วานวาสนา: ร่มเกศ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เรื่องย่อ:
เมื่อทุกอย่างสูญสิ้น ‘น้อย’ ชายหนุ่มชีวิตอาภัพ จำต้องออกเดินทางจากบ้านสู่พระนครที่ห่างไกล เพื่อตามหาหญิงสาวอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคและความผิดหวังซ้ำๆ ‘เพชราวสี’ คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นแก้วมณีที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แต่ก็ต้องฝันสลาย เพราะแก้วมณีดวงนี้ได้ถูกจองให้แก่ ‘หม่อมเจ้าภาณุมาศ’ เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ทุกอย่างคงจะเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น หากโลกไม่หมุนคนที่แตกต่างทั้งสองคนให้มาพบเจอกัน
หนึ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ กับแววตาอ่อนหวานละไมของเธอ เป็นดั่งแสงสว่างนำพาชายหนุ่มที่สิ้นหวังก้าวไปสู่โลกอีกใบที่ไม่เคยค้นพบ จากความประทับใจ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก
ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มอ่อนแอ จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อเอาชนะคำดูถูกของทุกคน การหาคำตอบว่าตัวเองเป็นใครจึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางปริศนา ปมความรักต่างชนชั้น เรื่องราวเลวร้ายมากมายที่เขาจะต้องเผชิญและจับมือฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกันกับเธอ
. . . . . . . . . . . . . .
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ร่มเกศ" เป็นหนึ่งในนิยายจากโครงการ "ช่องวันอ่านเอา" ที่ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง One31 และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 50% ของเรื่องนะคะ
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่ม
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 600 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 409฿ จากราคาปก 454฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 454฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 479฿)
ค่าจัดส่ง Kerry 65฿ (รวมเป็น 474฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann***
เมื่อทุกอย่างสูญสิ้น ‘น้อย’ ชายหนุ่มชีวิตอาภัพ จำต้องออกเดินทางจากบ้านสู่พระนครที่ห่างไกล เพื่อตามหาหญิงสาวอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคและความผิดหวังซ้ำๆ ‘เพชราวสี’ คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นแก้วมณีที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แต่ก็ต้องฝันสลาย เพราะแก้วมณีดวงนี้ได้ถูกจองให้แก่ ‘หม่อมเจ้าภาณุมาศ’ เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ทุกอย่างคงจะเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น หากโลกไม่หมุนคนที่แตกต่างทั้งสองคนให้มาพบเจอกัน
หนึ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ กับแววตาอ่อนหวานละไมของเธอ เป็นดั่งแสงสว่างนำพาชายหนุ่มที่สิ้นหวังก้าวไปสู่โลกอีกใบที่ไม่เคยค้นพบ จากความประทับใจ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก
ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มอ่อนแอ จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อเอาชนะคำดูถูกของทุกคน การหาคำตอบว่าตัวเองเป็นใครจึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางปริศนา ปมความรักต่างชนชั้น เรื่องราวเลวร้ายมากมายที่เขาจะต้องเผชิญและจับมือฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกันกับเธอ
. . . . . . . . . . . . . .
