ในรอยกาล / เพิ่มตอนพิเศษ
“พี่พริษฐ์หยิบหีบใบนั้นให้ชมพู่หน่อย”
ชายหนุ่มขยับเข้ามาทันที พื้นที่แคบๆ ทำให้ต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ในขณะแก้มแหม่มเขย่งก็แล้ว ยืดแขนจนแทบเป็นกระโดดก็แล้ว กลับยังเอาลงมาไม่ได้ แต่พริษฐ์สามารถทำให้หีบไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที
หญิงสาวรับมาอย่างลิงโลด รีบก้มลงสำรวจทันใด ทว่าการหันหน้าเข้าหาชั้นวางของทำให้มีเงาพาดผ่าน ไม่สามารถมองลวดลายได้ถนัด แก้มแหม่มทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจึงกลับหลังหันเข้าหาแสงไฟ แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อ แทนที่จะสว่างกลับมืดหนักเข้าไปอีก เมื่อมีกำแพงร่างกายบังเอาไว้
“พี่พริษฐ์” เธอครางเสียแผ่ว ความใกล้ชิดทำให้ไม่กล้าขยับตัว
เดินไปข้างหน้าก็ชนอกแกร่ง ครั้นจะถอยหลังก็ติดชั้นวางของ และถึงแม้แขนทั้งสองข้างของพริษฐ์ยังตกอยู่ข้างตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนกอดกลายๆ
“ครับ”
เสียงขานรับดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับเจ้าตัวโน้มหน้าลงมาคุยชิดกระหม่อมนี่เอง ความชิดใกล้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แก้มแหม่มเริ่มทำอะไรไม่ถูก หูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ราวกับวินาทีใดข้างหน้ามันจะหลุดออกมานอกอกประจานตัวเองให้ได้อาย
ใจจึงอยากผลักชายหนุ่มออกไปไกลๆ ให้พ้นตัวจะได้หายใจหายคอสะดวก แต่เสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งกลับสั่งห้ามไว้ แก้มแหม่มจึงยืนนิ่งก้มหน้างุดปล่อยให้ชายหนุ่ม ‘กอด’ อยู่อย่างนั้น
“มองพี่ได้ไหม”
นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะหลังจากนั้นคางมนก็ถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วมือแข็งแรง
ราวกับถูกร่ายมนตร์ ประกายบางอย่างซึ่งสะท้อนผ่านลูกแก้วสีดำคู่นั้นทำให้แก้มแหม่มอยากรู้ว่าคืออะไร จากที่ควรเบือนหลบก็จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังไม่ถอนสายตา
ตอนระยะห่างระหว่างกันเหลือไม่ถึงนิ้ว พริษฐ์ก็หยุดถามเสียงทุ้ม
“พี่จูบได้ไหม”
แก้มแหม่มน่าจะรู้ว่าคำถามของพริษฐ์ไม่เคยเป็นคำถามสักครั้ง สิ้นคำริมฝีปากอุ่นก็นาบลงมา คลอเคลีย หยอกเย้ากับริมฝีปากอิ่มราวภมรหนุ่มเลาะเล็มดื่มกินความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสำลักลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย กระนั้นก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน
เหมือนคนขาดอากาศหายใจมานาน พอได้รับอิสระแก้มแหม่มก็สูดลมเข้าปอดหนักๆ มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย
ร่องรอยอ่อนหวานยังคงซ่านอยู่ตรงริมฝีปาก
เมื่อกี้เธอถูกจูบใช่ไหม
- * - * - เรื่องนี้รีอัปให้อ่านอีกรอบ และจะมีตอนพิเศษเพิ่มจากเดิม 3 ตอนค่ะ - * - * -
