธารน้ำใส แต่ไม่ได้มีผลหรืออิทธิพลใดๆกับเขาเลย แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินออกมายืนหน้าเพิง ไม่มีการมองหาเธอที่หายไป เมื่อเธอยังไม่ได้มีค่ามากไปกว่าคำว่า...ภาระ ที่สำคัญสิ่งที่เขาต้องทำอย่างเร่งด่วนก็คือ การหาทางกลับไปหาผู้ครองบัลลังก์ให้เร็วที่สุด ส่วนไอ้คนที่ลอบสังหารเขานั้น ไม่ต้องไปตามหา เมื่อเขายังไม่ตาย ก็เท่ากับงานมันยังไม่สำเร็จ และถ้ามันไม่ตายเสียก่อน มันจะต้องกลับมาหาเขาแน่ๆ
ส่วนว่าใครจะอยู่เบื้องหลังบงการ ก็ไม่ต้องไปสืบหา แค่เพียงเขาพาตัวออกไป คนที่จ้องจะเล่นงานก็จะโผล่ออกมาเอง แล้วสถานการณ์จะทำให้เขารู้ว่าจะจัดการยังไง
ความคิดของภูผาหยุดลง เมื่อเห็นร่างอรชรเดินกลับมา สายตาเขามองเลยไปด้านหลังที่เป็นทางเดินไปยังแอ่งน้ำ ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเธอไปไหนมา แต่ใบหน้างามไม่ได้สดใส ยิ่งเธอเดินเข้ามาใกล้ ก็ยิ่งเห็นชัดว่าซีดเผือด ดวงตาคมจึงหลุบลงมาแผลรอยกระสุนถากที่แขน รอบแผลแดงขึ้น สาเหตุคงเป็นเพราะโดนน้ำ
ขวัญชนกพาตัวเองที่รู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาวมาที่เพิง นั่งลงแล้วเอาใบสาบเสือที่พอจะหามาได้ ช่วยแก้การอักเสบ มาขยี้ให้ละเอียดเพื่อใส่แผล เมื่อเช้าเธอตื่นขึ้นมาเพราะอาการปวดแผล แขนทั้งแขนร้อนผ่าวและปวดจนแทบจะยกไม่ขึ้น ก็มองไปยังคนที่เป็นต้นเหตุ แล้วภาพเหตุการณ์ที่แอ่งน้ำที่ควรจะลืมก็หวนกลับมา ริมฝีปากเหมือนจะเห่อขึ้นมา หน้าก็ร้อนผ่าว หัวใจก็เต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับผู้ชายคนไหนมาก่อน แล้วสลัดมันทิ้งไปเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ความสุข แต่เป็นความอัปยศที่เขาเหยียบย้ำเกียรติของเธอ
เธอฝืนลุกขึ้นเพื่อไปหาสิ่งที่ทำให้หายจากอาการที่เป็นอยู่ ความมืดที่ยังปกคลุมไปทั่วบริเวณไม่ได้เป็นอุปสรรค เพราะพอจะคุ้นทางแล้ว และเสียงสกุณาก็เริ่มจะดังมาบอกสัญญาณให้รู้ว่าอีกไม่ช้าฟ้าก็จะสว่าง... ใบไม้ในมือยังไม่ละเอียดพอที่จะใส่แผล เพราะความเจ็บจึงทำได้ช้ากว่าปรกติ แต่ไม่เอ่ยขอความช่วยเหลือจากคนที่มองเธอเป็นเพียงภาระ และนิ่งไปเมื่อมือหนายื่นเข้ามาจะดึงใบไม้ไปจากมือ
ดวงตากลมสวยตวัดไปมองหน้าคนที่เดินเข้ามานั่งย่องอยู่ใกล้ๆตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แล้วหรี่ตามองใบไม้ในมือที่ยังจับไว้พร้อมกับบอกว่า “ฉันทำเองได้”
“แต่ฉันรอไม่ได้”
ความหมายนั้นก็คือ เขาพร้อมจะทิ้งเธอทุกนาทีซินะ เธอคิดหยันอยู่ในใจแล้วอยากจะทิฐิ อยากจะบอกว่าเชิญทิ้งได้เลย แต่ความหวังที่ฝังอยู่ในใจทำให้ต้องปล่อยมือจากใบสาบเสือ...ภูผาขยี้จนละเอียดก็เอามาใส่แผลให้ เพียงปลายนิ้วสัมผัสผิวเธอ ก็รับรู้ถึงความร้อน ดวงตาคมตวัดขึ้นมองใบหน้าซีด แต่สายตาเมินมองไปทางอื่น แล้วฉีกแขนเสื้อเธอออกมาเป็นผ้าพันแผล เรียบร้อยแล้วก็เอ่ยออกมาว่า
“พักเสีย เดี๋ยวฉันกลับมา”
“ฉันไหว ถ้านายจะไปต่อ”
“อย่าเพิ่มภาระให้ฉัน”
น้ำเสียงดูถูกนั้น ทำให้เธอตวัดสายตากลับมามองหน้าคม ซึ่งยังนิ่งเฉยเหมือนเดิมแต่ความไม่พอใจเธอเพิ่มมากขึ้น จึงเชิดหน้าขึ้นพร้อมกับบอกว่า “ฉันดูแลตัวเองได้”
“แค่ไหน ถ้าแค่อวดดี ก็เก็บไว้ใช้ให้มันถูกที่ถูกทาง และน่าจะรู้ตัวเองดีมากกว่าที่จะเดินไปเพียงไม่นาน ก็ให้ฉันลากเธอไป หรือจะยอมให้ฉันลากเหมือนไม่ใช่คน”
“ฉันไม่ใช่สัตว์”
“ก็หัดคิดให้เหมือนคนเสียบ้าง”
แววตาของขวัญชนกโกรธเกลียดความหยาบคายของเขาทันที แต่มีหรือที่คนป่าเถื่อนอย่างเขาจะสนใจ ยังเพิ่มเติมสายตาที่ฉายความสมเพชเธออีก แล้วยืดตัวขึ้นยืน หมุนตัวเดินออกไปจากเพิง ขวัญชนกมองตามความชิงชังก็ยิ่งเพิ่มขึ้น แต่ไม่นานก็ค่อยๆหายไป สลัดความขุ่นมัวที่เหมือนไฟที่เผาใจตนอยู่เพียงคนเดียวออกไป เมื่อสิ่งที่เขาพูดเธอก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าถูก ร่างกายเธออ่อนแอด้วยแผลที่อักเสบ สมุนไพรที่ใส่ไว้ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้แค่ไหน ถ้าฝืนเดินทางคงได้ถูกลากไปจริงๆ การพักจึงเป็นทางที่ดีที่สุด
เธอถอนหายใจออกมายาวเหยียด เลื่อนสายตามามองแผลแล้วภาวนาขออย่าให้เป็นอะไรไปมากกว่านี้ เพราะเธออยากจะออกไปจากป่าแห่งนี้เต็มทีแล้ว แต่แทนที่เรื่องที่คิดจะก่อให้เกิดความดีใจ กลับเป็นความกังวลที่เกิดขึ้นมาแทน เมื่อความจริงพอออกไปจากที่นี่ ก็ต้องไปอยู่ที่ๆถูกจับมาก็เหมือนการหนีเสือปะจระเข้นั่นเอง... สีหน้าเธอหม่นเศร้าลง แล้วหยุดความคิดความหวังต่างๆให้อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น จึงขยับตัวไปพิงต้นไม้หลับตาลงเพื่อพักแล้วหลับไปโดยไม่รู้ตัว
ภูผาเดินมาหยุดที่แอ่งน้ำ ไม่มีการห่วงกังวลถึงคนที่เขาทิ้งไว้ที่เพิง เพราะแน่ใจว่าแถวนี้ไม่มีอันตรายหรือตัวตายตัวแทนของไอ้โม่งโผล่มาตอนนี้แน่นอน เวลาที่ผ่านมาถ้ามีพวกมันคงรีบมาจัดการกับเขาแล้ว เพราะภาระที่ติดตัวเขาบาดเจ็บ ต้องรีบซ้ำเติม แต่ไม่มีใครโผล่มาก็แสดงว่าไม่มี เขาเดินลงไปล้างหน้าล้างตาแล้วมองปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำ มันคงเป็นอาหารให้เขาอีกมื้อ มีดที่พกซ่อนไว้ใต้ขากางเกง ถูกดึงออกมาล่ามันทันที ตัวไหนที่ว่ายขึ้นมาบนแอ่งตื้นๆไม่รอดจากคมมีดที่ปาไปอย่างแม่นยำ จากนั้นไม่นานก็เดินกลับมาที่เพิง สองตามองร่างอรชรเป็นอันดับแรก
ดวงตาที่ปิดไม่ขยับรับรู้ถึงการกลับมาของเขา แสดงว่าเธอหลับสนิท เขาวางปลาที่ได้มาไว้บนใบไม้ แล้วจัดการหากิ่งไม้แห้งมาก่อไฟ หาไม้มาเสียบตัวปลาแล้วย่างจนส่งกลิ่นหอม คนที่หลับสนิทก็เริ่มจะรู้สึกตัว ห่อตัวเข้าหากันเมื่อรู้สึกหนาว แต่ก็ข่มเอาไว้ เมื่อไม่อยากได้ยินวาจาหยาบคายกับสายตาที่สมเพชจากคนที่เห็นเธอเป็นเพียงภาระอีก
เธอลุกขึ้นเดินจับแขนที่เจ็บมาหาเขา แล้วบอกว่า “ฉันพร้อมแล้ว”