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ร่มเกศ" เป็นหนึ่งในนิยายจากโครงการ "ช่องวันอ่านเอา" ที่ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง One31 และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 50% ของเรื่องนะคะ
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่ม
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 600 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 409฿ จากราคาปก 454฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 454฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 479฿)
ค่าจัดส่ง Kerry 65฿ (รวมเป็น 474฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann***
Tags: พีเรียด โรแมนติก ดราม่า ละคร ช่องวัน อ่านเอา
ตอน: บทที่ 15 ดวงตาคู่สวย (100%)
เพชราวสีแบ่งงานให้ผู้ชายขุดหลุมปลูก ส่วนเธอและสุภาวดีก็มีหน้าที่รดน้ำพรวนดินตามลำดับ หนุ่มสาวทั้งสี่ช่วยกันปลูกต้นมะลิขยันขันแข็ง สุภาวดีที่เป็นตัวป่วนในทุกเรื่อง เธอพยายามแกล้งเพื่อนสาว และเรียกร้องความสนใจจากชายที่เธอปลื้มอยู่เนืองๆ พาให้บรรยากาศครึกครื้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มแต้มหน้ากันทุกคน
น้อยที่กำลังพรวนดินต้นที่อยู่ตรงข้ามกับเพชราวสี ก็ใช้โอกาสนี้ลอบมองรอยยิ้มสดใสที่ปรากฏบนใบหน้าหวานซึ้งเป็นระยะ พอเพชราวสีเงยหน้าขึ้นปาดเหงื่อที่ไรผม ชายหนุ่มก็รีบก้มหน้าก้มตาพรวนดินต่อเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพชราวสีมองชายใบ้นิ่งเงียบก็ยักไหล่ แล้วเมินหน้ามองไปทางอื่น
เวลาผ่านไป หนุ่มสาวทั้งสี่ใช้เวลาปลูกต้นมะลิเกือบครึ่งค่อนวันได้ สุภาวดีนึกสนุก ปรายตามองกฤติเดชที่กำลังนั่งพรวนดินอยู่ข้างๆ กัน แสร้งเอียงตัวล้มลงไปทับชายหนุ่ม ก่อนที่ใบหน้างามพริ้มจะซบลงไปที่ไหล่กว้างอย่างจงใจ
“โอ๊ย! ปวดหัวจัง คุณเดชช่วยพยุงสุขึ้นไปพักหน่อยได้ไหมคะ”
“เอ่อ...” กฤติเดชชะงัก ประคองร่างเล็กเอาไว้ไม่เต็มมือ
สุภาวดีเห็นกฤติเดชทำท่าอ้ำๆ อึ้งๆ เหมือนจะไม่เต็มใจรับตัวเธอเท่าไรนัก เธอก็แกล้งทำเป็นร้องโอดโอยหนักขึ้น
“โอ๊ย! ปวดจังเลย ปวดมากเลยอ่า”
เพชราวสีไม่รู้แผนการเจ้าเล่ห์ของเพื่อนรัก คิดว่าสุภาวดีที่ไม่เคยตรากตรําทำงานสมบุกสมบันเช่นนี้มาก่อน พอเจอแดดร้อนตอนกลางวันก็คงจะหน้ามืด จึงรีบเข้าไปดูด้วยความห่วงใย
“พี่เดชรีบพาสุเข้าไปพักก่อนเถอะค่ะ เจออากาศร้อนก็คงจะหน้ามืดเป็นธรรมดา” เธอเสนอ
กฤติเดชพยักหน้าไม่รอช้ารวบตัวสุภาวดีอุ้มขึ้นมาไว้แนบอก วินาทีนั้นสุภาวดีตัวลอยเบาหวิว หลับตาพริ้มในอ้อมแขนของชายที่รักสมใจหวัง ลูกไม้เดิมๆ แต่ก็ยังใช้ได้ผลเสมอ
