เลื่อมลายพรายจันทร์: ดุจดาริน (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
'ดมิสา' เกิดมาพร้อมกับสิ่งที่ถูกเรียกว่า พลังจิต
ท่ามกลางชีวิตที่ราวกับถูกสาปด้วย พร จาก สวรรค์
เธอได้พบกับชายหนุ่มแสนดีที่พร้อมจะฉุดเธอออกมาจากเรือนเสน่ห์จันทน์
...โดยหารู้ไม่ว่าเขามีแผนการบางอย่างกับเธอ…
'จิณไตย' สูญเสียภรรยาไปถึงสองคนจากการแต่งงานสองครั้ง
และที่สำคัญ ภรรยาทั้งสองของเขากำลังตั้งครรภ์ด้วย
ชายหนุ่มตกอยู่ในภวังค์แห่งฝันร้าย และความไม่เข้าใจในสิ่งที่เผชิญ
โดยไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์ฆาตกรรมทั้งหมดนั้น มีใครคนหนึ่งอยู่เบื้องหลัง…
'ใคร' ที่หมายจะสังหารภรรยาทุกคนของเขาให้ตายคามือ!!!
**************
นิยายเรื่องนี้แต่งโดย ดุจดาริน(พิมาลินย์) และตีพิมพ์โดย "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ เรื่องนี้เป็นนิยายรัก สยองขวัญ นางเอกเป็นหมอเด็กที่มีพลังจิต! และสามารถมองเห็นภูตผีวิญญาณได้ค่ะ ระวัง อย่าทำให้นางโกรธเชียว…
*******************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
สั่งซื้อเลื่อมลายพรายจันทร์ ราคา 308฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 348฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 368฿)
ราคาสั่งซื้อแพ็ก 4 เล่ม (เลื่อมลายพรายจันทร์ ราคีสีเพลิง มาลีเริงไฟ และม่านมนตกานต์) 1,052฿ (จากราคาเต็ม 1,174฿)
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 65฿ (รวมเป็น 1,117฿)
ค่าจัดส่ง EMS 90฿ (รวมเป็น 1,142฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
**************
หมายเหตุ: นิยายเรื่องนี้เป็นซีรีส์ "ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์" มีทั้งหมด 4 เรื่อง แต่งโดยนักเขียน 3 ท่าน ดังนี้
-ราคีสีเพลิง แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา) ดุจดาริน (พิมาลินย์) รางนาก (สะมะเรีย)
-มาลีเริงไฟ แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา)
-เลื่อมลายพรายจันทร์ แต่งโดย ดุจดาริน (พิมาลินย์)
-ม่านมนตกานต์ แต่งโดย รางนาก (สะมะเรีย)
*******************
จุดเชื่อมโยงคือ 'ยายเจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์' ยายของหลานๆ ทั้ง 4 ซึ่งเป็นตัวเอกของทั้ง 4 เรื่องด้านบนเลยจ้าแต่ละเรื่องก็เป็นเรื่องราวของหลานๆ แต่ละคนแตกต่างกันไป
(เลื่อมลายพรายจันทร์ เป็นเรื่องราวของหลานสาวคนรองในบ้านเสน่ห์จันทน์ค่ะ)
ท่ามกลางชีวิตที่ราวกับถูกสาปด้วย พร จาก สวรรค์
เธอได้พบกับชายหนุ่มแสนดีที่พร้อมจะฉุดเธอออกมาจากเรือนเสน่ห์จันทน์
...โดยหารู้ไม่ว่าเขามีแผนการบางอย่างกับเธอ…
'จิณไตย' สูญเสียภรรยาไปถึงสองคนจากการแต่งงานสองครั้ง
และที่สำคัญ ภรรยาทั้งสองของเขากำลังตั้งครรภ์ด้วย
ชายหนุ่มตกอยู่ในภวังค์แห่งฝันร้าย และความไม่เข้าใจในสิ่งที่เผชิญ
โดยไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์ฆาตกรรมทั้งหมดนั้น มีใครคนหนึ่งอยู่เบื้องหลัง…
'ใคร' ที่หมายจะสังหารภรรยาทุกคนของเขาให้ตายคามือ!!!
