วานวาสนา: ร่มเกศ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เรื่องย่อ:
เมื่อทุกอย่างสูญสิ้น ‘น้อย’ ชายหนุ่มชีวิตอาภัพ จำต้องออกเดินทางจากบ้านสู่พระนครที่ห่างไกล เพื่อตามหาหญิงสาวอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคและความผิดหวังซ้ำๆ ‘เพชราวสี’ คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นแก้วมณีที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แต่ก็ต้องฝันสลาย เพราะแก้วมณีดวงนี้ได้ถูกจองให้แก่ ‘หม่อมเจ้าภาณุมาศ’ เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ทุกอย่างคงจะเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น หากโลกไม่หมุนคนที่แตกต่างทั้งสองคนให้มาพบเจอกัน
หนึ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ กับแววตาอ่อนหวานละไมของเธอ เป็นดั่งแสงสว่างนำพาชายหนุ่มที่สิ้นหวังก้าวไปสู่โลกอีกใบที่ไม่เคยค้นพบ จากความประทับใจ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก
ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มอ่อนแอ จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อเอาชนะคำดูถูกของทุกคน การหาคำตอบว่าตัวเองเป็นใครจึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางปริศนา ปมความรักต่างชนชั้น เรื่องราวเลวร้ายมากมายที่เขาจะต้องเผชิญและจับมือฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกันกับเธอ
. . . . . . . . . . . . . .
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ร่มเกศ" เป็นหนึ่งในนิยายจากโครงการ "ช่องวันอ่านเอา" ที่ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง One31 และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 50% ของเรื่องนะคะ
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่ม
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 600 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 409฿ จากราคาปก 454฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 454฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 479฿)
ค่าจัดส่ง Kerry 65฿ (รวมเป็น 474฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann***
เมื่อทุกอย่างสูญสิ้น ‘น้อย’ ชายหนุ่มชีวิตอาภัพ จำต้องออกเดินทางจากบ้านสู่พระนครที่ห่างไกล เพื่อตามหาหญิงสาวอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคและความผิดหวังซ้ำๆ ‘เพชราวสี’ คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นแก้วมณีที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แต่ก็ต้องฝันสลาย เพราะแก้วมณีดวงนี้ได้ถูกจองให้แก่ ‘หม่อมเจ้าภาณุมาศ’ เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ทุกอย่างคงจะเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น หากโลกไม่หมุนคนที่แตกต่างทั้งสองคนให้มาพบเจอกัน
หนึ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ กับแววตาอ่อนหวานละไมของเธอ เป็นดั่งแสงสว่างนำพาชายหนุ่มที่สิ้นหวังก้าวไปสู่โลกอีกใบที่ไม่เคยค้นพบ จากความประทับใจ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก
ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มอ่อนแอ จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อเอาชนะคำดูถูกของทุกคน การหาคำตอบว่าตัวเองเป็นใครจึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางปริศนา ปมความรักต่างชนชั้น เรื่องราวเลวร้ายมากมายที่เขาจะต้องเผชิญและจับมือฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกันกับเธอ
. . . . . . . . . . . . . .
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ร่มเกศ" เป็นหนึ่งในนิยายจากโครงการ "ช่องวันอ่านเอา" ที่ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง One31 และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 50% ของเรื่องนะคะ
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่ม
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 600 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 409฿ จากราคาปก 454฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 454฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 479฿)
ค่าจัดส่ง Kerry 65฿ (รวมเป็น 474฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann***
Tags: พีเรียด โรแมนติก ดราม่า ละคร ช่องวัน อ่านเอา
ตอน: บทที่ 10 แจกันลายดอกโบตั๋น (100%)
แจ้งข่าวสดๆ ร้อนๆ ค่ะ
งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ มีนิยาย “วานวาสนา” วางขายที่บูธ 55 Bookstall โซนหนังสือทั่วไปนะคะ เลขบูธ A59 ใครแวะไปงาน ไปสอยกันได้น้าาาา
หรือถ้าสะดวกออนไลน์ “ปลายปากกาบุ๊กแฟร์” ได้เลย ชอปได้ทุกเล่ม 24 ชม. โปรฯ จุใจ + ส่งฟรี! รายละเอียดที่เฟซบุ๊กเพจ “ปลายปากกาสำนักพิมพ์”
**************
“ได้ยังไง มันหนักจะตาย ฉันหอบมาด้วยยังต้องใช้แรงผู้ชายเลย” สุภาวดีแย้ง เธอหวังดีไม่อยากให้เพื่อนเหนื่อย แต่หารู้ไม่ว่าทำให้เพชราวสีเหนื่อยใจยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
“แต่...” เพชราวสีอึกอัก เหมือนมีอะไรบางอย่างในใจ จนสุภาวดีเริ่มสงสัย...
