หลงกลกามเทพ
เด๋วมาใส่ให้นะคะ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 1 ลูกสาวคนเดียวของป๋าดิษฐิ์…
.... ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ ....
เสียงจากนาฬิกาปลุกดิจิตอลที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง ส่งเสียงดังเป็นรอบที่สามแล้ว แต่หญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มก็ยังคงนอนต่อไปอย่างไม่มีทีท่าว่าตื่นง่ายๆ
… ก๊อกๆ ก๊อกๆ ...
“หนูดา...หนูดาตื่นหรือยังลูก ไหนหนูบอกว่าจะลงมาใส่บาตรกับแม่ไงค่ะ” คุณวิจิตราเคาะประตูเรียกลูกสาวเมื่อเห็นว่าใกล้เวลาที่พระจะมาถึงหน้าบ้านแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าลูกสาวเธอจะเดินลงมา
“ค่ะๆ คุณแม่ หนูดาตื่นแล้วค่ะ” ชญาดาตอบทั้งที่ยังนอนอยู่บนเตียง ก่อนจะลุกขึ้นมาอย่างงัวเงียเต็มที่
“เร็วๆ หน่อยนะลูก ถ้าลงไปไม่ทัน แม่ไม่รอนะ” คุณวิจิตราพูดขู่ก่อนเดินกลับไปที่ห้องครัว
“เฮ้อ...อุตส่าห์ตั้งปลุกเอาไว้ สุดท้ายก็ต้องเป็นคุณแม่มาเรียกเหมือนเดิม เมื่อไหร่จะโตซะทีน้อ ยัยขี้เซาเอ๊ย..” ชญาดาหันไปดูเวลาที่ข้างเตียงแล้วบ่นกับตัวเอง ก่อนจะลุกออกจากเตียงหนานุ่มเพื่อไปทำธุระส่วนตัว
หลังจากที่แม่ลูกตักบาตรเสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังเก็บของอยู่ คุณประดิษฐ์ บิดาของหล่อนก็กลับมาจากการไปวิ่งออกกำลังกายตอนเช้าที่สวนสาธารณะหน้าบ้านพอดี
“อ้าว ทำไมวันนี้ถึงได้ตื่นมาตักบาตรตอนเช้าได้ละหึลูกป๋า” คุณประดิษฐิ์เอ่ยปากแซวลูกสาวที่ปกติแล้วจะตื่นสายจนต้องให้มารดาไปปลุกเป็นประจำ “เอ๊ะ..หรือว่าโดนคุณแม่ปลุกให้ลงมาแต่เช้า”
“แหม..คุณป๋าก็รู้ทันไปซะทุกเรื่องเลย.. นกจ๊ะ..เดี๋ยวฝากเก็บของพวกนี้ไปไว้ในครัวด้วยนะ ไปกันเถอะคะคุณป๋าคุณแม่” เธอหันไปบอกสาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะเดินไปกอดเอวบิดาอย่างที่เคยทำเป็นประจำ แล้วเดินเข้าบ้านหลังใหญ่ไปด้วยกัน
“เป็นยังไงบ้าง ได้ตักบาตรตอนเช้าแล้วรู้สึกดีขึ้นมาบ้างมั้ยลูก” บิดาของเธอเอ่ยถามระหว่างที่เดินไปด้วยกัน
“ดีขึ้นมากเลยค่ะคุณป๋า หวังว่าการตักบาตรตอนเช้าวันนี้จะทำให้หนูได้เจอแต่เรื่องดีๆ นะคะ เนี่ย...แค่คิดถึงเรื่องนั้นขึ้นมาก็โมโหแล้วนะคะคุณป๋า” เธอตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเต็มที่ เมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว
ก่อนหน้านี้ชญาดาเคยทำงานอยู่ที่บริษัทรับทำโฆษณาสองแห่ง หากแต่ที่แรกเธอต้องลาออกเพราะเธอไปโดนตากรรมการบริษัท ถึงแม้เธอจะวางตัวเฉยๆ แต่ก็ยังถูกภรรยาของตาแก่นั่นกลั่นแกล้งจนต้องลาออกจากงาน ส่วนครั้งที่สองก็เป็นเพราะปัญหาเดิมๆ แต่หนักกว่าตรงที่เธอถูกลวนลามทั้งวาจาและการกระทำ ทำให้เธอทนไม่ได้จนต้องแจกหมัดขวาไปที่หน้า และแจกเตะจากขาขวาขาวๆ ไปที่เป้ากางเกงของเจ้าของบริษัทก่อนจะเดินไปเก็บกระเป๋าแล้วเดินออกไปอย่างไม่ใส่ใจคำขู่ของมัน
“เอ่อ..คุณป๋าขา เรื่องที่หนูขอไปเที่ยวพักผ่อนก่อนจะมารับงานต่อตามที่ตกลงกันไว้ คุณป๋าเห็นด้วยกับหนูใช่มั้ยค่ะ” ชญาดาอ้อมแอ้มถามบิดา เพราะกลัวว่าจะไม่ได้ไปเที่ยวกับเพื่อนสนิท
“แหม...ได้สิคะลูก ทำไมเรื่องแค่นี้ป๋าจะให้หนูดาไม่ได้ล่ะ แล้วหนูจะไปกี่วันละลูก” บิดาเอ่ยถามพรางเอามือลูบหัวลูกสาวที่ไม่ว่ายังไงก็ยังดูเป็นเด็กในสายตาตนเสมอ
“สองอาทิตย์เองค่ะคุณป๋า คุณป๋าอนุญาตแล้ว ห้ามเปลี่ยนใจนะคะ” ชญาดารีบมัดมือชกทันที
