รักผลัดใบ...When Love Goes On...
เมื่อความรักที่ 'ธีศิษฏ์' และ 'ศรีอาภา' เคยคิดว่าจบลงไปแล้ว เหมือนต้นไม้ที่ทิ้งใบในฤดูหนาวอันยาวนาน ได้เดินกลับเข้ามาในชีวิตอีกหน
ก็คงถึงเวลาที่ต้นไม้แห่งความรักของเขาและเธอจะได้ผลัดใบและผลิบานอย่างสวยงามเสียที


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 4

4…

ผมเคยถามคุณไปแล้วใช่ไหมครับว่าคุณเชื่อเรื่องของโชคชะตาหรือเปล่า...สำหรับผม โชคชะตาอาจจะมีส่วนในการนำอะไรบางอย่างหรือคนบางคน (ในกรณีนี้หมายถึงผมกับแพร) ให้บังเอิญมาเจอกันอีกครั้งก็จริง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละคนแล้วล่ะครับ ว่าจะทำยังไงกับ ‘ความบังเอิญ’ นี้ดี

...ระหว่างปล่อยให้โอกาสผ่านไปเฉยๆ หรือจะเดินหน้าเริ่มต้นความสัมพันธ์ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ผมคิดว่าคุณน่าจะรู้อยู่แล้วใช่ไหมครับว่าผมจะเลือกทางไหน

แต่เอาเข้าจริงแล้วเรื่องมันไม่ได้ง่ายอย่างนั้นหรอกครับ ในเมื่อแพรก็ยังเป็นคนที่ความรู้สึกช้า แถมยังไม่ค่อยจะยอมเข้าใจอะไรง่ายๆ อยู่เหมือนเดิม (ยกเว้นเรื่องงานนะครับ เพราะเท่าที่ทำงานด้วยกันมา ผมก็เห็นแล้วว่าเธอหัวไวและทำหน้าที่ได้ดี เรียกว่าเธอน่าจะหัวช้าเฉพาะเรื่องนี้ก็คงได้) ไม่ว่าผมจะใช้วิธีหว่านล้อม หลอกล่อ หรือแม้แต่ใช้ความเป็นหัวหน้าทำให้เธอมาอยู่ใกล้ๆ ยังไง ก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่รู้ตัวสักที

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ผมขอให้เธอมานั่งทานข้าวด้วยกันทุกเช้า ขอให้ไปช่วยเลือกของขวัญเป็นเพื่อนในวันหยุด หรือขอให้เธอเป็นคู่ควงไปงานเลี้ยงของบริษัทที่กำลังจะมาถึง...เธอคิดจริงๆ หรือครับว่าถ้าเลขาของผมเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เธอ แล้วผมจะยังทำอย่างที่ทำไปทั้งหมดนั่น

แต่ก็เพราะความเข้าใจผิดของพนักงานที่ร้านขายเนกไทเมื่อวันก่อนที่เราไปเลือกของขวัญด้วยกันนั่นแหละครับ ที่ทำให้ผมได้เห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่ความรู้สึกของเราจะไปในทิศทางเดียวกัน (ถึงแม้ว่าเธอจะยังไม่รู้ตัวก็ตาม) เมื่อแพรออกอาการเขินอย่างที่ผมไม่เคยเห็นชัดๆ มาก่อน เพราะปกติถ้าไม่ค้อนใส่พร้อมกับทำปากขมุบขมิบเหมือนเถียงอะไรในใจ เธอก็ชอบทำหน้ามึนใส่ผมประจำ ซึ่งจะว่าไปก็น่ารักดีนะครับ แต่สีหน้าตกใจปนเขินของเธอตอนที่ได้ยินคำว่า ‘แฟน’ นั้นดูน่ารักมาก และผมก็แน่ใจตอนนั้นเองว่าเลือกเดินมาไม่ผิดทางจริงๆ


เช้านี้ผมมาถึงที่ทำงานเวลาเดิมเหมือนกับทุกวัน ในช่วงแรกที่ผมต้องมาแต่เช้าก็เพราะอยากมาเตรียมความพร้อมก่อนเริ่มงานในแต่ละวันครับ เนื่องจากถึงจะเคยมีประสบการณ์ทำงานด้านนี้มาบ้าง แต่ผมก็ยังมีเรื่องที่ต้องปรับตัวและเรียนรู้อีกหลายอย่าง โชคดีที่คุณเลขาของผมสังเกตเห็นและปรับเวลาทำงานตามไปด้วยโดยที่ผมไม่ได้ขอ ทำให้ผมรู้ว่าแพรเป็นคนช่างสังเกตและละเอียดอ่อนกับคนรอบข้างมากทีเดียว ถึงเธอจะไม่เคยใช้กับเรื่องที่ผมอยากให้เธอเห็นบ้างเลยก็ตาม

ถึงวันนี้ที่ผมคุ้นเคยทั้งกับงานและผู้ร่วมงานมากขึ้นแล้วจนไม่น่าจะมีข้ออ้างอะไรมาปรึกษาเธออีก ผมก็ยังยืนยันให้เธอมานั่งทานข้าวเช้าด้วยกันอยู่ดี จนตอนหลังแพรคงชินแล้วก็เลยเลิกตั้งคำถามไปเอง ในขณะที่ผมก็เริ่มชินกับการทานอาหารเช้าแบบเต็มมื้อฝีมือคุณแม่เธอทุกวันเหมือนกัน

แต่แล้วแพรก็มีเรื่องที่ทำให้ผมคาดไม่ถึงจนได้ เมื่อเธอวางกล่องข้าวลงบนโต๊ะด้วยท่าทางที่ดูเหมือนไม่แน่ใจว่าจะส่งให้ผมหรือจะคว้ากลับไปดี พร้อมกับอธิบายว่า

“พอดีพ่อกับแม่เราไม่อยู่บ้าน ไปงานเลี้ยงรุ่นต่างจังหวัดกันทั้งคู่ วันนี้เราเลยต้องลงมือเอง...อาจจะไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ แต่คิดว่าน่าจะพอกินได้อยู่นะ เราก็ไม่ค่อยได้เข้าครัวซะด้วย”

ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ก่อนจะยิ้มเมื่อเปิดกล่องแล้วพบว่า หน้าตาอาหารฝีมือของคนที่ออกตัวว่าไม่ค่อยได้เข้าครัวออกมาดูดีเกินคำว่า ‘น่าจะพอกินได้’ ไปมาก ที่สำคัญคือถึงแม้จะเป็นอาหารง่ายๆ แต่ก็ดูออกว่าคนทำตั้งใจและใส่ใจรายละเอียดไม่น้อย

“งั้นเรากินเลยนะ”

“ฮื่อ” เธอพยักหน้ารับ จับตามองอย่างลุ้นๆ ก่อนที่หน้าจะเจื่อนลงเมื่อผมบ่นเบาๆ หลังจากทานไปได้สองสามคำว่า

“ไม่ดีเลย”