“เธอเป็นอะไร ดูแปลกๆ ไปนะ”
“เปล่า” เธอตีหน้าเรียบเฉย
สุภาวดีถอนใจ หันหน้ากลับมาหาคนสวน
“ถ้าอย่างนั้นก็ยกขึ้นไปเลยจ้ะ”
น้อยพยักหน้าเบาๆ ยกกล่องใบใหญ่เดินออกไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ น้อยเดินอ้อมไปขึ้นทางด้านหลังตึกเพราะไม่อยากให้ใครเห็น แต่บัวที่กำลังทำความสะอาดห้องน้ำอยู่ เหลือบมองไปเห็นน้อยเดินเข้ามาในโถงรับรองสุ่มสี่สุ่มห้า เตรียมล้างมือจะเข้าไปตักเตือน แต่ธันก็เดินเบ่งเข้ามาเสียก่อน บัวจึงก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป คิดว่าธันคงจะเข้ามาปรามน้อย...แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่บัวคิดไว้
“ไอ้น้อย เอ็งขึ้นมาบนตำหนักใหญ่ทำไม ก็รู้ไม่ใช่รึว่าเสด็จพระองค์ชายมีรับสั่งห้ามไม่ให้เอ็งขึ้นมาบนนี้”
วันแรกที่เจอกันก็รู้สึกไม่ถูกชะตา พอรู้ว่าน้อยเป็นใบ้ เสด็จก็เกือบ จะไล่ออกจากวังแล้วเชียว แต่ท่านหญิงออกตัวป้องจนมันได้เข้ามาอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน การกระทำของน้อยเหมือนเรียกร้องความสนใจจากเพชราวสี ท่านหญิงผู้มีจิตใจดีที่คนทั้งวังต่างรักและถนอมท่านมากกว่าใคร ทุกคนจึงยิ่งหมั่นไส้และไม่ชอบขี้หน้าน้อยเลยสักคน มีเพียงลุงพวงเท่านั้นที่เข้าไปคลุกคลีกับคนบ้าใบ้ ไม่สนใจคำพูดของใคร
น้อยยังคงนิ่งเงียบ อึดอัดอยากจะพูดออกไป...แต่ระลึกไว้เสมอว่ายังไม่ถึงเวลา ก็ได้แต่พยักพเยิดไปทางสวน ใช้ภาษากายบอกให้ธันเข้าใจ
“อ๋อ ของท่านหญิงสินะ”
น้อยพยักหน้า ธันมองหน้าน้อยรู้สึกขวางหูขวางตา จังหวะนั้นธันก็เหลือบไปเห็นเพชราวสีพร้อมกับสุภาวดีกำลังเดินเข้ามาในโถง ธันขบกรามก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“มะ เดี๋ยวข้ายกไปไว้เอง คนมือห่างตีนห่างอย่างเอ็งเดินไปทะเล่อ-ทะล่า เดี๋ยวก็ทำแจกันของท่านหญิงตกแตกจะเป็นเรื่องเอา”
น้อยถือกล่องไว้แน่น ทำท่ายึกยักเหมือนไม่อยากให้ ธันจ้องหน้าน้อยตาเขม็งยื้อแย่งกล่องใบใหญ่มาจากน้อยจนได้ แต่น้อยยังยืนมองธันอยู่เพราะยังไม่ไว้ใจ
“ไม่มีอะไรแล้วก็ไปสิ หรือจะให้ข้าไปทูลฟ้องเสด็จ ว่าเอ็งขึ้นมาบนตำหนักใหญ่โดยไม่ได้รับอนุญาต”
พอได้ยินคำขู่นั้น น้อยก็ไม่อยากทำให้เพชราวสีต้องเดือดร้อนจึงจำใจถอยออกมา แต่แค่หันหลังเดินไปได้ไม่ถึงสองก้าว...
เพล้ง!
เสียงของบางอย่างตกกระทบพื้นดังครึกโครม
น้อยหันไปมองก็ตกใจ พบว่ากล่องแจกันลายโบตั๋นของเพชราวสี ตกแตกชิ้นส่วนกระจัดกระจายเต็มพื้นเสียแล้ว ภาพแจกันใบสวยล้ำค่าบัดนี้ไม่มีอีกแล้ว น้อยเงยหน้ามองธัน เห็นมันยิ้มเย้ยก็เจ็บใจ กำหมัดแน่นบันดาลโทสะกำลังจะพุ่งเข้าใส่ แต่เสียงโวยลั่นของสุภาวดีก็เข้ามาขัดจังหวะไว้ ก่อน ที่เขาจะทำอะไรบุ่มบ่าม
“ว้าย! นี่มันแจกันลายโบตั๋นของคุณพ่อนี่ เป็นอย่างนี้ได้ยังไงเนี่ย”
สุภาวดีหน้าซีดเผือด ไม่ต่างกันกับเพชราวสีที่เพ่งมองเศษแจกันที่แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ตาค้าง ถึงกับพูดไม่ออก
“เป็นไอ้น้อยครับที่ทำแตก ผมเห็นมันเดินถือแจกันมาไม่ระวังก็ทำหลุดมือ ตกแตกเสียหายอย่างที่เห็นนี่แหละครับ”
น้อยหันไปมองหน้าคนที่พูดจาใส่ร้ายตนอย่างหาคำตอบ... ธันไม่กระดากใจกับสิ่งที่ทำเลยหรือไร แทนที่จะเอ่ยคำขอโทษกลับโยนความผิดให้เขา ไร้ซึ่งความละอาย
“ฉันไว้ใจคนผิดจริงๆ นายรู้บ้างหรือเปล่าว่าแจกันใบนี้มันแพงมากแค่ไหน แล้วฉันจะไปบอกคุณพ่อว่ายังไงเนี่ย”
“ใจเย็นๆ ก่อนนะสุ เรื่องนี้เป็นปัญหาของคนของฉัน เดี๋ยวฉันจะสอบสวนเอง แล้วเธอก็ไม่ต้องกังวล คุณอาจะไม่มีทางรู้เรื่องนี้แน่ ฉันสัญญา” เพชราวสีที่ใจเย็นกว่า เอื้อมมือไปแตะไหล่เพื่อนเป็นการปลอบ
สุภาวดีหันไปทางน้อยก็ยิ่งอารมณ์เสีย เห็นเขาเอาแต่ยืนก้มหน้านิ่ง ไม่พูดไม่จาเหมือนคนเป็นใบ้เธอก็รู้สึกโมโห
“ยืนซื่อบื้ออยู่นั่นแหละ นายเป็นคนทำแตกนะ ไม่คิดจะขอโทษกันเลยหรือไง”
ธันได้ยินก็หัวเราะลั่น “อ๋อ ไอ้น้อยมันเป็นใบ้น่ะครับ อย่าไปสนใจมันเลย”
“อย่างนี้เนี่ยนะเป็นใบ้! ไม่อยากจะเชื่อ” สุภาวดีอึ้งค้าง ตอนแรกที่พบหน้า ไม่มีโหงวเฮ้งไหนบอกว่าผู้ชายคนนี้เป็นบ้าใบ้เลยสักนิด จะว่าไปเธอเองก็รู้สึกเวทนาเขาไม่ต่างจากเพชราวสี บุญมีแต่กรรมบังแท้เชียว
“ฉันต้องขอโทษแทนคนของฉันด้วยนะ” เพชราวสีเห็นดังนั้นจึงเอ่ยคำขอโทษแทนน้อยไป เพื่อไม่ให้สุภาวดีเสียความรู้สึกไปมากกว่านี้
น้อยหันมองเพชราวสีแววตาเศร้า คิดโกรธตัวเองที่ทำให้เธอต้องอับอายขายหน้า อยากรู้ ในใจตอนนี้เธอกำลังคิดอะไรอยู่ เธอจะเข้าใจเขาผิดเหมือนสุภาวดีหรือเปล่า...
