สะดุดเล่ห์ เสน่ห์รัก
สะดุดเล่ห์ เสน่ห์รัก


**เรื่องนี้เป็นเรื่องของภัทรา และเขตแดน พ่อและแม่ของภิตะวัน จากเจ้าสาวแสนแสบค่ะ
และก็เป็นเพื่อนสนิทของ อมาวตี จาก สะดุดรัก ลวงใจค่ะ (ตีพิมพ์ไปแล้วกับดอกหญ้า 2000ค่ะ)


** เรื่องนี้เคยลงที่เด็กดีจนจบเรื่องแล้วนะคะ อันนี้เป็นฉบับรีไรท์ค่ะ**


รัตน์ๆ เอามาลงอีกครั้ง ระหว่างรอหนังสือออก ซึ่งตอนนี้เงียบหายไปเลย
หลังจากบอกว่าจะปิดต้นฉบับ T-T (หลอกให้เค้าดีใจตลอดเลย กระซิกๆ T^T)
เจ้าสาวแสนแสบที่ลงไว้ก็กระดึ๊บๆ มากด้วย ก็เลยรู้สึกผิดเล็กน้อย หุหุ


เอาเป็นว่าไว้อ่านกันเล่นๆ ละกัน


จะลงจนกว่าหนังสือจะออก ถ้าหนังสือออกช้า ก็ลงจนจบเลยค่ะ
แต่ขออนุญาตลบเมื่อลงครบทุก 5 ตอนนะคะ



อยากรู้ว่าตะวันได้เชื้อ(บ้า)มาจากใคร ต้องลองอ่านดูค่า ^^





สะดุดเล่ห์ เสน่ห์รัก



คำโปรย



เมื่อสาวแสบ แสนซน เจ้าแผนการ หวังทวงคืนรักแรกเมื่อครั้งวัยเยาว์


ทว่าปฏิบัติการครั้งนี้ดูจะมีอุปสรรคไม่น้อย เมื่อต้องฝ่าด่านน้องชายจอมเจ้าชู้และสุดแสนจะเจ้าเล่ห์ ซึ่งพยายามอย่างยิ่งที่จะขัดขวางเธอในทุกวิถีทาง


มาลุ้นกันว่า...สาวป่วนอย่าง “ภัทรา” จะสามารถเอาชนะใจชายในฝันได้สำเร็จ หรือจะหลงเสน่ห์ชายหนุ่มจอมเจ้าเล่ห์ก่อนกัน



...จะรอให้คนบนฟ้าเป็นผู้กำหนด หรือเราจะลิขิตทางเดินรักด้วยตัวเอง!...






ตัวละคร



ภัทรา (ภัทร)

สาวสวยร่างเล็ก ทว่าอวบอัด ชอบกลั่นแกล้งชาวบ้านไม่เว้นแต่ละวัน....

สิ่งที่ถนัดที่สุด คือ การทำเรื่องเล็ก ให้เป็นเรื่องใหญ่





เขตแดน (แดน)

ทายาทห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ของเมืองไทย หล่อเหลา เจ้าเสน่ห์ เจ้าชู้ ขี้เล่น และสุดแสนจะเจ้าเล่ห์..





สุดเขต (เขต)

พ่อหม้ายลูกติด พี่ชายคนเดียวของเขตแดน ผู้กุมบังเหียนห้างสรรพสินค้าชื่อดัง เจ้าของนัยน์ตาเศร้า ด้วยภาพความทรงจำในอดีตยังฝังแน่นอยู่ในใจ ไม่อาจลบเลือน






ภัคจิรา (ภัค)

ญาติสาวผู้พี่ของภัทรา สไตลิสสาวบ้างาน

ชีวิตของเธอมีเพียงสิ่งเดียว...คือ "งาน" เท่านั้น!






ภูผา (ภู)

ชายหนุ่มผู้พกความแค้นมาเต็มพิกัด หวังกอบกู้กิจการของครอบครัวที่ล้มละลาย พร้อมกับทำลายศัตรูคู่อริให้สิ้น ทว่าคำพิพากษาของเขา กลับหวนทำร้ายตัวเขาเองโดยไม่รู้ตัว...

