รักรสกล้วย
หิรัณย์ หรือพี่ทองหนุ่มเจ้าของสวนกล้วยหอมทอง

เขาใช้ชีวิตแบบชิลๆ ไม่ไล่ตามกระแสโซเชียล เจ้าของวลีเด็ด

"มารักกับพี่ น้องจะได้กินกล้วยฟรีตลอดชีวิต"

มธุรดา หรือ น้ำผึ้ง สาวเมืองกรุงหลานสาวของคุณยายบัวคลี่
ผู้ชอบกินกล้วยเป็นชีวิตจิตใจ เมื่อต้องมาพบกับเจ้าของสวนกล้วยหนุ่มเนื้อทองประจำหมู่บ้าน
ผู้ทำให้เธอมีมุมมองชีวิตต่างจากที่เคยเป็น โดยมีกล้วยเป็นสื่อรัก

มาพบกับความรักแสนวุ่นวาย

ของเจ้าของสวนกล้วยกับสาวเมืองกรุง ได้แล้วจ้า
Tags: นิยายรักคอมเมดี

ตอน: ตอน แรกพบสบตา/1

นิยาย รักรสกล้วย

Byรวิญาดา

ตอนที่ 1.



รถไฟแล่นมาจอดที่ชานชาลาสถานีลพบุรีในช่วงเช้าของวันอาทิตย์ วันหยุดแบบนี้มีนักท่องเที่ยวอาศัยรถไฟมาแวะยังเมืองที่มีสัญลักษณ์เป็นลิงจ๋อแห่งนี้มากมาย หญิงสาวร่างเล็กสูงเพียงร้อยหกสิบเซ็นติเมตรสวมกางเกงยีนส์เสื้อยืดสีขาว มีแจ็กเกตยีนส์ทับอีกชั้น ศีรษะสวมหมวกแก๊ปสีขาวด้านหลังสะพายเป้สีน้ำตาลมีพวงกุญแจรูปตุ๊กตาลิงถือกล้วยห้อยตุ้งติ้ง ก็พาตัวเองเดินลงมาจากรถไฟด้วยท่าทางทะมัดทะแมงคล่องแคล่ว ไม่อ้อยสร้อยรอให้ใครมาช่วยแบบที่สาวมีจริตทั่วไปนิยมทำ

ลงจากรถไฟได้ ก็เดินหลีกฝูงชนมายังรูปปั้นเจ้าลิงจ๋อที่ตั้งโดดเด่นอยู่ที่ชานชาลาสถานีลพบุรีแห่งนี้ หยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนยี่ห้อดังมากดถ่ายรูปเซลฟี่อย่างเมามัน พร้อมกับส่งรูปอัพโหลดขึ้นโพสน์ในเฟซบุ๊คและอินสตาร์แกรม ตามสมัยนิยมที่ต้องถ่ายโพสน์อวดในโซเชียลให้โลกรู้ว่า ตอนนี้ตัวข้าอยู่ที่ไหน กินอะไร หากจะให้เก๋ไก๋ไม่เหมือนใคร ก็ต้องปรับสีรูปให้ซีดจางสักนิดก่อนอัพโหลดลงโซเชียล แล้วเรียกตัวเองว่าเป็นพวก ‘Hipster’ (ฮิปสเตอร์)

