เล่ห์กล มนต์รัก
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 1
เอาตอนแรกมาให้อ่านดูนะครับ ที่ผ่านมาเขียนแต่ เรื่องเกี่ยวกับในกรุงเทพฯ และนักธุรกิจ เง้อ...เบื่อแระ
นางเอกเรื่องนี้แปลกกว่าเรื่องอื่นๆ คืออยากจะเขียนให้คุณเธอสวยแบบบ้านๆ อ่ะ...บ้านๆ เป็นอย่างไรนั้น ยังไงก็ฝากติชมด้วยนะครับ
พายุ...
****
เล่ห์กล มนต์รัก
ตอนที่ ๑
สายลมยามเช้าพัดหวนเย็นสบาย ภาพเบื้องหน้าคือพื้นที่ราบที่ลาดไปตามไหล่เขา แล้วไปบรรจบกันกับสันดอนที่ตั้งอยู่ภายในพื้นที่ดังกล่าว เสมือนจุดศูนย์กลางเลยก็ว่าได้ บนสันดอนที่ว่านี่แหละที่มีตัวอาคารรูปทรงยุโรป ที่ทาด้วยสีเนื้อ หลังคามุงด้วยกระเบื้องสีเขียวอ่อน เหมือนจะเป็นจุดเด่นมากที่สุดของอาณาบริเวณเหล่านั้น
จุดที่ตั้งเป็นตัวอาคารนั้นมีถนนวางพาดผ่านลงไปสู่พื้นที่ราบด้านล่างอย่างสะดวก
ถัดออกไปจากสันดอนที่ตั้งของตัวอาคารนั้น เป็นพื้นที่ราบโล่งที่ยังมีเหล่าพืชพรรณหลากหลายชนิดปลูกเป็นแปลงและโรงเรือน สลับกันไปจนจรดกับตีนเขาอีกด้านหนึ่ง ที่ทั้งทะมึนเสมือนกำแพงที่คอยโอบล้อมอาณาบริเวณแห่งนี้เอาไว้ในอ้อมแขนของขุนเขาอีกทีหนึ่ง
ภาพเบื้องหน้าช่างสวยงามนัก เหมาะสำหรับเป็นที่พักกายและพักหัวใจของใครหลายๆ คน ได้เป็นอย่างดี
ไร่กรกรัช...
ที่ตรงจุดนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่ง ใบหน้าคร้ามคมหล่อเหลา ถ้าหากใครจะมองเข้าไปในดวงตาคู่คมนั้น ก็จะมองเห็นรอยหม่นเศร้าเคลือบแฝงอยู่ รอยยิ้มจางๆ บ่งบอกถึงความรู้สึกพึงพอใจ ถึงแม้ลึกๆ แล้วเขาจะยังอยู่ในห้วงอารมณ์ที่เสียใจอยู่ก็ตาม
เกือบหนึ่งปีเต็มที่เขาได้มาพัฒนาที่นี่ คิดแล้วก็น่าใจหาย ที่เวลามันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ซึ่งเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองได้ก้าวผ่านห้วงเวลาเหล่านั้นมาได้อย่างไร
เศร้า เสียใจ และห้วงอารมณ์ของความผิดหวัง คือความรู้สึกที่ติดตัวของเขาเสมอมานับตั้งแต่วันแรกที่เขามาอยู่ที่นี่
“แม่มีเพื่อนอยู่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เขามีอาชีพทำไร่สวนผสม แต่ด้วยพิษเศรษฐกิจ เขาจึงต้องการที่จะขายที่แห่งนั้น เพื่อจะนำมาผ่อนชำระหนี้สินที่ติดค้างเอาไว้ แม่ว่าเราน่าจะซื้อเอาไว้นะ ชื่อไรนั้นว่า ไร่กรกรัช บางที ถ้าหากลูกไปอยู่ที่นั่นสักพัก ลูกอาจจะลืมเรื่องราวทางนี้ได้บ้างนะ”
น้ำเสียงของคุณหญิงรุจิรางค์ดังชัดเจน ไร่กรกรัช ฐติวัธน์ทวนชื่อนั้นอยู่ในใจ ใบหน้าหล่อคมหม่นเศร้า ห้วงอารมณ์ผิดหวังถูกฉายอย่างชัดเจน
“เชื่อแม่ ก็อย่างที่แม่เคยบอกลูกเอาไว้ยังไงล่ะว่า ถ้าหากสิ่งไหนที่มันถูกสร้างมาเพื่อคู่กันกับลูกแล้ว ต่อให้อยู่ไกลมากแค่ไหนมันก็จะเดินมาหาเราเอง ฐติวัธน์ แม่เข้าใจหัวใจของลูกนะ ถึงลูกจะรักเขามากแค่ไหน หากเขาไม่ได้มีใจให้กับเรา หรือรักเรา ต่อให้เอาเทวดาบนชั้นฟ้าหรือพญายมราชจากนรกภูมิมาบังคับ เขาก็ไม่มีวันรักเราได้หรอก เชื่อแม่สิลูก ตัดใจจากเธอซะ ให้ถือเสียว่าเธอเป็นน้องสาวของลูก ยังไงเธอก็มีความสุขไปแล้ว ลูกควรจะดีใจไปกับเธอไม่ใช่หรือ อย่าทำเป็นเศร้าแบบนี้สิฐติวัธน์ ชีวิตของคนเรามันจะต้องสู้ แม่เชื่อว่าลูกของแม่จะต้องกลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิมได้อีกแน่”
