รักอุ้มบุญ
...ความรักของเธอมันแท้ง! กี่ครั้งก็แท้ง! คราวนี้จึงต้องมีเขามาอุ้มบุญ รักครั้งนี้จะได้เป็นตัวเป็นตน...รักอุ้มบุญ
Tags: รักอุ้มบุญ,ปลากัด

ตอน: บทที่ 18

สวัสดีเพื่อนนักเขียนนักอ่านที่รักทุกท่านในวันที่อากาศร้อนอ้าวค่ะ -*-
ก่อนอื่นต้องขออภัยด้วยที่เมื่ออาทิตย์ก่อนส่งมาแค่ตอนเดียว
แบบว่าผู้เขียนเนรเทศตัวเองออกนอกบ้านเลยไม่มีไฟล์งานจะอัพ 555+
วันนี้นำตอนใหม่มาส่งแล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจและเม้นท์น่ารักๆ จากทุกท่านนะคะ ^^

*-*-*-*-*-**-*-*-*-*-*-*-*-*-*


บทที่18


ดูหนังจบไปหนึ่งเรื่องก็แล้ว ฟังซีดีเพลงจบไปหนึ่งแผ่นก็แล้ว กินขนมในตู้เย็นจวนจะหมดตู้ก็แล้ว ยังไร้วี่แววของ ‘แขกประจำบ้าน’ คนสำคัญ มธุรินก้มมองโทรศัพท์สามสามหนึ่งศูนย์สลับกับชะเง้อคอไปทางประตู ตั้งแต่เช้าซึ่งเป็นเวลาปกติที่เขาต้องมาถึง จนตอนนี้ล่วงบ่ายเข้าไปแล้ว เสียงโทรศัพท์ยังไม่ร้องสักแอะ ถ้าเขาไม่มาก็น่าจะโทรมาบอกกันสักคำ

สุดท้ายเธอลุกเดินออกไปยื่นคอยืดคอยาวอยู่หน้ารั้วบ้าน...ความตั้งใจก่อนหน้านั้นคิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องมาดูแลเธอทุกวัน น่าจะมีเวลาทำอย่างอื่นหรือหยุดพักผ่อนเสียบ้าง แต่พอเขาไม่มาเข้าจริงๆ ยังไม่ทันครบวันดี กลับเป็นตัวเธอที่กระวนกระวาย

...สงสัยจะเป็นอาการอย่างเขาว่า ถ้าไม่มีเขามาคอยกวนใจเธอก็รู้สึกเบื่อจนหงุดหงิดตัวเอง...

ผละจากรั้วมายืนมองต้นไม้ดอกไม้วนๆ เวียนๆ อยู่พักใหญ่ จึงตัดสินใจหมุนตัวจะเข้าบ้าน ดูท่าวันนี้เขาคงไม่มาแล้วกระมัง

“หวาน”

ด้วยกำลังตกในภวังค์ เมื่อได้ยินเสียงใครบางคนเรียกจากด้านหลังหญิงสาวจึงยิ้มกว้างหันไปต้อนรับทันที ทว่ารอยยิ้มเป็นอันต้องหุบฉับอาการตกใจเข้าแทนที่ เมื่อเห็นชัดว่าคนมาเยือนคือใคร

“คุณภัต!”

“ตกใจหรือผิดหวังที่เป็นพี่ไม่ใช่นายริศ” เขาถามทั้งยังยืนอยู่นอกรั้ว มธุรินพยายามเรียกสติตัวเองกลับมา ปรับท่าทางให้ปกติ

“คุณภัตมาได้ยังไงคะ” เลี่ยงไม่ตอบเปลี่ยนเป็นถามแทน ถึงจะบังคับน้ำเสียงให้ธรรมดาแค่ไหน คนฟังก็รู้สึกถึงความหวาดระแวงและไม่วางใจ เขาจึงเปิดรอยยิ้มอ่อนโยนนำมาก่อน

“คุณมนเขาไม่ค่อยสบายนิดหน่อยน่ะ เลยฝากให้พี่เอาของฝากมาเยี่ยมแทน” พูดพลางยกกระเช้ารังนกชื่อดังให้เธอดู “เปิดประตูให้พี่หน่อยสิ แดดตอนบ่ายนี่มันร้อนใช่เล่นเลยนะหวาน” บริภัตพูดติดตลกเหมือนสมัยที่พวกเขายังคบกันฉันคู่รัก

“เอ่อ...” มธุรินลังเล หวนนึกถึงเมื่อครั้งที่เขาเข้ามาในบ้านแล้วล่วงเกินเธอ ถ้าครั้งนั้นภัทริศมาช่วยไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้น กระทั่งวันนี้แม้จะกำลังตั้งท้องแต่หญิงสาวกลับรู้สึกว่ายิ่งต้องระวังตัวมากกว่าเดิม

“อย่าคิดมากสิหวาน พี่รู้ว่าระหว่างเราตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว เหลือเพียงความเป็นเพื่อน พี่น้อง และหวานเป็นคุณแม่อุ้มบุญของลูกพี่ก็เท่านั้นเอง” รอยยิ้ม สีหน้าแววตาของเขาดูบริสุทธิ์ใจจริงๆ “ถ้าหวานไม่ไว้ใจพี่ หวานก็มารับของฝากไปก็แล้วกัน พี่แค่คิดว่ามาเวลานี้น่าจะเหมาะสมที่สุดแล้ว เพราะพยาบาลกับยายก็อยู่ หวานจะได้สบายใจ แต่เอาเถอะพี่เข้าใจ”

อย่างนั้นแล้วเจ้าของบ้านจะยังใจแข็งได้อีกหรือ หญิงสาวก้าวไปใกล้ประตูรั้ว ลังเลอีกนิดก่อนตัดสินใจเปิดให้เขาเข้ามา

ท่าทางเขาสุภาพไม่ก้าวร้าวเหมือนตอนมาครั้งก่อนนู้น มธุรินเหลือบมองเขานิดหนึ่งก่อนเดินนำเข้าบ้าน พอเขาทรุดนั่งบนโซฟาเดี๋ยวเธอจึงไปหาน้ำมารับแขก

“พี่มนเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ” ถามเมื่อทรุดนั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา

“ไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่ภูมิแพ้กำเริบน่ะ ว่าแต่ทำไมบ้านเงียบๆ ยายกับพยาบาลไปไหนเสียละ” เขาชวนคุยมากกว่าจะสนใจจริงจัง

“พยาบาลอ่านหนังสือให้ยายฟังอยู่ข้างบนน่ะค่ะ” คนฟังพยักหน้ารับ หลุบสายตาลงมองท้องเธอ

“แล้วหวานเป็นยังไงบ้าง หายแพ้ท้องหรือยัง หรือมีอาการอะไรหรือเปล่า ถ้ามีอะไรให้ช่วยต้องบอกพี่นะ เพราะเขาเป็นลูกของพี่”

“ขอบคุณค่ะ เท่านี้ฉันว่ามันก็มากพอแล้ว คุณภัตไม่ต้องห่วง ฉันจะดูแลลูกของคุณภัตกับพี่มนเป็นอย่างดี คุณริศก็คอยมาดูแลฉันตลอด”

มธุรินพูดน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ตัดรอนหากก็เหินห่างอย่างไร้เยื่อใยคนเคยรักกัน กระตุ้นให้บริภัตขุ่นมัวหัวใจอยู่ลึกๆ

“นั่นสินะ นายริศขันอาสามาดูแลด้วยตัวเอง คงไม่มีอะไรน่าห่วง” ท่าทีเหมือนยอมรับดังคำพูด แต่ประโยคต่อมาจงใจบอกให้เธอรู้ “แต่วันนี้นายริศอาจจะมาช้าหรือไม่มาเลยนะ เห็นว่าจะไปคุยกันเรื่องงานแต่งงานนี่แหละ ได้ข่าวว่าทั้งสองคนตกลงให้ผู้ใหญ่หาฤกษ์หายามเรียบร้อยแล้ว หวานรู้หรือยัง”

คำถามสุดท้ายคล้ายเป็นเรื่องน่ายินดีที่เธอควรรู้...และเมื่อเห็นสีหน้าตกใจของคนเคยรัก บริภัตถึงกับจุดยิ้มมุมปาก เขาคิดไม่ผิดที่มาที่นี่หลังจากโทรหายศยาเรียบร้อยแล้ว

…ทำไมเขาพูดเรื่องแต่งงานของยศยาได้หน้าตาเฉย ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเชียวหรือ...

