ในรอยกาล / เพิ่มตอนพิเศษ
“พี่พริษฐ์หยิบหีบใบนั้นให้ชมพู่หน่อย”
ชายหนุ่มขยับเข้ามาทันที พื้นที่แคบๆ ทำให้ต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ในขณะแก้มแหม่มเขย่งก็แล้ว ยืดแขนจนแทบเป็นกระโดดก็แล้ว กลับยังเอาลงมาไม่ได้ แต่พริษฐ์สามารถทำให้หีบไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที
หญิงสาวรับมาอย่างลิงโลด รีบก้มลงสำรวจทันใด ทว่าการหันหน้าเข้าหาชั้นวางของทำให้มีเงาพาดผ่าน ไม่สามารถมองลวดลายได้ถนัด แก้มแหม่มทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจึงกลับหลังหันเข้าหาแสงไฟ แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อ แทนที่จะสว่างกลับมืดหนักเข้าไปอีก เมื่อมีกำแพงร่างกายบังเอาไว้
“พี่พริษฐ์” เธอครางเสียแผ่ว ความใกล้ชิดทำให้ไม่กล้าขยับตัว
เดินไปข้างหน้าก็ชนอกแกร่ง ครั้นจะถอยหลังก็ติดชั้นวางของ และถึงแม้แขนทั้งสองข้างของพริษฐ์ยังตกอยู่ข้างตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนกอดกลายๆ
“ครับ”
เสียงขานรับดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับเจ้าตัวโน้มหน้าลงมาคุยชิดกระหม่อมนี่เอง ความชิดใกล้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แก้มแหม่มเริ่มทำอะไรไม่ถูก หูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ราวกับวินาทีใดข้างหน้ามันจะหลุดออกมานอกอกประจานตัวเองให้ได้อาย
ใจจึงอยากผลักชายหนุ่มออกไปไกลๆ ให้พ้นตัวจะได้หายใจหายคอสะดวก แต่เสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งกลับสั่งห้ามไว้ แก้มแหม่มจึงยืนนิ่งก้มหน้างุดปล่อยให้ชายหนุ่ม ‘กอด’ อยู่อย่างนั้น
“มองพี่ได้ไหม”
นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะหลังจากนั้นคางมนก็ถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วมือแข็งแรง
ราวกับถูกร่ายมนตร์ ประกายบางอย่างซึ่งสะท้อนผ่านลูกแก้วสีดำคู่นั้นทำให้แก้มแหม่มอยากรู้ว่าคืออะไร จากที่ควรเบือนหลบก็จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังไม่ถอนสายตา
ตอนระยะห่างระหว่างกันเหลือไม่ถึงนิ้ว พริษฐ์ก็หยุดถามเสียงทุ้ม
“พี่จูบได้ไหม”
แก้มแหม่มน่าจะรู้ว่าคำถามของพริษฐ์ไม่เคยเป็นคำถามสักครั้ง สิ้นคำริมฝีปากอุ่นก็นาบลงมา คลอเคลีย หยอกเย้ากับริมฝีปากอิ่มราวภมรหนุ่มเลาะเล็มดื่มกินความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสำลักลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย กระนั้นก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน
เหมือนคนขาดอากาศหายใจมานาน พอได้รับอิสระแก้มแหม่มก็สูดลมเข้าปอดหนักๆ มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย
ร่องรอยอ่อนหวานยังคงซ่านอยู่ตรงริมฝีปาก
เมื่อกี้เธอถูกจูบใช่ไหม
- * - * - เรื่องนี้รีอัปให้อ่านอีกรอบ และจะมีตอนพิเศษเพิ่มจากเดิม 3 ตอนค่ะ - * - * -
ชายหนุ่มขยับเข้ามาทันที พื้นที่แคบๆ ทำให้ต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ในขณะแก้มแหม่มเขย่งก็แล้ว ยืดแขนจนแทบเป็นกระโดดก็แล้ว กลับยังเอาลงมาไม่ได้ แต่พริษฐ์สามารถทำให้หีบไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที
หญิงสาวรับมาอย่างลิงโลด รีบก้มลงสำรวจทันใด ทว่าการหันหน้าเข้าหาชั้นวางของทำให้มีเงาพาดผ่าน ไม่สามารถมองลวดลายได้ถนัด แก้มแหม่มทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจึงกลับหลังหันเข้าหาแสงไฟ แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อ แทนที่จะสว่างกลับมืดหนักเข้าไปอีก เมื่อมีกำแพงร่างกายบังเอาไว้
“พี่พริษฐ์” เธอครางเสียแผ่ว ความใกล้ชิดทำให้ไม่กล้าขยับตัว
เดินไปข้างหน้าก็ชนอกแกร่ง ครั้นจะถอยหลังก็ติดชั้นวางของ และถึงแม้แขนทั้งสองข้างของพริษฐ์ยังตกอยู่ข้างตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนกอดกลายๆ
“ครับ”
เสียงขานรับดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับเจ้าตัวโน้มหน้าลงมาคุยชิดกระหม่อมนี่เอง ความชิดใกล้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แก้มแหม่มเริ่มทำอะไรไม่ถูก หูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ราวกับวินาทีใดข้างหน้ามันจะหลุดออกมานอกอกประจานตัวเองให้ได้อาย
ใจจึงอยากผลักชายหนุ่มออกไปไกลๆ ให้พ้นตัวจะได้หายใจหายคอสะดวก แต่เสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งกลับสั่งห้ามไว้ แก้มแหม่มจึงยืนนิ่งก้มหน้างุดปล่อยให้ชายหนุ่ม ‘กอด’ อยู่อย่างนั้น
“มองพี่ได้ไหม”
นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะหลังจากนั้นคางมนก็ถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วมือแข็งแรง
ราวกับถูกร่ายมนตร์ ประกายบางอย่างซึ่งสะท้อนผ่านลูกแก้วสีดำคู่นั้นทำให้แก้มแหม่มอยากรู้ว่าคืออะไร จากที่ควรเบือนหลบก็จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังไม่ถอนสายตา
ตอนระยะห่างระหว่างกันเหลือไม่ถึงนิ้ว พริษฐ์ก็หยุดถามเสียงทุ้ม
“พี่จูบได้ไหม”
แก้มแหม่มน่าจะรู้ว่าคำถามของพริษฐ์ไม่เคยเป็นคำถามสักครั้ง สิ้นคำริมฝีปากอุ่นก็นาบลงมา คลอเคลีย หยอกเย้ากับริมฝีปากอิ่มราวภมรหนุ่มเลาะเล็มดื่มกินความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสำลักลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย กระนั้นก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน
เหมือนคนขาดอากาศหายใจมานาน พอได้รับอิสระแก้มแหม่มก็สูดลมเข้าปอดหนักๆ มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย
ร่องรอยอ่อนหวานยังคงซ่านอยู่ตรงริมฝีปาก
เมื่อกี้เธอถูกจูบใช่ไหม
- * - * - เรื่องนี้รีอัปให้อ่านอีกรอบ และจะมีตอนพิเศษเพิ่มจากเดิม 3 ตอนค่ะ - * - * -
Tags: ในรอยกาล, เนตรนภัส, พริษฐ์, ชมพู่, แก้มแหม่ม,
ตอน: บทที่ 15 [1/2]
...๑๕...
แก้มแหม่มบิดจักรยานยนต์ออกจากบ้านในตอนเช้าตรู่ มียอดซ้อนท้ายอยู่ด้านหลัง ในมือเด็กชายข้างหนึ่งถือปิ่นโตเถาใหญ่ อีกข้างกอดถังสังฆทานเอาไว้ ตะกร้าผลไม้วางอยู่ในตะกร้าหน้ารถ มุ่งหน้าสู่วัดใกล้บ้านทันที
เข้ามาในบริเวณวัดอันร่มรื่น พอจอดรถเสร็จก็คว้าตะกร้าผลไม้มุ่งหน้าสู่โรงครัวโดยมียอดวิ่งตามมาติดๆ เด็กชายตักข้าวใส่โถซึ่งมีคนวางเตรียมเอาไว้ แล้วเอาผลไม้ไปจัดเรียงใส่ถาดซึ่งมีกล้วยและมังคุดวางอยู่
ทางด้านแก้มแหม่มถ่ายอาหารจากปิ่นโตใส่ถ้วยและจานนำไปวางเรียงในถาดซึ่งชาวบ้านบางส่วนนำมาวางไว้แล้ว หญิงสาวเดาว่าอาหารเหล่านี้คงมาจากชาวบ้านซึ่งเป็นเวรในการนำอาหารมาถวายพระในวัด
อาหารของพระสงฆ์ในวัดแห่งนี้นอกจากรับบิณฑบาตทุกเช้าแล้ว ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ชาวบ้านจัดเวรกันนำอาหารมาถวายพระในวัดโดยสมัครใจ ซึ่งเรียกกันว่า ‘แกงเวียน’ ถ้าบ้านใดมัคนายกนำป้ายไม้เล็กๆ ไปแขวนไว้ นั่นหมายความว่าวันรุ่งขึ้นสมาชิกในบ้านนั้นเป็นเวรในการนำอาหารไปวัด
เสร็จแล้วแก้มแหม่มและยอดจึงปลีกตัวออกมา ถ้าไม่ใช่วันพิเศษอะไร พระสงฆ์ทุกรูปในวัดจะฉันอาหารกันในโรงครัว
“เราไปนั่งเล่นที่ศาลาริมน้ำกันเถอะยอด รอให้หลวงตาฉันเสร็จแล้วเราค่อยตามไปถวายเครื่องสังฆทานกันที่กุฏิ”
“เอาอาหารไปโปรยให้ปลาด้วยได้ไหมพี่ชมพู่”
แก้มแหม่มพยักหน้าเบาๆ พอได้รับอนุญาต ยอดถึงกับยิ้มกว้าง ดวงตาใสซื่อแบบเด็กๆ เป็นประกายระยิบ
“ขอบคุณครับ”
“งั้นขึ้นรถเถอะ”
เด็กชายทำตามอย่างว่าง่าย วางเครื่องสังฆทานในตะกร้าแล้วกระโดดขึ้นรถอย่างร่าเริง แก้มแหม่มขับจักรยานยนต์คันโปรดลัดเลาะไปตามทางเล็กๆ กระทั่งถึงศาลาไม้ใกล้สระน้ำจืดขนาดใหญ่จึงจอดรถ ส่งเงินให้ยอดจำนวนหนึ่ง ซึ่งเด็กชายก็รับไปอย่างลิงโลด
ครู่เดียวในมือยอดก็มีถุงอาหารปลาสองถุงติดมาด้วย รอจนเด็กชายขึ้นนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว แก้มแหม่มจึงออกรถอีกครั้งมุ่งหน้าสู่ศาลาใหญ่ริมน้ำ ที่ทางวัดสร้างเอาไว้เพื่อให้ญาติโยมซึ่งมาทำบุญได้นั่งพักผ่อนรับลมแม่น้ำ
พอรถจอดเท่านั้น เด็กชายก็วิ่งตึงๆ ขึ้นไปบนศาลาทันที โดยไม่สนใจว่าแก้มแหม่มจะตามมาทันหรือเปล่า ซึ่งหญิงสาวก็ไม่ได้ดุอะไรนอกจากส่ายศีรษะเบาๆ ด้วยความระอาระคนเอ็นดู เพราะเห็นแล้วว่าสิ่งที่ยอดทำเสียงดังตึงตังนั้นไม่ได้รบกวนใคร