น้ำเสียงให้กำลังใจของผู้เป็นแม่ดังก้องอยู่ในหัวใจ และนั่นก็ได้เป็นแรงผลักดันให้เขามาอยู่ที่นี่ในเวลาต่อมา เพื่อที่จะได้ตั้งต้นกับชีวิตใหม่
ไร่กรกรัช แห่งนี้คือชีวิตใหม่สำหรับเขา ชายหนุ่มบอกกับหัวใจของตัวเอง
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยลืมเรื่องราวและความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อกัญจนา หรือกันเกรา หากแต่เมื่อเขาได้ทำงานและดูแลธุรกิจส่วนตัว นั่นก็คืองานทุกอย่างในไร่ที่จะต้องเข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิดแล้ว มันก็พอที่จะทำให้ชายหนุ่มทุเราความเจ็บปวดอย่างที่เคยเป็นมาไปได้บ้าง
ถึงแม้ว่าจะไม่มาก ขอแค่ให้เขาหยุดคิดถึงเรื่องเหล่านี้ไปชั่วขณะก็ยังดี
หมวกปีกสานสีน้ำเงินเข้มถูกยกขึ้นสวมที่ศีรษะอีกครั้ง ชายหนุ่มแอบยิ้มกับสภาพของตัวเองที่อยู่ในชุดของหนุ่มชาวไร่อย่างเต็มตัว ก็เพิ่งรู้ ว่านักธุรกิจระดับแนวหน้าอย่างเขาจะสามารถแปลงร่างมาเป็นคาวบอยชาวไร่ได้
ร่างสูงเคลื่อนตัวไปตามทางถนนที่ลาดลงสู่พื้นที่เบื้องล่างอย่างเชื่องช้า สองข้างทางคือไร่ชาเขียวที่กำลังแตกยอดชื่นชมกับแสงอาทิตย์กันทั่วหน้า โดยมีเหล่าคนงานห้าถึงหกคนกำลังก้มหน้าก้มตาเก็บยอดชาเหล่านั้นใส่ลงในกระบุงบนหลังอย่างขยันขันแข็ง
ถึงแม้จะเปลี่ยนเจ้าของใหม่ แต่ฐติวัธน์ก็ไม่ได้ไล่หรือปลดคนงานออก เพราะเขาเข้าใจ คนงานเหล่านี้ทำงานอยู่กับไร่ทั้งวันทั้งคืน ถ้าพวกเขาหมดหนทางทำกินแล้ว พวกเขาจะไปทำอะไร
บ้างก็รับภาระของครอบครัว บ้างก็รับภาระส่งเสียบุตรหลาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ต้องการเงินทั้งหมด พอเมื่อหัวหน้าครอบครัวหรือไม่ก็คนที่หาเงินเลี้ยงครอบครัวหมดที่ทำมาหากินอะไรมันจะเกิดขึ้น พวกเขาจะเอาเงินที่ไหนไปจุนเจือครับครัวให้อยู่รอดต่อไปล่ะ
ด้วยความกรุณาเหล่านี้ ทำให้คนงานในไร่ต่างจึงซาบซึ้งในบุญคุณของเจ้านายคนใหม่ และก็ไม่ผิดเลยที่พวกเขาต่างทำงานให้กับฐติวัธน์อย่างซื่อสัตย์ และไม่อิดเอื้อนอะไรทั้งสิ้น
เสียงทักทายจากเหล่าคนงานดังประสานเสียงกันเมื่อชายหนุ่มเดินผ่านไปตรงไหน เหล่าคนงานก็มักจะทักทายเขาอย่างอารมณ์ดีทุกครั้งไป
มันเป็นเช่นนี้ทุกวันที่เขาจะต้องออกตรวจงานในไร่ทุกๆ เช้า เพื่อจะสำรวจถึงสภาพปัญหาในด้านต่างๆ และเพื่อจะนำมาแก้ไขได้อย่างทันท่วงที
“นายครับ นาย”
ชายกลางคน วัยประมาณสี่สิบวิ่งหน้าตั้งตรงมาที่ชายหนุ่มยืนอยู่ ฐติวัธน์หันไปทางนั้นด้วยความสงสัย
“เกิดอะไรขึ้นรึ นายดำ”
พร้อมกับเสียงที่แสดงความแปลกใจ ชายหนุ่มก็ได้รุดตรงไปหาชายคนนั้น จากท่าทีของนายดำแล้ว คงจะเป็นเรื่องด่วนอีกเป็นแน่
“คือ เกิดเรื่องที่โรงเรือนเลี้ยงไก่ของเราครับ”
นายดำเอ่ยด้วยน้ำเสียงปนหอบ ขณะที่เจ้านายหนุ่มรีบสอบถามกลับไปด้วยสีหน้าที่ร้อนรนไม่แพ้กัน
“มันเกิดอะไรขึ้นกับที่นั่น นายดำ บอกมาเร็ว”
“ผมว่านายไปดูด้วยตาของตัวเองจะดีกว่านะครับ”
ว่าแล้วคนงานคนนั้นก็หมุนตัวนำไปในทันที โดยมีฐติวัธน์ที่รีบวิ่งตามไปด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยอาการร้อนรนปนสงสัย
มันเกิดอะไรขึ้นกับโรงเรือนเลี้ยงไก่ของเขา...