“ฮ้า...อะไรกัน นี่หนูจะไปตั้งสองอาทิตย์เลยเหรอลูก มันนานไปมั้ยลูก ป๋าว่าสักอาทิตย์นึงก็น่าจะพอได้แล้วนะ” คนเป็นพ่อเริ่มใจแป้วทันที แต่เนื่องจากเผลอรับปากรับคำไปแล้ว ทำให้ไม่กล้าพูดอะไรมาก
“น่า..นะคะคุณป๋า รับรองว่ากลับมา หนูดาจะอยู่ช่วยงานคุณป๋า ไม่หนีไปไหนแน่นอน” เธอออดอ้อน พร้อมทำตาซึ้งใส่ผู้เป็นบิดา
“เอาน่าคุณ ปล่อยลูกไปสักพักเถอะนะ แกคงอยากพักผ่อนก่อนรับงานก็เท่านั้นเอง” คุณวิจิตราช่วยเกลี้ยกล่อมอีกแรง
“ก็ได้ๆ แต่คราวหน้าป๋าไม่ให้ไปนานขนาดนี้แล้วนะ” ในที่สุดคุณประดิษฐิ์ก็ทนลูกอ้อนของทั้งภรรยา และลูกสาวไม่ไหว
“ไชโย..หนูรักคุณป๋าที่สุดในโลกเลย” ชญาดาเอ่ย พร้อมกระโดดบิดาทันที ที่ได้ยินคำอนุญาต
****************************************
“บ้านฟ้าใสรีสอร์ท แอนด์สปา…..ไชโย ในที่สุดก็มาถึงสักที” ชญาดาร้องขึ้นมาอย่างดีใจ หลังจากที่หลงมาเกือบสองชั่วโมง ในที่สุดเธอก็พบรีสอร์ทในฝันสักที เธอเลี้ยวรถเข้าไปจอดในที่จอดรถหน้ารีสอร์ท ก่อนจะเดินลงมา และยกเอาสัมภาระทั้งหมดส่งให้คนที่เดินมารอรับ และเดินตามไป
“อยู่ที่ไหนหรือความรัก ช่วยเข้ามาทักหัวใจดวงนี้หน่อยได้มั้ย...” เสียงริงโทนจากโทรศัพท์ยี่ห้อดังของชญาดาดังขึ้นเรื่อยๆ
“ฮัลโหล ว่าไงคะคุณป๋า ห่างกันแค่แปบเดียวก็คิดถึงหนูแล้วเหรอคะ” เธอหยุดรับโทรศัพท์ตรงสวนดอกไม้หน้ารีสอร์ท และเสียงใสๆ ของเธอก็ทำให้วริษฐิ์ถึงกลับต้องหันหลังกลับมามองว่าต้นเสียงอยู่ที่ไหน
...ใครกันนะ มาพูดป๋าคะ ป๋าขาที่นี่ เชอะ ผู้หญิง สุดท้ายก็เหมือนกันหมดทุกคน… ทั้งๆ ที่ในใจค่อนแคะหญิงสาวเต็มที่ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเดินตามเสียงนั้นไป
“ตอนนี้หนูดาอยู่รีสอร์ตแล้วค่ะคุณป๋า ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะที่นี่นะวิวสวยมาก อากาศก็สดชื่น รับรองว่ากลับไปคราวนี้หนูดาจะเป็นเด็กดีตามสัญญาแน่นอน แล้วคุณคุณป๋าอย่าลืมสัญญากับหนูดาก็แล้วกันตำแหน่ง PR สาวสวยต้องเป็นของหนูดาเท่านั้น ตกลงมั้ยนะคะ” ชญาดายังคงพูดต่อไปโดยไม่รู้ว่าตัวเองถูกแอบฟังอยู่
…หน้าตาก็ดี ไม่น่าลดตัวมาเป็นเด็กเสี่ยเลย ทำไมชั้นถึงได้เจอแต่คนแบบนี้กันนะ…วริษฐิ์ได้แต่นึกไม่ชอบในใจ ก่อนจะหันหลังไปเตะกิ่งไม้ก่อนจะเดินจากไป
“เอ๊ะ ! เสียงอะไร ” เสียงปลายสายถามมาทันทีที่ได้ยินเสียง
“อ๋อ ไม่มีอะไรค่ะคุณป๋า สงสัยหมาแมวเดินผ่านแถวนี้มั้งคะ แล้วมาม้าละคะไปไหน ทุกทีคุณป๋าไม่เคยรับโทรศัพท์ทันเลยนี่นา” เธอถามอย่างแปลกใจเพราะปกติมารดาของเธอจะเป็นคนรับโทรศัพท์เอง
“แม่เค้าไปออกไปตลาดกับสายใจนะลูก เห็นบอกว่าอาหารถุงมันไม่อร่อย เลยอยากลงมือเข้าครัวเอง หนูดาไปอยู่ที่นั่นคนเดียวก็อย่ามัวแต่เที่ยวจนลืมหาข้าวหาปลากินนะลูก ป๋าเป็นห่วง” เสียงอ่อนโยนของบิดาที่ถูกส่งมาตามสาย ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นได้ทันที ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ใกล้กัน ป๋าดิษฐิ์ที่ใครว่าดุนักดุหนา เธอไม่ยักกะจะกลัวเลยสักนิด
“คะคุณป๋า งั้นหนูดาไม่กวนคุณคุณป๋าดีกว่า เดี๋ยวหนูดาไปเช็กอินก่อนนะคะ จุ๊บๆ คะคุณป๋า หนูดารักคุณป๋านะคะ อ้อ..รักมาม้าด้วย ฝากบอกมาม้าด้วยนะคะ” หญิงสาวบอกเสียงหวาน เพราะทุกครั้งก่อนเธอวางสาย เธอมักจะบอกรักบิดาและมารดาอย่างนี้เสมอ