เธอนั่งลงข้างๆ เด็กชาย ห้อยขาออกไปนอกศาลา ตอนแก้มแหม่มไปถึงนั้นเด็กชายแกะถุงอาหารเริ่มโปรยให้ปลาในน้ำเรียบร้อยแล้ว
“เอาไหมพี่ชมพู่ ช่วยกันโปรย”
ยอดส่งถุงอาหารอีกถุงซึ่งยังไม่ได้แกะมาให้ หญิงสาวก็ส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่ละ พี่ไม่อยากให้มือเหม็น”
“เหม็นก็ล้างได้นี่พี่ชมพู่ กลัวอะไรกับมือเหม็น”
เด็กชายแย้งกลั้วเสียงหัวเราะ ทว่าหญิงสาวก็ยังคงยืนยันคำเดิม
“ยอดโปรยไปเถอะ พี่นั่งดูเฉยๆ ดีกว่า ไม่ชอบกลิ่นมันเท่าไหร่”
เด็กชายยกมือของตนเองขึ้นดมแล้วก็ทำจมูกย่น เลยโดนแก้มแหม่มหัวเราะเยาะ
“ไม่เป็นไร เหม็นได้ก็ล้างได้” เด็กชายบอกแล้วตั้งหน้าตั้งตาโปรยอาหารลงไปในน้ำต่ออย่างสนุกสนาน
พออาหารเม็ดกระทบผืนน้ำเท่านั้น ปลาน้อยใหญ่ก็กรูขึ้นมาอ้าปากงับเม็ดอาหารที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ อาหารหมดก็ดำลงไปข้างใต้ พอยอดโปรยลงไปอีกก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง เป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ แก้มแหม่มถึงกับมองเพลินไปเลย
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ แผ่นหลังที่ตั้งตรงอยู่ก็ค่อยๆ ลู่เอน ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาแก้มแหม่มตรากตรำทำงานอย่างหนัก ทั้งจัดสวนทั้งจัดการเรื่องเรือนไทย เมื่อเช้าก็ตื่นแต่เช้าเพื่อนำอาหารมาถวายพระอีก เจอลมเย็นๆ เข้าไปชักเริ่มง่วง ยอดหันมาอีกทีก็พบว่าพี่สาวเอนหลังนอนราบไปกับพื้นศาลา ขาห้อยอยู่เหนือน้ำไปแล้ว
เด็กชายเห็นอย่างนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้น เอาถุงพลาสติกใส่อาหารปลาม้วนเป็นกลมๆ เอาไปใส่ถุงใบใหญ่ซึ่งแขวนอยู่มุมหนึ่งของศาลา เป้าหมายที่เล็งเอาไว้คือต้นมะเฟืองใกล้ๆ กับกุฏิพระ ตอนผ่านมาเห็นว่ามีลูกสุกอยู่เยอะแยะ ไปขอสักลูกสองลูก หลวงพี่คงอนุญาต
แก้มแหม่มนอนหลับอยู่ตรงนั้นนานเท่าไรก็สุดรู้ เพราะตอนยอดวิ่งกลับมาก็พบว่าพี่สาวยังนอนอยู่ ยอดเล็งเห็นแล้วว่าขืนปล่อยให้พี่สาวนอนต่อไปไม่รู้ว่าเมื่อไรจะตื่น เผลอๆ พระฉันเพลเสร็จแล้วแก้มแหม่มอาจจะยังนอนหลับอยู่ก็ได้ ดังนั้นเด็กชายจึงตัดสินใจปลุก แม้จะเสี่ยงต่อการถูกว้ากก็ตามที
“พี่ชมพู่ ตื่นเถอะ” เด็กชายเขย่าแขนเล็กๆ ของพี่สาวเบาๆ “พี่ชมพู่”
“หือ...อือ ขอนอนต่ออีกหน่อยนะคะป้า”
เด็กชายถึงกับหลุดหัวเราะ ขนาดในวัดพี่ชมพู่ยังสามารถนอนขี้เซาได้ เชื่อเขาเลยจริงๆ
“พี่ชมพู่ ตื่นเร็ว หลวงตากลับกุฏิแล้วนะ”
เด็กชายยิ่งออกแรงเขย่ามากขึ้น และนั่นก็ได้ผลเมื่อยอดเห็นว่าขนตายาวๆ ของหญิงสาวขยับยุกยิก เปลือกตาค่อยๆ เปิดขึ้นทีละนิด