“ฉันเป็นคนนอก ถึงไม่รู้ก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้งคะ แต่ก็ไม่แปลกใจหรอกค่ะ เพราะเขาเป็นคู่หมั้น ช้าเร็วเขาก็ต้องแต่งกัน ถ้าคุณแยมไปแต่งงานกับคนอื่นที่ไม่ใช่คู่หมั้นสิคะ ค่อยแปลก”

บริภัตสะดุ้งเล็กๆ เหมือนโดนเหน็บ หากเขาถนัดกับการวางเฉย ไม่แสดงความรู้สึกให้ใครรู้

“แต่บางทีคนที่เราแต่งงานด้วยกับคนที่เรารักอาจไม่ใช่คนๆ เดียวกันก็ได้นะหวาน อย่างพี่...”

“คุณภัตมีอะไรอีกหรือเปล่าคะ ถ้าไม่มีฉันอยากพักผ่อน” ตัดบทพร้อมลุกยืนอย่างไม่อยากฟังเรื่องที่เธอพอจะเดาออกว่าเขากำลังจะรื้อฟื้นวันวานอันล่วงเลยและไม่สามารถกลับมาได้อีก

ท่าทางตัดบัวไม่เหลือไยของคนเคยรักกระตุ้นให้ความตั้งใจมาพูดดีๆ ของบริภัตขาดผึง เขาลุกยืนมองหน้าเธอทั้งเจ็บใจทั้งหึงหวงปนกัน เพียงแค่คิดว่าที่เธอเป็นอย่างนี้ เพราะภัทริศ หัวใจเขาก็คุกรุ่นด้วยไฟแค้น

“หวาน! พี่ไม่เชื่อหรอกนะว่าหวานจะลืมความรักของเราได้ หวานรู้ใช่ไหมว่ามนเป็นภรรยาพี่หวานถึงยอมมารับอุ้มบุญให้ แล้วทำไมล่ะหวาน ทำไมหวานต้องมึนตึงใส่พี่แบบนี้ ถ้าหวานไม่อยากเป็นตัวสำรองใครพี่เลิกกับคุณมนก็ได้ แล้วพี่...”

“หยุดเถอะค่ะคุณภัต คุณคิดทุกอย่างไปเอง ฉันไม่รู้เลยว่าคุณเป็นสามีพี่มน ถ้าฉันรู้ อย่าว่าแต่รับอุ้มบุญเลย ฉันจะหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้”

“ดี งั้นเราหนีไปด้วยกันตอนนี้เลย หนีไปจากทุกคนแล้วไปอยู่ด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูก” สีหน้าแววตาจริงจังจนมธุรินนึกกลัว เธอถอยห่างไปเล็กน้อย...ผู้ชายคนนี้คิดอะไรบ้าๆ เห็นแก่ตัว

“เชิญคุณภัตกลับเถอะค่ะ เราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีก ฉันไม่หนีไปไหนทั้งนั้น เพราะสำหรับฉัน คุณตายไปจากชีวิตนานแล้ว”

ดั่งสายฟ้าฟาดลงกลางใจคนฟัง สิ่งที่เขาไม่ปรารถนาจะได้ยินคือคำพูดเหล่านี้และน้ำเสียงเย็นชาจากเธอ อะไรทำให้มธุรินตัดรอนเขาได้เพียงนี้...ไอ้ริศ ไอ้ริศใช่ไหม ดีละ เขาจะทำให้มันเสียใจ มันไม่มีวันได้ทั้งตัวและหัวใจเธอไปแน่ เพราะมธุรินเป็นของเขา!

“พี่ไม่เชื่อ! ไม่เชื่อว่าหวานจะลืมความรักหนึ่งปีของเราได้เพียงระยะเวลาไม่กี่เดือน และพี่จะไม่มีวันให้หวานลืมพี่ ไป ไปกับพี่ หนีไปด้วยกัน”

ร่างใหญ่ตรงเข้ามารวบมือเธอแน่น ออกแรงลากไม่แรงนักแต่ขณะนี้มธุรินกำลังท้องการดิ้นรนให้หลุดพ้นจึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก กระนั้นหญิงสาวก็ยังแข็งขืน

“คุณภัตปล่อยฉันนะคะ คุณบ้าไปแล้ว ปล่อย!” เธอพยายามขืนเท้าไว้ไม่เดินตาม หากดูท่าจะไม่เป็นผลสักเท่าไหร่เมื่อเขาลากมาจนถึงประตู

“ยายหวาน อยู่ไหนเนี่ยทำไมไม่ล็อกประตูรั้วยะ” เสียงเรียกจากด้านนอกชะงักการกระทำของบริภัตไปชั่วขณะ และจังหวะนั้นกังสดาลก็เดินมาถึงประตูชั้นใน หญิงสาวเบิกตาโพลง

“คุณภัต!” อุทานชื่อเขาออกไปแล้วก็เหลือบเห็นมือที่กำลังยื้อยุดฉุดเพื่อนตัวเอง “นั่นคุณจะทำอะไรเพื่อนฉัน ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้น...ไม่งั้นฉันจะ...” นึกไม่ออกว่าจะทำยังไง เหลียวซ้ายแลขวาหันไปเจอไม้กวาดวางอยู่ใกล้ประตู รีบทิ้งขนมที่ซื้อมาฝากคนท้องลงพื้นถลาไปคว้าอาวุธจำเป็นชิ้นนั้นมาเงื้อขึ้นเหนือหัว “ฉันจะตีคุณให้ตายตรงนี้เลย ปล่อย!” คำสุดท้ายสั่งเฉียบขาด

บริภัตไม่นึกกลัวผู้หญิงตัวเล็กคนนั้นสักนิด แต่ดวงตาเอาจริงทำให้เขาต้องตัดใจปล่อยมือ เคยได้ยินอยู่บ้างกับความห้าวหาญไม่กลัวใครของยายเพื่อนจอมจุ้นของมธุรินคนนี้

“ปล่อยแล้วก็ออกไปจากบ้านหลังนี้ซะ ก่อนที่ฉันจะตีคุณแล้วเรียกตำรวจมาจับ”

“ชอบแส่นัก! ฝากไว้ก่อนเถอะ!”

