แกะรอยบุษบา
การฆ่าตัวตายของดาราสาวชื่อดัง ทำให้อาศิระต้องตกเป็นจำเลยของสังคม ในฐานะไฮโซหนุ่มที่สะบั้นรักหญิงสาว มีแต่ตัวเขาเท่านั้นที่รู้ดีว่าทุกอย่างไม่เป็นความจริง และนั่นคือจุดเริ่มต้นให้เขาต้องตามแกะรอยเพื่อปลดปล่อยตัวเองจากสิ่งที่มองไม่เห็น
Tags: กลับมาพบกัน , ความรัก , ตามจีบ
ตอน: ตอนที่ 1 ปาหนัน
แกะรอยบุษบา
ตอนที่ 1
ทันทีที่คมมีดกรีดลงบนเส้นเลือดใหญ่ของมือข้างซ้าย ของเหลวสีแดงสดก็ไหลรินออกไม่ขาดสาย ทว่าใบหน้าของดาราสาวกลับไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งที่เกิดขึ้น คมมีดย้ำลงบนจุดเดิมด้วยแรงกดที่แรงขึ้น...ลึกขึ้น ราวกับเครียดแค้นชิงชังต่อบางสิ่งอย่างแสนสาหัส ก่อนจะปล่อยอาวุธในมือให้จมหายไปในอ่างอาบน้ำ แล้วทิ้งมือข้างนั้นตามลงไปให้หยาดโลหิตไหลทะลักออกมาผสมกับน้ำในอ่างจนกลายเป็นสีแดงฉาน...
แสงแดดยามสายของวันอาทิตย์ทาบทาไอร้อนไปยังรถสปอร์ตที่จอดอยู่ ก่อนชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของจะรับกุญแจจากคนรถที่ยืนรออยู่อย่างนอบน้อม แล้วก้าวขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับด้วยตัวเอง อาศิระยกมือขึ้นดูนาฬิกาอีกครั้งก่อนจะขับรถให้เคลื่อนออกไป เขาโทรนัดกับโยธินเพื่อนสนิทเอาไว้ที่ร้านอาหาร ซึ่งเป็นร้านที่พ่อแม่ของโยธินเปิดกิจการมานานแล้ว และเพื่อนของเขาก็เป็นผู้สืบทอดรุ่นต่อมา ทว่าวันนี้โยธินกลับติดธุระต้องไปหาปู่กับย่าที่บ้าน เขาจึงตัดสินใจขับรถตามไป เพราะเคยไปค้างกับเพื่อนที่บ้านหลังนั้นมาแล้วสองครั้ง ในช่วงก่อนเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ ทำให้เขาสนิทกับปู่และย่าของเพื่อนพอสมควร
ชายหนุ่มหยิบแว่นตาดำขึ้นมาสวม เมื่อรถแล่นมาติดไฟแดงที่แยกหนึ่ง แล้วเห็นเจ้าของรถอีกคันที่จอดอยู่ใกล้ๆ มองมา แม้รถของเขาจะติดฟิล์มค่อนข้างเข้มจนคนอื่นมองเข้ามาไม่ถนัดนัก หากเขาก็ยังรู้สึกระแวงปนรำคาญใจอยู่ดี และต้นเหตุก็มาจากข่าวดาราสาวฆ่าตัวตายเมื่อสัปดาห์ก่อน ข่าวที่สร้างความเสียหายให้แก่ภาพลักษณ์ของเขาอย่างมหาศาล
ปาหนัน ดาราสาวชื่อดังฆ่าตัวตายคาห้องพักหรู ตำรวจพบบันทึกเผยปมนักธุรกิจหนุ่มไฮโซสะบั้นรัก…
หนังสือพิมพ์ทุกฉบับพาดหัวไปในทางเดียวกัน ขณะที่สภาพศพของหญิงสาวอยู่ในชุดนอนสีดำ นอนจมกองเลือดอยู่ในอ่างอาบน้ำ ที่ข้อมือซ้ายมีรอยกรีดลึกลงที่เส้นเลือดใหญ่โดยไม่พลาดเป้า ในห้องไม่มีร่องรอยการต่อสู้หรือถูกรื้อค้นทรัพย์สิน กล้องวงจรปิดของคอนโดไม่พบผู้ต้องสงสัย หลังจากตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้วตำรวจก็สรุปว่าเป็นการฆ่าตัวตาย ซึ่งเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลย ถ้าคอมพิวเตอร์ในห้องนอนของปาหนันจะไม่มีข้อความพิมพ์ทิ้งไว้ เล่าถึงความรักที่ไม่สมหวังของเธอกับชายคนหนึ่ง ทั้งที่เธอยังไม่เคยเปิดตัวว่ามีคนรัก หากที่ทุกคนต่างพุ่งเป้ามาที่เขาก็เพราะทั้งคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือของเธอใช้รูปคู่กับเขาเป็นภาพหน้าจอ
แฟนคลับของปาหนันต่างพากันเชื่อข่าวลือว่าเขาเป็นคนทรยศต่อความรักของหญิงสาว ทั้งที่ความจริงแล้วเขาพบกับดาราสาวครั้งแรกตอนที่บริษัทเครื่องสำอางของเขาจ้างให้เธอมาเป็นพรีเซนเตอร์ ทั้งที่เขาเคยคิดว่ามีดาราสาวคนอื่นที่ดูเหมาะกับสินค้ามากกว่าเธอ แต่ก็ยอมเลือกเธอตามมติในที่ประชุม เพราะช่วงนั้นเธอได้รับความนิยมมากกว่าใครๆ และเมื่อเธอเป็นพรีเซ็นเตอร์ของบริษัทเรื่องมีรูปถ่ายคู่กันบ้างจึงถือเป็นเรื่องปกติ หลังจากนั้นเขาก็ได้เจอเธออีกหลายครั้งตอนที่เขาไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน ซึ่งเธอก็มากับกลุ่มเพื่อนของเธอเช่นกัน แต่นิตยสารประเภทซุบซิบดารากลับมีภาพถ่ายที่สื่อว่าเขาไปเที่ยวกับเธอแค่สองคน แต่เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามีข่าวกับดารานางแบบ เขาจึงปล่อยเลยตามเลยให้ข่าวลือทั้งหมดเงียบหายไปเอง ทว่าทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างนั้น
ช่างภาพยังตามเก็บภาพของเธอและเขาทุกครั้งที่เราบังเอิญพบกัน เขาเองก็ไม่ได้ออกมาปฏิเสธให้ชัดเจนลงไป ส่วนหนึ่งเพราะเกรงว่าฝ่ายหญิงจะเสียหน้า อีกส่วนเขาไม่คิดว่าตัวเองจะเสียหายตรงไหน เพราะที่ผ่านมามีดารานางแบบหลายคนพากันให้ข่าวเป็นนัยๆ ว่าคือตัวจริงของเขา และด้วยวิสัยของผู้ชายเขายังนึกภูมิใจเสียด้วยซ้ำที่มีสาวๆ มารุมล้อมให้เขาเลือก โดยเฉพาะดาราสาวสวยอันดับหนึ่งอย่างปาหนัน และหญิงสาวเองก็ไม่เคยปฏิเสธข่าวลือที่มีกับเขาเลย เธอจะทำเพื่อสร้างกระแสให้ตัวเองมีข่าวหรือจะมีใจให้เขาจริงๆ เขาก็ไม่เคยสนใจ เพราะสำหรับเขาดาราสาวไม่ได้มีความหมายอะไรมากกว่าพรีเซ็นเตอร์ของบริษัท
หากแล้วจู่ๆ เธอกลับฆ่าตัวตายในห้องพักของตัวเอง แถมยังทิ้งหลักฐานที่เชื่อมโยงมาถึงเขา ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาถูกกระทบอย่างรุนแรง เขาจึงต้องจัดงานแถลงข่าวเพื่ออธิบายเรื่องทุกอย่างให้สังคมเข้าใจ แต่ดูเหมือนภาพคู่และบันทึกก่อนเสียชีวิตที่หลุดออกมา ราวกับจงใจจะทำให้ทุกคนปักใจเชื่อไปแล้วว่าเขาคือต้นเหตุที่ทำให้หญิงสาวเสียชีวิต และนั่นก็มีผลกระทบต่อยอดขายเครื่องสำอางเป็นอย่างมากในช่วงแรกๆ เพราะปาหนันเป็นดาราสาวชื่อดังที่มีแฟนคลับติดตามผลงานอยู่ทั่วประเทศ และหลายคนก็ถึงขั้นประกาศจะเลิกอุดหนุนสินค้าของเขา
ผลกระทบนี้กลายเป็นแรงสั่นสะเทือนต่อหน้าที่การงาน และความเชื่อมั่นในตัวเขาเป็นอย่างมาก เพราะไม่แค่ภาพลักษณ์ของเขาเท่านั้นที่เสียหาย แต่บริษัทก็พลอยเสียชื่อเสียงไปด้วย เขาจึงติดต่อไปหาคันฉัตรผู้จัดการส่วนตัวของดาราสาว เพื่อให้ช่วยยืนยันว่าข่าวลือทั้งหมดนั้นไม่เป็นความจริง หากผลที่ได้รับกลับตรงกันข้าม เมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธที่จะทำตามคำขอร้องของเขา แม้ว่าเขาจะมีค่าเสียเวลาจำนวนมากให้ก็ตาม
‘พี่ช่วยไม่ได้จริงๆ นะคุณโอบ’ ชายรูปร่างผอมสูงแต่หัวใจเป็นหญิงตอบกลับมา
‘ทำไมล่ะครับ พี่แคนก็รู้ว่าผมกับคุณเปิ้ลไม่ได้เป็นอย่างที่ข่าวลือว่า’
‘แหม เป็นหรือไม่เป็นคุณโอบก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจนะคะ ไม่อย่างนั้นยายเปิ้ลจะไปเจอกับคุณบ่อยๆ เหรอ ต่อให้มีเพื่อนกลุ่มใหญ่ไปด้วย แต่ปิดยังไงมันก็ไม่มิดหรอกค่ะ’
‘พี่แคนพูดแบบนี้ หรือว่าเงินที่ผมเสนอให้จะน้อยไป’ ชายหนุ่มดักคออย่างรู้ทัน
‘ต่อให้มากกว่านี้พี่ก็ไม่รับ ยายเปิ้ลน่ะเป็นเด็กของพี่นะคะ พี่ปั้นมาเองกับมือ แล้วพี่ก็รักไม่ต่างจากน้องสาวแท้ๆ ของตัวเอง แล้วคุณโอบคิดหรือว่าจะใช้เงินมาซื้อพี่ให้ทรยศน้องสาวตัวเองได้ พี่ยืนยันว่าจะพูดแต่ความจริงเท่านั้น’
‘แน่ใจแล้วหรือครับว่าที่รู้มาคือความจริง’ เขาถามต่อเสียงเย็นเมื่อคนตรงหน้าไม่ยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี
“แน่ใจสิ ก็ตั้งแต่ที่เปิ้ลไปทำงานให้บริษัทของคุณวันนั้น ใจของเปิ้ลมันก็อยู่กับคุณไปแล้ว ยายเปิ้ลพูดให้พี่ฟังจนหมดเปลือกว่าคุณดีกับมันมากแค่ไหน แถมยังให้ความหวังกันอีกสารพัด แต่คุณก็ไม่ออกมายอมรับกับสังคมเสียที เปิ้ลมันเลยฟูมฟายใหญ่โตแล้วหลังจากนั้นก็เกิดเรื่องอย่างที่คุณรู้นั่นแหละ’
‘ผมน่ะเหรอเคยให้ความหวังคุณเปิ้ล’ เขาถามย้ำพร้อมกับเสียงหัวเราะในลำคอราวกับได้ยินเรื่องตลก ‘ผมยืนยันได้ว่าไม่เคยทำอะไรอย่างที่ว่านั่นเลย และการตายของคุณเปิ้ลน่าจะมาจากปัญหาด้านอื่นมากกว่า’
‘อย่างยายเปิ้ลจะมีปัญหาอะไรได้ การงานก็มีเข้ามาไม่ขาด ทั้งหนังทั้งละครไหนจะโฆษณาอีก พี่เห็นมันฟูมฟายอยู่เรื่องเดียวก็เรื่องความรักนี่แหละ’ คันฉัตรยืนกรานหนักแน่น
‘ปัญหาสุขภาพไงครับ ผมเคยได้ยินคุณเปิ้ลพูดถึงยาที่เธอต้องกินอยู่เป็นประจำ’
‘เรื่องนั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้ ยายเปิ้ลแข็งแรงจะตาย ทั้งฟิตเนส โยคะ คุณตัดเรื่องนี้ทิ้งไปได้เลย’
คันฉัตรขาดการติดต่อกับเขาลงแค่ครั้งนั้น แม้ว่าเขาจะให้เวลากลับไปคิดทบทวนดูอีกครั้ง แต่อีกฝ่ายก็ไม่เคยติดต่อกลับมาเลย ทำไมผู้จัดการส่วนตัวคนนั้นถึงได้มั่นใจนักว่าปาหนันรักเขา ในเมื่อทุกครั้งที่เจอกันเธอคุยกับเพื่อนๆ ของเขามากกว่าคุยกับเขาเสียอีก
อาศิระนิ่งคิดด้วยแววตาเคร่งเครียด เขาจะไม่มีวันปล่อยเรื่องนี้ไปเฉยๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาทางพิสูจน์ความจริงเพื่อแก้ต่างให้ตัวเองให้ได้ เขาจะไม่ยอมผิดคำพูดที่เคยรับปากกับพ่อเอาไว้
‘ที่พ่อสร้างธุรกิจใหญ่โตเอาไว้ก็เพื่อโอบ โอบเป็นทายาทคนเดียวของพ่อ เป็นเหมือนตัวแทนของพ่อ จากนี้ไปจะทำอะไรก็ต้องระวัง ยิ่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงก็ยิ่งมีคนอื่นคอยจับตามองเราอยู่ตลอดเวลา อย่าเผลอทำเรื่องเสื่อมเสียให้ใครใช้เป็นจุดอ่อนมาเล่นงานเราได้ ถ้าโอบเสียพ่อกับแม่ก็พลอยเสียไปด้วย เพราะฉะนั้นโอบต้องทำให้ดีที่สุดเข้าใจไหมลูก’
พ่อสอนเขาเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็ก และทำตัวเป็นแบบอย่างให้เขาดูเสมอมา ภาพของพ่อคือนักธุรกิจที่ฉลาดหลักแหลม เป็นเจ้านายที่ลูกน้องให้ความเคารพนับถือ แม้แต่ระดับคนใหญ่คนโตยังต้องเกรงใจพ่อ ส่วนตอนอยู่บ้านพ่อเป็นสามีที่ดี เป็นพ่อที่ยอดเยี่ยมที่สุดในสายตาของเขา และแน่นอนว่าเขาอยากเป็นให้ได้อย่างพ่อ เขาตั้งใจเรียนและประสบความสำเร็จในการศึกษาด้วยผลการเรียนอันเป็นที่หนึ่งเสมอมา ก่อนจะกลายเป็นนักธุรกิจที่ทุกคนล้วนคาดหวังว่าเขาจะเจริญรอยตามพ่อได้อย่างไม่มีที่ติ และเมื่อภาพยิ่งดีมากเขาก็ยิ่งต้องรักษามันเอาไว้ ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายภาพลักษณ์และชื่อเสียงของเขาเป็นอันขาด
ทว่าตอนนี้เขากำลังตกเป็นจำเลยของสังคมโดยที่ไม่ได้ทำอะไรผิด ทำให้ท่านประธานหรือก็คือแม่ของเขายิ่งร้อนใจหนัก จนต้องไปปรึกษากับซินแสที่ไว้ใจกันมานาน
‘ซินแสหวังบอกแม่ว่าช่วงนี้โอบดวงตก อาจจะมีภูตผีวิญญาณตามมาเล่นงานได้ โอบต้องระวังตัวให้มากนะลูก ส่วนเรื่องข่าวแม่ว่าอีกไม่นานคนก็ลืม เราต้องหาแผนการตลาดใหม่ๆ มากลบเรื่องนี้ให้มิด ซินแสหวังก็กำลังช่วยอธิษฐานจิตให้โอบผ่านเรื่องนี้ไปได้นะลูก’
เขายิ้มรับและนึกสงสัยว่าแม่จ่ายไปเท่าไหร่กับค่าอธิษฐานจิตคราวนี้ แต่เมื่อเป็นความสบายใจของแม่ เขาก็ไม่อยากจะพูดอะไรให้มากความ เพราะหลังจากพ่อของเขาเสียชีวิตไปอย่างกะทันหัน แม่ก็ใช้ศาสตร์เร้นลับเป็นที่พึ่งทางใจ เพื่อสื่อสารกับพ่อที่อยู่ในอีกโลกหนึ่ง แม้เขาจะรู้ว่าเป็นเรื่องไร้สาระ หากก็ต้องยอมเมื่อเห็นว่าแม่สามารถทำใจเรื่องพ่อได้มากขึ้น หลังจากที่ซินแสหวังบอกว่าพ่อของเขาสุขสบายดีด้วยบุญที่แม่หมั่นทำไปให้
‘ตอนนี้ผมก็กำลังดูเรื่องการตลาดอยู่ครับ’
‘แม่รู้ว่าโอบไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้ แต่ดูอย่างพวกนักธุรกิจที่ฮ่องกงหรือมาเก๊าสิลูก พวกนี้เขาจะมีซินแสประจำไว้เป็นที่ปรึกษาอยู่แล้ว และจะยังไงก็แล้วแต่โอบต้องพกฮู้ติดตัวเอาไว้ เรื่องแบบนี้ถ้าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่นะลูก แม่เสียคุณพ่อไปคนแล้ว แม่ไม่อยากเสียโอบไปอีกคนนะลูก’
ความห่วงใยของแม่ทำให้เขาจำต้องรับผ้ายันต์สามเหลี่ยมสีแดงสดมาเพื่อให้แม่สบายใจ แต่หลังจากนั้นเขาก็แทบจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองเอาไปวางทิ้งไว้ที่ไหน สัญญาณไฟที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวดึงเขากลับจากเรื่องที่คิดค้างเอาไว้ ก่อนจะขับรถพุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
อาศิระจอดรถที่หน้าบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านแถบชานเมือง ก่อนจะตัดสินใจลงไปกดกริ่งหลังจากโทรติดต่อหาเพื่อนแล้วไม่สำเร็จ ไม่นานชายชราซึ่งเป็นเจ้าของบ้านก็โผล่หน้าออกมามอง ก่อนจะเดินออกมาหาและเมื่อเขาแนะนำตัวว่าเป็นใคร ชายชราจึงรีบเปิดประตูและเชื้อเชิญให้เข้ามาในบ้านทันทีอย่างจำเขาได้
“ธินไม่อยู่นะ พอดีก๊อกน้ำบ้านปู่เสีย เลยให้ขับรถไปหาซื้อก๊อกใหม่มาเปลี่ยนให้”
“ไม่เป็นไรครับคุณปู่ ผมรอได้ แล้วนี่คุณย่าไม่อยู่หรือครับ” ชายหนุ่มถามพลางมองหาผู้ที่ถามถึง
“ย่าทอดข้าวตังอยู่ในครัวแน่ะ ยังไงก็อย่าเพิ่งรีบกลับนะ รอชิมข้าวตังหน้าตั้งฝีมือย่าก่อน”
“งั้นให้ผมเข้าไปช่วยนะครับ” อาศิระเสนอตัวทันที เพราะเขาเองก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว
“ไม่ต้องๆ ในครัวมันร้อน เพิ่งขับรถมาเหนื่อยๆ นั่งพักเถอะ หรือจะไปเดินดูอะไรรอบๆ บ้านก็ได้นะ ดอกไม้ดอกไร่ก็ปลูกไว้เยอะแยะ หรือถ้าสนใจนกเขาก็ไปเล่นกับมันได้ ปู่เลี้ยงไว้สองตัวอยู่ด้านนอกแน่ะ” ชายชราชี้บอกทางให้เพื่อนของหลานชาย ก่อนจะขอตัวเข้าไปช่วยภรรยาทำของว่างต่อ
อาศิระยังไม่ได้ขยับลุกไปไหนก็มีหญิงวัยกลางคนร่างท้วมนำน้ำหวานเข้ามาให้ ซึ่งเขาเดาว่าน่าจะเป็นแม่บ้านที่สองสามีภรรยาจ้างเอาไว้ หลังจากดื่มน้ำหวานไปเกือบหมดแก้ว ชายหนุ่มจึงลุกไปดูนกเขาตามที่เจ้าของบ้านแนะนำไว้ ทว่าเขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านนกเขา หลังจากยืนมองๆ อยู่ครู่หนึ่งจึงเดินเล่นไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะสังเกตเห็นว่าบ้านหลังติดกันนั้นค่อนข้างรกร้างราวกับไม่มีคนอยู่ และเขาก็จำได้ว่าเมื่อตอนที่เคยมาค้างกับเพื่อนที่นี่ เขาได้รู้จักกับเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกสาวเจ้าของบ้าน ตอนนั้นเธอยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น ขณะที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วและกำลังจะไปเรียนต่อเมืองนอก
เธอชื่ออะไรนะ...
