กลลวงรักจอมบาป
“ผมชอบก้นงอนๆ ของคุณจริงๆ ถ้ามีโอกาสได้ก้าวร้าวใต้ร่างผมเมื่อไหร่ 
เรื่องอัปไซส์เป็นคัพบีหรือมากกว่านั้นคงไม่มีปัญหา”

ชีวิตโสดของ อคิลลีส  คูแลนท์ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
ผู้มั่งคั่งแห่งเวสต์อเมริกา เขามีความสุขอย่างสุดเหวี่ยงกับปาร์ตี้
และการแสดงโชว์เปลือยที่มีอย่างกลาดเกลื่อนในลาสเวกัส
กลับต้องสะดุดเมื่อน้องชายซึ่งเป็นดาราดังของฮอลลีวูด
เสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ แต่นั่นยังไม่ทำให้ชีวิตของ 
‘จอมบาปแห่งลาสเวกัส’ วุ่นวายเท่ากับการต้องกลายเป็น
ผู้ปกครองของเด็กชายวัยขวบครึ่ง ซึ่งอยู่ในความดูแลของ 
‘แม่สาวก้นงอน’ ที่คอยจะ ‘ตัดคะแนน’ เขาตลอดเวลา!

หากเปรียบเขาเป็นความชั่วร้าย ปภัชสา ซึ่งเป็นหนึ่งใน
เจ้าหน้าที่ประเมินความพร้อมผู้ปกครองคนใหม่ของเด็กน้อย
ก็เปรียบเสมือนความดีงามของโลกที่หลงเหลืออยู่อย่างน้อยนิด 
เด็กกำพร้าที่เติบโตขึ้นมาจากจิตอันเป็นกุศลของผู้ใจบุญ
ย่อมไม่มีทางคล้อยตาม ‘ความคิดเจ้าเล่ห์ของจอมบาป’
ซึ่งประกาศกร้าวว่าต้องการเชยชมเรือนร่างของเธอด้วยการใช้ 
‘เหตุผลสองข้อ’ ที่เธอขาดแคลนมาทั้งชีวิตเข้าล่อลวงโดยเด็ดขาด!
Tags: แด็ดดี้เคิร์ท, ปิ่น, บูตี้เลิฟ, เมมฟีส, เด็ก, ฟิน

ตอน: บทนำ

ลาสเวกัส, เนวาดา, สหรัฐอเมริกา
แม้ลาสเวกัสจะไม่ใช่เมืองหลวงของรัฐเนวาดาแต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีความมั่งคั่งที่สุด
หากสิ่งน่าเหลือเชื่อมากกว่านั้นคือทุกตารางมิลลิเมตรของความเจริญและแสงสีอันศิวิไลซ์นี้เคยเป็นทะเลทรายอันแห้งแล้งซึ่งถูกนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังปลุกปั่นให้กลายเป็นแผ่นดินเงิน สวรรค์ของนักแสวงโชคที่อยากเข้ามาสัมผัสชีวิตในเมืองคนบาปสักครั้งหนึ่ง
การมาเยือนลาสเวกัสในครั้งที่สองนี้น่าเบื่อหน่ายกว่าครั้งแรกอยู่มากโข เมื่อรู้ว่าตนต้องเป็นส่วนหนึ่งของการประมูลซึ่งขัดกับความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในใจเหลือเกิน
อันที่จริงแล้วปภัชสาก็ไม่ได้เป็นคนดีอะไรมากมายถึงแม้ว่าเพื่อนๆ ที่คบหากันมาต่างเห็นพ้องต้องกันว่าเธอเป็นคนที่มีจิตใจดี โอบอ้อมอารีไม่ต่างจากแม่พระมาโปรดผู้ยากไร้ แม้ไม่ได้ช่วยเหลือด้านการเงิน แต่เธอมีน้ำใจหยิบยื่นให้ผู้อื่นเสมอซึ่งเป็นเรื่องที่หาได้ยากในยุคสมัยที่ผู้คนต่างก็ถือเอาประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง
เห็นแก่เรื่องของตนเองน้อยลงแล้วถือเอาประโยชน์ของส่วนรวมเป็นใหญ่ ดูเหมือนจะเป็นคำจำกัดความของไดเร็กต์มาร์เก็ตติ้งสาววัยยี่สิบสี่ปีโดยที่ไม่มีใครโต้แย้งเลยสักนิด
“ยิ้มหน่อยน่า... ขอเวลาแค่สองชั่วโมงเดี๋ยวงานห่วยๆ แบบนี้ก็จบลงแล้ว”
นั่นเป็นคำปลอบใจจากเจ้านายของปภัชสาซึ่งทำให้เธอหันไปยิ้มเจื่อนๆ อย่างเสียมิได้ทั้งยังนึกค่อนขอดเจ้านายในใจแต่จนแล้วจนรอดก็ทำได้แค่เพียงพูดออกมาอย่างแบ่งรับแบ่งสู้
“ค่ะ ฉันแค่... ไม่ค่อยถนัดกับชุดนี้เท่าไหร่ ความจริงแล้วเรามาทำงานน่าจะอยู่ในชุดที่ทะมัดทะแมงกว่านี้” ไดเร็กต์มาร์เก็ตติ้งสาวเอ่ยพลางเหลือบสายตามองดูตัวเองในเดรสเกาะอกสีดำ ความยาวเหนือเข่า “อีกอย่างรองเท้านี่ก็สูงเกินไป ฉันเดินทีไรเหมือนจะล้มทุกที”
ราเชลหรี่ตามองพนักงานมือขวาของตนอย่างไม่อยากเชื่อสายตา “โอ๊ะ! ฉันจะทำเป็นไม่ได้ยินเรื่องที่เธอพูดถึงรองเท้าจิมมี่ ชู ที่ฉันอุตส่าห์สละโบนัสหนึ่งในสามของทั้งปีซื้อมันมา”
ปภัชสายิ้มกริ่ม มีทั้งความพึงพอใจและขบขันที่ทำให้คนมองต้องนึกหงุดหงิดใจ “อย่าถือสาหาความกับรสนิยมของฉันเลย คุณก็รู้ว่าฉันไม่ถนัดกับของแบรนด์เนม นี่ยังไม่รู้ว่าเดินๆ ไปแล้วรองเท้าจะกัดไหม”
“โอ... สาบานเลยว่าถ้างานในคืนนี้ไม่ต้องอาศัยเธอ ฉันคงต้องฆาตกรรมเธอแล้วเอารองเท้ากับกระเป๋าคืนมาแน่ๆ” ราเชลเค้นเสียงลอดไรฟันพยายามบังคับสายตาให้มองออกไปยังสภาพแวดล้อมข้างทางที่รถยนต์กำลังแล่นผ่าน
ปภัชสาหัวเราะร่วน ใช่ว่าจะไม่เคารพเจ้านายแต่ด้วยความที่รู้จักกันมาเกือบสามปีจึงกล้าที่จะพูดกระเซ้าเย้าแหย่ตามโอกาสจะอำนวย “ว่าแต่คุณรับประกันนะคะ ว่ารองเท้าคู่นี้จะไม่ทำร้ายเท้าของฉัน”
ราเชลพ่นลมหายใจออกมาอย่างระงับอารมณ์เต็มที่ รู้ดีแก่ใจว่าเพื่อนรุ่นน้องและยังเป็นทั้งพนักงานของตนนั้นกำลังยั่วโมโห “ฉันสาปแช่งให้เธอเจอคนที่ยั่วโมโหเก่งกว่าสักร้อยเท่าพันเท่า ถึงคราวนั้นฉันจะหัวเราะเยาะดังๆ มองเธออย่างสมน้ำหน้าเชียวล่ะ”
“อื้อ... ร้ายกาจ” ปภัชสาลากเสียงยาวบ่งบอกว่ารอให้ถึงวันนั้นแทบไม่ไหว
