เล่ห์ภารดี
นพคุณเคยได้ยินคำว่า "แม่เลี้ยง" มานาน แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะมี "แม่เลี้ยง" เป็นของตัวเอง บ้านที่แสนสงบของเขาอยู่ ๆ ก็มีแม่ใหม่ น้องสาว และไก่ เข้ามายึดพื้นที่
Tags: ความรัก แม่เลี้ยง ลูกเลี้ยง ไก่แจ้
ตอน: แม่เลี้ยง
บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ตั้งอยู่ริมถนนในซอยเล็ก ๆ แถบชานเมืองในกรุงเทพฯ ดูจากถนนในซอยก็รู้แล้วว่าบ้านแถวนี้เป็นชุมชนที่อยู่กันมานาน เพราะขนาดของถนนที่เล็กพอให้รถวิ่งสวนผ่านกันได้ เหมือนกับอีกหลาย ๆ ซอยในกรุงเทพฯ ...อาจจะเพราะคนในสมัยนั้น คงจะคิดไม่ถึงว่ากรุงเทพฯ ในสมัยนี้ผู้คนจะคับคั่ง ถนนสมัยนั้นจึงไม่จำเป็นจะต้องกว้างขวางเพราะแทบจะไม่มีผู้คนสัญจรมากมายนัก...แต่พอมาตอนนี้ถนนเส้นเดิม...จะขยายให้ใหญ่ไปกว่านี้ก็คงจะทำได้ยาก รอบ ๆ บ้านหลังใหญ่นั้นกลายเป็นหมู่บ้านจัดสรรไปหมดแล้ว จากที่เมื่อก่อนแถวนี้เป็นสวนและทุ่งนา จากบ้านสวนที่ค่อนข้างเดินทางลำบากในสมัยก่อนกลายเป็นส่วนหนึ่งของเมืองใหญ่ที่ความเจริญคืบคลานเข้ามาอย่างไม่รู้ตัว
นพคุณเกิดและเติบโตที่นี่...นี่คือบ้านของเขา กี่เดือนแล้วหนอที่เขาไม่ได้กลับบ้าน เขาทิ้งบ้านที่เขารักไปนานหลายเดือน รวมถึงทิ้งพ่อไว้ให้อยู่ตามลำพัง เด็กหนุ่มยืนอยู่หน้าบ้านนานจนคนที่ผ่านไปผ่านมาต้องหันมามองด้วยความสงสัย หลายเดือนที่ผ่านมานี้เขาเป็นโรคกลัวบ้าน...เขากลัวบ้านตัวเอง เมื่อห้าเดือนก่อนนพคุณพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ คุณอารีแม่ของเขาจากไปก่อนวัยอันควร เป็นจังหวะที่เขากำลังสอบเข้าเรียนโรงเรียนประจำพอดี มันเป็นโรงเรียนที่เขาเลือกไว้แต่แรกอยู่แล้ว...โรงเรียนดังระดับประเทศที่เฝ้าใฝ่ฝันอยากจะเข้าเรียนนักหนา และไม่ผิดหวังนพคุณสอบเข้าเรียนที่นั่นได้ด้วยคะแนนระดับต้น ๆ
ตอนนี้โรงเรียนปิดเทอมแล้ว...ถึงเวลาที่เขาจะต้องยอมรับความจริงเสียที แม่จากเขาไปแล้วครึ่งปี...และชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป นพคุณจึงตัดสินใจกลับบ้าน เขาจะมาอยู่กับพ่อตลอดช่วงปิดเทอมนี้...มีคนบอกว่าเวลาจะช่วยรักษาความเจ็บปวดได้ ซึ่งเห็นจะจริง เพราะตอนนี้อาการกลัวบ้านของเขาดีขึ้นมาก แต่จะเรียกว่ากลัวบ้านก็คงไม่ถูก มันเป็นความเสียใจมากกว่า ตอนแม่ตายใหม่ ๆ เขาแทบทนอยู่บ้านไม่ได้ เพราะมองไปทางไหนก็มีแต่ความทรงจำ...ความทรงจำที่ย้ำให้รู้ว่าไม่มีแม่อีกต่อไป แต่พอได้มายืนหน้าบ้านในวันนี้...มันก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดมากมายเหมือนเดิม
เด็กหนุ่มมองเข้าไปภายในบ้าน...จากตรงนี้บ้านของเขายังเหมือนเดิม...เหมือนเมื่อตอนที่เขาจากไป นพคุณเห็นความเคลื่อนไหวภายในบ้าน...พ่อเขาหรือเปล่า? ผู้หญิง? จะมีผู้หญิงอยู่ในบ้านได้อย่างไร ในเมื่อบ้านนี้นอกจากแม่ของเขาก็ไม่มีผู้หญิงที่ไหนอีก เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว เขาไขกุญแจเข้าบ้าน...บางทีอาจจะเป็นคนรู้จักหรือเพื่อนของพ่อที่มาทำธุระหรือเยี่ยมเยือนพอดี ระหว่างทางเข้าบ้านเขาเห็นรถจอดอยู่สองคัน แน่นอนคันหนึ่งของพ่อเขา...แต่อีกคันเขาไม่เคยเห็น
“ฮ่า ๆ ลูกแก้ว หนูเก่งนะนี่ สอนเจ้าไก่นี่ขันได้เยอะเชียว” ...เสียงพ่อของเขาดังมาจากสวนหลังบ้าน นพคุณเดินตามเสียงไป เขาเห็นพ่อกำลังคุยกับใครบางคน และเพราะคุณนพรักษ์หันหลังอยู่เขาจึงไม่เห็นว่ามีคนเดินเข้ามา...รวมถึงคู่สนทนาของเขาด้วยเพราะจากมุมนี้คุณนพรักษ์บังตัวใครคนนั้นไว้จนนพคุณมองไม่เห็น และใครคนนั้นก็ไม่เห็นเขาด้วยเหมือนกัน
“จะกินข้าวกันรึยังคะ?” เสียงผู้หญิงถามดังออกมาจากในครัว...ใช่ผู้หญิงที่เขาเห็นแว่บ ๆ เมื่อกี้รึเปล่านะ? นพคุณชะโงกหน้าไปมองและตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นเห็นเขาแล้ว หล่อนตาโตและอุทานออกมาอย่างตกใจ
“เอ๊ะ!” ภารดีตกใจจริง ๆ หล่อนเป็นคนแรกที่เห็นนพคุณ...ภารดีไม่คิดว่าจะได้เจอลูกชายของคุณนพรักษ์ในวันนี้ ...อยู่กันพร้อมหน้าพอดี ช่างมาได้ถูกจังหวะเสียเหลือเกิน คุณนพรักษ์เห็นภรรยาอุทานด้วยความแปลกใจ เขาจึงหันไปมองและได้เห็นว่าภารดีตกใจที่เห็นใคร
“ตาคุณ!” นพคุณแปลกใจ...พ่อเขาดูจะตกใจมากกว่าผู้หญิงคนนั้นเสียอีก และเพราะเขาเป็นคนช่างสังเกตจึงเข้าใจได้ไม่ยากว่าเกิดอะไรขึ้น...ตลอดเวลาที่เขาจากบ้านไปนั้นเขาตกข่าวอะไรไปบ้างนะ?