ชายหนุ่มขยับเข้ามาทันที พื้นที่แคบๆ ทำให้ต้องยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ในขณะแก้มแหม่มเขย่งก็แล้ว ยืดแขนจนแทบเป็นกระโดดก็แล้ว กลับยังเอาลงมาไม่ได้ แต่พริษฐ์สามารถทำให้หีบไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที
หญิงสาวรับมาอย่างลิงโลด รีบก้มลงสำรวจทันใด ทว่าการหันหน้าเข้าหาชั้นวางของทำให้มีเงาพาดผ่าน ไม่สามารถมองลวดลายได้ถนัด แก้มแหม่มทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจึงกลับหลังหันเข้าหาแสงไฟ แล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อ แทนที่จะสว่างกลับมืดหนักเข้าไปอีก เมื่อมีกำแพงร่างกายบังเอาไว้
“พี่พริษฐ์” เธอครางเสียแผ่ว ความใกล้ชิดทำให้ไม่กล้าขยับตัว
เดินไปข้างหน้าก็ชนอกแกร่ง ครั้นจะถอยหลังก็ติดชั้นวางของ และถึงแม้แขนทั้งสองข้างของพริษฐ์ยังตกอยู่ข้างตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนกอดกลายๆ
“ครับ”
เสียงขานรับดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับเจ้าตัวโน้มหน้าลงมาคุยชิดกระหม่อมนี่เอง ความชิดใกล้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แก้มแหม่มเริ่มทำอะไรไม่ถูก หูได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังมาก ราวกับวินาทีใดข้างหน้ามันจะหลุดออกมานอกอกประจานตัวเองให้ได้อาย
ใจจึงอยากผลักชายหนุ่มออกไปไกลๆ ให้พ้นตัวจะได้หายใจหายคอสะดวก แต่เสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งกลับสั่งห้ามไว้ แก้มแหม่มจึงยืนนิ่งก้มหน้างุดปล่อยให้ชายหนุ่ม ‘กอด’ อยู่อย่างนั้น
“มองพี่ได้ไหม”
นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะหลังจากนั้นคางมนก็ถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วมือแข็งแรง
ราวกับถูกร่ายมนตร์ ประกายบางอย่างซึ่งสะท้อนผ่านลูกแก้วสีดำคู่นั้นทำให้แก้มแหม่มอยากรู้ว่าคืออะไร จากที่ควรเบือนหลบก็จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังไม่ถอนสายตา
ตอนระยะห่างระหว่างกันเหลือไม่ถึงนิ้ว พริษฐ์ก็หยุดถามเสียงทุ้ม
“พี่จูบได้ไหม”
แก้มแหม่มน่าจะรู้ว่าคำถามของพริษฐ์ไม่เคยเป็นคำถามสักครั้ง สิ้นคำริมฝีปากอุ่นก็นาบลงมา คลอเคลีย หยอกเย้ากับริมฝีปากอิ่มราวภมรหนุ่มเลาะเล็มดื่มกินความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายสำลักลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย กระนั้นก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน
เหมือนคนขาดอากาศหายใจมานาน พอได้รับอิสระแก้มแหม่มก็สูดลมเข้าปอดหนักๆ มือเล็กยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย
ร่องรอยอ่อนหวานยังคงซ่านอยู่ตรงริมฝีปาก
เมื่อกี้เธอถูกจูบใช่ไหม
- * - * - เรื่องนี้รีอัปให้อ่านอีกรอบ และจะมีตอนพิเศษเพิ่มจากเดิม 3 ตอนค่ะ - * - * -