“หือ...อ้าว ยอด” หลังจากปรับสายตาได้แก้มแหม่มก็เผลอคราง ค่อยๆ ดันตัวลุกขึ้นแล้วพบว่าตนเผลอหลับไปบนศาลา ความง่วงงุนที่ยังคงรุมเร้าทำให้ต้องขยี้ตาเพื่อคลายความงัวเงีย “พี่หลับไปนานไหม”
“ก็สักพักครับ รีบไปกันเถอะพี่ชมพู่ เมื่อกี้ยอดเห็นหลวงตาเดินลงมาจากโรงครัว น่าจะถึงกุฏิแล้วละ”
เด็กชายเร่งเร้า ซึ่งแก้มแหม่มก็รีบลุกขึ้นทันที นั่นละหญิงสาวถึงได้เห็นว่าในอ้อมกอดของเด็กชายมีมะเฟืองลูกเขื่องสีเหลืองน่ากินอยู่ด้วย
“แล้วนั่นไปเอามาจากไหน”
“ยอดขอหลวงพี่แล้ว ไม่ได้ลักของวัดนะ”
“เอ้าๆ เข้ามาก่อน เข้ามา” เจ้าของกุฏิเอ่ยเรียกทันทีเมื่อเห็นร่างคุ้นตายืนอยู่ด้านล่างตรงหน้ากุฏิราวกับรู้อยู่ก่อนแล้วว่าจะมีคนมาหา
“นมัสการค่ะหลวงตา” หญิงสาวพนมมือแต้ทำความเคารพ นั่นทำให้ยอดซึ่งหันมาเห็นทำตามทันที
“นมัสการครับหลวงตา”
“มาถวายสังฆทานใช่ไหม มา ขึ้นมาก่อน”
ทั้งคู่เดินขึ้นไปบนกุฏิของเจ้าอาวาสอย่างว่าง่าย ด้วยเคยมาอยู่บ่อยๆ พอขึ้นไปข้างบน ทั้งพี่และน้องก็เดินเข่าขึ้นไปนั่งอยู่บนเสื่อห่างจากตั่งซึ่งท่านเจ้าอาวาสนั่งอยู่พอประมาณ พลางก้มกราบ
“เจริญพรๆ”
“เมื่อกี้หลวงตาทำเหมือนรู้ว่าชมพู่จะมา”
หลวงตาหัวเราะหึๆ แล้วหันไปทางยอดซึ่งขยับตัวยุกยิกมีพิรุธ
“เมื่อกี้เราไม่ใช่หรือที่ไปห้อยโตงเตงอยู่บนต้นมะเฟือง”
สิ้นคำแก้มแหม่มก็หันไปจ้องเด็กชายตาเขม็ง เล่นเอายอดถึงกับออกอาการร้อนๆ หนาวๆ ละล่ำละลักอธิบายรัวเร็วเพราะกลัวโดนตำหนิ
“ผมขอหลวงพี่แถวนั้นแล้วนะหลวงตา ไม่ได้คิดลักขโมยสักหน่อย”
“แน่นะ” คนเป็นพี่หันมาคาดคั้น
“แน่สิครับ โธ่...พี่ชมพู่ ใครจะกล้าขโมยของในวัด ตายไปจะได้เป็นเปรตปะไร” เด็กชายนึกถึงสารคดีที่ครูเคยให้ดูในชั่วโมงจริยศึกษาแล้วถึงกับออกอาการขยาด
“ถ้าขอแล้วก็ไม่เป็นไรหรอกยอดเอ๊ย พระเจ้าก็ไม่ได้หวงอะไรหรอก แต่อย่าไปขโมยไปลักของคนอื่นเขา...นอกวัดก็ไม่ได้”
“ครับหลวงตา ผมจะจำไว้” เด็กชายพนมมือแต้ขณะพูด
“แล้วนี่มาถวายสังฆทานใช่ไหม ให้พ่อกับแม่เหมือนเคยสินะ”
“ไม่ใช่หรอกค่ะหลวงตา” หญิงสาวปฏิเสธพลางถาม “ถ้าจะอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้คนอื่นที่เรารู้จักแค่ชื่อ แต่ไม่รู้นามสกุลได้ไหมคะหลวงตา”
ท่านเจ้าอาวาสนิ่งไปนิด
“ตายแล้วหรือ”
“ค่ะ”
“ตั้งจิตอธิษฐานให้เขาก็แล้วกัน เอ้าๆ เริ่มเลย”
แก้มแหม่มเริ่มด้วยการจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูปก่อน แล้วเริ่มอาราธนาศีล เสร็จแล้วก็เอ่ยคำถวายสังฆทานให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วอย่างคล่องแคล่ว เริ่มด้วยภาษาบาลีก่อนแล้วจึงต่อด้วยภาษาไทย โดยมียอดนั่งทำปากขมุบขมิบตามไปด้วย เสร็จแล้วหญิงสาวก็ยกเครื่องสังฆทานทั้งชุดไปประเคน โดยวางลงบนผ้าซึ่งเจ้าอาวาสพาดเอาไว้ให้ แล้วถอยออกมา
“เอาละ ต่อไปก็กรวดน้ำ ยอด...”