“อะไรนะ!” เสียงตะโกนด้วยความโกรธของเด็กหนุ่มดังลั่นห้องรับแขกของบ้านหลังใหญ่ ภายในห้องรับแขกนั้นผู้เป็นพ่อถอนใจยาวด้วยความที่รู้จักลูกชายของตนเองดีว่าเมื่อใดที่โมโหหรือต้องการสิ่งใดแล้วไม่เคยมีใครหรืออะไรสามารถขัดใจได้...แต่คราวนี้เขาเข้าใจ มาเจอแบบนี้นพคุณต้องโมโหเป็นธรรมดา...ภาพที่เห็นคือเด็กหนุ่มนั่งหน้าเครียดจ้องหน้าผู้เป็นพ่อตาไม่กระพริบ คุณนพรักษ์รู้ดีว่าลูกชายโกรธ แต่เขาเลี้ยงดูอบรมลูกชายมาเป็นอย่างดี...ถึงนพคุณจะโกรธหรือไม่พอใจแค่ไหนเขาก็มีมารยาทพอ ไม่เคยทำร้ายใครหรือทำลายข้าวของ เพียงแต่เขาจะดื้อและเถียงขาดใจถ้าเห็นว่าสิ่งที่เป็นประเด็นอยู่นั้นตัวเองเป็นฝ่ายถูก
“เรามาคุยกันดี ๆ นะตาคุณ” คุณนพรักษ์ขอร้องเสียงอ่อย เขาผิดเองที่ไม่ได้บอกลูกชายตั้งแต่แรก เพราะเขารู้ดีว่านพคุณต้องรับไม่ได้อย่างแน่นอน
“พ่อมีเวลาคุยกับผมตั้งนานแล้วก่อนหน้านี้ จนเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ยังจะมีอะไรบอกผมอีกเหรอครับ” เด็กหนุ่มเถียงกลับด้วยเสียงอันดังไม่ต่างจากเดิม เขาโกรธพ่อมาก...ปกตินพคุณเป็นคนใจเย็นเขาไม่ชอบทะเลาะหรือโวยวายเสียงดังกับใคร และไม่เคยเลยสักครั้งในชีวิตที่เขาจะตะโกนหรือก้าวร้าวใส่พ่อ...แต่วันนี้เขาทำทุกอย่างที่ทั้งชีวิตไม่เคยทำ นพคุณแปลกใจ...คุณนพรักษ์เป็นคนฉลาดและคิดทุกอย่างรอบคอบเสมอ แต่มาครั้งนี้มันแปลกเกินไป...คนที่คิดอะไรละเอียดรอบคอบ...ฉลาด ทำไมถึงทำแบบนี้...เขารู้ว่าเขาผิดที่ทิ้งพ่อให้อยู่คนเดียว แต่พ่อทำแบบนี้ก็เกินไป พ่อทำกับเขา...กับแม่แบบนี้ได้อย่างไร?