****
ตลาดเช้าระดับตำบล บัดนี้มีเหล่าชาวบ้านทั้งชายและหญิงต่างออกมาจับจ่ายซื้อของในการประกอบอาหารเช้าของวันนี้และมื้อถัดๆ ไปกันอย่างหนาแน่น
เสียงเอ็ดตะโรดังอยู่อย่างต่อเนื่องมาจากเหล่าแม่ค้า พ่อค้า ที่ต่างกำลังตะโกนคอลโทรล เรียกเหล่าลูกค้าให้เข้ามาซื้อของที่แผงของตน
ในบรรดาแผงขายของเหล่านั้น มีเด็กสาวคนหนึ่ง หน้าตาเรียบๆ บ้านๆ ผมของเธอยาวสลวยถูกรวบเอาไว้ข้างหลังอย่างเรียบง่าย อยู่ในชุดเสื้อยืดกลางเก่ากลางใหม่ และกางเกงยีนส์สีเรียบสมกับความกะโปโลที่มักจะฉายออกมาทางสีหน้าและแววตา
“ไข่ไก่จ้า ไข่ไก่สดๆ ใหม่ๆ จากไร่เลยจ้า”
ความสามารถในการเรียกลูกค้าของเธอดูเหมือนจะประสบผลสำเร็จได้เป็นอย่างดี เพราะบัดนี้กำลังมีลูกค้าอยู่หลายคนที่ต่างมายืนมุงดูสินค้าของเธออย่างสนใจ
“ฟองละสามบาท สองฟองห้าจ๊ะ แต่ถ้าหากป้าซื้อสิบฟองขึ้นไปฉันจะลดให้อย่างพิเศษเลยจ้า”
เด็กสาวสื่อสารกับลูกค้าอย่างเป็นกันเอง เมื่อป้าคนหนึ่ง เลือกไข่ไก่ใส่ลงในตะกร้าจำนวนมาก นับได้น่าจะสิบฟองขึ้นไปแล้วมั้ง
“ป้าเอาโหลนึง เอ็งจะขายเท่าไรล่ะ”
“ฉันให้โหลสามสิบจ้า นี่ลดสุดๆ แล้วนะจ๊ะ ไม่เชื่อไปถามแม่ค้าแถวนี้เลยก็ได้ อ้อ ฉันแถมให้อีกฟอง ไอ้หมอก ใส่ถุงให้ป้าทีซิ” ประโยคหลังเด็กสาวได้หันไปสั่งเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งมองคำโอภาปราศรัยของเพื่อนสาวที่ไปได้แบบน้ำไหลไฟดับ
ไอหมอก หรือที่เพื่อนสาวชอบเรียกอย่างไม่ถนอมน้ำใจสักเท่าไรว่า ไอ้หมอก ลุกขึ้นแล้วจัดการนำไข่ไก่ฟองใหญ่ใส่ไปลงในถุง แล้วส่งให้กับลูกค้า ก่อนจะได้รับเงินตอบกลับมา
“ขอบใจนะป้านะ คราวหน้าอย่าลืมมาอุดหนุนพวกเราอีกนะ”
หนุ่มไอหมอกเอ่ยบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ทางนี้จ๊ะ น้าๆ ป้าๆ ไข่ไก่สดๆ จากไร่จากฟาร์มเลยจ้า ขายพิเศษ ลดกระหน่ำ มิหนำซ้ำยังแถมอีกจ้า...ไข่ไก่จ้า ไข่-”
เด็กสาวลำธารตะโกนคอลโทรลแข่งกับแม่ค้าคนอื่นๆ ด้วยน้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ จนลูกค้าหลายคนต้องหันมามอง และเหลียวตาม อีกทั้งยังนึกทึ่งต่อความสามารถพิเศษของเจ้าหล่อนที่ดังตั้งแต่หัวตลาดยันท้ายตลาดแถมยังแบบสม่ำเสมอเลยก็ว่าได้
ใบหน้าแบบบ้านๆ แย้มยิ้มไปพร้อมๆ กับริมฝีปากหยักสวยได้รูปที่ตะโกนก้อง เชิญชวนเหล่าลูกค้าทั้งรุ่นใหญ่รุ่นเล็ก ตั้งแต่เด็กๆ ยันยายแก่หงำเหงือกที่มีเพียงไม้เท้าพยุงสังขารมาจับจ่ายซื้อของเลี้ยงชีพไปวันๆ อย่างยายเจ้ย
“หวัดดีจ๊ะ ยายเจ้ย แหมๆ วันนี้มาแต่เช้าเลยนะจ๊ะ นี่จ๊ะไข่ไก่มาใหม่ วันนี้ยายจะเอามั้ยจ๊ะ”
เด็กสาวเสนอหน้าเข้าไปถามยายเจ้ยที่พยุงสังขารวัยแปดสิบกว่ามาหยุดอยู่ตรงหน้าแผงขายของ ของเด็กสาว
“หา อะไรนะ”
นางเจ้ยเงี่ยหูฟังเสียงใสๆ ของเด็กสาวลำธารที่มันดังวิ้งๆ ห่างไกลออกไป