หญิงสาวถ่ายรูปจนพอใจก็มานั่งรอคนมารับที่เก้าอี้ ด้านหน้าช่องขายตั๋ว เธอเดินทางมาจากกรุงเทพด้วยรถไฟแทนการใช้โดยสาร เพราะอยากได้บรรยากาศการเดินทางแตกต่างจากทุกครั้ง โชคดีที่มาทันรถไฟฟรีเลยไม่เสียตัง แต่โชคร้ายที่คนขึ้นแน่นเต็มตู้รถไฟ ต้องยืนอยู่นานกว่าจะมีคนใจดีสละที่นั่งให้ ระหว่างรอให้ถึงสถานีปลายทางก็ถ่ายรูปบ้าง สังเกตผู้คนร่วมขบวนบ้าง มันให้ความรู้สึกตื่นเต้นแปลกหูแปลกตา กับวิถีชีวิตคนอาศัยรถไฟในการเดินทาง นับตั้งแต่ผู้คนหลากหลายอาชีพ นักท่องเที่ยว ไปจนถึงแม่ค้าที่นำอาหารเครื่องดื่มมาเร่ขายในขบวนรถไฟ ต่างพากันหิ้วตะกร้าบรรจุพวกขนม เครื่องดื่ม เดินไปตามตู้รถไฟ ย้อนไปมา เธอนั่งใกล้แม่ค้าที่มาขายของ ได้สังเกตได้ยินการพูดคุยกัน ถึงจะพูดจาด้วยสำเนียงบ้านๆ ไม่มีหางเสียงมึงมาพาโวยบ้าง แต่ก็ฟังเพลินไม่น้อย แถมยังได้อุดหนุนขนมเป็นการช่วยกระจายรายได้สู่พ่อค้าแม่ขายรายย่อย

“รอตั้งนานแล้ว ไม่เห็นใครมารับสักที ไหนยายบัวบอกว่าจะมีคนมารับเราที่สถานี”

ปากบ่นมือก็ล้วงกล้วยฉาบในถุงก็อบแก็บมาแกะกินระหว่างรอ ขนมที่อุตส่าห์อุดหนุนแม่ค้าในขบวนรถไฟนั่นแหละ เธอชอบกินกล้วยทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นกล้วยหอม กล้วยไข่ กล้วยน้ำว้า กล้วยหักมุก ขึ้นชื่อว่ากล้วยจะแปรรูปเป็นขนมหรือจะเป็นผล ทั้งสุกทั้งดิบก็ชอบกินไปเสียหมด คนในครอบครัวตั้งฉายาให้ว่า ‘แม่นางกล้วยเกลี้ยง’ กล้วยชนิดไหนก็กินจนเกลี้ยงได้ทุกกล้วย

“ไปเที่ยวบ้านยายบัวคลี่หนนี้ ก็ไปนอนกินกล้วยให้เกลี้ยงสวนเสียล่ะ ชอบไม่ใช่เหรอกล้วยน่ะ”

แม่ของเธอจัดการโทรหาน้าสาว ฝากฝังลูกสาวให้มาพักผ่อนที่บ้านสวนของยายบัวคลี่ที่จังหวัดลพบุรีแห่งนี้ เธอจำได้ลางๆ ว่าสมัยเด็กแม่เคยพามาเยี่ยมยายอยู่สองสามครั้ง หลังบ้านของยายปลูกกล้วยไว้เป็นดง ยายทำขนมจากกล้วยให้กินจนพุงกาง ขากลับก็ตัดกล้วยให้อีกหลายเครือ

ชีวิตของเธอตั้งแต่จำความได้ก็มีกล้วยอยู่ในความทรงจำ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าตุ๊กตากล้วยหอมจอมซน กอดจนเป็นตุ๊กตาเน่าก็ไม่ยอมทิ้ง ไปดูหนังครั้งแรกคือเรื่อง ก้านกล้วย อะไรที่มีกล้วยเธอจะชอบมันทุกสิ่ง ขนาดชุดชั้นในยังเป็นลายกล้วย

“ร้อนก็ร้อน หิวก็หิว เมื่อไหร่จะมีคนมารับสักที จะให้รอจนภูมิแพ้กำเริบหรือไง”

รอมาร่วมชั่วโมง กินกล้วยฉาบจนหมดถุงก็ไร้วี่แววว่าจะมีใครมารับ จะไปเองก็ไปไม่ถูก ถึงมีที่อยู่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แต่จะไปก็ยังหวาดๆ เพราะต่างถิ่น จำต้องนั่งรอท้องร้องโครกครากหิวข้าวจนปวดท้อง ข้าวเช้าไม่ได้กินมาสักคำด้วยกลัวจะขึ้นรถไฟไม่ทัน กล้วยฉาบถุงน้อยจึงไม่พอยาไส้ ครั้นจะไปนั่งกินอะไรที่ร้านอาหารแถวนี้ก็กลัวว่าคนมารับจะหาไม่เจอ จึงนั่งรอที่เก้าอี้หน้าช่องขายตั๋วซึ่งมองเห็นง่าย