“แย่ขนาดนั้นเลยเหรอ” เจ้าของข้าวกล่องพึมพำ นัยน์ตาตก ท่าทางผิดหวังจนเหมือนอยากจะคว้ากล่องคืน แต่ผมยึดไว้ได้ทัน ก่อนจะแก้ไขความเข้าใจผิดว่า

“ใครบอกล่ะ ที่ไม่ดีก็เพราะว่าแพรทำอร่อย เราก็ต้องกินให้หมดน่ะสิ ไม่งั้นเสียดายแย่ แต่ถ้าเรากินหมดนี่คงอิ่มจนจุกไปถึงมื้อกลางวันแน่เลย”

แพรชะงักจากความพยายามที่จะดึงกล่องข้าวคืน อ้าปากค้างอยู่พักใหญ่กว่าจะหาเสียงตัวเองเจอ “ธีบ้า! นี่แกล้งกันเหรอ”

...อ้าว เป็นงั้นไป

“ไม่ได้แกล้ง เราแค่ยังพูดไม่จบ แพรก็สรุปไปเองแล้วนี่นา” ผมกลั้นยิ้ม...แค่แหย่เล่นนิดหน่อยนี่ไม่นับใช่ไหมครับ

“ก็แล้วทำไมไม่พูดให้จบตั้งแต่แรกเล่า” คนช่างสรุปขว้างค้อนมาวงโต ท่าทางโมโหปนโล่งใจ ไม่วายบ่นงุบงิบว่า “ได้ยินแค่นั้นเราก็นึกว่ามันแย่มากจนกินไม่ได้น่ะสิ”

“ไม่เลย เราว่าอร่อยมาก” ผมยืนยัน ถึงฝีมือแพรจะยังสู้คุณแม่ของเธอไม่ได้ (ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเมื่อเทียบจากประสบการณ์) แต่ก็อร่อยกว่าจะเรียกว่าแค่พอกินได้แน่ๆ (นี่ผมไม่ได้ลำเอียงเพราะเห็นว่าเธอตั้งใจทำมาให้นะครับ ถึงแม้ว่าเรื่องนั้นจะทำให้ผมรู้สึกว่ามื้อเช้าวันนี้พิเศษกว่าทุกๆ วันก็ตามที)

แวบหนึ่งที่ผมคิดไปว่าถ้ามีสักวันที่เรื่อง ‘พิเศษ’ แบบนี้กลายเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตผมขึ้นมาจริงๆ จะเป็นยังไง แต่กว่าจะถึงวันนั้น ผมคงต้องทำให้เธอรู้ตัวและยอมรับความรู้สึกบางอย่างให้ได้เสียก่อน แล้วก็ดูท่าทางว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานด้วยสิครับ...


หลังกลับมาจากเข้าประชุมกับคณะผู้บริหารในช่วงเช้า ผมก็แวะบอกแพรให้ช่วยเรียกประชุมแผนกในตอนบ่าย ก่อนจะเข้าห้องทำงานแล้วเริ่มต้นศึกษาแฟ้มข้อมูลที่เพิ่งได้มาอย่างละเอียด เพราะงานที่ได้รับมอบหมายคราวนี้ถือว่าหนักกว่าทุกงานที่ผ่านมา

Hong Kong Corporations หรือที่เรียกย่อๆ ว่าเอชเคซี เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่จากฮ่องกงที่ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จำหน่ายไปทั่วโลก โดยเฉพาะยุโรป อเมริกา และจีน กำลังมีแผนที่จะขยายฐานการผลิตมาที่ประเทศไทย เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดที่มีความต้องการสูงขึ้นทุกวัน และบริษัทของผม (หรือจะพูดให้ถูกก็คือของคุณวิชัย) ก็ได้เสนอตัวเข้าเป็นผู้ร่วมทุนกับเอชเคซีในประเทศไทย ซึ่งก็แน่นอนครับว่าโอกาสที่จะได้ร่วมงานกับบริษัทระดับนี้คงไม่ได้มีแต่บริษัทผมเท่านั้นที่ต้องการ

“ในส่วนของนโยบายการลงทุนเป็นเรื่องของผู้บริหารที่จะตัดสินใจ แต่หน้าที่ของเราก็คือการเจรจา ยื่นข้อเสนอเพื่อให้เอชเคซีเลือกร่วมทุนกับทีพีกรุ๊ปของเรา” ผมสรุปในห้องประชุมบ่ายวันนั้น ก่อนจะเริ่มแบ่งหน้าที่ “ผมขอให้คุณทศภาคย์มาช่วยผมในโปรเจกต์นี้นะครับ เพราะว่าคุณเคยมีประสบการณ์ทำงานกับลูกค้าประเภทนี้มาก่อน ส่วนลูกค้าที่คุณดูอยู่ตอนนี้ให้คุณพินิจช่วยรับบางส่วนไปดูแทนทีนะครับ”

และก่อนที่จะเลิกประชุม ผมก็ไม่ลืมย้ำกับลูกทีมคนอื่นว่า “ถึงเอชเคซีจะเป็นโปรเจกต์ใหญ่ แต่ผมถือว่าทุกงานมีความสำคัญเท่ากัน...ขอให้ทุกคนทำงานในส่วนของตัวเองให้เต็มที่ ถ้ามีปัญหาอะไรก็มาปรึกษาผมได้เหมือนเดิม ขอบคุณครับ”

ทุกคนทยอยกันออกจากห้องประชุม ยกเว้นคนที่ผมเรียกไว้เพื่อส่งแฟ้มเอกสารให้ กับแพรที่กำลังรวบรวมเอกสารเกี่ยวการประชุมที่เพิ่งจบไปอยู่ไม่ไกล

“เรามีเวลาเตรียมตัวประมาณหนึ่งเดือนก่อนที่จะต้องไปคุยกับตัวแทนของเอชเคซี ข้อมูลเบื้องต้นอยู่ในนี้แล้ว ฝากคุณไปศึกษามา แล้วเดี๋ยวเรามาคุยรายละเอียดกันอีกที”

“งานหนักเลยนะครับเนี่ย แต่ก็ท้าทายดี โอกาสได้ร่วมงานกับบริษัทชื่อดังแบบนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆ ซะด้วย” ทศภาคย์ยิ้มกว้าง เขาเป็นคนที่ดูอารมณ์ดีอยู่เสมอ เมื่อรวมกับความสามารถและทัศนคติที่ดีในการทำงาน (เท่าที่ผมอ่านจากประวัติและสังเกตด้วยตัวเอง) ก็ทำให้ผมค่อนข้างมั่นใจว่าเลือกคนทำงานได้ไม่ผิด

“ที่จริงคุณธีก็มีผู้ช่วยฝีมือดีอยู่แล้ว ทำไมไม่ให้มาทำโปรเจกต์นี้ด้วยกันล่ะครับ” จู่ๆ เขาก็ถามกึ่งเสนอขึ้นมายิ้มๆ พยักหน้าไปทางคุณเลขาของผมที่เก็บเอกสารเข้าแฟ้มเสร็จเรียบร้อยพอดีเหมือนจะบอกว่าเป็นคนที่เขาหมายถึง

“คุณแพรเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของผม ต้องดูทุกโปรเจกต์อยู่แล้วครับ แต่งานนี้ผมเห็นว่าคุณมีประสบการณ์มากกว่า ก็เลยอยากให้คุณมาช่วยเป็นหลัก ส่วนคุณแพรคอยเสริมกับช่วยประสานงานแทน” ผมอธิบายตามเหตุผลที่คิดไว้ คนฟังพยักหน้ารับเป็นเชิงเข้าใจ ก่อนบอกต่ออย่างอารมณ์ดีด้วยท่าทีที่ทำให้ผมชักจะเริ่มสะดุดหูและสะดุดตาว่า

“อย่างนี้นี่เอง...ที่ถามนี่ไม่ใช่ว่าผมจะมีปัญหาหรอกนะครับ ผมโอเคอยู่แล้ว ได้ทำงานกับแพรก็ยิ่งดีเลย รายนี้เก่ง ทำงานด้วยกันง่าย”

“ชมกันขนาดนี้ หวังจะให้แพรยกความดีความชอบว่าเพราะพี่ทศสอนมาดีหรือเปล่าคะเนี่ย” คนที่เพิ่งเดินเข้ามาร่วมวงเอ่ยเสียงใส ก่อนจะหัวเราะขำเมื่อทศภาคย์ทำท่าร้อนตัว

“เฮ่ย เราก็พูดไปเรื่อย เดี๋ยวคุณธีก็เข้าใจผิดว่าพี่เป็นพวกชอบทวงบุญคุณกันพอดี” เขาว่า แล้วหันมาอธิบายให้ผมที่ยืนกอดอกฟังอย่างสนใจ “คือผมเป็นคนเทรนงานให้ยัยแพรตอนเข้ามาทำงานที่นี่ใหม่ๆ น่ะครับ ก็เลยรู้ฝีมือกันดี”

“อ้อ ครับ” ผมรับคำเนิบๆ ด้วยสีหน้านิ่งๆ แบบเดิม อีกฝ่ายเลิกคิ้ว มองผมสลับกับแพรก่อนจะยิ้มกว้างเหมือนเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง

“ผมว่าผมขอตัวก่อนดีกว่า จะได้รีบไปเคลียร์งานด้วย” แต่ก่อนจะแยกตัวจากไป ทศภาคย์ก็หันไปบอกกับคนที่ยืนฟังตาแป๋วอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับใครเขาว่า “พี่ไปก่อนนะแพร...เออ พี่ฝ้ายเขาบ่นคิดถึงเรากับพวกยัยมิ้มยัยหลินมากเลย เอาไว้ว่างๆ นัดกินข้าวกันนะ ชวนคุณธีไปด้วยกันก็ได้”

“ได้ค่ะ พี่ทศนัดวันมาก็แล้วกัน แล้วพาน้องใยไหมมาด้วยนะ แพรก็คิดถึงเหมือนกัน” เธอตอบรับอย่างร่าเริง ถึงจะเหลือบมองมาทางผมเหมือนไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ (ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าเธอไม่แน่ใจอะไร ระหว่างสงสัยว่าชวนผมไปด้วยทำไม กับชวนแล้วผมจะไปหรือเปล่า) เรียกเสียงหัวเราะหึๆ กับอาการส่ายหน้าเบาๆ จากคนชวน ก่อนที่เขาจะเดินออกไป

พอในห้องเหลือกันสองคน ผมก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบสนิทไม่แสดงอารมณ์ ถึงแม้ในใจจะรู้ตัวว่าไม่ได้นิ่งเหมือนกับสีหน้าเท่าไหร่นัก (ถ้าจะให้อธิบายก็คงคล้ายๆ กับวันที่แพรทำท่าตื่นเต้นดีใจกับซีดีนักร้องคนโปรดที่ผมให้ยืมนั่นแหละครับ เพียงแต่ความรู้สึก ‘ขวางๆ’ ในวันนี้ของผมมีมากกว่าวันนั้นหลายเท่า)

“ท่าทางสนิทกันมากเลยนะ...แพรกับคุณทศ”

“ฮื่อ ใช่” แพรพยักหน้ารับทันควันจนผมเกือบชะงัก แต่เธอคงไม่ทันสังเกตเพราะมัวแต่ก้มเก็บรวบแฟ้มขึ้นมาถือ ก่อนจะขยายความด้วยประโยคที่ทำให้ความเข้าใจของผมเริ่มปรากฏว่า “แต่ก็สนิทกันหมดนะ ยัยมิ้มกับยัยหลินก็ด้วย เพราะตอนเข้ามาทำงานก็โดนพี่ทศเทรนกันมาหมดทุกคนนั่นแหละ อีกอย่างพี่ฝ้าย...แฟนพี่ทศก็เป็นรุ่นพี่ที่คณะเราเอง”

“แล้ว...น้องใยไหม...” ผมนึกถึงอีกชื่อที่เพิ่งได้ยินเมื่อครู่ แล้วคำตอบที่ได้ก็ไม่ผิดจากที่คิด

“ก็ลูกพี่ทศกับพี่ฝ้ายไง” เธอตอบอย่างที่ผมนึกเดาเอาไว้จริงๆ ก่อนจะหันมาถามเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า “ว่าแต่ธีกับพี่ทศไปสนิทกันตอนไหนเหรอ ถึงได้ชวนไปกินข้าวด้วยเนี่ย”

“ตอนนี้ยังไม่ค่อยสนิท แต่คุณทศคงเห็นว่าอีกหน่อยน่าจะสนิทกันมากขึ้นมั้งก็เลยชวนไว้...เอาเป็นว่าถ้าเขานัดมาเมื่อไหร่ แพรก็บอกเราด้วยแล้วกัน ถ้าว่างเราจะไปด้วย” ผมบอกเรียบๆ แต่ตั้งใจหมายความตามนั้นทุกคำ คิดว่าคนชวนก็คงพอจะเดาได้เหมือนกัน ถึงได้ชวนล่วงหน้าไว้แบบนั้น มีแต่คนกลางนั่นแหละครับที่ไม่รู้อะไรกับใครเขาอีกตามเคย


หลังจากศึกษาข้อมูลเบื้องต้นของเอชเคซีและร่วมกันวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดที่ทางนั้นต้องการขยายเพื่อนำมาประกอบในการเจรจาแล้ว ผมก็ให้แพรประสานงานไปที่โรงงานของบริษัทที่อยุธยาเพื่อขอเข้าไปดูงาน เนื่องจากทางเอชเคซีอาจจะต้องการข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับมาตรฐานของโรงงานที่จะใช้เป็นฐานการผลิตด้วย ซึ่งคนที่จะเดินทางไปก็มีผม แพร และพี่ทศ (ทำงานด้วยกันได้ไม่นาน เขาก็บอกให้ผมเรียกเขาว่าพี่ทศเหมือนแพรได้เลย แน่นอนครับว่าผมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว)