เพราะคำว่า "รัก" เพียงคำเดียว





Tags: สะดุดเล่ห์ เสน่ห์รัก

ตอน: บทที่ 30 : โรคร้ายที่หายไม่ได้ด้วยยา แต่ต้องรักษาด้วยหัวใจ



บทที่ 30 : โรคร้ายที่หายไม่ได้ด้วยยา แต่ต้องรักษาด้วยหัวใจ



ณ โรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง ปรากฎหญิงสาวร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อผ้ามีสไตล์กำลังเดินด้วยความมั่นใจเข้าสู่ภายในอาคาร ใบหน้าสวยเก๋ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางชั้นดี หากทว่าก็ไม่อาจซ่อนเร้นดวงตาที่อิดโรยราวกับไม่ได้นอนหลายวันติดต่อกันได้


“พี่ภัค! มาทำอะไรที่นี่คะ” ภัทราเดินแกมวิ่งเข้าไปทักทายญาติสาวทันทีที่เห็น



เจ้าของร่างเพรียวระหงหันไปตามเสียง ทว่าเมื่อเห็นว่าคนที่เรียกนั้นคือ ‘ภัทรา’ ญาติห่างๆ ของตน ซึ่งเมื่อก่อนนั้นสนิทสนมกันเป็นอย่างดี ทว่าพักหลังๆ ด้วยเพราะงานที่เธอทำ เป็นเหตุให้เธอต้องเดินทางอยู่บ่อยๆ ทำให้เจอกันน้อยลง หากแต่นั่นยังไม่เท่ากับสิ่งที่เธอได้เห็นและได้รับรู้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา...สิ่งที่ทำให้เธอเจ็บปวดและเป็นสาเหตุให้ต้องนอนไม่หลับอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่เธอไม่เคยนึกอิฉาอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ด้วยเพราะในสายตาเธอ ภัทราคือผู้หญิงที่เหมาะสมกับใครคนนั้นทุกอย่าง ทั้งหน้าตา การศึกษา ฐานะ และวงศ์ตระกูล จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนซึ่งเหมาะสมและคู่ควรจะได้ครองคู่กันมิใช่หรือ




“พี่ภัคจะมาเยี่ยมพี่เขตรึเปล่าคะ” ภัทราไม่รอให้ญาติสาวตอบ หากแต่กลับถามคำถามใหม่ซะอย่างนั้น



“พี่นอนไม่ค่อยหลับก็เลยจะแวะมาปรึกษาหมอหน่อยน่ะ ว่าแต่ภัทรบอกว่าพี่จะมาเยี่ยมใครนะ” ภัคจิรากล่าวถามด้วยได้ยินไม่ชัดนัก


“พี่เขตค่ะ พี่เขตถูกยิงเมื่อวันงานเลี้ยงเปิดตัว”




“คุณสุดเขตถูกยิง!” เจ้าของเรือนร่างสูงโปร่งหน้าซีด รู้สึกราวกับโลกกำลังจะถล่มทลายลงตรงหน้า


“แล้วนี่เป็นอะไรมากรึเปล่า!” คนถามสีหน้าตกอกตกใจ ก่อนจะเขย่าแขนญาติสาวรุ่นน้องอย่างแรงด้วยความลืมตัว



“ตอนนี้ยังไม่ฟื้นค่ะ แต่อาการโดยรวมปลอดภัยดี ว่าแต่พี่ภัคเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมหน้าซีดจังเลย” ภัทรากล่าวถามด้วยความเป็นห่วง



“พี่อยากไปเยี่ยมคุณสุดเขต ภัทรพาพี่ไปหน่อยสิ” ภัคจิราไม่ได้สนใจคำถามของอีกฝ่าย ตอนนี้สมองของเธอเห็นเพียงภาพของคน เพียงคนเดียว...สุดเขต



******************************



ภาพใบหน้าซีดเซียวไร้สติของสุดเขตที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงคนไข้ทำให้ภัคจิราตัวแข็งเป็นหิน มือเย็นเฉียบ รู้สึกราวกับวิญญาณกำลังจะออกจากร่างอย่างไรอย่างนั้น ด้วยไม่นึกเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงเช่นนี้กับเขา
"พี่เขตถูกยิงเมื่อวันงานเลี้ยงเปิดตัวน่ะค่ะ แต่ไม่ใช่ที่งานเลี้ยงหรอกนะคะ คุณกานดาเล่าให้ฟังว่าพี่เขตถูกยิงที่คอนโดย่านสาธรค่ะ" ภัทราเล่าเรื่องราวตามที่ได้ฟังจากแม่บ้านใหญ่ให้ญาติสาวฟัง หากแต่เพราะมัวสนใจอยู่กับคนป่วยบนเตียง ทำให้ไม่ได้สังเกตเลยว่าร่างระหงที่ยืนข้างๆ นั้นตกใจกับสิ่งที่ได้ยินแค่ไหน



"คอนโดที่สาธร...ภัทรรู้มั้ยว่าคอนโดอะไร?" เสียงเบาหวิวกล่าวถาม ขณะที่มือเรียวยาวจับขอบเตียงคนไข้แน่น


"ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ รู้แต่ว่าพี่เขตขึ้นไปบนคอนโดตามลำพัง ไม่ยอมให้บอดี้การ์ดตามไปด้วย ก็เลยถูกซุ่มยิง"


คนฟังอึ้งไปชั่วขณะ พร้อมกับที่กระเป๋าถือในมือร่วงลงบนพื้น หากทว่าผู้เป็นเจ้าของหาได้สนใจไม่ เพราะตอนนี้สมองของเธอกำลังนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดในวันนั้น...