ชายหนุ่มถามตัวเอง ชื่อที่ติดอยู่บนริมฝีปากแต่กลับนึกไม่ออก
อาศิระเดินไปเกาะที่ข้างรั้วเพื่อชะเง้อดูว่ามีใครอยู่หรือไม่ เมื่อไม่พบใครเขาจึงหันกลับ ก่อนจะหันไปทางเดิมอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เพราะแวบหนึ่งจากหางตาเขาเห็นว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งยืนมองมาจากในบ้านหลังนั้น ทว่าเมื่อมองอีกครั้งกลับไม่พบใครเลยสักคน นอกจากสายลมเย็นเยือกผิดปกติที่พัดลากเศษใบไม้ให้เคลื่อนไปข้างหน้า ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นลากมันไป และเมื่อครู่นี้เขาเชื่อว่าตัวเองเห็นจริงๆ ไมได้แค่ตาฝาดไป
‘ซินแสหวังบอกแม่ว่าช่วงนี้โอบดวงตก อาจจะมีภูตผีวิญญาณตามมาเล่นงานได้’
คำเตือนของแม่ที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นในใจ ทำให้อาศิระกวาดตามองไปรอบกาย และหยุดยังจุดที่เห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่เมื่อครู่นี้ ชายหนุ่มหายใจไม่สะดวกนักเมื่อรู้สึกว่ามีสายตาของใครบางคนจับจ้องมาที่เขา ทำไมเขาถึงรู้สึกแบบนี้ทั้งที่เขาไม่ใช่คนขวัญอ่อน และไม่เคยเชื่อเรื่องงมงายแบบนี้มาก่อน และเพื่อพิสูจน์ให้แน่ใจอีกครั้งเขาจึงเดินเลาะไปตามรั้วของสองบ้านที่ติดกัน ท่ามกลางความรู้สึกที่เหมือนมีดวงตาคู่หนึ่งตามติดมา ก่อนจะสะดุ้งโหยงสุดตัวเพราะมือที่แตะลงบนบ่า
“เฮ้ย!” อาศิระร้องอย่างยั้งเสียงตัวเองไว้ไม่ทัน ก่อนจะเก็บหัวใจที่หล่นไปอยู่ตาตุ่มกลับมาไว้ที่เดิมได้ เมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหลังคือเพื่อนของเขาเอง “ไอ้ธิน”
“เออ ฉันเองตกใจอะไรนักหนาวะ” โยธินทักอย่างแปลกใจกับท่าทางของเพื่อน
“ก็เล่นมาเงียบๆ นี่หว่า” อาศิระถอนใจเมื่อความรู้สึกแปลกประหลาดเมื่อครู่หายไปแล้ว
“จะให้เดินไปตะโกนไปหรือไง แล้วแกมีอะไรหรือเปล่าทำไมถึงได้อยากเจอฉันนัก หรือว่ายังกลุ้มใจเรื่องข่าวอยู่” โยธินถามอย่างพอจะเดาออก คนอื่นอาจจะรอให้เรื่องเงียบไปเฉยๆ ได้ แต่เพื่อนของเขาไม่ใช่คนแบบนั้น
อาศิระพยักหน้าแทนคำตอบ เขาไปงานศพของปาหนันแค่สองวันคือวันสวดคืนแรกกับวันเผา เพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับนักข่าว แต่โยธินกับเพื่อนในกลุ่มคนอื่นๆ ไปจนครบทุกคืน ทั้งที่ปาหนันสนิทกับเพื่อนในกลุ่มของเขามากกว่าเขาด้วยซ้ำ แต่ทำไมเธอถึงตั้งภาพของเขาไว้หน้าจอทั้งในคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ คิดอย่างไรเขาก็ยังไม่เข้าใจ
“ฉันอยากถามแกหน่อยว่าช่วงที่แกเจอคุณเปิ้ลตอนแกไปเที่ยวกับฉัน แกรู้สึกว่าคุณเปิ้ลคิดอะไรกับฉันหรือเปล่า” เขาไล่ถามเพื่อนคนอื่นมาหมดแล้ว หากทุกคนกลับตอบว่าไม่แน่ใจ เพราะตอนนั้นต่างคนก็ต่างดื่มไม่มีใครสนใจใครมากนัก แต่โยธินเป็นคนค่อนข้างละเอียดเขาจึงหวังว่าเพื่อนจะบอกอะไรได้บ้าง
“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” โยธินตอบก่อนจะจ้องหน้าเพื่อน “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าคุณเปิ้ลคิดยังไงกับแก แต่แกแน่ใจเหรอว่าแกไม่มีอะไรกับคุณเปิ้ลจริงๆ” หลังจากเห็นข่าวเขาเองก็อดสงสัยเหมือนอย่างที่คนทั่วไปสงสัยไม่ได้
“แกเป็นเพื่อนฉันมานานนะธิน ถ้าฉันชอบหรือจะคบกับใครฉันไม่ปิดบังอยู่แล้ว แต่นี่ฉันไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย แล้วคุณเปิ้ลก็ไม่ได้ส่งสัญญาณอะไรบอกให้ฉันรู้ด้วย หรือแกก็คิดว่าฉันเป็นต้นเหตุให้คุณเปิ้ลฆ่าตัวตายจริงๆ” อาศิระย้อนถามเพื่อนอย่างไม่เริ่มไม่พอใจ
“ฉันก็แค่สงสัย แต่ถ้าแกยืนยันแบบนั้นฉันก็เชื่อแก” โยธินตอบด้วยน้ำเสียงขรึมๆ
“ว่าแต่แกมีเรื่องอะไรหรือเปล่า ท่าทางแกก็ดูไม่ค่อยสบายใจเลยนี่” ชายหนุ่มทักกับท่าทางเครียดๆ ของเพื่อน
“พ่อแม่หาฤกษ์ให้ฉันหมั้นกับคุณหน่าแล้ว” โยธินตอบเสียงซังกะตาย เมื่อต้องถูกคลุมถุงชนกับอังสนาหญิงสาวท่าทางคร่ำครึคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกสาวของเพื่อนพ่อ แต่เขาไม่เคยชอบเจ้าหล่อนเลย อยู่ใกล้ก็มีแต่จะอึดอัด เขาชอบผู้หญิงที่มีสีสันอยู่ด้วยแล้วไม่น่าเบื่อ เพราะลำพังชีวิตอันจืดชืดอยู่ในกรอบของเขาก็หม่นมัวเกินทนแล้ว
อาศิระไม่รู้จะปลอบเพื่อนอย่างไร เพราะเรื่องนี้เขาเองก็หาทางช่วยแก้ไขไม่ได้ ในเมื่อผู้ใหญ่กำหนดมาตั้งแต่เพื่อนเขายังแบเบาะด้วยซ้ำ อีกทั้งโยธินไม่ใช่คนที่จะกล้ามีปากเสียงกับพ่อแม่ เนื่องจากถูกเลี้ยงมาในกรอบและพ่อก็ดุมากแค่ขัดคำสั่งเพื่อนเขาก็โดนพ่อตบด้วยหลังมือจนหน้าหัน จนเพื่อนๆ ทุกคนต่างรู้เรื่องนี้ดี ส่วนตัวเขาเองแม้จะยังไม่ถูกใจใครถึงขั้นอยากแต่งงาน แต่เรื่องนี้แม่เขาต้องมีส่วนช่วยตัดสินใจอย่างแน่นอน และคนที่จะชี้ว่าผู้หญิงคนไหนเหมาะสมกับเขาก็คือซินแสหวัง ซึ่งเขาคิดว่าตัวเองหาทางแก้ไขเรื่องนี้ได้ ขอแค่ให้เจอคนที่อยากแต่งงานด้วยก่อนเท่านั้น
“ฤกษ์หมั้นเมื่อไหร่ล่ะ”
“เดือนกันยานี้แหละ แถมพ่อแม่ฉันยังชอบชวนหน่ามาที่บ้าน ฉันจะไปไหนก็บอกให้พาหน่าไปด้วย วันนี้ฉันก็เลยหาเรื่องหนีมาหาปู่กับย่าดีกว่า ไม่งั้นฉันคงได้เป็นบ้าแน่ๆ” โยธินบอกอย่างหงุดหงิด เขาไม่เคยเชื่อว่าแต่งงานกันไปแล้วจะรักกันได้เอง เพราะก่อนแต่งเขายังมีเรื่องขัดกับเธอได้ไม่เว้นแต่ละวัน พยายามหาทางให้ฝ่ายหญิงทนไม่ไหว แต่อังสนาก็ยังยืนยันจะแต่งงานกับเขาตามที่พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายต้องการ ทำให้เขาโมโหทุกครั้งที่เธอไม่ยอมร่วมมือด้วย
“งั้นก็ยังพอมีเวลาเผื่อจะแก้ไขอะไรได้บ้าง แล้วฉันจะช่วยแกคิดอีกแรง” ชายหนุ่มตบไหล่เพื่อนอย่างให้กำลังใจ “เออ จริงสิ ข้างบ้านคุณปู่นี่มีคนอยู่หรือเปล่าวะ ทำไมบ้านดูรกร้างจัง ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนมีพ่อแม่ลูกอยู่กันสามคนนี่หว่า ตอนที่มาคราวก่อนฉันยังรู้จักกับน้องที่เป็นลูกสาวเลย” อาศิระถามพลางมองไปยังบ้านข้างๆ ตอนนี้เขายังนึกชื่อเธอคนนั้นไม่ออก แต่น่าแปลกที่เขากลับจำรูปร่างหน้าตาของเธอได้แม่น
“คราวก่อนของแกมันตั้งกี่ปีมาแล้ว ตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้วละ ได้ยินว่าสองสามีภรรยาเสียชีวิตไปก่อน ส่วนตัวลูกสาวเห็นว่าน้าชายมารับเลี้ยงต่อ แต่ตอนหลังมารู้ว่าเป็นเด็กกำพร้าขอมาเลี้ยง ก็เลยให้กลับไปอยู่สถานสงเคราะห์หรือไงนี่แหละ ตัวน้าชายก็ย้ายออกจากบ้านนี้แล้วปล่อยให้เช่า แต่ก็ไม่เห็นมีใครมาเช่าสักที”
“เป็นเด็กกำพร้าเหรอ” อาศิระรับคำพลางนึกเห็นใจโชคชะตาที่พลิกผันของเด็กสาวที่เคยพบ แม้จะเป็นแค่ช่วงสั้นๆ แต่เขาก็จำได้ว่าเธอเป็นคนน่ารักและมีน้ำใจมากเพียงไหน น่าเสียดายที่เขาคงไม่ได้พบเธออีกแล้ว และก็สรุปได้ว่าบ้านหลังนี้ไม่มีใครอยู่และเขาคงตาฝาดไปเอง ชายหนุ่มเหลียวไปมองบ้านข้างๆ นั้นอีกครั้ง ก่อนจะเดินตามเพื่อนกลับเข้าไปในบ้าน เมื่อแม่บ้านร่างท้วมก้าวออกมาตามให้กลับไปชิมข้าวตังหน้าตั้งฝีมือคุณย่าที่ด้านใน
วิรงรองแทบจะกระโดดลงจากมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ที่เธอซ้อนท้ายให้มาส่งจนถึงโรงแรมที่นัดกับลูกค้าเอาไว้ ก่อนจะตรงดิ่งไปขึ้นลิฟต์เพื่อไปยังร้านซึ่งเป็นสถานที่นัดพบ ดวงมาลย์เป็นลูกค้ารายใหญ่ที่กว่าเธอจะนัดเสนองานได้ก็แสนยากเย็น ช่วงที่โทรนัดอีกฝ่ายก็เปลี่ยนสถานที่อยู่หลายรอบ ก่อนจะมาสรุปกันที่ร้านอาหารในโรงแรมแห่งนี้ และเธอก็เกือบมาไม่ทันเพราะเสียเวลารอลูกค้ารายแรกที่จำเป็นต้องนัดวันนี้เช่นกัน
“คุณดวงคะ ผิงมาถึงร้านแล้วนะคะ” หญิงสาวรีบโทรบอกเมื่อกวาดตาไปทั่วร้านแล้วไม่พบลูกค้าของเธอนั่งรออยู่