ความจริงคุณเลขาของผมเคยบอกไว้แล้วว่าเวลาออกไปดูงานนอกสถานที่ เราสามารถขอใช้รถพร้อมคนขับของบริษัทได้ แต่ผมเห็นว่าไปกันแค่สามคน ถ้าต้องเอารถตู้ออกก็ดูจะเป็นการสิ้นเปลืองเกินไป เลยเสนอให้นั่งรถผมไปด้วยกันแทน หลังจากถามจนแน่ใจแล้วว่าพี่ทศที่เคยไปโรงงานมาก่อนยังจำเส้นทางได้อยู่

พอเดินมาถึงรถ พี่ทศก็เปิดประตูด้านหลังขึ้นไปนั่งทันที ก่อนจะยื่นหน้ามาบอกกับแพรที่ชะงักค้างอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับว่า

“แพรไปนั่งข้างหน้ากับคุณธีโน่น เดี๋ยวพี่นั่งข้างหลังเอง”

“ก็ไหนพี่ทศว่าจะคอยบอกทางให้คุณธีไง ทำไมไปนั่งตรงนั้นล่ะ” เธอประท้วงหน้าตาตื่น ขณะที่คนที่ขึ้นไปยึดที่นั่งได้เรียบร้อยแล้วตอบกลับอย่างไม่สนใจว่า

“นั่งตรงไหนพี่ก็บอกทางได้น่า...ถ้าพี่ไปนั่งข้างหน้ากับคุณธีก็กลายเป็นคนขับรถให้เราไปน่ะสิ อีกอย่างข้างหลังนี่ก็กว้าง นั่งสบายกว่ากันตั้งเยอะ”

“โหย เหตุผลแต่ละอย่างนี่นะ เดี๋ยวแพรจะฟ้องพี่ฝ้ายว่าพี่ทศแกล้ง” แพรบ่นค้อนๆ แต่ก็ยอมขึ้นมานั่งข้างผมแต่โดยดี พี่ทศอาศัยจังหวะนั้นส่งยิ้มกว้างให้ผมที่หันไปมองอย่างขอบคุณ

...มีผู้ช่วยก็ดีอย่างนี้นี่เอง

อันที่จริงผมก็ไม่เคยขอให้พี่ทศช่วยเรื่องแพรหรอกนะครับ ตอนแรกออกจะรู้สึกเกร็งนิดๆ เหมือนถูกจับตามองอย่างพิจารณาด้วยซ้ำ (บางทีผมก็คิดว่าพี่ทศนี่เหมือนเป็นพี่ชายของแพรจริงๆ) แต่ผมก็เลือกที่จะทำตัวปกติอย่างที่เคยเป็น...ไม่ได้ปิดบังความรู้สึกของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยจนอาจจะทำให้เธอถูกมองไปในทางไม่ดี หลังจากผ่านไประยะหนึ่งจนเขาบอกให้ผมเปลี่ยนมาเรียกว่า ‘พี่ทศ’ นั่นแหละครับ ที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าได้รับ ‘ไฟเขียว’ กลายๆ ไปด้วย

“เลี้ยวขวาข้างหน้าแล้วก็ขับตรงไปเรื่อยๆ เลยครับคุณธี เห็นป้ายโรงงานนั่นมั้ยครับ เดี๋ยวเราเอารถไปจอดตรงนั้นก็ได้” เสียงพี่ทศบอกมาจากที่นั่งด้านหลัง ก่อนที่เขาจะหันไปถามแพรต่อว่า “แล้วนี่คนที่เราติดต่อไว้เขาได้บอกหรือเปล่าว่าจะรออยู่ตรงไหนน่ะยัยแพร”

“ที่ออฟฟิศของโรงงานค่ะ” คนข้างๆ ผมตอบ ขณะที่ผมเลี้ยวรถตามคำบอกของพี่ทศไปจอดลงตรงหน้าอาคารที่น่าจะเป็นออฟฟิศของโรงงานซึ่งเป็นที่นัดหมาย และตรงนั้นก็มีผู้ชายร่างสูงคนหนึ่งยืนรออยู่แล้ว

“สวัสดีครับ คุณธีศิษฏ์ คุณทศภาคย์ กับคุณศรีอาภาใช่มั้ยครับ ผม...วิชญ์ เป็นรองหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการของที่นี่” ชายหนุ่มคนนั้นทักทายและแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร “วันนี้ผมจะพาพวกคุณไปเยี่ยมชมโรงงานของเรา...อาจจะไม่ได้เข้าไปถึงข้างในสายการผลิตนะครับ เพราะว่ามันค่อนข้างจะมีหลายขั้นตอน แต่ถ้ามีข้อสงสัยอะไรก็ถามผมได้เลย”

“ขอบคุณครับ ทางผมก็ต้องขอรบกวนด้วย” ผมยิ้มตอบ ค้อมศีรษะนิดๆ เป็นเชิงบอกให้เขานำทางไปได้เลย ระหว่างนั้นคุณวิชญ์ก็อธิบายให้ฟังว่านอกจากจะผลิตชิ้นส่วนประเภทแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ส่งขายให้กับโรงงานประกอบอุปกรณ์สื่อสารหลายแห่งแล้ว ฝ่ายวิจัยของโรงงานก็มีแผนที่จะขยายงานด้านการประกอบสินค้าเองด้วยเช่นกัน

“ถ้าได้มีการร่วมทุนกับเอชเคซีจริงๆ ก็จะเป็นผลดีกับทางเรามากเลยครับ ที่จะมีโอกาสได้ศึกษาเทคโนโลยีการผลิตของบริษัทเขาเพื่อเอามาพัฒนาโครงการต่อไปของเรา เพราะต้องยอมรับว่าเอชเคซีอยู่ในวงการนี้มานาน แล้วยังก้าวนำหน้าเราไปถึงระดับโลกแล้วด้วย”

“เท่าที่ผมทราบ ทางผู้บริหารเองก็เห็นข้อดีในจุดนี้เหมือนกันครับ ถึงได้เสนอให้มีการร่วมทุนเกิดขึ้น” ผมตอบรับอย่างเห็นด้วย หลังจากช่วยกันซักถามอีกหลายประเด็นแล้วก็พบว่าเขาตอบคำถามได้อย่างไม่ติดขัด บ่งบอกว่ามีความรู้เกี่ยวกับงานที่ทำและเตรียมตัวมาดีทีเดียว

ตลอดช่วงเวลาที่เดินดูส่วนต่างๆ ในโรงงาน ผมก็เริ่มสังเกตเห็นว่าสายตาของคุณวิชญ์แวะเวียนไปทางแพรอย่างสนใจอยู่หลายครั้ง ถึงแม้ว่าดูเหมือนจะยังไม่มีจังหวะให้ได้เข้าไปพูดคุยอะไรกันมากนัก เพราะเขาต้องเดินนำอยู่ข้างหน้ากับผม ขณะที่แพรกับพี่ทศเดินตามมาด้านหลัง