คืนนั้น...หลังจากเห็นภาพบาดตาในงาน เธอก็จำแทบไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเธอกลับมาถึงห้องพักได้ยังไง
ห้องพักในคอนโดหรูซึ่งปกตินั้นจะมี แจ๊ส หรือแจ๊สซี่ เพื่อนสาวไม่แท้มาค้างอ้างแรมด้วยเสมอๆ ทว่าคืนนี้แจ๊สซี่กลับบ้านที่ต่างจังหวัด ทิ้งให้เธอต้องเผชิญกับความเปลี่ยวเหงาของค่ำคืนโหดร้ายเพียงคนเดียว


เธอนั่งจมอยู่กับความคิดตัวเองจนเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้ จวบจนเสียงออดจากหน้าห้องพักก็ดังขึ้น เป็นเหตุให้เจ้าของห้องรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ด้วยเพราะปกตินั้นไม่มีใครมาหาเธอในยามวิกาลเช่นนี้



ว่าแล้วจึงเดินไปยังประตูห้อง ทว่าก้าวไปเพียงไม่กี่ก้าว จู่ๆ ไฟในห้องพักก็ดับพรึ่บลง ได้แต่หันซ้ายทีขวาที ว่าควรจะทำเช่นไรกับสถานการณ์ตรงหน้าดี


ไฟฉาย!...เมื่อนึกขึ้นได้ เจ้าตัวจึงเดินไปยังทิศทางที่เป็นตำแหน่งของตู้เตี้ยในห้องนั่งเล่น ซึ่งเธอได้วางไฟฉายไว้ด้านบน เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ที่แม้จะมีมีไม่บ่อยก็ตามที หากทว่าตระเตรียมไว้ก็ไม่เสียหาย



มือเรียวเอื้อมไปควานหาสิ่งของที่ต้องการ หากแต่เพราะความมืดที่ห่อหุ้มกายทำให้มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น เป็นเหตุให้ท่อนแขนปาดป่ายไปโดนของบางอย่างตกลงมากระแทกพื้น พร้อมกับบังเกิดเสียงคล้ายกับมีของบางอย่างแตกกระจาย



ทันใดนั้นไฟที่ดับอยู่ก็พลันสว่างวาบขึ้นมา กรอบรูปไม้ที่ตกลงมากระแทกพื้นทำให้ กระจกใสตรงกลางแตก แรงกระแทกทำให้ภาพใบเล็กๆ ที่ถูกซุกซ่อนไว้ใต้ภาพถ่ายของเธอและเพื่อนชายใจสาวหลุดกระเด็นออกมาจากกรอบรูป


ภาพสาวน้อยหน้าตาสดใส ดวงตาเปล่งประกายราวกับโลกนี้มีแต่สีขาวและชมพู ข้างกายมีชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งหน้าตาดีแนบชิดใกล้นั้น ทำให้คนที่เห็นรู้สึกเจ็บปวดในใจอยู่ลึกๆ


....เจ็บที่ครั้งนึงเธอเคยมอบหัวใจให้เขา ทว่าก็ถูกทอดทิ้งอย่างไม่ใยดี…


...เจ็บที่เธอไม่เคยจำ และยังทำให้เกิดเหตุการณ์เหล่านั้นซ้ำอีกจนได้…




เพียงแค่มอง...ภาพอดีตมากมายก็หลั่งไหลมาสู่สมอง อดีตที่แสนสุข หากทว่ากลับนำความทุกข์มาสู่ตัวเธอยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน และทำท่าว่าจะยาวต่อไปในอนาคตหากว่าเธอไม่รีบหยุดยั้งมันไว้


ยิ่งมองก็ยิ่งเจ็บจนเธอต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ก่อนจะสาวเท้าไปยังประตูห้องเมื่อนึกได้ว่าน่าจะมีใครบางคนรอเธออยู่อีกฟากหนึ่งของประตู



หากแต่เมื่อมองผ่านช่องตาแมวกลับไม่พบใครทั้งนั้น ทว่าด้วยความสงสัยบวกกับความรู้สึกหวั่นไหวในใจอย่างน่าประหลาดทำให้เธอตัดสินใจผลักประตูไม้บานใหญ่ออกไป


สงสัยจะหูฝาดรึเปล่าเรา หญิงสาวมองไปโดยรอบก็ไม่เห็นใคร หากแต่กลับปรากฏดอกลิลลี่สีขาวช่อใหญ่ตกอยู่บนพื้น


พลันหัวใจก็กระตุกวูบขึ้นทันที เมื่อความทรงจำบางส่วนย้อนกลับมา...