เสียงสนทนาเงียบลงเมื่อรถยนต์ของโรงแรมที่พักเลี้ยวเข้าไปจอดหน้าเบลลาจิโอ โรงแรมอันเลื่องชื่อที่โด่งดังไปทั่วโลกและเป็นสถานที่ทำงานของพวกเธอในคืนนี้
“จะให้ผมรอหรือให้กลับมารับกี่โมงครับ” พนักงานขับรถของโรงแรมที่พวกเธอพักถามด้วยความสุภาพ ในขณะที่ประตูรถยนต์ถูกเปิดออกโดยพนักงานต้อนรับของเบลลาจิโอ
“ไม่ต้องหรอกค่ะ เดี๋ยวจะกลับเอง ขอบคุณนะคะ” ราเชลเป็นคนตอบแล้วยื่นทิปให้ ก่อนจะก้าวลงจากรถแล้วแหงนหน้ากวาดสายตามองตึกสูงด้วยความตื่นเต้น
แม้ว่าพนักงานของเบลลาจิโอจะผายมือเชื้อเชิญให้เดินเข้าไปด้านในแต่ราเชลก็ยังยืนนิ่งรอให้ปภัชสาเดินเข้ามาใกล้ๆ เสียก่อน
“ก็คิดเสียว่าวันนี้มาดูของที่แพงจนซื้อไม่ได้ น่าจะช่วยลดความตื่นเต้นลงได้บ้าง” ปภัชสาพูดแล้วมองตรงเข้าไปด้านใน ไม่มีท่าทีตื่นเต้นเลยสักนิด
ท่าทางดังกล่าวทำให้ราเชลอดหมั่นไส้ไม่ได้ นี่ถ้าไม่รู้จักกันมานานจนรู้นิสัยใจคอเธอคงคิดว่าผู้หญิงข้างๆ เป็นพวกเคร่งอุดมการณ์และดำเนินชีวิตตามแบบแผนอย่างเคร่งครัด แต่ราเชลก็เข้าใจดีว่ากิริยาที่ปภัชสาแสดงออกมานั้นเป็นตัวตนที่แท้จริง ไม่ได้เสแสร้งเลย
“ก็คงจะเป็นอย่างนั้น” ราเชลตอบในขณะที่เดินเข้าไปด้านใน
“ความจริงฉันก็อดประหลาดใจไม่ได้ว่าทำไมพวกเขาถึงได้เลือกบริษัทของเรา”
คำถามของปภัชสาทำให้เจ้านายไร้ซึ่งคำตอบใดๆ มีก็แต่เพียงยิ้มยากลำบากใจเพราะรู้ดีว่าคำตอบที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นไร
ประวัติการทำงานของราเชลนั้นไม่ได้แตกต่างกับปภัชสาเลย จบไดเร็กต์มาร์เก็ตติ้ง สร้างผลงานอันเป็นที่น่าพอใจให้กับบริษัทเสิร์ชเอ็นจิ้นชื่อดังแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก งานด้านการตลาดซึ่งเจาะลึกเข้าสู่เป้าหมายของกลุ่มผู้บริโภคจึงขยายใหญ่และรวดเร็วขึ้นเป็นอย่างมาก
มาร์เก็ตติ้งคอมพานีอีกหลายชื่อจึงก่อตั้งขึ้นและกระจายกันอยู่แทบทุกรัฐของประเทศเพื่อให้เจ้าของธุรกิจในแขนงต่างๆ กล้าที่จะเรียกใช้และขอคำปรึกษาจากมาร์เก็ตติ้งคอมพานีกลุ่มย่อยเหล่านี้มากกว่าติดต่อเข้าไปในบริษัทใหญ่ซึ่งเชื่อแน่ว่าต้องมีค่าจ้างที่แพงกว่าหลายเท่านัก
มันคือกลยุทธ์การตลาดซ้อนการตลาดอีกชั้นหนึ่ง
ปภัชสาและทุกคนในบริษัทต่างก็รู้เหตุผลข้อนี้ดีและมองว่าเป็นเรื่องปกติ ส่วนที่ไม่ปกติคือการเข้ามาโปรโมตให้การประมูลสินค้าของเว็บไซต์หนึ่งโด่งดังแต่ก็เฉพาะเจาะจงเข้าสู่กลุ่มคนในวงสังคมชั้นสูงซึ่งยอมจ่ายเงินแลกกับสิ่งของที่มีประวัติความเป็นมาอันรุ่งเรือง ไม่สนใจว่าสิ่งของเหล่านั้นจะมีเส้นทางเป็นมาอย่างไรถึงได้มาตั้งอยู่บนแท่นโชว์อวดโฉมให้ผู้มีอันจะกินเปี่ยมไปด้วยรสนิยมสูงห้ำหั่นกันด้วยเงินตรา แย่งชิงเพื่อเป็นเจ้าของ
เหตุผลข้างต้นทำให้ราเชลเลือกที่จะเงียบ เพราะเจ้านายของเจ้านายซึ่งไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วมีสูงขึ้นไปอีกกี่ลำดับขั้นได้สั่งการเรื่องดังกล่าวลงมาทางอีเมล์ที่ส่งต่อมาราวสามถึงสี่ทอด ซึ่งราเชลก็ฉลาดพอที่จะไม่เปิดเผยเรื่องดังกล่าวให้ลูกน้องผู้มีอุดมการณ์อันสูงส่งรับรู้เพื่อไม่ให้เกิดความกระอักกระอ่วนใจ แต่จนแล้วจนรอดความลับก็แตก!
ปภัชสากวาดสายตามองเพดานล็อบบี้ซึ่งประดับด้วยโคมไฟแก้วดัดเป็นรูปดอกไม้หลากสีผลงานของนักเป่าแก้วชื่อดังที่มีศูนย์แสดงผลงานของตนในซีแอตเทิล ความงดงามที่ปรากฏแก่สายตาเรียกรอยยิ้มจากปภัชสาได้เป็นอย่างดี หากเจ้าตัวกลับไม่รู้ว่ามีสายตาหลายคู่กำลังจ้องมองหุ่นทรงนาฬิกาทรายของตน
อันที่จริงแล้วสาวๆ หันมาให้ความสนใจกับการออกกำลังกาย เอวคอดกิ่วกับบั้นท้ายงอนงามจึงเกิดขึ้นด้วยท่าบริหารกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนซึ่งไม่ได้เป็นความลับเลยคนส่วนใหญ่อาจเห็นสาวอกโต เอวคอด สะโพกสะบึม ผิวสีน้ำผึ้งมาจนชินตา
ทว่าปภัชสากลับมีช่วงเอวคอดกิ่วรับกับสะโพกผายอยู่ในโครงสร้างของสาวเอเชียซึ่งมีส่วนสูงราวห้าจุดห้าฟุต ผิวเนียนละเอียด ไม่มีจุดด่างดำของกระ สีผิวไม่ได้ซีดเผือดแต่กลับขาวอมชมพูอย่างคนสุขภาพดี ผมยาวถูกเกล้าเป็นมวยต่ำแบบง่ายๆ มีลูกผมตกลงมาระช่วงลำคอที่รับกับใบหน้างดงามซึ่งแต่งแต้มเครื่องสำอางเพียงแค่ทาลิปกลอสเฉดสีส้มเท่านั้น
ใบหน้าและทรงผมอาจจะทำให้เธอไม่ต่างจากหญิงสาวที่กำลังชื่นชมดอกไม้ในสวนหลังบ้านอย่างเพลิดเพลิน แต่เดรสสีดำคัตติ้งเนี้ยบพร้อมกระเป๋าและรองเท้าเข้าชุดกลับส่งผลให้เธอดูหรูหรา ลึกลับ มีแรงดึงดูดต่อเพศตรงข้ามด้วยอารมณ์ที่ขัดแย้งในจิตของผู้ที่ได้พบเห็นเพราะไม่รู้ว่า...