ใช่แล้ว....ผู้เป็นพ่อเถียงไม่ออก จะให้เขาบอกลูกชายว่าอย่างไร? ว่าหลังจากแม่ของเขาตายไปไม่ถึงปีเขาก็มีรักใหม่ และที่สำคัญภรรยาใหม่หรือแม่เลี้ยงของนพคุณนั้น คบหาดูใจกันไม่ถึงสองเดือน...อย่าว่าแต่ลูกชายเขาเลย แม้แต่เขาเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อ แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้คิดได้ว่าชีวิตคนเราช่างสั้นนัก ถ้าพบคนที่ถูกใจและเข้าใจเราได้เป็นอย่างดี คำว่า “เวลา” จะมีความหมายอะไร
“เอาล่ะ พ่อยอมรับผิด ลูกจะให้พ่อทำยังไง?” คุณนพรักษ์ถามอย่างอ่อนใจงานนี้เขาจนปัญญาจริง ๆ เดิมทีเขากับภารดีตกลงกันไว้ว่าจะค่อย ๆ บอกนพคุณทีละนิด และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมพวกเขาค่อยแนะนำให้นพคุณกับภารดีรู้จักกันอย่างเป็นทางการ เขาหวังว่าการที่ลูกชายไปอยู่โรงเรียนประจำเป็นเวลานานน่าจะช่วยให้เขาสามารถทำใจได้ เพื่อให้การที่เขาแต่งงานใหม่ก็จะได้ไม่ดูรวดเร็วจนเกินไป แต่ที่ผิดคาดคือนพคุณกลับมาบ้านก่อนเวลาที่คาดการณ์ไว้ สิ่งที่วางแผนไว้จึงไม่เป็นดังคิด...จวนตัวแบบนี้เล่นเอาคุณนพรักษ์ปวดหัว อยู่เหมือนกัน
เด็กหนุ่มกวาดตามองรอบห้องรับแขก ที่นั่งตรงข้ามกับตนนั้นคือพ่อของเขา...ที่ยามนี้มีสีหน้าหนักใจ สม!...มีอย่างที่ไหน แอบจดทะเบียนอยู่กินกับผู้หญิงที่เจอกันได้ไม่ถึงสองเดือน ข้างกายพ่อนั้นคือผู้หญิงคนนั้น ไม่สิถ้าจะเรียกให้ถูกก็คือแม่เลี้ยงของเขานั่นแหละ ดูภายนอกก็รู้แล้วว่าหล่อนจะต้องใช้มารยาล่อลวงคนแก่ หวังจะจับพ่อเขาล่ะสิ! และหล่อนก็ทำได้สำเร็จอีกด้วย ผู้หญิงคนนี้คำนวณคร่าว ๆ ก็รู้แล้วว่าอายุไม่น่าจะเกินสามสิบห้าด้วยซ้ำ ฮึ! มีอย่างที่ไหนจะมารักกับคนแก่กว่าที่อายุเกือบห้าสิบ...ผู้หญิงบ้าที่ไหนจะมาชอบคนแก่รุ่นราวคราวพ่อ ถ้าไม่หวังสิ่งตอบแทน!
“ฮึ!” เด็กหนุ่มทำเสียงฮึดฮัดอย่างขัดใจ กลับมาคราวนี้เขาเสียใจ...เสียใจไม่ต่างจากตอนที่จากไป ทำไมพ่อไม่บอกเขาสักคำ ความโมโห เสียใจ น้อยใจผสมปนเปกันจนเขาไม่สามารถรับฟังเหตุผลใด ๆ ได้อีก จะมีเหตุผลอะไร? ก็แค่คนแก่ตัณหากลับเจอผู้หญิงสาว ๆ สวย ๆ ออดอ้อนเข้าหน่อยก็หลงกลใจอ่อนจดทะเบียนพาเข้าบ้าน เขาอยากรู้นักว่าหล่อนไปทำอีท่าไหนนะถึงหลอกพ่อที่แสนดีและฉลาดของเขา ได้สำเร็จ คุณนพรักษ์ไม่ใช่คนโง่และ ถ้าผู้หญิงคนนั้นสามารถหลอกพ่อเขาได้แล้วล่ะก็ หล่อนจะต้องฉลาด...ฉลาดมาก!
“แล้วพ่อจะให้ผมทำยังไง” เขาสวนกลับไปด้วยคำถามเดียวกันของบิดา วันนี้เขาทำนิสัยหลายอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เขาไม่เคยเสียงดังใส่พ่อ ไม่เคยโวยวายเสียงดัง ปกติถ้าไม่พอใจเขาจะคุยกันด้วยเหตุผล...แต่วันนี้เขาไม่เห็นเหตุผลอันใดจะเข้าท่าพอให้เข้าใจได้
“มาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าผมบอกให้พ่อหย่า พ่อจะหย่าเหรอครับ?” เด็กหนุ่มพูดเสียงดังพร้อมหันไปมองหน้าตัวต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด...ผู้หญิงคนนั้น คนที่นั่งอยู่ข้างพ่อของเขา หลังจากระบายความโกรธไปพอสมควร เขาจึงมีเวลาพอพินิจพิเคราะห์ลักษณะของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่เลี้ยงได้อย่างถนัดตาเป็นครั้งแรก ผู้หญิงคนนี้ ชื่ออะไรนะ?...ภารดี หล่อนจัดว่าเป็นคนสวยทีเดียว ผิวสีน้ำผึ้ง ร่างเล็กแบบที่ผู้ชายชอบนักหนา เพราะเห็นแล้วน่าทะนุถนอมเหลือเกิน ผมตัดสั้นตามสมัยนิยมของผู้หญิงในยุคปัจจุบัน ดูรวม ๆ แล้วเรียกได้ว่าสวยจัดทีเดียว แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดที่สมกับคำว่า “สวยจัด” นั้น คงจะเป็น...ปาก คนอะไรจะทาปากแดงได้ขนาดนั้น แต่ก็แปลกถ้าดูแค่ปากอย่างเดียวคงเรียกได้ว่าน่าเกลียดเหลือทน แต่พอดูรวม ๆ กันแล้วกลับสวยเด่นสะดุดตา ถัดไป... ข้าง ๆ ผู้หญิงคนนั้น ตลอดเวลาที่เขาตะโกนโวยวายใส่ผู้เป็นพ่ออยู่นั้น เขาไม่ทันสังเกตเลย...เด็กผู้หญิง เขาเห็นหน้าหล่อนไม่ถนัดนักเพราะเด็กหญิงเอาแต่ก้มหน้า เหอะ! แม่หม้ายลูกติด ถึงว่า...คงจะใช้มารยาหลอกพ่อเขาได้อย่างไม่ยากนัก พ่อนี่ก็แปลกเมียใหม่หรือแม่เลี้ยงเขาคนนี้ ถ้าเทียบกับแม่เขาแล้วต่างกันชนิดที่เรียกได้ว่าจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว...ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักนิด ต่างกันราวฟ้ากับเหว คุณนพรักษ์เห็นสายตาของลูกชายก็รีบตัดบท