Tags: ในรอยกาล, เนตรนภัส, พริษฐ์, ชมพู่, แก้มแหม่ม,
ตอน: บทที่ 16 [1/2]
...๑๖...
“เฮ้ย จบแล้วหรือ ทำไมเร็วจัง” เสียงโวยวายดังขึ้นแถวๆ ใต้ร่มไม้ใหญ่ทำให้คนงานหันขวับไปมอง พอเห็นว่าเป็นเสียงของใครทุกคนก็ละความสนใจ หันไปมุ่งมั่นกับงานต่อด้วยชินเสียแล้วกับเสียงดังโหวกเหวกแบบนี้
“เร็วอะไรกัน นี่จบล่ากว่าคนอื่นเขาเป็นเทอมเลยนะ แกน่ะมัวแต่หมกตัวอยู่บ้านนอกจนลืมวันลืมคืนสิยายชมพู่ ตั้งแต่ฉันเริ่มเรียนโทเนี่ย มันเกือบสามปีแล้วนะ”
“จริงน่ะ” หญิงสาวยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไร รู้สึกเหมือนวันที่เพื่อนชวนเรียนต่อระดับปริญญาโทแล้วเธอปฏิเสธไปนั้นเพิ่งผ่านไปไม่นานนี้เอง ไม่น่าจะถึงปีด้วยซ้ำ
“จริงสิยะ”
แก้มแหม่มนึกออกทันทีเมื่อได้ยินน้ำเสียงกระฟัดกระเฟียดดังมาตามสาย ตอนนี้เจ้าตัวคงกำลังทำหน้าเลิศๆ เชิดๆ ตามบุคลิกของเจ้าตัวนั่นละ
“ตอนฉันชวนแกเรียนน่ะ เราเพิ่งจบตรีได้ปีกว่าๆ เอง ลองนับดูสิว่ามันผ่านไปกี่ปีแล้ว”
หญิงสาวทำตามเพื่อนบอกแล้วถึงกับครางเบาๆ
“ไม่น่าเชื่อ นี่ฉันลืมวันลืมคืนขนาดนี้เลยหรือเนี่ย”
“แน่สิยะ หล่อนน่ะมัวแต่หมกตัวอยู่ในบ้านป่าเมืองเถื่อน ชวนมาดูแสงสีเมืองหลวงก็ไม่เคยมา พูดอยู่นั่นแหละว่าห่วงบ้านห่วงร้าน บ้านหล่อนน่ะเบานักหรือไง ยกหนีได้เสียที่ไหน หลังตั้งเบ้อเริ่ม แล้วไหนยังป้าตาบอีก ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะจะได้ต้องเป็นห่วงมากมาย ป้าแกดูแลตัวเองได้หรอกน่า”
“ได้ทีก็เอาเชียวนะ” คนถูกบ่นหัวเราะเสียงแห้ง
“ไม่ได้หรอก คราวนี้หล่อนต้องมางานรับปริญญาของฉันให้ได้ ถ้าไม่มาฉันโกรธจริงๆ ด้วย”
“ขอดูก่อนแล้วกันว่าว่างไหม”
“ทุกที พูดอย่างนี้ทุกที แล้วพอใกล้วันหล่อนก็เบี้ยวฉัน”
คำพูดตัดพ้อของเพื่อนทำให้แก้มแหม่มเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆ บ่อยครั้งที่เพื่อนเพียรโทรศัพท์มาชวนให้ไปเที่ยวกรุงเทพฯ เพื่อเปิดหูเปิดตาและมุมมองใหม่ๆ จะได้เห็นว่าตอนนี้โลกพัฒนาไปถึงไหนแล้ว แต่เธอก็ปฏิเสธแทบทุกครั้ง เหตุผลก็ตามที่เจ้าตัวพ้อมานั่นละ คือห่วงบ้าน ห่วงร้าน
“น่าชมพู่ มาเถอะ ฉันว่านี่คงเป็นปริญญาใบสุดท้ายของฉันแล้วล่ะ”
“ทำไมล่ะ” เธอว่าการเรียนเป็นเรื่องดีนี่นา หากมีโอกาสและทุนทรัพย์ ใครๆ ก็อยากเรียนทั้งนั้น แล้วหนูนาเองก็ไม่ได้ลำบากอะไร แถมหัวดีที่สุดในรุ่นอีกต่างหาก
“มันเหนื่อยน่ะสิ นี่หล่อนรู้ไหมกว่าฉันจะจบได้ วิทยานิพนธ์ทำเอาฉันเกือบตาย แค่สามเดือนกว่าๆ น้ำหนักฉันลดลงมาเกือบสิบกิโล”
“เฮ้ย...พูดเป็นเล่น เทอมเดียวเนี่ยนะ”
“เออสิ หล่อนไม่รู้อะไร วันๆ ฉันเอาแต่หน้าดำคร่ำเคร่งทำงานไม่ได้ลุกไปไหน ทั้งออกกำลังกายทั้งสังสรรค์งดหมดเพื่อจะได้เรียนให้จบ รู้ตัวอีกทีตาชั่งหมุนติ้วเลยละหล่อน”