หน้าตาสวยหวานกับทรวดทรงยั่วใจที่กำลังประชันโฉมแข่งกันนั้นสิ่งใดกันแน่ดึงดูดสายตาเพศตรงข้ามให้ศิโรราบลงแทบเท้าของเธอ
“ขอแค่งานคืนนี้สำเร็จ พรุ่งนี้ฉันจะยอมเป็นเจ้ามือทุกอย่าง” ราเชลบอกหลังจากที่มองตามสายตาของลูกน้อง ความพึงพอใจฉายแววออกมาอย่างชัดเจน
แน่นอนว่าเบลลาจิโอและโรงแรมสุดหรูเกือบทุกแห่งในลาสเวกัสขึ้นชื่อเรื่องกาสิโนแต่ก็มีความรื่นรมย์อีกมากมายเรียกความสนใจจากนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นการแสดงกายกรรม มายากลรวมไปถึงพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ที่ขาดไม่ได้คงเป็นบุฟเฟ่ต์อาหารนานาชาติจากเชฟชื่อดัง
ปภัชสายิ้มให้เจ้านายเพราะบางครั้งก็นึกเกรงใจ เนื่องจากการเอาอกเอาใจที่ได้รับนั้นกำลังบ่งบอกว่าเงื่อนไขที่เธอสร้างขึ้นกับงานชิ้นนี้กำลังทำความลำบากใจให้คนข้างกาย
“พรุ่งนี้เราเดินทางกลับแต่เช้าดีกว่าค่ะ ความจริงแล้วฉันต้องรีบเก็บของแล้วคืนห้องภายในวันสองวันนี้”
ราเชลถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พลางส่ายหน้าดิก “พูดถึงเรื่องที่เธอจะลาออกทีไร ทำไมฉันถึงหดหู่ใจทุกครั้งก็ไม่รู้”
ปภัชสายิ้มหวานจับใจแล้วเดินเคียงข้างเจ้านายลึกเข้าไปด้านใน “ก็ยังยืนยันคำเดิมว่าฉันเป็นผู้หญิงแท้ๆ”
ทั้งที่เข้าใจความหมายของคู่สนทนาแต่ปภัชสาก็เลือกที่จะพูดติดตลกเบี่ยงเบนประเด็น และก็ทำให้ราเชลหัวเราะพรืดออกมาในทันที “ถ้าจะมีผู้ชายคนไหนเปลี่ยนใจให้เธออยู่ซานฟรานซิสโกต่อได้ล่ะก็ ขอให้เจอเขาวันนี้พรุ่งนี้เสียเลย”
“ถ้าเป็นงั้นฉันก็ไม่ได้ทำงานให้คุณอยู่ดี เจอเขาที่ลาสเวกัสก็คงต้องย้ายมาอยู่ที่นี่น่ะสิ”
จะมีสักครั้งไหมนะที่หญิงสาวคนนี้อับจนคำโต้แย้งต่อคนรอบกาย ทว่าคำปฏิเสธหรือโต้แย้งของปภัชสากลับนุ่มนวล ละมุนละม่อม ลดทอนอารมณ์อันคุกรุ่นของลูกค้าที่อาจเกิดความไม่พอใจกับการทำงานในบางเรื่อง วิธีรับมืออันแยบยลดังกล่าวเพิ่มมิตรไมตรีและสร้างเสน่ห์ให้เจ้าตัวเป็นอย่างมาก
“ใจง่ายสินะ” ราเชลอดที่จะประชดไม่ได้
บ่อยครั้งที่ราเชลแนะนำชายหนุ่มนิสัยดี ฐานะไม่เลวให้ลูกน้องที่เป็นเหมือนเพื่อนได้รู้จัก แต่เจ้าตัวกลับไร้ซึ่งความกระตือรือร้นทั้งยังไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดฝ่ายชายจึงหนีหายไปโดยปริยาย
การพูดคุยกันนั่นทำให้ราเชลได้รู้ว่าผู้หญิงอายุยี่สิบสี่ปีเต็มยังรักษาความบริสุทธิ์เอาไว้กับตัว เมื่อมีช่วงไหนเกิดหมั่นไส้ปภัชสามากๆ สิ่งที่ราเชลยกขึ้นมาค่อนขอดเมื่ออยู่กันตามลำพังคือไม่พ้นภาวนาให้เธอเสียสาวในเร็ววัน!
...บางทีถ้าได้ลิ้มลองความสุขสมตามธรรมชาติของชายหญิงแล้ว ความคิดร้ายกาจที่แฝงตัวมากับหน้าตาอันใสซื่ออาจลดน้อยลงก็เป็นได้
“คุณน่าจะดีใจ”
บทสนทนาของทั้งคู่หยุดชะงักลงเมื่อเดินมาถึงหน้าห้องบอลรูมซึ่งถูกชายร่างยักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหน้าเปิดประตูออกกว้างหลังจากทั้งคู่ยื่นบัตรผ่านให้
ห้องบอลรูมขนาดกลางจัดวางเก้าอี้ราวหนึ่งร้อยตัวหันไปทางด้านหน้า แสงไฟสีม่วงที่สาดส่องลงมาเพียงเล็กน้อยทำให้บรรยากาศทั้งห้องดูลึกลับ แตกต่างกับความสว่างจ้าเพียงจุดเดียวบนเวที เป็นไปตามความต้องการของผู้จัดงาน อุณหภูมิที่ต่ำเกินกว่าจะทำให้ร่างกายของมนุษย์รู้สึกสบายนั้นทำให้ปภัชสารู้สึกเย็นยะเยือก
แม้บรรยากาศเช่นนี้จะมีทั้งความน่าหลงใหลและอึดอัดใจจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ แต่อีกใจก็นึกชื่นชมเพราะตรงตามคอนเซ็ปต์ที่เจ้าของงานวางเอาไว้
“บรรยากาศชวนให้นึกถึงเบอร์เบิ้นสักแก้ว” ราเชลเปรย
“คงขาดไม่ได้เพราะเบอร์เบิ้นจะช่วยเร่งความมึนเมา คงมีอีกหลายคนที่จ่ายเงินไปโดยไม่รู้ตัว” คำพูดของปภัชสานั้นเรียกเสียงหัวเราะจากเจ้านายได้เป็นอย่างดี
“เขาเรียกว่ารสนิยมจ้ะ บางครั้งคนที่ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้อาจมองว่าพวกเขาใช้จ่ายเลอะเทอะ ที่ร้ายกว่านั้นคือ... ยังดูถูกว่ารวยแล้วต้องโง่ด้วยไม่งั้นคงไม่ยอมจ่าย จริงไหม”
เปล่าเลย ใครจะคิดอย่างนั้น ปภัชสาส่ายหน้าเพราะรู้แก่ใจว่าทุกอย่างในโลกย่อมมีหลายมุมมอง มหาเศรษฐีที่มีรายได้ต่อหนึ่งนาทีมักมีความคิดที่ผิดแปลกไปกว่าคนธรรมดา ด้วยเพราะประสบการณ์และการพบเจอเรื่องราวในชีวิตประจำวันที่แตกต่างกันออกไป
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้น เพียงแค่บางครั้งเงินมหาศาลที่บางคนหาได้ง่ายกว่าการพลิกฝ่ามือก็สามารถเอาไปใช้กับคนบางกลุ่มแล้วเกิดประโยชน์อีกมากมายกว่าการซื้อของสักชิ้นเอาไปตั้งไว้สักมุมของบ้าน” อธิบายแล้วทอดถอนใจมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนแท่นโชว์กลางเวที “ฉันเข้าใจว่ามันเป็นลักชัวรี่อินเวสเมนต์ แต่หลายคนทำงานทั้งชีวิตยังไม่มี...”