ชญาดาเดินออกจากสวนดอกไม้หน้ารีสอร์ตเพื่อไปลงทะเบียนเข้าห้องพัก เธอเลือกมาพักที่นี่ก็เพราะคำแนะนำในอินเตอร์เน็ตที่บอกว่าบรรยากาศที่นี่สงบ อากาศดี และเป็นส่วนตัว ซึ่งเธอก็ได้แต่หวังว่าการมาพักผ่อนครั้งนี้จะทำให้เธอโชคดีขึ้นมาบ้าง เพราะตั้งแต่เรียนจบมา เธอต้องเปลี่ยนงานถึง 2 ครั้ง
หลังจากลงทะเบียนเสร็จแล้ว พนักงานถือกระเป๋า 2 คนก็พาเธอเดินออกไปยังบ้านพักเดี่ยวที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวรีสอร์ตหลักนัก ชญาดาเดินตามพลางคิดว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าน่าจะอายุประมาณ 15 หรือ 16 ปี เพราะยังตัดผมทรงนักเรียนอยู่ ส่วนเด็กหญิงอีกคนที่ดูแล้วน่าจะอายุประมาณ 7-8 ปีก็น่าจะเป็นน้องสาว เพราะเดินตามกันต้อยๆ แต่ไม่ได้ช่วยถืออะไร
“หนูจ๊ะ หนูชื่ออะไรเหรอ แล้วทำไมถึงมาทำงานที่นี่ได้ล่ะ” ชญาดาเอ่ยถามเพื่อหวังผูกมิตร อย่างน้อยเธอจะได้ไม่เหงาเวลาอยู่ที่นี่คนเดียว มีเพื่อนคุยเป็นเด็กก็ยังดีกว่าไม่มีใครเลย
“หนูชื่อฟ้าค่ะ ชื่อจริงชื่อน้ำฟ้า .. นั่นนะพี่ชายหนูเองค่ะชื่อพี่ฟอง” เด็กสาวยิ้มกว้าง นึกดีใจที่แขกคนนี้ไม่ได้ดุอย่างที่เธอคิดไว้
“เหรอจ๊ะ งั้นหนูเรียกพี่ว่า พี่หนูดา ละกันนะคะ แล้วพี่ก็จะเรียกหนูว่าน้องฟ้ากับน้องฟอง ตกลงมั้ย แล้วนี่หนูสองคนพักอยู่ที่ไหนเหรอจ๊ะ” ชญาดาชวนเพื่อนใหม่คุยเพื่อกระชับความสัมพันธ์ เพราะเธอต้องอยู่ที่นี่คนเดียวเป็นเวลาสองวัน ก่อนที่เพื่อนรักจะตามมาหลังจากเคลียร์งานเสร็จแล้ว อย่างน้อยมีเพื่อนทานข้าวเย็นสักวัน หรือขี่จักรยานเล่นด้วยกันบ้างก็ยังดี
“เปล่า บ้านหนูอยู่ตรงโน้น อยู่ข้างบนโน้น แต่พ่อกับแม่หนูทำงานอยู่ที่นี่ แม่หนูเป็นแม่ครัวที่นี่เพราะแม่ทำอาหารอร่อยที่สุด ส่วนพ่อหนูเป็นคนดูแลสวนดอกไม้ตรงโน้น เพราะพ่อหนูปลูกดอกไม้ได้สวยที่สุด ส่วนพี่ชายหนูก็เป็นคนยกกระเป๋า เพราะ.... ”
“เพราะพี่ชายหนูยกกระเป๋าได้เยอะที่สุดใช่มั้ยค่ะ” ชญาดาเอ่ยแซวเด็กน้อยกับความเป็นที่สุดของเธอ ท่าทางทริปนี้คงไม่เหงาอย่างที่คิด
“ไม่ใช่ค่ะ พี่ฟองได้ยกกระเป๋าเพราะพี่ฟองแข็งแรงที่สุดต่างหาก” น้ำฟ้าแย้งขึ้นมาทันที พร้อมส่งค้อนให้เธอวงใหญ่ และคำตอบนั้นก็เรียกเสียงหัวเราะได้ทั้งจากคนที่คุยด้วย และคนที่ถูกพาดพิงถึง
ระหว่างทางที่เดินไปสองสาวต่างไวยังคงส่งเสียงคุยเจื้อยแจ้วตลอดทาง จนเมื่อไปถึงหน้าบ้านพักที่ติดป้ายชื่อว่า “บ้านต้นน้ำ” ชญาดาก็หันมาบอกให้เด็กหนุ่มวางของเอาไว้ที่หน้าห้อง ก่อนจะเอื้อมมือลงหยิบธนบัตรใบสีเขียวที่กระเป๋ากางเกงหลัง แล้วส่งให้ทั้งคู่คนละสองใบ อีกทั้งยังแถมขนมขบเคี้ยวห่อใหญ่ให้อีกด้วย
เมื่อเด็กๆ ทั้งคู่เดินออกไปแล้ว ชญาดาก็หันกลับมาสำรวจตัวบ้านที่เธอเลือกผ่านทางอินเตอร์เนทอีกครั้ง “บ้านต้นน้ำ” คือบ้านที่เธอเลือกเอง เพราะเป็นบ้านหลังเดียวที่อยู่หลังน้ำตก ถึงแม้จะแยกออกจากมาจากหลังอื่นพอสมควร แต่บรรยากาศรอบข้าง และการรักษาความปลอดภัยของที่นี่ก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกกลัวแต่อย่างใด ด้านหน้าของบ้านต้นน้ำเป็นน้ำตกเล็กๆ และสามารถลงไปเล่นน้ำตรงส่วนที่เป็นลำธารได้
ส่วนฝั่งตรงข้ามมีกระท่อมอีกหลังหันหน้ามาทางบ้านที่เธอพักอยู่เธอเช่นกัน แต่ต่างกันที่บ้านฝั่งตรงข้ามมีส่วนหย่อม และชิงช้าผูกอยู่ที่ต้นไม้หน้าบ้าน ส่วนของเธอนั่นจะเป็นส่วนหย่อมเล็กๆ ที่มีโต๊ะหินอ่อน และเตาบาร์บีคิววางอยู่ แต่ไม่มีชิงช้านั่นเอง และเมื่อเธอเปิดประตูบ้านเข้ามา เธอก็รู้สึกว่าบ้านนี้ช่างอยู่มากมาย เพราะในบ้านนั้นมีครบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นห้องครัว ห้องนั่งเล่น และถัดไปก็เป็นประตูห้องนอน ทำให้ได้ความรู้สึกเหมือนกับการได้พักผ่อนอยู่บ้านตัวเองมากกว่าเป็นการเปลี่ยนที่นอนเหมือนเวลาเธอไปพักที่รีสอร์ทอื่นๆ ทั่วไป