กังสดาลยักไหล่กวนๆ อีกฝ่ายจึงฮึดฮัดออกไป หญิงสาวถือไม้กวาดเดินตามไปล็อกประตูรั้ว ยืนมองจนแน่ใจว่าเขาไปแล้วจริงๆ จึงกลับมาพาเพื่อนเข้าบ้านจัดการล็อกประตูด้านในอีกชั้น เสร็จแล้วถึงได้หันมาสำรวจร่างกายคนท้อง

“แกเป็นอะไรมากหรือเปล่าหวาน แล้วนึกบ้าอะไรปล่อยให้เขาเข้ามา นี่ถ้าฉันมาไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้น” ถามพลางดึงมือเพื่อนไปดู ทั้งห่วงใยทั้งโมโหปนกัน

“ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอก ขอบใจแกมากนะ เขาบอกว่ามาเยี่ยม ฉันก็นึกว่าเขาคงลืมเรื่องที่ผ่านมาแล้วจึงให้เข้ามา”

“ลืม? เลิกฝันได้เลยว่าผู้ชายทุเรศๆ คนนี้จะลืมแกยายหวาน คนดีๆ อย่างแกไม่มีใครเขาลืมลงหรอก ทีหลังอย่าให้เข้ามาอีกนะ เจอที่ไหนก็อยู่ห่างๆ ไว้ เอ้อ ว่าแต่วันนี้คุณริศไปไหนล่ะ”

พอถูกตั้งคำถามอย่างนั้น มธุรินลืมความตกใจเมื่อครู่เสียสิ้น หัวใจที่กำลังเต้นรัวจู่ๆ ก็ลดระดับช้าลงกว่าปกติเสียด้วยซ้ำ

“ไม่รู้สิ อาจมีธุระสำคัญมั้ง” ตอบโดยไม่มองหน้าคนถาม

“แล้วเขาไม่โทรบอกแกเหรอ”

“ทำไมต้องโทรบอก ฉันไม่ใช่คู่หมั้นเขานี่”

“อ้าว แกเป็นไรป่ะเนี่ยยายหวาน ดูเหมือนงอนๆ น้อยอกน้อยใจอะไรรึเปล่า”

งอน? น้อยใจ? บ้าสิ เธอจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง

“เปล่าสักหน่อย ฉันขอตัวขึ้นไปนอนพักก่อนนะ แกจะทำอะไรก็เชิญตามสบายเลย” ว่าแล้วก็ลุกไปเสียเฉยๆ เล่นเอาคนเพิ่งมาถึงไม่นานงงเป็นไก่ตาแตก

“อ้าวเฮ้ย! เลยไม่รู้เรื่องกันเลย” กังสดาลได้แต่ส่ายหน้า หากก็ยอมปล่อยไปเพราะเห็นว่าเพื่อนอาจจะเหนื่อยกับการฉุดกระชากลากดึงเมื่อสักครู่

กำลังลุกจากโต๊ะเห็นสามสามหนึ่งศูนย์เก่าๆ วางอยู่ หญิงสาวนึกสนุกอยากโทรหาภัทริศขึ้นมาจึงคว้ามากดทันที

“หือ แบตเตอรี่หมดก็ไม่รู้จักชาร์จนะยายหวานเนี่ย โทรศัพท์ก็เก่าคร่ำคร่าแบตฯ เสื่อมแล้วเสื่อมอีกก็ยังจะใช้อยู่ได้” บ่นพลางส่ายหัวระอา เดินไปหยิบที่ชาร์จแบตเตอรี่ที่รู้ว่ามันเก็บไว้ตรงไหนมาจัดการชาร์จให้เรียบร้อย


*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*


ขณะขับรถมาหามธุริน ภัทริศกดโทรศัพท์จนมือจะหงิกติดปุ่มก็ยังไม่ได้รับการตอบรับ เพียรกดอีกหลายรอบก็ยังเหมือนเดิม ชายหนุ่มหงุดหงิดทำท่าจะเขวี้ยงมันลงบนเบาะด้านข้างดันมีเสียงเรียกเข้ามาก่อน พอยกขึ้นดู ปรากฏชื่อ ‘เจ้าของ’ เท่านั้นละ ใบหน้าบึ้งตึงก็พลันเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างเกือบถึงใบหู

ตอนเขาเดินเข้ามาในบ้านเป็นจังหวะเดียวกับที่กังสดาลเดินออกมาจากครัว ฝ่ายนั้นพอหันมาเห็นเข้าก็ร้องด้วยความตกใจ จานผลไม้ในมือเกือบหลุดร่วง

“โอ๊ย! แก้มตกใจหมดเลยค่ะคุณริศ นึกว่า...”

“ผมขอโทษครับคุณแก้ม ใจร้อนไปหน่อยเลยใช้กุญแจบ้านที่คุณหวานให้ไว้ไขเข้ามา ว่าแต่คุณแก้มนึกว่าใครหรือครับ”

กังสดาลเดินถือจานผลไม้ไปวางบนโต๊ะ ตอนเธอใช้โทรศัพท์มธุรินโทรหาเขาหลังจากชาร์จแบตฯ หญิงสาวยังไม่ได้เล่าเรื่องนั้นให้เขาฟัง กลัวเขาไม่มีสมาธิขับรถ

“นึกว่าคุณภัตน่ะสิคะ” ตอบโดยไม่อ้อมค้อมเมื่อภัทริศเดินตามมาทรุดนั่งตรงข้าม

“ทำไมคิดว่าเป็นพี่ภัตครับ” แค่ได้ยินชื่อพี่เขย เขาก็ทั้งขุ่นใจและไม่ไว้ใจพร้อมกัน

“คืออย่างนี้ค่ะ ตอนแก้มมาถึงนะคะเห็นคุณภัตกำลังฉุดยายหวาน ไม่รู้จะพาไปไหน ท่าทางไม่น่าไว้วางใจเลย แก้มว่าเขาต้องคิดอะไรไม่ดีอยู่แน่ๆ เลย โชคดีนะคะที่แก้มมาทัน” น้ำเสียงขณะเล่ายังขึ้นจมูกด้วยความโมโหไม่คลาย

“เหรอครับ แล้วคุณหวานเป็นอะไรมากหรือเปล่า เธออยู่ไหนครับเนี่ย” รัวคำถามแล้วกวาดตามองหาอย่างนึกเป็นห่วง

“ไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แต่ท่าทางซึมๆ ไปเลย”

“ซึม?” เขาทวนอย่างแปลกใจ...ก็บริภัตเข้ามาด้วยเจตนาไม่ดี น่าจะตกใจ หวาดผวาและขวัญเสียไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงกลายเป็นซึมไปได้

“ค่ะ คุณริศลองขึ้นไปดูหน่อยไหมคะ” กังสดาลเพียงต้องการสื่อให้เขาเข้าใจว่าเพื่อนตัวเองซึมไปเพราะน้อยใจคนที่มาช้าในวันนี้นั่นละ หากเขาตีความไปอีกอย่าง เฉกเช่นคนกำลังน้อยใจระคนหึงหวง

“ตอนนี้คุณหวานอาจกำลังหลับอยู่ อย่าเพิ่งไปรบกวนดีกว่าครับ” เขาตอบเลี่ยงๆ กังสดาลจึงไม่อยากคะยั้นคะยอ

ทั้งสองคนคุยสัพเพเหระกันจนบ่ายแก่ๆ กังสดาลจึงขอตัวกลับเพราะช่วงนี้เธอมีนัดทานมื้อเย็นกับครอบครัวทุกวัน ก่อนกลับไม่วายย้ำให้ภัทริศขึ้นไปดูเพื่อนตัวเองที่ยังไม่ยอมลงมาอย่างเป็นห่วง ฝ่ายนั้นเพียงพยักหน้ารับ

ตกเย็นพยาบาลที่มาดูแลคุณเดือนเพ็ญพาท่านลงมาทำกายภาพบำบัดใต้ร่มไม้หน้าบ้านเพื่อท่านจะได้สูดอากาศบริสุทธิ์บ้าง ชายหนุ่มลากเก้าอี้ไปนั่งดูพลางชวนท่านคุย แม้ในใจจะกระวนกระวายถึงคนชั้นบนที่ยังเงียบสนิทแต่เขาก็ทำใจแข็งไม่ขึ้นไปหา