“ลูกเพิ่งมาถึง คงจะเหนื่อย ขึ้นห้องไปพักผ่อนก่อนเถอะ” ให้ลูกชายเขาได้สงบสติอารมณ์ก่อนแล้วค่อยคุยกันใหม่น่าจะดีกว่า คุยกันตอนนี้...ในขณะที่เต็มไปด้วยอารมณ์มีแต่จะพูดอะไรให้เสียใจกันเปล่า ๆ
“ก็ยังดีนะครับที่ยังเหลือห้อง ... เหลือที่ไว้ให้ผม” นพคุณพูดจบเขาลุกเดินขึ้นห้องตัวเองไปไม่แม้จะหันกลับมามองอีกเลย
“เฮ้อ....” เสียงผู้เป็นพ่อถอนใจ
“คิก คิก” เสียงหัวเราะสดใสของสาวปากแดงข้างตัวดังขึ้นเมื่อแน่ใจว่าเด็กหนุ่มเจ้าปัญหาเดินจากไปพ้นรัศมีการได้ยินแล้ว
ตลอดเวลาที่หญิงสาวนั่งปั้นหน้าขรึมอยู่ข้างสามีนั้น แทนที่จะมีอารมณ์โมโหหรือไม่ชอบใจในพฤติกรรมของหนุ่มน้อยคนนั้น หล่อนกลับรู้สึกสนุกและท้ายทายมากกว่า ภารดีเข้าใจหัวอกของนพคุณดี เพราะถ้าเป็นหล่อนก็คงจะรู้สึกแบบเดียวกันกับเขา หรืออาจจะหัวฟัดหัวเหวี่ยงพูดจาร้ายกาจกว่านี้หลายเท่านัก...ภารดีดูออกถึงแม้จะโมโหเพียงใดอย่างน้อยเด็กหนุ่มก็ยังมีมารยาทไม่แสดงกิริยาเกรี้ยวกราดด่าทอหรือบริพาสถ้อยคำหยาบคายใด ๆ ใส่หล่อน ซึ่งถ้าเป็นหล่อนตอนอายุเท่าเขาคงจะอาละวาดบ้านแตกไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเป็นแน่
“คุณพิมพ์! ยังจะมานั่งขำอีก” คุณนพรักษ์ถอนใจ
“ก็มันน่าสนุกนี่คะ” ภารดีหัวเราะ เสียงหัวเราะของหล่อนกังวานใสพร้อมกันกับรอยยิ้ม...ซึ่งเมื่อมันอยู่ด้วยกันแล้วช่างน่ามองยิ่งนัก
“สนุกอะไรกัน ผมบอกคุณแล้วว่าจะต้องเกิดปัญหาใหญ่แน่ ๆ “ คุณนพรักษ์ท้อใจ ปัญหานี้เขาไม่รู้จะเริ่มแก้ไขอย่างไรก่อนดี
“เอาน่า! รอดูไปสักพัก... ให้เวลากับแกหน่อย ช่วงนี้แกอาจจะเหวี่ยง ๆ ไปบ้าง แต่พอนานวันไปพิมพ์ว่าแกต้องเข้าใจแน่ ๆ ค่ะ คุณรู้ไหมลูกชายคุณน่ะยังแรงไม่ถึงครึ่งของพิมพ์ตอนอายุเท่าเขาเลยด้วยซ้ำ ถ้าจะแสบกว่าเขาก็พิมพ์ตอนอายุสิบหกนี่แหละค่ะ แบบลูกชายคุณน่ะจิ๊บ ๆ”
“ผมเชื่อว่าคุณแสบ แต่ผมแก่แล้วยังไงก็เพลา ๆ พลังกันบ้างนะ”
ภารดีเป็นสาววัย 32 ปี แม่หม้ายสาวสวยที่ใคร ๆ ก็หมายปอง ตอนที่ใคร ๆ รู้ข่าวว่าหล่อนจดทะเบียนอยู่กินกับคนที่แก่กว่าหล่อนเป็นสิบปี...ข้าราชการหนุ่มใหญ่ที่พบกันได้ไม่ถึงสามเดือน มีแต่คนประหลาดใจ เพราะก่อนหน้านี้มีชายหนุ่มเข้ามาจีบหล่อนไม่ขาดสาย เรียกว่าหัวกระไดบ้านไม่เคยแห้งแต่หญิงสาวก็แปลกกลับไปเลือกอยู่กินกับคนที่อายุมากกว่าหล่อนเกือบสองรอบอย่างคุณนพรักษ์ ถึงแม้คุณนพรักษ์จะยังมีเค้าของความหล่อแต่ก็แก่กว่าภารดีหลายปีนัก มีหนุ่ม ๆ ที่อายุน้อยกว่า หล่อกว่า รวยกว่า แต่หล่อนก็ไม่เลือก หลายคนจึงได้แต่เดากันไปต่าง ๆ นา ๆ แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ไม่เคยสนใจและไม่คิดจะแก้ต่างในข้อกล่าวหาที่ใคร ๆ คาดเดากันไปอีกด้วย หล่อนคิดแต่เพียงว่าถ้าหล่อนจะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับใครสักคน คนคนนั้นต้องเป็นคนดี และที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดต้องเข้ากับลูกสาวของหล่อนได้ และคุณ นพรักษ์มีทั้งหมด เมื่อโอกาสพาคนดี ๆ เข้ามา ภารดีจึงไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะเลือกเขา...แต่ภารดีกับคุณนพรักษ์มีข้อตกลงกันว่าถ้าลูกของพวกเขามีปัญหาและไม่สามารถหาทางแก้ไขได้ พวกเขาตกลงจะจบความสัมพันธ์กันแต่โดยดี เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาก็คือลูก!