“งั้นก็รองท้องเสีย”
“ฉันไม่หิว”
“ใช้สมองแล้วเหรอ หรือที่ฉันพูดไปไม่จำ อยากให้ฉันลากไปเหมือนไม่ใช่คน” น้ำคำเขาเฉือนใจเธอออกมา แล้วว่ากลับอย่างไม่ยอมให้เขามาว่าเอาฝ่ายเดียว
“ฉันไม่อยากให้มีหนี้บุญคุณเพิ่มขึ้นมา”
“ชีวิตเธอเป็นของฉันแล้ว ยังจะเหลืออะไรเอามาต่อรองกับฉันอีก หรือคิดว่าที่ฉันไม่ทำอะไรมากไปกว่าการจูบห่วยๆนั้น คือสิ่งที่เหลือมาต่อรอง”
“ต่อให้เหลือแค่วิญญาณ ฉันก็จะไม่อ้อนวอนขอร้องนายเด็ดขาด”
“รีบถมน้ำลายเกินไปหรือเปล่า” เสียงเขาหยัน “ในป่าแห่งนี้มีแค่เธอกับฉัน ถ้าเธอไม่พึ่งฉันแล้วจะพึ่งใคร ตัวเองเหรอสภาพที่แย่ๆแบบนี้ เก็บน้ำลายไว้กลืนเถอะ”
ขวัญชนกได้แต่คับแค้นใจ ที่ทำอะไรไม่ได้ไปกว่าการยอมรับว่าเขาพูดถูก จึงเดินไปนั่งตรงกันข้ามกับเขา หยิบปลาย่างที่เสียบวางอยู่ข้างกองไฟมากิน โดยไม่สนใจว่าเขาจะกินแล้วหรือไม่ เนื้อปลาที่สดจะหวานหอมแต่เธอรู้สึกขม แต่ก็ฝืนทนกิน โดยมีสายตาคมจับจ้องแต่เธอไม่เห็น กระทั่งกินไปได้ครึ่งตัว ก็วางไว้ที่เดิม ดื่มน้ำตามเรียบร้อยแล้วก็มองหน้าคม ซึ่งลุกขึ้นไปเอาดินแห้งๆมาดับไฟจนไม่มีเชื้อแดงให้ลุกติดขึ้นมาอีก แล้วเดินไปหยิบน้ำที่เหลืออยู่ในกระบอกไม้ไผ่มาถือไว้ก็ออกเดิน
หญิงสาวลุกขึ้นเดินตามทั้งๆที่รู้สึกไม่ดี ตัวเธอกำลังจะเป็นไข้ สมองบอกเธออย่างนั้น แต่ไม่ใช่เวลาที่จะมาอ่อนแอ แรงใจที่มีถูกดึงมาสร้างความเข้มแข็งให้ร่างกายสู้ ก้าวตามร่างสูงที่ทิ้งระยะห่างประมาณช่วงตัว...
ดวงอาทิตย์ลอยสูงขึ้นตามวัฏจักรการหมุนของโลก ร่างสูงยังคงก้าวเดินไปตามแนวป่าที่ทึบบ้างโปร่งบ้าง โดยไม่ได้หันมามองภาระที่ตามมาข้างหลัง นั่นเพราะหูเขาฟังการเคลื่อนไหวของเธออยู่ตลอดเวลา และจับได้ว่าขาที่ก้าวเดินช้าลง แต่ตัวเขายังคงเดินอย่างสม่ำเสมอเช่นเดิม กระทั่งเสียงเดินหายไป เขาก็หันหน้ามามองข้างหลัง ไม่มีร่างของภาระ ดวงตาคมหรี่ลงนิดๆก็เดินย้อนกลับมาอย่างระวัง เพราะไม่แน่ใจว่าที่เธอหายไป เพราะเหนื่อยหรือตัวตายตัวแทนของไอ้โม่งโผล่มา
เขาเดินมาถึงตรงที่จับได้ว่าเสียงเธอหายไป ก็กวาดตามองหา แล้วก็ได้เห็นร่างอรชรนอนนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ ขายาวๆก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็มาหยุดยืนอยู่ข้างๆ สายตาสำรวจตัวเธอ ทรวงอกที่สะท้อนขึ้นลงนั้นบอกถึงการมีชีวิต ก็เลื่อนสายตาไปมองใบหน้า ซึ่งซีดลงยิ่งกว่าเดิม ก็ยื่นมือไปจับแขนเธอทันที ความร้อนผ่าวแล่นผ่านมือให้เขารู้ถึงสาเหตุที่เธอหมดสติไปอย่างนี้
สองแขนอุ้มตัวเธอขึ้นมา พาเดินไปหาที่พักที่ต้องใกล้น้ำและอาหาร แต่จะไม่กลับไปยังเพิงที่ทิ้งมาเพราะเดินมาไกลเกินกว่าจะกลับไปให้เสียเวลา และไกลจากสายธารที่ไหลรวมเป็นแอ่งน้ำ ที่เขาไม่อาจยึดเป็นเส้นทางการเดินกลับไปหาผู้ครองบัลลังก์ เพราะไม่อาจไว้ใจ ที่มองไม่เห็น หยั่งไม่ได้ของผู้นำแต่ละหุบผา แต่ตอนนี้เขาคงต้องเสี่ยงหาที่พักใกล้แอ่งน้ำเพื่อรักษาชีวิตเธอ
ต้นไม้ใหญ่ใกล้สายธารแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ใต้ต้นมีต้นหญ้าเล็กๆเขียวชอุ่มปกคลุมเหมือนพื้นพรม รองรับร่างอรชรที่เขาปล่อยออกจากอ้อมแขน แล้วเทน้ำจากกระบอกไม้ไผ่ใส่ฝ่ามือ ลูบหน้าเธอเพียงสองครั้ง เธอก็เริ่มรู้สึกตัว ดวงตาขยับก่อนจะลืมขึ้น เห็นหน้าคมที่อยู่ใกล้จนเห็นรอยแผลเป็นเท่าเส้นดาย แล้วภาพที่ตัวเองเดินโงนเงน ไม่อาจฝืนได้อีกเพราะพิษไข้เล่นงานจนร่างกายปวดร้าวไปหมด สุดท้ายเธอก็หมดสติไปให้เขาลากมาที่นี่ซินะ แล้วหลับตาลงเมื่อไม่อยากจะเห็นความสมเพชจากแววตาเขาอีก
“ลืมตาขึ้นมา” เสียงห้วนห้าวกร้าวดุออกมา “ห้ามหลับ”
ดวงตากลมสวยเปิดปรือขึ้นมา แล้วเมินไปทางอื่น ก่อนจะหันกลับมาเมื่อมือหนายื่นมาแกะกระดุมเสื้อเธอ “จะทำอะไร” เสียงเธอดังขึ้นอย่างตกใจ แต่ความจริงดังแผ่วจนแทบจะไม่ได้ยิน
“แก้ผ้าเธอไง”
“ไม่”
“อยากเป็นผีเฝ้าป่าหรือไง”
“ใช่” เสียงแผ่วยังคงทระนง จะไม่ยอมกลืนน้ำลายตัวเองให้เขาหยามหยันไปมากกว่านี้
“แต่ฉันไม่ยอม เพราะยังใช้ชีวิตเธอไม่คุ้มเลย”
พูดจบเขาก็แกะกระดุมเสื้อเธอออก ขวัญชนกยกมือขึ้นปัดป้องทันที แต่ไข้ที่รุมเร้าอยู่ลดทอนเรียวแรงให้เหลือเท่ามด ที่ไต่ไปตามตัวเขาเท่านั้น แค่ปัดเพียงนิดเดียวก็ร่วงผล็อยแล้ว จึงขอร้องเขาด้วยสายตา แต่ภูผาไม่มีจะให้เหมือนเดิม เขาถอดเสื้อออกจากตัวเธอ แล้วเอาไปซักล้างคราบเลือดกับคราบสกปรกที่ติดอยู่ จนดูสะอาดขึ้น ก็เอากลับมาเช็ดตัวเธอให้ไข้ลดลง จากนั้นก็ถอดเสื้อตัวเองให้เธอใส่ เรียบร้อยแล้วตัวเธอก็คอพับหลับไปทันที
ภูผาถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วใช้หลังมือแตะหน้าผากเธออีกครั้ง ความร้อนลดลง แต่ใช่ว่าอาการไข้ของเธอจะดีขึ้น เมื่อร่างอรชรขดตัวเข้าหากันบอกความหนาว เขาก็ขยับไปนั่งใกล้ๆ ดึงตัวเธอมาซบอกให้ความอบอุ่น ซึ่งก็เบียดเข้าหาราวกับเขาคือผ้าห่มคลายหนาว ก็หรี่ตามอง สายตายังนิ่งเฉยดุจเดิมแต่ความใส่ใจเพิ่มเข้ามาโดยไม่รู้ตัว
*********
เสียงสกุณายังร้องดังก้องอยู่ในพงไพร เงียบหายไปเมื่อได้ยินเสียงบางอย่าง มันโผบินขึ้นจากกิ่งไม้ที่เกาะอยู่ไปยังอีกกิ่งเพื่อความปลอดภัย และเฝ้ามองที่มาของเสียงซึ่งก็คือคนสองคน คนหนึ่งนั้นที่แก้มมีแผลที่เพิ่งได้มาไม่นาน ขาก็เดินกะเผลกเพราะเจ็บส่วนอีกคนปรกติ สีหน้าแววตาของทั้งคู่มีความเหน็ดเหนื่อยอิดโรย เพราะเดินบุกป่าที่รกทึบกันมา... แสงแดดส่งความร้อนมาให้รู้สึกเหนื่อยมากขึ้น จนต้องหยุดพักใต้ต้นไม้ใหญ่ ตวัดสายตามองไปรอบๆ ก็เห็นแต่ต้นไม้ที่รวมกันแน่นหนาเป็นป่าใหญ่
“เมื่อไรเราจะพ้นไปจากป่านี้สักที” ถามแล้วคนถามก็ทรุดตัวลงนั่งใต้ต้นไม้ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครไอ้เหิมมือปืนรับจ้างชิงตัวลูกสาวพันโทคนสำคัญนั่นเอง แต่งานที่กำลังจะสำเร็จกลับพลาด แถมยังต้องหนีหัวซุนอยู่ในป่าพร้อมพรานเฒ่าที่จ้างมา