“พี่ก็รอคุณอยู่ในร้านแล้ว มารอตั้งเกือบครึ่งชั่วโมง แล้วไหนคุณอยู่ตรงไหนบอกพี่มาซิ” ดวงมาลย์ตอบกลับมา
“ผิงนั่งอยู่โต๊ะริมหน้าต่างเลยค่ะ” วิรงรองรีบบอกชื่อร้านและชื่อโรงแรม เมื่ออีกฝ่ายตอบกลับมาว่าร้านที่รออยู่ไม่มีหน้าต่าง หลังจากซักกันไปมาอยู่ครู่หนึ่งหญิงสาวจึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่คนละร้านกับเธอเลย
“แล้วคุณไปที่นั่นทำไม ไหนตอนแรกคุณบอกว่าคุณสะดวกที่ห้างมากกว่า พี่ก็เลยเปลี่ยนมารอที่ห้างนี่ให้แทน นี่คุณไม่ได้จดสถานที่นัดพบไว้เลยหรือไง” ดวงมาลย์แหวกลับมาอย่างไม่พอใจ
“ก็คุณดวงบอกว่า...” หญิงสาวกำลังจะบอกว่าอีกฝ่ายเป็นคนยืนกรานเองว่าสถานที่นัดพบต้องเป็นห้องอาหารในโรงแรมนี้ แล้วทำไมถึงกลายเป็นว่ายอมไปห้างเพื่อให้เธอสะดวกล่ะ
“คุณทำงานหละหลวมแบบนี้ทำให้พี่เสียเวลามากนะ เอาไว้คุณค่อยโทรมานัดพรีเซ็นต์งานกับพี่อีกครั้งก็แล้วกัน แล้วคราวหน้าก็อย่าให้เป็นอย่างนี้อีกละ”
วิรงรองได้แต่ถือโทรศัพท์ค้างทำหน้าเหวอ ขณะที่อีกฝ่ายวางหูไปโดยไม่ฟังคำอธิบายอะไรทั้งนั้น สรุปแล้วเธอเป็นคนผิดเหรอ ทั้งที่ลูกค้าเป็นฝ่ายลืมเองว่านัดกับเธอไว้ที่ไหน แต่ก็นั่นละลูกค้าต้องถูกเสมอโดยเฉพาะลูกค้ารายใหญ่ขนาดนี้ บริษัทที่เธอทำงานอยู่เป็นบริษัทออแกไนซ์ขนาดเล็ก มีพนักงานประจำอยู่แค่สามคน แม่บ้านหนึ่งคน เจ้านายอีกหนึ่งคน และเพราะเป็นบริษัทขนาดเล็กเงินเดือนประจำจึงกระจิริดตามไปด้วย เธอจะได้เงินพิเศษก็เมื่อหางานเข้าบริษัทได้ แต่ตอนนี้ผ่านมาครึ่งเดือนแล้ว แต่เธอยังหาลูกค้าไม่ได้เลยสักรายเดียว
หญิงสาวบอกปัดบริกรที่เข้ามาส่งเมนูให้ ด้วยเหตุผลว่าคนที่เธอนัดไว้ไม่มาอีกแล้ว ก่อนจะรีบเก็บโน้ตบุ๊กใส่ลงในกระเป๋า แล้วยังมีใบเสนอราคาที่เธอเตรียมมาอีก เอกสารที่ตั้งใจทำมาให้ลูกค้าแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้ บนโต๊ะดูยุ่งเหยิงเมื่อเธอต้องรีบเก็บรีบไปให้เร็วที่สุด เพราะทั้งร้านมีลูกค้าอยู่แค่สองโต๊ะ คือเธอกับผู้ชายที่นั่งห่างออกไปอีกโต๊ะหนึ่ง เธอจึงยิ่งรู้สึกกดดันต่อสายตาของพนักงานที่มองมา
“โอ๊ะ ขอโทษค่ะ” วิรงรองรีบบอกเมื่อความลุกลี้ลุกลนและข้าวของพะรุงพะรัง ทำให้เธอเผลอไปชนโดนลูกค้าหนุ่มอีกคนหนึ่งเข้า ก่อนจะรีบเผ่นออกจากร้านไปแทบไม่ทัน
อาศิระไม่ได้สนใจอะไรนัก ทว่ารูปถ่ายที่หญิงสาวทำตกไว้ทำให้เขาต้องเก็บขึ้นมาดู ภาพนั้นไม่ใช่ภาพปัจจุบันแต่เหมือนเป็นภาพช่วงวัยรุ่นของหญิงสาว และเขาก็จำได้ว่าเธอคือเด็กสาวข้างบ้านที่เขาเคยรู้จักคนนั้น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมตัวเองถึงจำได้อย่างรวดเร็ว และมั่นใจเต็มร้อยว่าไม่ผิดคนแน่ๆ เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะตั้งคำถามกับตัวเอง เพราะร่างกายราวกับจะเคลื่อนไหวได้เอง ด้วยการรีบจ่ายเงินค่าอาหารแล้วเดินแกมวิ่งตามหญิงสาวออกไปทันที และโชคดีที่เธอยังยืนรอลิฟต์อยู่ไม่ห่างจากหน้าร้านนัก
“คุณครับเดี๋ยวก่อน ผมเป็นเพื่อนกับโยธิน เราเคยเจอกันตอนที่ผมไปค้างบ้านคุณปู่ของโยธินเมื่อหลายปีก่อน คุณพอจำได้ไหมครับ” ชายหนุ่มบอกสถานที่ตั้งของบ้านเสริมไปในตอนท้าย
“ฉันไม่เคยรู้จักคนชื่อโยธินนะคะ ท่าทางคุณคงจะจำคนผิดแล้วละค่ะ” วิรงรองส่ายหน้าปฏิเสธอย่างไม่ต้องคิด เพราะเธอไม่เคยเฉียดไปแถวหมู่บ้านที่เขาว่าด้วยซ้ำ
“แต่ผมว่าผมจำไม่ผิดนะ เรารู้จักกันเมื่อหลายปีก่อน อาจจะนานเกินไปจนคุณลืมละมั้งครับ เพราะตอนนั้นคุณยังใส่ชุดนักเรียนม.ต้นอยู่เลย แต่ถ้าลองนึกดูดีๆ ผมว่าคุณน่าจะจำได้” อาศิระพยายามหาทางช่วยให้เธอคิดออก คล้ายกับมีเสียงเร่งเร้าอยู่ในใจให้เขาทำอย่างนั้น ทั้งที่ความจริงแล้วเธอไม่ได้มีความสำคัญอะไรให้เขาต้องทำแบบนี้ และเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ว่าหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นคนเดียวกับเด็กสาวที่เคยรู้จักแน่นอน
“แต่ฉันว่าคุณจำคนผิดมากกว่า เพื่อนบ้านของฉันไม่มีใครชื่อโยธินเลยค่ะ” หญิงสาวตอบหลังจากคิดแล้ว เธอโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และไม่เคยได้ยินชื่อที่เขาว่ารวมถึงไม่รู้สึกคุ้นหน้าเขาเลยสักนิด ทว่าอีกฝ่ายเหมือนจะไม่ยอมรับว่าตัวเองทักคนผิด ยังคงยืนกรานความคิดของตัวเอง จนเธอเริ่มรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยกับผู้ชายแปลกหน้าคนนี้
“ขอโทษนะคะ แต่ฉันว่าวิธีนี้เก่าเกินไปแล้วละค่ะ ถ้าคุณอยากคุยกับผู้หญิงสักคน ไปหาวิธีที่เข้าท่ากว่านี้มาดีกว่านะคะ” วิรงรองไม่รู้ว่าทำไมถึงพูดหาเรื่องออกไปแบบนั้น ทั้งที่ความจริงแล้วเธอแค่เดินหนีจากเขาก็น่าจะจบ อาจจะเพราะเธอเพิ่งพลาดโอกาสคุยงานกับลูกค้ารายใหญ่ไป ทำให้รู้สึกหงุดหงิดจนกล้าพาลหาเรื่องกับคนอื่นแบบไม่กลัว
“เข้าใจผิดแล้วละครับ ผมแค่ดีใจที่ได้เจอเพื่อนเก่าและอยากให้คุณจำได้” อาศิระตอบทั้งที่ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าไปตามตื๊อเธอทำไม อะไรที่ดลใจให้เขาทำเรื่องไร้เหตุผลแบบนี้ ระหว่างที่พูดมือเขาก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อจะหยิบโทรศัพท์ออกมา แต่ไม่รู้ทำไมถึงหยิบไม่ได้จนกลายเป็นขยับมือขลุกขลักอยู่ในกระเป๋า
“ช่วยด้วยค่ะ ผู้ชายคนนี้เป็นพวกโรคจิต” วิรงรองร้องบอกคนอื่นอย่างตกใจ เมื่อเข้าใจไปว่าอีกฝ่ายกำลังทำเรื่องอนาจารต่อหน้าเธอ
“ไม่ใช่นะ คือผม...” อาศิระจะอธิบายเพิ่มว่าเขาแค่อยากหยิบรูปในโทรศัพท์ให้เธอดู แต่คนที่เดินอยู่แถวนั้นกลับหันมามองเขาอย่างเข้าใจผิด แถมหญิงสาวยังรีบวิ่งหนีไปราวกับเขาเป็นคนร้าย ทำให้สายตาคนที่มองมายิ่งเคลือบแคลงในตัวเขามากขึ้นไปอีก ก่อนเลขาฯ ที่เขาใช้ให้ไปทำงานจะก้าวตรงมาหาพร้อมด้วยผู้จัดการของโรงแรม
“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณโอบ” ผู้จัดการโรงแรมถามขึ้น เมื่อชายหนุ่มทำท่าคล้ายมองหาใครสักคนอยู่
“เมื่อครู่นี้คุณสินธุ์เห็นผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งผ่านไปหรือเปล่าครับ เธอใส่ชุดสีฟ้าหิ้วของพะรุงพะรังหน่อย”
“เอ คุณโอบหมายถึงผู้หญิงที่เป็นออแกไนซ์เซอร์หรือเปล่าครับ ผมเห็นเธอแวบๆ อยู่เหมือนกัน แต่ท่าทางจะรีบเพราะเห็นวิ่งลิ่วไปเลย ถ้าใช่ผมก็รู้จักนะครับเพราะเธอเคยมาจัดงานที่นี่บ่อยๆ ถ้าคุณโอบอยากติดต่องานผมหานามบัตรให้ได้นะครับ เจ้านายของเธอผมก็รู้จักดี”
“ถ้าอย่างนั้นรบกวนคุณสินธุ์ช่วยหานามบัตรของเธอให้ผมด้วยนะครับ”
ชายหนุ่มยิ้มอย่างพอใจเพราะไม่นานเขาก็ได้นามบัตรของหญิงสาวมาอยู่ในมือ เขามั่นใจว่าตัวเองจำคนไม่ผิดแน่ แต่เธอต่างหากที่เป็นฝ่ายจำเขาไม่ได้ แถมยังมากล่าวหาว่าเขาเป็นคนโรคจิตเสียอีก และเขาเชื่อว่านามบัตรที่ได้มานี้น่าจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง
จบตอน
สวัสดีค่ะ เอานิยายเรื่องใหม่มาฝากเนื้อฝากตัวให้ติดตามอีกแล้วค่ะ เรื่องนี้เป็นแนวสืบสวนนิดๆ ผีหน่อยๆ ส่วนใหญ่จะเน้นรัก ดังนั้นถึงมีผีก็ไม่น่ากลัวนะค้า ^^ อ่านแล้วแนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยจ้า ขอบคุณมากนะค้า ^^
ตอนที่ 1
ทันทีที่คมมีดกรีดลงบนเส้นเลือดใหญ่ของมือข้างซ้าย ของเหลวสีแดงสดก็ไหลรินออกไม่ขาดสาย ทว่าใบหน้าของดาราสาวกลับไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งที่เกิดขึ้น คมมีดย้ำลงบนจุดเดิมด้วยแรงกดที่แรงขึ้น...ลึกขึ้น ราวกับเครียดแค้นชิงชังต่อบางสิ่งอย่างแสนสาหัส ก่อนจะปล่อยอาวุธในมือให้จมหายไปในอ่างอาบน้ำ แล้วทิ้งมือข้างนั้นตามลงไปให้หยาดโลหิตไหลทะลักออกมาผสมกับน้ำในอ่างจนกลายเป็นสีแดงฉาน...