“ภัคไม่ชอบดอกไม้ ซื้อมาทำไมเปลืองเงินเปล่าๆ ดูซิ ช่อนึงมีตั้งหลายดอก ดอกละตั้งหลายตังค์ หมดไปเท่าไหร่คะนี่”



หญิงสาวหน้าตาสะอาดสะอ้านกล่าวถามด้วยท่าทีไม่ค่อยพอใจนัก อาจเป็นเพราะสำหรับเด็กกำพร้าเช่นเธอนั้นเงินทุกบาททุกสตางค์มีค่า แม้ว่าเงินที่ใช้ที่จ่ายเธอจะไม่ได้หามาเอง หากแต่คุณลุงกับคุณป้าของเธอจะเป็นคนออกให้โดยตลอดนับตั้งแต่ที่เธอต้องสูญเสียครอบครัวไป แต่กระนั้นเธอเองก็รู้ว่าเงินแต่ละบาท กว่าจะหามาได้ไม่ใช่ง่ายๆ เลย ดังนั้นจึงไม่ควรที่จะมาหมดไปเพราะของฟุ่มเฟือยเช่นนี้...ดอกไม้เหล่านี้นั้นสวยก็จริง หากทว่ามันก็อยู่ได้แค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ไม่นานก็ต้องเหี่ยวแห้งและทิ้งไปในที่สุด



“รับไปเถอะนะภัค พี่อยากให้” เจ้าของหุ่นสูงอย่างนักกีฬากล่าวพลางสบตาเธออย่างอบอุ่น



“แต่ภัคไม่...”



“ถึงภัคไม่ชอบ แต่พี่ชอบ...เพราะงั้นถ้าภัคไม่รับพี่คงเสียใจน่าดู” ชายหนุ่มหน้าตาพิมพ์เดียวกับในภาพถ่ายกล่าวพลางยิ้ม...รอยยิ้มนั้นทำให้ใบหน้าขรึมของเขาดูสดใสและน่ามองขึ้นเป็นกอง หากทว่าก็เป็นรอยยิ้มที่ทำให้เธอฝันร้ายมาตลอดหลายปี...



เสียงโกลาหลที่ดังขึ้นมาจากด้านล่างของอาคารคล้ายกับเกิดเหตุการณ์วุ่นวายอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ทำให้เธอกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง


‘สงสัยคงมีอะไรขัดข้องตอนไฟดับละมั้ง’ ภัคจิราสันนิษฐาน ก่อนจะหยิบช่อดอกไม้ที่อยู่บนพื้นขึ้นมาพลิกดูการ์ดหรืออะไรที่บ่งบอกว่าใครเป็นเจ้าของดอกไม้ช่อนี้ ทว่าหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ พาลให้เจ้าตัวคิดว่าอาจเป็นของใครบางคนที่ทำตกไว้ตรงทางเดินหน้าห้องก็เป็นได้ ว่าแล้วจึงนำดอกไม้ช่อนั้นวางไว้ที่เดิม ก่อนจะกลับเข้าห้องไป



ทว่าเมื่อเรื่องราวบางอย่างที่พยายามปิดตายไว้ในส่วนลึกของความทรงจำถูกรื้อฟื้นให้ตื่นขึ้นมา ภาพหลายๆ ภาพที่เธอพยายามลืมก็หวนกลับมาสู่จิตสำนึกอีกครั้ง ซ้ำร้ายคราวนี้ทำท่าว่าทำนบเขื่อนที่ก่อสร้างไว้กักกั้นความหลังเมื่อครั้งอดีตจะถูกทำลายและพังครืนเสียสิ้น เรื่องราวความหลังนับตั้งแต่เมื่อครั้งที่เธอและเขาพบกันตั้งแต่คราแรกจึงปรากฏชัดเจนยิ่งกว่าครั้งไหนๆ



ครั้งนั้นเธอเป็นสาวน้อยแรกรุ่น ที่หน้าตาไม่ได้มีอะไรโดดเด่น จะมีก็เพียงแต่แว่นตาหนาเตอะที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ประจำตัวเท่านั้น หากทว่าด้วยเพราะความมานะและขยันหมั่นเพียรในการเล่าเรียน ความช่างคิด ช่างสังเกต กับทั้งพรสวรรค์ในด้านการออกแบบที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ทำให้เธอได้รับคัดเลือกให้ไปศึกษาต่อยังมหานครแห่งแฟชั่น ประเทศที่ใครหลายคนใฝ่ฝัน ประเทศที่เป็นต้นกำเนิดของแบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำ และเป็นต้นฉบับของแฟชั่นทั่วโลก