นึกภาพตามแล้วแก้มแหม่มก็หัวเราะออกมาด้วยความขำ ตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรีแล้วหนูนามักบ่นเรื่องสรีระของตัวเองอยู่เสมอ เนื่องจากเป็นคนโครงสร้างใหญ่เป็นทุนเดิมพอน้ำหนักขึ้นนิดหน่อยก็จะดู ‘บึ้บบั้บ’ ผิดกับสาวๆ สมัยนี้ที่อรชรอ้อนแอ้น เอวบางร่างน้อย ไม่แปลกใจเลยหากเจ้าตัวจะออกอาการเครียดหรือคลั่งอย่างนี้
“ยังมีหน้ามาหัวเราะอีก มานะชมพู่ หนูนาอยากเจอจริงๆ นะ นะ น้า”
ปลายประโยคหนูนาลากเสียงยาวจนแก้มแหม่มอดยิ้มอ่อนไม่ได้ เธอเองก็อยากไปแสดงความยินดีในวันที่เพื่อนประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน
“ก็ได้”
“ไชโย ดีใจจัง ในที่สุดฉันก็ลากหล่อนออกจากบ้านนอกมาเห็นแสงสีได้สักที...ยังไงกลับบ้านไปวันนี้หล่อนก็จองตั๋วเครื่องบินไว้เลย”
“ได้ทีก็สั่งใหญ่เลยนะ” แก้มแหม่มประชดเสียงกลั้วหัวเราะ การได้พูดคุยกับเพื่อนเก่าทำให้มีความสุข
“ไม่ได้หรอก กว่าฉันจะกล่อมให้หล่อนยอมได้เปลืองน้ำลายไปตั้งเท่าไหร่ อีกอย่างพวกตั๋วสายการบินต้นทุนต่ำต้องจองล่วงหน้านานๆ ถึงจะได้ตั๋วถูก งกๆ อย่างหล่อนเนี่ยพอตั๋วแพงก็มาโอดอีกว่าแพง ไม่ไปได้ไหม ที่สำคัญถ้าจองแล้วหล่อนไม่มีทางทิ้งตั๋วไปฟรีๆ แน่”
“ชิ!” รู้ทั้งรู้ว่าหนูนาไม่เห็นแน่ๆ แต่แก้มแหม่มก็อดกลอกตาค้อนลมค้อนแล้งไม่ได้ ค่าที่เพื่อนรู้จักเธอดีเหลือเกิน “แหงสิ เงินไม่ได้หาง่ายๆ จะใช้อะไรก็ต้องระวังหน่อย”
“ย่ะ แม่คนรู้ค่าเงิน งั้นแค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวฉันต้องขับรถแล้ว ค่อยคุยกันนะชมพู่”
“จ้า” รับคำแล้วแก้มแหม่มก็ตัดสาย ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่กับตัวเองอย่างมีความสุข
หญิงสาวยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมองเวลาบนหน้าจออีกครั้ง ประเมินจากเวลาคนงานน่าจะเตรียมดินบริเวณหน้าเรือนเสร็จเรียบร้อยแล้ว คงต้องเดินไปดูความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนกำกับให้เอากล้าชบาหนูที่เตรียมไว้ลงดิน
ตัดสินใจได้อย่างนั้นร่างบอบบางก็หมุนตัวเพื่อเดินไปตรงจุดที่คนงานกำลังใช้จอบขุดดินอยู่ ทว่าพอหันหลังกลับมาเท่านั้น แก้มแหม่มก็ต้องอุทานอย่างตกใจเมื่อเห็นใครบางคนยืนยิ้มเผล่
“อ้าว มาได้ไง”
“ก็นั่งเครื่องมาสิคุณ”
“ฉันอุทานย่ะ รู้จักไหมคุณ อุทานน่ะ”
อาการค้อนจนตากลับของหญิงสาวสร้างความรื่นรมย์ให้กับเขาเป็นอย่างมาก รู้สึกคิดไม่ผิดที่รีบเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าแล้วแจ้นกลับมา พริษฐ์ยิ้มอ่อน ทำให้ดวงตาคู่นั้นอ่อนโยนลง ส่งให้ใบหน้าคมดูน่ามองขึ้น จนคนขี้ตกใจเผลอเอียงคอมองเพลินอย่างไม่รู้ตัว
แก้มแหม่มไม่รู้ว่าท่าทางของเธอก่อความรู้สึกใดให้กับพริษฐ์บ้าง แต่ที่แน่ๆ เธอทำให้เขาฉีกยิ้มกว้างทีเดียว
“ทำไมครับ ไม่เจอกันแค่ไม่กี่วัน หน้าผมมีอะไรแปลกไปหรือไง”
ถ้อยคำของชายหนุ่มทำให้แก้มแหม่มรู้สึกว่าเผลอจ้องหน้าเขานานไปแล้ว ความขำที่สะท้อนออกมาจากดวงตาคู่นั้นทำให้แก้มนวลร้อนผ่าว
เผลอทำอะไรลงไปเนี่ย ยายชมพู่นะยายชมพู่!