“ครับ”
แก้มแหม่มบิดจักรยานยนต์ออกจากบ้านในตอนเช้าตรู่ มียอดซ้อนท้ายอยู่ด้านหลัง ในมือเด็กชายข้างหนึ่งถือปิ่นโตเถาใหญ่ อีกข้างกอดถังสังฆทานเอาไว้ ตะกร้าผลไม้วางอยู่ในตะกร้าหน้ารถ มุ่งหน้าสู่วัดใกล้บ้านทันที
เข้ามาในบริเวณวัดอันร่มรื่น พอจอดรถเสร็จก็คว้าตะกร้าผลไม้มุ่งหน้าสู่โรงครัวโดยมียอดวิ่งตามมาติดๆ เด็กชายตักข้าวใส่โถซึ่งมีคนวางเตรียมเอาไว้ แล้วเอาผลไม้ไปจัดเรียงใส่ถาดซึ่งมีกล้วยและมังคุดวางอยู่
ทางด้านแก้มแหม่มถ่ายอาหารจากปิ่นโตใส่ถ้วยและจานนำไปวางเรียงในถาดซึ่งชาวบ้านบางส่วนนำมาวางไว้แล้ว หญิงสาวเดาว่าอาหารเหล่านี้คงมาจากชาวบ้านซึ่งเป็นเวรในการนำอาหารมาถวายพระในวัด
อาหารของพระสงฆ์ในวัดแห่งนี้นอกจากรับบิณฑบาตทุกเช้าแล้ว ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ชาวบ้านจัดเวรกันนำอาหารมาถวายพระในวัดโดยสมัครใจ ซึ่งเรียกกันว่า ‘แกงเวียน’ ถ้าบ้านใดมัคนายกนำป้ายไม้เล็กๆ ไปแขวนไว้ นั่นหมายความว่าวันรุ่งขึ้นสมาชิกในบ้านนั้นเป็นเวรในการนำอาหารไปวัด
เสร็จแล้วแก้มแหม่มและยอดจึงปลีกตัวออกมา ถ้าไม่ใช่วันพิเศษอะไร พระสงฆ์ทุกรูปในวัดจะฉันอาหารกันในโรงครัว
“เราไปนั่งเล่นที่ศาลาริมน้ำกันเถอะยอด รอให้หลวงตาฉันเสร็จแล้วเราค่อยตามไปถวายเครื่องสังฆทานกันที่กุฏิ”
“เอาอาหารไปโปรยให้ปลาด้วยได้ไหมพี่ชมพู่”
แก้มแหม่มพยักหน้าเบาๆ พอได้รับอนุญาต ยอดถึงกับยิ้มกว้าง ดวงตาใสซื่อแบบเด็กๆ เป็นประกายระยิบ
“ขอบคุณครับ”
“งั้นขึ้นรถเถอะ”
เด็กชายทำตามอย่างว่าง่าย วางเครื่องสังฆทานในตะกร้าแล้วกระโดดขึ้นรถอย่างร่าเริง แก้มแหม่มขับจักรยานยนต์คันโปรดลัดเลาะไปตามทางเล็กๆ กระทั่งถึงศาลาไม้ใกล้สระน้ำจืดขนาดใหญ่จึงจอดรถ ส่งเงินให้ยอดจำนวนหนึ่ง ซึ่งเด็กชายก็รับไปอย่างลิงโลด
ครู่เดียวในมือยอดก็มีถุงอาหารปลาสองถุงติดมาด้วย รอจนเด็กชายขึ้นนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว แก้มแหม่มจึงออกรถอีกครั้งมุ่งหน้าสู่ศาลาใหญ่ริมน้ำ ที่ทางวัดสร้างเอาไว้เพื่อให้ญาติโยมซึ่งมาทำบุญได้นั่งพักผ่อนรับลมแม่น้ำ
พอรถจอดเท่านั้น เด็กชายก็วิ่งตึงๆ ขึ้นไปบนศาลาทันที โดยไม่สนใจว่าแก้มแหม่มจะตามมาทันหรือเปล่า ซึ่งหญิงสาวก็ไม่ได้ดุอะไรนอกจากส่ายศีรษะเบาๆ ด้วยความระอาระคนเอ็นดู เพราะเห็นแล้วว่าสิ่งที่ยอดทำเสียงดังตึงตังนั้นไม่ได้รบกวนใคร
เธอนั่งลงข้างๆ เด็กชาย ห้อยขาออกไปนอกศาลา ตอนแก้มแหม่มไปถึงนั้นเด็กชายแกะถุงอาหารเริ่มโปรยให้ปลาในน้ำเรียบร้อยแล้ว
“เอาไหมพี่ชมพู่ ช่วยกันโปรย”
ยอดส่งถุงอาหารอีกถุงซึ่งยังไม่ได้แกะมาให้ หญิงสาวก็ส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่ละ พี่ไม่อยากให้มือเหม็น”