ทว่าแม้จะอยู่มาร่วมปี เธอก็ยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมของที่นั่นได้ ราวกับเธอนั้นเป็นเพียงกาที่มาอาศัยอยู่ท่ามกลางเหล่าหงส์มากมายอย่างไรอย่างนั้น
จนกระทั่งวันนึง…




วันที่เธอต้องโชว์ผลงานออกแบบของตัวเองในชั้นเรียน และเธอต้องเป็นนางแบบให้กับเสื้อผ้าของตัวเองเป็นครั้งแรก แม้จะรู้สึกขัดเขินหากแต่เพื่อผลการเรียนที่เป็นเลิศให้สมกับที่ได้รับทุนการศึกษาให้มาเล่าเรียนแล้ว เธอจึงต้องทำใจกล้า เอาใบหน้าเชยๆ กับทั้งหุ่นสูงเก้งก้างของตัวเองจับใส่ลงไปในเสื้อผ้าที่ตัวเองออกแบบ แน่นอนมันไม่ได้เข้ากันแม้แต่น้อย ไม่ใช่ว่าเสื้อผ้าที่เธอออกแบบนั้นจะแย่จนดูไม่ได้หรอกนะ หากแต่เป็นเพราะตัวเธอต่างหากที่ทำให้เสื้อผ้าที่ควรจะดูดียามเมื่ออยู่บนเรือนร่างของนางแบบสมส่วน ต้องดูด้อยไปถนัดตา



จะเป็นเพราะโชคชะตาฟ้าลิขิตหรือเพราะอะไรก็ไม่อาจรู้ได้ ทว่าขณะที่เธอกำลังนั่งรถเพื่อจะไปยังมหาวิทยาลัยนั้น รถที่นั่งก็เกิดเสียอย่างกะทันหัน เป็นเหตุให้นางแบบสาวจำเป็นต้องใช้วิธีเดินจ้ำเอ้าไปยังสถานที่เป้าหมายแทน โชคดีที่มหาวิทยาลัยที่เธอเรียนนั้นอยู่ห่างออกไปไม่กี่บล็อคถนน ทว่าอาจเป็นโชคดีเพียงครั้งแรกและครั้งเดียวก็เป็นได้ นั่นเพราะการที่เธอต้องเดินในชุดเสื้อผ้าที่ไม่ได้ออกแบบสำหรับใช้ชีวิตประจำวัน หากแต่ออกแบบเพื่อการออกงานสังคมยามราตรี ในช่วงเวลาที่ผู้คนพลุกพล่านเต็มท้องถนนนั้น บอกได้คำเดียวว่าไม่มีอะไรน่าอับอายไปมากกว่านี้อีกแล้ว



ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ ก็คือการเดินไปให้ถึงมหาวิทยาลัยให้เร็วที่สุด เร็วเท่าที่จะเร็วได้ ทว่าไม่รู้ว่าสวรรค์กำลังสนุกกับการกลั่นแกล้งเธอหรือเพราะความงี่เง่าของตัวเองกันแน่ ทำให้ขณะที่กำลังเดิมก้มหน้ามองดูเท้าตัวเองนั้น ทำให้ไม่ได้มองความเป็นไปของคนข้างๆ เป็นเหตุให้เธอโดนกระแทกจากผู้คนจำนวนมากที่เดินสวนไปมากด้วยความรีบเร่งจนเสียหลัก แรงผลักส่งผลไปยังร่างสูงใหญ่ที่เดินอยู่ด้านหน้า ทำให้เธอคนๆ นั้นเสียหลักล้มลงไปคนละทิศละทาง



ทว่าความซวยยังไม่หมดเพราะทันทีที่เธอล้มลงกระแทกพื้นนั้น แว่นตาคู่ชีพก็หลุดกระเด็นและอะไรต่อมิอะไรคงไม่แย่ ถ้าเธอไม่ได้มีสายตาสั้นเฉียดหลักพัน ที่มองเห็นความชัดเจนในระยะเพียงไม่กี่เซนติเมตรใกล้ตาเท่านั้น


“บ้าจริง แว่นฉันล่ะ!”



“นี่หรือเปล่าครับ” แว่นตาในสภาพที่ไม่น่าจะใช้งานได้ถูกยื่นมาตรงหน้า ทำเอาคนถามถึงกับอ้าปากค้าง เพราะแม้สายตาจะสั้น หากแต่ก็พอเห็นรางๆ ว่าแว่นของเธอนั้นเลนส์แตกละเอียดไม่เหลือชิ้นดีขนาดไหน


“แว่นฉัน!