เพชราวสีกำลังจะเดินตามไป...แต่แล้วกลับหยุดชะงัก เมื่อจู่ๆ ก็รู้สึกแสบตาขึ้นมา เธอยืนขยี้ตาด้วยความหงุดหงิด จนกระทั่งชายหนุ่มที่เหลืออยู่คนเดียวตรงนั้นต้องเข้าไปดูใกล้ๆ จึงเห็นว่าเพชราวสีน่าจะแมลงเข้าตา
มือที่ล้างจนสะอาดถือวิสาสะสัมผัสใบหน้านวลเป็นครั้งแรก เพชราวสีสะดุ้งเฮือก หรี่ตามองเห็นใบหน้าเขารางๆ เมื่อขยับเข้ามาใกล้...ก็พอจะรู้ว่าเป็นใคร แม้รู้ว่าไม่เหมาะสม แต่ตอนนี้เธอทรมานแทบทนไม่ไหวจึงยอมรับความช่วยเหลือจากเขา
หญิงสาวยืนตัวแข็ง หัวใจเต้นระทึก เป็นครั้งแรกที่สัมผัสได้ถึงไอร้อนผ่าวจากร่างกายกำยำ ที่ขยับเข้ามาใกล้กันมากเหลือเกินในยามนี้ เธอรู้สึกถึงลมเย็นแผ่วเบาที่เขาเป่าออกมาปะทะที่ดวงตา เพชราวสีกะพริบตา รู้สึกเคืองเล็กน้อย แล้วดวงตาคู่สวยก็ค่อยๆ เบิกขึ้น มองหน้าเขาได้ชัดเจนอีกครั้ง
น้อยเห็นเพชราวสีกลับมาเป็นปกติก็ค่อยคลายกังวล ยิ้มออก
“ขอบใจนะ” เธอขยับริมฝีปากบาง พวงแก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อเป็นลูกตำลึง เพชราวสีรู้สึกว่ามีบางสิ่งเต้นแรงอยู่ในอกจนแทบจะกระโดดออกมาเสียให้ได้ เธอกลัวว่าถ้าอยู่ใกล้เขามากไปกว่านี้ เขาจะได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากอกของเธอ จึงรีบเดินจากร่างสูงไปอย่างไว
และช่างบังเอิญที่หม่อมเจ้าภาณุมาศเดินเข้ามาเห็นภาพบาดตาบาดใจพอดี เขายืนมองทั้งคู่จากมุมหนึ่งทางด้านหลังของเพชราวสี คิดไปไกลว่าน้อยก้มลงไปจูบพระคู่หมั้นของตน! ภาพตรงหน้านั้นทำให้หม่อมเจ้าภาณุมาศแทบคลั่งอยากปรี่เข้าไปเหวี่ยงหมัดใส่หน้ามัน แต่เพราะมียศศักดิ์ค้ำคออยู่ คำว่า ‘หม่อมเจ้า’ ที่นำหน้าชื่อใช้เป็นเครื่องเตือนสติได้เป็นอย่างดี ว่าผู้มีความเจริญแล้วไม่แสดงกิริยาป่าเถื่อนแบบนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะทนได้อีกนานเท่าไร...ในเมื่อหล่อนใฝ่ต่ำได้ ถ้าหากเขาจะทำบ้างก็คงจะไม่ผิดเช่นกัน
หม่อมเจ้าภาณุมาศกำหมัดเดือดดาล ข้างในร้อนรุ่มดั่งมีไฟสุมอยู่เต็มอก พอเบือนหน้าไปอีกทางก็เห็นร่างเล็กยืนมองเขาอยู่ด้วยสายตาที่เจ็บปวดไม่ต่างกัน
ในสมองของเขากำลังประมวลผลอย่างหนัก ไม่ต่างจากใจที่ปั่นป่วนไปหมด ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร แต่ความรู้สึกภายในใจตอนนี้มันเรียกร้องอยากมีใครสักคนอยู่ข้างๆ เพียงในเวลาเหงาเท่านั้น
“มากับฉัน” เขาฉุดข้อมือเล็กกระชากไปตามแรง จนเธอรู้สึกเจ็บ
พิมแบ่งรับแบ่งสู้ เขาลากเธอมาจนถึงรถของเขา ก่อนจะเปิดประตูให้เธอลงนั่ง
“ท่านชายจะพาพิมไปไหนเพคะ”
“อย่าถามมาก ขึ้นรถเร็ว!”