สาวน้อยทำหน้าเจื่อน จ้องมองหญิงชราอย่างปลดปลงในสังขาร แต่เพื่อสินค้าและรายได้ที่จะลอยเข้ามาสู่อุ้งมือน้อยๆ ของเธอ จึงลงทุนลงแรงขยับเข้าไปข้างๆ หูของคุณยายวัยเดอะ ก่อนจะรวบรวมพลังลมปราณทั้งหมดตะโกนออกไป
“ฉันบอกว่า” เน้นเสียงทุกถ้อยคำอย่างชัดเจน
“อ้อ...” ยายเจ้ยทำสีหน้าเข้าใจในที่สุด
“ยังยาย ฮ่วย ยายเด้อ”
ลำธารเกาหัวตัวเองอย่างเอือมระอา กะว่าจะบอกครั้งเดียวให้หมดเปลือก แต่คุณยายวัยเดอะกลับเอ่ยขัดให้เธอหมดมูทเสียบัดนั้น
“เอ้า เอ็งจะว่าอะไรก็ว่ามาสิ ข้ารีบ”
ยายเจ้ยทำท่าเอียงหูฟังอย่างตั้งใจ ขณะที่เด็กสาวลำธารได้ตั้งตัวใหม่อีกรอบ
อะไรมันจะยากปานนั้น กับอีแค่บอกและเชิญชวนคนให้มาซื้อของ แต่สำหรับคุณยายเจ้ยแล้ว อีหนูลำธารกลับบอกได้คำเดียวว่า ไม่ ไม่เพียงคำเดียวเลยจ้า
“ยายเจ้ย ยายฟังให้ดีนะ ฉันจะบอกว่า วันนี้ยายจะซื้อไข่ไก่กี่ฟองจ๊ะ ไข่ไก่สดๆ จากฟาร์มลุงบุญมาเลยจ๊ะ วันนี้ฉันแถมให้ยายเป็นพิเศษเลยก็ได้เอ้า”
อุตส่าห์เน้นเสียงเสียดิบดี หากแต่คุณยายวัยเดอะกลับทำหน้าไม่เข้าใจ ก่อนจะตะโกนใส่หูของเด็กสาวลำธารเสียงดังลั่น เพราะคิดว่าคุณหล่อนไม่ได้ยินเหมือนกัน
“หา ว่าอะไรนะ”
ดั่งสวรรค์สาป นรกสั่ง เวรมกรรมซัด ฉันท์ใด ที่ให้ได้พบพานกัน เด็กสาวจอมแก่นใบหน้าซีดเผือด สองหูได้ยินแต่เสียงระฆังบนหอพระดังวิ้งๆ ไปมาอยู่ในหู
“ยาย กะจะให้หูของฉันหนวกเหมือนยายเลยหรือไง”
หลังจากที่ตั้งสติได้แล้ว ลำธารจึงเอ็ดตะโรเป็นการใหญ่ สองตามองจิกคุณยายเจ้ยที่ดันยืนเสนอหน้าเหี่ยวๆ แถมยังกระพริบตาปริบๆ มองเจ้าหล่อนอย่างน่าสงสาร พาลพาให้ลำธารที่กะว่าจะด่าให้แหลกต้องเปลี่ยนความคิดของตนเองเสียใหม่อย่างนึกสงสารต่อกิริยาเหล่านั้นไปด้วย
กะว่าจะตะโกนให้มันกู่ก้องไปทั่วตลาดให้มันสมกับความแค้นเคืองในหัวใจ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของคุณยายแล้ว เธอจึงเปลี่ยนเป็นเบาคีย์เสียงลงอย่างรวดเร็ว
“ยาย พูดเบาๆ ก็ได้ ฉันได้ยินอยู่ นี่เล่นตะโกนใส่หูของฉัน หูฉันจะหนวกไหมนี่ ยายลำธารเอ้ย”
“อะไรนะนังลำธาร ให้ข้าตะโกนดังๆ อีกหรือ ได้...ดะ-”
“พอๆ ยาย พอแล้วจ้า พอแล้ว สาธุ พอเถอะนะ”
เด็กสาวจอมแก่นยกมือท่วมหัว ขณะที่ยายเจ้ยเปิดยิ้มรับเป็นครั้งแรก เฮ้อ...อย่างน้อยมันก็ยังนอบน้อมต่อข้า
“เออ...ไหวพระเถอะ นังหนู”
คุณยายยังอุตส่าห์ยกมือขึ้นรับไหว้ของเด็กสาวด้วยท่าทีที่ยิ้มแย้มอีกนะ
เห็นท่าทีของคุณยายเจ้ยแล้วเด็กสาวก็นึกท้อ เธอหันหลังกะว่าจะไปสมทบกับเพื่อนหนุ่มที่แอบมองเธอด้วยสายตาขบขัน หากแต่พระเจ้ายังคิดที่จะแกล้ง เมื่อคุณยายยังอุตส่าห์นำมืออันเหี่ยวๆ มาจับแขนของเธอเอาไว้แน่นอีก
“เออ...นังหนู เดี๋ยวก่อน”
เสียงนั้นสั่นและแหบพร่าตามระยะเวลาของสังขารที่ร่วงโรยไป
เม็ดเหงื่อเม็ดโปงๆ ผุดขึ้นเต็มหน้าผากกลมมนนั้น เด็กสาวลำธารแสดงสีหน้าชนิดหนึ่งออกมาทางสายตา พร้อมกับอารมณ์รันทดท้อในหัวใจ