“ไม่เกินค่ำนี้เราได้ออกไปแน่” คนตอบคือพรานขอม ที่ยืนมองป่าตรงหน้าอยู่ไม่ห่าง
“แน่ใจ” เสียงถามนั้นไม่มีความเชื่อถือเลย เพราะเห็นความโง่ของอีกฝ่ายมาแล้ว และอยากจะยิงมันทิ้งให้เหมือนหมา เพราะเป็นต้นเหตุพาไปสู่ความหายนะ ที่ชีวิตเกือบจะหาไม่มาแล้ว แต่ที่ยังต้องเดินตาม เพราะคิดว่ามีมันเป็นที่พึ่งดีกว่าไม่มี
พรานขอมหันมามองคนที่พูดจาดูถูก แล้วเหยียดริมฝีปากออกเยาะ ไม่มีความเกรงกลัวหรือคิดว่ามันคือนายจ้าง เพราะตอนนี้น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าฉันท์ใด มันก็ต้องพึ่งเขาฉันท์นั่น แต่ยังไม่อยากหักหาญน้ำใจกันมากนัก เพราะค่าจ้างวานก้อนใหญ่ยังไม่ได้มา
“แน่ซิไอ้เหิม ข้ารับรองว่าคืนนี้ได้นอนบนฟูกแทนนอนบนดินแน่นอน”
“ถ้างั้นก็ไม่ต้องพักแล้ว ไปต่อกันเลย” ว่าแล้วไอ้เหิมก็ยันตัวลุกขึ้น ท่าทางทุลักทุเลเล็กน้อย เพราะแผลที่ขาที่ได้มาจากไอ้พวกภูเขาดำ โชคดีที่พรานขอมรู้เรื่องสมุนไพรอยู่บ้าง จึงมีสมุนไพรมาใส่แผลให้ดีขึ้น
“คิดดีแล้วเหรอไอ้เหิม”
คำถามของพรานขอมหยุดตัวไอ้เหิมได้ทันที มันหมุนตัวมายืนจ้องหน้าพร้อมคำถามที่คาใจ “หมายความว่าไง”
“ก็หมายความว่า ที่จะไปต่อนะ จะเอาคำตอบอะไรไปให้คนที่จ้างมา เมื่องานไม่สำเร็จ โผล่หน้าไปให้เห็น ก็เหมือนเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่าๆ”
คำพูดนี้น่ากลัว แต่หน้าไอ้เหิมไม่มีความตกใจเลย แถมยังยอมรับออกมาอีกว่า “ก็ใช่ แต่ถ้ามึงไม่รู้อะไร ก็อย่าแนะนำดีกว่า อีกอย่างกูจะบอกให้ว่า ตัวมึงเองก็ใช่ว่าจะรอด เพราะมึงก็ติดร่างแหไปกับกูแล้วด้วย”
“หมายความว่าไง” คำถามเดิมถูกย้อนกลับไป ให้พรานขอมร้อนตัวขึ้นมาทันที
“ก็หมายความว่า มึงจะเอาตัวรอดคนเดียวไม่ได้ ยังไงมึงก็ต้องอยู่กับกู และถ้ามึงหนีเมื่อไหร่ ไข้โป้งก็จะเจาะเข้าที่หัวใจมึงทันที”
“นี่มึงจะบอกข้าว่า งานที่รับมานั้นเป็นความลับสูงสุดงั้นเหรอ”
“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ว่างานนี้สำคัญเท่าชีวิต”
“แต่ข้าไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”
“มึงเห็นเต็มตาแล้วต่างหาก แล้วต้องสานต่อให้จบ จบแบบสวยๆด้วยนะ ถ้าไม่ ลมหายใจก็หายไปจากโลกนี้แทน หึๆๆๆ”
พรานขอมถึงกับกัดฟันดังกรอด แล้วนึกย้อนไปถึงวันที่เขาจะได้เจอกับมัน วันนั้นเพื่อนบ้านพามันมาหา บอกว่ามันต้องการพรานนำทางเข้าไปในป่า ท่าทางมันตอนนั้นก็บอกให้เขารู้ว่าคงไม่ใช่งานเดินป่าธรรมดา ความกังขาเกิดขึ้นมาให้ต้องชั่งใจ แต่เหมือนมันจะรู้ใจ จึงเสนอค่าจ้างที่แพงกว่าที่เคยได้รับมา ข้อกังขาที่เกิดขึ้นจึงถูกละเลย แต่ไม่คิดว่าจะต้องเดิมพันด้วยชีวิตแบบนี้
“เอาน่าพราน พยายามทำให้มันจบให้สวยแล้วกัน ชีวิตจะได้สบาย”
มันพูดเหมือนหว่านล้อมพร้อมปลอบ แต่แววตาเยาะหยันความโลภของอีกฝ่าย ที่นำการผูกมัดมาทำให้ชีวิตสั้นลง แล้วบอกพรานขอมด้วยสายตาว่าให้เดินนำต่อไปได้แล้ว ซึ่งก็ออกเดินทั้งที่หัวใจหนักอึ้ง เพราะชีวิตนับจากนี้ไปอยู่ในความเสี่ยงที่น่าหวาดกลัวจริงๆ
*****
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
ดวงจันทราลอยเด่นขึ้นบนท้องฟ้า เหนือพงไพรของภูเขาดำ แสงสีเหลืองนวลละมุนจับตาคนที่มองอยู่ แต่ไม่ได้ตรึงความคิดของผู้นำหุบผาเขียวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ที่วางอยู่บนสนามหญ้าหน้าเรือนพักของตัวเอง ให้หยุดนิ่งอยู่กับแสงนั้นได้ เพราะมีเรื่องที่ต้องคิดคำนึงถึงอยู่นั่นเอง และเรื่องใดก็ไม่ทำให้ต้องคิดเท่ากับเรื่อง...ที่ผู้พิทักษ์มือหนึ่งไม่มาคุ้มครองผู้ครองบัลลังก์ ซึ่งเขาก็รู้แล้วว่า มันหายตัวไป
วิหคเพิ่งได้รับข่าวนี้มาจากลูกน้องที่ทำตัวเป็นหมานัย คอยสอดแนมความเป็นไปในภูเขาดำ รายงานมาให้รู้ และก็รู้โดยปริยายเช่นกันว่าหุบผาอื่นๆก็คงรู้ข่าวนี้แล้วเช่นกัน เพราะต่างก็มีคนสอดแนมของตัวเองทั้งนั้น อยู่ที่ว่าใครจะซ่อนได้มิดชิดกว่ากันเท่านั้น มุมปากของวิหคยกขึ้นหยันความหน้าซื่อใจคดของไอ้ผู้นำอีกสองหุบผา ที่ต่อหน้าก็ทำราวกับไม่รู้เรื่องอะไร แต่ความจริงนั้นต่างก็รู้เช่นเห็นชาติกันหมดแล้ว แล้วตวัดสายตาไปมองร่างสูงของคนที่กำลังเดินตรงมาหา ซึ่งไม่ใช่ใครเวหาลูกชายของเขา กับพิชิตคนสนิทนั่นเอง
ทั้งหมดเดินมาหยุดยืนหน้าผู้นำ ก้มคำนับบอกความเคารพ แล้วเวหาก็นั่งลงบนเก้าอี้ข้างคนเป็นพ่อ ส่วนพิชิตนั้นยืนหลังเก้าอี้ที่นายทั้งคู่นั่งอยู่
“รู้ข่าวแล้วใช่ไหม”
เวหาเลิกคิ้วเข้มของตัวเองขึ้นเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำถามของคนเป็นพ่อ แล้วพยักหน้าเป็นการบอกให้รู้ว่ารู้ โดยไม่ต้องถามว่าเรื่องอะไรเพราะพอจะรู้อยู่แล้ว
“แล้วจะหาคำตอบได้หรือเปล่า ว่าที่มันไม่โผล่หน้ามา มันหายไปไหน”
“ได้ครับ”
คำตอบของลูกชายนั้นทำให้วิหค ต้องเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย และบอกด้วยสายตาให้พูดอธิบายออกมา ซึ่งเวหาก็บอกว่า “มันยังไม่ได้หายไป ยังอยู่ แค่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนเท่านั้นเอง”
“หมายความว่าไง หรือว่าที่มันหายไปเพราะ...แก”
ไม่มีคำปฏิเสธจากเวหา แต่คนเป็นพ่อก็ยังไม่คิดว่าใช่ เพราะลูกชายเขานั่นเป็นลูกไม้ใต้ต้น สีหน้าที่มีรอยยิ้มนิดๆติดอยู่นั้นคือความเจ้าเล่ห์ไม่ต่างจากเขา ฉะนั้นการที่ไม่ได้ยินคำพูดที่ออกมาจากปาก ก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าใช่ แล้วก็เป็นอย่างที่เขาคิด เมื่อลูกเขาบอกว่า
“ผมไม่เอาตัวไปเสี่ยงแบบนั่นหรอกครับ แต่ที่ผมรู้ เพราะผมมีคำตอบของเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ในมือต่างหาก”
“ใคร”
เวหายื่นหน้าไปกระซิบบอกคนเป็นพ่อ ดวงตาผู้นำหุบผาเขียวเปิดกว้างทันทีที่ได้ยิน แล้วยิ้มกว้างออกมา “โชคเข้าข้างเราซินะ”
“ครับ แต่...”