บัวที่แอบดูอยู่นานทนมองคนผิดกลายเป็นถูกไม่ได้ แม้จะไม่ชอบหน้าน้อย แต่สิ่งที่ธันทำมันใจร้ายเกินไป
“ไม่ใช่อย่างที่ทุกคนเข้าใจนะคะ” บัวตรงเข้ามาหาเพชราวสี มองธันกับน้อยสลับกันไปมา สูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเอ่ยความจริงออกไปตามที่เห็น “หม่อมฉันเห็นตั้งแต่ต้น น้อยไม่ได้เป็นคนทำแจกันแตกเพคะท่านหญิง แต่เป็นไอ้ธันต่างหาก”
“พี่บัว!” ธันผงะ
“นี่นายเป็นคนทำแตกแล้วโยนความผิดให้กับคนใบ้ไม่มีทางสู้อย่างนั้นรึ” สุภาวดีหันไปมองน้อยก็รู้สึกผิด... แต่พอหันกลับมามองธันก็ควันออกหู เขาทำได้อย่างไร ทำแจกันของคุณพ่อตกแตกไม่พอ แถมยังโบ้ยความผิดให้คนอ่อนแอไม่มีทางสู้ เป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจที่สุด!
“เอ่อ...คือ...” ธันอึกอักอยู่ครู่หนึ่งจะปฏิเสธแต่ก็เถียงไม่ออก เพราะจนมุมด้วยหลักฐาน
“ใส่ร้ายคนอื่นเป็นการกระทำที่แย่มากเลยนะ ธันรู้ตัวใช่ไหมว่าทำผิด” เพชราวสีมองธันด้วยความผิดหวัง
ธันก้มหน้ายอมจำนน มีสีหน้าเคร่งเครียดชัดเจน
“ฉันจะให้ธันไปทำความสะอาด กวาดใบไม้ ตัดหญ้าที่ขึ้นรกบริเวณศาลาริมน้ำแทนน้อย เพื่อทบทวนความผิดกับสิ่งที่ได้ทำลงไป”
“ท่านหญิง!” ธันเบิกตากว้าง เพราะงานที่เพชราวสีสั่งให้เขาไปทำนั้นหนักเอาเรื่อง แถมยังเป็นงานของน้อยด้วย ตนก็ยิ่งรับไม่ได้ แต่พอหันไปเห็นสายตาโกรธแค้นของสุภาวดี ธันก็หุบปากฉับ “ก็ได้กระหม่อม”
ก่อนเดินจากไป ธันชำเลืองมองคู่อริเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน น้อยได้แต่ทำหน้าเบื่อหน่าย รู้ว่าเรื่องคงไม่จบง่ายๆ แค่นี้แน่ ถึงครั้งนี้เขาจะโชคดีมีบัวช่วยไว้...แต่เชื่อว่าครั้งหน้า ธันก็คงจะหาเรื่องกลั่นแกล้งเขาได้อยู่ดี
“ฉันต้องขอโทษนายด้วยนะ ที่เมื่อครู่เข้าใจผิด”
น้อยยิ้มให้สุภาวดีอย่างเป็นมิตร ตอนเกิดเรื่องเขาก็ไม่ได้คิดเคืองแค้นหล่อนเลย กลับเข้าใจความรู้สึกหล่อนเป็นอย่างดี ถ้ามีใครมาทำกับเขาเช่นนี้ เขาก็คงโกรธเหมือนกัน
“น้อยไม่โกรธเธอแล้ว ทำไมยังทำหน้าบึ้งอยู่ล่ะ” เพชราวสีเอ่ยถาม
“ก็ฉันหงุดหงิดนี่ อุตส่าห์ระมัดระวังหอบแจกันหนักๆ มา เพื่อจะเป็นของขวัญให้เธอแท้ๆ แต่กลับตกแตกไม่มีคุณค่าอะไร...มันน่าเจ็บใจจริงๆ” สุภาวดีพ่นลมหายใจออกมาให้รู้สึกเย็นลง ก่อนจะหันไปกอดเพื่อนรักหน้าตาเหนื่อยล้า “ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวกลับก่อนก็แล้วกัน ไม่มีอารมณ์จะอยู่สังสรรค์กับเธอต่อแล้วละ”
“จ้ะ” เพชราวสีเห็นใจ จึงปล่อยให้สุภาวดีกลับบ้านไปพักผ่อน แล้วเธอก็หันกลับมาสั่งสาวใช้และชายใบ้ที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ด้วยกันทั้งคู่
“พี่บัวมีอะไรทำก็ไปทำเถอะ ส่วนน้อยก็ไปเก็บกวาดเศษแจกันที่ตกแตกให้เรียบร้อยก็แล้วกัน”
ทั้งสองก้มหน้ารับคำ แล้วแยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
น้อยไปเตรียมอุปกรณ์เก็บกวาดออกมาจากห้องซักล้างพร้อมมือ เขาก้มตัวลงเก็บเศษแจกันคมๆ อย่างระมัดระวัง ขณะที่น้อยหันไป ด้วยความประมาทเลินเล่อเขาเอี้ยวตัวกลับมา มือวางต่ำใกล้ระดับเศษแจกันชิ้นใหญ่วางเกะกะไม่เป็นรูปทรง ทันทีที่มือหนาปัดไปโดนก็เกิดเป็นแผลขนาดใหญ่ มีเลือดไหลออกมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหลง่ายๆ
“นั่นเลือดนี่”
เพชราวสีที่เข้ามาตรวจความเรียบร้อย เห็นน้อยกุมมือข้างซ้ายหน้าซีด มีเลือดไหลออกมาไม่หยุด เธอก็ตกใจรีบปรี่เข้าไปดู