พูดกับคนแก่ ทำไมมันยากอย่างนี้เนี้ย นังลำธารอยากจะตายโว้ย เด็กสาวตะโกนกู่ก้องอยู่ในใจ ก่อนจะหันใบหน้ากลมแบน กลับมาหายายเฒ่ามหาภัยอีกครั้ง
“ยายว่าอะไรนะจ๊ะ”
พยายามจะปั้นสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด ถึงแม้มันจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ตาม
“หาอะไรนะ”
อุตส่าห์เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
“ฉันถามว่า เมื่อกี้ยายว่าอะไรนะจ๊ะ”
แม่หนูลำธารสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด แล้วถามออกมาเสียงใส ย้ำนะเจ้าคะ เสียงใสนะจ๊ะ
“ข้าหิวน้ำ”
คุณยายก็ตอบเสียงใสเหมือนกัน หากแต่ลำธารกลับแสดงสีหน้าหนักใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
เอาอีกแล้วนังลำธาร แกมิน่าเสือกเข้ามาถามยายเฒ่าเจ้ยนี่เล้ย...เป๊ะ เหมือนเมื่อวานเด๊ะเลย ไม่เชื่อก็ฟังคำต่อมาของแกดูดิ
“พาข้าเข้าไปนั่งที่แผงของเอ็งหน่อยสิ ข้าเดินมาไกล เมื่อยและก็หิวน้ำมากด้วย”
ลำธารมองใบหน้าเหี่ยวๆ ของยายเจ้ย เฒ่ามหาภัยแล้วก็คิดถึงวีรกรรมอันสุดแสนจะสวยงามของคุณยาย
ร่างเหี่ยวๆ มีแต่หนังหุ้มกระดูก หลังงองุ้ม ผมสีขาวทั่วทั้งหนังหัวถูกเกล้าม้วนเอาไว้ที่กลางกระหม่อม ค่อยๆ เดินชันไม้เท้าออกจากแผงขายไข่ไก่ของลำธาร หากแต่โชคชะตากลับพลิกกลับไปกลับมาแปดตลบ เมื่อไม้เท้ามหากุศลกรรมดันไปยันถูกเปลือกกล้วยที่พื้น ส่งผลให้ร่างเหี่ยวๆ นั้นถลาร่อนลงสู่แผงไข่ไก่สีห้าแผงตกแตกกระจาย พร้อมกับร่างของเด็กสาวคนหนึ่งที่ตะโกนร้องลั่น ใบหน้าซีดเผือด
“คุณพระ!! พุทโธ ธัมโม สังโฆ”
ลำธารลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็ต้องตกใจ เมื่อยายเจ้ยยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับยิ้มยิงฟันอย่างสยดสยอง
“ว้าย..ย้าย...”
“เอ็งจะร้องไปทำไมวะ ข้าตกอกตกใจหมด”
“ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยนะยาย ว่าคนที่ทำให้ฉันตกใจจะเป็นยายนั่นแหละ”
เด็กสาวเกาหัวตัวเองบ่นพึมอย่างเหลืออด
เพื่อแสดงความมีน้ำใจ ลำธารจึงพายายเจ้ยเดินมานั่งพักเหนื่อยอยู่ที่แผงพร้อมกับอาการเสียวไส้กลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีกรอบ
หากแต่การคาดเดาของเด็กสาวกลับผิดถนัด เพราะจวบจนเวลาเกือบสิบนาทีที่ยายเจ้ย นั่งอยู่ตรงนั้น นางไม่ได้สร้างเรื่องทุกข์อกทุกข์ใจให้กับลำธารสักนิด จวบจนเด็กสาวได้ถามคุณยายอีกรอบกับเรื่องเสนอขายสินค้าของคุณเธอด้วยคำถามอันแสนจะเฟอร์เฟ็กต์นั่นแหละ แล้วคำตอบที่ตอบกลับมาของคุณยายจะเป็นอย่างไร เราไปชมกัน
“เปล้า” อุตส่าห์ลากเสียงสูงอย่างกระแดะ “วันนี้ข้าไม่อยากจะกินไข่ไก่หรอก แต่ข้าอยากจะกินไข่เป็ด เอ็งมีขายไหม”
จบข่าว!!!
นางเอกเรื่องนี้แปลกกว่าเรื่องอื่นๆ คืออยากจะเขียนให้คุณเธอสวยแบบบ้านๆ อ่ะ...บ้านๆ เป็นอย่างไรนั้น ยังไงก็ฝากติชมด้วยนะครับ
พายุ...