แสงแดดยามสายของวันอาทิตย์ทาบทาไอร้อนไปยังรถสปอร์ตที่จอดอยู่ ก่อนชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของจะรับกุญแจจากคนรถที่ยืนรออยู่อย่างนอบน้อม แล้วก้าวขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับด้วยตัวเอง อาศิระยกมือขึ้นดูนาฬิกาอีกครั้งก่อนจะขับรถให้เคลื่อนออกไป เขาโทรนัดกับโยธินเพื่อนสนิทเอาไว้ที่ร้านอาหาร ซึ่งเป็นร้านที่พ่อแม่ของโยธินเปิดกิจการมานานแล้ว และเพื่อนของเขาก็เป็นผู้สืบทอดรุ่นต่อมา ทว่าวันนี้โยธินกลับติดธุระต้องไปหาปู่กับย่าที่บ้าน เขาจึงตัดสินใจขับรถตามไป เพราะเคยไปค้างกับเพื่อนที่บ้านหลังนั้นมาแล้วสองครั้ง ในช่วงก่อนเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ ทำให้เขาสนิทกับปู่และย่าของเพื่อนพอสมควร
ชายหนุ่มหยิบแว่นตาดำขึ้นมาสวม เมื่อรถแล่นมาติดไฟแดงที่แยกหนึ่ง แล้วเห็นเจ้าของรถอีกคันที่จอดอยู่ใกล้ๆ มองมา แม้รถของเขาจะติดฟิล์มค่อนข้างเข้มจนคนอื่นมองเข้ามาไม่ถนัดนัก หากเขาก็ยังรู้สึกระแวงปนรำคาญใจอยู่ดี และต้นเหตุก็มาจากข่าวดาราสาวฆ่าตัวตายเมื่อสัปดาห์ก่อน ข่าวที่สร้างความเสียหายให้แก่ภาพลักษณ์ของเขาอย่างมหาศาล
ปาหนัน ดาราสาวชื่อดังฆ่าตัวตายคาห้องพักหรู ตำรวจพบบันทึกเผยปมนักธุรกิจหนุ่มไฮโซสะบั้นรัก…
หนังสือพิมพ์ทุกฉบับพาดหัวไปในทางเดียวกัน ขณะที่สภาพศพของหญิงสาวอยู่ในชุดนอนสีดำ นอนจมกองเลือดอยู่ในอ่างอาบน้ำ ที่ข้อมือซ้ายมีรอยกรีดลึกลงที่เส้นเลือดใหญ่โดยไม่พลาดเป้า ในห้องไม่มีร่องรอยการต่อสู้หรือถูกรื้อค้นทรัพย์สิน กล้องวงจรปิดของคอนโดไม่พบผู้ต้องสงสัย หลังจากตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้วตำรวจก็สรุปว่าเป็นการฆ่าตัวตาย ซึ่งเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลย ถ้าคอมพิวเตอร์ในห้องนอนของปาหนันจะไม่มีข้อความพิมพ์ทิ้งไว้ เล่าถึงความรักที่ไม่สมหวังของเธอกับชายคนหนึ่ง ทั้งที่เธอยังไม่เคยเปิดตัวว่ามีคนรัก หากที่ทุกคนต่างพุ่งเป้ามาที่เขาก็เพราะทั้งคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือของเธอใช้รูปคู่กับเขาเป็นภาพหน้าจอ
แฟนคลับของปาหนันต่างพากันเชื่อข่าวลือว่าเขาเป็นคนทรยศต่อความรักของหญิงสาว ทั้งที่ความจริงแล้วเขาพบกับดาราสาวครั้งแรกตอนที่บริษัทเครื่องสำอางของเขาจ้างให้เธอมาเป็นพรีเซนเตอร์ ทั้งที่เขาเคยคิดว่ามีดาราสาวคนอื่นที่ดูเหมาะกับสินค้ามากกว่าเธอ แต่ก็ยอมเลือกเธอตามมติในที่ประชุม เพราะช่วงนั้นเธอได้รับความนิยมมากกว่าใครๆ และเมื่อเธอเป็นพรีเซ็นเตอร์ของบริษัทเรื่องมีรูปถ่ายคู่กันบ้างจึงถือเป็นเรื่องปกติ หลังจากนั้นเขาก็ได้เจอเธออีกหลายครั้งตอนที่เขาไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน ซึ่งเธอก็มากับกลุ่มเพื่อนของเธอเช่นกัน แต่นิตยสารประเภทซุบซิบดารากลับมีภาพถ่ายที่สื่อว่าเขาไปเที่ยวกับเธอแค่สองคน แต่เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามีข่าวกับดารานางแบบ เขาจึงปล่อยเลยตามเลยให้ข่าวลือทั้งหมดเงียบหายไปเอง ทว่าทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างนั้น
ช่างภาพยังตามเก็บภาพของเธอและเขาทุกครั้งที่เราบังเอิญพบกัน เขาเองก็ไม่ได้ออกมาปฏิเสธให้ชัดเจนลงไป ส่วนหนึ่งเพราะเกรงว่าฝ่ายหญิงจะเสียหน้า อีกส่วนเขาไม่คิดว่าตัวเองจะเสียหายตรงไหน เพราะที่ผ่านมามีดารานางแบบหลายคนพากันให้ข่าวเป็นนัยๆ ว่าคือตัวจริงของเขา และด้วยวิสัยของผู้ชายเขายังนึกภูมิใจเสียด้วยซ้ำที่มีสาวๆ มารุมล้อมให้เขาเลือก โดยเฉพาะดาราสาวสวยอันดับหนึ่งอย่างปาหนัน และหญิงสาวเองก็ไม่เคยปฏิเสธข่าวลือที่มีกับเขาเลย เธอจะทำเพื่อสร้างกระแสให้ตัวเองมีข่าวหรือจะมีใจให้เขาจริงๆ เขาก็ไม่เคยสนใจ เพราะสำหรับเขาดาราสาวไม่ได้มีความหมายอะไรมากกว่าพรีเซ็นเตอร์ของบริษัท
หากแล้วจู่ๆ เธอกลับฆ่าตัวตายในห้องพักของตัวเอง แถมยังทิ้งหลักฐานที่เชื่อมโยงมาถึงเขา ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาถูกกระทบอย่างรุนแรง เขาจึงต้องจัดงานแถลงข่าวเพื่ออธิบายเรื่องทุกอย่างให้สังคมเข้าใจ แต่ดูเหมือนภาพคู่และบันทึกก่อนเสียชีวิตที่หลุดออกมา ราวกับจงใจจะทำให้ทุกคนปักใจเชื่อไปแล้วว่าเขาคือต้นเหตุที่ทำให้หญิงสาวเสียชีวิต และนั่นก็มีผลกระทบต่อยอดขายเครื่องสำอางเป็นอย่างมากในช่วงแรกๆ เพราะปาหนันเป็นดาราสาวชื่อดังที่มีแฟนคลับติดตามผลงานอยู่ทั่วประเทศ และหลายคนก็ถึงขั้นประกาศจะเลิกอุดหนุนสินค้าของเขา
ผลกระทบนี้กลายเป็นแรงสั่นสะเทือนต่อหน้าที่การงาน และความเชื่อมั่นในตัวเขาเป็นอย่างมาก เพราะไม่แค่ภาพลักษณ์ของเขาเท่านั้นที่เสียหาย แต่บริษัทก็พลอยเสียชื่อเสียงไปด้วย เขาจึงติดต่อไปหาคันฉัตรผู้จัดการส่วนตัวของดาราสาว เพื่อให้ช่วยยืนยันว่าข่าวลือทั้งหมดนั้นไม่เป็นความจริง หากผลที่ได้รับกลับตรงกันข้าม เมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธที่จะทำตามคำขอร้องของเขา แม้ว่าเขาจะมีค่าเสียเวลาจำนวนมากให้ก็ตาม
‘พี่ช่วยไม่ได้จริงๆ นะคุณโอบ’ ชายรูปร่างผอมสูงแต่หัวใจเป็นหญิงตอบกลับมา
‘ทำไมล่ะครับ พี่แคนก็รู้ว่าผมกับคุณเปิ้ลไม่ได้เป็นอย่างที่ข่าวลือว่า’
‘แหม เป็นหรือไม่เป็นคุณโอบก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจนะคะ ไม่อย่างนั้นยายเปิ้ลจะไปเจอกับคุณบ่อยๆ เหรอ ต่อให้มีเพื่อนกลุ่มใหญ่ไปด้วย แต่ปิดยังไงมันก็ไม่มิดหรอกค่ะ’
‘พี่แคนพูดแบบนี้ หรือว่าเงินที่ผมเสนอให้จะน้อยไป’ ชายหนุ่มดักคออย่างรู้ทัน
‘ต่อให้มากกว่านี้พี่ก็ไม่รับ ยายเปิ้ลน่ะเป็นเด็กของพี่นะคะ พี่ปั้นมาเองกับมือ แล้วพี่ก็รักไม่ต่างจากน้องสาวแท้ๆ ของตัวเอง แล้วคุณโอบคิดหรือว่าจะใช้เงินมาซื้อพี่ให้ทรยศน้องสาวตัวเองได้ พี่ยืนยันว่าจะพูดแต่ความจริงเท่านั้น’
‘แน่ใจแล้วหรือครับว่าที่รู้มาคือความจริง’ เขาถามต่อเสียงเย็นเมื่อคนตรงหน้าไม่ยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี
“แน่ใจสิ ก็ตั้งแต่ที่เปิ้ลไปทำงานให้บริษัทของคุณวันนั้น ใจของเปิ้ลมันก็อยู่กับคุณไปแล้ว ยายเปิ้ลพูดให้พี่ฟังจนหมดเปลือกว่าคุณดีกับมันมากแค่ไหน แถมยังให้ความหวังกันอีกสารพัด แต่คุณก็ไม่ออกมายอมรับกับสังคมเสียที เปิ้ลมันเลยฟูมฟายใหญ่โตแล้วหลังจากนั้นก็เกิดเรื่องอย่างที่คุณรู้นั่นแหละ’