พริมา...ลูกสาวของหล่อนนั้น พิสูจน์แล้วว่าไม่มีปัญหาใด ๆ โชคดีที่พริมาเป็นเด็กหัวอ่อน หล่อนรักและเชื่อแม่ทุกอย่าง พริมาเชื่อว่าสิ่งที่แม่เลือกให้คือสิ่งที่ดีที่สุด ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลใดเลยที่หล่อนจะคัดค้าน ส่วนนพคุณ ... คนนี้แหละที่น่าเป็นห่วง...นพคุณเป็นลูกชายคนเดียว เขารักแม่มากและเอาแต่ใจตัวเองตามประสาคนโดนตามใจมาตลอดชีวิต การจะให้เขายอมรับแม่ใหม่หรือเมียใหม่ของพ่อย่อมเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก แต่ภารดีก็ยังเชื่อว่าถ้ามีเหตุผลและเวลาเพียงพอ นพคุณจะต้องเข้าใจอย่างแน่นอน แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้ภารดีรู้ว่า...หล่อนต้องเจอกับปัญหาใหญ่พอสมควรรออยู่ในอนาคต เพียงแต่หล่อนจะต้องวางแผนรับมือให้ดีเท่านั้นเอง
นพคุณเกิดและเติบโตที่นี่...นี่คือบ้านของเขา กี่เดือนแล้วหนอที่เขาไม่ได้กลับบ้าน เขาทิ้งบ้านที่เขารักไปนานหลายเดือน รวมถึงทิ้งพ่อไว้ให้อยู่ตามลำพัง เด็กหนุ่มยืนอยู่หน้าบ้านนานจนคนที่ผ่านไปผ่านมาต้องหันมามองด้วยความสงสัย หลายเดือนที่ผ่านมานี้เขาเป็นโรคกลัวบ้าน...เขากลัวบ้านตัวเอง เมื่อห้าเดือนก่อนนพคุณพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ คุณอารีแม่ของเขาจากไปก่อนวัยอันควร เป็นจังหวะที่เขากำลังสอบเข้าเรียนโรงเรียนประจำพอดี มันเป็นโรงเรียนที่เขาเลือกไว้แต่แรกอยู่แล้ว...โรงเรียนดังระดับประเทศที่เฝ้าใฝ่ฝันอยากจะเข้าเรียนนักหนา และไม่ผิดหวังนพคุณสอบเข้าเรียนที่นั่นได้ด้วยคะแนนระดับต้น ๆ
ตอนนี้โรงเรียนปิดเทอมแล้ว...ถึงเวลาที่เขาจะต้องยอมรับความจริงเสียที แม่จากเขาไปแล้วครึ่งปี...และชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป นพคุณจึงตัดสินใจกลับบ้าน เขาจะมาอยู่กับพ่อตลอดช่วงปิดเทอมนี้...มีคนบอกว่าเวลาจะช่วยรักษาความเจ็บปวดได้ ซึ่งเห็นจะจริง เพราะตอนนี้อาการกลัวบ้านของเขาดีขึ้นมาก แต่จะเรียกว่ากลัวบ้านก็คงไม่ถูก มันเป็นความเสียใจมากกว่า ตอนแม่ตายใหม่ ๆ เขาแทบทนอยู่บ้านไม่ได้ เพราะมองไปทางไหนก็มีแต่ความทรงจำ...ความทรงจำที่ย้ำให้รู้ว่าไม่มีแม่อีกต่อไป แต่พอได้มายืนหน้าบ้านในวันนี้...มันก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดมากมายเหมือนเดิม
เด็กหนุ่มมองเข้าไปภายในบ้าน...จากตรงนี้บ้านของเขายังเหมือนเดิม...เหมือนเมื่อตอนที่เขาจากไป นพคุณเห็นความเคลื่อนไหวภายในบ้าน...พ่อเขาหรือเปล่า? ผู้หญิง? จะมีผู้หญิงอยู่ในบ้านได้อย่างไร ในเมื่อบ้านนี้นอกจากแม่ของเขาก็ไม่มีผู้หญิงที่ไหนอีก เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว เขาไขกุญแจเข้าบ้าน...บางทีอาจจะเป็นคนรู้จักหรือเพื่อนของพ่อที่มาทำธุระหรือเยี่ยมเยือนพอดี ระหว่างทางเข้าบ้านเขาเห็นรถจอดอยู่สองคัน แน่นอนคันหนึ่งของพ่อเขา...แต่อีกคันเขาไม่เคยเห็น
“ฮ่า ๆ ลูกแก้ว หนูเก่งนะนี่ สอนเจ้าไก่นี่ขันได้เยอะเชียว” ...เสียงพ่อของเขาดังมาจากสวนหลังบ้าน นพคุณเดินตามเสียงไป เขาเห็นพ่อกำลังคุยกับใครบางคน และเพราะคุณนพรักษ์หันหลังอยู่เขาจึงไม่เห็นว่ามีคนเดินเข้ามา...รวมถึงคู่สนทนาของเขาด้วยเพราะจากมุมนี้คุณนพรักษ์บังตัวใครคนนั้นไว้จนนพคุณมองไม่เห็น และใครคนนั้นก็ไม่เห็นเขาด้วยเหมือนกัน
“จะกินข้าวกันรึยังคะ?” เสียงผู้หญิงถามดังออกมาจากในครัว...ใช่ผู้หญิงที่เขาเห็นแว่บ ๆ เมื่อกี้รึเปล่านะ? นพคุณชะโงกหน้าไปมองและตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นเห็นเขาแล้ว หล่อนตาโตและอุทานออกมาอย่างตกใจ
“เอ๊ะ!” ภารดีตกใจจริง ๆ หล่อนเป็นคนแรกที่เห็นนพคุณ...ภารดีไม่คิดว่าจะได้เจอลูกชายของคุณนพรักษ์ในวันนี้ ...อยู่กันพร้อมหน้าพอดี ช่างมาได้ถูกจังหวะเสียเหลือเกิน คุณนพรักษ์เห็นภรรยาอุทานด้วยความแปลกใจ เขาจึงหันไปมองและได้เห็นว่าภารดีตกใจที่เห็นใคร
“ตาคุณ!” นพคุณแปลกใจ...พ่อเขาดูจะตกใจมากกว่าผู้หญิงคนนั้นเสียอีก และเพราะเขาเป็นคนช่างสังเกตจึงเข้าใจได้ไม่ยากว่าเกิดอะไรขึ้น...ตลอดเวลาที่เขาจากบ้านไปนั้นเขาตกข่าวอะไรไปบ้างนะ?