คำว่าแต่นั้นทำให้รอยยิ้มบนหน้าคนเป็นพ่อหายไป และเริ่มจะเห็นเค้าลางบางอย่าง “มีอะไร” เสียงถามติดจะเครียดเพราะรู้สึกเหมือนว่าขนมหวานที่ได้มายังไม่ทันได้ลิ้มลองความอร่อย ก็ถูกแย่งชิงไปเสียแล้ว สีหน้าของเวหาไม่ต่างกันแล้วบอกว่า
“มันเจ็บหนัก ความเป็นความตายเท่าเส้นด้ายเท่านั้นครับ”
“ตึงมากขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เรียกว่าบางพร้อมจะขาดได้ทุกเวลาดีกว่าครับ เลือดเต็มตัว แผลที่ขาไม่หนักเท่าไร แต่บาดแผลที่ท้องสาหัสจนน่าหนักใจครับ และยังมีที่คออีก หมอที่พาไปดู ไม่มีคำรับรองให้ด้วยครับ”
“แล้วมันพูดอะไรออกมาบ้างหรือเปล่า”
“ยังครับ ยังไม่ได้คำตอบอะไรเลย มันยังสลบอยู่”
“แล้วเจอมันได้ยังไง”
“ต้องยกความดีให้กับพิชิต ที่ออกตามหาตัวไอ้ผู้พิทักษ์ แกะรอยเผื่อโอกาสจะเป็นของเรา ที่จะลอบกัดกำจัดมันออกไปให้พ้นเส้นทางสู่ยอดเขาของเราเสียที แต่เจอมันเข้าเสียก่อน” เขาบอกแล้วหันไปมองคนสนิทของพ่อ สายตาชื่นชมจน พิชิตต้องก้มหน้าลงรับ
“ขอบคุณครับ ตอนที่เจอมัน มันปกปิดหน้าตาด้วยหมวกไอ้โม่งแต่ยังมีสติอยู่ ผมเกือบจะฆ่ามันเพราะคิดว่ามันเป็นผู้บุกรุก แต่คำว่าผู้พิทักษ์ที่ออกมาจากปากมัน ทำให้ผมต้องยั้งมือ และไม่มีโอกาสถามอะไรเพราะมันสลบไป จึงดึงหมวกไอ้โม่งออกแล้วเอาตัวมาเพื่อผลประโยชน์ของเรา”
“ทำได้ดีมาก แต่...” ผู้นำหุบผาเขียวสบตาคนสนิทของตัวเอง เมื่อมีบางสิ่งที่อยากรู้ ก็ถามออกมา “เห็นหน้าแล้วรู้จักมันไหม”
“ไม่ครับ”
“แน่ใจ” เขาถามย้ำและคำตอบจากพิชิตก็ย้ำชัดเช่นกัน
“ครับ”
“แล้วมันรู้จักไอ้ผู้พิทักษ์ได้ยังไง”
คำถามนี้ทำให้ทั้งลูกน้องและลูกชายพากันนิ่งงัน และพากันครุ่นคิด แต่ไม่มีคำตอบที่จะบอกผู้นำหุบผาเลย นอกจากเวหาจะให้ความเห็นว่า “แสดงว่ามันต้องเป็นคนของใครสักคนในภูเขาดำแห่งนี้ เพราะตอนนี้ผู้ครองบัลลังก์แก่มากแล้ว วัยที่ร่วงโรยเปรียบเหมือนใบไม้สีน้ำตาลใกล้จะร่วงลงจากต้น ตำแหน่งผู้ครองบัลลังก์จึงเหมือนสมบัติที่มีค่ามหาศาล ที่ใครๆก็อยากจะครอบครอง”
“พ่อก็คิดอย่างนั้น ไม่งั้นมันจะพูดคำว่าผู้พิทักษ์ออกมาได้ยังไง ที่สำคัญมันต้องแกะรอยอยู่แน่ ถึงได้ตามไปเล่นงานได้ถูก แต่พ่อยังสงสัยอีกอย่าง ไอ้ผู้พิทักษ์มือหนึ่งมันหายไปทำอะไร”
ทั้งลูกชายและลูกน้องพากันนิ่งไปอีกครั้ง แล้วพิชิตก็เป็นเอ่ยออกมาหลังจากไปสืบข่าวเพิ่มเติมแต่ไม่ได้อะไรกลับมา “ไม่มีข่าวเล็ดรอดออกมาเลยครับท่าน ไอ้ผู้พิทักษ์คนอื่นๆก็ปิดปากเงียบ”
“งั้นก็หาทางให้ใครสักคนเปิดปากออกมาซิ”
“คงจะยากครับท่าน เพราะพวกมันทุกคนถือสัตย์เป็นที่ตั้ง ถือคำปฏิญาณเทียบเท่าชีวิต ต้องกรีดเลือดสาบาน ต้องผ่านการฝึกทั้งร่างกายและจิตใจ กว่าจะได้เป็นผู้พิทักษ์ดูแลผู้ครองบัลลังก์ และถ้าใครเสียสัตย์รักษาคำพูดไม่ได้ ความตายไม่เพียงพอแต่ความทรมานนั้นต่างหากที่พอเพียง”
คำพูดของลูกน้องนั้น ผู้นำหุบผาเขียวก็รู้ แต่เขาไม่เคยเชื่อว่าความสัตย์มันจะมีอยู่จริง เพราะในโลกของความจริงสัตว์ที่ว่าเชื่องยังทำร้ายเจ้าของ แล้วจิตใจมนุษย์ที่ว่าประเสริฐนั้นแท้จริงแล้วเลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์ สามารถทำร้ายทุกคนได้เพื่อความต้องการของตัวเอง มุมปากเขายกหยันความจริงที่ได้พบเห็นมา แต่ที่พูดออกมาคือ
“งั้นกุญแจสำคัญที่จะให้คำตอบเราได้ ก็มีแค่คนเดียวในตอนนี้คือไอ้โม่ง ถ้ามันรอด ก็เหมือนเรากำเส้นชัยอยู่ในกำมือ ฉะนั้นอย่าให้มันตายเด็ดขาด ไม่ว่าจะยังไง ต้องยื้อวิญญาณมันมาจากยมบาลให้ได้”
“ครับท่าน ผมจะทำให้ดีที่สุด” รับคำแล้ว พิชิตก็ก้มหน้าบอกลาเจ้านายทั้งสองคน เพื่อไปยื้อวิญญาณไอ้โม่ง
สองพ่อลูกยังนั่งอยู่ที่เดิม บรรยากาศยามค่ำคืนเย็นสบายด้วยสายลมจากพงไพรที่ล้อมรอบอยู่ แสงดาวก็ระยิบให้ความสวยงาม แต่สมองยังมีเรื่องให้คิดมากกว่าจะสนใจสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา การหาทางเพื่อจะขึ้นไปให้ถึงยอดเขานั้น มันไม่ได้ง่ายเลย เพราะต้องช่วงชิงกับคนอีกสองกลุ่ม ไม่ใช่แค่นั้นยังมีคนปริศนาเพิ่มมาให้ต้องคิดเพิ่มมากขึ้นอีก
“พ่อคิดว่าไอ้โม่งนั้นน่าจะเป็นคนของใครครับ” เวหาพูดแทรกความเงียบขึ้นมา
“เป็นไปได้ทุกคน”
“แม้แต่ผู้ครองบัลลังก์หรือ...ตัวเราเองเหรอครับ”
ผู้นำหุบผาสบตาลูกชายนิ่งๆ แล้วลุกขึ้นยืนพร้อมกับบอกว่า “พ่อจะไปพักแล้ว และจำไว้ว่า บางอย่างคิดได้ แต่ไม่ควรพูดออกมา เพราะมันจะกลายเป็นดาบสองคม ที่จะย้อนกลับมาฆ่าเราเอง”
พูดจบก็เดินตรงไปที่เรือนทันที ทิ้งให้ลูกชายนั่งนิ่งคิดถึงคำเตือนเมื่อกี้ เขาพลาดไปจริงๆ แต่ว่าความเป็นไปได้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย เมื่อปริศนายังอยู่ เขาก็ไม่อยากให้ค้างคาใจ จึงลุกขึ้นเดินตามพิชิตไป เผื่อจะได้คำตอบที่ต้องการ
**********
ใต้ท้องฟ้าในค่ำคืนที่ยังมืดมิด แต่เรือนของผู้นำหุบผาแดงยังมีแสงไฟสว่างอยู่ ร่างสูงที่ยังสง่างามแม้อายุจะเลยมาเกินครึ่งหนึ่งของชีวิตแล้ว พยัคยืนอยู่บนระเบียงเรือน สายตามองตรงไปที่สนามหญ้าหน้าเรือน ที่ซึ่งเป็นความทรงจำให้คิดถึงเมียรักที่จากไปหลายปี ทิ้งลูกชายให้ดูต่างหน้าไว้คนเดียว แต่ลูกชายที่ชอบอยู่อย่างสงบรักธรรมชาติมากกว่าการต่อสู้ สร้างความหนักใจให้เขาอยู่พอสมควร... หรือหุบผาแดงที่เขาสืบทอดการดูแลมาตั้งแต่บรรพบุรุษ จะสิ้นสุดลงแค่ที่เขา