กระทั่งเวลาล่วงเลยมาอีกสองช่วงโมง พยาบาลให้คุณเดือนเพ็ญทานข้าวเสร็จแล้วก็พาท่านกลับขึ้นไปพักผ่อนด้านบนแล้วขอตัวกลับ ภัทริศนอนกดโทรศัพท์เล่นเรื่อยเปื่อยบนโซฟาตัวยาวสลับกับมองไปทางบันไดเป็นระยะ เมื่อเห็นว่านานแล้วมธุรินยังไม่ยอมลงมาใจก็ร้อนรนด้วยความเป็นห่วง เด้งตัวลุกนั่งแล้วยังฟอร์มจัดก้มดูโทรศัพท์อีกครั้ง เห็นคำว่า ‘เจ้าของ’ เป็นเบอร์โทรเข้าก็เผลอยิ้ม เขาชอบคำนี้ เพราะมันเป็นความทรงจำน่ารัก และแสดงถึงความเป็นเจ้าของจริงๆ ไม่เหลือฟอร์มใดๆ เขาลุกและก้าวไปยังบันไดทันที

หากก่อนจะเหยียบบันไดขั้นแรก อะไรดลใจก็สุดรู้ให้เขาหันไปเห็นโทรศัพท์สามสามหนึ่งศูนย์รุ่นล้ำที่เจ้าของเคยโอ้อวดชาร์จแบตอยู่บนโต๊ะใกล้บันได แวบหนึ่งของความคิด ชายหนุ่มอยากรู้บ้างว่าแล้วเธอบันทึกชื่อเขาไว้ว่าอย่างไร...เอาน่า ดูแค่แป๊บเดียวค่อยขึ้นไปหาเธอแล้วกัน

ถ้าจะกดหาทีละเบอร์ก็กลัวเสียเวลา เขาจึงยกโทรศัพท์ตัวเองขึ้นกดชื่อที่บันทึกว่า ‘เจ้าของ’ แล้วกดโทรออก ไม่นานนักเสียงริงโทนแบบเก่าก็ดังขึ้น ชายหนุ่มนึกขำกับริงโทนที่จนบัดนี้เขายังไม่รู้ว่ามันเป็นเพลงอะไร สงสัยจะเก่าจนฟังไม่ออก

ทว่าพอยกสามสามหนึ่งศูนย์เครื่องนั้นขึ้นมาดูอาการครึ้มอกครึ้มใจเมื่อครู่มลายสิ้น เพียงแค่เห็นว่าชื่อที่ถูกบันทึกไว้นั้นเป็นคำว่า...

‘ตัวสำรอง’

ร่างทั้งร่างนิ่งชาเหลือเพียงสมองที่ยังใช้การได้ นึกย้อนไปถึงคำพูดของตัวเองที่พูดกับยศยา...ไม่มีใครอยากเป็น ‘ตัวสำรอง’ และคนที่รักกันเขาไม่ทำกันอย่างนั้นหรอก...

ท่ามกลางความรักมากล้นในหัวใจตัวเอง เขาไม่เคยนึกถามมธุรินเลยสักครั้งว่า เธอรักเขาบ้างไหม เป็นเขาตลอดคอยตามตื้อ ดื้อดึงจะอยู่ใกล้ๆ พอวันนี้เขาไม่มา บริภัตก็มาหาเธอทันที มันดูเหมาะเจาะลงตัวเกินไปหรือเปล่า...หรือเพราะพี่เขยเขาเป็น ‘ตัวจริง’ มาตลอด

ยิ่งคิดมือยิ่งกำโทรศัพท์เก่าๆ เครื่องนั้นจนแทบพังคามือ จากตั้งใจจะขึ้นข้างบนขายาวเปลี่ยนเป็นก้าวออกนอกบ้าน บางทีตอนนี้มธุรินอาจกำลังใคร่ครวญหัวใจตัวเอง การมาของบริภัตคงทำให้เธอตัดสินใจอะไรได้มากขึ้น

“ผมคงเป็นได้แค่ตัวสำรองของคุณสินะหวาน” ตั้งสติครู่ใหญ่จึงเคลื่อนรถออก ด้วยหัวใจเจ็บล้าไปทั้งดวง

สองมือกำพวงมาลัยแน่น ดวงตาจับกับถนนเบื้องหน้านิ่งไม่กะพริบนานเกินจนรู้สึกว่ามันแสบ จู่ๆ เขาก็ตบไฟเลี้ยวเข้าจอดข้างทางลดกระจกด้านซ้ายลงจนสุด ขบกรามแน่น เหมือนชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก็ขว้างสามสามหนึ่งศูนย์เครื่องนั้น ออกไปสุดแรง ก่อนจะขับจากไปไม่สนใจว่ามันไม่ได้มีความผิดใดเลย

“อ้าวไอ้เสือ! แปลกเฮ้ย! ยังไม่ทันสองทุ่มก็เข้าบ้านแล้ว” คุณประณตทักลูกชายเหมือนเคยเรียกเขาสมัยเด็กด้วยน้ำเสียงรื่นรมย์ เมื่อชายหนุ่มเดินเข้ามาถึงห้องรับแขกซึ่งท่านกำลังดูทีวีอยู่

ภัทริศเดินช้าๆ ไปทิ้งตัวนั่งข้างบิดา อาจเป็นกระแสบางอย่างจากตัวเขากระมังทำให้คนเป็นพ่อรับรู้ได้ว่าลูกชายมีอาการผิดปกติ ไม่ร่าเริงสดใสเหมือนเก่า และถึงแม้ไม่ค่อยได้เจอกันสักเท่าไหร่ในช่วงนี้ แต่ท่านก็คอยเฝ้ามองอยู่ห่างๆ เสมอ

“เป็นไงวะไอ้ลูกรัก ทำท่าทางเหมือนโดนสาวหักอก หน้าเศร้าคอตกมาเชียว” บิดายังแซวเป็นเชิงชวนคุย ท่านยกรีโมทฯ ขึ้นปิดทีวีหันมาให้ความสนใจเขาเป็นจริงเป็นจัง

“คงงั้นละครับพ่อ”

“เฮ้ย! นี่แกไม่ได้หมายถึงหนูแยมใช่ไหม?” เมื่อไม่มีคำตอบจากลูกชาย คุณประณตถือเอาว่าความเงียบนั่นคือคำตอบว่าใช่ “เอาแล้วไง ถ้าพระมารดาแกรู้ละก็ งานเข้าแน่ๆ พ่อละกลัวแทน” ไม่พูดเปล่ายังทำท่าทางขนลุกขนพองประกอบเสียอีก

“พ่อครับ” ภัทริศเรียกบิดาน้ำเสียงจริงจัง ท่านหันมาเลิกคิ้วถาม “ผมกำลังรู้สึกแย่จังเลยครับ สับสน เหมือนตัวเองเห็นแก่ตัวยังไงก็ไม่รู้สิครับ” เขาสารภาพหมดท่า ก้มหน้ามองมือที่ประสานกันไม่กล้าสบตาผู้ชายอีกคนที่เขาเห็นท่านเป็นลูกผู้ชายตัวจริงมาทั้งชีวิต

“เรื่องหนูหวานเหรอ” คำถามเรียบๆ สั้นๆ จากบิดาเรียกใบหน้าคมให้เงยมองอย่างแปลกใจ และเมื่อเห็นท่านยิ้มรับนัยน์ตาบ่งบอกชัดเจนว่าหมายถึงอะไรเขาก็อึ้งไปครู่ กว่าจะหลุดปากสองคำ

“พ่อรู้?”