ทันทีที่น้อยเห็นเพชราวสีเข้ามาก็รีบกุมมือบังแผลเอาไว้ เพราะไม่อยากให้เธอต้องกังวล หญิงสาวต้องส่งสายตาตำหนิเบาๆ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาห่วงความเหมาะสมหรือยศศักดิ์อะไรทั้งนั้น ก่อนจะจับมือของคนดื้อออกมาดูเพื่อพิจารณาแผล
เพชราวสีไม่เคยกลัวเรื่องอะไรแบบนี้ เพราะเมื่อหลายปีก่อนตอนที่อยู่อังกฤษ เธอเคยไปเป็นจิตอาสา ณ ค่ายพยาบาล ครั้งสงครามโลกครั้งที่สอง เธอจึงรู้วิธีการจัดการแผลเหล่านี้เป็นอย่างดี เธอสั่งให้น้อยไปนั่งเก้าอี้ตัวที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนจะมองหาคนใช้ แต่จะมัวพึ่งพวกเขาอยู่ตลอดก็คงไม่ได้ เห็นจะไม่ทันการ เธอจึงเดินไปหยิบเอากล่องปฐมพยาบาลบนตู้มาทำแผลให้เขาด้วยตัวเอง...
เพชราวสีทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ น้อย พร้อมกล่องอุปกรณ์ทำแผลวางไว้บนโต๊ะกั้นกลาง ก่อนจะหยิบสำลีชุบน้ำเกลือ เตรียมจะทำแผลให้เขา
“เอามือมาสิ เดี๋ยวฉันทำแผลให้” เธอสั่ง
น้อยยื่นมือให้เพชราวสีอย่างกล้าๆ เกร็งๆ นอกจากแม่มะลิก็ไม่เคยมีใครทำแผลให้เขามาก่อน จึงไม่คุ้นชิน
“ไม่ต้องกลัวเจ็บนะ” เธอส่งยิ้มให้เขาคลายกังวล ก่อนจะใส่ยา มืออ่อนนุ่มเช็ดทำความสะอาดแผลให้อย่างเบามือ
“จะทำอะไรทำไมไม่รู้จักระมัดระวังบ้างเลย ยังดีนะที่แผลไม่ลึกมาก ไม่อย่างนั้นนายจะต้องเจ็บกว่านี้แน่” เธอพูดขณะก้มหน้าก้มตาทำแผลให้เขาอย่างตั้งใจ เมื่อสำลีชิ้นสุดท้ายทิ้งลงถังขยะ เธอก็เหลือบตามองเจ้าของมือหนาเล็กน้อยเพื่อดูสีหน้าเขา ก่อนจะใช้ผ้าสีขาวพันมือให้เขาอีกครั้ง
“เอาละ ฉันจะเตรียมอุปกรณ์ให้นายกลับไปล้างแผล อย่าลืมทำความสะอาดแผลบ่อยๆ นะ เดี๋ยวแผลจะติดเชื้อเอา แล้วมือนายก็จะไม่หาย ดีไม่ดีแผลอาจจะเน่า โดนตัดมือทิ้งก็ได้นะ ถ้าไม่อยากมือด้วนก็ต้องรักษาความสะอาดให้ดี เข้าใจไหม” เธอแกล้งขู่ และตามด้วยคำพูดห่วงใยกลายๆ
น้อยมองหญิงสาวตรงหน้าไม่วางตา ฟังน้ำเสียงเจื้อยแจ้วนั้นแล้วลอบยิ้มขำ หล่อนสาธยายใส่เขายืดยาวราวกับเขาเป็นเด็กก็ไม่ปาน ยิ่งได้เห็นท่าทีใส่ใจ ความห่วงใยที่ส่งออกมาผ่านคำพูดและสายตาคู่นั้น หัวใจดวงน้อยก็พองโตขึ้นมาผิดปกติ น้อยรีบหลุบตาลง พยายามขับไล่ความคิดบ้าๆ ออกจากสมองโดยเร็ว... แต่เมื่อเผลอก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองใบหน้าเธออีกครั้ง และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ดวงตาคู่สวยช้อนขึ้นสบตาเขาพอดีโดยไม่ได้ตั้งใจ วินาทีนั้นเหมือนทุกสิ่งรอบๆ ตัวคนทั้งคู่หยุดนิ่งไป น้อยเผลอมองเข้าไปในดวงตากลมโตคู่นั้น เห็นแววประกายสดใสเหมือนมีบางสิ่งฉุดใจให้เขาตกอยู่ในภวังค์...ที่มีเธอเป็นคนสร้างขึ้นมา
เพชราวสีเห็นชายหนุ่มจ้องตาเธอเหมือนมีอะไรบางอย่าง คิ้วบางย่นเข้าหากัน เมื่อเขายังเหม่อมองเธอไม่เลิกก็ยิ้มขำ
“หน้าฉันมีอะไรติดอยู่งั้นหรือ” เธอถาม
เสียงนั้นทำให้น้อยต้องหลบตา ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เสร็จแล้วจ้ะ นายไปได้แล้ว” เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นเคย
น้อยพยักหน้าเบาๆ รู้ตัวว่ามิบังอาจ... เขามองมือที่ถูกพันด้วยผ้าพันแผลสีขาวสะอาดที่หญิงสาวเป็นคนพันให้ น้อยยิ้มชื่นชมในฝีมือการปฐมพยาบาลของเพชราวสีที่ราวกับมืออาชีพ เมื่อไม่เห็นว่าเธอจะพูดอะไรต่อ เขาจึงลุกขึ้น เดินไปเก็บกวาดเศษแจกันที่ทำค้างไว้ให้เรียบร้อย แล้วรีบเดินออกมาจากตำหนักใหญ่ เอี้ยวตามองเพชราวสีที่กำลังเดินขึ้นบันไดไป นึกเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ขอบคุณเธออีกแล้ว