“ท่านครับ”
เสียงเรียกดังขึ้นหยุดความคิดของพยัค ผู้นำหุบผาแดง ตวัดสายตาไปยังที่มาของเสียง ซึ่งก็คือลูกน้องคนสนิทเสือกับสิงห์นั่นเอง ทั้งคู่ยืนนิ่งอยู่หน้าระเบียง เขาจึงพยักหน้าให้ขึ้นมาด้านบน ทั้งสองคนจึงก้าวขึ้นบันไดมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าคนเป็นนายที่ให้ไปกรองข่าวที่ได้รับรู้มา
“ไม่มีความคืบหน้าครับท่าน” สิงห์เป็นคนรายงานออกมา “ทุกอย่างยังนิ่งเงียบ ผู้พิทักษ์มือหนึ่งยังไม่กลับมา”
“แล้วที่เรือนผู้ครองบัลลังก์เป็นไงบ้าง”
“เงียบสงบเหมือนเดิม ทุกอย่างปรกติเสมือนว่าการหายตัวไปของเขา ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับที่นั้นเลยครับ”
“น้ำนิ่งกำลังไหลลึกอยู่ละซิ”
ลูกน้องคนสนิททั้งสองคนตวัดสายตามามองกัน อย่างพอจะรู้ความนัยที่คนเป็นนายสื่อออกมา ว่าหมายถึงการรอดูท่าทีจากทุกฝ่ายอยู่ แม้ยังไม่มีอะไรชัดเจน แต่สัญญาณมันก็เริ่มก่อตัวขึ้นมาแล้ว การหายตัวไปอย่างไม่มีสาเหตุของผู้พิทักษ์มือหนึ่ง คิดไปได้หลายอย่าง ว่าอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา หรือไปสืบหาอะไรบางอย่างกันแน่
“ถ้าเป็นอย่างที่เราคิด จากนี้ไปพื้นน้ำคงไม่นิ่งแล้วละครับ คงมีรอยกระเพื่อมให้เห็นกันบ้าง”
“ใช่ แต่ก่อนจะมีรอยกระเพื่อม ฉันกลัวว่าน้ำจะกัดเซาะภูผาให้หายไปเสียก่อน และถึงตอนนั้นภูเขาดำจะร้อนเป็นไฟ เพราะไอ้พวกที่รอจะฮุบอำนาจต้องเคลื่อนไหวออกมาให้เห็น”
“แต่ภูผาแข็งแกร่งคงไม่มีอะไรทำลายได้ง่ายๆ” เสือเอ่ยออกมาเพราะเคยทดสอบฝีมือกันมาแล้วว่าเก่งกาจเพียงใด คงยากที่ใครจะทำอะไรได้
“น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน แล้วคิดดูซิว่าชีวิตคนแค่คนเดียว เป็นเป้าให้คนหลายคน ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ยากที่จะต้านทาน สักวันก็ต้องพลาดพลั้งเหมือนกัน”
เสือกับสิงห์นิ่งไปกับความจริงข้อนี้ น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟฉันท์ใด ภูเขาที่แข็งแกร่งก็ย่อยยับมากับน้ำมือคนมามากมายแล้วฉันท์นั้น ยิ่งคนดูแลไม่มีก็ยิ่งง่ายสำหรับคนที่จ้องจะทำลาย
“ถ้าเป็นอย่างที่เราคิดก็น่าห่วงนะครับท่าน” เสียงเสือกังวลออกมาแต่อีกความคิดหนึ่งก็บอกว่า “แต่ในมุมกลับกันถ้าเป็นอย่างนั้น จะเป็นผลดีกับเรานะครับ เมื่อท่านก็มีสิทธิที่จะขึ้นไปยังตำแหน่งสูงสุดนั้น เท่าๆกับผู้นำอีกสองหุบผา”
“นั่นซินะ ถ้าเพียงแต่ใจฉันละโมบเหมือนคนอื่น ฉันก็น่าจะยินดีกับสิ่งที่เรากำลังคิดอยู่ แต่ถึงจะไม่ละโมบฉันก็ควรจะรักษาสิทธิของตัวเองเพื่อทุกคนในหุบผาแดงแห่งนี้”
“หมายความว่านายจะเป็นน้ำกัดเซาะภูเขาเหมือนกัน”
“คิดว่าฉันควรจะทำไหมละ”
“ที่สุดครับ” เสือตอบออกมาเพราะรู้ใจเจ้านายดี เนื่องจากรับใช้มาหลายปี สิงห์ก็คิดไม่ต่างกัน และรอฟังว่าคนเป็นนายจะตกลงใจว่ายังไง
ผู้นำหุบผานิ่งคิด ไม่นานก็มีคำตอบให้คนสนิท “ไปพักเถอะ”
ทั้งสองคนนิ่งไปกับคำตอบที่ได้ยิน แต่ไม่ถามอะไรออกมา เพราะเข้าใจดีว่าเวลาที่คิดนั้นน้อยเกินไป เรื่องสำคัญกับสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้ใจอย่างนี้ ต้องมีเวลาคิดมากๆ เพราะถ้าพลาดไปแม้แต่เพียงนิดเดียว ชีวิตอาจจะดับดิ้นได้ แล้วก้มหน้าลงบอกลา เดินลงจากเรือนไป
สิ่งที่ทั้งสองคนคิดไม่ต่างจากที่คนเป็นนายคิด พยัคหมุนตัวเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวยาวที่วางอยู่ไม่ห่าง พร้อมกับคิดว่าเขาจะไม่เป็นน้ำที่กัดเซาะภูเขา จะไม่เป็นไฟที่เผาผลาญป่า แต่เขาจะเป็นคนคอยป้องกัน จะไม่ยอมให้ไอ้พวกเห็นแก่ตัว แก่ประโยชน์ของตัวเองมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม ขึ้นมาเป็นใหญ่ จะหาทางขัดขวางทุกวิธีที่พอจะทำได้ แล้วถอนหายใจออกมา เมื่อคนที่เขาพอจะพึ่งได้ ได้หายตัวไปอย่างนี้ แล้วเขาจะทำยังไง ที่น่าห่วงคือผู้เฒ่าโพธิ์ ความชรานั้นเป็นเหมือนขนมหวานของคนที่คอยจะทำลายจริงๆ
ผู้นำหุบผาถอนหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่ ก็ลุกขึ้นเดินไปที่ห้องนอนบนเรือน เพียงเสียงประตูปิดลง ก็มีเงาของคนค่อยๆโผล่ออกมาจากมุมมืดบนเรือน ร่างนั้นเดินมาหยุดยืนตรงที่ผู้นำหุบผายืนเมื่อกี้ แสงไฟที่สว่างอยู่จึงส่องให้เห็นใบหน้าคร้ามคม ซึ่งก็ไม่ใช่ใคร พนา ลูกชายของท่านผู้นำนั่นเอง แววตาเขามีแววครุ่นคิดกับถึงสิ่งที่ได้ยิน และแม้จะไม่ชอบการต่อสู้แต่เขาก็จะไม่อยู่เฉยๆแน่นอน
*******
ยามรุ่งสางตรงเส้นขอบฟ้าแสงตะวันรำไรส่องไพรพนา สกุณาส่งเสียงร้องก้องไปทั่วบริเวณ หยาดน้ำค้างบนใบไม้ไหลหยดลงมาสู่พื้นพสุธา สู่หนุ่มฉกรรจ์ที่นั่งหลับพิงต้นไม้ เพียงความเปียกชื้นกระทบผิว ดวงตาที่ปิดสนิทก็ลืมตื่นขึ้น ตวัดมองไปรอบๆพร้อมฟังเสียงสรรพสัตว์ที่ดังมาให้ได้ยิน ไม่มีเสียงใดเป็นอันตรายให้ต้องระวัง สายตาก็หยุดเมื่อสะดุดกับบางที่อย่างหายไป ซึ่งก็ไม่ใช่อะไร ภาระที่เขารับมาแบกไว้นั่นเอง...