จนกระทั่งเข้าไปในส่วนของการผลิตที่คุณวิชญ์บอกว่าต้องมีการระวังเรื่องฝุ่นค่อนข้างมาก เนื่องจากการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เป็นงานที่ต้องการความละเอียดสูง การมีฝุ่นมาเกาะที่ชิ้นงานเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้เกิดความเสียหายอย่างมากได้ ดังนั้นถึงจะไม่ได้เข้าไปด้านในพื้นที่การผลิต เขาก็ยังเตรียมชุดคลุมกับหมวกคลุมกันฝุ่นไว้ให้ด้วย

“เดี๋ยวรบกวนทุกคนสวมเสื้อคลุมกับหมวกแล้วเดินผ่านเครื่องเป่าอากาศตรงนั้นนะครับ ผมจะพาเข้าไปดูข้างในผ่านกระจกจากตรงทางเดิน” เจ้าของสถานที่บอก ยื่นชุดที่เตรียมไว้มาให้สวมทับชุดที่ใส่อยู่ ก่อนจะเดินนำผ่านเครื่องเป่าอากาศที่จะเป่าฝุ่นออกจากเสื้อผ้าและร่างกาย

ผมเหลือบมองคนที่เดินตามหลังเข้ามา ลมที่พัดออกจากเครื่องเมื่อครู่นี้ค่อนข้างแรง ทำให้หมวกคลุมผมของแพรเลื่อน ปล่อยผมบางส่วนที่ตอนแรกรวบไว้เรียบร้อยหลุดออกมาระข้างแก้ม และก่อนที่ผมจะรู้ตัว (หรืออาจเป็นการสั่งการจากจิตใต้สำนึกของสมอง) ผมก็เอื้อมมือไปจับหมวกคลุมผมของเธอให้เข้าที่แล้วบอกเบาๆ ว่า

“ระวังหน่อยแพร เมื่อกี้คุณวิชญ์ก็บอกแล้วไงว่าในนี้เขาระวังเรื่องฝุ่นมาก”

“อ๋อ...เอ่อ...ใช่ ขอโทษค่ะ” แพรชะงัก ก่อนจะยืนนิ่งค้างเหมือนถูกแช่แข็งเมื่อมือผมที่เลื่อนไปจับขอบหมวกเฉียดผ่านแก้มเธอไปนิดเดียว ตากลมโตเบิกกว้างอย่างตกใจปนคาดไม่ถึง จนกระทั่งผมปล่อยมือแล้วถอยออกห่าง เธอถึงได้พึมพำขอบคุณเบาๆ ด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีชมพูจางๆ

“ไม่เป็นไรครับ” ผมยิ้มนิดๆ ตอบเธอ ก่อนจะหันไปทางคนที่ยืนรออยู่ “ไปกันต่อเลยไหมครับ คุณวิชญ์”

“ครับ เชิญทางนี้” ถึงแม้จะมีท่าทีแปลกใจกับภาพที่เห็น แต่เขาก็ดูเก็บอาการได้ดี ในขณะที่พี่ทศยิ้มกริ่ม มองผมกับแพรสลับกับคุณวิชญ์อย่างรู้ทัน ก่อนจะยอมกลับมาสวมมาดจริงจังเหมือนเดิม เมื่อผมดึงประเด็นกลับเข้าสู่เรื่องงานอีกครั้ง

“ถามได้ไหมครับว่าตามโครงการที่วางไว้ บริษัทมีแผนที่จะผลิตสินค้าใหม่ประเภทไหน”

“ได้ครับ แต่ผมอาจจะตอบได้ไม่ละเอียดเท่ากับฝ่ายวิจัยนะครับ เพราะว่าตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนากันอยู่เลย” คุณวิชญ์ตอบ แล้วเริ่มต้นอธิบายรายละเอียดเท่าที่บอกได้ จนกระทั่งจบการเยี่ยมชมโรงงานด้วยการกลับมาฟังสรุปและซักถามกันที่ห้องประชุมของออฟฟิศ โดยมีเจ้าหน้าที่จากฝ่ายอื่นส่งตัวแทนมาเข้าร่วมด้วย กว่าจะเสร็จสิ้นทุกอย่างก็ล่วงเข้าเวลาบ่าย ก่อนที่ฝ่ายเจ้าของสถานที่จะออกปากเชิญยิ้มๆ ว่า

"ขอเชิญทุกคนทานข้าวกลางวันด้วยกันก่อนนะครับ ผมจองร้านอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว”


ร้านอาหารที่คุณวิชญ์เลือกตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้ได้รับลมเย็นๆ จากแม่น้ำมาลดความร้อนอบอ้าวของอากาศยามบ่ายได้เป็นอย่างดี โดยที่หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มมีท่าทางตื่นเต้นเมื่อมองไปเห็นโบราณสถานที่อยู่ไกลออกไปอีกฟากของแม่น้ำ

“นั่นวัดไชยวัฒนารามครับ” คนที่เดินนำหน้ามาที่โต๊ะตรงริมระเบียงบอก เมื่อสังเกตเห็นความสนใจของแพร “ถ้ามาตอนค่ำๆ จะมีการส่องไฟชมโบราณสถานด้วย สวยดีเหมือนกัน...ว่าแต่คุณศรีอาภาสนใจพวกวัดโบราณด้วยเหรอครับ”

“ก็เคยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์สมัยอยุธยามาบ้างน่ะค่ะ แต่เพิ่งได้มาเห็นของจริงวันนี้เอง” เธอตอบด้วยรอยยิ้มสดใส จนผมที่ลดฝีเท้าลงมาเดินใกล้ๆ อดถามเบาๆ พอให้ได้ยินกันสองคนไม่ได้ว่า

“หนังสือประวัติศาสตร์หรือว่านิยายอิงประวัติศาสตร์กันแน่น่ะแพร” จากที่รู้จักกันมาผมเดาว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่านะครับ และอาการค้อนเล็กๆ ของคนฟังก็ทำให้ผมคิดว่าตัวเองน่าจะเดาถูกซะด้วย

“มันก็คล้ายๆ กันนั่นแหละ” เธอโต้กลับได้เท่านั้นก็ต้องหยุด เมื่อพี่ทศที่เดินแซงหน้าไปหันมาเลิกคิ้วถามขัดจังหวะขึ้นว่า

“สองคนนั้นมัวแต่คุยอะไรกัน โต๊ะอยู่ทางนี้” ว่าแล้วเขาก็นั่งลงข้างคุณวิชญ์ที่เดินมาถึงโต๊ะเป็นคนแรก เท่ากับเหลือที่นั่งฝั่งตรงข้ามที่หันออกไปทางแม่น้ำให้ผมกับแพร ก่อนจะบอกมาหน้าตาเฉยว่า

“เรานั่งตรงนั้นก็แล้วกันยัยแพร จะได้ชมวิววัดวาอารามของเราไปตามสบาย”