ลงให้อ่านทุกวันอังคาร พฤหัส และเสาร์นะคะ ^_^
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บเลิฟ
งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ มีนิยาย “วานวาสนา” วางขายที่บูธ 55 Bookstall โซนหนังสือทั่วไปนะคะ เลขบูธ A59 ใครแวะไปงาน ไปสอยกันได้น้าาาา
หรือถ้าสะดวกออนไลน์ “ปลายปากกาบุ๊กแฟร์” ได้เลย ชอปได้ทุกเล่ม 24 ชม. โปรฯ จุใจ + ส่งฟรี! รายละเอียดที่เฟซบุ๊กเพจ “ปลายปากกาสำนักพิมพ์”
**************
“ได้ยังไง มันหนักจะตาย ฉันหอบมาด้วยยังต้องใช้แรงผู้ชายเลย” สุภาวดีแย้ง เธอหวังดีไม่อยากให้เพื่อนเหนื่อย แต่หารู้ไม่ว่าทำให้เพชราวสีเหนื่อยใจยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
“แต่...” เพชราวสีอึกอัก เหมือนมีอะไรบางอย่างในใจ จนสุภาวดีเริ่มสงสัย...
“เธอเป็นอะไร ดูแปลกๆ ไปนะ”
“เปล่า” เธอตีหน้าเรียบเฉย
สุภาวดีถอนใจ หันหน้ากลับมาหาคนสวน
“ถ้าอย่างนั้นก็ยกขึ้นไปเลยจ้ะ”
น้อยพยักหน้าเบาๆ ยกกล่องใบใหญ่เดินออกไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ น้อยเดินอ้อมไปขึ้นทางด้านหลังตึกเพราะไม่อยากให้ใครเห็น แต่บัวที่กำลังทำความสะอาดห้องน้ำอยู่ เหลือบมองไปเห็นน้อยเดินเข้ามาในโถงรับรองสุ่มสี่สุ่มห้า เตรียมล้างมือจะเข้าไปตักเตือน แต่ธันก็เดินเบ่งเข้ามาเสียก่อน บัวจึงก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป คิดว่าธันคงจะเข้ามาปรามน้อย...แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่บัวคิดไว้
“ไอ้น้อย เอ็งขึ้นมาบนตำหนักใหญ่ทำไม ก็รู้ไม่ใช่รึว่าเสด็จพระองค์ชายมีรับสั่งห้ามไม่ให้เอ็งขึ้นมาบนนี้”
วันแรกที่เจอกันก็รู้สึกไม่ถูกชะตา พอรู้ว่าน้อยเป็นใบ้ เสด็จก็เกือบ จะไล่ออกจากวังแล้วเชียว แต่ท่านหญิงออกตัวป้องจนมันได้เข้ามาอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน การกระทำของน้อยเหมือนเรียกร้องความสนใจจากเพชราวสี ท่านหญิงผู้มีจิตใจดีที่คนทั้งวังต่างรักและถนอมท่านมากกว่าใคร ทุกคนจึงยิ่งหมั่นไส้และไม่ชอบขี้หน้าน้อยเลยสักคน มีเพียงลุงพวงเท่านั้นที่เข้าไปคลุกคลีกับคนบ้าใบ้ ไม่สนใจคำพูดของใคร
น้อยยังคงนิ่งเงียบ อึดอัดอยากจะพูดออกไป...แต่ระลึกไว้เสมอว่ายังไม่ถึงเวลา ก็ได้แต่พยักพเยิดไปทางสวน ใช้ภาษากายบอกให้ธันเข้าใจ
“อ๋อ ของท่านหญิงสินะ”
น้อยพยักหน้า ธันมองหน้าน้อยรู้สึกขวางหูขวางตา จังหวะนั้นธันก็เหลือบไปเห็นเพชราวสีพร้อมกับสุภาวดีกำลังเดินเข้ามาในโถง ธันขบกรามก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“มะ เดี๋ยวข้ายกไปไว้เอง คนมือห่างตีนห่างอย่างเอ็งเดินไปทะเล่อ-ทะล่า เดี๋ยวก็ทำแจกันของท่านหญิงตกแตกจะเป็นเรื่องเอา”
น้อยถือกล่องไว้แน่น ทำท่ายึกยักเหมือนไม่อยากให้ ธันจ้องหน้าน้อยตาเขม็งยื้อแย่งกล่องใบใหญ่มาจากน้อยจนได้ แต่น้อยยังยืนมองธันอยู่เพราะยังไม่ไว้ใจ
“ไม่มีอะไรแล้วก็ไปสิ หรือจะให้ข้าไปทูลฟ้องเสด็จ ว่าเอ็งขึ้นมาบนตำหนักใหญ่โดยไม่ได้รับอนุญาต”
พอได้ยินคำขู่นั้น น้อยก็ไม่อยากทำให้เพชราวสีต้องเดือดร้อนจึงจำใจถอยออกมา แต่แค่หันหลังเดินไปได้ไม่ถึงสองก้าว...