ร่างอรชรแจ่มชัดขึ้นในสมอง พร้อมกับความหวานที่ได้รับกลางธารน้ำใส แต่ไม่ได้มีผลหรืออิทธิพลใดๆกับเขาเลย แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินออกมายืนหน้าเพิง ไม่มีการมองหาเธอที่หายไป เมื่อเธอยังไม่ได้มีค่ามากไปกว่าคำว่า...ภาระ ที่สำคัญสิ่งที่เขาต้องทำอย่างเร่งด่วนก็คือ การหาทางกลับไปหาผู้ครองบัลลังก์ให้เร็วที่สุด ส่วนไอ้คนที่ลอบสังหารเขานั้น ไม่ต้องไปตามหา เมื่อเขายังไม่ตาย ก็เท่ากับงานมันยังไม่สำเร็จ และถ้ามันไม่ตายเสียก่อน มันจะต้องกลับมาหาเขาแน่ๆ
ส่วนว่าใครจะอยู่เบื้องหลังบงการ ก็ไม่ต้องไปสืบหา แค่เพียงเขาพาตัวออกไป คนที่จ้องจะเล่นงานก็จะโผล่ออกมาเอง แล้วสถานการณ์จะทำให้เขารู้ว่าจะจัดการยังไง
ความคิดของภูผาหยุดลง เมื่อเห็นร่างอรชรเดินกลับมา สายตาเขามองเลยไปด้านหลังที่เป็นทางเดินไปยังแอ่งน้ำ ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเธอไปไหนมา แต่ใบหน้างามไม่ได้สดใส ยิ่งเธอเดินเข้ามาใกล้ ก็ยิ่งเห็นชัดว่าซีดเผือด ดวงตาคมจึงหลุบลงมาแผลรอยกระสุนถากที่แขน รอบแผลแดงขึ้น สาเหตุคงเป็นเพราะโดนน้ำ
ขวัญชนกพาตัวเองที่รู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาวมาที่เพิง นั่งลงแล้วเอาใบสาบเสือที่พอจะหามาได้ ช่วยแก้การอักเสบ มาขยี้ให้ละเอียดเพื่อใส่แผล เมื่อเช้าเธอตื่นขึ้นมาเพราะอาการปวดแผล แขนทั้งแขนร้อนผ่าวและปวดจนแทบจะยกไม่ขึ้น ก็มองไปยังคนที่เป็นต้นเหตุ แล้วภาพเหตุการณ์ที่แอ่งน้ำที่ควรจะลืมก็หวนกลับมา ริมฝีปากเหมือนจะเห่อขึ้นมา หน้าก็ร้อนผ่าว หัวใจก็เต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับผู้ชายคนไหนมาก่อน แล้วสลัดมันทิ้งไปเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ความสุข แต่เป็นความอัปยศที่เขาเหยียบย้ำเกียรติของเธอ
เธอฝืนลุกขึ้นเพื่อไปหาสิ่งที่ทำให้หายจากอาการที่เป็นอยู่ ความมืดที่ยังปกคลุมไปทั่วบริเวณไม่ได้เป็นอุปสรรค เพราะพอจะคุ้นทางแล้ว และเสียงสกุณาก็เริ่มจะดังมาบอกสัญญาณให้รู้ว่าอีกไม่ช้าฟ้าก็จะสว่าง... ใบไม้ในมือยังไม่ละเอียดพอที่จะใส่แผล เพราะความเจ็บจึงทำได้ช้ากว่าปรกติ แต่ไม่เอ่ยขอความช่วยเหลือจากคนที่มองเธอเป็นเพียงภาระ และนิ่งไปเมื่อมือหนายื่นเข้ามาจะดึงใบไม้ไปจากมือ
ดวงตากลมสวยตวัดไปมองหน้าคนที่เดินเข้ามานั่งย่องอยู่ใกล้ๆตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แล้วหรี่ตามองใบไม้ในมือที่ยังจับไว้พร้อมกับบอกว่า “ฉันทำเองได้”
“แต่ฉันรอไม่ได้”
ความหมายนั้นก็คือ เขาพร้อมจะทิ้งเธอทุกนาทีซินะ เธอคิดหยันอยู่ในใจแล้วอยากจะทิฐิ อยากจะบอกว่าเชิญทิ้งได้เลย แต่ความหวังที่ฝังอยู่ในใจทำให้ต้องปล่อยมือจากใบสาบเสือ...ภูผาขยี้จนละเอียดก็เอามาใส่แผลให้ เพียงปลายนิ้วสัมผัสผิวเธอ ก็รับรู้ถึงความร้อน ดวงตาคมตวัดขึ้นมองใบหน้าซีด แต่สายตาเมินมองไปทางอื่น แล้วฉีกแขนเสื้อเธอออกมาเป็นผ้าพันแผล เรียบร้อยแล้วก็เอ่ยออกมาว่า
“พักเสีย เดี๋ยวฉันกลับมา”
“ฉันไหว ถ้านายจะไปต่อ”
“อย่าเพิ่มภาระให้ฉัน”
น้ำเสียงดูถูกนั้น ทำให้เธอตวัดสายตากลับมามองหน้าคม ซึ่งยังนิ่งเฉยเหมือนเดิมแต่ความไม่พอใจเธอเพิ่มมากขึ้น จึงเชิดหน้าขึ้นพร้อมกับบอกว่า “ฉันดูแลตัวเองได้”
“แค่ไหน ถ้าแค่อวดดี ก็เก็บไว้ใช้ให้มันถูกที่ถูกทาง และน่าจะรู้ตัวเองดีมากกว่าที่จะเดินไปเพียงไม่นาน ก็ให้ฉันลากเธอไป หรือจะยอมให้ฉันลากเหมือนไม่ใช่คน”
“ฉันไม่ใช่สัตว์”
“ก็หัดคิดให้เหมือนคนเสียบ้าง”
แววตาของขวัญชนกโกรธเกลียดความหยาบคายของเขาทันที แต่มีหรือที่คนป่าเถื่อนอย่างเขาจะสนใจ ยังเพิ่มเติมสายตาที่ฉายความสมเพชเธออีก แล้วยืดตัวขึ้นยืน หมุนตัวเดินออกไปจากเพิง ขวัญชนกมองตามความชิงชังก็ยิ่งเพิ่มขึ้น แต่ไม่นานก็ค่อยๆหายไป สลัดความขุ่นมัวที่เหมือนไฟที่เผาใจตนอยู่เพียงคนเดียวออกไป เมื่อสิ่งที่เขาพูดเธอก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าถูก ร่างกายเธออ่อนแอด้วยแผลที่อักเสบ สมุนไพรที่ใส่ไว้ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้แค่ไหน ถ้าฝืนเดินทางคงได้ถูกลากไปจริงๆ การพักจึงเป็นทางที่ดีที่สุด
เธอถอนหายใจออกมายาวเหยียด เลื่อนสายตามามองแผลแล้วภาวนาขออย่าให้เป็นอะไรไปมากกว่านี้ เพราะเธออยากจะออกไปจากป่าแห่งนี้เต็มทีแล้ว แต่แทนที่เรื่องที่คิดจะก่อให้เกิดความดีใจ กลับเป็นความกังวลที่เกิดขึ้นมาแทน เมื่อความจริงพอออกไปจากที่นี่ ก็ต้องไปอยู่ที่ๆถูกจับมาก็เหมือนการหนีเสือปะจระเข้นั่นเอง... สีหน้าเธอหม่นเศร้าลง แล้วหยุดความคิดความหวังต่างๆให้อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น จึงขยับตัวไปพิงต้นไม้หลับตาลงเพื่อพักแล้วหลับไปโดยไม่รู้ตัว