****
เล่ห์กล มนต์รัก
ตอนที่ ๑
สายลมยามเช้าพัดหวนเย็นสบาย ภาพเบื้องหน้าคือพื้นที่ราบที่ลาดไปตามไหล่เขา แล้วไปบรรจบกันกับสันดอนที่ตั้งอยู่ภายในพื้นที่ดังกล่าว เสมือนจุดศูนย์กลางเลยก็ว่าได้ บนสันดอนที่ว่านี่แหละที่มีตัวอาคารรูปทรงยุโรป ที่ทาด้วยสีเนื้อ หลังคามุงด้วยกระเบื้องสีเขียวอ่อน เหมือนจะเป็นจุดเด่นมากที่สุดของอาณาบริเวณเหล่านั้น
จุดที่ตั้งเป็นตัวอาคารนั้นมีถนนวางพาดผ่านลงไปสู่พื้นที่ราบด้านล่างอย่างสะดวก
ถัดออกไปจากสันดอนที่ตั้งของตัวอาคารนั้น เป็นพื้นที่ราบโล่งที่ยังมีเหล่าพืชพรรณหลากหลายชนิดปลูกเป็นแปลงและโรงเรือน สลับกันไปจนจรดกับตีนเขาอีกด้านหนึ่ง ที่ทั้งทะมึนเสมือนกำแพงที่คอยโอบล้อมอาณาบริเวณแห่งนี้เอาไว้ในอ้อมแขนของขุนเขาอีกทีหนึ่ง
ภาพเบื้องหน้าช่างสวยงามนัก เหมาะสำหรับเป็นที่พักกายและพักหัวใจของใครหลายๆ คน ได้เป็นอย่างดี
ไร่กรกรัช...
ที่ตรงจุดนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่ง ใบหน้าคร้ามคมหล่อเหลา ถ้าหากใครจะมองเข้าไปในดวงตาคู่คมนั้น ก็จะมองเห็นรอยหม่นเศร้าเคลือบแฝงอยู่ รอยยิ้มจางๆ บ่งบอกถึงความรู้สึกพึงพอใจ ถึงแม้ลึกๆ แล้วเขาจะยังอยู่ในห้วงอารมณ์ที่เสียใจอยู่ก็ตาม
เกือบหนึ่งปีเต็มที่เขาได้มาพัฒนาที่นี่ คิดแล้วก็น่าใจหาย ที่เวลามันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ซึ่งเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองได้ก้าวผ่านห้วงเวลาเหล่านั้นมาได้อย่างไร
เศร้า เสียใจ และห้วงอารมณ์ของความผิดหวัง คือความรู้สึกที่ติดตัวของเขาเสมอมานับตั้งแต่วันแรกที่เขามาอยู่ที่นี่
“แม่มีเพื่อนอยู่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เขามีอาชีพทำไร่สวนผสม แต่ด้วยพิษเศรษฐกิจ เขาจึงต้องการที่จะขายที่แห่งนั้น เพื่อจะนำมาผ่อนชำระหนี้สินที่ติดค้างเอาไว้ แม่ว่าเราน่าจะซื้อเอาไว้นะ ชื่อไรนั้นว่า ไร่กรกรัช บางที ถ้าหากลูกไปอยู่ที่นั่นสักพัก ลูกอาจจะลืมเรื่องราวทางนี้ได้บ้างนะ”
น้ำเสียงของคุณหญิงรุจิรางค์ดังชัดเจน ไร่กรกรัช ฐติวัธน์ทวนชื่อนั้นอยู่ในใจ ใบหน้าหล่อคมหม่นเศร้า ห้วงอารมณ์ผิดหวังถูกฉายอย่างชัดเจน
“เชื่อแม่ ก็อย่างที่แม่เคยบอกลูกเอาไว้ยังไงล่ะว่า ถ้าหากสิ่งไหนที่มันถูกสร้างมาเพื่อคู่กันกับลูกแล้ว ต่อให้อยู่ไกลมากแค่ไหนมันก็จะเดินมาหาเราเอง ฐติวัธน์ แม่เข้าใจหัวใจของลูกนะ ถึงลูกจะรักเขามากแค่ไหน หากเขาไม่ได้มีใจให้กับเรา หรือรักเรา ต่อให้เอาเทวดาบนชั้นฟ้าหรือพญายมราชจากนรกภูมิมาบังคับ เขาก็ไม่มีวันรักเราได้หรอก เชื่อแม่สิลูก ตัดใจจากเธอซะ ให้ถือเสียว่าเธอเป็นน้องสาวของลูก ยังไงเธอก็มีความสุขไปแล้ว ลูกควรจะดีใจไปกับเธอไม่ใช่หรือ อย่าทำเป็นเศร้าแบบนี้สิฐติวัธน์ ชีวิตของคนเรามันจะต้องสู้ แม่เชื่อว่าลูกของแม่จะต้องกลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิมได้อีกแน่”
น้ำเสียงให้กำลังใจของผู้เป็นแม่ดังก้องอยู่ในหัวใจ และนั่นก็ได้เป็นแรงผลักดันให้เขามาอยู่ที่นี่ในเวลาต่อมา เพื่อที่จะได้ตั้งต้นกับชีวิตใหม่