‘ผมน่ะเหรอเคยให้ความหวังคุณเปิ้ล’ เขาถามย้ำพร้อมกับเสียงหัวเราะในลำคอราวกับได้ยินเรื่องตลก ‘ผมยืนยันได้ว่าไม่เคยทำอะไรอย่างที่ว่านั่นเลย และการตายของคุณเปิ้ลน่าจะมาจากปัญหาด้านอื่นมากกว่า’
‘อย่างยายเปิ้ลจะมีปัญหาอะไรได้ การงานก็มีเข้ามาไม่ขาด ทั้งหนังทั้งละครไหนจะโฆษณาอีก พี่เห็นมันฟูมฟายอยู่เรื่องเดียวก็เรื่องความรักนี่แหละ’ คันฉัตรยืนกรานหนักแน่น
‘ปัญหาสุขภาพไงครับ ผมเคยได้ยินคุณเปิ้ลพูดถึงยาที่เธอต้องกินอยู่เป็นประจำ’
‘เรื่องนั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้ ยายเปิ้ลแข็งแรงจะตาย ทั้งฟิตเนส โยคะ คุณตัดเรื่องนี้ทิ้งไปได้เลย’
คันฉัตรขาดการติดต่อกับเขาลงแค่ครั้งนั้น แม้ว่าเขาจะให้เวลากลับไปคิดทบทวนดูอีกครั้ง แต่อีกฝ่ายก็ไม่เคยติดต่อกลับมาเลย ทำไมผู้จัดการส่วนตัวคนนั้นถึงได้มั่นใจนักว่าปาหนันรักเขา ในเมื่อทุกครั้งที่เจอกันเธอคุยกับเพื่อนๆ ของเขามากกว่าคุยกับเขาเสียอีก
อาศิระนิ่งคิดด้วยแววตาเคร่งเครียด เขาจะไม่มีวันปล่อยเรื่องนี้ไปเฉยๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาทางพิสูจน์ความจริงเพื่อแก้ต่างให้ตัวเองให้ได้ เขาจะไม่ยอมผิดคำพูดที่เคยรับปากกับพ่อเอาไว้
‘ที่พ่อสร้างธุรกิจใหญ่โตเอาไว้ก็เพื่อโอบ โอบเป็นทายาทคนเดียวของพ่อ เป็นเหมือนตัวแทนของพ่อ จากนี้ไปจะทำอะไรก็ต้องระวัง ยิ่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงก็ยิ่งมีคนอื่นคอยจับตามองเราอยู่ตลอดเวลา อย่าเผลอทำเรื่องเสื่อมเสียให้ใครใช้เป็นจุดอ่อนมาเล่นงานเราได้ ถ้าโอบเสียพ่อกับแม่ก็พลอยเสียไปด้วย เพราะฉะนั้นโอบต้องทำให้ดีที่สุดเข้าใจไหมลูก’
พ่อสอนเขาเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็ก และทำตัวเป็นแบบอย่างให้เขาดูเสมอมา ภาพของพ่อคือนักธุรกิจที่ฉลาดหลักแหลม เป็นเจ้านายที่ลูกน้องให้ความเคารพนับถือ แม้แต่ระดับคนใหญ่คนโตยังต้องเกรงใจพ่อ ส่วนตอนอยู่บ้านพ่อเป็นสามีที่ดี เป็นพ่อที่ยอดเยี่ยมที่สุดในสายตาของเขา และแน่นอนว่าเขาอยากเป็นให้ได้อย่างพ่อ เขาตั้งใจเรียนและประสบความสำเร็จในการศึกษาด้วยผลการเรียนอันเป็นที่หนึ่งเสมอมา ก่อนจะกลายเป็นนักธุรกิจที่ทุกคนล้วนคาดหวังว่าเขาจะเจริญรอยตามพ่อได้อย่างไม่มีที่ติ และเมื่อภาพยิ่งดีมากเขาก็ยิ่งต้องรักษามันเอาไว้ ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายภาพลักษณ์และชื่อเสียงของเขาเป็นอันขาด
ทว่าตอนนี้เขากำลังตกเป็นจำเลยของสังคมโดยที่ไม่ได้ทำอะไรผิด ทำให้ท่านประธานหรือก็คือแม่ของเขายิ่งร้อนใจหนัก จนต้องไปปรึกษากับซินแสที่ไว้ใจกันมานาน
‘ซินแสหวังบอกแม่ว่าช่วงนี้โอบดวงตก อาจจะมีภูตผีวิญญาณตามมาเล่นงานได้ โอบต้องระวังตัวให้มากนะลูก ส่วนเรื่องข่าวแม่ว่าอีกไม่นานคนก็ลืม เราต้องหาแผนการตลาดใหม่ๆ มากลบเรื่องนี้ให้มิด ซินแสหวังก็กำลังช่วยอธิษฐานจิตให้โอบผ่านเรื่องนี้ไปได้นะลูก’
เขายิ้มรับและนึกสงสัยว่าแม่จ่ายไปเท่าไหร่กับค่าอธิษฐานจิตคราวนี้ แต่เมื่อเป็นความสบายใจของแม่ เขาก็ไม่อยากจะพูดอะไรให้มากความ เพราะหลังจากพ่อของเขาเสียชีวิตไปอย่างกะทันหัน แม่ก็ใช้ศาสตร์เร้นลับเป็นที่พึ่งทางใจ เพื่อสื่อสารกับพ่อที่อยู่ในอีกโลกหนึ่ง แม้เขาจะรู้ว่าเป็นเรื่องไร้สาระ หากก็ต้องยอมเมื่อเห็นว่าแม่สามารถทำใจเรื่องพ่อได้มากขึ้น หลังจากที่ซินแสหวังบอกว่าพ่อของเขาสุขสบายดีด้วยบุญที่แม่หมั่นทำไปให้
‘ตอนนี้ผมก็กำลังดูเรื่องการตลาดอยู่ครับ’
‘แม่รู้ว่าโอบไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้ แต่ดูอย่างพวกนักธุรกิจที่ฮ่องกงหรือมาเก๊าสิลูก พวกนี้เขาจะมีซินแสประจำไว้เป็นที่ปรึกษาอยู่แล้ว และจะยังไงก็แล้วแต่โอบต้องพกฮู้ติดตัวเอาไว้ เรื่องแบบนี้ถ้าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่นะลูก แม่เสียคุณพ่อไปคนแล้ว แม่ไม่อยากเสียโอบไปอีกคนนะลูก’
ความห่วงใยของแม่ทำให้เขาจำต้องรับผ้ายันต์สามเหลี่ยมสีแดงสดมาเพื่อให้แม่สบายใจ แต่หลังจากนั้นเขาก็แทบจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองเอาไปวางทิ้งไว้ที่ไหน สัญญาณไฟที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวดึงเขากลับจากเรื่องที่คิดค้างเอาไว้ ก่อนจะขับรถพุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
อาศิระจอดรถที่หน้าบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านแถบชานเมือง ก่อนจะตัดสินใจลงไปกดกริ่งหลังจากโทรติดต่อหาเพื่อนแล้วไม่สำเร็จ ไม่นานชายชราซึ่งเป็นเจ้าของบ้านก็โผล่หน้าออกมามอง ก่อนจะเดินออกมาหาและเมื่อเขาแนะนำตัวว่าเป็นใคร ชายชราจึงรีบเปิดประตูและเชื้อเชิญให้เข้ามาในบ้านทันทีอย่างจำเขาได้
“ธินไม่อยู่นะ พอดีก๊อกน้ำบ้านปู่เสีย เลยให้ขับรถไปหาซื้อก๊อกใหม่มาเปลี่ยนให้”
“ไม่เป็นไรครับคุณปู่ ผมรอได้ แล้วนี่คุณย่าไม่อยู่หรือครับ” ชายหนุ่มถามพลางมองหาผู้ที่ถามถึง
“ย่าทอดข้าวตังอยู่ในครัวแน่ะ ยังไงก็อย่าเพิ่งรีบกลับนะ รอชิมข้าวตังหน้าตั้งฝีมือย่าก่อน”
“งั้นให้ผมเข้าไปช่วยนะครับ” อาศิระเสนอตัวทันที เพราะเขาเองก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว
“ไม่ต้องๆ ในครัวมันร้อน เพิ่งขับรถมาเหนื่อยๆ นั่งพักเถอะ หรือจะไปเดินดูอะไรรอบๆ บ้านก็ได้นะ ดอกไม้ดอกไร่ก็ปลูกไว้เยอะแยะ หรือถ้าสนใจนกเขาก็ไปเล่นกับมันได้ ปู่เลี้ยงไว้สองตัวอยู่ด้านนอกแน่ะ” ชายชราชี้บอกทางให้เพื่อนของหลานชาย ก่อนจะขอตัวเข้าไปช่วยภรรยาทำของว่างต่อ
อาศิระยังไม่ได้ขยับลุกไปไหนก็มีหญิงวัยกลางคนร่างท้วมนำน้ำหวานเข้ามาให้ ซึ่งเขาเดาว่าน่าจะเป็นแม่บ้านที่สองสามีภรรยาจ้างเอาไว้ หลังจากดื่มน้ำหวานไปเกือบหมดแก้ว ชายหนุ่มจึงลุกไปดูนกเขาตามที่เจ้าของบ้านแนะนำไว้ ทว่าเขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านนกเขา หลังจากยืนมองๆ อยู่ครู่หนึ่งจึงเดินเล่นไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะสังเกตเห็นว่าบ้านหลังติดกันนั้นค่อนข้างรกร้างราวกับไม่มีคนอยู่ และเขาก็จำได้ว่าเมื่อตอนที่เคยมาค้างกับเพื่อนที่นี่ เขาได้รู้จักกับเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกสาวเจ้าของบ้าน ตอนนั้นเธอยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น ขณะที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วและกำลังจะไปเรียนต่อเมืองนอก
เธอชื่ออะไรนะ...