“อยู่ที่ไหนหรือความรัก ช่วยเข้ามาทักหัวใจดวงนี้หน่อยได้มั้ย...” เสียงริงโทนจากโทรศัพท์ของชญาดาดังขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เธอยังคงง่วนอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง
“จ้า หนูออย โทรมามีไรเอ่ย” เจ้าของเสียงหวานเอ่ยทันทีที่กดรับสาย
“หนูดา ตอนนี้อยู่ไหนแล้ว ถึงที่พักหรือยัง เดินทางเป็นยังไงบ้าง เหนื่อยมากมั้ย ไหนบอกว่าถึงแล้วจะโทรมาหาหนูออยไง แค่นี้ก็ลืมกันแล้วเหรอ” เสียงบ่นยาวเหยียดจากคนปลายสาย ทำให้ชญาดาอดที่จะหัวเราะก่อนตอบไม่ได้
หนูออย หรือ อัสมา เป็นเพื่อนรักของหนูดามาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย ทั้งสองคนเลือกที่เรียนที่เดียวกัน และคณะเดียวกัน อยู่หอก็ขอพักห้องเดียวกัน จนทุกคนเข้าใจว่าเธอทั้งคู่เป็นคู่เลสเบี้ยน เพราะมีชญาดาที่ไหนก็ต้องมีอัสมาที่นั่น
“โอ๊ย...สาวน้อยของฉัน จะรีบถามไปไหนจ๊ะเนี่ย อิอิ ... ตอนนี้หนูดาอยู่ที่บ้านพักแล้วจ๊ะ กำลังจัดของอยู่ เดินทางไม่เหนื่อยเท่าไหร่ เห็นบ้านพักแล้วหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะ ส่วนที่ยังไม่ได้โทรหาเนี่ย ก็ไม่ได้ลืมหรอกนะจ๊ะ เพียงแต่ยุ่งกะการจัดเสื้อผ้า จัดของใช้อยู่จ๊ะ ยังสงสัยอะไรอีกมั้ยจ๊ะสาวน้อย” ชญาดาตอบไปขำไป
“หนูดาหน่ะ... ไม่ต้องมาล้อกันเลยนะ รู้ทั้งรู้ว่าคนเข้าเป็นห่วง ยังจะมาล้อกันอยู่ได้ แบบนี้ใช่ได้ที่ไหน”
“โอ๋ๆ อย่างอนนะคะคนดี ก็หนูดามาสำรวจพื้นที่ให้ก่อนไง เดี๋ยวอีกสองวันหนูออยก็จะตามมาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” ชญาดาหยุดเซ้าซี้ก่อนจะถามเพื่อนรักเพื่อย้ำความมั่นใจ
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ หนูออยก็ยังห่วงอยู่ดีนั่นแหละ เอ่อ..หนูดาจ๊ะ วันศุกร์หนูออยคงไปไม่ได้แล้ว เพราะต้องแวะเอาของไปให้คุณยายก่อนน่ะ หนูดาไม่โกรธใช่มั้ย แล้วเดี๋ยววันเสาร์นะ หนูออยจะรีบไปแต่เช้าเลย” เสียงปลายสายตอบอ่อนลงอย่างเห็นชัด เพราะกลัวเพื่อนรักจะโกรธที่ไปช้า
“แหม..ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ แค่วันเดียวเอง หนูดาอยู่ได้ ลูกป๋าดิษฐิ์ซะอย่าง ไม่เคยกลัวใครอยู่แล้ว” ชญาดาตอบติดตลกเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายคิดมาก
ก็แน่ละสิ ถึงเธอกับอัสมาจะเป็นเพื่อนรักกัน แต่นิสัยของพวกเธอนั้นต่างกันสุดขั้ว อัสมาเป็นสาวเรียบร้อย เหมือนผ้าพับไว้ ในขณะที่ชญาดาเป็นขาลุย ไปไหนไปกัน ใครทำอะไรเธอทำด้วย ไม่เคยห่วงเรื่องภาพพจน์ อัสมาเป็นเงียบๆ ขี้เกรงใจ ในขณะที่ชญาดาเป็นคนตรงๆ ไม่พอใจอะไรเธอจะไม่เก็บไว้เด็ดขาด จะมีก็แต่เรื่องเกลียดผู้ชายเจ้าชู้เท่านั้นแหละ ที่ทั้งคิดเหมือนกัน
หลังจากที่ทั้งคู่คุยกันเกือบชั่วโมง อัสมาก็ขอตัววางสายไปทำงานต่อ ส่วนชญาดาก็เก็บของๆ เธอต่อไป ก่อนจะเตรียมตัวไปอาบน้ำเพื่อลงไปทานอาหารที่ทางรีสอร์ทเตรียมไว้ให้
***
น้องใหม่ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ
เสียงจากนาฬิกาปลุกดิจิตอลที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง ส่งเสียงดังเป็นรอบที่สามแล้ว แต่หญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มก็ยังคงนอนต่อไปอย่างไม่มีทีท่าว่าตื่นง่ายๆ
… ก๊อกๆ ก๊อกๆ ...