หญิงสาวอยากเขกศีรษะตัวเองแรงๆ เพื่อเตือนสติ แต่ที่ทำได้ตอนนี้คือค่อยๆ หลุบตาลงช้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แค่แวบเดียวแล้วเธอก็กลับไปสู้สายตาของชายหนุ่มอีกครั้ง
อย่าหวังว่าเรื่องแค่นี้จะทำให้เห็นเธออายม้วนต้วนหน้าแดง
“ทำไม”
ท่าทางเหมือนเอาเรื่องไม่ได้ทำให้พริษฐ์ถือสา เขาเคยเจอผู้หญิงมามาก หลายคนชอบใช้เสียงเข้าข่มเวลาอาย
“เห็นคุณจ้องผมตาไม่กะพริบ ก็คิดว่าหน้าผมมีอะไรติดอยู่เสียอีก”
หญิงสาวขึงตาดุ อีตาบ้า ไม่เห็นต้องพูดออกมาตรงๆ แบบนี้เลย
“แล้วนี่ธุระของคุณเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือคะ”
รู้ว่าแก้มแหม่มตั้งใจเปลี่ยนเรื่อง แต่พริษฐ์ก็ไม่อยากขัด เขาใช้มือแตะตรงข้อศอกของหญิงสาวดันเบาๆ ให้ออกเดิน
“เรียบร้อยแล้วครับ ไม่มีปัญหา แล้วทางนี้ล่ะ มีอะไรหรือเปล่า”
แก้มแหม่มส่ายหน้าเบาๆ
“ทุกอย่างราบรื่นดีค่ะ นี่ก็กำลังจะลงต้นไม้ตรงหน้าบันไดแล้ว”
“ตอนเข้ามาผมเห็นแล้วละ คืบหน้าไปเยอะ ดูผิดหูผิดตาไปอย่างคุณว่าจริงๆ”
ตั้งแต่ลงจากรถของสนามบินแล้วเดินเข้ามา พริษฐ์ก็พบกับความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน บริเวณรอบบ้านโล่งเตียน ต้นไม้ใหญ่ได้รับการตัดแต่งอย่างดี นับว่าแก้มแหม่มทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยทีเดียว
“พวกคุณทำงานกันเร็วดีนะ”
“ก็มาทำงานนี่ ไม่ได้มาอู้”
พริษฐ์ส่ายหน้าเบาๆ แล้วไม่ต่อความ ครู่เดียวทั้งคู่ก็มานั่งอยู่ตรงเฉลียงบ้าน แก้มแหม่มนั่งลงบนพื้นง่ายๆ ขณะรอพริษฐ์นำโต๊ะญี่ปุ่นมากาง
“เมื่อกี้คุณมายังไงน่ะ ฉันไม่เห็นได้ยินเสียงรถเลย” หญิงสาวเปิดปากถามทันที ต่อให้เธอคุยโทรศัพท์กับเพื่อนเพลินแค่ไหน มีรถแล่นเข้ามาในบริเวณบ้านอย่างไรต้องได้ยิน
“ให้รถสนามบินมาส่ง”
“แล้วคุณจอดไว้ตรงไหนน่ะ ทำไมฉันไม่เห็นเลย” หญิงสาวคิดว่าเขาเช่ารถแล้วขับมาจากสนามบินเหมือนครั้งก่อน
“เปล่าครับ ให้ลิมูซีนสนามบินมาส่งเลย”
“อ้าว...แล้วคุณจะเอารถที่ไหนใช้ล่ะ” แก้มแหม่มถามอย่างแปลกใจ ก่อนพยักหน้ากับตัวเอง “หรือคราวนี้คุณมาไม่กี่วัน ก็ดีเหมือนกัน เช่ารถมาจอดไว้เฉยๆ เปลืองเงิน”
“คุณนี่ เอะอะอะไรก็บอกว่าเปลืองตลอดเลยนะ”
---------------------------------------------------
เค้าขอโทษที่หายไปหลายวันนะคะ ช่วงนี้จะมีภาวะยุ่งเป็นพักๆ เพราะน้องสาวกำลังจะแต่งงานค่ะ แล้วน้องเป็นอาจารย์แทบไม่มีเวลาว่างเลย เสาร์ - อาทิตย์ ก็ไม่ได้หยุดทุกอาทิตย์ เพราะฉะนั้นต้องเตรียมงานตั้งแต่เนิ่นๆ แม้จะแต่งปีหน้าก็ตาม
ในฐานะพี่ที่ดี เลยต้องทำตัวเป็นทาสเจ้าสาวตั้งแต่ตอนนี้ค่ะ แต่ไม่ได้ทุกวันหรอกนะคะ อาจจะมีบางวันที่หายไป กลับมาสลบ ไม่ได้ลงนิยาย แต่ไม่ต้องห่วงว่าจะเทนะคะ เพราะว่าตอนนี้เหลือแค่ตอนพิเศษเท่านั้นเองล่ะ ^^
แต่ยังไงเค้าจะไม่หายบ่อยนักเนอะ เพราะช่วงนี้จะเป็นแค่งานจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ ที่เปลืองพลังงานเท่านั้นก่อนน่ะค่ะ