ชายหนุ่มถามตัวเอง ชื่อที่ติดอยู่บนริมฝีปากแต่กลับนึกไม่ออก
อาศิระเดินไปเกาะที่ข้างรั้วเพื่อชะเง้อดูว่ามีใครอยู่หรือไม่ เมื่อไม่พบใครเขาจึงหันกลับ ก่อนจะหันไปทางเดิมอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เพราะแวบหนึ่งจากหางตาเขาเห็นว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งยืนมองมาจากในบ้านหลังนั้น ทว่าเมื่อมองอีกครั้งกลับไม่พบใครเลยสักคน นอกจากสายลมเย็นเยือกผิดปกติที่พัดลากเศษใบไม้ให้เคลื่อนไปข้างหน้า ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นลากมันไป และเมื่อครู่นี้เขาเชื่อว่าตัวเองเห็นจริงๆ ไมได้แค่ตาฝาดไป
‘ซินแสหวังบอกแม่ว่าช่วงนี้โอบดวงตก อาจจะมีภูตผีวิญญาณตามมาเล่นงานได้’
คำเตือนของแม่ที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นในใจ ทำให้อาศิระกวาดตามองไปรอบกาย และหยุดยังจุดที่เห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่เมื่อครู่นี้ ชายหนุ่มหายใจไม่สะดวกนักเมื่อรู้สึกว่ามีสายตาของใครบางคนจับจ้องมาที่เขา ทำไมเขาถึงรู้สึกแบบนี้ทั้งที่เขาไม่ใช่คนขวัญอ่อน และไม่เคยเชื่อเรื่องงมงายแบบนี้มาก่อน และเพื่อพิสูจน์ให้แน่ใจอีกครั้งเขาจึงเดินเลาะไปตามรั้วของสองบ้านที่ติดกัน ท่ามกลางความรู้สึกที่เหมือนมีดวงตาคู่หนึ่งตามติดมา ก่อนจะสะดุ้งโหยงสุดตัวเพราะมือที่แตะลงบนบ่า
“เฮ้ย!” อาศิระร้องอย่างยั้งเสียงตัวเองไว้ไม่ทัน ก่อนจะเก็บหัวใจที่หล่นไปอยู่ตาตุ่มกลับมาไว้ที่เดิมได้ เมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหลังคือเพื่อนของเขาเอง “ไอ้ธิน”
“เออ ฉันเองตกใจอะไรนักหนาวะ” โยธินทักอย่างแปลกใจกับท่าทางของเพื่อน
“ก็เล่นมาเงียบๆ นี่หว่า” อาศิระถอนใจเมื่อความรู้สึกแปลกประหลาดเมื่อครู่หายไปแล้ว
“จะให้เดินไปตะโกนไปหรือไง แล้วแกมีอะไรหรือเปล่าทำไมถึงได้อยากเจอฉันนัก หรือว่ายังกลุ้มใจเรื่องข่าวอยู่” โยธินถามอย่างพอจะเดาออก คนอื่นอาจจะรอให้เรื่องเงียบไปเฉยๆ ได้ แต่เพื่อนของเขาไม่ใช่คนแบบนั้น
อาศิระพยักหน้าแทนคำตอบ เขาไปงานศพของปาหนันแค่สองวันคือวันสวดคืนแรกกับวันเผา เพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับนักข่าว แต่โยธินกับเพื่อนในกลุ่มคนอื่นๆ ไปจนครบทุกคืน ทั้งที่ปาหนันสนิทกับเพื่อนในกลุ่มของเขามากกว่าเขาด้วยซ้ำ แต่ทำไมเธอถึงตั้งภาพของเขาไว้หน้าจอทั้งในคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ คิดอย่างไรเขาก็ยังไม่เข้าใจ
“ฉันอยากถามแกหน่อยว่าช่วงที่แกเจอคุณเปิ้ลตอนแกไปเที่ยวกับฉัน แกรู้สึกว่าคุณเปิ้ลคิดอะไรกับฉันหรือเปล่า” เขาไล่ถามเพื่อนคนอื่นมาหมดแล้ว หากทุกคนกลับตอบว่าไม่แน่ใจ เพราะตอนนั้นต่างคนก็ต่างดื่มไม่มีใครสนใจใครมากนัก แต่โยธินเป็นคนค่อนข้างละเอียดเขาจึงหวังว่าเพื่อนจะบอกอะไรได้บ้าง
“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” โยธินตอบก่อนจะจ้องหน้าเพื่อน “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าคุณเปิ้ลคิดยังไงกับแก แต่แกแน่ใจเหรอว่าแกไม่มีอะไรกับคุณเปิ้ลจริงๆ” หลังจากเห็นข่าวเขาเองก็อดสงสัยเหมือนอย่างที่คนทั่วไปสงสัยไม่ได้
“แกเป็นเพื่อนฉันมานานนะธิน ถ้าฉันชอบหรือจะคบกับใครฉันไม่ปิดบังอยู่แล้ว แต่นี่ฉันไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย แล้วคุณเปิ้ลก็ไม่ได้ส่งสัญญาณอะไรบอกให้ฉันรู้ด้วย หรือแกก็คิดว่าฉันเป็นต้นเหตุให้คุณเปิ้ลฆ่าตัวตายจริงๆ” อาศิระย้อนถามเพื่อนอย่างไม่เริ่มไม่พอใจ
“ฉันก็แค่สงสัย แต่ถ้าแกยืนยันแบบนั้นฉันก็เชื่อแก” โยธินตอบด้วยน้ำเสียงขรึมๆ
“ว่าแต่แกมีเรื่องอะไรหรือเปล่า ท่าทางแกก็ดูไม่ค่อยสบายใจเลยนี่” ชายหนุ่มทักกับท่าทางเครียดๆ ของเพื่อน
“พ่อแม่หาฤกษ์ให้ฉันหมั้นกับคุณหน่าแล้ว” โยธินตอบเสียงซังกะตาย เมื่อต้องถูกคลุมถุงชนกับอังสนาหญิงสาวท่าทางคร่ำครึคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกสาวของเพื่อนพ่อ แต่เขาไม่เคยชอบเจ้าหล่อนเลย อยู่ใกล้ก็มีแต่จะอึดอัด เขาชอบผู้หญิงที่มีสีสันอยู่ด้วยแล้วไม่น่าเบื่อ เพราะลำพังชีวิตอันจืดชืดอยู่ในกรอบของเขาก็หม่นมัวเกินทนแล้ว
อาศิระไม่รู้จะปลอบเพื่อนอย่างไร เพราะเรื่องนี้เขาเองก็หาทางช่วยแก้ไขไม่ได้ ในเมื่อผู้ใหญ่กำหนดมาตั้งแต่เพื่อนเขายังแบเบาะด้วยซ้ำ อีกทั้งโยธินไม่ใช่คนที่จะกล้ามีปากเสียงกับพ่อแม่ เนื่องจากถูกเลี้ยงมาในกรอบและพ่อก็ดุมากแค่ขัดคำสั่งเพื่อนเขาก็โดนพ่อตบด้วยหลังมือจนหน้าหัน จนเพื่อนๆ ทุกคนต่างรู้เรื่องนี้ดี ส่วนตัวเขาเองแม้จะยังไม่ถูกใจใครถึงขั้นอยากแต่งงาน แต่เรื่องนี้แม่เขาต้องมีส่วนช่วยตัดสินใจอย่างแน่นอน และคนที่จะชี้ว่าผู้หญิงคนไหนเหมาะสมกับเขาก็คือซินแสหวัง ซึ่งเขาคิดว่าตัวเองหาทางแก้ไขเรื่องนี้ได้ ขอแค่ให้เจอคนที่อยากแต่งงานด้วยก่อนเท่านั้น
“ฤกษ์หมั้นเมื่อไหร่ล่ะ”
“เดือนกันยานี้แหละ แถมพ่อแม่ฉันยังชอบชวนหน่ามาที่บ้าน ฉันจะไปไหนก็บอกให้พาหน่าไปด้วย วันนี้ฉันก็เลยหาเรื่องหนีมาหาปู่กับย่าดีกว่า ไม่งั้นฉันคงได้เป็นบ้าแน่ๆ” โยธินบอกอย่างหงุดหงิด เขาไม่เคยเชื่อว่าแต่งงานกันไปแล้วจะรักกันได้เอง เพราะก่อนแต่งเขายังมีเรื่องขัดกับเธอได้ไม่เว้นแต่ละวัน พยายามหาทางให้ฝ่ายหญิงทนไม่ไหว แต่อังสนาก็ยังยืนยันจะแต่งงานกับเขาตามที่พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายต้องการ ทำให้เขาโมโหทุกครั้งที่เธอไม่ยอมร่วมมือด้วย
“งั้นก็ยังพอมีเวลาเผื่อจะแก้ไขอะไรได้บ้าง แล้วฉันจะช่วยแกคิดอีกแรง” ชายหนุ่มตบไหล่เพื่อนอย่างให้กำลังใจ “เออ จริงสิ ข้างบ้านคุณปู่นี่มีคนอยู่หรือเปล่าวะ ทำไมบ้านดูรกร้างจัง ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนมีพ่อแม่ลูกอยู่กันสามคนนี่หว่า ตอนที่มาคราวก่อนฉันยังรู้จักกับน้องที่เป็นลูกสาวเลย” อาศิระถามพลางมองไปยังบ้านข้างๆ ตอนนี้เขายังนึกชื่อเธอคนนั้นไม่ออก แต่น่าแปลกที่เขากลับจำรูปร่างหน้าตาของเธอได้แม่น
“คราวก่อนของแกมันตั้งกี่ปีมาแล้ว ตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้วละ ได้ยินว่าสองสามีภรรยาเสียชีวิตไปก่อน ส่วนตัวลูกสาวเห็นว่าน้าชายมารับเลี้ยงต่อ แต่ตอนหลังมารู้ว่าเป็นเด็กกำพร้าขอมาเลี้ยง ก็เลยให้กลับไปอยู่สถานสงเคราะห์หรือไงนี่แหละ ตัวน้าชายก็ย้ายออกจากบ้านนี้แล้วปล่อยให้เช่า แต่ก็ไม่เห็นมีใครมาเช่าสักที”
“เป็นเด็กกำพร้าเหรอ” อาศิระรับคำพลางนึกเห็นใจโชคชะตาที่พลิกผันของเด็กสาวที่เคยพบ แม้จะเป็นแค่ช่วงสั้นๆ แต่เขาก็จำได้ว่าเธอเป็นคนน่ารักและมีน้ำใจมากเพียงไหน น่าเสียดายที่เขาคงไม่ได้พบเธออีกแล้ว และก็สรุปได้ว่าบ้านหลังนี้ไม่มีใครอยู่และเขาคงตาฝาดไปเอง ชายหนุ่มเหลียวไปมองบ้านข้างๆ นั้นอีกครั้ง ก่อนจะเดินตามเพื่อนกลับเข้าไปในบ้าน เมื่อแม่บ้านร่างท้วมก้าวออกมาตามให้กลับไปชิมข้าวตังหน้าตั้งฝีมือคุณย่าที่ด้านใน
วิรงรองแทบจะกระโดดลงจากมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ที่เธอซ้อนท้ายให้มาส่งจนถึงโรงแรมที่นัดกับลูกค้าเอาไว้ ก่อนจะตรงดิ่งไปขึ้นลิฟต์เพื่อไปยังร้านซึ่งเป็นสถานที่นัดพบ ดวงมาลย์เป็นลูกค้ารายใหญ่ที่กว่าเธอจะนัดเสนองานได้ก็แสนยากเย็น ช่วงที่โทรนัดอีกฝ่ายก็เปลี่ยนสถานที่อยู่หลายรอบ ก่อนจะมาสรุปกันที่ร้านอาหารในโรงแรมแห่งนี้ และเธอก็เกือบมาไม่ทันเพราะเสียเวลารอลูกค้ารายแรกที่จำเป็นต้องนัดวันนี้เช่นกัน
“คุณดวงคะ ผิงมาถึงร้านแล้วนะคะ” หญิงสาวรีบโทรบอกเมื่อกวาดตาไปทั่วร้านแล้วไม่พบลูกค้าของเธอนั่งรออยู่