“หนูดา...หนูดาตื่นหรือยังลูก ไหนหนูบอกว่าจะลงมาใส่บาตรกับแม่ไงค่ะ” คุณวิจิตราเคาะประตูเรียกลูกสาวเมื่อเห็นว่าใกล้เวลาที่พระจะมาถึงหน้าบ้านแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าลูกสาวเธอจะเดินลงมา
“ค่ะๆ คุณแม่ หนูดาตื่นแล้วค่ะ” ชญาดาตอบทั้งที่ยังนอนอยู่บนเตียง ก่อนจะลุกขึ้นมาอย่างงัวเงียเต็มที่
“เร็วๆ หน่อยนะลูก ถ้าลงไปไม่ทัน แม่ไม่รอนะ” คุณวิจิตราพูดขู่ก่อนเดินกลับไปที่ห้องครัว
“เฮ้อ...อุตส่าห์ตั้งปลุกเอาไว้ สุดท้ายก็ต้องเป็นคุณแม่มาเรียกเหมือนเดิม เมื่อไหร่จะโตซะทีน้อ ยัยขี้เซาเอ๊ย..” ชญาดาหันไปดูเวลาที่ข้างเตียงแล้วบ่นกับตัวเอง ก่อนจะลุกออกจากเตียงหนานุ่มเพื่อไปทำธุระส่วนตัว
หลังจากที่แม่ลูกตักบาตรเสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังเก็บของอยู่ คุณประดิษฐ์ บิดาของหล่อนก็กลับมาจากการไปวิ่งออกกำลังกายตอนเช้าที่สวนสาธารณะหน้าบ้านพอดี
“อ้าว ทำไมวันนี้ถึงได้ตื่นมาตักบาตรตอนเช้าได้ละหึลูกป๋า” คุณประดิษฐิ์เอ่ยปากแซวลูกสาวที่ปกติแล้วจะตื่นสายจนต้องให้มารดาไปปลุกเป็นประจำ “เอ๊ะ..หรือว่าโดนคุณแม่ปลุกให้ลงมาแต่เช้า”
“แหม..คุณป๋าก็รู้ทันไปซะทุกเรื่องเลย.. นกจ๊ะ..เดี๋ยวฝากเก็บของพวกนี้ไปไว้ในครัวด้วยนะ ไปกันเถอะคะคุณป๋าคุณแม่” เธอหันไปบอกสาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะเดินไปกอดเอวบิดาอย่างที่เคยทำเป็นประจำ แล้วเดินเข้าบ้านหลังใหญ่ไปด้วยกัน
“เป็นยังไงบ้าง ได้ตักบาตรตอนเช้าแล้วรู้สึกดีขึ้นมาบ้างมั้ยลูก” บิดาของเธอเอ่ยถามระหว่างที่เดินไปด้วยกัน
“ดีขึ้นมากเลยค่ะคุณป๋า หวังว่าการตักบาตรตอนเช้าวันนี้จะทำให้หนูได้เจอแต่เรื่องดีๆ นะคะ เนี่ย...แค่คิดถึงเรื่องนั้นขึ้นมาก็โมโหแล้วนะคะคุณป๋า” เธอตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเต็มที่ เมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว
ก่อนหน้านี้ชญาดาเคยทำงานอยู่ที่บริษัทรับทำโฆษณาสองแห่ง หากแต่ที่แรกเธอต้องลาออกเพราะเธอไปโดนตากรรมการบริษัท ถึงแม้เธอจะวางตัวเฉยๆ แต่ก็ยังถูกภรรยาของตาแก่นั่นกลั่นแกล้งจนต้องลาออกจากงาน ส่วนครั้งที่สองก็เป็นเพราะปัญหาเดิมๆ แต่หนักกว่าตรงที่เธอถูกลวนลามทั้งวาจาและการกระทำ ทำให้เธอทนไม่ได้จนต้องแจกหมัดขวาไปที่หน้า และแจกเตะจากขาขวาขาวๆ ไปที่เป้ากางเกงของเจ้าของบริษัทก่อนจะเดินไปเก็บกระเป๋าแล้วเดินออกไปอย่างไม่ใส่ใจคำขู่ของมัน
“เอ่อ..คุณป๋าขา เรื่องที่หนูขอไปเที่ยวพักผ่อนก่อนจะมารับงานต่อตามที่ตกลงกันไว้ คุณป๋าเห็นด้วยกับหนูใช่มั้ยค่ะ” ชญาดาอ้อมแอ้มถามบิดา เพราะกลัวว่าจะไม่ได้ไปเที่ยวกับเพื่อนสนิท
“แหม...ได้สิคะลูก ทำไมเรื่องแค่นี้ป๋าจะให้หนูดาไม่ได้ล่ะ แล้วหนูจะไปกี่วันละลูก” บิดาเอ่ยถามพรางเอามือลูบหัวลูกสาวที่ไม่ว่ายังไงก็ยังดูเป็นเด็กในสายตาตนเสมอ
“สองอาทิตย์เองค่ะคุณป๋า คุณป๋าอนุญาตแล้ว ห้ามเปลี่ยนใจนะคะ” ชญาดารีบมัดมือชกทันที
“ฮ้า...อะไรกัน นี่หนูจะไปตั้งสองอาทิตย์เลยเหรอลูก มันนานไปมั้ยลูก ป๋าว่าสักอาทิตย์นึงก็น่าจะพอได้แล้วนะ” คนเป็นพ่อเริ่มใจแป้วทันที แต่เนื่องจากเผลอรับปากรับคำไปแล้ว ทำให้ไม่กล้าพูดอะไรมาก
“น่า..นะคะคุณป๋า รับรองว่ากลับมา หนูดาจะอยู่ช่วยงานคุณป๋า ไม่หนีไปไหนแน่นอน” เธอออดอ้อน พร้อมทำตาซึ้งใส่ผู้เป็นบิดา
“เอาน่าคุณ ปล่อยลูกไปสักพักเถอะนะ แกคงอยากพักผ่อนก่อนรับงานก็เท่านั้นเอง” คุณวิจิตราช่วยเกลี้ยกล่อมอีกแรง