**************
นิยายเรื่องนี้แต่งโดย ดุจดาริน(พิมาลินย์) และตีพิมพ์โดย "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ เรื่องนี้เป็นนิยายรัก สยองขวัญ นางเอกเป็นหมอเด็กที่มีพลังจิต! และสามารถมองเห็นภูตผีวิญญาณได้ค่ะ ระวัง อย่าทำให้นางโกรธเชียว…
*******************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
สั่งซื้อเลื่อมลายพรายจันทร์ ราคา 308฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 348฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 368฿)
ราคาสั่งซื้อแพ็ก 4 เล่ม (เลื่อมลายพรายจันทร์ ราคีสีเพลิง มาลีเริงไฟ และม่านมนตกานต์) 1,052฿ (จากราคาเต็ม 1,174฿)
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 65฿ (รวมเป็น 1,117฿)
ค่าจัดส่ง EMS 90฿ (รวมเป็น 1,142฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
**************
หมายเหตุ: นิยายเรื่องนี้เป็นซีรีส์ "ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์" มีทั้งหมด 4 เรื่อง แต่งโดยนักเขียน 3 ท่าน ดังนี้
-ราคีสีเพลิง แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา) ดุจดาริน (พิมาลินย์) รางนาก (สะมะเรีย)
-มาลีเริงไฟ แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา)
-เลื่อมลายพรายจันทร์ แต่งโดย ดุจดาริน (พิมาลินย์)
-ม่านมนตกานต์ แต่งโดย รางนาก (สะมะเรีย)
*******************
จุดเชื่อมโยงคือ 'ยายเจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์' ยายของหลานๆ ทั้ง 4 ซึ่งเป็นตัวเอกของทั้ง 4 เรื่องด้านบนเลยจ้าแต่ละเรื่องก็เป็นเรื่องราวของหลานๆ แต่ละคนแตกต่างกันไป
(เลื่อมลายพรายจันทร์ เป็นเรื่องราวของหลานสาวคนรองในบ้านเสน่ห์จันทน์ค่ะ)
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 7 -40%
สวัสดีปีใหม่รีดเดอร์เรื่องนี้บ้าง ^_^ มีข่าวดีมาแจ้งด้วยจ้า เลื่อมลายพรายจันทร์ส่งเข้าโรงพิมพ์แล้วนะคะ ฮี่ๆ ใครสั่งจองไว้คอยติดตามความเคลื่อนไหวที่เพจสนพ.น้าาาา ส่วน eBook ติดโบแดง best seller ที่ Mebmarket เรียบร้อยค่ะ ดีใจอ่า ฮือ ขอบคุณมากๆๆๆๆเลยนะคะ ชื่นใจที่ซู๊ดดดดดดดดด
************************
ดมิสาเดินขึ้นบันไดบ้านเสน่ห์จันทน์ท่ามกลางความมืด ที่มีเพียงแสงจันทร์นำทาง เธอเดินเหมือนตัวลอย เหมือนไม่ค่อยรู้สึกตัวเท่าไร
แต่ก็ไม่ได้รู้ตัวว่ากำลังหลับฝัน...