ปภัชสาต้องเงียบเสียงเมื่อเห็นรอยยิ้มของเจ้านายแล้วฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเธอจะอธิบายเรื่องที่คู่สนทนาเข้าใจเป็นอย่างดีไปเพื่ออะไร “ทำงานดีกว่า”
ราเชลหัวเราะร่วน มองตามเจ้าของหุ่นทรงนาฬิกาทรายซึ่งเดินเลี่ยงเข้าไปด้านหลังเวที บางครั้งแม่พระก็สามารถดึงตัวเองกลับมาอยู่ในโลกของความจริงได้โดยไม่ต้องให้ใครเรียกสติ

โลกในจินตนาการกับโลกแห่งความจริงช่างแตกต่างกันนัก ไม่อย่างนั้นลาสเวกัสคงไม่เปลี่ยนจากทะเลทรายแล้วกลายมาเป็นบ่อเงินบ่อทองล่อลวงใจนักเสี่ยงดวงให้ขนเงินมาถลุงในกาสิโน เพียงเพราะหวังว่าเงินอันน้อยนิดจะเปลี่ยนเป็นเงินมหาศาล ทำให้ยาจกกลายเป็นมหาเศรษฐีได้ในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน
ใช่ว่าจะไม่มีใครร่ำรวยจากอาชีพนักพนัน แต่จะมีสักกี่คนที่เกิดมาพร้อมกับดวงและโชคดีมีเงินโดยที่ไม่ต้องแลกกับความลำบากทางกาย
การประมูลเริ่มขึ้นเมื่อสิบห้านาทีที่ผ่านมา นาฬิกาชิ้นแรกได้เคาะขายให้กับมหาเศรษฐีอาหรับคนหนึ่งผ่านเอเจนซี่บิด
ความจริงแล้วในจำนวนหนึ่งร้อยคนที่นั่งอยู่นี้ปภัชสาคุ้นหน้าค่าตาอยู่หลายคนนัก สองคนที่นั่งอยู่แถวที่สามเป็นเชื้อพระวงศ์จากประเทศหนึ่งในยุโรป และดูเหมือนว่าชายอีกสองคนซึ่งนั่งถัดลงไปจะเป็นอดีตเอกอัคราชทูต
ถัดจากนั้นก็เป็นดาราฮอลลีวูดที่เคยเปิดคฤหาสน์หลังงามให้นิตยสารฉบับหนึ่งได้เก็บภาพความมั่งคั่งเผยออกสู่สายตาสาธารณชน
ก็เธอเป็นคนอ่านลิสต์รายชื่อผู้เข้าร่วมงานในครั้งนี้ไม่ต่ำกว่าสามครั้ง ทำไมจะไม่รู้ว่าทั้งหนึ่งร้อยคนนี้มีประวัติส่วนตัวที่ไม่ธรรมดาทั้งสิ้นหากแต่เวลานี้ทุกคนกลับไม่ได้ใส่ใจในเรื่องอื่นใดนอกเสียจากสิ่งของที่นำออกมาแสดงพร้อมกับประวัติความเป็นมาที่เรียกเสียงฮือฮาได้เป็นระยะๆ
ประวัติและความเป็นมาดังกล่าวฟังดูล้ำค่า ควรต้องอยู่ในพิพิธภัณฑ์แสดงประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศเสียมากกว่าที่จะต้องตั้งโชว์อยู่ในมุมหนึ่งของบ้านมหาเศรษฐี
โซฟาผ้าไหมทอมือในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่ยังมีในการประมูลครั้งนี้ แม้ว่าฝรั่งเศสจะไม่ยอมให้ชาวต่างชาติได้เข้าร่วมประมูลสมบัติอันมีค่าของตนแต่กลับมีของชิ้นนี้อยู่ในการประมูล ซ้ำร้ายยังไม่มีใครสนใจถึงเส้นทางของโซฟาชุดนี้
แจกันพอร์ซเลนในสมัยราชวงศ์ชิง
แบล็กไดมอนด์เจียระไนทรงหลังเบี้ยวาววับจับตาที่ปภัชสาคิดว่าจะทำให้ผู้เข้าประมูลแข่งขันราคากันอย่างดุเดือด หน้าที่ของเธอคือเดินตามของล้ำค่าจากหน้าเวทีกลับไปยังด้านหลังให้เจ้าของใหม่หรือตัวแทนได้เพ่งพิศ เก็บเกี่ยวรายละเอียดจนพอใจแล้วนำไปเก็บไว้ในห้องลับซึ่งยื่นกุญแจให้รักษาเอาไว้ด้วยตัวเอง
หน้าที่ดังกล่าวนั้นปภัชสาทำสลับกับราเชลและทีมงานของบริษัทในลาสเวกัสอีกสามคน ที่เหลือราวสิบห้าคนแบ่งหน้าที่กันตามที่ราเชลมอบหมาย
ในขณะที่ปภัชสาเดินออกมายืนรออยู่ด้านข้างเวทีแล้วจ้องมองชายร่างสูงใหญ่สวมถุงมือสีขาวสะอาดกำลังเคลื่อนย้ายตู้โชว์ที่ทำจากมาลาไคท์ ทั้งก้อน สนนราคาของมันอาจทำให้เธอเปิดมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือเด็กกำพร้าในประเทศไทยได้สักสิบแห่ง
ความเบื่อหน่าย เอือมระอาที่หญิงสาวซ่อนเอาไว้ไม่มิดนั้นช่างสะดุดสายตาคนมองยิ่งนัก ตรงข้ามกับความตื่นเต้น รื่นรมย์ ตื่นตาตื่นใจไปกับสิ่งของและราคาสูงลิบลิ่วซึ่งเป็นเหมือนความสำเร็จของสุภาพบุรุษที่นั่งอยู่ตรงกลางแถวหลังสุด
ขณะเดียวกันก็คงจะมีเพียงความเบื่อหน่ายที่เขาเห็นได้อย่างชัดเจนจากใบหน้าของเธอกระมังที่กวนใจอยู่เช่นนี้
อคิลลีส คูแรนท์ ไม่อาจหาเหตุผลให้กับตัวเองได้ว่าเพราะเหตุใดแม่สาวชุดดำนั่นถึงได้มีท่าทีเหมือนอยากให้การประมูลในครั้งนี้จบลงโดยเร็ว
หน้าที่และตำแหน่งที่เธอยืนนั้นควรต้องแย้มยิ้มหวานๆ เพราะเป็นหนึ่งในทีมของบริษัทไดเร็กต์มาร์เก็ตติ้งที่เพื่อนของเพื่อนเขาขอร้องให้ลองเลือกใช้บริการดูสักที
“ชิ้นสุดท้ายนี้ผมเชื่อว่ามันจะเป็นเครื่องรางที่ทำให้หลายท่านต้องห้ำหั่นแย่งชิงกันเป็นเจ้าของแน่นอน”
คำพูดนั้นไม่ได้กระตุ้นเร้าความอยากรู้อยากเห็นของผู้เข้าร่วมการประมูลเพียงอย่างเดียว แม้แต่ปภัชสาเองก็เบือนสายตาไปจ้องมองยังแท่นโชว์กลางเวทีในจังหวะเดียวกันกับที่พิธีกรเอื้อมมือดึงผ้าสีดำออก เปิดเผยเครื่องรางที่ว่าเมื่อครู่ให้ปรากฏแก่สายตาทุกคน
แสงไฟสว่างจ้าสาดกระทบกับของชิ้นดังกล่าวให้ทุกคนได้เห็นอย่างชัดเจน เกิดเสียงอื้ออึงตามมาในทันที หากแต่ปภัชสากลับอ้าปากค้าง พูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่านั่นคือเครื่องราง!?
“ขุนค้นพบในกรีกและลักษณะของลูกโซ่ก็ชี้วัดว่าถูกสร้างขึ้นมาไม่น้อยกว่าหนึ่งพันห้าร้อยปี” พิธีกรยิ้มกริ่มแล้วผายมือข้างหนึ่งออก ช่วยไม่ได้เลยที่ไม่อาจยับยั้งเสียงซุบซิบของผู้เข้าร่วมประมูลให้เงียบลงได้อีกครั้งหนึ่ง
เครื่องรางดังกล่าวนั้นคือองคชาตเหล็กซึ่งมีปลายด้านหนึ่งไม่ต่างจากอวัยวะเพศชายด้านล่างมีโซ่ห้อยกระดิ่งทรงพีระมิดเอาไว้ ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งมีลักษณะคล้ายกับบั้นท้ายของม้า
“เช่นเคยที่เราจะไม่หาเส้นทางและเหตุผลในการครอบครอง เพราะของชิ้นนี้บ่งบอกรสนิยมอันล้ำค่าของคุณ เราจะเริ่มที่ราคาสองแสนห้าหมื่นดอลลาร์”
เสียงของพิธีกรเหมือนกระชากความคิดของปภัชสาให้หลุดออกมาจากเสียงซุบซิบที่ต่างคนต่างแสดงเจตจำนงว่าควรต้องเป็นเจ้าของ จำนวนเงินที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้หญิงสาวเริ่มมองเครื่องรางที่โชว์อยู่ไม่ไกล
ทว่ากลับมีเสียงร้องไห้กระจองอแงของเด็กๆ ที่ประสบพบเจอปัญหาซึ่งไม่ได้ก่อขึ้นอีกมากมายทั้งยังรอคอยความช่วยเหลือผุดพรายขึ้นมาในสมอง
สองแสนแปดหมื่น
สามแสน
สามแสนสองหมื่น...
ราคาที่เพิ่มขึ้นราวกับว่าเครื่องรางชิ้นนี้จะเอาไปใช้ประโยชน์อื่นใดได้นอกเสียจากแขวนไว้ในตู้โชว์ ยิ่งทำให้ปภัชสารู้สึกสะท้อนใจกับคุณค่าของเงินตราที่สร้างประโยชน์ให้กับคนได้แตกต่างกันนัก
เมื่อครู่อคิลลีสอาจได้เห็นความเบื่อหน่ายใจ แต่ตอนนี้กลับได้เห็นความไม่พอใจแสดงออกมาอย่างชัดเจน เธอยืนอยู่บนเวทีที่มีแสงสว่างเพียงพอให้เขาได้เพ่งพิศอย่างถี่ถ้วน ยิ่งราคาประมูลสูงขึ้นก็ดูเหมือนว่าความเกรี้ยวกราดจะแปรผันตามไปด้วย
สัญชาตญาณบางอย่างของจอมบาปแห่งลาสเวกัสปลุกเร้าให้ค้นหาคำตอบว่า...