คำตอบที่ได้คือเสียงตวาดที่เธอไม่คุ้นชิน เธอไม่กล้าขัดใจเขาจึงรีบเข้าไปนั่งในรถตัวลีบ ตามด้วยเสียงปิดประตูดังปัง ทำให้ใจดวงน้อยสั่นสะท้านได้อีกครั้ง
******************************
ภาณุมาศขับรถสีหน้าเคร่งขรึมมาตลอดทาง เธอรู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร พิมลอบมองหน้าเขาอยู่หลายครั้ง อยากจะถามหลายเรื่องแต่ก็ล้วนทำให้เขาไม่สบายใจจึงเลือกเงียบเสีย เพราะอยากจะทำหน้าที่เป็นเพื่อนคู่คิด เป็นอะไรก็ได้ที่ทำให้เขามีความสุข แต่ภาพนั้นคงไม่มีวันเกิดขึ้น...พิมนั่งมาสักพักเห็นป้ายเขียนว่า ‘โฮเต็ล’ แล้วเขาก็เลี้ยวรถเข้าไปในสถานที่แห่งนั้น พิมใจสั่นรู้ดีว่ามันหมายความว่าอะไร ทันทีที่รถหยุดนิ่งเขาก็สั่งให้เธอลงจากรถ พิมลงจากรถตามคำสั่ง เธออึกอักอยู่สักพัก รู้สึกจิตตกยอมรับว่าเคยรังเกียจสถานที่แบบนี้ เพราะคิดว่าไม่มีผู้หญิงดีๆ ที่ไหนเดินเข้าโรงแรมกับผู้ชายสองต่อสอง พิมชั่งใจเห็นเขาเดินนำเธอเข้าไปแล้ว เธอจึงเดินตามไปในห้องนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
พิมเข้ามาในห้องค่อนข้างดี กลิ่นก็หอมสะอาดพอสมควร เธอเห็นเขาถอดสูทชั้นนอกวางไว้ที่ปลายเตียง จากนั้นเขาก็เดินไปนั่งและรินน้ำสีอำพันลงในแก้วใบเปล่า ก่อนจะยกมันขึ้นจรดริมฝีปากกลืนลงคอรวดเดียวจนหมด ก่อนจะวางแก้วใบนั้นลงบนโต๊ะเสียงดัง มือหนาเลื่อนขึ้นกระชากไทท่าทางอึดอัด แล้วดึงเสื้อเชิ้ตออกมาอย่างลวกๆ แล้วค่อยๆ ปลดกระดุมที่ต้นคอสองสามเม็ดจนเห็นแผงอกล่ำสัน แล้วยกเหล้าขึ้นซดอีกหนึ่งครั้งเป็นการย้อมใจ ก่อนจะหันมาถามหญิงสาวที่เอาแต่ยืนมองนิ่ง ไม่พูดไม่จา
“เธออยากเป็นหม่อมของฉันไหม”
พิมสะดุ้งกับคำถามนั้น
“อยากเพคะ แต่ท่านชายมีพระคู่หมั้นก็คือ...” พิมก้มหน้าเอียงอาย สุดท้ายเสียงทุ้มรีบแทรกขึ้นมาตัดบทก่อนที่เธอจะเอ่ยชื่อนั้นออกมา ทำให้เขาต้องอารมณ์เสียไปมากกว่านี้ ตอนนี้เขาไม่อยากได้ยินอะไรที่เกี่ยวกับเพชราวสีทั้งนั้น
“อย่าพูดเลย ถ้าเธออยากเป็น ฉันจะให้เธอเป็นนับตั้งแต่ตอนนี้” ภาณุมาศรวบร่างบางเข้ามาใกล้ แล้วริมฝีปากหยักหนาก็เคลื่อนเข้ามาฉกชิมเรียวปากบางระเรื่ออย่างรวดเร็ว พิมมือไม้อ่อนไม่เคยรู้สึกถึงสัมผัสเช่นนี้มาก่อนในชีวิต เพียงสัมผัสเดียวก็เหมือนปลุกไฟในกายของคนทั้งคู่ให้ลุกโชนขึ้นเกินจะควบคุม จนเลยเถิดกลายเป็นสิ่งผิดพลาดที่สุดในชีวิตลูกผู้หญิง
ถ้าบิดามารดาของเธอรู้ก็คงจะเสียใจ แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อสิ่งนี้คือหนทางเดียวที่จะทำให้เธอไปถึงฝั่งฝันได้เร็วที่สุด และก็เป็นการตอกย้ำว่าเธอชนะเพชราวสีอย่างขาดลอย