เพราะงั้น อย่าเพิ่งเทเค้าน้าาาาา จุ๊บๆๆ
“เฮ้ย จบแล้วหรือ ทำไมเร็วจัง” เสียงโวยวายดังขึ้นแถวๆ ใต้ร่มไม้ใหญ่ทำให้คนงานหันขวับไปมอง พอเห็นว่าเป็นเสียงของใครทุกคนก็ละความสนใจ หันไปมุ่งมั่นกับงานต่อด้วยชินเสียแล้วกับเสียงดังโหวกเหวกแบบนี้
“เร็วอะไรกัน นี่จบล่ากว่าคนอื่นเขาเป็นเทอมเลยนะ แกน่ะมัวแต่หมกตัวอยู่บ้านนอกจนลืมวันลืมคืนสิยายชมพู่ ตั้งแต่ฉันเริ่มเรียนโทเนี่ย มันเกือบสามปีแล้วนะ”
“จริงน่ะ” หญิงสาวยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไร รู้สึกเหมือนวันที่เพื่อนชวนเรียนต่อระดับปริญญาโทแล้วเธอปฏิเสธไปนั้นเพิ่งผ่านไปไม่นานนี้เอง ไม่น่าจะถึงปีด้วยซ้ำ
“จริงสิยะ”
แก้มแหม่มนึกออกทันทีเมื่อได้ยินน้ำเสียงกระฟัดกระเฟียดดังมาตามสาย ตอนนี้เจ้าตัวคงกำลังทำหน้าเลิศๆ เชิดๆ ตามบุคลิกของเจ้าตัวนั่นละ
“ตอนฉันชวนแกเรียนน่ะ เราเพิ่งจบตรีได้ปีกว่าๆ เอง ลองนับดูสิว่ามันผ่านไปกี่ปีแล้ว”
หญิงสาวทำตามเพื่อนบอกแล้วถึงกับครางเบาๆ
“ไม่น่าเชื่อ นี่ฉันลืมวันลืมคืนขนาดนี้เลยหรือเนี่ย”
“แน่สิยะ หล่อนน่ะมัวแต่หมกตัวอยู่ในบ้านป่าเมืองเถื่อน ชวนมาดูแสงสีเมืองหลวงก็ไม่เคยมา พูดอยู่นั่นแหละว่าห่วงบ้านห่วงร้าน บ้านหล่อนน่ะเบานักหรือไง ยกหนีได้เสียที่ไหน หลังตั้งเบ้อเริ่ม แล้วไหนยังป้าตาบอีก ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะจะได้ต้องเป็นห่วงมากมาย ป้าแกดูแลตัวเองได้หรอกน่า”
“ได้ทีก็เอาเชียวนะ” คนถูกบ่นหัวเราะเสียงแห้ง
“ไม่ได้หรอก คราวนี้หล่อนต้องมางานรับปริญญาของฉันให้ได้ ถ้าไม่มาฉันโกรธจริงๆ ด้วย”
“ขอดูก่อนแล้วกันว่าว่างไหม”
“ทุกที พูดอย่างนี้ทุกที แล้วพอใกล้วันหล่อนก็เบี้ยวฉัน”
คำพูดตัดพ้อของเพื่อนทำให้แก้มแหม่มเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆ บ่อยครั้งที่เพื่อนเพียรโทรศัพท์มาชวนให้ไปเที่ยวกรุงเทพฯ เพื่อเปิดหูเปิดตาและมุมมองใหม่ๆ จะได้เห็นว่าตอนนี้โลกพัฒนาไปถึงไหนแล้ว แต่เธอก็ปฏิเสธแทบทุกครั้ง เหตุผลก็ตามที่เจ้าตัวพ้อมานั่นละ คือห่วงบ้าน ห่วงร้าน
“น่าชมพู่ มาเถอะ ฉันว่านี่คงเป็นปริญญาใบสุดท้ายของฉันแล้วล่ะ”
“ทำไมล่ะ” เธอว่าการเรียนเป็นเรื่องดีนี่นา หากมีโอกาสและทุนทรัพย์ ใครๆ ก็อยากเรียนทั้งนั้น แล้วหนูนาเองก็ไม่ได้ลำบากอะไร แถมหัวดีที่สุดในรุ่นอีกต่างหาก
“มันเหนื่อยน่ะสิ นี่หล่อนรู้ไหมกว่าฉันจะจบได้ วิทยานิพนธ์ทำเอาฉันเกือบตาย แค่สามเดือนกว่าๆ น้ำหนักฉันลดลงมาเกือบสิบกิโล”
“เฮ้ย...พูดเป็นเล่น เทอมเดียวเนี่ยนะ”
“เออสิ หล่อนไม่รู้อะไร วันๆ ฉันเอาแต่หน้าดำคร่ำเคร่งทำงานไม่ได้ลุกไปไหน ทั้งออกกำลังกายทั้งสังสรรค์งดหมดเพื่อจะได้เรียนให้จบ รู้ตัวอีกทีตาชั่งหมุนติ้วเลยละหล่อน”