เจ้าของใบหน้างดงามสวยหวานนั้นจะแสดงความเกรี้ยวกราดออกมาได้มากสักแค่ไหน และเขาก็รู้ดีว่าจะเพิ่มเพดานความโกรธนั้นได้อย่างไร
“สามแสนห้าหมื่นดอลลาร์” น้ำเสียงเฉียบขาดที่ดังขึ้นนั้นทำให้เจ้าตัวมีรอยยิ้มในแบบที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นบ่อยนัก ทว่าคนที่ทำให้เขาเริ่มสนุกกลับตวัดสายตาจ้องมองเขาราวกับตัวบาปที่ควรอยู่ให้ห่าง
ปภัชสาพ่นลมหายใจออกมาสั่งตัวเองให้ระงับอารมณ์โกรธเอาไว้ ซึ่งเธอก็ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าเพราะเหตุใดเมื่อจำนวนเงินเพิ่มมากขึ้น ความไม่พร้อมในหลายๆ ด้านที่ประสบพบเจอมาตั้งแต่เด็กจนโตถึงได้พรั่งพรูเข้ามามากมายเช่นนี้
เธอเองก็ไม่รู้หรอกว่าผู้ชายที่เสนอราคานั้นขึ้นมาเป็นใคร เพียงแค่ไม่เข้าใจว่าเงินสำหรับเขาหาได้อย่างง่ายดายขนาดจะซื้อของตกแต่งบ้านแพงเช่นนี้เชียวหรือ
“สามแสนเจ็ดหมื่น”
“ว้าว... ผมบอกแล้วว่าทุกท่านต้องอยากได้เครื่องรางชิ้นนี้ไว้ในครอบครอง” พิธีกรยังย้ำคำพูดเดิมของตน
ในขณะที่ปภัชสาต้องขมวดคิ้วมุ่นมองชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ริมสุดของแถวที่สอง ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นที่ไหน เขาเป็นนักการตลาดคนดังชาวสิงคโปร์ที่เธอนึกชื่นชมในแนวความคิดของเขาอยู่เสมอ
หากไม่ใช่เธอคนเดียวที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะการเบนสายตาจากเขาไปมองผู้ชายคนอื่นสร้างความหงุดหงิดใจและเขาก็ไม่เคยชินกับการเป็นคนไม่สำคัญ!
อคิลลีสผู้เคยชินกับการใช้เงินตราซื้อทุกสิ่งที่ต้องการเริ่มใช้เงินซื้อการจ้องมองจากหญิงสาวชุดดำอีกครั้ง
“สี่แสนดอลลาร์”
แม้ผู้คนในห้องจะไม่ได้หันไปมองเจ้าของเสียงทุ้มทว่าหนักแน่น เพราะมหาเศรษฐีเหล่านี้เคยชินกับการใช้เงินซื้อความพึงพอใจอยู่แล้ว แต่คนที่โตมาอย่างขาดๆ แบบปภัชสากลับตวัดสายตากลับไปจ้องมองผู้ชายคนเดิมอีกครั้ง
คราวนี้ชัดเจนขึ้นเพราะสปอตไลต์ส่องไปยังเขาและนักการตลาดชาวสิงคโปร์ที่ยังเสนอราคาต่อสู้กันอย่างไม่ลดราวาศอก
โอ! เขายิ้มและยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม พึงพอใจมากยิ่งกว่าเดิม นั่นคือสิ่งที่ปภัชสาเห็นได้อย่างชัดเจนและมั่นใจว่าไม่เคยรู้จักมักคุ้นกับเขามาก่อนแล้วเพราะเหตุใดผู้ชายคนนั้นถึงได้มีรอยยิ้มพึงพอใจกับความโกรธของเธอ
“สี่แสนห้าหมื่น” นักการตลาดคนดังกล่าวเพิ่มราคาสู้อีกครั้ง
ทว่ากลับไม่ได้ทำให้ปภัชสาละสายตาจากใบหน้าคร้ามคมที่กำลังขยับริมฝีปากเพิ่มราคาของเครื่องรางเก่าแก่ให้สูงขึ้นอีก
“ห้าแสน” อคิลลีสยิ้มยั่วแล้วต้องเลิกคิ้วเมื่อเธอกัดริมฝีปากล่างอย่างคนกำลังระงับความโกรธ
อันที่จริงแล้วภายในหัวใจอันแข็งกระด้างของจอมบาปกำลังเรียกร้องให้เขาสอดฝ่ามือเข้าไปกุมท้ายทอยได้รูปแล้วไล้ปลายนิ้วโป้งไปบนริมฝีปากของเธอมากกว่า
หากสิ่งที่เขาทำได้คือกอดอกแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบปลายคางและริมฝีปากของตัวเอง
นักการตลาดวัยกลางคนยังสู้ราคาต่อไปเช่นเดิม “หกแสน”
เกิดเสียงอื้ออึงของคนในห้องดังขึ้นสลับกับเสียงของพิธีกรซึ่งโต้ตอบกับผู้ให้ราคา การแข่งขันเริ่มดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้หลายคนจะมองว่ามันเป็นการสู้ราคาระหว่างผู้ชายสองคน แต่ทำไมปภัชสาถึงได้รู้สึกว่า... เขากำลังส่งสารท้าทายเธอ!
สีหน้าท่าทางที่เธอแสดงออกมาบ่งบอกให้ชายหนุ่มรู้ว่าเงินของเขาซื้อความโกรธที่เป็นเหมือนความสนุกของเขาได้ อคิลลีสจึงเปล่งเสียงออกมาอีกครั้งพร้อมด้วยการตีคิ้วใส่เธออย่างยั่วอารมณ์ “แปดแสนดอลลาร์”
ตอนนี้ปภัชสาไม่ได้สนใจราคาที่เพิ่มสูงขึ้นแล้ว เพราะมีรังสีบางอย่างที่เปล่งออกมาจากตัวเขาคอยกวนความรู้สึกจนไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้เลย
รอยยิ้มของเขาอาจจะยั่วยุความโกรธของเธอให้พลุ่งพล่าน ทว่าแววตาคู่คมที่กวาดมองอย่างจาบจ้วงกลับทำให้เธอสะบัดร้อนสะบัดหนาวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“หนึ่งล้าน”
“สองล้าน” อคิลลีสโต้กลับทันควัน
รอยยิ้มดูร้ายกาจขึ้นอีกมากโขเมื่อทุกคนในห้องต่างเงียบกริบ เพียงอึดใจเดียวเสียงของพิธีกรก็ดังขึ้น
“สองล้านครับ สองล้านเคาะครั้งที่หนึ่ง...” พิธีกรบอกแล้วมองไปยังนักการตลาดที่สู้ราคากันมาอยู่พักใหญ่ แต่ความเงียบและการไหวหัวไหล่ก็เป็นสัญญาณบอกว่าเขาขอยอมแพ้ “เคาะครั้งที่สอง ตกลงขายให้กับมิสเตอร์ในราคาสองล้านดอลลาร์...”