“รู้อะไรๆ มากกว่านั้นอีก มีลูกอยู่สองคน เลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก และก็ต้องเฝ้าดูอยู่ห่างๆ ไปจนวันตายนั่นแหละ พ่อไม่ปิดหูปิดตาหรอกนะ แค่ปิดปากไว้เฉยๆ”

สองพ่อลูกประสานสายตากัน ภัทริศเห็นดวงตาคนเป็นพ่อระยับไหว สื่อความหมายให้เขาเข้าใจว่าท่านรู้ทุกอย่างจริงๆ และน่าจะรวมเลยไปถึงเรื่องของบริภัตด้วยบ้าง ไม่ใช่คุณประณตไม่รู้จักใครนี่ ท่านออกจะกว้างขวางแทบทุกวงการ ด้วยเป็นคนอารมณ์ดี มีมิตรสหายทั้งวัยเดียวกันและต่างวัยเยอะแยะ อะไรที่ท่านสนใจ ก็ยากจะรอดหูรอดตาไปได้

เพียงแต่ท่านเลี้ยงลูกมาโดยให้รู้จักใช้ชีวิต จัดการทุกอย่างด้วยตัวเองเสมอ หากไม่ถูกร้องขอหรือจำเป็นจริงๆ คุณประณตจะไม่ยื่นมือเข้ามาก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของลูก ท่านเชื่ออย่างหนึ่งว่าลูกของท่านสองคนนี้เป็นคนดี และเก่งพอจะเอาตัวรอด หากวันหนึ่งไม่ไหว เช่นวันนี้ พวกเขาจะไม่มองข้ามท่านแน่ๆ

“ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปดี ทุกอย่างสับสนปนเปไปหมด ไม่เป็นลูกผู้ชายเอาเสียเลยครับพ่อ มีคู่หมั้นอยู่แล้วก็ยัง...ไปรักคนอื่นอีก” จะว่าไปแล้ว เขาคงสนิทกับคุณประณตมากกว่ากับคุณพรรัมภา รายนั้นรักกันแบบต่อปากต่อคำ แต่สำหรับบิดาอาจไม่คุยกันบ่อยเท่า เพียงแค่เมื่อใดมีปัญหาก็มักปรึกษาท่านเสียทุกครั้ง

“ไม่นี่ ลูกก็ยังมีความเป็นลูกผู้ชายเต็มร้อย กล้าทำก็กล้ารับ” เมื่อใดแทนตัวเขาว่า ‘ลูก’ แสดงว่าบิดากำลังคุยด้วยในฐานะ ‘พ่อ’ อย่างแท้จริง ไม่พูดเล่นแบบเพื่อนเหมือนยามปกติ “เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าจะจัดการอะไรยังไงใช่ไหม”

“ครับ”

“ใจเย็นๆ แล้วค่อยๆ คิดอย่างมีสติ ถ้าเป็นเรื่องหนูแยมกับหนูหวานก็ไม่น่ามีอะไรยาก ลองถามตัวเองดูว่าชีวิตนี้ทั้งชีวิตลูกจะฝืนอยู่กับคนที่ไม่ได้รักได้หรือเปล่า ถ้าเขาทำอะไรผิดลูกพร้อมอภัยโดยไม่ติดใจได้ไหมละ คู่ชีวิต ก็คือคู่คิด คู่ใจ ไม่ใช่แค่ใครสักคนที่เหมาะสม ลูกไม่ต้องห่วงว่าพ่อกับแม่จะต้องเสียหน้า เสียชื่อเสียงหรือโดนถอนหงอกอะไรทั้งนั้น เพราะพวกนั้นไม่ทำให้พ่อกับแม่เจ็บปวดเท่ากับต้องทนเห็นลูกเป็นทุกข์ไปตลอดชีวิตหรอก แม้กระทั่งแม่เราก็เถอะ เชื่อพ่อสิ”

“พ่อกับแม่เคยไม่เข้าใจกันบ้างไหมครับ” เขาถามอย่างนี้เพราะเห็นบิดาลงให้มารดาตลอด ท่านทั้งสองจึงแทบไม่เคยทะเลาะกันเลย มีงอนกันบ้างก็เล็กน้อยและไม่นาน

“แหม...ถ้าเด็กๆ แบบเมื่อก่อนมาถามอย่างนี้ต้องบอกว่า ‘เด็กโง่’ แต่ตอนนี้โตจนอกหักเป็นแล้วต้องบอกว่า ‘ผู้ใหญ่โง่’ สินะ” ท่านแซวเป็นเชิงสอนแล้วหัวเราะลงลูกคอ “แม่ของลูกปากร้ายขนาดนั้น ขี้งอนนี่นะที่หนึ่งเลย เรื่องไม่ฟังใครก็ต้องยกให้เขาเหมือนกัน มันก็ต้องมีไม่เข้าใจกันบ้าง พ่อเองก็ผู้ชายคนหนึ่ง เรื่องผิดพลั้งมีเยอะแยะ ผ่านผู้หญิงมาก็ไม่น้อย แต่สำหรับแม่ พ่อไม่เคยใช้ทฤษฏีอะไรเลยนอกจากความรักล้วนๆ เมื่อลงใจแล้วว่ารักเขา ความพยายามที่จะเข้าใจ เชื่อใจ ไว้ใจก็ตามมา ขณะเดียวกันก็อยากเป็นคนดีให้เขารัก เชื่อใจ ไว้ใจเช่นกัน เรียกว่าเตรียมพร้อมสละความสนุกวัยหนุ่ม เพื่อ ‘ร่วมชีวิต’ ใหม่กับเขาเลยละ ง่ายๆ แค่นี้เอง ทำให้พ่อกับแม่อยู่กันมาได้จนลูกกับพี่มนโตนี่ไง”

“สงสัยผมจะได้นิสัยแม่มาเยอะ” คราวนี้คนเป็นลูกยิ้มออก และเมื่อมองแววตาท่านแล้ว ภัทริศคิดว่าพี่สาวเขาคงได้นิสัยบิดามาเยอะ เมื่อลงใจรักใครแล้วก็ไม่มองข้อเสียของอีกฝ่าย พร้อมอภัยให้เสมอ...แล้วเขาล่ะ ไม่ได้อะไรจากคนเป็นพ่อมาเลยละหรือ อย่างน้อยก็น่าจะเป็นความเชื่อใจ ไว้ใจ ในคนที่เรารักบ้างก็ยังดี

“น่าจะอย่างนั้นนะ แต่ที่เชื่อได้แน่ๆ ว่าเหมือน คือแกกับแม่แกทำให้พ่อหูชาได้ทั้งคู่” พอสรรพนามเปลี่ยนมาเป็นคำว่า ‘แก’ นั่นหมายถึงท่านหมดเรื่องจะสอนแล้ว ภัทริศหัวเราะให้คำพูดบิดา เขารู้ว่าเวลาเขากลับดึก หรือไม่กลับเลย มารดาก็ต้องมาบ่นจนคุณประณตหูชาท่านถึงจะพอใจ

“ขอบคุณพ่อมากนะครับ” ยกมือไหว้แล้วเขาก็คว้ากุญแจลุกยืน

“อ้าว แล้วนั่นแกจะไปไหนละ สามทุ่มกว่าแล้ว”

“ไปจัดการเรื่องตัวเองน่ะสิครับ ฝากพ่อจัดการทางนี้ด้วย ผมคงกลับดึกตามเคย” ว่าแล้วก็รีบก้าวออกจากบ้านบึ่งรถไปรวดเร็ว

“คุณคะ เมื่อกี้เสียงรถตาริศใช่ไหม แล้วออกไปไหนอีกละ ยังไม่ทันได้คุยกันเลยพ่อตัวดีเนี่ย คงกลับดึกอีกตามเลยละสิท่า!”