...พี่ทศนี่หาจังหวะช่วยได้ตลอดจริงๆ

เนื่องจากคุณวิชญ์บอกว่าร้านนี้เป็นร้านเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงว่าทำอาหารไทยได้อร่อยมาก ดังนั้นนอกจากกุ้งแม่น้ำเผาที่เป็นอาหารขึ้นชื่อแล้ว เขายังเลือกสั่งอาหารจานเด่นๆ มาอีกหลายอย่างที่พี่ทศซึ่งจัดตัวเองว่าเป็นนักชิมตัวยงคนหนึ่งยังถึงกับยกนิ้วให้

“จานนั้นพริกเยอะนะ ระวังเผ็ด” เสียงแพรเตือนมาเบาๆ เมื่อเห็นผมเอื้อมมือไปตักยำสมุนไพร ก่อนที่เธอจะชะงักไปนิดหนึ่งเหมือนรู้ตัวว่าเผลอหลุดปาก ในขณะที่ผมอมยิ้มเพราะไม่คิดว่าเธอจะสังเกตเห็นด้วย

“ครับผม จะระวังนะ”

ครั้งนี้คุณวิชญ์ไม่มีท่าทีแปลกใจ แต่ดูเหมือนคนที่สงสัยอะไรบางอย่างแล้วได้รับการเฉลยเสียทีมากกว่า เมื่อเขายิ้มบางๆ เอ่ยถามกึ่งขอโทษมาว่า

“คุณธีศิษฏ์ไม่ค่อยทานเผ็ดเหรอครับ ผมก็ไม่ทันได้ถามก่อน สั่งอาหารเผ็ดๆ มาหลายอย่างเลย”

“ถ้าเผ็ดประมาณนี้ก็ทานได้ครับ ไม่มีปัญหา”

อันที่จริงผมก็ทานอาหารเผ็ดได้มาตลอดนั่นแหละครับ จนมีอยู่วันหนึ่งที่ตามแพรไปทานข้าวกับคุณมิ้มคุณหลินเหมือนเคย แล้วใครสักคน (น่าจะเป็นคุณหลิน) สั่งส้มตำเผ็ดพิเศษมาทาน ผมเองไม่รู้มาก่อนก็เลยตักไปเต็มๆ ตั้งแต่นั้นมาแพรก็เลยคอยระวังไม่ยอมให้ผมทานอาหารรสจัดเกินไปอีก

ก่อนจะแยกจากกันหลังจบมื้ออาหาร ผมกับพี่ทศและคุณวิชญ์ก็ได้แลกนามบัตรกัน พร้อมกับที่เขาบอกว่าจะส่งข้อมูลที่ผมขอเพิ่มเติมไว้มาให้ทางอีเมล์ และไม่ลืมอวยพรส่งท้ายว่า

“ขอให้โชคดีในการเจรจากับเอชเคซีนะครับ แล้วผมจะรอฟังข่าวดี”

“ขอบคุณครับ ผมก็จะพยายามให้เต็มที่” ...จะว่าไปเขาก็เป็นคนน่าคบดีทีเดียวนะครับ คุณวิชญ์คนนี้

“เดี๋ยวคุณธีช่วยแวะเข้าไปในตลาดก่อนได้ไหมครับ พอดีที่บ้านฝากซื้อพวกขนมไทยกับสายไหมกลับไปด้วย เมื่อกี้ผมถามทางจากคุณวิชญ์มาแล้ว” พี่ทศชะโงกหน้ามาบอกทันทีที่ขึ้นรถ พลอยทำให้คนข้างๆ ผมหันมาสนับสนุนด้วยอีกคน

“ดีเลยค่ะ แพรก็ว่าจะซื้อขนมไปฝากยัยหลินกับคนอื่นๆ อยู่เหมือนกัน ขืนกลับไปมือเปล่าได้โดนงอนยกแผนกแน่ๆ”

“ได้ครับ พี่ทศบอกทางมาก็แล้วกัน” ผมตอบ ก่อนจะขับรถไปตามทางที่พี่ทศคอยบอกจนถึงร้านขนมไทยเจ้าดังกับร้านโรตีสายไหมที่เรียกได้ว่าเป็นของฝากประจำจังหวัดอยุธยาไปแล้ว พี่ทศแยกตัวไปที่ร้านขนมไทยก่อนเพราะดูเหมือนว่าจะได้รับรายการคำสั่งมาหลายอย่าง ขณะที่ผมกับแพรมุ่งหน้ามาที่ร้านโรตีสายไหมที่กำลังไม่มีลูกค้าพอดี ทำให้ไม่ต้องเสียเวลารอคิว

“เราจ่ายให้เอง” ผมรวบถุงขนมที่แพรเลือกไว้เป็นของฝากให้คนอื่นๆ ในแผนกส่งให้คนขายคิดเงิน ก่อนที่เธอจะอุทาน ทำท่าเหมือนจะดึงถุงขนมบางส่วนคืน

“อ๊ะ ถุงนั้นไม่ต้อง...เราจะซื้อไปฝากที่บ้าน”

“ไม่เป็นไร คิดรวมกันไปเลยก็ได้ ถือว่าเราซื้อไปฝากคุณพ่อคุณแม่แพรก็แล้วกัน” ผมตอบเรื่อยๆ เหมือนไม่คิดอะไรมาก แต่คนฟังกลับขมวดคิ้วยุ่ง

“แล้วทำไมธีจะต้องซื้อขนมไปฝากพ่อแม่เราด้วยล่ะ”

ยังไม่ทันที่ผมจะตอบคำถาม คุณป้าคนขายที่ดูเหมือนจะอยากขายของเต็มทีแล้วก็เอ่ยแทรกขึ้นมาตามความเข้าใจเสียก่อน

“ถ้าพ่อหนุ่มเขาอยากจะซื้อของไปฝากคุณพ่อคุณแม่ก็ปล่อยให้เขาซื้อไปเถอะหนู มีของติดไม้ติดมือไปไหว้ ท่านจะได้เอ็นดู”

“ไม่ใช่นะคะ...คือว่า...” แพรอ้าปากค้างเมื่อเข้าใจความหมายของคุณป้า แต่พอจะอธิบายก็ไม่ทันอีกฝ่ายที่ส่งถุงขนมมาให้ผม พร้อมกับบอกอย่างใจดีว่า

“ป้าแถมถุงเล็กให้ถุงนึง เผื่อเอาไว้กินบนรถกันนะ”

“ขอบคุณครับ งั้นผมซื้อเพิ่มอีกสองถุง คุณป้าจะได้ไม่ต้องทอน” ผมยิ้มกว้างตอบ ทำให้คุณป้ายิ้มปลื้มจนแถมขนมมาให้อีกหนึ่งถุงเล็ก แล้วพอพี่ทศตามมาสมทบก็เลยพลอยได้รับลดแลกแจกแถมไปด้วยอีกคน

“ซื้อเยอะไปมั้ยเนี่ย อย่างกับเหมาร้านเค้ามางั้นแหละ” แพรพึมพำเบาๆ เมื่อเห็นผมหิ้วถุงสายไหมมาเต็มสองมือ