“อย่ามัวแต่ตกใจเลย จะยิ่งเป็นจุดสนใจ ผมว่าเราน่าจะรีบไปออกไปจากตรงนี้ก่อนนะครับ” ชายหนุ่มเอเชียผู้เคราะห์ร้ายรีบบอกก่อนจะคว้าข้อมือบางของหญิงสาวไปด้วยกัน



ไม่นานคนทั้งคู่ก็มาถึงร้านแว่นร้านหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ช่วงตึก



“นี่คุณฉันไม่ได้เอาเงินติดตัวมานะ” เจ้าของข้อมือเล็กรีบออกตัว อันที่จริงไม่ใช่ว่าเธอไม่ได้นำเงินติดตัวมาหรอก หากแต่เพราะราคาข้าวของแต่ละชิ้นในย่านนี้เป็นที่รู้กันว่าแพงหูฉี่ขนาดไหน แล้วเด็กนักเรียนทุนอย่างเธอจะมีปัญญาหาเงินมาซื้อของแบรนด์เนมพวกนี้ได้ยังไงกัน ครั้นจะให้รบกวนคุณลุงและคุณป้าที่เมืองไทย กับข้าวของที่ราคาสูงเกินจำเป็นเช่นนี้ เธอก็เห็นว่าไม่สมควร แม้ว่าท่านทั้งสองจะรักและเอ็นดูเธอเหมือนลูกเหมือนหลานกก็ตามที



“ผมให้ยืมก่อนก็ได้” ชายหนุ่มยิ้มอบอุ่นให้


“ฉันไม่...”



“อย่าปฎิเสธไม่งั้นคุณจะไปไหนต่อไหนไม่ได้นะ” พูดจบมองดูชุดที่เธอสวมใส่พลางขมวดคิ้ว



“ฉันเอ่อ...จะไปส่งงาน นี่ชุดฉันออกแบบเอง” เธอรีบบอกอย่างอายๆ ...เดินกลางถนนตั้งนาน ยังไม่รู้สึกอายเท่าโดนสายตาคนตรงหน้ามองสักนิด มองแบบนั้นคงกำลังหัวเราะเยาะเราสิท่า...หญิงสาวแอบค้อนคนตรงหน้าในใจ



ทว่าเธอไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลยสักนิด คนยิ้มยากและไม่ชอบสุงสิงกับใครอย่างเขา ถ้าไม่รู้สึกชอบหรือถูกชะตาจริงๆ เขาไม่มีทางให้ความช่วยเหลือมากมายขนาดนี้ กับทั้งเธอคงไม่รู้ว่าใบหน้าเนียนใสที่ไร้การปรุงแต่งของเธอยามที่ไม่มีแว่นตาหนาเตอะบดบังนั้นดูบริสุทธิ์งดงามชวนมองเพียงใด



“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่นา ชุดนี้ก็น่ารักดี” ใบหน้าหล่อเหลาหัวเราะอีกครั้งอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหยิบแว่นที่พนักงานในร้านนำมาให้เลือกสวมเข้าที่ใบหน้าของหญิงสาว



“อ๊ะ!”



ภัคจิราไม่ทันได้ตั้งตัวจึงตกใจ ใบหน้าของเขาอยู่ตรงกับหน้าของเธอในระยะที่เธอมองเห็นได้ชัดเจน ซึ่งนั่นก็ทำให้ใจเธออดสั่นไหวไม่ได้ พร้อมกันนั้นเสียงเพลงแผ่วพริ้วแสนหวานราวกับเป็นการเอื้อนเอ่ยความในใจให้คนรักได้รับรู้ว่าความรู้สึกที่มีให้กันนั้นล้นปรี่เต็มหัวใจเพียงใดก็แว่วมาให้ได้ยิน



ดวงตาอ่อนโยนของเขาทำให้เธอรู้สึกราวกับว่าเธอคือผู้หญิงคนนั้นที่เขากำลังบอกรัก...



‘บ้าจริง! มันก็แค่เพลงนะ ไม่ใช่เรื่องจริงเสียหน่อย ว่าแต่แล้วทำไมเพลงรักแสนหวานถึงมาเฉพาะเจาะจงดังเอาตอนนี้ด้วยนะ!’