พิธีกรไม่ได้เอ่ยชื่อมิสเตอร์คนดังกล่าวออกมาเพราะรู้ว่าเขาเป็นเจ้าของเว็บไซต์ประมูลสินค้าที่จัดขึ้นในครั้งนี้ พิธีกรลากเสียงยาวเพื่อเรียกเสียงปรบมือจากผู้เข้าร่วมประมูลทั้งหมด
แม้เครื่องรางชิ้นสุดท้ายจะไม่ได้มีราคาสูงเท่ากับชิ้นอื่นๆ ที่ผ่านมา แต่ในความคิดของปภัชสากลับเห็นว่ามันแพงกว่าทุกชิ้นที่ยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้

รองเท้าส้นสูงที่กระทบกับพื้นแล้วเกิดเป็นเสียงดังตามจังหวะการก้าวเดินของผู้หญิงตรงหน้า ทำให้จอมบาปแห่งลาสเวกัสรู้สึกเพลิดเพลินใจนัก เขาไล่สายตาสูงขึ้นเรื่อยๆ
ปลีน่อง ไล่ขึ้นมาจนถึงสะโพกผายรับกับช่วงเอวคอดกิ่ว ทว่ากลับต้องวกสายตาลงไปจดจ้องกับบั้นท้ายงอนงามที่ยักย้ายส่ายไปมา ซ้ายที ขวาที
นั่นร่างกายของเธอกำลังเรียกร้องความสนใจจากเขาสินะ
...มันเป็นความคิดแบบผู้ชายล้วนๆ แล้วยังเป็นผู้ชายที่คลุกคลีอยู่กับอบายมุขทั้งปวง มีความสุขกับระบำเปลื้องผ้าและความชอบส่วนตัวที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ในความคิดของอคิลลีส ศิลปะที่งดงามติดตราตรึงใจคงไม่มีสิ่งใดเทียบเคียงเรือนร่างของอิสตรี
แม้ปภัชสาจะปลอบใจตัวเองว่าอีกไม่นานเธอก็จะได้ก้าวออกไปจากห้องบอลรูมที่แสนอึดอัดใจนี้แล้ว ทว่าช่วงเวลาที่เดินจากหน้าเวทีนำหน้าเจ้าของเครื่องรางชิ้นนี้มายังส่วนของตู้เซฟนั้นช่างยาวนานยิ่งนัก
ขนอ่อนที่ต้นคอกำลังลุกชันมันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ที่เตือนให้เธอรู้ว่ากำลังตกอยู่ในอันตราย!
การเลือกใช้บริษัทไดเร็กต์มาร์เก็ตติ้งตามคำแนะนำของคนรู้จัก ผลงานที่ออกมานั้นถือว่าไม่เลวนัก แต่อคิลลีสก็ยังมอบหมายหน้าที่การรักษาความปลอดภัยทั้งหมดให้กับทีมบอดี้การ์ดของตนเช่นเดิม
ขณะที่ทั้งหมดเดินเข้ามาในส่วนของตู้เซฟซึ่งต้องรอให้ผู้เข้าประมูลจัดการกับเอกสารให้เรียบร้อยก่อนจะได้เป็นเจ้าของโดยแท้จริงนั้น
จอมบาปแห่งลาสเวกัสยังคงรื่นรมย์อยู่กับบั้นท้ายงอนงามของเธอจนเพลินตาไปมากโข จึงไม่ได้สนใจว่าตอนนี้เจ้าของเรือนร่างทรงนาฬิกาทรายรู้ตัวแล้วว่ากำลังถูกลวนลามทางสายตา
ห้องสี่เหลี่ยมสีขาวซึ่งมีผนังด้านหนึ่งเป็นตู้เซฟเรียงซ้อนกันราวยี่สิบตู้ มีกระจกเงาบานใหญ่เป็นผนังห้องในฝั่งตรงกันข้ามกับประตู
เมื่อเดินเข้ามาแล้วจึงทำให้ปภัชสาได้เห็นว่าผู้ชายที่เดินตามหลังมานี้จ้องมองสะโพกของตนไม่วางตา
อคิลลีสทำเสียงในลำคออย่างไม่พอใจเมื่อเจ้าของสะโพกผายก้าวออกไปไกลกว่าเดิมอีกสามก้าว ทั้งยังยืนหันหน้ามาหาเขา มองด้วยสายตาตำหนิอย่างไม่เกรงใจไม่พอยังใช้กระเป๋าถือปิดบังช่วงหน้าอกเอาไว้อีกด้วย
เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พนักงานรักษาความปลอดภัยเก็บของประมูลไว้ในตู้เซฟก่อนหมุนตัวกลับมายื่นกุญแจให้แล้วเดินออกไปจากห้องในทันที
ลวนลามเธอทางสายตาไม่พอ หนำซ้ำยังไม่เอ่ยคำขอโทษสักนิด ที่ย่ำแย่ไปกว่านั้นคือสีหน้าไม่สบอารมณ์ ยัดเยียดความผิดนั้นให้กับเธอเสียอีก
โอ! นี่เธอกำลังเผชิญหน้าอยู่กับคนร่ำรวยที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีสินะ
ความผยองของเขาทำให้ความโกรธของเธอแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ แต่ด้วยหน้าที่ที่ค้ำคออยู่ตรงนี้สั่งให้สงบสติอารมณ์แล้วเดินออกไปจากห้องเสีย
ไม่ว่าเธอจะเป็นใครมาจากไหน ควรต้องรู้เอาไว้ว่าการใช้สายตาตำหนิมองคนอย่างอคิลลีสเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดนัก ยิ่งตั้งใจจะเดินหนีแล้วทิ้งความรู้สึกติดลบไว้กับเขานั้นยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้
ถึงจะปล่อยให้เธอเดินผ่านหน้าไปแต่เจ้าของร่างสูงใหญ่กว่าเธอถึงสองเท่าก็เดินตามหลังแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นไปดันประตูที่เธอเพิ่งเปิดออกให้ปิดสนิทลงเช่นเดิม
“ถอยไปนะ จะทำอะไร” ปภัชสาพยายามดึงประตูให้เปิดออกอีกครั้งแต่เธอก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่อาจสู้แรงของเขาได้ ไอร้อนและกลิ่นของน้ำหอมแบบสปอร์ตผสมกับกลิ่นจางๆ ของบุหรี่ทำให้อาการสะบัดร้อนสะบัดหนาวแล่นพล่านขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
มีทั้งความยั่วเย้าและท้าทายอยู่ในเสียงหัวเราะนั้น “เป็นคำทักทายที่ดูไม่มีมารยาทเท่าไหร่ แต่ผมจะลืมๆ มันไปเพราะ...”
“ไม่ต้องลืมหรอก เพราะฉันไม่ควรต้องรักษามารยาทกับผู้ชายที่เอาแต่จ้องมองก้นของคนอื่น” ปภัชสาตอกกลับโดยที่ไม่ปล่อยให้เขาได้พูดจบประโยคด้วยซ้ำ
“คุณส่ายก้นยั่วผมเองนี่” ไม่พูดเปล่าแต่ขยับเข้าไปใกล้เธออีก กางขาทั้งสองข้างกว้างขึ้น
ปภัชสาหัวเราะพรืดออกมาอย่างไม่อยากเชื่อหู “ประสาทรึเปล่า ถอยไปนะ ไม่งั้นฉันจะร้องให้คนช่วย”
“อา... ถ้าใส่ชุดแม่บ้านหรือยูนิฟอร์มไฮสกูลแล้วร้องจนเสียงแหบ ผมจะเพิ่มทิปให้”
จบคำพูดนั้นปภัสชาก็กระทุ้งศอกกลับหลัง เธอนึกสมน้ำหน้าที่ได้ยินเสียงร้องอู้วบ่งบอกความเจ็บปวด แต่ฝ่ามือหนากลับสอดเข้ามาใต้ฐานทรวงอกแล้วรัดเอาไว้อย่างแน่นหนา
“อย่ามาดูถูกฉันนะ ฉันไม่ใช่อีหนูที่คุณจะเอาเงินฟาดหัว”
“นี่... ก้นงอน ถ้าจะเอา ผมไม่ฟาดด้วยเงินหรอกนะ” ไม่เพียงแค่พูด แต่ยังดันเธอเข้ากับประตูห้องแล้วแนบส่วนที่เขาจะฟาดเธอชิดไปกับบั้นเอวคอด
เมื่อครู่ที่ผ่านมาความเกรี้ยวกราดของเธอว่าถูกใจแล้วแต่ตอนนี้เมื่อมีความโกรธมาผสมรวมก็ยิ่งทำให้เขาถูกใจมากกว่าทั้งยังเริ่มสนุกอีกด้วย
ไม่รู้ว่าแก้มเนียนใสที่อยู่ใกล้ปลายจมูกนี้กลายเป็นสีระเรื่อเพราะความโกรธหรืออายแต่เชื่อเถอะว่าท่าทีของเธอปลุกเร้าเพลิงพิศวาสในกายให้ลุกโชน