“น้าทิพย์ ผึ้งรอคนมารับตั้งนานแล้ว ไม่มีใครมารับสักที หิวไส้จะขาดอยู่แล้ว ยายให้ใครมารับผึ้งทำไมไม่มาสักที”

อดรนทนรอไม่ไหว ท้องไส้ประท้วงดังโครกคราก หญิงสาวเลยกดโทรศัพท์โทรหาน้าปทุมทิพย์น้องสาวของแม่ ซึ่งน่าจะโทรหาตั้งนานแล้วแต่มัวถ่ายรูปเพลินกับเล่นโซเซียลบวกกับกินกล้วยฉาบไปด้วย กว่าจะรู้ตัวก็รอนานจนหิว

“อ้าว ยังไม่เจอกันเหรอ แม่ๆ แม่ให้ใครไปรับหนูผึ้งนะ”

น้าสาวตะโกนถามยาย เสียงคุ้นหูของยายบัวคลี่ดังแว่วมาตามสายว่า

“ฉันให้ตาทองไปรับเจ้าผึ้งนี่ มันรับปากแล้วว่าจะไปรับให้ วันนี้มันไปส่งกล้วยในเมืองพอดี”

“เดี๋ยวฉันจะโทรถามเขาอีกที”

น้าปทุมทิพย์ถามยายบัวคลี่แล้วก็หันมาคุยกับหลานสาวต่อ

“หนูผึ้ง ยายบัวฝากตาทองไปรับหนู เดี๋ยวน้าโทรถามให้อีกทีนะ หนูใส่ชุดอะไรน้าจะได้บอกเขาถูก”

“หนูใส่เสื้อยืดสีขาวกางเกงกับแจ็คเกตยีนส์ค่ะ สวมหมวกแก็ปสีขาวค่ะ หนูนั่งรอที่เก้าอี้หน้าช่องขายตั๋ว น้าทิพย์ให้เบอร์หนูกับเขาไปด้วย จะได้โทรถาม”

น้ำผึ้งบอกรายละเอียดเสื้อผ้ารวมถึงสถานที่ ที่เธอนั่งรอให้น้าสาวทราบ

“รออยู่ตรงนั้นนะ อย่าไปไหน เดี๋ยวตาทองจะไปรับ”

“ค่ะน้าทิพย์”

น้ำผึ้งกดวางสายถอนหายใจเฮือกๆ สรุปคือต้องนั่งรอที่เดิมจนกว่าคนจะมารับ แล้วคนชื่อตาทองนี่จะมารับเมื่อไหร่หนอ หญิงสาวมองไปรอบๆ กาย มองหาคนที่น่าจะชื่อตาทอง ซึ่งคิดเอาเองว่าคงเป็นเพื่อนของยายบัวคลี่

ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด !!!

เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้น หลังจากผ่านไปราวยี่สิบนาที น้ำผึ้งรีบกดรับทันทีเบอร์แปลกๆ แบบนี้น่าจะเป็นตาทองแน่ๆ

“สวัสดีค่ะ”

“หนูผึ้งใช่ไหม ผมชื่อทอง ยายบัวคลี่ให้มารับหนู ตอนนี้อยู่ตรงไหน”

เสียงปลายสายฟังดูไม่สั่นเครือแบบคนแก่ทั่วไป ออกจะทุ้มนิดๆ เหมือนเสียงดีเจคลื่นลูกทุ่ง แต่จะเสียงแก่เสียงเพราะก็สร้างความดีใจให้คนรับสายที่มีคนมารับสักที