“ก็ได้ๆ แต่คราวหน้าป๋าไม่ให้ไปนานขนาดนี้แล้วนะ” ในที่สุดคุณประดิษฐิ์ก็ทนลูกอ้อนของทั้งภรรยา และลูกสาวไม่ไหว
“ไชโย..หนูรักคุณป๋าที่สุดในโลกเลย” ชญาดาเอ่ย พร้อมกระโดดบิดาทันที ที่ได้ยินคำอนุญาต
****************************************
“บ้านฟ้าใสรีสอร์ท แอนด์สปา…..ไชโย ในที่สุดก็มาถึงสักที” ชญาดาร้องขึ้นมาอย่างดีใจ หลังจากที่หลงมาเกือบสองชั่วโมง ในที่สุดเธอก็พบรีสอร์ทในฝันสักที เธอเลี้ยวรถเข้าไปจอดในที่จอดรถหน้ารีสอร์ท ก่อนจะเดินลงมา และยกเอาสัมภาระทั้งหมดส่งให้คนที่เดินมารอรับ และเดินตามไป
“อยู่ที่ไหนหรือความรัก ช่วยเข้ามาทักหัวใจดวงนี้หน่อยได้มั้ย...” เสียงริงโทนจากโทรศัพท์ยี่ห้อดังของชญาดาดังขึ้นเรื่อยๆ
“ฮัลโหล ว่าไงคะคุณป๋า ห่างกันแค่แปบเดียวก็คิดถึงหนูแล้วเหรอคะ” เธอหยุดรับโทรศัพท์ตรงสวนดอกไม้หน้ารีสอร์ท และเสียงใสๆ ของเธอก็ทำให้วริษฐิ์ถึงกลับต้องหันหลังกลับมามองว่าต้นเสียงอยู่ที่ไหน
...ใครกันนะ มาพูดป๋าคะ ป๋าขาที่นี่ เชอะ ผู้หญิง สุดท้ายก็เหมือนกันหมดทุกคน… ทั้งๆ ที่ในใจค่อนแคะหญิงสาวเต็มที่ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเดินตามเสียงนั้นไป
“ตอนนี้หนูดาอยู่รีสอร์ตแล้วค่ะคุณป๋า ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะที่นี่นะวิวสวยมาก อากาศก็สดชื่น รับรองว่ากลับไปคราวนี้หนูดาจะเป็นเด็กดีตามสัญญาแน่นอน แล้วคุณคุณป๋าอย่าลืมสัญญากับหนูดาก็แล้วกันตำแหน่ง PR สาวสวยต้องเป็นของหนูดาเท่านั้น ตกลงมั้ยนะคะ” ชญาดายังคงพูดต่อไปโดยไม่รู้ว่าตัวเองถูกแอบฟังอยู่
…หน้าตาก็ดี ไม่น่าลดตัวมาเป็นเด็กเสี่ยเลย ทำไมชั้นถึงได้เจอแต่คนแบบนี้กันนะ…วริษฐิ์ได้แต่นึกไม่ชอบในใจ ก่อนจะหันหลังไปเตะกิ่งไม้ก่อนจะเดินจากไป
“เอ๊ะ ! เสียงอะไร ” เสียงปลายสายถามมาทันทีที่ได้ยินเสียง
“อ๋อ ไม่มีอะไรค่ะคุณป๋า สงสัยหมาแมวเดินผ่านแถวนี้มั้งคะ แล้วมาม้าละคะไปไหน ทุกทีคุณป๋าไม่เคยรับโทรศัพท์ทันเลยนี่นา” เธอถามอย่างแปลกใจเพราะปกติมารดาของเธอจะเป็นคนรับโทรศัพท์เอง
“แม่เค้าไปออกไปตลาดกับสายใจนะลูก เห็นบอกว่าอาหารถุงมันไม่อร่อย เลยอยากลงมือเข้าครัวเอง หนูดาไปอยู่ที่นั่นคนเดียวก็อย่ามัวแต่เที่ยวจนลืมหาข้าวหาปลากินนะลูก ป๋าเป็นห่วง” เสียงอ่อนโยนของบิดาที่ถูกส่งมาตามสาย ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นได้ทันที ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ใกล้กัน ป๋าดิษฐิ์ที่ใครว่าดุนักดุหนา เธอไม่ยักกะจะกลัวเลยสักนิด
“คะคุณป๋า งั้นหนูดาไม่กวนคุณคุณป๋าดีกว่า เดี๋ยวหนูดาไปเช็กอินก่อนนะคะ จุ๊บๆ คะคุณป๋า หนูดารักคุณป๋านะคะ อ้อ..รักมาม้าด้วย ฝากบอกมาม้าด้วยนะคะ” หญิงสาวบอกเสียงหวาน เพราะทุกครั้งก่อนเธอวางสาย เธอมักจะบอกรักบิดาและมารดาอย่างนี้เสมอ
ชญาดาเดินออกจากสวนดอกไม้หน้ารีสอร์ตเพื่อไปลงทะเบียนเข้าห้องพัก เธอเลือกมาพักที่นี่ก็เพราะคำแนะนำในอินเตอร์เน็ตที่บอกว่าบรรยากาศที่นี่สงบ อากาศดี และเป็นส่วนตัว ซึ่งเธอก็ได้แต่หวังว่าการมาพักผ่อนครั้งนี้จะทำให้เธอโชคดีขึ้นมาบ้าง เพราะตั้งแต่เรียนจบมา เธอต้องเปลี่ยนงานถึง 2 ครั้ง
หลังจากลงทะเบียนเสร็จแล้ว พนักงานถือกระเป๋า 2 คนก็พาเธอเดินออกไปยังบ้านพักเดี่ยวที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวรีสอร์ตหลักนัก ชญาดาเดินตามพลางคิดว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าน่าจะอายุประมาณ 15 หรือ 16 ปี เพราะยังตัดผมทรงนักเรียนอยู่ ส่วนเด็กหญิงอีกคนที่ดูแล้วน่าจะอายุประมาณ 7-8 ปีก็น่าจะเป็นน้องสาว เพราะเดินตามกันต้อยๆ แต่ไม่ได้ช่วยถืออะไร