หญิงสาวเปิดประตูเข้ามาในห้องนอน เธอพบบุญเลิศที่นั่นเหมือน เดิม แต่เพิ่มเติมคือวิญญาณเด็กชายอายุราวแปดขวบสวมโจงกระเบนสีทอง ไม่สวมเสื้อ ศีรษะทุยได้รูปโดยรอบไม่มีผม ยกเว้นตรงกลางกระหม่อมที่ทำจุกผมไว้ภายในรัดเกล้าสีทอง เขาเป็นเด็กชายหน้าตาดี มีออร่าวิญญาณสีขาว ซึ่งดมิสาได้เรียนรู้ว่าออร่าสีนี้สามารถเชื่อใจได้มากกว่าสีดำหรือเทาเข้ม
“หนูเป็นใครจ๊ะ” เธอถาม ก่อนเดินไปใกล้
กุมารนั้นนั่งอยู่บนเตียงโดยมีบุญเลิศนอนตัก ดมิสาไม่ทันสังเกตว่าเมื่อบุญเลิศลุกกระโดดลงจากเตียงวิ่งมาหา เธอสามารถก้มลงลูบหัวมันได้เหมือนตอนก่อนที่มันจะตายกลายเป็นวิญญาณ ดมิสาเดินนำบุญเลิศมาถึงที่ตั้งของเตียง ก่อนนั่งลงข้างเด็กชายผู้มาเยือน
หญิงสาวมองสบตาเด็กชายที่เงยหน้ามองเธอเช่นกัน ความผูกพันลึกล้ำก่อตัวอย่างประหลาด แม้ไม่รู้จัก ก็เหมือนรู้จัก แม้ไม่เคยพานพบ กลับเหมือนคุ้นเคยกันมานาน
นานแสนนาน...
‘สุวรรณชื่อสุวรรณ’ เขาเปิดปากพูดด้วยเสียงไพเราะ ‘สุวรรณอยู่ในสร้อยเส้นนั้นคับ’
ดมิสามองตามที่เขาชี้ เห็นจี้เครื่องรางที่เจิมจันทร์ให้มาก็ไม่แปลกใจที่จะมีวิญญาณสิงสู่ นับตั้งแต่มองเห็นสิ่งลี้ลับในโลกอีกใบ ในแต่ละสิ่งของบางครั้งมี ‘เจ้าของเก่า’ ติดมา และบางสิ่งมีเจ้าของเก่ามากมายจนน่างุนงงว่าอัดกันเข้าไปอาศัยอยู่ได้อย่างไรกับของชิ้นเล็กนิดเดียวอย่างเช่นเพชรเจีย ระไนเก่าแก่ที่ตั้งแสดงในงานประมูลเพชรที่นิวยอร์ก ดมิสาเห็นว่ามีวิญญาณรักษาอัญมณีนับไม่ถ้วนคอยดูแลเพชรเม็ดนั้น
เมื่อนำเรื่องนี้มาถามพระดิน หลวงลุงก็ยิ้มและตอบว่า
‘ครั้งหนึ่ง...หลวงปู่ดุลย์ อตุโล ท่านก็เคยตอบคำถามนี้ เกี่ยวกับเทวดาจำนวนมากที่มาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าก่อนปรินิพพาน ท่านกล่าวว่า เทวดาจะมาชุมนุมกันจำนวนกี่ล้านโกฏิก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะในเนื้อที่หนึ่งปรมา ณู เทวดาอยู่ได้ถึงแปดองค์’
‘หนึ่งปรมาณู...คือยังไงคะหลวงลุง’
‘อย่างนี้นะโยมมิ้งค์’ ท่านผายมือออก และมีกระรอกป่าตัวหนึ่งในวัดกระโดดขึ้นบนมืออุ่นศีลของท่านเจ้าอาวาส ‘ร่างกายของคนและสัตว์ มีรูปขึ้นมาได้นั้นเกิดจากสมุฏฐาน ๔ คือเกิดรูปจากกรรม จิต อุตุ อาหาร การเกิดรูปเนี่ยจะเกิดเป็นกลุ่ม เป็นหมวด เป็นมัด อย่างมัดกล้ามเนื้อนั่นอย่าง ไร’