ภูผาเดินมาหยุดที่แอ่งน้ำ ไม่มีการห่วงกังวลถึงคนที่เขาทิ้งไว้ที่เพิง เพราะแน่ใจว่าแถวนี้ไม่มีอันตรายหรือตัวตายตัวแทนของไอ้โม่งโผล่มาตอนนี้แน่นอน เวลาที่ผ่านมาถ้ามีพวกมันคงรีบมาจัดการกับเขาแล้ว เพราะภาระที่ติดตัวเขาบาดเจ็บ ต้องรีบซ้ำเติม แต่ไม่มีใครโผล่มาก็แสดงว่าไม่มี เขาเดินลงไปล้างหน้าล้างตาแล้วมองปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำ มันคงเป็นอาหารให้เขาอีกมื้อ มีดที่พกซ่อนไว้ใต้ขากางเกง ถูกดึงออกมาล่ามันทันที ตัวไหนที่ว่ายขึ้นมาบนแอ่งตื้นๆไม่รอดจากคมมีดที่ปาไปอย่างแม่นยำ จากนั้นไม่นานก็เดินกลับมาที่เพิง สองตามองร่างอรชรเป็นอันดับแรก
ดวงตาที่ปิดไม่ขยับรับรู้ถึงการกลับมาของเขา แสดงว่าเธอหลับสนิท เขาวางปลาที่ได้มาไว้บนใบไม้ แล้วจัดการหากิ่งไม้แห้งมาก่อไฟ หาไม้มาเสียบตัวปลาแล้วย่างจนส่งกลิ่นหอม คนที่หลับสนิทก็เริ่มจะรู้สึกตัว ห่อตัวเข้าหากันเมื่อรู้สึกหนาว แต่ก็ข่มเอาไว้ เมื่อไม่อยากได้ยินวาจาหยาบคายกับสายตาที่สมเพชจากคนที่เห็นเธอเป็นเพียงภาระอีก
เธอลุกขึ้นเดินจับแขนที่เจ็บมาหาเขา แล้วบอกว่า “ฉันพร้อมแล้ว”
“งั้นก็รองท้องเสีย”
“ฉันไม่หิว”
“ใช้สมองแล้วเหรอ หรือที่ฉันพูดไปไม่จำ อยากให้ฉันลากไปเหมือนไม่ใช่คน” น้ำคำเขาเฉือนใจเธอออกมา แล้วว่ากลับอย่างไม่ยอมให้เขามาว่าเอาฝ่ายเดียว
“ฉันไม่อยากให้มีหนี้บุญคุณเพิ่มขึ้นมา”
“ชีวิตเธอเป็นของฉันแล้ว ยังจะเหลืออะไรเอามาต่อรองกับฉันอีก หรือคิดว่าที่ฉันไม่ทำอะไรมากไปกว่าการจูบห่วยๆนั้น คือสิ่งที่เหลือมาต่อรอง”
“ต่อให้เหลือแค่วิญญาณ ฉันก็จะไม่อ้อนวอนขอร้องนายเด็ดขาด”
“รีบถมน้ำลายเกินไปหรือเปล่า” เสียงเขาหยัน “ในป่าแห่งนี้มีแค่เธอกับฉัน ถ้าเธอไม่พึ่งฉันแล้วจะพึ่งใคร ตัวเองเหรอสภาพที่แย่ๆแบบนี้ เก็บน้ำลายไว้กลืนเถอะ”
ขวัญชนกได้แต่คับแค้นใจ ที่ทำอะไรไม่ได้ไปกว่าการยอมรับว่าเขาพูดถูก จึงเดินไปนั่งตรงกันข้ามกับเขา หยิบปลาย่างที่เสียบวางอยู่ข้างกองไฟมากิน โดยไม่สนใจว่าเขาจะกินแล้วหรือไม่ เนื้อปลาที่สดจะหวานหอมแต่เธอรู้สึกขม แต่ก็ฝืนทนกิน โดยมีสายตาคมจับจ้องแต่เธอไม่เห็น กระทั่งกินไปได้ครึ่งตัว ก็วางไว้ที่เดิม ดื่มน้ำตามเรียบร้อยแล้วก็มองหน้าคม ซึ่งลุกขึ้นไปเอาดินแห้งๆมาดับไฟจนไม่มีเชื้อแดงให้ลุกติดขึ้นมาอีก แล้วเดินไปหยิบน้ำที่เหลืออยู่ในกระบอกไม้ไผ่มาถือไว้ก็ออกเดิน
หญิงสาวลุกขึ้นเดินตามทั้งๆที่รู้สึกไม่ดี ตัวเธอกำลังจะเป็นไข้ สมองบอกเธออย่างนั้น แต่ไม่ใช่เวลาที่จะมาอ่อนแอ แรงใจที่มีถูกดึงมาสร้างความเข้มแข็งให้ร่างกายสู้ ก้าวตามร่างสูงที่ทิ้งระยะห่างประมาณช่วงตัว...
ดวงอาทิตย์ลอยสูงขึ้นตามวัฏจักรการหมุนของโลก ร่างสูงยังคงก้าวเดินไปตามแนวป่าที่ทึบบ้างโปร่งบ้าง โดยไม่ได้หันมามองภาระที่ตามมาข้างหลัง นั่นเพราะหูเขาฟังการเคลื่อนไหวของเธออยู่ตลอดเวลา และจับได้ว่าขาที่ก้าวเดินช้าลง แต่ตัวเขายังคงเดินอย่างสม่ำเสมอเช่นเดิม กระทั่งเสียงเดินหายไป เขาก็หันหน้ามามองข้างหลัง ไม่มีร่างของภาระ ดวงตาคมหรี่ลงนิดๆก็เดินย้อนกลับมาอย่างระวัง เพราะไม่แน่ใจว่าที่เธอหายไป เพราะเหนื่อยหรือตัวตายตัวแทนของไอ้โม่งโผล่มา
เขาเดินมาถึงตรงที่จับได้ว่าเสียงเธอหายไป ก็กวาดตามองหา แล้วก็ได้เห็นร่างอรชรนอนนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ ขายาวๆก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็มาหยุดยืนอยู่ข้างๆ สายตาสำรวจตัวเธอ ทรวงอกที่สะท้อนขึ้นลงนั้นบอกถึงการมีชีวิต ก็เลื่อนสายตาไปมองใบหน้า ซึ่งซีดลงยิ่งกว่าเดิม ก็ยื่นมือไปจับแขนเธอทันที ความร้อนผ่าวแล่นผ่านมือให้เขารู้ถึงสาเหตุที่เธอหมดสติไปอย่างนี้
สองแขนอุ้มตัวเธอขึ้นมา พาเดินไปหาที่พักที่ต้องใกล้น้ำและอาหาร แต่จะไม่กลับไปยังเพิงที่ทิ้งมาเพราะเดินมาไกลเกินกว่าจะกลับไปให้เสียเวลา และไกลจากสายธารที่ไหลรวมเป็นแอ่งน้ำ ที่เขาไม่อาจยึดเป็นเส้นทางการเดินกลับไปหาผู้ครองบัลลังก์ เพราะไม่อาจไว้ใจ ที่มองไม่เห็น หยั่งไม่ได้ของผู้นำแต่ละหุบผา แต่ตอนนี้เขาคงต้องเสี่ยงหาที่พักใกล้แอ่งน้ำเพื่อรักษาชีวิตเธอ
ต้นไม้ใหญ่ใกล้สายธารแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ใต้ต้นมีต้นหญ้าเล็กๆเขียวชอุ่มปกคลุมเหมือนพื้นพรม รองรับร่างอรชรที่เขาปล่อยออกจากอ้อมแขน แล้วเทน้ำจากกระบอกไม้ไผ่ใส่ฝ่ามือ ลูบหน้าเธอเพียงสองครั้ง เธอก็เริ่มรู้สึกตัว ดวงตาขยับก่อนจะลืมขึ้น เห็นหน้าคมที่อยู่ใกล้จนเห็นรอยแผลเป็นเท่าเส้นดาย แล้วภาพที่ตัวเองเดินโงนเงน ไม่อาจฝืนได้อีกเพราะพิษไข้เล่นงานจนร่างกายปวดร้าวไปหมด สุดท้ายเธอก็หมดสติไปให้เขาลากมาที่นี่ซินะ แล้วหลับตาลงเมื่อไม่อยากจะเห็นความสมเพชจากแววตาเขาอีก
“ลืมตาขึ้นมา” เสียงห้วนห้าวกร้าวดุออกมา “ห้ามหลับ”
ดวงตากลมสวยเปิดปรือขึ้นมา แล้วเมินไปทางอื่น ก่อนจะหันกลับมาเมื่อมือหนายื่นมาแกะกระดุมเสื้อเธอ “จะทำอะไร” เสียงเธอดังขึ้นอย่างตกใจ แต่ความจริงดังแผ่วจนแทบจะไม่ได้ยิน
“แก้ผ้าเธอไง”
“ไม่”
“อยากเป็นผีเฝ้าป่าหรือไง”
“ใช่” เสียงแผ่วยังคงทระนง จะไม่ยอมกลืนน้ำลายตัวเองให้เขาหยามหยันไปมากกว่านี้
“แต่ฉันไม่ยอม เพราะยังใช้ชีวิตเธอไม่คุ้มเลย”