เวลาผ่านไปเกือบค่ำ หม่อมเจ้าภาณุมาศมองร่างเปลือยเปล่ากำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่ข้างๆ กัน ชายหนุ่มยกแขนก่ายหน้าผากคิดไม่ตก นี่เขาทำอะไรลงไป! ตอนนั้นเขาโกรธมากจนขาดสติ แล้วพอแอลกอฮอล์เข้าปากก็ยิ่งผสมโรงทำอะไรลงไปโดยไม่ยั้งคิด เขาเอาความโกรธทั้งหมดมาลงไว้ที่พิม จนเผลอทำสิ่งที่ผิดพลาดจนได้
พอนึกถึงใบหน้าสวยหวานของพระคู่หมั้น ภาณุมาศก็รู้สึกผิดขึ้นมาอัตโนมัติ พอย้อนคิดดูดีๆ ผู้หญิงอย่างเพชราวสีน่ะหรือ...จะทำเรื่องชั่วช้าแบบนั้นในบ้านของตัวเอง ซ้ำยังเป็นที่โล่งแจ้ง กลางวันแสกๆ แบบนั้น เธอไม่มีวันทำเรื่องไม่ดีแบบนั้นแน่ๆ เขาใช้กำปั้นทุบหน้าผากตัวเองไปหลายครั้ง เป็นถึงท่านชายที่คนเคารพนับถือไม่น่าคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้เลย แต่เรื่องที่ทำให้เขาหนักใจยิ่งกว่าก็คือผู้หญิงที่กำลังนอนเคียงคู่เขาในตอนนี้ จะทำอย่างไรกับเธอดี ในเมื่อเขาก็ออกปากไปแล้วว่าจะให้เธอขึ้นเป็นหม่อม แต่ถ้าเพชราวสีรู้เรื่องนี้ก็คงไม่ยอมง่ายๆ เช่นกัน
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
น้อยที่กำลังพรวนดินต้นที่อยู่ตรงข้ามกับเพชราวสี ก็ใช้โอกาสนี้ลอบมองรอยยิ้มสดใสที่ปรากฏบนใบหน้าหวานซึ้งเป็นระยะ พอเพชราวสีเงยหน้าขึ้นปาดเหงื่อที่ไรผม ชายหนุ่มก็รีบก้มหน้าก้มตาพรวนดินต่อเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพชราวสีมองชายใบ้นิ่งเงียบก็ยักไหล่ แล้วเมินหน้ามองไปทางอื่น
เวลาผ่านไป หนุ่มสาวทั้งสี่ใช้เวลาปลูกต้นมะลิเกือบครึ่งค่อนวันได้ สุภาวดีนึกสนุก ปรายตามองกฤติเดชที่กำลังนั่งพรวนดินอยู่ข้างๆ กัน แสร้งเอียงตัวล้มลงไปทับชายหนุ่ม ก่อนที่ใบหน้างามพริ้มจะซบลงไปที่ไหล่กว้างอย่างจงใจ
“โอ๊ย! ปวดหัวจัง คุณเดชช่วยพยุงสุขึ้นไปพักหน่อยได้ไหมคะ”
“เอ่อ...” กฤติเดชชะงัก ประคองร่างเล็กเอาไว้ไม่เต็มมือ
สุภาวดีเห็นกฤติเดชทำท่าอ้ำๆ อึ้งๆ เหมือนจะไม่เต็มใจรับตัวเธอเท่าไรนัก เธอก็แกล้งทำเป็นร้องโอดโอยหนักขึ้น
“โอ๊ย! ปวดจังเลย ปวดมากเลยอ่า”
เพชราวสีไม่รู้แผนการเจ้าเล่ห์ของเพื่อนรัก คิดว่าสุภาวดีที่ไม่เคยตรากตรําทำงานสมบุกสมบันเช่นนี้มาก่อน พอเจอแดดร้อนตอนกลางวันก็คงจะหน้ามืด จึงรีบเข้าไปดูด้วยความห่วงใย
“พี่เดชรีบพาสุเข้าไปพักก่อนเถอะค่ะ เจออากาศร้อนก็คงจะหน้ามืดเป็นธรรมดา” เธอเสนอ
กฤติเดชพยักหน้าไม่รอช้ารวบตัวสุภาวดีอุ้มขึ้นมาไว้แนบอก วินาทีนั้นสุภาวดีตัวลอยเบาหวิว หลับตาพริ้มในอ้อมแขนของชายที่รักสมใจหวัง ลูกไม้เดิมๆ แต่ก็ยังใช้ได้ผลเสมอ