ไหมละ...คุณประณตพูดผิดเสียที่ไหน หูเพิ่งจะหายชาหายอื้อ ดูท่าจะเริ่มใหม่อีกแล้ว เฮ้อ! ทำใจ


*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*


นาฬิกาเรืองแสงบนโต๊ะข้างหัวเตียงบอกเวลาฝ่าความมืดมิดภายในห้องว่าขณะนี้จวนห้าทุ่มแล้ว แต่คนนอนลืมตามานานหลายชั่วโมงกลับไม่รู้สึกง่วงแม้สักนิด ความคิดมากมายไหลวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาผสมกับความน้อยใจมากมายมหาศาลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ตอนค่ำมธุรินลงมาทานข้าวลำพังเพราะทนหิวต่อไปไม่ไหว บ้านทั้งบ้านเงียบเชียบไม่มีแม้แต่เสียงโทรศัพท์ กวาดตามองโดยรอบก็ไม่เจอใคร เดาเอาว่ากังสดาลคงกลับไปแล้ว และคนที่เธอเฝ้ารอก็คงไม่มา...หญิงสาวคิดเศร้าๆ มองหาโทรศัพท์เพื่อจะโทรหาเพื่อนก็ไม่เจอ เดินหาทั่วบ้านก็ไร้ร่องรอย จึงตัดใจเลิกหา ทานข้าวเสร็จก็นั่งดูทีวีต่ออีกหน่อยนัยว่าเผื่อใครบางคนจะมา จนแล้วจนรอดก็ต้องผิดหวัง จึงกลับขึ้นข้างบน หยิบหนังสือมาอ่านอยู่ได้สักพักก็ต้องวางลง อ่านไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าสมองเลย พอปิดไฟนอนดันข่มตาไม่ลงอีก หงุดหงิดจนน้ำตาพานจะไหลเอาดื้อๆ

“ใครน่ะ!” มธุรินร้องถามด้วยความตกใจ หัวใจเต้นสั่นระรัวเมื่อจู่ๆ ได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออกและสายตาที่ปรับแสงได้เห็นเงาดำมืดแทรกตัวเข้ามา

“หวาน...ผมเอง” ไอ้คำว่าผมเองน่ะเธอไม่รู้หรอกว่าใคร แต่จำน้ำเสียงได้จึงผ่อนลมหายใจยาวโล่งอก ร่างสูงถลามาทรุดนั่งข้างเตียงเอื้อมเปิดโคมไฟได้แม่นยำโดยไม่ต้องอาศัยแสงสว่างช่วย “คุณยังไม่หลับเหรอครับ” เมื่อสามารถมองเห็นกันได้จึงพบว่าเจ้าของบ้านยันตัวลุกนั่งเรียบร้อยแล้ว

“ใครบอก หลับสบายไปตั้งแต่หัวค่ำแล้วเพราะไม่มีคนมากวนใจ แต่ที่ลุกมาเนี่ยจะมาตีโจรที่บุกรุกให้หัวแบะต่างหาก” คำพูดประชดประชันกับน้ำเสียงงอนๆ นอกจากไม่ทำให้ ‘โจร’ กลัวได้แล้วยังกล้ายิ้มหน้าระรื่นเสียอีก

“บุกรุกที่ไหน ผมมีกุญแจต่างหาก” มือใหญ่ยกพวงกุญแจรั้ว กุญแจบ้านและกุญแจห้องนอนของเธอขึ้นโชว์หรา พลางยักคิ้วล้อ

“แล้วมาทำไม มีธุระอะไรมิทราบ” พอเถียงไม่ออกก็สะบัดหน้าหนีเปลี่ยนเรื่องซะเลย

“แล้วงอนทำไม โกรธอะไรมิทราบ” ถึงจะล้อเลียนแต่น้ำเสียงนุ่มนวลกว่าเยอะ

“เอ๊ะ! คุณจะมาเลียนแบบฉันทำไม ไม่ได้โกรธไม่ได้งอนอะไรทั้งนั้นแหละ” อยากจะเชื่ออยู่หรอกว่าไม่โกรธไม่งอน ถ้าสีหน้าแววตาไม่ค้าดเสียขนาดนั้น ชายหนุ่มคิดขำๆ ขยับลุกนั่งบนเตียงข้างๆ เธอที่รีบกระเถิบหนีได้ไม่ไกลนักเนื่องจากเคลื่อนตัวไม่สะดวก

“หวาน...คุณเป็นอะไร เห็นคุณแก้มบอกว่าซึมไปตั้งแต่บ่ายแล้ว” เอ่ยถามอ่อนโยนไม่พาดพิงถึงการมาของบริภัตให้ต้องขุ่นมัวหัวใจกัน ฝ่ายนั้นเงยมองหน้าเขาทันที

“แสดงว่าคุณมาที่นี่?”

“ใช่ ผมมาที่นี่ตั้งแต่ตอนบ่ายแก่ๆ แล้ว คุณแก้มบอกว่าคุณพักอยู่ข้างบนผมเลยไม่อยากกวน รอตั้งนานแน่ะ คุณไม่ลงไปสักทีผมเลยกลับ” อาศัยว่าเธอไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยสร้างภาพให้ตัวเองดูดีเสียเลย พ่อคนเจ้าเล่ห์

“แล้วคุณมาทำไมละคะ” เธอยังย้ำคำถามเดิม

“เอ้า ก็มาทำหน้าที่น่ะสิครับ ผมมีหน้าที่รออยู่ที่นี่ตั้งเยอะแยะ ดูแลคนท้อง อ่านหนังสือ เล่าเรื่องตลกให้คนท้องฟัง ยังจะ...”

“ถ้าคุณมาที่นี่เพราะหน้าที่บังคับก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คราวหลังไม่ต้องมา ฉันดูแลตัวเองได้” ถ้าไม่รู้สึกว่าเธอกำลัง ‘น้อยใจ’ ภัทริศคงพานโยงเรื่องนี้ไปเกี่ยวกับพี่เขยอีกแน่

“เอ้...ถ้าผมจำไม่ผิดนิสัยขี้น้อยใจเนี่ยมันของผมนะครับ คุณแอบเอาไปใช้ตั้งแต่เมื่อไหร่” เรื่องยียวนกวนโทสะนี่เขาถนัดนักละ มธุรินชักไม่อยากต่อปากต่อคำจึงหันมาทำตาขวางใส่แทนคำโต้ตอบ ภัทริศแกล้งถอนหายใจเสียงดังขยับไปดึงเธอมากอดไว้หลวมๆ ไม่สนใจอาการขัดขืน

“ไหนบอกซิ คุณน้อยใจอะไรผม ผมจะได้แก้ตัว เอ๊ย ไขข้อข้องใจได้ถูกต้อง” แม้จะพยายามพูดดีๆ ยังไม่วายแกล้งอีกจนได้ จึงได้รับค้อนวงใหญ่เป็นค่าตอบแทน

“ฉันไม่ได้น้อยใจค่ะ แค่คิดว่า...ถ้าคุณจะแต่งงาน ก็ไม่ต้องมาดูแลฉันอีกก็ได้ เดี๋ยวคุณแยมเธอจะไม่พอใจ” ทุกคำไร้ร่องรอยประชด แต่คือความจริงที่เธอควรยอมรับมัน

ภัทริศงงไปครู่ว่าเธอพูดเรื่องอะไร หากวินาทีถัดมาก็พอจะเดาออกว่าเธอได้ข่าวนี้มาจากใคร และเหมือนจะฉลาดขึ้นมานิด คิดได้ว่าจุดประสงค์ของพี่เขยที่มาหามธุรินก็น่าจะเป็นเรื่องนี้มากกว่าเรื่องงี่เง่าไม่เข้าท่าที่เขาคิดจนเกือบทำให้เธอรอเก้อ