“อะไรนะ!” เสียงตะโกนด้วยความโกรธของเด็กหนุ่มดังลั่นห้องรับแขกของบ้านหลังใหญ่ ภายในห้องรับแขกนั้นผู้เป็นพ่อถอนใจยาวด้วยความที่รู้จักลูกชายของตนเองดีว่าเมื่อใดที่โมโหหรือต้องการสิ่งใดแล้วไม่เคยมีใครหรืออะไรสามารถขัดใจได้...แต่คราวนี้เขาเข้าใจ มาเจอแบบนี้นพคุณต้องโมโหเป็นธรรมดา...ภาพที่เห็นคือเด็กหนุ่มนั่งหน้าเครียดจ้องหน้าผู้เป็นพ่อตาไม่กระพริบ คุณนพรักษ์รู้ดีว่าลูกชายโกรธ แต่เขาเลี้ยงดูอบรมลูกชายมาเป็นอย่างดี...ถึงนพคุณจะโกรธหรือไม่พอใจแค่ไหนเขาก็มีมารยาทพอ ไม่เคยทำร้ายใครหรือทำลายข้าวของ เพียงแต่เขาจะดื้อและเถียงขาดใจถ้าเห็นว่าสิ่งที่เป็นประเด็นอยู่นั้นตัวเองเป็นฝ่ายถูก
“เรามาคุยกันดี ๆ นะตาคุณ” คุณนพรักษ์ขอร้องเสียงอ่อย เขาผิดเองที่ไม่ได้บอกลูกชายตั้งแต่แรก เพราะเขารู้ดีว่านพคุณต้องรับไม่ได้อย่างแน่นอน
“พ่อมีเวลาคุยกับผมตั้งนานแล้วก่อนหน้านี้ จนเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ยังจะมีอะไรบอกผมอีกเหรอครับ” เด็กหนุ่มเถียงกลับด้วยเสียงอันดังไม่ต่างจากเดิม เขาโกรธพ่อมาก...ปกตินพคุณเป็นคนใจเย็นเขาไม่ชอบทะเลาะหรือโวยวายเสียงดังกับใคร และไม่เคยเลยสักครั้งในชีวิตที่เขาจะตะโกนหรือก้าวร้าวใส่พ่อ...แต่วันนี้เขาทำทุกอย่างที่ทั้งชีวิตไม่เคยทำ นพคุณแปลกใจ...คุณนพรักษ์เป็นคนฉลาดและคิดทุกอย่างรอบคอบเสมอ แต่มาครั้งนี้มันแปลกเกินไป...คนที่คิดอะไรละเอียดรอบคอบ...ฉลาด ทำไมถึงทำแบบนี้...เขารู้ว่าเขาผิดที่ทิ้งพ่อให้อยู่คนเดียว แต่พ่อทำแบบนี้ก็เกินไป พ่อทำกับเขา...กับแม่แบบนี้ได้อย่างไร?
ใช่แล้ว....ผู้เป็นพ่อเถียงไม่ออก จะให้เขาบอกลูกชายว่าอย่างไร? ว่าหลังจากแม่ของเขาตายไปไม่ถึงปีเขาก็มีรักใหม่ และที่สำคัญภรรยาใหม่หรือแม่เลี้ยงของนพคุณนั้น คบหาดูใจกันไม่ถึงสองเดือน...อย่าว่าแต่ลูกชายเขาเลย แม้แต่เขาเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อ แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้คิดได้ว่าชีวิตคนเราช่างสั้นนัก ถ้าพบคนที่ถูกใจและเข้าใจเราได้เป็นอย่างดี คำว่า “เวลา” จะมีความหมายอะไร
“เอาล่ะ พ่อยอมรับผิด ลูกจะให้พ่อทำยังไง?” คุณนพรักษ์ถามอย่างอ่อนใจงานนี้เขาจนปัญญาจริง ๆ เดิมทีเขากับภารดีตกลงกันไว้ว่าจะค่อย ๆ บอกนพคุณทีละนิด และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมพวกเขาค่อยแนะนำให้นพคุณกับภารดีรู้จักกันอย่างเป็นทางการ เขาหวังว่าการที่ลูกชายไปอยู่โรงเรียนประจำเป็นเวลานานน่าจะช่วยให้เขาสามารถทำใจได้ เพื่อให้การที่เขาแต่งงานใหม่ก็จะได้ไม่ดูรวดเร็วจนเกินไป แต่ที่ผิดคาดคือนพคุณกลับมาบ้านก่อนเวลาที่คาดการณ์ไว้ สิ่งที่วางแผนไว้จึงไม่เป็นดังคิด...จวนตัวแบบนี้เล่นเอาคุณนพรักษ์ปวดหัว อยู่เหมือนกัน
เด็กหนุ่มกวาดตามองรอบห้องรับแขก ที่นั่งตรงข้ามกับตนนั้นคือพ่อของเขา...ที่ยามนี้มีสีหน้าหนักใจ สม!...มีอย่างที่ไหน แอบจดทะเบียนอยู่กินกับผู้หญิงที่เจอกันได้ไม่ถึงสองเดือน ข้างกายพ่อนั้นคือผู้หญิงคนนั้น ไม่สิถ้าจะเรียกให้ถูกก็คือแม่เลี้ยงของเขานั่นแหละ ดูภายนอกก็รู้แล้วว่าหล่อนจะต้องใช้มารยาล่อลวงคนแก่ หวังจะจับพ่อเขาล่ะสิ! และหล่อนก็ทำได้สำเร็จอีกด้วย ผู้หญิงคนนี้คำนวณคร่าว ๆ ก็รู้แล้วว่าอายุไม่น่าจะเกินสามสิบห้าด้วยซ้ำ ฮึ! มีอย่างที่ไหนจะมารักกับคนแก่กว่าที่อายุเกือบห้าสิบ...ผู้หญิงบ้าที่ไหนจะมาชอบคนแก่รุ่นราวคราวพ่อ ถ้าไม่หวังสิ่งตอบแทน!