เพชราวสีกำลังจะเดินตามไป...แต่แล้วกลับหยุดชะงัก เมื่อจู่ๆ ก็รู้สึกแสบตาขึ้นมา เธอยืนขยี้ตาด้วยความหงุดหงิด จนกระทั่งชายหนุ่มที่เหลืออยู่คนเดียวตรงนั้นต้องเข้าไปดูใกล้ๆ จึงเห็นว่าเพชราวสีน่าจะแมลงเข้าตา
มือที่ล้างจนสะอาดถือวิสาสะสัมผัสใบหน้านวลเป็นครั้งแรก เพชราวสีสะดุ้งเฮือก หรี่ตามองเห็นใบหน้าเขารางๆ เมื่อขยับเข้ามาใกล้...ก็พอจะรู้ว่าเป็นใคร แม้รู้ว่าไม่เหมาะสม แต่ตอนนี้เธอทรมานแทบทนไม่ไหวจึงยอมรับความช่วยเหลือจากเขา
หญิงสาวยืนตัวแข็ง หัวใจเต้นระทึก เป็นครั้งแรกที่สัมผัสได้ถึงไอร้อนผ่าวจากร่างกายกำยำ ที่ขยับเข้ามาใกล้กันมากเหลือเกินในยามนี้ เธอรู้สึกถึงลมเย็นแผ่วเบาที่เขาเป่าออกมาปะทะที่ดวงตา เพชราวสีกะพริบตา รู้สึกเคืองเล็กน้อย แล้วดวงตาคู่สวยก็ค่อยๆ เบิกขึ้น มองหน้าเขาได้ชัดเจนอีกครั้ง
น้อยเห็นเพชราวสีกลับมาเป็นปกติก็ค่อยคลายกังวล ยิ้มออก
“ขอบใจนะ” เธอขยับริมฝีปากบาง พวงแก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อเป็นลูกตำลึง เพชราวสีรู้สึกว่ามีบางสิ่งเต้นแรงอยู่ในอกจนแทบจะกระโดดออกมาเสียให้ได้ เธอกลัวว่าถ้าอยู่ใกล้เขามากไปกว่านี้ เขาจะได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากอกของเธอ จึงรีบเดินจากร่างสูงไปอย่างไว
และช่างบังเอิญที่หม่อมเจ้าภาณุมาศเดินเข้ามาเห็นภาพบาดตาบาดใจพอดี เขายืนมองทั้งคู่จากมุมหนึ่งทางด้านหลังของเพชราวสี คิดไปไกลว่าน้อยก้มลงไปจูบพระคู่หมั้นของตน! ภาพตรงหน้านั้นทำให้หม่อมเจ้าภาณุมาศแทบคลั่งอยากปรี่เข้าไปเหวี่ยงหมัดใส่หน้ามัน แต่เพราะมียศศักดิ์ค้ำคออยู่ คำว่า ‘หม่อมเจ้า’ ที่นำหน้าชื่อใช้เป็นเครื่องเตือนสติได้เป็นอย่างดี ว่าผู้มีความเจริญแล้วไม่แสดงกิริยาป่าเถื่อนแบบนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะทนได้อีกนานเท่าไร...ในเมื่อหล่อนใฝ่ต่ำได้ ถ้าหากเขาจะทำบ้างก็คงจะไม่ผิดเช่นกัน
หม่อมเจ้าภาณุมาศกำหมัดเดือดดาล ข้างในร้อนรุ่มดั่งมีไฟสุมอยู่เต็มอก พอเบือนหน้าไปอีกทางก็เห็นร่างเล็กยืนมองเขาอยู่ด้วยสายตาที่เจ็บปวดไม่ต่างกัน
ในสมองของเขากำลังประมวลผลอย่างหนัก ไม่ต่างจากใจที่ปั่นป่วนไปหมด ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร แต่ความรู้สึกภายในใจตอนนี้มันเรียกร้องอยากมีใครสักคนอยู่ข้างๆ เพียงในเวลาเหงาเท่านั้น
“มากับฉัน” เขาฉุดข้อมือเล็กกระชากไปตามแรง จนเธอรู้สึกเจ็บ
พิมแบ่งรับแบ่งสู้ เขาลากเธอมาจนถึงรถของเขา ก่อนจะเปิดประตูให้เธอลงนั่ง
“ท่านชายจะพาพิมไปไหนเพคะ”
“อย่าถามมาก ขึ้นรถเร็ว!”