ขณะเดียวกันชายหนุ่มหยิบแว่นแบบแล้วแบบเล่าลองสวมใส่ให้เธอ กับทั้งช่วยพิจารณาว่าใบหน้าของเธอเหมาะกับแว่นรูปทรงไหน ซึ่งนั่นก็ทำให้ดวงตาของเขาสบกับเธอครั้งแล้วครั้งเล่า และทุกครั้งที่ประสานสายตากัน หัวใจเธอก็สั่นระรัว



“ผมว่าคุณไม่เหมาะกับแว่นพวกนี้” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นหลังจากลองใส่เข้า ถอดออกแว่นตาหลากแบบกับใบหน้าเธอหลายต่อหลายรอบ



ภัคจิราอดย่นคิ้วไม่ได้เมื่อโดนอีกฝ่ายตอกว่าเธอไม่เหมาะกับแว่นตาราคาแพงลิบในร้านหรูแห่งนี้


“ที่ผมบอกว่าคุณไม่เหมาะกับแว่น เพราะคุณควรจะใส่คอนแทคเลนส์ต่างหาก น่าเสียดายใบหน้าสวยๆ ที่ต้องถูกบดบัง”



คำพูดของเขาทำให้ภัคจิราอดเงยหน้ามองไม่ได้ ด้วยอยากรู้ว่าเขาพูดจริงหรือล้อเธอเล่นกันแน่ และนั่นก็ทำให้ดวงตาของเขาและเธอสบกันอีกครั้ง...ทว่าคราวนี้ยาวนานกว่าครั้งก่อนๆ



‘บ้าจริง! ต้องเป็นเพราะเพลงเมื่อกี๊แน่ๆ ที่ทำให้เรารู้สึกแปลกๆ ทุกครั้งเวลามองหน้าเขา’ หญิงสาวรีบหลบตาเมื่อรู้สึกตัว ก่อนจะหันมาสนใจกับเครื่องวัดสายตาตรงหน้าแทน



ในที่สุดชายหนุ่มก็เจ้ากี้เจ้าการให้เธอวัดสายตาเพื่อใส่คอนแทคเลนส์ แม้เธอจะยืนยันว่าต้องการแว่น แต่คนออกเงินไม่ยอมซะอย่าง สุดท้ายเธอก็ต้องยอมตามใจเขาอยู่ดี



จนเมื่อได้สวมคอนแทคเลนส์เป็นที่เรียบร้อยนั่นแหละ เจ้าตัวถึงได้สังเกตเห็นว่าเธอทำความเสียหายให้อีกฝ่ายไม่น้อยทีเดียว รู้สึกแย่ที่ทำของๆ เขาพังแล้วยังมายืมเงินเขาจ่ายค่าคอนแทคเลนส์อีก
“นี่ผลงานฉันหรือคะ” ถามพลางชี้ไปยังข้อมือของชายหนุ่ม



“ไม่เป็นไรหรอก ผมกำลังเบื่อๆ พอดี” คนพูดเอ่ยพลางถอดนาฬิกาที่หน้าปัดร้าว สายมีร่องรอยขูดขีดยับเยินพอสมควรออกจากข้อมือ


“ฉันขอโทษนะ แล้วฉันจะซื้อคืนให้...” ภัคจิรากล่าวเสียงอ่อย แม้จะไม่มั่นใจเอาเสียเลยว่าเธอจะหาเงินที่ไหนไปซื้อนาฬิกาเรือนแสนคืนอีกฝ่ายได้ ครั้นจะให้ขอคุณป้าภัสราญาติที่เมืองไทยก็เกรงใจ แต่จะให้ทำงานเก็บเงินเธอก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะครบ จะเป็นปีนึง สองปี หรือสามปีก็ไม่รู้ ถึงจะเก็บเงินพอที่จะซื้อนาฬิกาหรูขนาดนั้นได้น่ะ


“ถ้ารู้สึกผิดล่ะก็ ช่วยอะไรผมหน่อยสิ!”


ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดเพียงประโยคเดียวจะเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตของเธอ เพราะหลังจากนั้นเธอได้รับมอบหมายให้คอยดูแลบ้านของเขายามที่เขาไม่อยู่ และเมื่อเขามาเธอก็มีหน้าที่ทำอาหารให้เขาทาน ซึ่งนั่นก็ทำให้เธอและเขาสนิทสนมกันมากขึ้น เขาไม่ใช่เจ้านายที่ถือเนื้อถือตัว หากแต่เขาทำตัวไม่ต่างไปจากเพื่อน หรือรุ่นพี่ที่แสนใจดี ยิ่งใกล้ ใจเธอก็ยิ่งเต้นแรง และในที่สุดสถานะระหว่างเธอกับเขาก็เปลี่ยนไป


ไม่ใช่ลูกหนี้ กับเจ้าหนี้...เจ้านายกับคนใช้…หากแต่เป็น... ‘คนรัก’


แม้การคบหาโดยมีระยะทางเป็นอุปสรรคกั้นขวางนั้นจะทำให้เธอและเขาต้องห่างไกลกัน ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างกันกลับงอกเงยเป็นต้นไม้ที่ผลิดอกออกผลสวยสดงดงามขึ้นเรื่อยๆ ช่วงเวลานี้เองที่ทำให้เธอรู้ว่าความสุขคืออะไร...


ความสุขสำหรับเธอมันหาไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย ไม่จำเป็นต้องมีเงินทองมากมายมากองตรงหน้า ไม่ต้องมีทรัพย์สมบัติล้นฟ้า...ขอแค่ได้ยินเสียงคนที่เธอรัก ได้เห็นหน้าเขา ได้พูดได้คุยกับเขา เท่านั้นก็เป็นความสุขล้ำแล้วสำหรับเธอ ซึ่งเธอคงมีความสุขมากในวันนี้ ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์ในวันนั้น...


วันที่เธอเรียนจบและเก็บกระเป๋าเตรียมกลับเมืองไทย แน่นอนชายคนรักสัญญาว่าจะกลับไปด้วยกันกับ เขาตั้งใจจะแนะนำเธอให้คนที่บ้านรู้จัก เพื่อที่จะปูทางไปสู่วันที่เราทั้งสองคนจะได้ใช้ชีวิตร่วมกัน


ทว่าสุดท้ายสิ่งที่เธอได้รับคือความว่างเปล่า เธอได้เรียนรู้ว่าการรอคอยที่ไม่มีวันสิ้นสุดนั้นมันมีอยู่จริง

จากกลางวันที่สว่างจ้า จวบจนชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า กระทั่งความมืดปกคลุมท้องฟ้า ก็ยังไม่เห็นแม้เงาของเขา แม้จะพยายามโทรศัพท์เขาเท่าไหร่ก็ไม่ติดเสียที ตอนนั้นเธอเป็นห่วงมากทั้งโทรเช็คตามโรงพยาบาลต่างๆ และนั่งดูข่าวสารในโทรทัศน์ตลอด กลัวเหลือเกินว่าจะเกิดอุบัติเหตุกับคนรัก


หากแต่ที่สุดแล้วการรอคอยก็จบสิ้นลง เมื่อเธอไปพบกระดาษใบนึงเข้า...กระดาษเพียงใบเดียวไขความกระจ่างของทุกอย่าง และแม้จะเป็นเพียงแค่กระดาษสีหวาน ไร้ซึ่งข้อความหักหาญน้ำใจแต่อย่างใด ทว่ากลับทำให้เธอเจ็บลึกราวกับถูกมีดเป็นล้านๆ เล่มกรีดหัวใจพร้อมกัน


น่าจะเป็นเพราะบนกระดาษใบนั้นมีชื่อของเขา คู่กับใครอีกคนที่ไม่ใช่เธอ...


บนกระดาษแผ่นนั้น...การ์ดแต่งงาน!

****


หายไปหลายวัน ขออภัยดวยก๊าบ ยุ่ง + คอมแฮงค์จ้า ^^

รัตน์ๆ ~



รัตนรัตน์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ส.ค. 2554, 23:00:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ส.ค. 2554, 23:00:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 2126





<< บทที่ 29 : อยากเข้าหอโว้ย!! (3)    บทที่ 30 : โรคร้ายที่หายไม่ได้ด้วยยา แต่ต้องรักษาด้วยหัวใจ 2 >>
anOO 29 ส.ค. 2554, 23:26:36 น.
และแล้วก็ได้รู้เรื่องของพี่เขตซะที
งานนี้ให้ภัทราเป็นกามเทพแล้วกัน


XaWarZd 30 ส.ค. 2554, 00:27:08 น.
o i c ความจริงกระจ่าง แต่ยังไม่หมด


xeve 30 ส.ค. 2554, 00:50:15 น.
หายไปนาน รีบมาต่อนะคะ


แว่นใส 30 ส.ค. 2554, 08:12:27 น.
การ์ดแต่งงาน แต่ไม่ได้แต่งกันจริง ๆ นี่นา
เจ้าสาวหนีไปกับน้องชายแล้วนี่


pookza 30 ส.ค. 2554, 08:14:19 น.
นึกว่าจะมาเข้าหอให้สำเร็จไป..


nunoi 30 ส.ค. 2554, 09:07:44 น.
เอ๋!หรือว่าเป็นการ์ดแต่งงานกับภรรยาคนก่อนหรือเปล่าค่ะ ถึงทำให้ทั้งคู่เลิกกันอ่ะ


หญิงใหญ่ 30 ส.ค. 2554, 11:42:11 น.
โห...นานมากจนลืมไปเลยนะเนี่ย ต้องมาอัพให้ไวหน่อยนะจ๊ะ...คนอ่านเค้าชะเง้อรออยู่อ่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account