“หนูจ๊ะ หนูชื่ออะไรเหรอ แล้วทำไมถึงมาทำงานที่นี่ได้ล่ะ” ชญาดาเอ่ยถามเพื่อหวังผูกมิตร อย่างน้อยเธอจะได้ไม่เหงาเวลาอยู่ที่นี่คนเดียว มีเพื่อนคุยเป็นเด็กก็ยังดีกว่าไม่มีใครเลย
“หนูชื่อฟ้าค่ะ ชื่อจริงชื่อน้ำฟ้า .. นั่นนะพี่ชายหนูเองค่ะชื่อพี่ฟอง” เด็กสาวยิ้มกว้าง นึกดีใจที่แขกคนนี้ไม่ได้ดุอย่างที่เธอคิดไว้
“เหรอจ๊ะ งั้นหนูเรียกพี่ว่า พี่หนูดา ละกันนะคะ แล้วพี่ก็จะเรียกหนูว่าน้องฟ้ากับน้องฟอง ตกลงมั้ย แล้วนี่หนูสองคนพักอยู่ที่ไหนเหรอจ๊ะ” ชญาดาชวนเพื่อนใหม่คุยเพื่อกระชับความสัมพันธ์ เพราะเธอต้องอยู่ที่นี่คนเดียวเป็นเวลาสองวัน ก่อนที่เพื่อนรักจะตามมาหลังจากเคลียร์งานเสร็จแล้ว อย่างน้อยมีเพื่อนทานข้าวเย็นสักวัน หรือขี่จักรยานเล่นด้วยกันบ้างก็ยังดี
“เปล่า บ้านหนูอยู่ตรงโน้น อยู่ข้างบนโน้น แต่พ่อกับแม่หนูทำงานอยู่ที่นี่ แม่หนูเป็นแม่ครัวที่นี่เพราะแม่ทำอาหารอร่อยที่สุด ส่วนพ่อหนูเป็นคนดูแลสวนดอกไม้ตรงโน้น เพราะพ่อหนูปลูกดอกไม้ได้สวยที่สุด ส่วนพี่ชายหนูก็เป็นคนยกกระเป๋า เพราะ.... ”
“เพราะพี่ชายหนูยกกระเป๋าได้เยอะที่สุดใช่มั้ยค่ะ” ชญาดาเอ่ยแซวเด็กน้อยกับความเป็นที่สุดของเธอ ท่าทางทริปนี้คงไม่เหงาอย่างที่คิด
“ไม่ใช่ค่ะ พี่ฟองได้ยกกระเป๋าเพราะพี่ฟองแข็งแรงที่สุดต่างหาก” น้ำฟ้าแย้งขึ้นมาทันที พร้อมส่งค้อนให้เธอวงใหญ่ และคำตอบนั้นก็เรียกเสียงหัวเราะได้ทั้งจากคนที่คุยด้วย และคนที่ถูกพาดพิงถึง
ระหว่างทางที่เดินไปสองสาวต่างไวยังคงส่งเสียงคุยเจื้อยแจ้วตลอดทาง จนเมื่อไปถึงหน้าบ้านพักที่ติดป้ายชื่อว่า “บ้านต้นน้ำ” ชญาดาก็หันมาบอกให้เด็กหนุ่มวางของเอาไว้ที่หน้าห้อง ก่อนจะเอื้อมมือลงหยิบธนบัตรใบสีเขียวที่กระเป๋ากางเกงหลัง แล้วส่งให้ทั้งคู่คนละสองใบ อีกทั้งยังแถมขนมขบเคี้ยวห่อใหญ่ให้อีกด้วย
เมื่อเด็กๆ ทั้งคู่เดินออกไปแล้ว ชญาดาก็หันกลับมาสำรวจตัวบ้านที่เธอเลือกผ่านทางอินเตอร์เนทอีกครั้ง “บ้านต้นน้ำ” คือบ้านที่เธอเลือกเอง เพราะเป็นบ้านหลังเดียวที่อยู่หลังน้ำตก ถึงแม้จะแยกออกจากมาจากหลังอื่นพอสมควร แต่บรรยากาศรอบข้าง และการรักษาความปลอดภัยของที่นี่ก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกกลัวแต่อย่างใด ด้านหน้าของบ้านต้นน้ำเป็นน้ำตกเล็กๆ และสามารถลงไปเล่นน้ำตรงส่วนที่เป็นลำธารได้
ส่วนฝั่งตรงข้ามมีกระท่อมอีกหลังหันหน้ามาทางบ้านที่เธอพักอยู่เธอเช่นกัน แต่ต่างกันที่บ้านฝั่งตรงข้ามมีส่วนหย่อม และชิงช้าผูกอยู่ที่ต้นไม้หน้าบ้าน ส่วนของเธอนั่นจะเป็นส่วนหย่อมเล็กๆ ที่มีโต๊ะหินอ่อน และเตาบาร์บีคิววางอยู่ แต่ไม่มีชิงช้านั่นเอง และเมื่อเธอเปิดประตูบ้านเข้ามา เธอก็รู้สึกว่าบ้านนี้ช่างอยู่มากมาย เพราะในบ้านนั้นมีครบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นห้องครัว ห้องนั่งเล่น และถัดไปก็เป็นประตูห้องนอน ทำให้ได้ความรู้สึกเหมือนกับการได้พักผ่อนอยู่บ้านตัวเองมากกว่าเป็นการเปลี่ยนที่นอนเหมือนเวลาเธอไปพักที่รีสอร์ทอื่นๆ ทั่วไป
“อยู่ที่ไหนหรือความรัก ช่วยเข้ามาทักหัวใจดวงนี้หน่อยได้มั้ย...” เสียงริงโทนจากโทรศัพท์ของชญาดาดังขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เธอยังคงง่วนอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง
“จ้า หนูออย โทรมามีไรเอ่ย” เจ้าของเสียงหวานเอ่ยทันทีที่กดรับสาย
“หนูดา ตอนนี้อยู่ไหนแล้ว ถึงที่พักหรือยัง เดินทางเป็นยังไงบ้าง เหนื่อยมากมั้ย ไหนบอกว่าถึงแล้วจะโทรมาหาหนูออยไง แค่นี้ก็ลืมกันแล้วเหรอ” เสียงบ่นยาวเหยียดจากคนปลายสาย ทำให้ชญาดาอดที่จะหัวเราะก่อนตอบไม่ได้
หนูออย หรือ อัสมา เป็นเพื่อนรักของหนูดามาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย ทั้งสองคนเลือกที่เรียนที่เดียวกัน และคณะเดียวกัน อยู่หอก็ขอพักห้องเดียวกัน จนทุกคนเข้าใจว่าเธอทั้งคู่เป็นคู่เลสเบี้ยน เพราะมีชญาดาที่ไหนก็ต้องมีอัสมาที่นั่น
“โอ๊ย...สาวน้อยของฉัน จะรีบถามไปไหนจ๊ะเนี่ย อิอิ ... ตอนนี้หนูดาอยู่ที่บ้านพักแล้วจ๊ะ กำลังจัดของอยู่ เดินทางไม่เหนื่อยเท่าไหร่ เห็นบ้านพักแล้วหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะ ส่วนที่ยังไม่ได้โทรหาเนี่ย ก็ไม่ได้ลืมหรอกนะจ๊ะ เพียงแต่ยุ่งกะการจัดเสื้อผ้า จัดของใช้อยู่จ๊ะ ยังสงสัยอะไรอีกมั้ยจ๊ะสาวน้อย” ชญาดาตอบไปขำไป
“หนูดาหน่ะ... ไม่ต้องมาล้อกันเลยนะ รู้ทั้งรู้ว่าคนเข้าเป็นห่วง ยังจะมาล้อกันอยู่ได้ แบบนี้ใช่ได้ที่ไหน”
“โอ๋ๆ อย่างอนนะคะคนดี ก็หนูดามาสำรวจพื้นที่ให้ก่อนไง เดี๋ยวอีกสองวันหนูออยก็จะตามมาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” ชญาดาหยุดเซ้าซี้ก่อนจะถามเพื่อนรักเพื่อย้ำความมั่นใจ
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ หนูออยก็ยังห่วงอยู่ดีนั่นแหละ เอ่อ..หนูดาจ๊ะ วันศุกร์หนูออยคงไปไม่ได้แล้ว เพราะต้องแวะเอาของไปให้คุณยายก่อนน่ะ หนูดาไม่โกรธใช่มั้ย แล้วเดี๋ยววันเสาร์นะ หนูออยจะรีบไปแต่เช้าเลย” เสียงปลายสายตอบอ่อนลงอย่างเห็นชัด เพราะกลัวเพื่อนรักจะโกรธที่ไปช้า
“แหม..ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ แค่วันเดียวเอง หนูดาอยู่ได้ ลูกป๋าดิษฐิ์ซะอย่าง ไม่เคยกลัวใครอยู่แล้ว” ชญาดาตอบติดตลกเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายคิดมาก
ก็แน่ละสิ ถึงเธอกับอัสมาจะเป็นเพื่อนรักกัน แต่นิสัยของพวกเธอนั้นต่างกันสุดขั้ว อัสมาเป็นสาวเรียบร้อย เหมือนผ้าพับไว้ ในขณะที่ชญาดาเป็นขาลุย ไปไหนไปกัน ใครทำอะไรเธอทำด้วย ไม่เคยห่วงเรื่องภาพพจน์ อัสมาเป็นเงียบๆ ขี้เกรงใจ ในขณะที่ชญาดาเป็นคนตรงๆ ไม่พอใจอะไรเธอจะไม่เก็บไว้เด็ดขาด จะมีก็แต่เรื่องเกลียดผู้ชายเจ้าชู้เท่านั้นแหละ ที่ทั้งคิดเหมือนกัน
หลังจากที่ทั้งคู่คุยกันเกือบชั่วโมง อัสมาก็ขอตัววางสายไปทำงานต่อ ส่วนชญาดาก็เก็บของๆ เธอต่อไป ก่อนจะเตรียมตัวไปอาบน้ำเพื่อลงไปทานอาหารที่ทางรีสอร์ทเตรียมไว้ให้
***
น้องใหม่ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.ย. 2554, 21:33:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.ย. 2554, 21:43:11 น.
จำนวนการเข้าชม : 2036

ลูกกวาดสีส้ม 13 ก.ย. 2554, 22:01:06 น.
เป็นกำลังใจให้นะคะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ

XaWarZd 14 ก.ย. 2554, 01:48:44 น.
อ่านไปมีคำตกหล่นบ้างแต่ก็พอเดาได้ คำแทนตัวผู้ชายใช้คำว่า ผม ดีกว่าไหม คำว่าชั้นมันฟังแปลกๆ
อ่านไปมีคำตกหล่นบ้างแต่ก็พอเดาได้ คำแทนตัวผู้ชายใช้คำว่า ผม ดีกว่าไหม คำว่าชั้นมันฟังแปลกๆ

หมูอ้วน 14 ก.ย. 2554, 13:43:00 น.
รออ่านตอนต่อไปค่ะ
รออ่านตอนต่อไปค่ะ