“ฮึ!” เด็กหนุ่มทำเสียงฮึดฮัดอย่างขัดใจ กลับมาคราวนี้เขาเสียใจ...เสียใจไม่ต่างจากตอนที่จากไป ทำไมพ่อไม่บอกเขาสักคำ ความโมโห เสียใจ น้อยใจผสมปนเปกันจนเขาไม่สามารถรับฟังเหตุผลใด ๆ ได้อีก จะมีเหตุผลอะไร? ก็แค่คนแก่ตัณหากลับเจอผู้หญิงสาว ๆ สวย ๆ ออดอ้อนเข้าหน่อยก็หลงกลใจอ่อนจดทะเบียนพาเข้าบ้าน เขาอยากรู้นักว่าหล่อนไปทำอีท่าไหนนะถึงหลอกพ่อที่แสนดีและฉลาดของเขา ได้สำเร็จ คุณนพรักษ์ไม่ใช่คนโง่และ ถ้าผู้หญิงคนนั้นสามารถหลอกพ่อเขาได้แล้วล่ะก็ หล่อนจะต้องฉลาด...ฉลาดมาก!
“แล้วพ่อจะให้ผมทำยังไง” เขาสวนกลับไปด้วยคำถามเดียวกันของบิดา วันนี้เขาทำนิสัยหลายอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เขาไม่เคยเสียงดังใส่พ่อ ไม่เคยโวยวายเสียงดัง ปกติถ้าไม่พอใจเขาจะคุยกันด้วยเหตุผล...แต่วันนี้เขาไม่เห็นเหตุผลอันใดจะเข้าท่าพอให้เข้าใจได้
“มาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าผมบอกให้พ่อหย่า พ่อจะหย่าเหรอครับ?” เด็กหนุ่มพูดเสียงดังพร้อมหันไปมองหน้าตัวต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด...ผู้หญิงคนนั้น คนที่นั่งอยู่ข้างพ่อของเขา หลังจากระบายความโกรธไปพอสมควร เขาจึงมีเวลาพอพินิจพิเคราะห์ลักษณะของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่เลี้ยงได้อย่างถนัดตาเป็นครั้งแรก ผู้หญิงคนนี้ ชื่ออะไรนะ?...ภารดี หล่อนจัดว่าเป็นคนสวยทีเดียว ผิวสีน้ำผึ้ง ร่างเล็กแบบที่ผู้ชายชอบนักหนา เพราะเห็นแล้วน่าทะนุถนอมเหลือเกิน ผมตัดสั้นตามสมัยนิยมของผู้หญิงในยุคปัจจุบัน ดูรวม ๆ แล้วเรียกได้ว่าสวยจัดทีเดียว แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดที่สมกับคำว่า “สวยจัด” นั้น คงจะเป็น...ปาก คนอะไรจะทาปากแดงได้ขนาดนั้น แต่ก็แปลกถ้าดูแค่ปากอย่างเดียวคงเรียกได้ว่าน่าเกลียดเหลือทน แต่พอดูรวม ๆ กันแล้วกลับสวยเด่นสะดุดตา ถัดไป... ข้าง ๆ ผู้หญิงคนนั้น ตลอดเวลาที่เขาตะโกนโวยวายใส่ผู้เป็นพ่ออยู่นั้น เขาไม่ทันสังเกตเลย...เด็กผู้หญิง เขาเห็นหน้าหล่อนไม่ถนัดนักเพราะเด็กหญิงเอาแต่ก้มหน้า เหอะ! แม่หม้ายลูกติด ถึงว่า...คงจะใช้มารยาหลอกพ่อเขาได้อย่างไม่ยากนัก พ่อนี่ก็แปลกเมียใหม่หรือแม่เลี้ยงเขาคนนี้ ถ้าเทียบกับแม่เขาแล้วต่างกันชนิดที่เรียกได้ว่าจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว...ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักนิด ต่างกันราวฟ้ากับเหว คุณนพรักษ์เห็นสายตาของลูกชายก็รีบตัดบท
“ลูกเพิ่งมาถึง คงจะเหนื่อย ขึ้นห้องไปพักผ่อนก่อนเถอะ” ให้ลูกชายเขาได้สงบสติอารมณ์ก่อนแล้วค่อยคุยกันใหม่น่าจะดีกว่า คุยกันตอนนี้...ในขณะที่เต็มไปด้วยอารมณ์มีแต่จะพูดอะไรให้เสียใจกันเปล่า ๆ
“ก็ยังดีนะครับที่ยังเหลือห้อง ... เหลือที่ไว้ให้ผม” นพคุณพูดจบเขาลุกเดินขึ้นห้องตัวเองไปไม่แม้จะหันกลับมามองอีกเลย
“เฮ้อ....” เสียงผู้เป็นพ่อถอนใจ
“คิก คิก” เสียงหัวเราะสดใสของสาวปากแดงข้างตัวดังขึ้นเมื่อแน่ใจว่าเด็กหนุ่มเจ้าปัญหาเดินจากไปพ้นรัศมีการได้ยินแล้ว
ตลอดเวลาที่หญิงสาวนั่งปั้นหน้าขรึมอยู่ข้างสามีนั้น แทนที่จะมีอารมณ์โมโหหรือไม่ชอบใจในพฤติกรรมของหนุ่มน้อยคนนั้น หล่อนกลับรู้สึกสนุกและท้ายทายมากกว่า ภารดีเข้าใจหัวอกของนพคุณดี เพราะถ้าเป็นหล่อนก็คงจะรู้สึกแบบเดียวกันกับเขา หรืออาจจะหัวฟัดหัวเหวี่ยงพูดจาร้ายกาจกว่านี้หลายเท่านัก...ภารดีดูออกถึงแม้จะโมโหเพียงใดอย่างน้อยเด็กหนุ่มก็ยังมีมารยาทไม่แสดงกิริยาเกรี้ยวกราดด่าทอหรือบริพาสถ้อยคำหยาบคายใด ๆ ใส่หล่อน ซึ่งถ้าเป็นหล่อนตอนอายุเท่าเขาคงจะอาละวาดบ้านแตกไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเป็นแน่