“ถ้าเยอะเกินเดี๋ยวแบ่งไปให้ฝ่ายพี่สาลี่บ้างก็ได้” ผมตอบอย่างไม่เดือดร้อน ก่อนจะเสริมยิ้มๆ ด้วยประโยคที่ทำให้เธอหันมาทำตาคว่ำใส่ว่า “แต่แพรอย่าลืมบอกคุณพ่อคุณแม่ก็แล้วกันว่าเราฝากขนมไปให้ เผื่อเวลาเจอกันท่านจะได้เอ็นดูเราบ้าง”

“ธี! ยังจะพูดเล่นตามป้าเค้าอยู่อีก”

“ครับผม ไม่เล่นแล้วก็ได้” ผมรับคำเหมือนยอมแพ้ เห็นแพรเหลือบมองมาด้วยท่าทางวางใจขึ้นนิดหน่อยแล้วก็ได้แต่กลั้นยิ้ม...ดูเหมือนว่าเธอจะลืมไปแล้วว่าผมเป็นพวกชอบตีความตามตัวอักษร

...ถ้าผมเอาจริงแล้วคิดจะมาปฏิเสธกันทีหลังก็ไม่ทันแล้วนะครับ...คุณศรีอาภา


“อ้าว พี่ทศไปไหนแล้วล่ะ”

แพรที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาในห้องประชุมเล็กที่พวกผมใช้เป็นที่ทำงานในโปรเจกต์เอชเคซีถามอย่างแปลกใจ หลังจากที่เธอขอตัวไปเอาแฟ้มเอกสารที่ลืมไว้ที่โต๊ะทำงานแล้วกลับมาพบว่าเหลือผมนั่งอยู่ที่โต๊ะกลางห้องเพียงคนเดียว

“เพิ่งกลับไปเมื่อกี้นี้เอง ที่บ้านโทรมาบอกว่าน้องใยไหมมีไข้นิดหน่อย พี่ทศก็เลยจะรีบกลับไปดูอาการ” ผมตอบโดยที่มือยังไม่หยุดพิมพ์คอมพิวเตอร์ตรงหน้า “เราเห็นว่าข้อมูลส่วนของพี่ทศสรุปไว้ดีแล้ว ที่เหลือคงพอจะช่วยกันทำต่อได้ ก็เลยให้พี่ทศกลับไปก่อนได้เลย”

“งั้นเดี๋ยวเราทำเอกสารประกอบตรงนี้เสร็จแล้วจะไปช่วยดูส่วนของพี่ทศต่อให้นะ” เธอว่า ก่อนจะหันไปทำงานส่วนของตัวเอง นานร่วมชั่วโมงที่เราต่างคนต่างก้มหน้าก้มตาทำงาน จนกระทั่งแพรเสร็จงานในส่วนของเธอแล้วส่งมาให้ผมตรวจสอบอีกรอบ

“โอเคแล้วล่ะ แต่ถ้าปรับตารางตรงนี้เป็นกราฟน่าจะทำให้เห็นแนวโน้มได้ชัดเจนกว่า” ผมใช้ด้ามปากกาชี้ตรงตารางที่ว่า เธอมองตามแล้วก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย

“จริงด้วย สมกับเป็นธีจริงๆ มองแป๊บเดียวก็วิเคราะห์ได้หมดเลย”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” ผมอมยิ้ม มองคนที่เอ่ยชมกันทั้งปากและตา ที่คงจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าท่ามกลางความเคร่งเครียดของการทำงานในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้...มีแค่เวลาที่ได้เห็นรอยยิ้มของเธอเท่านั้นที่ทำให้ผมพอจะยิ้มได้บ้าง เพราะถึงจะเคยมีประสบการณ์ผ่านงานที่ยากและท้าทายมาแล้วหลายครั้งตอนอยู่ที่ทำงานเก่า แต่สำหรับโปรเจกต์นี้ที่เป็นงานใหญ่ชิ้นแรกของผมที่นี่ เมื่อรวมกับความคาดหวังจากหลายๆ ฝ่าย ก็เรียกได้ว่าความกดดันทั้งหมดแทบจะมาลงอยู่ที่ผมคนเดียว

ถึงแม้ว่าผมจะไม่มีปัญหากับการรับความกดดันใดๆ เพราะคิดว่าสามารถนำมาเปลี่ยนเป็นความตั้งใจในการทำงานได้เสมอ แต่ก็ต้องยอมรับว่าบางครั้งแรงกดดันจากภายนอกก็ทำให้เกิดความเครียดได้ไม่น้อยเหมือนกัน

“วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน กลับบ้านกันเถอะแพร” ผมวางมือจากงานที่เสร็จเรียบร้อยตามความตั้งใจ หันไปชวนคนข้างตัวที่ปิดคอมพิวเตอร์แล้วเก็บของเดินตามมาอย่างว่าง่าย แต่พอลงมาถึงหน้าตึกก็ต้องพากันชะงักไปทั้งคู่ เมื่อเห็นสายฝนที่โปรยปรายอยู่ภายนอก

“เดี๋ยวเราไปส่งที่บ้านดีกว่า มาเถอะ รถเราจอดทางนี้” ผมตัดสินใจโดยไม่รอฟังความเห็นของแพร เพราะรู้ว่าเธอจะต้องปฏิเสธแน่ๆ และก็เป็นจริงอย่างที่คิด

“เอ่อ...ไม่ต้องก็ได้มั้ง ขอเราติดรถไปลงที่บีทีเอสก็พอ ธีจะได้ไม่ต้องเสียเวลาด้วย”

“จากบีทีเอสแพรก็ต้องไปต่อแท็กซี่กลับบ้านอยู่ดีไม่ใช่เหรอ ฝนตกแบบนี้คงหาแท็กซี่ไม่ได้ง่ายๆ แน่ ส่วนเรื่องเสียเวลา...ถึงยังไงออกไปตอนนี้ก็ต้องเจอรถติดอยู่แล้ว ไปส่งแพรก่อนแค่นี้ก็คงไม่ทำให้เราเสียเวลามากขึ้นเท่าไหร่หรอก”

เจอเหตุผลของผมเข้าไป เธอก็ค้านอะไรไม่ออก ต้องยอมเดินตามผมมาที่รถแต่โดยดี โดยมีรปภ. ที่คุ้นหน้ากันดีวิ่งมาช่วยกางร่มให้

“ขออนุญาตนะครับ” พอขึ้นรถได้ ผมก็หันไปบอกเบาๆ ก่อนจะจัดการถอดเสื้อสูทตัวนอกที่เปียกฝนเล็กน้อยจากตอนที่เดินมาเมื่อครู่นี้ออก ส่วนแพรที่แทบจะไม่โดนฝนเพราะมีผมเดินบังให้ก็เหลือบมองมานิดหนึ่ง ก่อนจะรีบซ่อนสายตาด้วยการก้มหน้าค้นกระเป๋าสะพายอย่างเอาจริงเอาจังจนผมเห็นแล้วอดขำไม่ได้...กระเป๋าก็ใบแค่นั้นจะค้นอะไรนักหนานะครับ

“หาอะไรอยู่เหรอ”