“เหม็นก็ล้างได้นี่พี่ชมพู่ กลัวอะไรกับมือเหม็น”
เด็กชายแย้งกลั้วเสียงหัวเราะ ทว่าหญิงสาวก็ยังคงยืนยันคำเดิม
“ยอดโปรยไปเถอะ พี่นั่งดูเฉยๆ ดีกว่า ไม่ชอบกลิ่นมันเท่าไหร่”
เด็กชายยกมือของตนเองขึ้นดมแล้วก็ทำจมูกย่น เลยโดนแก้มแหม่มหัวเราะเยาะ
“ไม่เป็นไร เหม็นได้ก็ล้างได้” เด็กชายบอกแล้วตั้งหน้าตั้งตาโปรยอาหารลงไปในน้ำต่ออย่างสนุกสนาน
พออาหารเม็ดกระทบผืนน้ำเท่านั้น ปลาน้อยใหญ่ก็กรูขึ้นมาอ้าปากงับเม็ดอาหารที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ อาหารหมดก็ดำลงไปข้างใต้ พอยอดโปรยลงไปอีกก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง เป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ แก้มแหม่มถึงกับมองเพลินไปเลย
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ แผ่นหลังที่ตั้งตรงอยู่ก็ค่อยๆ ลู่เอน ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาแก้มแหม่มตรากตรำทำงานอย่างหนัก ทั้งจัดสวนทั้งจัดการเรื่องเรือนไทย เมื่อเช้าก็ตื่นแต่เช้าเพื่อนำอาหารมาถวายพระอีก เจอลมเย็นๆ เข้าไปชักเริ่มง่วง ยอดหันมาอีกทีก็พบว่าพี่สาวเอนหลังนอนราบไปกับพื้นศาลา ขาห้อยอยู่เหนือน้ำไปแล้ว
เด็กชายเห็นอย่างนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้น เอาถุงพลาสติกใส่อาหารปลาม้วนเป็นกลมๆ เอาไปใส่ถุงใบใหญ่ซึ่งแขวนอยู่มุมหนึ่งของศาลา เป้าหมายที่เล็งเอาไว้คือต้นมะเฟืองใกล้ๆ กับกุฏิพระ ตอนผ่านมาเห็นว่ามีลูกสุกอยู่เยอะแยะ ไปขอสักลูกสองลูก หลวงพี่คงอนุญาต
แก้มแหม่มนอนหลับอยู่ตรงนั้นนานเท่าไรก็สุดรู้ เพราะตอนยอดวิ่งกลับมาก็พบว่าพี่สาวยังนอนอยู่ ยอดเล็งเห็นแล้วว่าขืนปล่อยให้พี่สาวนอนต่อไปไม่รู้ว่าเมื่อไรจะตื่น เผลอๆ พระฉันเพลเสร็จแล้วแก้มแหม่มอาจจะยังนอนหลับอยู่ก็ได้ ดังนั้นเด็กชายจึงตัดสินใจปลุก แม้จะเสี่ยงต่อการถูกว้ากก็ตามที
“พี่ชมพู่ ตื่นเถอะ” เด็กชายเขย่าแขนเล็กๆ ของพี่สาวเบาๆ “พี่ชมพู่”
“หือ...อือ ขอนอนต่ออีกหน่อยนะคะป้า”
เด็กชายถึงกับหลุดหัวเราะ ขนาดในวัดพี่ชมพู่ยังสามารถนอนขี้เซาได้ เชื่อเขาเลยจริงๆ
“พี่ชมพู่ ตื่นเร็ว หลวงตากลับกุฏิแล้วนะ”
เด็กชายยิ่งออกแรงเขย่ามากขึ้น และนั่นก็ได้ผลเมื่อยอดเห็นว่าขนตายาวๆ ของหญิงสาวขยับยุกยิก เปลือกตาค่อยๆ เปิดขึ้นทีละนิด
“หือ...อ้าว ยอด” หลังจากปรับสายตาได้แก้มแหม่มก็เผลอคราง ค่อยๆ ดันตัวลุกขึ้นแล้วพบว่าตนเผลอหลับไปบนศาลา ความง่วงงุนที่ยังคงรุมเร้าทำให้ต้องขยี้ตาเพื่อคลายความงัวเงีย “พี่หลับไปนานไหม”
“ก็สักพักครับ รีบไปกันเถอะพี่ชมพู่ เมื่อกี้ยอดเห็นหลวงตาเดินลงมาจากโรงครัว น่าจะถึงกุฏิแล้วละ”