เพล้ง!
เสียงของบางอย่างตกกระทบพื้นดังครึกโครม
น้อยหันไปมองก็ตกใจ พบว่ากล่องแจกันลายโบตั๋นของเพชราวสี ตกแตกชิ้นส่วนกระจัดกระจายเต็มพื้นเสียแล้ว ภาพแจกันใบสวยล้ำค่าบัดนี้ไม่มีอีกแล้ว น้อยเงยหน้ามองธัน เห็นมันยิ้มเย้ยก็เจ็บใจ กำหมัดแน่นบันดาลโทสะกำลังจะพุ่งเข้าใส่ แต่เสียงโวยลั่นของสุภาวดีก็เข้ามาขัดจังหวะไว้ ก่อน ที่เขาจะทำอะไรบุ่มบ่าม
“ว้าย! นี่มันแจกันลายโบตั๋นของคุณพ่อนี่ เป็นอย่างนี้ได้ยังไงเนี่ย”
สุภาวดีหน้าซีดเผือด ไม่ต่างกันกับเพชราวสีที่เพ่งมองเศษแจกันที่แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ตาค้าง ถึงกับพูดไม่ออก
“เป็นไอ้น้อยครับที่ทำแตก ผมเห็นมันเดินถือแจกันมาไม่ระวังก็ทำหลุดมือ ตกแตกเสียหายอย่างที่เห็นนี่แหละครับ”
น้อยหันไปมองหน้าคนที่พูดจาใส่ร้ายตนอย่างหาคำตอบ... ธันไม่กระดากใจกับสิ่งที่ทำเลยหรือไร แทนที่จะเอ่ยคำขอโทษกลับโยนความผิดให้เขา ไร้ซึ่งความละอาย
“ฉันไว้ใจคนผิดจริงๆ นายรู้บ้างหรือเปล่าว่าแจกันใบนี้มันแพงมากแค่ไหน แล้วฉันจะไปบอกคุณพ่อว่ายังไงเนี่ย”
“ใจเย็นๆ ก่อนนะสุ เรื่องนี้เป็นปัญหาของคนของฉัน เดี๋ยวฉันจะสอบสวนเอง แล้วเธอก็ไม่ต้องกังวล คุณอาจะไม่มีทางรู้เรื่องนี้แน่ ฉันสัญญา” เพชราวสีที่ใจเย็นกว่า เอื้อมมือไปแตะไหล่เพื่อนเป็นการปลอบ
สุภาวดีหันไปทางน้อยก็ยิ่งอารมณ์เสีย เห็นเขาเอาแต่ยืนก้มหน้านิ่ง ไม่พูดไม่จาเหมือนคนเป็นใบ้เธอก็รู้สึกโมโห
“ยืนซื่อบื้ออยู่นั่นแหละ นายเป็นคนทำแตกนะ ไม่คิดจะขอโทษกันเลยหรือไง”
ธันได้ยินก็หัวเราะลั่น “อ๋อ ไอ้น้อยมันเป็นใบ้น่ะครับ อย่าไปสนใจมันเลย”
“อย่างนี้เนี่ยนะเป็นใบ้! ไม่อยากจะเชื่อ” สุภาวดีอึ้งค้าง ตอนแรกที่พบหน้า ไม่มีโหงวเฮ้งไหนบอกว่าผู้ชายคนนี้เป็นบ้าใบ้เลยสักนิด จะว่าไปเธอเองก็รู้สึกเวทนาเขาไม่ต่างจากเพชราวสี บุญมีแต่กรรมบังแท้เชียว
“ฉันต้องขอโทษแทนคนของฉันด้วยนะ” เพชราวสีเห็นดังนั้นจึงเอ่ยคำขอโทษแทนน้อยไป เพื่อไม่ให้สุภาวดีเสียความรู้สึกไปมากกว่านี้
น้อยหันมองเพชราวสีแววตาเศร้า คิดโกรธตัวเองที่ทำให้เธอต้องอับอายขายหน้า อยากรู้ ในใจตอนนี้เธอกำลังคิดอะไรอยู่ เธอจะเข้าใจเขาผิดเหมือนสุภาวดีหรือเปล่า...
บัวที่แอบดูอยู่นานทนมองคนผิดกลายเป็นถูกไม่ได้ แม้จะไม่ชอบหน้าน้อย แต่สิ่งที่ธันทำมันใจร้ายเกินไป
“ไม่ใช่อย่างที่ทุกคนเข้าใจนะคะ” บัวตรงเข้ามาหาเพชราวสี มองธันกับน้อยสลับกันไปมา สูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเอ่ยความจริงออกไปตามที่เห็น “หม่อมฉันเห็นตั้งแต่ต้น น้อยไม่ได้เป็นคนทำแจกันแตกเพคะท่านหญิง แต่เป็นไอ้ธันต่างหาก”
“พี่บัว!” ธันผงะ
“นี่นายเป็นคนทำแตกแล้วโยนความผิดให้กับคนใบ้ไม่มีทางสู้อย่างนั้นรึ” สุภาวดีหันไปมองน้อยก็รู้สึกผิด... แต่พอหันกลับมามองธันก็ควันออกหู เขาทำได้อย่างไร ทำแจกันของคุณพ่อตกแตกไม่พอ แถมยังโบ้ยความผิดให้คนอ่อนแอไม่มีทางสู้ เป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจที่สุด!