“หวาน คุณคิดว่าผมเป็นคนยังไง บอกรักคุณอยู่ทุกวันแล้วหนีไปแต่งงานกับอีกคน แถมเป็นคนที่เราต่างก็รู้ว่า...เธอไม่ได้รักผม” เขาเลี่ยงจะพูดในทางไม่ดีของอีกฝ่าย “เอาเถอะ ผมจะบอกคุณอีกครั้งว่าคนที่ผมจะแต่งงานด้วย เป็นคุณคนเดียวเท่านั้น คนเดียวที่หมายถึงจะไม่ให้คุณเป็นตัวสำรองใครและไม่ให้ใครมาเป็นตัวสำรองคุณ”

แม้ขณะนี้จะบอกให้ตัวเองเชื่อใจไว้ใจเธอ แต่พอพูดถึงลำดับความสำคัญภัทริศยังสู้สึกขมปร่าอยู่ดี

มธุรินช้อนสายตามองเขาเพื่อค้นหาความจริงทุกประการในคำพูดเหล่านั้น และเธอไม่พบอะไรเลยนอกจากความจริงใจ

“แล้วคุณละครับ บอกผมได้ไหมว่าผมเป็นอะไรสำหรับคุณ...ตัวจริงหรือตัวสำรอง” นี่ต่างหากทางออกที่ดีที่สุดสำหรับคนรักกัน การพูดจากันตรงๆ แทนการหลบเลี่ยงแล้วสรุปทุกอย่างเอาเองจนเกิดความไม่เข้าใจกัน

คำถามของเขาไม่ใช่เรื่องตอบยากหรือลำบากใจ หญิงสาวมีคำตอบอยู่ในใจมานานแล้ว เพียงแค่รู้สึกเก้อเขินถ้าต้องพูดมันออกไปตรงๆ ทว่าพอนึกอีกที เขาก็บอกความรู้สึกตรงไปตรงมากับเธอทุกครั้ง...ยืนยันกับเขาบ้างสักครั้งคงไม่เสียหายอะไรหรอกกระมัง

“สำหรับฉัน คุณไม่ใช่ตัวจริง ไม่ใช่ตัวสำรอง...แต่คุณเป็นคนเดียว...” หญิงสาวพูดต่อไม่ออก เธอก้มหน้านิ่ง

ร่างสูงยิ้ม ไม่นึกคาดคั้น แค่นี้เขาก็พอใจแล้ว ไม่เสียใจเลยสักนิดที่ขว้างโทรศัพท์กับคำว่าตัวสำรองบ้าๆ นั่นทิ้งไป

“คุณรอผมนานหรือเปล่า” จู่ๆ เขาก็ก้มหน้ามาถามใกล้ๆ ไปอีกเรื่อง มธุรินเงยมองแล้วพยักหน้าหงึกหงัก “ผมขอโทษ ต่อไปจะไม่ให้รอแบบนี้อีกแล้ว” ไม่มีคำว่าสัญญาในคำพูด แต่ความหมายก็ไม่ต่าง

พอเวลาล่วงเข้าช่วงดึกแล้วเขายังไม่มา มธุรินคิดไปสะระตะว่าเขาอาจจะไม่มาอีกแล้ว ทุกอย่างที่เขาทำให้เป็นเพราะหน้าที่ สุดท้ายเขาต้องไปแต่งงานกับคนที่เหมาะสมอยู่ดี และเธอก็จะถูกทอดทิ้งไว้ให้จมกับสิ่งดีๆ จากเขา แค่คิดมาถึงตรงหนี้หัวใจเหมือนจะอ่อนแรงไม่อยากเต้นเสียเฉยๆ ขอบตาร้อนผ่าวด้วยใจหวั่นกลัว

“หวานร้องไห้ทำไมครับ”

“ฉันนึกว่าคุณจะไม่มาหาฉันอีก...กลัวคุณทิ้งฉันกับลูก” นับเป็นครั้งแรกที่เธออ่อนแอให้เขาเห็นมากมายเพียงนี้ ใบหน้าคมก้มจูบซับน้ำตาที่แก้มให้แผ่วเบา

“ต่อไปอย่าคิดอย่างนี้อีก...เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งสุดท้ายที่ผมจะทำ แต่ผมจะไม่มีวันทำแบบนั้นเด็ดขาด”

ทั้งสองคนยิ้มให้กัน ภัทริศกระชับวงแขนแน่นขึ้นให้ตัวเธอมาแนบอก เผื่อเสียงหัวใจจะยืนยันความจริงทั้งหมดได้บ้าง ครู่ใหญ่ที่พวกเขาปล่อยให้ความเงียบพาเวลาล่วงผ่าน

“คืนนี้ผมขอค้างที่นี่ด้วยนะ” สิ้นคำพูดนั้นมธุรินเด้งตัวเออกห่างทันที

“ไม่ได้ค่ะ ถึงฉันจะท้องอยู่แต่ฉันก็...เป็นสาวโสดนะคะ” ท้ายเสียงแผ่วลงพร้อมอาการแก้มร้อนนิดๆ

“โสดที่ไหน คุณมีผมเป็นเจ้าของแล้วต่างหาก” เขาทำตาคว่ำท้วงเสียงแข็ง

“คนนะคะไม่ใช่หมาค้าบบบจะได้มีเจ้าของ” เห็นเธอทำเสียงล้อเลียนเรื่องเล่าของตัวเองภัทริศอยากจะขำแต่ต้องแกล้งทำตาโต

“อ้าว งั้นแสดงว่าคุณเห็นผมเป็นหมาค้าบบบน่ะสิถึงได้บันทึกชื่อตัวเองในเครื่องผมว่า ‘เจ้าของ’” คำสุดท้ายถูกเน้นชัดอย่างจงใจ ทว่ามธุรินไม่นึกเอะใจถึงความนัยที่เขาสื่อ

“ไม่เอาละคะ คุณอย่ามาเฉไฉให้เสียเวลา กลับบ้านได้แล้วค่ะ”

“โธ่...ไม่เห็นใจกันบ้างเลย ขับไปขับมาหลายรอบแล้ว เหนื่อยจะแย่ ดึกก็ดึก ง่วงก็ง่วง ตาจะปิดอยู่แล้วเนี่ย เอาเถอะ กลับก็ได้ หลับตาขับไปแล้วกัน” แสร้งโอดครวญทำท่าหลับตาประกอบราวกับเด็กๆ

“งั้นก็ลุกสิคะ”

“โห...ใจร้าย วันนี้ไม่ได้เจอทั้งวันแล้วคิดถึงอ่ะ นอนพื้นก็ได้นะ รับรองผมไม่วิปริตลุกมาทำอะไรคนท้องหรอกน่า”

ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรหรือคำไหนทำให้อีกฝ่ายใจอ่อน...บางทีอาจเพราะความไว้ใจ เชื่อใจในตัวเขากระมัง

“นี่ค่ะหมอน และผ้าห่มกับที่นอนปิกนิกในตู้ แต่ว่าฉันไม่มีเสื้อผ้าผู้ชายให้คุณอาบน้ำเปลี่ยนหรอกนะ”

ชายหนุ่มยิ้มกริ่มพลางบอก “ไม่องไม่อาบมันแล้วล่ะน้ำน่ะ ไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว ผมจะรีบไปแต่เช้านะครับ”