เด็กชายเร่งเร้า ซึ่งแก้มแหม่มก็รีบลุกขึ้นทันที นั่นละหญิงสาวถึงได้เห็นว่าในอ้อมกอดของเด็กชายมีมะเฟืองลูกเขื่องสีเหลืองน่ากินอยู่ด้วย
“แล้วนั่นไปเอามาจากไหน”
“ยอดขอหลวงพี่แล้ว ไม่ได้ลักของวัดนะ”
“เอ้าๆ เข้ามาก่อน เข้ามา” เจ้าของกุฏิเอ่ยเรียกทันทีเมื่อเห็นร่างคุ้นตายืนอยู่ด้านล่างตรงหน้ากุฏิราวกับรู้อยู่ก่อนแล้วว่าจะมีคนมาหา
“นมัสการค่ะหลวงตา” หญิงสาวพนมมือแต้ทำความเคารพ นั่นทำให้ยอดซึ่งหันมาเห็นทำตามทันที
“นมัสการครับหลวงตา”
“มาถวายสังฆทานใช่ไหม มา ขึ้นมาก่อน”
ทั้งคู่เดินขึ้นไปบนกุฏิของเจ้าอาวาสอย่างว่าง่าย ด้วยเคยมาอยู่บ่อยๆ พอขึ้นไปข้างบน ทั้งพี่และน้องก็เดินเข่าขึ้นไปนั่งอยู่บนเสื่อห่างจากตั่งซึ่งท่านเจ้าอาวาสนั่งอยู่พอประมาณ พลางก้มกราบ
“เจริญพรๆ”
“เมื่อกี้หลวงตาทำเหมือนรู้ว่าชมพู่จะมา”
หลวงตาหัวเราะหึๆ แล้วหันไปทางยอดซึ่งขยับตัวยุกยิกมีพิรุธ
“เมื่อกี้เราไม่ใช่หรือที่ไปห้อยโตงเตงอยู่บนต้นมะเฟือง”
สิ้นคำแก้มแหม่มก็หันไปจ้องเด็กชายตาเขม็ง เล่นเอายอดถึงกับออกอาการร้อนๆ หนาวๆ ละล่ำละลักอธิบายรัวเร็วเพราะกลัวโดนตำหนิ
“ผมขอหลวงพี่แถวนั้นแล้วนะหลวงตา ไม่ได้คิดลักขโมยสักหน่อย”
“แน่นะ” คนเป็นพี่หันมาคาดคั้น
“แน่สิครับ โธ่...พี่ชมพู่ ใครจะกล้าขโมยของในวัด ตายไปจะได้เป็นเปรตปะไร” เด็กชายนึกถึงสารคดีที่ครูเคยให้ดูในชั่วโมงจริยศึกษาแล้วถึงกับออกอาการขยาด
“ถ้าขอแล้วก็ไม่เป็นไรหรอกยอดเอ๊ย พระเจ้าก็ไม่ได้หวงอะไรหรอก แต่อย่าไปขโมยไปลักของคนอื่นเขา...นอกวัดก็ไม่ได้”
“ครับหลวงตา ผมจะจำไว้” เด็กชายพนมมือแต้ขณะพูด
“แล้วนี่มาถวายสังฆทานใช่ไหม ให้พ่อกับแม่เหมือนเคยสินะ”
“ไม่ใช่หรอกค่ะหลวงตา” หญิงสาวปฏิเสธพลางถาม “ถ้าจะอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้คนอื่นที่เรารู้จักแค่ชื่อ แต่ไม่รู้นามสกุลได้ไหมคะหลวงตา”
ท่านเจ้าอาวาสนิ่งไปนิด
“ตายแล้วหรือ”
“ค่ะ”
“ตั้งจิตอธิษฐานให้เขาก็แล้วกัน เอ้าๆ เริ่มเลย”
แก้มแหม่มเริ่มด้วยการจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูปก่อน แล้วเริ่มอาราธนาศีล เสร็จแล้วก็เอ่ยคำถวายสังฆทานให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วอย่างคล่องแคล่ว เริ่มด้วยภาษาบาลีก่อนแล้วจึงต่อด้วยภาษาไทย โดยมียอดนั่งทำปากขมุบขมิบตามไปด้วย เสร็จแล้วหญิงสาวก็ยกเครื่องสังฆทานทั้งชุดไปประเคน โดยวางลงบนผ้าซึ่งเจ้าอาวาสพาดเอาไว้ให้ แล้วถอยออกมา
“เอาละ ต่อไปก็กรวดน้ำ ยอด...”
“ครับ”
เนตรนภัส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ส.ค. 2560, 18:58:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ส.ค. 2560, 18:58:32 น.
จำนวนการเข้าชม : 1018
<< บทที่ 14 [2/2] ครบค่า | บทที่ 15 [2/2] ครบละค่า >> |