ดมิสาร้องอ๋อพลางพยักหน้ารับ
‘มัดที่เล็กที่สุด ละเอียดที่สุดเรียกว่ารูปกลาป ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาหยาบ พระอาจารย์ท่านหนึ่งเคยเทียบรูปกลาปกับส่วนศีรษะของเหาแบบนี้
๑ ศีรษะเหา เท่ากับ ๗ ลิกขาณู
๑ ลิกขาณู เท่ากับ ๒๖ รถาเรณู
๑ รถาเรณู เท่ากับ ๓๖ ตัชชารี
๑ ตัชชารี เท่ากับ ๓๖ อณู
๑ อณู เท่ากับ ๓๖ ปรมาณู
และ ๑ ปรมาณู เท่ากับ ๑ กลาป’
ท่านยิ้มเมื่อเห็นดมิสาอ้าปากน้อยๆ อย่างประหลาดใจ
‘หนึ่งปรมาณูหรือหนึ่งกลาปนี่แหละที่เทวดาสามารถอยู่กันได้ถึงแปดองค์ ศีรษะเหาโยมมองว่าเล็กแล้ว หนึ่งปรมาณูนั้นเล็กกว่าหลายล้านเท่า อธิบายแบบนี้โยมเข้าใจไหม’
ดมิสาหัวเราะ
‘เข้าใจแจ่มแจ้งเลยค่ะหลวงลุง’
ดังนั้นแล้วหากจะมีวิญญาณสิงสถิตในจี้เครื่องรางจึงไม่น่าแปลกใจ ดมิสาค้นพบว่าวิญญาณส่วนใหญ่มักสถิตในสิ่งที่ตนรัก ผูกพัน หวงแหน หรือไม่ก็ชอบพอ พึงใจ หญิงสาวยังเคยแปลกใจที่ไม่มีวิญญาณสถิตในจี้อันเก่าที่เจิมจันทร์มอบไว้ให้ เพราะส่วนใหญ่แล้วพวกหินสี อัญมณีที่มีพลัง มักมีวิญญาณสถิตอยู่ทั้งนั้น แต่ส่วนใหญ่วิญญาณในหินจะรักสงบสมกับอยู่ในสิ่งที่เยือกเย็น จึงไม่ค่อยออกมาวุ่นวายภายนอก
“สุวรรณอยู่มานานหรือยังจ๊ะ” หญิงสาวถามไถ่ “ทำไมเพิ่งออกมาให้พี่เห็นล่ะ”
‘นานคับ’ เด็กชายตอบ ‘สุวรรณไม่กล้าออกมาคับ สุวรรณกลัวคุณทะ...เอ่อ กลัวคุณยายที่อยู่ห้องทางโน้น’ เขาชี้มือไปยังทิศที่ตั้งห้องนอนของเจิมจันทร์ ดมิสาจึงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เจิมจันทร์ดูเป็นหญิงชราที่ดุดันลึกลับ เป็นคนนำหินสีนี้มาให้เธอด้วย สุวรรณคงรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง ละเอียดอ่อนกว่าที่มนุษย์แบบเธอรับรู้สัมผัส
‘พี่มิ้งค์ อย่าบอกคุณยายคนนั้นนะคับว่าเห็นสุวรรณ’
ดมิสายิ้มรับ ถึงสุวรรณไม่ขอ เธอก็ไม่มีทางพูดเรื่องนี้กับเจิมจันทร์อยู่แล้ว
“จ้ะ เป็นความลับของเรานะ”
สุวรรณยิ้มแต้ตอบ ก่อนลงจากเตียงไปอุ้มบุญเลิศขึ้นมาบนเตียงด้วยกัน เขาตบหมอนเชื้อเชิญให้หญิงสาวนอนลง ก่อนทิ้งตัวนอนลงข้างกายดมิสาคนละฝั่งกับบุญเลิศ ดมิสารู้สึกครึ่งตื่น ครึ่งหลับ ตกอยู่ในภวังค์ราวกับจิตจะลอยออกจากร่าง สลับกับลอยกลับเข้าร่าง แล้วทุกอย่างก็มืดสนิท...กระทั่งเสียงนกร้องและแสงแดดยามเช้าส่องเข้ามาภายในห้อง