“ค่ะ ผึ้งรออยู่ที่เก้าอี้หน้าช่องขายตั๋วค่ะ มองเห็นหรือยังคะ ผึ้งลุกขึ้นยืนแล้ว”

ร่างเล็กลุกขึ้นยืน มองหาคนที่โทรมา ก่อนจะสะดุ้งเมื่อมีใครมาสะกิดไหล่จากด้านหลัง พอหันไปก็เจอชายหนุ่มร่างสูงราวร้อยแปดสิบเซ็นติเมตร ผิวดำแดง หน้าคมจมูกโด่งเป็นสันรับกับวงคิ้วหนาเป็นปื้นดำสนิท รูปลักษณ์แบบชายไทยแท้ไม่มีชาติอื่นเจือปน

“หนูผึ้งใช่ไหม พี่ชื่อพี่ทองนะ”

เขาเรียกแทนตัวเองว่าพี่อย่างถือสนิท ราวกับรู้จักกันมาแสนนาน ทั้งที่จริงเพิ่งคุยกันได้ไม่ถึงนาที

“พี่ทอง เอ่อ... คุณชื่อทองเหรอคะ”

น้ำผึ้งเผลอเรียกเขาว่าพี่ ก่อนจะเปลี่ยนสรรพนามเรียกว่าคุณ ใช้สายตามองสำรวจคนตัวโตที่ต้องแหงนหน้ามองจนเมื่อยคอ คนอะไรผิวเข้มอย่างกับสีทองแดง หน้าไท้ ไทย ไม่ขาวใสแบบหนุ่มบอยแบรนด์เกาหลีที่เธอชื่นชอบสักนิด เทียบกับพี่แมคอดีตหนุ่มคนรักแล้วต่างกันมาก หญิงสาวปั้นยิ้มให้คนตรงหน้า ไหนๆ ก็อุตส่าห์มารับ ก็ควรผูกไมตรีไว้

“เรียกพี่ทองสิ เราอายุน้อยกว่าพี่ จะมาเรียกคุณทำไม เป็นเด็กเป็นเล็กหัดรู้จักสัมมาคารวะบ้าง”

พี่ทองย่นคิ้วหนาๆ ทำตาดุ เสียงดุใส่คนเด็กกว่า ทำเอาน้ำผึ้งแทบหุบยิ้ม เกิดมาไม่เคยมีใครมาดุมาว่า ตานี่เจอกันไม่กี่นาทีมาขึ้นเสียงอบรม ทำราวกับตัวเองน่าเคารพ ต่อมหมั่นไส้ทำงานทันที จากที่คิดจะผูกไมตรีตอนนี้เริ่มเกลียดขี้หน้าหน่อยๆ แล้ว

“อายุเท่าไหร่แล้วคะ”

น้ำผึ้งจ้องหน้าคนหล่อแบบบ้านๆ เอ่ยถามเสียงเรียบ ดวงตาคมดำสนิทเหมือนสีถ่านสบตากลับไม่ยอมหลบ

“ปีนี้ยี่สิบเจ็ด ”

“ยี่สิบเจ็ด ฉันยี่สิบสอง แก่กว่ากันห้าปี โอเคเรียกพี่ก็ได้”

น้ำผึ้งพยักหน้าหงึกๆ ยอมเรียกพี่ตามความต้องการของคนสูงวัยกว่า แต่ไม่วายแอบนินทาในใจ คนอะไรหน้าแก่เกินอายุ นึกว่ารุ่นน้า

“ตามพี่มา รถจอดอยู่หน้าสถานี”

คนหน้าแก่คว้ากระเป๋าเป้เดินนำ ปล่อยให้คนตัวเล็กวิ่งต๊อกแต๊กตามหลัง ขาที่ยาวกว่าทำให้ต้องซอยเท้าจ้ำตามจนขาแทบขวิด กว่าจะเดินมาถึงรถที่จอดอยู่ก็เล่นเอาหอบ พอเห็นรถที่ตัวเองต้องโดยสารกลับน้ำผึ้งถึงกับตะลึงงัน