“พี่ก็รอคุณอยู่ในร้านแล้ว มารอตั้งเกือบครึ่งชั่วโมง แล้วไหนคุณอยู่ตรงไหนบอกพี่มาซิ” ดวงมาลย์ตอบกลับมา
“ผิงนั่งอยู่โต๊ะริมหน้าต่างเลยค่ะ” วิรงรองรีบบอกชื่อร้านและชื่อโรงแรม เมื่ออีกฝ่ายตอบกลับมาว่าร้านที่รออยู่ไม่มีหน้าต่าง หลังจากซักกันไปมาอยู่ครู่หนึ่งหญิงสาวจึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่คนละร้านกับเธอเลย
“แล้วคุณไปที่นั่นทำไม ไหนตอนแรกคุณบอกว่าคุณสะดวกที่ห้างมากกว่า พี่ก็เลยเปลี่ยนมารอที่ห้างนี่ให้แทน นี่คุณไม่ได้จดสถานที่นัดพบไว้เลยหรือไง” ดวงมาลย์แหวกลับมาอย่างไม่พอใจ
“ก็คุณดวงบอกว่า...” หญิงสาวกำลังจะบอกว่าอีกฝ่ายเป็นคนยืนกรานเองว่าสถานที่นัดพบต้องเป็นห้องอาหารในโรงแรมนี้ แล้วทำไมถึงกลายเป็นว่ายอมไปห้างเพื่อให้เธอสะดวกล่ะ
“คุณทำงานหละหลวมแบบนี้ทำให้พี่เสียเวลามากนะ เอาไว้คุณค่อยโทรมานัดพรีเซ็นต์งานกับพี่อีกครั้งก็แล้วกัน แล้วคราวหน้าก็อย่าให้เป็นอย่างนี้อีกละ”
วิรงรองได้แต่ถือโทรศัพท์ค้างทำหน้าเหวอ ขณะที่อีกฝ่ายวางหูไปโดยไม่ฟังคำอธิบายอะไรทั้งนั้น สรุปแล้วเธอเป็นคนผิดเหรอ ทั้งที่ลูกค้าเป็นฝ่ายลืมเองว่านัดกับเธอไว้ที่ไหน แต่ก็นั่นละลูกค้าต้องถูกเสมอโดยเฉพาะลูกค้ารายใหญ่ขนาดนี้ บริษัทที่เธอทำงานอยู่เป็นบริษัทออแกไนซ์ขนาดเล็ก มีพนักงานประจำอยู่แค่สามคน แม่บ้านหนึ่งคน เจ้านายอีกหนึ่งคน และเพราะเป็นบริษัทขนาดเล็กเงินเดือนประจำจึงกระจิริดตามไปด้วย เธอจะได้เงินพิเศษก็เมื่อหางานเข้าบริษัทได้ แต่ตอนนี้ผ่านมาครึ่งเดือนแล้ว แต่เธอยังหาลูกค้าไม่ได้เลยสักรายเดียว
หญิงสาวบอกปัดบริกรที่เข้ามาส่งเมนูให้ ด้วยเหตุผลว่าคนที่เธอนัดไว้ไม่มาอีกแล้ว ก่อนจะรีบเก็บโน้ตบุ๊กใส่ลงในกระเป๋า แล้วยังมีใบเสนอราคาที่เธอเตรียมมาอีก เอกสารที่ตั้งใจทำมาให้ลูกค้าแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้ บนโต๊ะดูยุ่งเหยิงเมื่อเธอต้องรีบเก็บรีบไปให้เร็วที่สุด เพราะทั้งร้านมีลูกค้าอยู่แค่สองโต๊ะ คือเธอกับผู้ชายที่นั่งห่างออกไปอีกโต๊ะหนึ่ง เธอจึงยิ่งรู้สึกกดดันต่อสายตาของพนักงานที่มองมา
“โอ๊ะ ขอโทษค่ะ” วิรงรองรีบบอกเมื่อความลุกลี้ลุกลนและข้าวของพะรุงพะรัง ทำให้เธอเผลอไปชนโดนลูกค้าหนุ่มอีกคนหนึ่งเข้า ก่อนจะรีบเผ่นออกจากร้านไปแทบไม่ทัน
อาศิระไม่ได้สนใจอะไรนัก ทว่ารูปถ่ายที่หญิงสาวทำตกไว้ทำให้เขาต้องเก็บขึ้นมาดู ภาพนั้นไม่ใช่ภาพปัจจุบันแต่เหมือนเป็นภาพช่วงวัยรุ่นของหญิงสาว และเขาก็จำได้ว่าเธอคือเด็กสาวข้างบ้านที่เขาเคยรู้จักคนนั้น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมตัวเองถึงจำได้อย่างรวดเร็ว และมั่นใจเต็มร้อยว่าไม่ผิดคนแน่ๆ เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะตั้งคำถามกับตัวเอง เพราะร่างกายราวกับจะเคลื่อนไหวได้เอง ด้วยการรีบจ่ายเงินค่าอาหารแล้วเดินแกมวิ่งตามหญิงสาวออกไปทันที และโชคดีที่เธอยังยืนรอลิฟต์อยู่ไม่ห่างจากหน้าร้านนัก
“คุณครับเดี๋ยวก่อน ผมเป็นเพื่อนกับโยธิน เราเคยเจอกันตอนที่ผมไปค้างบ้านคุณปู่ของโยธินเมื่อหลายปีก่อน คุณพอจำได้ไหมครับ” ชายหนุ่มบอกสถานที่ตั้งของบ้านเสริมไปในตอนท้าย
“ฉันไม่เคยรู้จักคนชื่อโยธินนะคะ ท่าทางคุณคงจะจำคนผิดแล้วละค่ะ” วิรงรองส่ายหน้าปฏิเสธอย่างไม่ต้องคิด เพราะเธอไม่เคยเฉียดไปแถวหมู่บ้านที่เขาว่าด้วยซ้ำ
“แต่ผมว่าผมจำไม่ผิดนะ เรารู้จักกันเมื่อหลายปีก่อน อาจจะนานเกินไปจนคุณลืมละมั้งครับ เพราะตอนนั้นคุณยังใส่ชุดนักเรียนม.ต้นอยู่เลย แต่ถ้าลองนึกดูดีๆ ผมว่าคุณน่าจะจำได้” อาศิระพยายามหาทางช่วยให้เธอคิดออก คล้ายกับมีเสียงเร่งเร้าอยู่ในใจให้เขาทำอย่างนั้น ทั้งที่ความจริงแล้วเธอไม่ได้มีความสำคัญอะไรให้เขาต้องทำแบบนี้ และเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ว่าหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นคนเดียวกับเด็กสาวที่เคยรู้จักแน่นอน
“แต่ฉันว่าคุณจำคนผิดมากกว่า เพื่อนบ้านของฉันไม่มีใครชื่อโยธินเลยค่ะ” หญิงสาวตอบหลังจากคิดแล้ว เธอโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และไม่เคยได้ยินชื่อที่เขาว่ารวมถึงไม่รู้สึกคุ้นหน้าเขาเลยสักนิด ทว่าอีกฝ่ายเหมือนจะไม่ยอมรับว่าตัวเองทักคนผิด ยังคงยืนกรานความคิดของตัวเอง จนเธอเริ่มรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยกับผู้ชายแปลกหน้าคนนี้
“ขอโทษนะคะ แต่ฉันว่าวิธีนี้เก่าเกินไปแล้วละค่ะ ถ้าคุณอยากคุยกับผู้หญิงสักคน ไปหาวิธีที่เข้าท่ากว่านี้มาดีกว่านะคะ” วิรงรองไม่รู้ว่าทำไมถึงพูดหาเรื่องออกไปแบบนั้น ทั้งที่ความจริงแล้วเธอแค่เดินหนีจากเขาก็น่าจะจบ อาจจะเพราะเธอเพิ่งพลาดโอกาสคุยงานกับลูกค้ารายใหญ่ไป ทำให้รู้สึกหงุดหงิดจนกล้าพาลหาเรื่องกับคนอื่นแบบไม่กลัว
“เข้าใจผิดแล้วละครับ ผมแค่ดีใจที่ได้เจอเพื่อนเก่าและอยากให้คุณจำได้” อาศิระตอบทั้งที่ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าไปตามตื๊อเธอทำไม อะไรที่ดลใจให้เขาทำเรื่องไร้เหตุผลแบบนี้ ระหว่างที่พูดมือเขาก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อจะหยิบโทรศัพท์ออกมา แต่ไม่รู้ทำไมถึงหยิบไม่ได้จนกลายเป็นขยับมือขลุกขลักอยู่ในกระเป๋า
“ช่วยด้วยค่ะ ผู้ชายคนนี้เป็นพวกโรคจิต” วิรงรองร้องบอกคนอื่นอย่างตกใจ เมื่อเข้าใจไปว่าอีกฝ่ายกำลังทำเรื่องอนาจารต่อหน้าเธอ
“ไม่ใช่นะ คือผม...” อาศิระจะอธิบายเพิ่มว่าเขาแค่อยากหยิบรูปในโทรศัพท์ให้เธอดู แต่คนที่เดินอยู่แถวนั้นกลับหันมามองเขาอย่างเข้าใจผิด แถมหญิงสาวยังรีบวิ่งหนีไปราวกับเขาเป็นคนร้าย ทำให้สายตาคนที่มองมายิ่งเคลือบแคลงในตัวเขามากขึ้นไปอีก ก่อนเลขาฯ ที่เขาใช้ให้ไปทำงานจะก้าวตรงมาหาพร้อมด้วยผู้จัดการของโรงแรม
“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณโอบ” ผู้จัดการโรงแรมถามขึ้น เมื่อชายหนุ่มทำท่าคล้ายมองหาใครสักคนอยู่
“เมื่อครู่นี้คุณสินธุ์เห็นผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งผ่านไปหรือเปล่าครับ เธอใส่ชุดสีฟ้าหิ้วของพะรุงพะรังหน่อย”
“เอ คุณโอบหมายถึงผู้หญิงที่เป็นออแกไนซ์เซอร์หรือเปล่าครับ ผมเห็นเธอแวบๆ อยู่เหมือนกัน แต่ท่าทางจะรีบเพราะเห็นวิ่งลิ่วไปเลย ถ้าใช่ผมก็รู้จักนะครับเพราะเธอเคยมาจัดงานที่นี่บ่อยๆ ถ้าคุณโอบอยากติดต่องานผมหานามบัตรให้ได้นะครับ เจ้านายของเธอผมก็รู้จักดี”
“ถ้าอย่างนั้นรบกวนคุณสินธุ์ช่วยหานามบัตรของเธอให้ผมด้วยนะครับ”
ชายหนุ่มยิ้มอย่างพอใจเพราะไม่นานเขาก็ได้นามบัตรของหญิงสาวมาอยู่ในมือ เขามั่นใจว่าตัวเองจำคนไม่ผิดแน่ แต่เธอต่างหากที่เป็นฝ่ายจำเขาไม่ได้ แถมยังมากล่าวหาว่าเขาเป็นคนโรคจิตเสียอีก และเขาเชื่อว่านามบัตรที่ได้มานี้น่าจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง
จบตอน
สวัสดีค่ะ เอานิยายเรื่องใหม่มาฝากเนื้อฝากตัวให้ติดตามอีกแล้วค่ะ เรื่องนี้เป็นแนวสืบสวนนิดๆ ผีหน่อยๆ ส่วนใหญ่จะเน้นรัก ดังนั้นถึงมีผีก็ไม่น่ากลัวนะค้า ^^ อ่านแล้วแนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยจ้า ขอบคุณมากนะค้า ^^
ปริยาธร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ส.ค. 2560, 21:33:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ส.ค. 2560, 21:33:41 น.
จำนวนการเข้าชม : 980
คิมหันตุ์ 4 ส.ค. 2560, 22:55:33 น.
ลงชื่อรอจ้าาาา
ลงชื่อรอจ้าาาา
kaelek 5 ส.ค. 2560, 07:30:00 น.
รอฮะ!!
รอฮะ!!