ดมิสาลืมตาตื่น รับรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือความฝัน
แต่เด็กชายร่างโปร่งใสที่นอนอ้าแขนอ้าขาหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงนอนของเธออย่างที่ดมิสาไม่ค่อยได้เห็นวิญญาณนอนหลับสนิทแบบนี้เท่าไร ก็ราวกับจะตอกย้ำว่าเหตุการณ์เมื่อคืนนั้น เด็กชายใช้พลังอย่างมากในการเข้า ฝันเธอเพื่อบอกเรื่องราวของตัวเอง
หญิงสาวลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เด็กชายบนเตียงก็ไม่มีท่าทีว่าจะตื่น จนเจ้าหมาบุญเลิศกระโดดขึ้นเตียงไปเลียหน้าเลียตา สุวรรณจึงลืมตางัวเงีย ก่อนหัวเราะคิกแล้วกอดคอสุนัขขนปุยฟัดเหวี่ยงกันอยู่บนเตียงนอนอย่างสนุกสนาน
ดมิสามองแล้วยิ้ม...
เธอไม่ได้ยินเสียงหัวเราะที่บ้านนี้มานานแค่ไหนแล้วหนอ...
((eBook โหลดได้ที่เว็บ mebmarket))
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
************************
ดมิสาเดินขึ้นบันไดบ้านเสน่ห์จันทน์ท่ามกลางความมืด ที่มีเพียงแสงจันทร์นำทาง เธอเดินเหมือนตัวลอย เหมือนไม่ค่อยรู้สึกตัวเท่าไร
แต่ก็ไม่ได้รู้ตัวว่ากำลังหลับฝัน...
หญิงสาวเปิดประตูเข้ามาในห้องนอน เธอพบบุญเลิศที่นั่นเหมือน เดิม แต่เพิ่มเติมคือวิญญาณเด็กชายอายุราวแปดขวบสวมโจงกระเบนสีทอง ไม่สวมเสื้อ ศีรษะทุยได้รูปโดยรอบไม่มีผม ยกเว้นตรงกลางกระหม่อมที่ทำจุกผมไว้ภายในรัดเกล้าสีทอง เขาเป็นเด็กชายหน้าตาดี มีออร่าวิญญาณสีขาว ซึ่งดมิสาได้เรียนรู้ว่าออร่าสีนี้สามารถเชื่อใจได้มากกว่าสีดำหรือเทาเข้ม
“หนูเป็นใครจ๊ะ” เธอถาม ก่อนเดินไปใกล้
กุมารนั้นนั่งอยู่บนเตียงโดยมีบุญเลิศนอนตัก ดมิสาไม่ทันสังเกตว่าเมื่อบุญเลิศลุกกระโดดลงจากเตียงวิ่งมาหา เธอสามารถก้มลงลูบหัวมันได้เหมือนตอนก่อนที่มันจะตายกลายเป็นวิญญาณ ดมิสาเดินนำบุญเลิศมาถึงที่ตั้งของเตียง ก่อนนั่งลงข้างเด็กชายผู้มาเยือน
หญิงสาวมองสบตาเด็กชายที่เงยหน้ามองเธอเช่นกัน ความผูกพันลึกล้ำก่อตัวอย่างประหลาด แม้ไม่รู้จัก ก็เหมือนรู้จัก แม้ไม่เคยพานพบ กลับเหมือนคุ้นเคยกันมานาน
นานแสนนาน...