มันคือรถหกล้อคันใหญ่ด้านหลังกระบะตีโครงไม้ดัดแปลงเป็นรถขนของ มีผ้าใบคลุมไว้ด้านบน สภาพกลางเก่ากลางใหม่ไม่มั่นใจในสภาพเครื่องยนต์ ว่าจะพาไปถึงที่หมายโดยไม่ต้องลงมาเข็นไหม

ที่สำคัญท้ายรถมีผู้ชายสองคนนั่งอยู่ คนหนึ่งรูปร่างผอมตัวสูงพอๆ กับเธอ โกรกผมสีทอง ผัดแป้งจนหน้าขาววอกทาปากสีแดงสดราวกับเพิ่งกินลาบเลือดมา สวมเสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงยีนส์ทรงเดฟแทบจะรัดรูปร่างผอมบางให้เห็นทุกอณู อีกคนตัวโตพอๆ กับพี่ทองผิวเข้มเหมือนกาแฟลืมใส่นม ไว้เครายาวถึงอก มีโบเล็กสีแดงผูกไว้ตรงส่วนปลายของเครา ผมยาวถักเป็นเปียยาวถึงเอว ถ้าโกนผมสักครึ่งหัว คงเหมือนดาราหนังจีนย้อนยุคสมัยราชวงศ์แมนจู

“คันนี้รถของคุณ เอ่อ รถของพี่ทองเหรอคะ”

ถามย้ำให้มั่นใจ บางทีเขาอาจยืนรอที่หน้ารถคันนี้เฉยๆ รถของเขาอาจจอดอยู่อีกที่ น้ำผึ้งยังมีความหวัง

“อื้อ รถพี่เอง เพิ่งเอากล้วยไปส่งที่ตลาด วันนี้ราคากล้วยมันเปลี่ยนแปลงจากอาทิตย์ก่อน ต้องต่อรองราคากันใหม่ เลยมารับช้าไปหน่อย ขึ้นไปสิ”

พี่ทองเปิดประตูรถ แล้วโยนกระเป๋าขึ้นไปบนเบาะข้างคนขับ บุ้ยบ้ายให้หญิงสาวขึ้นไปนั่ง

“รถมันสูงหน่อยนะ มามะ จะช่วยพาขึ้น”

พอเห็นเธอยืนนิ่งก็ถือวิสาสะคิดเอาเองว่า เธออาจจะขึ้นไม่ไหวเพราะรถมันค่อนข้างสูง เลยรวบเอวยกร่างเล็กขึ้นไปวางบนเบาะ ทำเอาน้ำผึ้งร้องกรี๊ดด้วยความตกใจ

“ว๊าย! ฉันขึ้นเองได้”

เธอปัดมือเขาออกจากเอว ขยับถอยห่าง แก้มซับสีเรื่อด้วยความโมโห อีกฝ่ายหัวเราะหึหึ พยักหน้าให้ลูกน้องยกแผงท้ายรถขึ้น ก่อนจะเดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งคนขับบิดกุญแจสตาร์ตเครื่อง

ฉึก ฉึก พะ พะ แพรด แพร๊ด ปรื้นนนน!

รถกระตุกฉึกฉัก อยู่หลายที ส่งเสียงเสียงประหลาดๆ ออกมา ราวกับคนท้องเสีย ทำเอาคนเพิ่งเคยนั่งผวาตัวกระเด้งกระดอนไปตามแรงกระตุก กำลังจะอ้าปากว่าเครื่องรถก็ติดรถกระชากตัวแล่นฉิวออกไป

“ไม่ต้องตกใจ เจ้าบรูชลีมันเป็นแบบนี้แหละ เครื่องร้อนช้า กว่าจะติดต้องวอร์มสักนิด”