นึกภาพตามแล้วแก้มแหม่มก็หัวเราะออกมาด้วยความขำ ตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรีแล้วหนูนามักบ่นเรื่องสรีระของตัวเองอยู่เสมอ เนื่องจากเป็นคนโครงสร้างใหญ่เป็นทุนเดิมพอน้ำหนักขึ้นนิดหน่อยก็จะดู ‘บึ้บบั้บ’ ผิดกับสาวๆ สมัยนี้ที่อรชรอ้อนแอ้น เอวบางร่างน้อย ไม่แปลกใจเลยหากเจ้าตัวจะออกอาการเครียดหรือคลั่งอย่างนี้
“ยังมีหน้ามาหัวเราะอีก มานะชมพู่ หนูนาอยากเจอจริงๆ นะ นะ น้า”
ปลายประโยคหนูนาลากเสียงยาวจนแก้มแหม่มอดยิ้มอ่อนไม่ได้ เธอเองก็อยากไปแสดงความยินดีในวันที่เพื่อนประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน
“ก็ได้”
“ไชโย ดีใจจัง ในที่สุดฉันก็ลากหล่อนออกจากบ้านนอกมาเห็นแสงสีได้สักที...ยังไงกลับบ้านไปวันนี้หล่อนก็จองตั๋วเครื่องบินไว้เลย”
“ได้ทีก็สั่งใหญ่เลยนะ” แก้มแหม่มประชดเสียงกลั้วหัวเราะ การได้พูดคุยกับเพื่อนเก่าทำให้มีความสุข
“ไม่ได้หรอก กว่าฉันจะกล่อมให้หล่อนยอมได้เปลืองน้ำลายไปตั้งเท่าไหร่ อีกอย่างพวกตั๋วสายการบินต้นทุนต่ำต้องจองล่วงหน้านานๆ ถึงจะได้ตั๋วถูก งกๆ อย่างหล่อนเนี่ยพอตั๋วแพงก็มาโอดอีกว่าแพง ไม่ไปได้ไหม ที่สำคัญถ้าจองแล้วหล่อนไม่มีทางทิ้งตั๋วไปฟรีๆ แน่”
“ชิ!” รู้ทั้งรู้ว่าหนูนาไม่เห็นแน่ๆ แต่แก้มแหม่มก็อดกลอกตาค้อนลมค้อนแล้งไม่ได้ ค่าที่เพื่อนรู้จักเธอดีเหลือเกิน “แหงสิ เงินไม่ได้หาง่ายๆ จะใช้อะไรก็ต้องระวังหน่อย”
“ย่ะ แม่คนรู้ค่าเงิน งั้นแค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวฉันต้องขับรถแล้ว ค่อยคุยกันนะชมพู่”
“จ้า” รับคำแล้วแก้มแหม่มก็ตัดสาย ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่กับตัวเองอย่างมีความสุข
หญิงสาวยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมองเวลาบนหน้าจออีกครั้ง ประเมินจากเวลาคนงานน่าจะเตรียมดินบริเวณหน้าเรือนเสร็จเรียบร้อยแล้ว คงต้องเดินไปดูความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนกำกับให้เอากล้าชบาหนูที่เตรียมไว้ลงดิน
ตัดสินใจได้อย่างนั้นร่างบอบบางก็หมุนตัวเพื่อเดินไปตรงจุดที่คนงานกำลังใช้จอบขุดดินอยู่ ทว่าพอหันหลังกลับมาเท่านั้น แก้มแหม่มก็ต้องอุทานอย่างตกใจเมื่อเห็นใครบางคนยืนยิ้มเผล่
“อ้าว มาได้ไง”
“ก็นั่งเครื่องมาสิคุณ”
“ฉันอุทานย่ะ รู้จักไหมคุณ อุทานน่ะ”
อาการค้อนจนตากลับของหญิงสาวสร้างความรื่นรมย์ให้กับเขาเป็นอย่างมาก รู้สึกคิดไม่ผิดที่รีบเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าแล้วแจ้นกลับมา พริษฐ์ยิ้มอ่อน ทำให้ดวงตาคู่นั้นอ่อนโยนลง ส่งให้ใบหน้าคมดูน่ามองขึ้น จนคนขี้ตกใจเผลอเอียงคอมองเพลินอย่างไม่รู้ตัว
แก้มแหม่มไม่รู้ว่าท่าทางของเธอก่อความรู้สึกใดให้กับพริษฐ์บ้าง แต่ที่แน่ๆ เธอทำให้เขาฉีกยิ้มกว้างทีเดียว
“ทำไมครับ ไม่เจอกันแค่ไม่กี่วัน หน้าผมมีอะไรแปลกไปหรือไง”
ถ้อยคำของชายหนุ่มทำให้แก้มแหม่มรู้สึกว่าเผลอจ้องหน้าเขานานไปแล้ว ความขำที่สะท้อนออกมาจากดวงตาคู่นั้นทำให้แก้มนวลร้อนผ่าว
เผลอทำอะไรลงไปเนี่ย ยายชมพู่นะยายชมพู่!