พูดจบเขาก็แกะกระดุมเสื้อเธอออก ขวัญชนกยกมือขึ้นปัดป้องทันที แต่ไข้ที่รุมเร้าอยู่ลดทอนเรียวแรงให้เหลือเท่ามด ที่ไต่ไปตามตัวเขาเท่านั้น แค่ปัดเพียงนิดเดียวก็ร่วงผล็อยแล้ว จึงขอร้องเขาด้วยสายตา แต่ภูผาไม่มีจะให้เหมือนเดิม เขาถอดเสื้อออกจากตัวเธอ แล้วเอาไปซักล้างคราบเลือดกับคราบสกปรกที่ติดอยู่ จนดูสะอาดขึ้น ก็เอากลับมาเช็ดตัวเธอให้ไข้ลดลง จากนั้นก็ถอดเสื้อตัวเองให้เธอใส่ เรียบร้อยแล้วตัวเธอก็คอพับหลับไปทันที
ภูผาถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วใช้หลังมือแตะหน้าผากเธออีกครั้ง ความร้อนลดลง แต่ใช่ว่าอาการไข้ของเธอจะดีขึ้น เมื่อร่างอรชรขดตัวเข้าหากันบอกความหนาว เขาก็ขยับไปนั่งใกล้ๆ ดึงตัวเธอมาซบอกให้ความอบอุ่น ซึ่งก็เบียดเข้าหาราวกับเขาคือผ้าห่มคลายหนาว ก็หรี่ตามอง สายตายังนิ่งเฉยดุจเดิมแต่ความใส่ใจเพิ่มเข้ามาโดยไม่รู้ตัว
*********
เสียงสกุณายังร้องดังก้องอยู่ในพงไพร เงียบหายไปเมื่อได้ยินเสียงบางอย่าง มันโผบินขึ้นจากกิ่งไม้ที่เกาะอยู่ไปยังอีกกิ่งเพื่อความปลอดภัย และเฝ้ามองที่มาของเสียงซึ่งก็คือคนสองคน คนหนึ่งนั้นที่แก้มมีแผลที่เพิ่งได้มาไม่นาน ขาก็เดินกะเผลกเพราะเจ็บส่วนอีกคนปรกติ สีหน้าแววตาของทั้งคู่มีความเหน็ดเหนื่อยอิดโรย เพราะเดินบุกป่าที่รกทึบกันมา... แสงแดดส่งความร้อนมาให้รู้สึกเหนื่อยมากขึ้น จนต้องหยุดพักใต้ต้นไม้ใหญ่ ตวัดสายตามองไปรอบๆ ก็เห็นแต่ต้นไม้ที่รวมกันแน่นหนาเป็นป่าใหญ่
“เมื่อไรเราจะพ้นไปจากป่านี้สักที” ถามแล้วคนถามก็ทรุดตัวลงนั่งใต้ต้นไม้ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครไอ้เหิมมือปืนรับจ้างชิงตัวลูกสาวพันโทคนสำคัญนั่นเอง แต่งานที่กำลังจะสำเร็จกลับพลาด แถมยังต้องหนีหัวซุนอยู่ในป่าพร้อมพรานเฒ่าที่จ้างมา
“ไม่เกินค่ำนี้เราได้ออกไปแน่” คนตอบคือพรานขอม ที่ยืนมองป่าตรงหน้าอยู่ไม่ห่าง
“แน่ใจ” เสียงถามนั้นไม่มีความเชื่อถือเลย เพราะเห็นความโง่ของอีกฝ่ายมาแล้ว และอยากจะยิงมันทิ้งให้เหมือนหมา เพราะเป็นต้นเหตุพาไปสู่ความหายนะ ที่ชีวิตเกือบจะหาไม่มาแล้ว แต่ที่ยังต้องเดินตาม เพราะคิดว่ามีมันเป็นที่พึ่งดีกว่าไม่มี
พรานขอมหันมามองคนที่พูดจาดูถูก แล้วเหยียดริมฝีปากออกเยาะ ไม่มีความเกรงกลัวหรือคิดว่ามันคือนายจ้าง เพราะตอนนี้น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าฉันท์ใด มันก็ต้องพึ่งเขาฉันท์นั่น แต่ยังไม่อยากหักหาญน้ำใจกันมากนัก เพราะค่าจ้างวานก้อนใหญ่ยังไม่ได้มา
“แน่ซิไอ้เหิม ข้ารับรองว่าคืนนี้ได้นอนบนฟูกแทนนอนบนดินแน่นอน”
“ถ้างั้นก็ไม่ต้องพักแล้ว ไปต่อกันเลย” ว่าแล้วไอ้เหิมก็ยันตัวลุกขึ้น ท่าทางทุลักทุเลเล็กน้อย เพราะแผลที่ขาที่ได้มาจากไอ้พวกภูเขาดำ โชคดีที่พรานขอมรู้เรื่องสมุนไพรอยู่บ้าง จึงมีสมุนไพรมาใส่แผลให้ดีขึ้น
“คิดดีแล้วเหรอไอ้เหิม”
คำถามของพรานขอมหยุดตัวไอ้เหิมได้ทันที มันหมุนตัวมายืนจ้องหน้าพร้อมคำถามที่คาใจ “หมายความว่าไง”
“ก็หมายความว่า ที่จะไปต่อนะ จะเอาคำตอบอะไรไปให้คนที่จ้างมา เมื่องานไม่สำเร็จ โผล่หน้าไปให้เห็น ก็เหมือนเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่าๆ”
คำพูดนี้น่ากลัว แต่หน้าไอ้เหิมไม่มีความตกใจเลย แถมยังยอมรับออกมาอีกว่า “ก็ใช่ แต่ถ้ามึงไม่รู้อะไร ก็อย่าแนะนำดีกว่า อีกอย่างกูจะบอกให้ว่า ตัวมึงเองก็ใช่ว่าจะรอด เพราะมึงก็ติดร่างแหไปกับกูแล้วด้วย”
“หมายความว่าไง” คำถามเดิมถูกย้อนกลับไป ให้พรานขอมร้อนตัวขึ้นมาทันที
“ก็หมายความว่า มึงจะเอาตัวรอดคนเดียวไม่ได้ ยังไงมึงก็ต้องอยู่กับกู และถ้ามึงหนีเมื่อไหร่ ไข้โป้งก็จะเจาะเข้าที่หัวใจมึงทันที”
“นี่มึงจะบอกข้าว่า งานที่รับมานั้นเป็นความลับสูงสุดงั้นเหรอ”
“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ว่างานนี้สำคัญเท่าชีวิต”
“แต่ข้าไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”
“มึงเห็นเต็มตาแล้วต่างหาก แล้วต้องสานต่อให้จบ จบแบบสวยๆด้วยนะ ถ้าไม่ ลมหายใจก็หายไปจากโลกนี้แทน หึๆๆๆ”
พรานขอมถึงกับกัดฟันดังกรอด แล้วนึกย้อนไปถึงวันที่เขาจะได้เจอกับมัน วันนั้นเพื่อนบ้านพามันมาหา บอกว่ามันต้องการพรานนำทางเข้าไปในป่า ท่าทางมันตอนนั้นก็บอกให้เขารู้ว่าคงไม่ใช่งานเดินป่าธรรมดา ความกังขาเกิดขึ้นมาให้ต้องชั่งใจ แต่เหมือนมันจะรู้ใจ จึงเสนอค่าจ้างที่แพงกว่าที่เคยได้รับมา ข้อกังขาที่เกิดขึ้นจึงถูกละเลย แต่ไม่คิดว่าจะต้องเดิมพันด้วยชีวิตแบบนี้
“เอาน่าพราน พยายามทำให้มันจบให้สวยแล้วกัน ชีวิตจะได้สบาย”
มันพูดเหมือนหว่านล้อมพร้อมปลอบ แต่แววตาเยาะหยันความโลภของอีกฝ่าย ที่นำการผูกมัดมาทำให้ชีวิตสั้นลง แล้วบอกพรานขอมด้วยสายตาว่าให้เดินนำต่อไปได้แล้ว ซึ่งก็ออกเดินทั้งที่หัวใจหนักอึ้ง เพราะชีวิตนับจากนี้ไปอยู่ในความเสี่ยงที่น่าหวาดกลัวจริงๆ
*****
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ก.ย. 2559, 16:20:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ก.ย. 2559, 16:20:28 น.
จำนวนการเข้าชม : 1759
<< ตอน 4 | ตอน 6 >> |
แว่นใส 9 ก.ย. 2559, 19:19:48 น.
เรื่องมันยุ่งเนอะ
เรื่องมันยุ่งเนอะ
Zephyr 14 ก.ย. 2559, 10:53:09 น.
ทุกอย่างมีความเสี่ยง
ทุกอย่างมีความเสี่ยง