“คุณพิมพ์! ยังจะมานั่งขำอีก” คุณนพรักษ์ถอนใจ
“ก็มันน่าสนุกนี่คะ” ภารดีหัวเราะ เสียงหัวเราะของหล่อนกังวานใสพร้อมกันกับรอยยิ้ม...ซึ่งเมื่อมันอยู่ด้วยกันแล้วช่างน่ามองยิ่งนัก
“สนุกอะไรกัน ผมบอกคุณแล้วว่าจะต้องเกิดปัญหาใหญ่แน่ ๆ “ คุณนพรักษ์ท้อใจ ปัญหานี้เขาไม่รู้จะเริ่มแก้ไขอย่างไรก่อนดี
“เอาน่า! รอดูไปสักพัก... ให้เวลากับแกหน่อย ช่วงนี้แกอาจจะเหวี่ยง ๆ ไปบ้าง แต่พอนานวันไปพิมพ์ว่าแกต้องเข้าใจแน่ ๆ ค่ะ คุณรู้ไหมลูกชายคุณน่ะยังแรงไม่ถึงครึ่งของพิมพ์ตอนอายุเท่าเขาเลยด้วยซ้ำ ถ้าจะแสบกว่าเขาก็พิมพ์ตอนอายุสิบหกนี่แหละค่ะ แบบลูกชายคุณน่ะจิ๊บ ๆ”
“ผมเชื่อว่าคุณแสบ แต่ผมแก่แล้วยังไงก็เพลา ๆ พลังกันบ้างนะ”
ภารดีเป็นสาววัย 32 ปี แม่หม้ายสาวสวยที่ใคร ๆ ก็หมายปอง ตอนที่ใคร ๆ รู้ข่าวว่าหล่อนจดทะเบียนอยู่กินกับคนที่แก่กว่าหล่อนเป็นสิบปี...ข้าราชการหนุ่มใหญ่ที่พบกันได้ไม่ถึงสามเดือน มีแต่คนประหลาดใจ เพราะก่อนหน้านี้มีชายหนุ่มเข้ามาจีบหล่อนไม่ขาดสาย เรียกว่าหัวกระไดบ้านไม่เคยแห้งแต่หญิงสาวก็แปลกกลับไปเลือกอยู่กินกับคนที่อายุมากกว่าหล่อนเกือบสองรอบอย่างคุณนพรักษ์ ถึงแม้คุณนพรักษ์จะยังมีเค้าของความหล่อแต่ก็แก่กว่าภารดีหลายปีนัก มีหนุ่ม ๆ ที่อายุน้อยกว่า หล่อกว่า รวยกว่า แต่หล่อนก็ไม่เลือก หลายคนจึงได้แต่เดากันไปต่าง ๆ นา ๆ แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ไม่เคยสนใจและไม่คิดจะแก้ต่างในข้อกล่าวหาที่ใคร ๆ คาดเดากันไปอีกด้วย หล่อนคิดแต่เพียงว่าถ้าหล่อนจะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับใครสักคน คนคนนั้นต้องเป็นคนดี และที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดต้องเข้ากับลูกสาวของหล่อนได้ และคุณ นพรักษ์มีทั้งหมด เมื่อโอกาสพาคนดี ๆ เข้ามา ภารดีจึงไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะเลือกเขา...แต่ภารดีกับคุณนพรักษ์มีข้อตกลงกันว่าถ้าลูกของพวกเขามีปัญหาและไม่สามารถหาทางแก้ไขได้ พวกเขาตกลงจะจบความสัมพันธ์กันแต่โดยดี เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาก็คือลูก!
พริมา...ลูกสาวของหล่อนนั้น พิสูจน์แล้วว่าไม่มีปัญหาใด ๆ โชคดีที่พริมาเป็นเด็กหัวอ่อน หล่อนรักและเชื่อแม่ทุกอย่าง พริมาเชื่อว่าสิ่งที่แม่เลือกให้คือสิ่งที่ดีที่สุด ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลใดเลยที่หล่อนจะคัดค้าน ส่วนนพคุณ ... คนนี้แหละที่น่าเป็นห่วง...นพคุณเป็นลูกชายคนเดียว เขารักแม่มากและเอาแต่ใจตัวเองตามประสาคนโดนตามใจมาตลอดชีวิต การจะให้เขายอมรับแม่ใหม่หรือเมียใหม่ของพ่อย่อมเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก แต่ภารดีก็ยังเชื่อว่าถ้ามีเหตุผลและเวลาเพียงพอ นพคุณจะต้องเข้าใจอย่างแน่นอน แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้ภารดีรู้ว่า...หล่อนต้องเจอกับปัญหาใหญ่พอสมควรรออยู่ในอนาคต เพียงแต่หล่อนจะต้องวางแผนรับมือให้ดีเท่านั้นเอง
เวลา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ต.ค. 2562, 20:07:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ต.ค. 2562, 20:07:52 น.