หญิงสาวอยากเขกศีรษะตัวเองแรงๆ เพื่อเตือนสติ แต่ที่ทำได้ตอนนี้คือค่อยๆ หลุบตาลงช้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แค่แวบเดียวแล้วเธอก็กลับไปสู้สายตาของชายหนุ่มอีกครั้ง
อย่าหวังว่าเรื่องแค่นี้จะทำให้เห็นเธออายม้วนต้วนหน้าแดง
“ทำไม”
ท่าทางเหมือนเอาเรื่องไม่ได้ทำให้พริษฐ์ถือสา เขาเคยเจอผู้หญิงมามาก หลายคนชอบใช้เสียงเข้าข่มเวลาอาย
“เห็นคุณจ้องผมตาไม่กะพริบ ก็คิดว่าหน้าผมมีอะไรติดอยู่เสียอีก”
หญิงสาวขึงตาดุ อีตาบ้า ไม่เห็นต้องพูดออกมาตรงๆ แบบนี้เลย
“แล้วนี่ธุระของคุณเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือคะ”
รู้ว่าแก้มแหม่มตั้งใจเปลี่ยนเรื่อง แต่พริษฐ์ก็ไม่อยากขัด เขาใช้มือแตะตรงข้อศอกของหญิงสาวดันเบาๆ ให้ออกเดิน
“เรียบร้อยแล้วครับ ไม่มีปัญหา แล้วทางนี้ล่ะ มีอะไรหรือเปล่า”
แก้มแหม่มส่ายหน้าเบาๆ
“ทุกอย่างราบรื่นดีค่ะ นี่ก็กำลังจะลงต้นไม้ตรงหน้าบันไดแล้ว”
“ตอนเข้ามาผมเห็นแล้วละ คืบหน้าไปเยอะ ดูผิดหูผิดตาไปอย่างคุณว่าจริงๆ”
ตั้งแต่ลงจากรถของสนามบินแล้วเดินเข้ามา พริษฐ์ก็พบกับความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน บริเวณรอบบ้านโล่งเตียน ต้นไม้ใหญ่ได้รับการตัดแต่งอย่างดี นับว่าแก้มแหม่มทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยทีเดียว
“พวกคุณทำงานกันเร็วดีนะ”
“ก็มาทำงานนี่ ไม่ได้มาอู้”
พริษฐ์ส่ายหน้าเบาๆ แล้วไม่ต่อความ ครู่เดียวทั้งคู่ก็มานั่งอยู่ตรงเฉลียงบ้าน แก้มแหม่มนั่งลงบนพื้นง่ายๆ ขณะรอพริษฐ์นำโต๊ะญี่ปุ่นมากาง
“เมื่อกี้คุณมายังไงน่ะ ฉันไม่เห็นได้ยินเสียงรถเลย” หญิงสาวเปิดปากถามทันที ต่อให้เธอคุยโทรศัพท์กับเพื่อนเพลินแค่ไหน มีรถแล่นเข้ามาในบริเวณบ้านอย่างไรต้องได้ยิน
“ให้รถสนามบินมาส่ง”
“แล้วคุณจอดไว้ตรงไหนน่ะ ทำไมฉันไม่เห็นเลย” หญิงสาวคิดว่าเขาเช่ารถแล้วขับมาจากสนามบินเหมือนครั้งก่อน
“เปล่าครับ ให้ลิมูซีนสนามบินมาส่งเลย”
“อ้าว...แล้วคุณจะเอารถที่ไหนใช้ล่ะ” แก้มแหม่มถามอย่างแปลกใจ ก่อนพยักหน้ากับตัวเอง “หรือคราวนี้คุณมาไม่กี่วัน ก็ดีเหมือนกัน เช่ารถมาจอดไว้เฉยๆ เปลืองเงิน”
“คุณนี่ เอะอะอะไรก็บอกว่าเปลืองตลอดเลยนะ”
---------------------------------------------------
เค้าขอโทษที่หายไปหลายวันนะคะ ช่วงนี้จะมีภาวะยุ่งเป็นพักๆ เพราะน้องสาวกำลังจะแต่งงานค่ะ แล้วน้องเป็นอาจารย์แทบไม่มีเวลาว่างเลย เสาร์ - อาทิตย์ ก็ไม่ได้หยุดทุกอาทิตย์ เพราะฉะนั้นต้องเตรียมงานตั้งแต่เนิ่นๆ แม้จะแต่งปีหน้าก็ตาม
ในฐานะพี่ที่ดี เลยต้องทำตัวเป็นทาสเจ้าสาวตั้งแต่ตอนนี้ค่ะ แต่ไม่ได้ทุกวันหรอกนะคะ อาจจะมีบางวันที่หายไป กลับมาสลบ ไม่ได้ลงนิยาย แต่ไม่ต้องห่วงว่าจะเทนะคะ เพราะว่าตอนนี้เหลือแค่ตอนพิเศษเท่านั้นเองล่ะ ^^
แต่ยังไงเค้าจะไม่หายบ่อยนักเนอะ เพราะช่วงนี้จะเป็นแค่งานจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ ที่เปลืองพลังงานเท่านั้นก่อนน่ะค่ะ
เพราะงั้น อย่าเพิ่งเทเค้าน้าาาาา จุ๊บๆๆ
เนตรนภัส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ส.ค. 2560, 19:09:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ส.ค. 2560, 19:09:39 น.
จำนวนการเข้าชม : 872
<< บทที่ 15 [2/2] ครบละค่า | บทที่ 16 [2/2] >> |