‘สุวรรณชื่อสุวรรณ’ เขาเปิดปากพูดด้วยเสียงไพเราะ ‘สุวรรณอยู่ในสร้อยเส้นนั้นคับ’
ดมิสามองตามที่เขาชี้ เห็นจี้เครื่องรางที่เจิมจันทร์ให้มาก็ไม่แปลกใจที่จะมีวิญญาณสิงสู่ นับตั้งแต่มองเห็นสิ่งลี้ลับในโลกอีกใบ ในแต่ละสิ่งของบางครั้งมี ‘เจ้าของเก่า’ ติดมา และบางสิ่งมีเจ้าของเก่ามากมายจนน่างุนงงว่าอัดกันเข้าไปอาศัยอยู่ได้อย่างไรกับของชิ้นเล็กนิดเดียวอย่างเช่นเพชรเจีย ระไนเก่าแก่ที่ตั้งแสดงในงานประมูลเพชรที่นิวยอร์ก ดมิสาเห็นว่ามีวิญญาณรักษาอัญมณีนับไม่ถ้วนคอยดูแลเพชรเม็ดนั้น
เมื่อนำเรื่องนี้มาถามพระดิน หลวงลุงก็ยิ้มและตอบว่า
‘ครั้งหนึ่ง...หลวงปู่ดุลย์ อตุโล ท่านก็เคยตอบคำถามนี้ เกี่ยวกับเทวดาจำนวนมากที่มาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าก่อนปรินิพพาน ท่านกล่าวว่า เทวดาจะมาชุมนุมกันจำนวนกี่ล้านโกฏิก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะในเนื้อที่หนึ่งปรมา ณู เทวดาอยู่ได้ถึงแปดองค์’
‘หนึ่งปรมาณู...คือยังไงคะหลวงลุง’
‘อย่างนี้นะโยมมิ้งค์’ ท่านผายมือออก และมีกระรอกป่าตัวหนึ่งในวัดกระโดดขึ้นบนมืออุ่นศีลของท่านเจ้าอาวาส ‘ร่างกายของคนและสัตว์ มีรูปขึ้นมาได้นั้นเกิดจากสมุฏฐาน ๔ คือเกิดรูปจากกรรม จิต อุตุ อาหาร การเกิดรูปเนี่ยจะเกิดเป็นกลุ่ม เป็นหมวด เป็นมัด อย่างมัดกล้ามเนื้อนั่นอย่าง ไร’
ดมิสาร้องอ๋อพลางพยักหน้ารับ
‘มัดที่เล็กที่สุด ละเอียดที่สุดเรียกว่ารูปกลาป ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาหยาบ พระอาจารย์ท่านหนึ่งเคยเทียบรูปกลาปกับส่วนศีรษะของเหาแบบนี้
๑ ศีรษะเหา เท่ากับ ๗ ลิกขาณู
๑ ลิกขาณู เท่ากับ ๒๖ รถาเรณู
๑ รถาเรณู เท่ากับ ๓๖ ตัชชารี
๑ ตัชชารี เท่ากับ ๓๖ อณู
๑ อณู เท่ากับ ๓๖ ปรมาณู
และ ๑ ปรมาณู เท่ากับ ๑ กลาป’
ท่านยิ้มเมื่อเห็นดมิสาอ้าปากน้อยๆ อย่างประหลาดใจ
‘หนึ่งปรมาณูหรือหนึ่งกลาปนี่แหละที่เทวดาสามารถอยู่กันได้ถึงแปดองค์ ศีรษะเหาโยมมองว่าเล็กแล้ว หนึ่งปรมาณูนั้นเล็กกว่าหลายล้านเท่า อธิบายแบบนี้โยมเข้าใจไหม’
ดมิสาหัวเราะ
‘เข้าใจแจ่มแจ้งเลยค่ะหลวงลุง’
ดังนั้นแล้วหากจะมีวิญญาณสิงสถิตในจี้เครื่องรางจึงไม่น่าแปลกใจ ดมิสาค้นพบว่าวิญญาณส่วนใหญ่มักสถิตในสิ่งที่ตนรัก ผูกพัน หวงแหน หรือไม่ก็ชอบพอ พึงใจ หญิงสาวยังเคยแปลกใจที่ไม่มีวิญญาณสถิตในจี้อันเก่าที่เจิมจันทร์มอบไว้ให้ เพราะส่วนใหญ่แล้วพวกหินสี อัญมณีที่มีพลัง มักมีวิญญาณสถิตอยู่ทั้งนั้น แต่ส่วนใหญ่วิญญาณในหินจะรักสงบสมกับอยู่ในสิ่งที่เยือกเย็น จึงไม่ค่อยออกมาวุ่นวายภายนอก