“หยาบคาย ปล่อยนะ” ปภัชสาตวาดเสียงดุ ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง
“ก้าวร้าว” โต้กลับด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย
อีกครั้งที่ปภัชสาต้องห่อปากแล้วพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหลืออด “ควรทำตัวสุภาพกับคนที่ใช้สายตาลวนลามฉัน หาว่าฉันเป็นผู้หญิงขายตัว แล้วยังถึงเนื้อถึงตัวโดยที่ฉันไม่เต็มใจแบบนี้น่ะเหรอ ไปตายเลยไป”
“ก้าวร้าวขึ้นกว่าเดิม ทีคุณยังใช้สายตาประณามกับผมเพียงเพราะผมอยากได้เครื่องรางนั่น” อคิลลีสยิ้มเมื่อคำพูดนั้นหยุดการขัดขืนของเธอได้ “ทำไม... ผมอยากรู้ว่าเพราะอะไรคุณถึงได้ดูโกรธเคืองนัก”
น้ำเสียงที่เขาใช้นั้นผ่อนปรนลงกว่าเดิมมากนักทั้งยังก้มลงมากระซิบถามข้างหู นั่นทำให้ปภัชสาทบทวนถึงท่าทางของตนในทันที
“คราวนี้ตอบผมหน่อยสิ ว่าเพราะอะไร”
เสียงทุ้มนั้นปลุกให้ปภัชสาเอี้ยวใบหน้าแล้วจ้องมองเขาโดยหลงลืมไปชั่วขณะว่าอยู่ในท่าทางที่สนิทชิดเชื้อ เมื่อเธอแหงนหน้าขึ้นในจังหวะที่เขาก้มลงมาหา ใบหน้าของทั้งคู่จึงอยู่ห่างกันเพียงแค่คืบ
สำหรับปภัชสาแล้วเหมือนเวลากำลังหยุดหมุนเพียงแค่ได้จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่คมที่ทำให้เธอรู้สึกว่าเดินหลงทางอยู่ในความซับซ้อนของเฉดสีเทาอ่อนไปหาเทาเข้ม จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากเซ็กซี่
คำว่า ‘เซ็กซี่’ นั่นไม่ผิดเพี้ยนไปจากความรู้สึกของเธอเลยสักนิด แม้จะได้กลิ่นจางๆ ของบุหรี่แต่สีริมฝีปากของเขากลับเหมือนผู้ชายที่รักในสุขภาพ ทุกครั้งที่เขาเปล่งเสียงออกมาริมฝีปากจะขยับขึ้นลงอย่างน่ามอง
อคิลลีสยิ้มกริ่ม... ไม่มีปัญหาใดๆ กับดวงตาคู่หวานที่จ้องมองไปทั่วทั้งใบหน้าของตนอย่างอ้อยอิ่ง
“ผมว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันยาวเชียวล่ะ พักที่ไหนจ๊ะคนสวย”
ทุกอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นใบหน้าหล่อเหลานี้อาจจะร่ายมนตร์สะกดให้ปภัชสาต้องนิ่งงัน ทว่าคำพูดที่หลุดออกมานั้นกลับดึงสติของเธอคืนมาแล้วตอกย้ำให้รู้ว่าเธอยังเป็นได้เพียงแค่ผู้หญิงที่เขาคิดซื้อหาด้วยเงินตรา
“ปะ...ปล่อยฉันนะ นี่แน่ะ” ไม่พูดเปล่าซ้ำยังตั้งใจเหยียบปลายเท้าของเขาด้วย หากไม่เกิดผลเพราะปลายรองเท้าหนังสั่งตัดพิเศษนั้นเสริมด้วยเหล็กก่อนจะหุ้มด้วยหนังชั้นดีอย่างประณีต
อคิลลีสหัวเราะร่วน ไม่ได้รู้สึกรู้สากับการประทุษร้ายร่างกายที่เธอแสดงออกมาเลยสักนิด เจ้าของร่างสูงใหญ่ดึงตัวเธอให้ยืนตรงแล้วออกแรงรัดเพียงเล็กน้อยรัดช่วงเอวคอดเอาไว้จนปลายเท้าของเธอลอยเหนือพื้น
“ปกติผมไม่ชอบผู้หญิงเล่นแง่ ก้าวร้าว และ...” บอกในขณะที่หมุนตัวกลับทั้งยังยกร่างนุ่มนิ่มไว้เช่นนั้นแล้วเดินเข้าไปใกล้กับกระจกเงาบานใหญ่ “หน้าอกคัพเอ”
เป็นครั้งแรกที่ปภัชสารู้สึกว่าถูกปั่นหัว อย่าว่าแต่หาทางรอดให้ตัวเองเลย คำต่อว่าที่จะใช้กับเขาก็ยังพูดออกมาติดๆ ขัดๆ “คุณมัน... ไอ้...”
“จุ... จุ... จุ... มีไม่กี่ที่หรอกที่ผมจะปล่อยให้คุณหยาบคายยังไงก็ได้ แน่นอนว่าไม่ใช่ตอนนี้”
คำพูดกวนโทสะยังไม่ทำให้ปภัชสานิ่งงันได้เท่าภาพที่เห็นผ่านกระจกเงา เมื่อท่อนแขนแข็งแรงรัดรึงอยู่ใต้ฐานทรวงอก ฝ่ามืออีกข้างหนึ่งกางออกกว้างทาบอยู่กับหน้าท้องของเธอความวูบวาบปั่นป่วนในร่างกายจึงเกิดขึ้นอย่างไม่มีทางเลี่ยง แต่เธอคงเสียสติไปแล้วหากปล่อยให้เขาได้ลวนลามครั้งแล้วครั้งเล่า
“เอามือสกปรกของคุณออกไปจากตัวฉันเดี๋ยวนี้นะ ไม่ว่าจะร่ำรวย ยิ่งใหญ่ มีอำนาจล้นฟ้าสักแค่ไหนคุณก็จะกลายเป็นไอ้กระจอก ถ้าคิดจะลวนลามผู้หญิงที่ไม่เต็มใจ”
“ก็ถ้าล่อลวงจนเต็มใจ...”
“ไม่มีวัน ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”
อคิลลีสชักสงสัยว่าทำไมเธอถึงได้ต่อต้านนัก ทั้งที่ความจริงแล้วต่างฝ่ายต่างพึงพอใจและรู้สึกดีที่ได้อยู่ในอ้อมกอดเช่นนี้ “ทำไมล่ะ คุณมีปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ มีเรื่องแย่ๆ เกิดขึ้นกับคุณหรือไง ถึงได้ดูเป็นศัตรูกับเรื่องธรรมชาติของชายหญิงแบบนี้”
ยังคงย้ำคำถามเดิมซึ่งกวนใจเขาอยู่ตลอดเวลา
“เฮอะ! ต่อให้เป็นเด็กอมมือยังรู้เลยว่าควรต้องอยู่ให้ห่างจากผู้ชายที่ในหัวคิดแต่เรื่องอย่างว่าแบบคุณ ปล่อย!” ไม่งั้นคงไม่บ้าซื้อเครื่องรางชิ้นนั้นถึงสองล้านดอลลาร์หรอก
“ผู้ชายคิดอะไรไม่ออกหรอกนอกเสียจากเรื่องใต้ท้องน้อยของคุณ” ไม่พูดเปล่าแต่ออกแรงกดฝ่ามือเข้ากับหน้าท้องแบนราบหนักขึ้น ถึงเธอจะยืนบนพื้นด้วยตัวเองแต่ก็ไม่อาจขยับหนีไปไหนได้ “อันที่จริงคิดทุกวินาทีด้วยซ้ำเพราะผมชอบเอวเล็กๆ กับก้นงอนๆ ของคุณ”
ควรต้องภูมิใจงั้นเรอะ?!
นั่นคือคำถามที่เกิดขึ้นกับปภัชสา หากแต่เธอกลับพูดไม่ออกทั้งที่ในใจกรีดร้องราวกับคนบ้า ได้แต่อ้าปากค้างมองใบหน้าหล่อเหลาซึ่งดูร้ายกาจขึ้นอีกเป็นกอง เมื่อเสื้อเชิ้ตที่เขาปลดกระดุมออกสามเม็ดเผยให้เห็นรอยสักบางอย่างที่ลงสีแดงอยู่ตรงหน้าอกข้างซ้าย
สายตาซอกแซกของเธอยิ่งสร้างความมั่นใจให้กับเขา แต่ความจริงที่เขาตั้งคำถามไปมากมายกลับไม่ได้คำตอบเลยแม้เพียงนิดนั่นก็ทำให้อคิลลีสรู้แล้วว่าผู้หญิงในอ้อมกอดนี้มีแรงดึงดูดอย่างมาก
“เคยอกหักมาหรือไง”
ถ้าเธอเป็นผู้หญิงปากแข็ง เขาก็เป็นผู้ชายที่มีความพยายามเช่นกัน “หยุดพล่ามแล้วปล่อยฉันเสียที”
สมองของอคิลลีสประมวลผลอย่างรวดเร็วและแปลความหมายได้ว่าไม่ใช่ “งั้นคงมีปัญหาวัยเด็ก บ้านแตกเหรอ ไม่งั้นคงติดยาหรือ...”