คำตอบที่ได้คือเสียงตวาดที่เธอไม่คุ้นชิน เธอไม่กล้าขัดใจเขาจึงรีบเข้าไปนั่งในรถตัวลีบ ตามด้วยเสียงปิดประตูดังปัง ทำให้ใจดวงน้อยสั่นสะท้านได้อีกครั้ง
******************************
ภาณุมาศขับรถสีหน้าเคร่งขรึมมาตลอดทาง เธอรู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร พิมลอบมองหน้าเขาอยู่หลายครั้ง อยากจะถามหลายเรื่องแต่ก็ล้วนทำให้เขาไม่สบายใจจึงเลือกเงียบเสีย เพราะอยากจะทำหน้าที่เป็นเพื่อนคู่คิด เป็นอะไรก็ได้ที่ทำให้เขามีความสุข แต่ภาพนั้นคงไม่มีวันเกิดขึ้น...พิมนั่งมาสักพักเห็นป้ายเขียนว่า ‘โฮเต็ล’ แล้วเขาก็เลี้ยวรถเข้าไปในสถานที่แห่งนั้น พิมใจสั่นรู้ดีว่ามันหมายความว่าอะไร ทันทีที่รถหยุดนิ่งเขาก็สั่งให้เธอลงจากรถ พิมลงจากรถตามคำสั่ง เธออึกอักอยู่สักพัก รู้สึกจิตตกยอมรับว่าเคยรังเกียจสถานที่แบบนี้ เพราะคิดว่าไม่มีผู้หญิงดีๆ ที่ไหนเดินเข้าโรงแรมกับผู้ชายสองต่อสอง พิมชั่งใจเห็นเขาเดินนำเธอเข้าไปแล้ว เธอจึงเดินตามไปในห้องนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
พิมเข้ามาในห้องค่อนข้างดี กลิ่นก็หอมสะอาดพอสมควร เธอเห็นเขาถอดสูทชั้นนอกวางไว้ที่ปลายเตียง จากนั้นเขาก็เดินไปนั่งและรินน้ำสีอำพันลงในแก้วใบเปล่า ก่อนจะยกมันขึ้นจรดริมฝีปากกลืนลงคอรวดเดียวจนหมด ก่อนจะวางแก้วใบนั้นลงบนโต๊ะเสียงดัง มือหนาเลื่อนขึ้นกระชากไทท่าทางอึดอัด แล้วดึงเสื้อเชิ้ตออกมาอย่างลวกๆ แล้วค่อยๆ ปลดกระดุมที่ต้นคอสองสามเม็ดจนเห็นแผงอกล่ำสัน แล้วยกเหล้าขึ้นซดอีกหนึ่งครั้งเป็นการย้อมใจ ก่อนจะหันมาถามหญิงสาวที่เอาแต่ยืนมองนิ่ง ไม่พูดไม่จา
“เธออยากเป็นหม่อมของฉันไหม”
พิมสะดุ้งกับคำถามนั้น
“อยากเพคะ แต่ท่านชายมีพระคู่หมั้นก็คือ...” พิมก้มหน้าเอียงอาย สุดท้ายเสียงทุ้มรีบแทรกขึ้นมาตัดบทก่อนที่เธอจะเอ่ยชื่อนั้นออกมา ทำให้เขาต้องอารมณ์เสียไปมากกว่านี้ ตอนนี้เขาไม่อยากได้ยินอะไรที่เกี่ยวกับเพชราวสีทั้งนั้น