“สุวรรณอยู่มานานหรือยังจ๊ะ” หญิงสาวถามไถ่ “ทำไมเพิ่งออกมาให้พี่เห็นล่ะ”
‘นานคับ’ เด็กชายตอบ ‘สุวรรณไม่กล้าออกมาคับ สุวรรณกลัวคุณทะ...เอ่อ กลัวคุณยายที่อยู่ห้องทางโน้น’ เขาชี้มือไปยังทิศที่ตั้งห้องนอนของเจิมจันทร์ ดมิสาจึงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เจิมจันทร์ดูเป็นหญิงชราที่ดุดันลึกลับ เป็นคนนำหินสีนี้มาให้เธอด้วย สุวรรณคงรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง ละเอียดอ่อนกว่าที่มนุษย์แบบเธอรับรู้สัมผัส
‘พี่มิ้งค์ อย่าบอกคุณยายคนนั้นนะคับว่าเห็นสุวรรณ’
ดมิสายิ้มรับ ถึงสุวรรณไม่ขอ เธอก็ไม่มีทางพูดเรื่องนี้กับเจิมจันทร์อยู่แล้ว
“จ้ะ เป็นความลับของเรานะ”
สุวรรณยิ้มแต้ตอบ ก่อนลงจากเตียงไปอุ้มบุญเลิศขึ้นมาบนเตียงด้วยกัน เขาตบหมอนเชื้อเชิญให้หญิงสาวนอนลง ก่อนทิ้งตัวนอนลงข้างกายดมิสาคนละฝั่งกับบุญเลิศ ดมิสารู้สึกครึ่งตื่น ครึ่งหลับ ตกอยู่ในภวังค์ราวกับจิตจะลอยออกจากร่าง สลับกับลอยกลับเข้าร่าง แล้วทุกอย่างก็มืดสนิท...กระทั่งเสียงนกร้องและแสงแดดยามเช้าส่องเข้ามาภายในห้อง
ดมิสาลืมตาตื่น รับรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือความฝัน
แต่เด็กชายร่างโปร่งใสที่นอนอ้าแขนอ้าขาหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงนอนของเธออย่างที่ดมิสาไม่ค่อยได้เห็นวิญญาณนอนหลับสนิทแบบนี้เท่าไร ก็ราวกับจะตอกย้ำว่าเหตุการณ์เมื่อคืนนั้น เด็กชายใช้พลังอย่างมากในการเข้า ฝันเธอเพื่อบอกเรื่องราวของตัวเอง
หญิงสาวลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เด็กชายบนเตียงก็ไม่มีท่าทีว่าจะตื่น จนเจ้าหมาบุญเลิศกระโดดขึ้นเตียงไปเลียหน้าเลียตา สุวรรณจึงลืมตางัวเงีย ก่อนหัวเราะคิกแล้วกอดคอสุนัขขนปุยฟัดเหวี่ยงกันอยู่บนเตียงนอนอย่างสนุกสนาน
ดมิสามองแล้วยิ้ม...
เธอไม่ได้ยินเสียงหัวเราะที่บ้านนี้มานานแค่ไหนแล้วหนอ...
((eBook โหลดได้ที่เว็บ mebmarket))
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ม.ค. 2563, 09:47:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ม.ค. 2563, 09:47:32 น.
จำนวนการเข้าชม : 687
<< บทที่ 6 -100% | บทที่ 7 -70% >> |