เจ้าของรถหมุนพวงมาลัยนำรถแล่นออกจากสถานีรถไฟ ตามองถนนข้างหน้า

“บรูชลี...” น้ำผึ้งยกคิ้วสูง

“ชื่อรถคันนี้ไง อีกคันเป็นรถสิบล้อจอดอยู่ที่บ้าน ชื่อเจ้าเฉินหลง ถ้าไปส่งกล้วยที่ตลาดไทจะใช้เจ้าเฉินหลงขนไป วันนี้มาส่งที่ตลาดในเมืองเลยใช้เจ้าบรูชลี” พี่ทองเล่าด้วยน้ำเสียงรื่นรมย์ ถึงรถคันเก่งของตัวเอง

“มีทั้งบรูชลี ทั้งเฉินหลง แล้วมีคันอื่นอีกไหม”

น้ำผึ้งถามลอยๆ แต่คนฟังคิดเอาเองว่าเธอสนใจ เลยร่ายเรียงชื่อเสียงของบรรดายานพาหนะของบ้านตัวเองให้ฟัง

“ก็มี นังกระแตรถกระบะของพ่อผู้ใหญ่วรรณ นังสายหยุดรถมอเตอร์ไซค์ของไอ้ตอง กับพี่โฉมตรูจักรยานของแม่หอมนวล”

ชื่อแต่ละชื่อ ทำเอาคนได้ยินอยากขำ แต่กลั้นเอาไว้ ได้แต่อมยิ้มจนแก้มป่อง

“แล้วอีกไกลไหมคะ กว่าจะถึงบ้านยายบัวคลี่”

น้ำผึ้งชวนคุยฆ่าเวลา ท้องไส้ก็เริ่มส่งเสียงประท้วงดังโครกคราก ทั้งที่เจ้าตัวพยายามไม่ให้มันส่งเสียงแต่ห้ามไม่ได้

“กว่าจะถึงบ้านก็ชั่วโมงกว่าๆ หิวเหรอ มีแต่กล้วยกินไหม”

พี่ทองชะลอจอดข้างทาง ชะโงกหน้าตะโกนบอกลูกน้องที่นั่งอยู่หลังกระบะ

“ไอ้คิดเว้ย! เอากล้วยมาให้หวีหนึ่ง เอาลูกโตๆ หน่อยนะ”

“ได้แล้วคร๊าบลูกพี่”

ร่างเล็กๆ ผมสีทองกระโดดลงจากท้ายรถพร้อมกล้วยหอมสีทองอร่ามหวีหนึ่ง มายื่นส่งให้ลูกพี่ของตัวเอง อีกฝ่ายโบกมือให้กลับขึ้นรถ แล้วส่งกล้วยให้หญิงสาว

“อ๊ะ กล้วยหอมทอง มันเหลืออยู่สองหวี ว่าจะเอาไปฝากครูบุญแต่แกไม่อยู่”

“ขอบคุณค่ะ”

น้ำผึ้งรับของโปรดมาวางบนตัก ปลิดกล้วยผลยาวลูกอวบใหญ่มาปอกเปลือก เธอหันไปมองเจ้าของกล้วยเห็นเขามองอยู่ จะอ้าปากงับก็เกรงจะไม่งาม เลยใช้มืออีกข้างหักกล้วยขนาดพอคำปากมาเคี้ยวแทน บิดตัวหันหลังให้จะได้ไม่ต้องเห็นว่าเขามอง โดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายแย้มริมฝีปากกว้างยกยิ้ม มองคนตัวเล็กที่กำลังเคี้ยวกล้วยตุ้ยๆ ด้วยสายตาเอ็นดู ก่อนจะนำรถเคลื่อนตัวออกไป

น้ำผึ้งกินกล้วยหมดไปสามลูก แล้วหันกลับมานั่งตัวตรง มองดูวิวทิวทัศน์ที่รถวิ่งผ่าน ปากเริ่มว่างเลยชวนคนขับคุย

“กล้วยอร่อยดีนะคะ เนื้อแน่น หวานด้วย ไม่เคยกินกล้วยอร่อยๆ แบบนี้มาก่อนเลย”