ไร่กรกรัช แห่งนี้คือชีวิตใหม่สำหรับเขา ชายหนุ่มบอกกับหัวใจของตัวเอง
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยลืมเรื่องราวและความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อกัญจนา หรือกันเกรา หากแต่เมื่อเขาได้ทำงานและดูแลธุรกิจส่วนตัว นั่นก็คืองานทุกอย่างในไร่ที่จะต้องเข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิดแล้ว มันก็พอที่จะทำให้ชายหนุ่มทุเราความเจ็บปวดอย่างที่เคยเป็นมาไปได้บ้าง
ถึงแม้ว่าจะไม่มาก ขอแค่ให้เขาหยุดคิดถึงเรื่องเหล่านี้ไปชั่วขณะก็ยังดี
หมวกปีกสานสีน้ำเงินเข้มถูกยกขึ้นสวมที่ศีรษะอีกครั้ง ชายหนุ่มแอบยิ้มกับสภาพของตัวเองที่อยู่ในชุดของหนุ่มชาวไร่อย่างเต็มตัว ก็เพิ่งรู้ ว่านักธุรกิจระดับแนวหน้าอย่างเขาจะสามารถแปลงร่างมาเป็นคาวบอยชาวไร่ได้
ร่างสูงเคลื่อนตัวไปตามทางถนนที่ลาดลงสู่พื้นที่เบื้องล่างอย่างเชื่องช้า สองข้างทางคือไร่ชาเขียวที่กำลังแตกยอดชื่นชมกับแสงอาทิตย์กันทั่วหน้า โดยมีเหล่าคนงานห้าถึงหกคนกำลังก้มหน้าก้มตาเก็บยอดชาเหล่านั้นใส่ลงในกระบุงบนหลังอย่างขยันขันแข็ง
ถึงแม้จะเปลี่ยนเจ้าของใหม่ แต่ฐติวัธน์ก็ไม่ได้ไล่หรือปลดคนงานออก เพราะเขาเข้าใจ คนงานเหล่านี้ทำงานอยู่กับไร่ทั้งวันทั้งคืน ถ้าพวกเขาหมดหนทางทำกินแล้ว พวกเขาจะไปทำอะไร
บ้างก็รับภาระของครอบครัว บ้างก็รับภาระส่งเสียบุตรหลาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ต้องการเงินทั้งหมด พอเมื่อหัวหน้าครอบครัวหรือไม่ก็คนที่หาเงินเลี้ยงครอบครัวหมดที่ทำมาหากินอะไรมันจะเกิดขึ้น พวกเขาจะเอาเงินที่ไหนไปจุนเจือครับครัวให้อยู่รอดต่อไปล่ะ
ด้วยความกรุณาเหล่านี้ ทำให้คนงานในไร่ต่างจึงซาบซึ้งในบุญคุณของเจ้านายคนใหม่ และก็ไม่ผิดเลยที่พวกเขาต่างทำงานให้กับฐติวัธน์อย่างซื่อสัตย์ และไม่อิดเอื้อนอะไรทั้งสิ้น
เสียงทักทายจากเหล่าคนงานดังประสานเสียงกันเมื่อชายหนุ่มเดินผ่านไปตรงไหน เหล่าคนงานก็มักจะทักทายเขาอย่างอารมณ์ดีทุกครั้งไป
มันเป็นเช่นนี้ทุกวันที่เขาจะต้องออกตรวจงานในไร่ทุกๆ เช้า เพื่อจะสำรวจถึงสภาพปัญหาในด้านต่างๆ และเพื่อจะนำมาแก้ไขได้อย่างทันท่วงที
“นายครับ นาย”
ชายกลางคน วัยประมาณสี่สิบวิ่งหน้าตั้งตรงมาที่ชายหนุ่มยืนอยู่ ฐติวัธน์หันไปทางนั้นด้วยความสงสัย
“เกิดอะไรขึ้นรึ นายดำ”
พร้อมกับเสียงที่แสดงความแปลกใจ ชายหนุ่มก็ได้รุดตรงไปหาชายคนนั้น จากท่าทีของนายดำแล้ว คงจะเป็นเรื่องด่วนอีกเป็นแน่
“คือ เกิดเรื่องที่โรงเรือนเลี้ยงไก่ของเราครับ”
นายดำเอ่ยด้วยน้ำเสียงปนหอบ ขณะที่เจ้านายหนุ่มรีบสอบถามกลับไปด้วยสีหน้าที่ร้อนรนไม่แพ้กัน
“มันเกิดอะไรขึ้นกับที่นั่น นายดำ บอกมาเร็ว”
“ผมว่านายไปดูด้วยตาของตัวเองจะดีกว่านะครับ”
ว่าแล้วคนงานคนนั้นก็หมุนตัวนำไปในทันที โดยมีฐติวัธน์ที่รีบวิ่งตามไปด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยอาการร้อนรนปนสงสัย
มันเกิดอะไรขึ้นกับโรงเรือนเลี้ยงไก่ของเขา...