“อย่าพูดเลย ถ้าเธออยากเป็น ฉันจะให้เธอเป็นนับตั้งแต่ตอนนี้” ภาณุมาศรวบร่างบางเข้ามาใกล้ แล้วริมฝีปากหยักหนาก็เคลื่อนเข้ามาฉกชิมเรียวปากบางระเรื่ออย่างรวดเร็ว พิมมือไม้อ่อนไม่เคยรู้สึกถึงสัมผัสเช่นนี้มาก่อนในชีวิต เพียงสัมผัสเดียวก็เหมือนปลุกไฟในกายของคนทั้งคู่ให้ลุกโชนขึ้นเกินจะควบคุม จนเลยเถิดกลายเป็นสิ่งผิดพลาดที่สุดในชีวิตลูกผู้หญิง
ถ้าบิดามารดาของเธอรู้ก็คงจะเสียใจ แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อสิ่งนี้คือหนทางเดียวที่จะทำให้เธอไปถึงฝั่งฝันได้เร็วที่สุด และก็เป็นการตอกย้ำว่าเธอชนะเพชราวสีอย่างขาดลอย
เวลาผ่านไปเกือบค่ำ หม่อมเจ้าภาณุมาศมองร่างเปลือยเปล่ากำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่ข้างๆ กัน ชายหนุ่มยกแขนก่ายหน้าผากคิดไม่ตก นี่เขาทำอะไรลงไป! ตอนนั้นเขาโกรธมากจนขาดสติ แล้วพอแอลกอฮอล์เข้าปากก็ยิ่งผสมโรงทำอะไรลงไปโดยไม่ยั้งคิด เขาเอาความโกรธทั้งหมดมาลงไว้ที่พิม จนเผลอทำสิ่งที่ผิดพลาดจนได้
พอนึกถึงใบหน้าสวยหวานของพระคู่หมั้น ภาณุมาศก็รู้สึกผิดขึ้นมาอัตโนมัติ พอย้อนคิดดูดีๆ ผู้หญิงอย่างเพชราวสีน่ะหรือ...จะทำเรื่องชั่วช้าแบบนั้นในบ้านของตัวเอง ซ้ำยังเป็นที่โล่งแจ้ง กลางวันแสกๆ แบบนั้น เธอไม่มีวันทำเรื่องไม่ดีแบบนั้นแน่ๆ เขาใช้กำปั้นทุบหน้าผากตัวเองไปหลายครั้ง เป็นถึงท่านชายที่คนเคารพนับถือไม่น่าคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้เลย แต่เรื่องที่ทำให้เขาหนักใจยิ่งกว่าก็คือผู้หญิงที่กำลังนอนเคียงคู่เขาในตอนนี้ จะทำอย่างไรกับเธอดี ในเมื่อเขาก็ออกปากไปแล้วว่าจะให้เธอขึ้นเป็นหม่อม แต่ถ้าเพชราวสีรู้เรื่องนี้ก็คงไม่ยอมง่ายๆ เช่นกัน
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 เม.ย. 2565, 10:04:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 พ.ค. 2565, 17:49:10 น.
จำนวนการเข้าชม : 254
<< บทที่ 15 ดวงตาคู่สวย (50%) | บทที่ 16 ความกังวลของผู้ชายเจ้าชู้ (35%) >> |