“หยุดเลยนะ” ปภัชสาตวาดดุให้กับการสุ่มเดาซึ่งในแต่ละเหตุผลเริ่มรุนแรงผิดเพี้ยนจากความจริงไปมาก “ไม่มีอะไรทั้งนั้น หรือต่อให้ฉันพบเจอเรื่องแย่ๆ มาทั้งชีวิต ก็ยังเทียบเคียงไม่ได้กับการพบคุณแค่ไม่กี่นาทีนี้ถ้าคุณมีน้องสาวหรือลูกสาวแล้วไปเจอไอ้งั่งสักคนที่เอาแต่จ้องบั้นท้าย หาว่าเป็นผู้หญิงขายตัวคุณจะทำยังไง ฉันไม่ฆ่าคุณตายไปตรงนี้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว บอกให้ปล่อยยังมีหน้ามากอดเอาไว้อีก”
เรื่องจริงที่อคิลลีสไม่อาจปฏิเสธ แต่เธอน่าสนใจที่เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขาจนแต้มได้ในที่สุดแล้วละฝ่ามือจากร่างนุ่มนิ่มในทันที
“ก็... ทีคุณยังจ้องตาผม ลวนลามปากผมด้วยสายตา ไม่ผิดเหรอ” เถียงและตั้งคำถามข้างๆ คูๆ
นั่นก็เป็นเรื่องจริงที่ทำให้ปภัชสาต้องนิ่งงันอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะรวบรวมสมาธิแล้วหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้าเขาอีกครั้ง
“ก็ถือว่าเจ๊ากันไป แล้วก็กรุณาหลีกทางด้วยเพราะฉันทนแชร์อากาศหายใจร่วมกับคนอย่างคุณอีกต่อไปไม่ได้สักวินาทีเดียว” กระแทกเสียงบอกอย่างไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังเล่นกับไฟ
อคิลลีสแหงนหน้าระเบิดเสียงหัวเราะ เมื่อเธอพ่นคำพูดร้ายกาจใส่หน้าเขาจึงไม่มีความจำเป็นใดต้องรักษาน้ำใจกันอีก
“บางครั้งเวลาโกหกก็ทำให้คนมีเสน่ห์กลายเป็นคนงี่เง่าขึ้นมาเชียวล่ะ เอาเข้าจริงแล้วน่าจะยอมรับมาตรงๆ ว่าปากผมน่าจูบ ดูอย่างผมเป็นไรยังยอมรับว่าก้นคุณน่า...” ลากเสียงยาวแล้วก้มลงไปกระซิบบางอย่างข้างหูเธอ
ถ้าปภัชสาปล่อยให้เขาได้ดูถูกดูแคลนโดยที่ไม่ตอบโต้อะไรกลับไปบ้างคงจะรู้สึกผิดต่อตัวเองไปชั่วชีวิต ในจังหวะที่อีกฝ่ายเอนตัวออกห่างนั้นจึงตัดสินใจประเคนหมัดเข้าที่มุมปากเขาจนสุดแรง
“อู๊ว...” อคิลลีสคราง
ความเจ็บจากกำปั้นน้อยๆ ทำให้ได้กลิ่นคาวของเลือดคละคลุ้งในโพรงปาก แรงปะทะนั้นอาจไม่มากแต่เนื้ออ่อนด้านในก็กระแทกเข้ากับปลายฟันพอดี
ความเกรี้ยวกราดที่แสดงออกมานั้นคุกคามความรู้สึกของปภัชสาจนเข่าแทบทรุด เขาหรี่ตามองเธอด้วยอารมณ์อันคุกรุ่นในขณะที่เลื่อนมือเข้าไปหยิบผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินเข้มเฉดเดียวกันกับสูทออกมาเช็ดเลือดที่มุมปาก
สีแดงของเลือดที่เปื้อนอยู่บนผ้าเช็ดหน้านั้นกลายเป็นสีดำ นั่นเหมือนการท้าทายโทสะของจอมบาปแห่งลาสเวกัสขั้นสูงสุด
ปภัชสารู้สึกได้ว่าร่างสูงใหญ่กำลังจะกระโจนใส่เธอ ทว่ามันไม่ใช่แค่ความรู้สึกแต่เป็นเรื่องจริงที่ตอนนี้เธอถูกดันจนแผ่นหลังแนบชิดกับกระจกเงา
“กรี๊ด... ถ้าทำร้ายฉันล่ะก็ ฉันจะแจ้งความจับคุณแน่!”
ขู่ฟ่อทั้งที่หลับตาแน่น ท่าทางหวาดระแวงนั้นกลับลดทอนโทสะของอคิลลีสลงอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งเจ้าตัวก็ชะงักไปครู่หนึ่งอดประหลาดใจกับความรู้สึกที่พลุ่งพล่านขึ้นมาไม่ได้
เธอน่าทะนุถนอมเกินกว่าจะตอบโต้ด้วยวิธีตาต่อตาฟันต่อฟัน แน่นอนว่าเขาไม่ใช่ไอ้หน้าตัวเมียที่คิดจะทำร้ายร่างกายผู้หญิง
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานสักแค่ไหนแต่ปภัชสาลืมตาขึ้นเพราะรู้สึกได้ถึงความชื้นบางอย่างที่ใบหู
โอ! ไอ้คนหื่นกามนี่เพิ่งฉวยโอกาสตวัดปลายลิ้นเข้ากับใบหูของเธอ
เพียงแค่ปลายลิ้นสัมผัสกับผิวนุ่มก็เหมือนเกิดกระแสไฟฟ้าแล่นพล่านระหว่างกัน มีบางสิ่งบ่งบอกให้อคิลลีสรู้ว่าเรื่องระหว่างเธอและเขาจะไม่จบลงแค่วันนี้
ทว่าเขาจำต้องปล่อยเธอไปเพื่อหาคำตอบให้ตัวเองเสียก่อนว่าเพราะเหตุใดความก้าวร้าวของเธอถึงได้ปลุกเร้าอารมณ์พิศวาสในใจเขาให้เดือดพล่านเช่นนี้
“ก็ยังย้ำคำพูดเดิมว่าผมชอบก้นงอนๆ ของคุณจริงๆ ถ้ามีโอกาสได้ก้าวร้าวใต้ร่างผมเมื่อไหร่ เรื่องอัปไซส์เป็นคัพบีหรือมากกว่านั้นคงไม่มีปัญหา อ้อ... อีกอย่างนะคนสวย คุณควรซื้อชุดที่เล็กกว่ารูปร่างของตัวเองสักหนึ่งไซส์ อย่างน้อยก็ช่วยเรื่องช่องว่างตรงนี้ได้” ไม่พูดเปล่าแต่สอดผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินเข้มลงกลางหว่างอกเธอ
คนที่ร่ำร้องจะเดินออกจากห้องกลับต้องทรุดตัวกองอยู่กับพื้นอย่างสิ้นเรี่ยวแรงพร้อมๆ กับเสียงปิดประตูที่ดังขึ้น เป็นนานกว่าจะรู้สึกได้ว่าจังหวะการเต้นของหัวใจตนเองนั้นเป็นปกติ
ปภัชสาจึงทรงตัวลุกขึ้นยืนอีกครั้งแล้วหมุนตัวกลับไปมองเงาของตนเองในกระจก
ดวงตาคู่หวานมองผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินเข้มที่ยัดอยู่กลางหว่างอกด้วยความรู้สึกหลากหลาย ยิ่งได้เห็นสีหน้าของตัวเองยิ่งเกิดความอับอายเพราะเป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นว่าสีหน้าของตัวเองนั้น...
เหมือนผู้หญิงที่ตกอยู่ในห้วงพิศวาส ที่ร้ายไปกว่านั้นคือรู้สึกเหมือนว่า...
สัมผัสของเขายังคลอเคลียอยู่ข้างใบหู!



ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 เม.ย. 2560, 21:31:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 เม.ย. 2560, 21:31:59 น.

จำนวนการเข้าชม : 1042





   ตอนที่ 1 100% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account