“อี๊...คุณนี่สกปรกจริงๆ เลย” เธอแกล้งย่นจมูกใส่

“สกปรกที่ไหน ขนาดไม่อาบน้ำยังหอมเลย นี่ไง ดมดูสิ” ว่าแล้วก็เอาแก้มตัวเองไปชนจมูกอีกฝ่ายหน้าไม่อาย “เป็นไง หอมใช่ไหมล้า...ชื่นใจผมแล้วก็นอนเถอะ เดี๋ยวจะดึกมากไป”

ไม่รอให้เธอประท้วงใดๆ เขาลุกและจัดการให้เธอนอน ห่มผ้าเรียบร้อยจึงไปจัดการที่นอนตัวเองบ้าง

ห้องทั้งห้องตกในความมืดและเงียบ นานจนน่าจะต่างฝ่ายต่างหลับไปแล้ว จู่ๆ มธุรินก็เหมือนจะเอะใจบางอย่างขึ้นมา เมื่อได้คิดทบทวนคำพูดเขาทั้งหมดประกอบกับโทรศัพท์ที่หายไป

“คุณริศคะ หลับหรือยัง”

“หือ? จะชวนผมขึ้นไปนอนบนเตียงเหรอ” ถึงน้ำเสียงจะฟังงัวเงียแต่ยังไม่วายหยอดอีกจนได้

“ไม่ใช่ค่ะ ฉันแค่จะถามคุณว่า...ตอนคุณมาเมื่อตอนเย็นเห็นโทรศัพท์ฉันบ้างไหมคะ”

“เห็น ผมเขวี้ยงมันทิ้งไปละ พรุ่งนี้จะไปซื้อเครื่องใหม่ให้” น้ำเสียงราบเรียบเหมือนพูดเรื่องสัพเพเหระทั่วไป และถ้าเป็นเมื่อก่อนมธุรินคงโวยวายที่เขาละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคล อีกทั้งจะไม่รับของใดๆ ที่เขาจะซื้อให้ ยกเว้นเสื้อผ้าหรือของใช้เกี่ยวกับการตั้งท้อง เพราะถือว่าเธอกำลังอุ้มท้องให้คนในครอบครัวเขา

หากสำหรับเวลานี้ ดูท่าสิ่งที่เธอเอะใจเรื่องการบันทึกชื่อในโทรศัพท์จะเป็นจริงเสียแล้ว...เขาคงเห็นชื่อตัวเองที่บันทึกไว้แน่แล้ว!

“คุณริศคะ ชื่อคุณที่บันทึกไว้ในเครื่อง ยายแก้มเขาบันทึกสนุกๆ นะคะ ตั้งแต่ตอนเราเอาโทรศัพท์มาแลกกัน ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นสักนิด…คุณริศคะ หลับแล้วหรือคะ”

ถามออกไปแล้วก็นิ่งฟัง ได้ยินเพียงเสียงหายใจสม่ำเสมอตัดผ่านความเงียบสงัดยามค่ำคืน เธอถอนหายใจเบาๆ โดยไม่รู้ว่าคนนอนข้างล่างกำลังอมยิ้มกับสิ่งที่ได้ฟัง




โปรดติดตามตอนต่อไป
น้อมรับทุกคำติ-ชมค่ะ ^^



ปลากัด
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ต.ค. 2554, 10:51:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ต.ค. 2554, 10:51:25 น.

จำนวนการเข้าชม : 2509





<< บทที่ 17 (ลบค่ะ)   บทที่ 20 (ลบค่ะ) >>
Auuuu 3 ต.ค. 2554, 11:13:27 น.
ไอ๊ย่ะๆ น่ารักๆ


anOO 3 ต.ค. 2554, 11:52:24 น.
ดีนะ ที่ครั้งนี้คุยกันดีๆ ไม่งั้นเข้าทางนายภัตแย่เลย


ชนาพัทธ์ 3 ต.ค. 2554, 13:14:44 น.
น่ารักมากกกกกกก


บัวขาว 3 ต.ค. 2554, 13:37:52 น.
เฮ้อ ... ลุ้นจนเหนื่อย ... ฮา ...
=^_^=


จิรารัตน์ 3 ต.ค. 2554, 13:53:04 น.
555+ ผู้ใหญ่โง่ แต่คงเริ่มฉลาดแล้วมั้ง

ปลากัดคุณยักษ์ตามหาอยู่แถวเฟชฯค่ะ


ปลากัด 3 ต.ค. 2554, 13:58:21 น.
5555+ ขอบคุณค่ะคุณจิรารัตน์

เจอแล้วค่ะ จัดการเรียบร้อยละ ไม่ได้เข้ามาเป็นอาทิตย์ เกือบโดนฆ่าแล้วไหมละ อิอิ


อริสา 3 ต.ค. 2554, 14:02:38 น.
กว่าจะเข้าใจกัน ดีจังที่หวานแสดงความรู้สึกออกมาบ้าง น่ารักทั้งคู่ ชอบยัยแก้มจัง


sai 3 ต.ค. 2554, 14:45:29 น.
ชอบอ่ะเค้าว่านายริศก็ได้นิสัยพ่อมาเยอะเหมือนกันนะเนี่ย อิอิ


แว่นใส 3 ต.ค. 2554, 16:14:39 น.
รู้งี้คุยกันดี ๆ ก่อนนะ


แล่นแต๊ 3 ต.ค. 2554, 17:31:25 น.
ฮิ้ว หวานกันจริงๆคู่นี้ น่ารักอ่ะ


ann 3 ต.ค. 2554, 18:34:22 น.
ใครก็ได้ช่วยเอาไอ้นายภัตไปเก็บทีสิ


ปั้นฝัน 3 ต.ค. 2554, 19:51:33 น.
น่าร้าก.. น่ารัก ^^


milbol 3 ต.ค. 2554, 20:42:22 น.
อยากได้ๆๆหนูอยากได้อย่างพี่ริศซ้ากกคน


Thananya 3 ต.ค. 2554, 21:20:48 น.
น่ารักจังเลย พระเอกฉลาดเริ่มทันศัตรูแล้ว แต่นางเอกเราสิ เฮ้อ อย่าใจอ่อนให้มารร้ายเข้าบ้านอีกน้า


คิมหันตุ์ 3 ต.ค. 2554, 21:45:55 น.
โอ๊ย.....เหมือนซ้อมใหญ่ก่อนแต่งเลย..คุณพ่อคุณแม่คู่นี้...ไม่ไหวแล้ว...


ของขวัญ 3 ต.ค. 2554, 22:33:59 น.
พระเอกไม่โง่แล้ว 555 แต่นางเอกยังน่าห่วง


Pat 4 ต.ค. 2554, 06:36:45 น.
คุณริศจ๋า เพลาๆความขี้น้อยใจ&ขี้หึงลงซะนิีด ใส่ความเชื่อใจมากๆหน่อย นางเอกของเราเค้าให้ใกล้ชิดขนาดนีี้ แล้วไม่รู้หรือว่าเค้ารักตัวเองมากขนาดไหน ดีนะว่ากลับลำทันและน่ารัิกขนาดนี้เลยให้อภัย


innam 4 ต.ค. 2554, 10:53:33 น.
ผู้ชายขี้ใจน้อย/ขี้งอนด้วย


เด็กหญิงม่อน 5 ต.ค. 2554, 04:59:49 น.
ในที่สุดก็อ่านทันแล้ว วันนี้นั่งไล่อ่านตั้งแต่ตอนแรกเลยค่ะ
พระเอกน่ารักมากมาย ^^


ปลากัด 5 ต.ค. 2554, 10:30:33 น.
ขอบคุณเด็กหญิงม่อนค่ะที่ตามอ่านรวดเดียว ^^
และขอบคุณทุกท่านที่ที่ติดตามกันค่ะ ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account