“เอ่อ...คือ...” ธันอึกอักอยู่ครู่หนึ่งจะปฏิเสธแต่ก็เถียงไม่ออก เพราะจนมุมด้วยหลักฐาน
“ใส่ร้ายคนอื่นเป็นการกระทำที่แย่มากเลยนะ ธันรู้ตัวใช่ไหมว่าทำผิด” เพชราวสีมองธันด้วยความผิดหวัง
ธันก้มหน้ายอมจำนน มีสีหน้าเคร่งเครียดชัดเจน
“ฉันจะให้ธันไปทำความสะอาด กวาดใบไม้ ตัดหญ้าที่ขึ้นรกบริเวณศาลาริมน้ำแทนน้อย เพื่อทบทวนความผิดกับสิ่งที่ได้ทำลงไป”
“ท่านหญิง!” ธันเบิกตากว้าง เพราะงานที่เพชราวสีสั่งให้เขาไปทำนั้นหนักเอาเรื่อง แถมยังเป็นงานของน้อยด้วย ตนก็ยิ่งรับไม่ได้ แต่พอหันไปเห็นสายตาโกรธแค้นของสุภาวดี ธันก็หุบปากฉับ “ก็ได้กระหม่อม”
ก่อนเดินจากไป ธันชำเลืองมองคู่อริเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน น้อยได้แต่ทำหน้าเบื่อหน่าย รู้ว่าเรื่องคงไม่จบง่ายๆ แค่นี้แน่ ถึงครั้งนี้เขาจะโชคดีมีบัวช่วยไว้...แต่เชื่อว่าครั้งหน้า ธันก็คงจะหาเรื่องกลั่นแกล้งเขาได้อยู่ดี
“ฉันต้องขอโทษนายด้วยนะ ที่เมื่อครู่เข้าใจผิด”
น้อยยิ้มให้สุภาวดีอย่างเป็นมิตร ตอนเกิดเรื่องเขาก็ไม่ได้คิดเคืองแค้นหล่อนเลย กลับเข้าใจความรู้สึกหล่อนเป็นอย่างดี ถ้ามีใครมาทำกับเขาเช่นนี้ เขาก็คงโกรธเหมือนกัน
“น้อยไม่โกรธเธอแล้ว ทำไมยังทำหน้าบึ้งอยู่ล่ะ” เพชราวสีเอ่ยถาม
“ก็ฉันหงุดหงิดนี่ อุตส่าห์ระมัดระวังหอบแจกันหนักๆ มา เพื่อจะเป็นของขวัญให้เธอแท้ๆ แต่กลับตกแตกไม่มีคุณค่าอะไร...มันน่าเจ็บใจจริงๆ” สุภาวดีพ่นลมหายใจออกมาให้รู้สึกเย็นลง ก่อนจะหันไปกอดเพื่อนรักหน้าตาเหนื่อยล้า “ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวกลับก่อนก็แล้วกัน ไม่มีอารมณ์จะอยู่สังสรรค์กับเธอต่อแล้วละ”
“จ้ะ” เพชราวสีเห็นใจ จึงปล่อยให้สุภาวดีกลับบ้านไปพักผ่อน แล้วเธอก็หันกลับมาสั่งสาวใช้และชายใบ้ที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ด้วยกันทั้งคู่
“พี่บัวมีอะไรทำก็ไปทำเถอะ ส่วนน้อยก็ไปเก็บกวาดเศษแจกันที่ตกแตกให้เรียบร้อยก็แล้วกัน”
ทั้งสองก้มหน้ารับคำ แล้วแยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
น้อยไปเตรียมอุปกรณ์เก็บกวาดออกมาจากห้องซักล้างพร้อมมือ เขาก้มตัวลงเก็บเศษแจกันคมๆ อย่างระมัดระวัง ขณะที่น้อยหันไป ด้วยความประมาทเลินเล่อเขาเอี้ยวตัวกลับมา มือวางต่ำใกล้ระดับเศษแจกันชิ้นใหญ่วางเกะกะไม่เป็นรูปทรง ทันทีที่มือหนาปัดไปโดนก็เกิดเป็นแผลขนาดใหญ่ มีเลือดไหลออกมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหลง่ายๆ
“นั่นเลือดนี่”
เพชราวสีที่เข้ามาตรวจความเรียบร้อย เห็นน้อยกุมมือข้างซ้ายหน้าซีด มีเลือดไหลออกมาไม่หยุด เธอก็ตกใจรีบปรี่เข้าไปดู
ทันทีที่น้อยเห็นเพชราวสีเข้ามาก็รีบกุมมือบังแผลเอาไว้ เพราะไม่อยากให้เธอต้องกังวล หญิงสาวต้องส่งสายตาตำหนิเบาๆ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาห่วงความเหมาะสมหรือยศศักดิ์อะไรทั้งนั้น ก่อนจะจับมือของคนดื้อออกมาดูเพื่อพิจารณาแผล
เพชราวสีไม่เคยกลัวเรื่องอะไรแบบนี้ เพราะเมื่อหลายปีก่อนตอนที่อยู่อังกฤษ เธอเคยไปเป็นจิตอาสา ณ ค่ายพยาบาล ครั้งสงครามโลกครั้งที่สอง เธอจึงรู้วิธีการจัดการแผลเหล่านี้เป็นอย่างดี เธอสั่งให้น้อยไปนั่งเก้าอี้ตัวที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนจะมองหาคนใช้ แต่จะมัวพึ่งพวกเขาอยู่ตลอดก็คงไม่ได้ เห็นจะไม่ทันการ เธอจึงเดินไปหยิบเอากล่องปฐมพยาบาลบนตู้มาทำแผลให้เขาด้วยตัวเอง...
เพชราวสีทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ น้อย พร้อมกล่องอุปกรณ์ทำแผลวางไว้บนโต๊ะกั้นกลาง ก่อนจะหยิบสำลีชุบน้ำเกลือ เตรียมจะทำแผลให้เขา
“เอามือมาสิ เดี๋ยวฉันทำแผลให้” เธอสั่ง
น้อยยื่นมือให้เพชราวสีอย่างกล้าๆ เกร็งๆ นอกจากแม่มะลิก็ไม่เคยมีใครทำแผลให้เขามาก่อน จึงไม่คุ้นชิน
“ไม่ต้องกลัวเจ็บนะ” เธอส่งยิ้มให้เขาคลายกังวล ก่อนจะใส่ยา มืออ่อนนุ่มเช็ดทำความสะอาดแผลให้อย่างเบามือ
“จะทำอะไรทำไมไม่รู้จักระมัดระวังบ้างเลย ยังดีนะที่แผลไม่ลึกมาก ไม่อย่างนั้นนายจะต้องเจ็บกว่านี้แน่” เธอพูดขณะก้มหน้าก้มตาทำแผลให้เขาอย่างตั้งใจ เมื่อสำลีชิ้นสุดท้ายทิ้งลงถังขยะ เธอก็เหลือบตามองเจ้าของมือหนาเล็กน้อยเพื่อดูสีหน้าเขา ก่อนจะใช้ผ้าสีขาวพันมือให้เขาอีกครั้ง
“เอาละ ฉันจะเตรียมอุปกรณ์ให้นายกลับไปล้างแผล อย่าลืมทำความสะอาดแผลบ่อยๆ นะ เดี๋ยวแผลจะติดเชื้อเอา แล้วมือนายก็จะไม่หาย ดีไม่ดีแผลอาจจะเน่า โดนตัดมือทิ้งก็ได้นะ ถ้าไม่อยากมือด้วนก็ต้องรักษาความสะอาดให้ดี เข้าใจไหม” เธอแกล้งขู่ และตามด้วยคำพูดห่วงใยกลายๆ
น้อยมองหญิงสาวตรงหน้าไม่วางตา ฟังน้ำเสียงเจื้อยแจ้วนั้นแล้วลอบยิ้มขำ หล่อนสาธยายใส่เขายืดยาวราวกับเขาเป็นเด็กก็ไม่ปาน ยิ่งได้เห็นท่าทีใส่ใจ ความห่วงใยที่ส่งออกมาผ่านคำพูดและสายตาคู่นั้น หัวใจดวงน้อยก็พองโตขึ้นมาผิดปกติ น้อยรีบหลุบตาลง พยายามขับไล่ความคิดบ้าๆ ออกจากสมองโดยเร็ว... แต่เมื่อเผลอก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองใบหน้าเธออีกครั้ง และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ดวงตาคู่สวยช้อนขึ้นสบตาเขาพอดีโดยไม่ได้ตั้งใจ วินาทีนั้นเหมือนทุกสิ่งรอบๆ ตัวคนทั้งคู่หยุดนิ่งไป น้อยเผลอมองเข้าไปในดวงตากลมโตคู่นั้น เห็นแววประกายสดใสเหมือนมีบางสิ่งฉุดใจให้เขาตกอยู่ในภวังค์...ที่มีเธอเป็นคนสร้างขึ้นมา
เพชราวสีเห็นชายหนุ่มจ้องตาเธอเหมือนมีอะไรบางอย่าง คิ้วบางย่นเข้าหากัน เมื่อเขายังเหม่อมองเธอไม่เลิกก็ยิ้มขำ
“หน้าฉันมีอะไรติดอยู่งั้นหรือ” เธอถาม
เสียงนั้นทำให้น้อยต้องหลบตา ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เสร็จแล้วจ้ะ นายไปได้แล้ว” เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นเคย
น้อยพยักหน้าเบาๆ รู้ตัวว่ามิบังอาจ... เขามองมือที่ถูกพันด้วยผ้าพันแผลสีขาวสะอาดที่หญิงสาวเป็นคนพันให้ น้อยยิ้มชื่นชมในฝีมือการปฐมพยาบาลของเพชราวสีที่ราวกับมืออาชีพ เมื่อไม่เห็นว่าเธอจะพูดอะไรต่อ เขาจึงลุกขึ้น เดินไปเก็บกวาดเศษแจกันที่ทำค้างไว้ให้เรียบร้อย แล้วรีบเดินออกมาจากตำหนักใหญ่ เอี้ยวตามองเพชราวสีที่กำลังเดินขึ้นบันไดไป นึกเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ขอบคุณเธออีกแล้ว
ลงให้อ่านทุกวันอังคาร พฤหัส และเสาร์นะคะ ^_^
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บเลิฟ
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 มี.ค. 2565, 20:05:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 มี.ค. 2565, 20:05:34 น.
จำนวนการเข้าชม : 262
<< บทที่ 10 แจกันลายดอกโบตั๋น (50%) | บทที่ 11 ความดีที่ไม่มีใครเห็น (50%) >> |