เธอมองกล้วยบนตัก เอามือจับไว้อย่างหวงแหน ตั้งใจไว้ว่าไปถึงบ้านยายจะเอากล้วยหวีนี้ไปกินต่อ สามลูกนี่แค่รองท้อง หากเป็นยามปกติ เธอจะกินมันสักครึ่งหวีถึงจะอิ่มหนำพออกพอใจ แต่ตอนนี้สงวนท่าทีไว้ก่อนเมื่อมีสายตาวิบวับของหนุ่มตัวดำหน้าคมเข้มแอบลอบมองอยู่ กล้วยแสนอร่อยจึงฝืดคอไปนิดหนึ่ง

“กล้วยหอมทองสวนของพี่เอง กล้วยที่พี่ปลูกการันตีได้เลยว่ารสชาติอร่อยที่สุดในประเทศไทย” เจ้าของกล้วยมั่นใจในรสชาติกล้วยของตัวเอง

“แหม กล้วยมันก็คล้ายกันแหละ แค่เนื้อแน่นกว่า หวานกว่าที่เคยกินมาแค่นั้นเอง” น้ำผึ้งเบรกความมั่นใจของอีกฝ่าย

“อร่อยกว่าด้วย” เขาหันมามองหน้า เน้นเสียง

“อร่อยกว่านิดหน่อยเอง” เธอตอบกลับ

“อร่อยกว่ามากมาย” เขามั่นใจ

“ว๊าย หันไปมองถนนเลยนะ เดี๋ยวได้ตายพร้อมกล้วยหรอก”

น้ำผึ้งอุทานเมื่อเห็นเขาไม่ยอมมองถนน เพราะมัวแต่ถกเถียงเรื่องกล้วยกับเธอ มือน้อยจับปลายคางที่มีไรหนวดสากคาย ให้หันไปมองถนน หวาดเสียวว่าจะพากันไปนอนเล่นข้างทาง

“มือนิ่มๆ สงสัยไม่เคยทำงานหนัก”

เขาเบี่ยงประเด็น ส่งสายตาวิบวับจนเจ้าของมือรีบเอามือออกจากคางแทบไม่ทัน

"หาว่าฉันเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อหรือไง”

น้ำผึ้งปัดมือไปมา รู้สึกขนลุกแปลกๆ พยายามไม่สบตาคมวาวคู่นั้น หวังว่าตาพี่ทองจะไว้ใจได้นะ ยายบัวคลี่คงไม่ส่งคนไม่ดีมารับเธอหรอกนะ เจ้าตัวขยับถอยมาจนชิดประตูรถนั่งตัวเกร็ง หวาดระแวง

“ชมว่ามือนิ่มเฉยๆ ไม่ได้กล่าวหาว่าขี้เกียจสักหน่อยนี่”

พี่ทองพูดไปตาก็กลับไปมองถนนตรงหน้า ไม่ได้ทำตาวิบวับใส่เธออีก เหมือนจะรู้ว่าน้ำผึ้งกำลังระแวงพฤติกรรมของเขาอยู่ ทำให้หญิงสาวค่อยผ่อนคลายความเกร็งลง รถแล่นไปตามถนนคนขับเงียบเสียง ลมพัดผ่านหน้าต่างที่เปิดกระจกไว้แทนการเปิดแอร์ ดวงตากลมโตค่อยๆ หรี่ปรือ กล้วยสามลูกเริ่มออกฤทธิ์กล่อมให้ง่วง

“งีบนิดเดียว คงไม่เป็นไรมั้ง”

น้ำผึ้งฝืนถ่างตาอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะพ่ายแพ้ต่อความง่วงตาปิดสนิทเอนซบประตูรถหลับไป ปล่อยให้สารถีพาไปยังจุดหมายปลายทางบ้านสวนของยายบัวคลี่...









***

อัพให้อ่านเป็นตอนแรกแล้วนะคะ

ฝากพี่ทองกับน้องน้ำผึ้งด้วยนะคะ

ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่ะ

รวิญาดา




รวิญาดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ก.ค. 2561, 02:56:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ก.ค. 2561, 02:56:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 415





เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account