“กุญแจประตูรั้วน่ะ ปกติเราไม่ค่อยได้พกหรอก แต่เวลากลับบ้านค่ำๆ ก็ไม่อยากให้พ่อกับแม่ต้องคอยออกมาเปิดประตูให้ โชคดีที่วันนี้ไม่ลืม” เธอตอบพร้อมกับชูพวงกุญแจประกอบ และจากคำตอบนั้นก็ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าเพราะใกล้จะถึงวันนัดเจรจากับเอชเคซีแล้ว ช่วงนี้ทั้งผม แพร และพี่ทศก็เลยต้องอยู่ทำงานล่วงเวลากันแทบทุกวันเพื่อให้งานออกมาสมบูรณ์ที่สุด แต่ดูเหมือนว่าผมจะไม่เคยถามความรู้สึกของคนรอบตัวเลยสักครั้ง

“เหนื่อยไหมแพร ตั้งแต่มาทำงานกับเราก็ไม่ค่อยจะได้เลิกงานตรงเวลาอยู่แล้ว ช่วงนี้ยิ่งเลิกดึกเกือบทุกวันเลย”

คนถูกถามเอียงคอมองอย่างแปลกใจ “อันนั้นเราน่าจะเป็นคนถามมากกว่านะ ธีทำงานหนักมากกว่าเราตั้งเยอะ ตั้งแต่มีโปรเจกต์เอชเคซีเข้ามาก็เห็นแทบจะไม่ได้หยุดเลย ไม่เหนื่อยบ้างเหรอ”

“เราชินแล้วล่ะ ตั้งแต่ตอนเรียนจนทำงานก็ไม่เคยเจออะไรง่ายๆ เลย” ผมตอบยิ้มๆ พอเห็นเธอทำท่ารอฟังอย่างตั้งใจแล้วก็เลยเผลอตัวเล่าต่อ “ตอนอยู่ที่โน่นก็ต้องทำงานให้ได้ดีมากกว่าหรือเท่ากับเขา เพราะว่าเราเป็นคนเอเชียไง พอกลับมาที่นี่ก็ยังต้องพิสูจน์ตัวเองอีกว่ามีความสามารถมากพอ...ถามว่าเหนื่อยมั้ยก็มีบ้างเหมือนกัน แต่ก็อย่างที่บอกแหละว่าเราชินแล้ว”

แพรพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนจะยิ้มให้อย่างสดใสทั้งปากและตาเมื่อเอ่ยว่า “เราคิดว่าธีเป็นคนมีความสามารถอยู่แล้วนะ อีกอย่างเราก็เห็นว่าธีพยายามมากกว่าคนอื่นขนาดไหน เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเอชเคซีหรือว่าโปรเจกต์อะไร เราก็เชื่อว่าธีต้องทำได้แน่ๆ”

“รู้สึกจะกดดันกว่าเดิมอีกนะเนี่ย” ผมแกล้งว่าปนหัวเราะ ทอดสายตามองคนนั่งข้างอย่างอ่อนโยน “แต่ก็ขอบคุณนะครับสำหรับกำลังใจ”

“ก็ดูเหมือนว่าเราจะช่วยเรื่องงานได้ไม่มากเท่าไหร่นี่นา ที่ทำได้ก็คงมีแค่นี้แหละ” เธอตอบเสียงอ่อย อย่างที่คงจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า ‘เรื่องแค่นี้’ ของเธอนั่นแหละครับคือสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุด

“เรื่องงานน่ะแค่ช่วยอย่างที่ทำอยู่ก็พอแล้ว” ผมบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่อยากให้เธอคิดว่าตัวเองไม่มีความสามารถอะไรขนาดนั้น เพียงแต่สิ่งที่ผมอยากขอจากเธอมีมากกว่าแค่เรื่องงาน (ที่ผมจัดการได้อยู่แล้ว) เท่านั้นเอง ผมเลยบอกต่อด้วยประโยคที่มีแววขอร้องนิดๆ

“แต่ถ้าแพรอยากช่วยเรามากกว่านี้ ก็แค่...เข้ามาชวนเราคุยบ้างเวลาเครียด เตือนเราให้ทานข้าวให้ครบสามมื้อ แล้วก็ให้กำลังใจเราแบบนี้บ่อยๆ ได้ไหม”

“แค่นั้น...นั่นเรียกว่าช่วยแล้วเหรอ” แพรทำหน้างงๆ ปนไม่แน่ใจ ในขณะที่ผมยืนยันแบบไม่ลืมเปิดช่องให้ตัวเองอีกเล็กน้อย

“ตอนนี้ขอแค่นี้ก่อน...ได้ไหมครับ”

“ฮื่อ...ก็ได้” เธอรีบพยักหน้าตกลงเมื่อสบสายตาและน้ำเสียงร้องขอของผมเข้าไป ก่อนจะก้มหน้างุดเหมือนไม่อยากมองนานไปกว่านั้น ทำให้ไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มอย่างสมหวังก่อนที่ผมจะหันกลับไปขับรถต่อ

“ขอบคุณครับแพร”

กว่าจะมาถึงบ้านของแพร ฝนที่ตกพรำๆ มาตลอดทางก็หยุดลงไปแล้ว ผมจอดรถตรงหน้าประตูรั้วที่เปิดไฟไว้สว่าง ก่อนที่คนข้างตัวจะหันมาส่งยิ้มใส อย่างที่ทำให้ผมอยากจะบอกกับเธอจริงๆ ว่าอย่าไปยิ้มแบบนี้ให้ใครที่ไหนอีก (นอกจากผมคนเดียว)

“ขอบคุณที่มาส่งนะธี แล้วก็...ขับรถกลับบ้านดีๆ นะ”

“ครับผม แพรเข้าบ้านเถอะ” ผมรอจนเธอเปิดประตูเล็กเข้าไปในบ้านเรียบร้อยแล้วถึงค่อยออกรถ มองจากกระจกส่องหลังก็เห็นว่าเธอยังยืนเกาะรั้วมองตามมาจนลับตาเหมือนกัน จนผมอดยิ้มไม่ได้กับความห่วงใยที่นานๆ ทีเธอจะแสดงออกมาสักครั้ง

ก่อนหน้านี้ผมอาจจะทำงานหนักเพียงเพื่อที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าทำได้ หรือเพราะอยากเจอกับความท้าทายใหม่ๆ ก็ตาม แต่นับจากวันนี้ที่แพรบอกว่าเชื่อในตัวผม ไม่ว่าจะต้องเจอกับงานหนักหรือกดดันแค่ไหน ก็ทำให้ผมยิ่งมั่นใจว่าจะผ่านทุกอย่างไปได้เสมอ

ถ้าเพียงแต่เธอจะอยู่ข้างๆ...คอยเป็นกำลังใจให้ผมอย่างนี้ตลอดไป

+++++++++++++++++++
สวัสดีค่ะ ขอโทษที่หายไปนานนะคะ วันนี้พาพระเอกมาส่งแล้วค่ะ ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะคะ ^^



เมษาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 พ.ย. 2560, 22:56:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 พ.ย. 2560, 22:56:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 590





<< ตอนที่ 3   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account