****
ตลาดเช้าระดับตำบล บัดนี้มีเหล่าชาวบ้านทั้งชายและหญิงต่างออกมาจับจ่ายซื้อของในการประกอบอาหารเช้าของวันนี้และมื้อถัดๆ ไปกันอย่างหนาแน่น
เสียงเอ็ดตะโรดังอยู่อย่างต่อเนื่องมาจากเหล่าแม่ค้า พ่อค้า ที่ต่างกำลังตะโกนคอลโทรล เรียกเหล่าลูกค้าให้เข้ามาซื้อของที่แผงของตน
ในบรรดาแผงขายของเหล่านั้น มีเด็กสาวคนหนึ่ง หน้าตาเรียบๆ บ้านๆ ผมของเธอยาวสลวยถูกรวบเอาไว้ข้างหลังอย่างเรียบง่าย อยู่ในชุดเสื้อยืดกลางเก่ากลางใหม่ และกางเกงยีนส์สีเรียบสมกับความกะโปโลที่มักจะฉายออกมาทางสีหน้าและแววตา
“ไข่ไก่จ้า ไข่ไก่สดๆ ใหม่ๆ จากไร่เลยจ้า”
ความสามารถในการเรียกลูกค้าของเธอดูเหมือนจะประสบผลสำเร็จได้เป็นอย่างดี เพราะบัดนี้กำลังมีลูกค้าอยู่หลายคนที่ต่างมายืนมุงดูสินค้าของเธออย่างสนใจ
“ฟองละสามบาท สองฟองห้าจ๊ะ แต่ถ้าหากป้าซื้อสิบฟองขึ้นไปฉันจะลดให้อย่างพิเศษเลยจ้า”
เด็กสาวสื่อสารกับลูกค้าอย่างเป็นกันเอง เมื่อป้าคนหนึ่ง เลือกไข่ไก่ใส่ลงในตะกร้าจำนวนมาก นับได้น่าจะสิบฟองขึ้นไปแล้วมั้ง
“ป้าเอาโหลนึง เอ็งจะขายเท่าไรล่ะ”
“ฉันให้โหลสามสิบจ้า นี่ลดสุดๆ แล้วนะจ๊ะ ไม่เชื่อไปถามแม่ค้าแถวนี้เลยก็ได้ อ้อ ฉันแถมให้อีกฟอง ไอ้หมอก ใส่ถุงให้ป้าทีซิ” ประโยคหลังเด็กสาวได้หันไปสั่งเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งมองคำโอภาปราศรัยของเพื่อนสาวที่ไปได้แบบน้ำไหลไฟดับ
ไอหมอก หรือที่เพื่อนสาวชอบเรียกอย่างไม่ถนอมน้ำใจสักเท่าไรว่า ไอ้หมอก ลุกขึ้นแล้วจัดการนำไข่ไก่ฟองใหญ่ใส่ไปลงในถุง แล้วส่งให้กับลูกค้า ก่อนจะได้รับเงินตอบกลับมา
“ขอบใจนะป้านะ คราวหน้าอย่าลืมมาอุดหนุนพวกเราอีกนะ”
หนุ่มไอหมอกเอ่ยบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ทางนี้จ๊ะ น้าๆ ป้าๆ ไข่ไก่สดๆ จากไร่จากฟาร์มเลยจ้า ขายพิเศษ ลดกระหน่ำ มิหนำซ้ำยังแถมอีกจ้า...ไข่ไก่จ้า ไข่-”
เด็กสาวลำธารตะโกนคอลโทรลแข่งกับแม่ค้าคนอื่นๆ ด้วยน้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ จนลูกค้าหลายคนต้องหันมามอง และเหลียวตาม อีกทั้งยังนึกทึ่งต่อความสามารถพิเศษของเจ้าหล่อนที่ดังตั้งแต่หัวตลาดยันท้ายตลาดแถมยังแบบสม่ำเสมอเลยก็ว่าได้
ใบหน้าแบบบ้านๆ แย้มยิ้มไปพร้อมๆ กับริมฝีปากหยักสวยได้รูปที่ตะโกนก้อง เชิญชวนเหล่าลูกค้าทั้งรุ่นใหญ่รุ่นเล็ก ตั้งแต่เด็กๆ ยันยายแก่หงำเหงือกที่มีเพียงไม้เท้าพยุงสังขารมาจับจ่ายซื้อของเลี้ยงชีพไปวันๆ อย่างยายเจ้ย
“หวัดดีจ๊ะ ยายเจ้ย แหมๆ วันนี้มาแต่เช้าเลยนะจ๊ะ นี่จ๊ะไข่ไก่มาใหม่ วันนี้ยายจะเอามั้ยจ๊ะ”
เด็กสาวเสนอหน้าเข้าไปถามยายเจ้ยที่พยุงสังขารวัยแปดสิบกว่ามาหยุดอยู่ตรงหน้าแผงขายของ ของเด็กสาว
“หา อะไรนะ”
นางเจ้ยเงี่ยหูฟังเสียงใสๆ ของเด็กสาวลำธารที่มันดังวิ้งๆ ห่างไกลออกไป
สาวน้อยทำหน้าเจื่อน จ้องมองหญิงชราอย่างปลดปลงในสังขาร แต่เพื่อสินค้าและรายได้ที่จะลอยเข้ามาสู่อุ้งมือน้อยๆ ของเธอ จึงลงทุนลงแรงขยับเข้าไปข้างๆ หูของคุณยายวัยเดอะ ก่อนจะรวบรวมพลังลมปราณทั้งหมดตะโกนออกไป
“ฉันบอกว่า” เน้นเสียงทุกถ้อยคำอย่างชัดเจน
“อ้อ...” ยายเจ้ยทำสีหน้าเข้าใจในที่สุด
“ยังยาย ฮ่วย ยายเด้อ”
ลำธารเกาหัวตัวเองอย่างเอือมระอา กะว่าจะบอกครั้งเดียวให้หมดเปลือก แต่คุณยายวัยเดอะกลับเอ่ยขัดให้เธอหมดมูทเสียบัดนั้น
“เอ้า เอ็งจะว่าอะไรก็ว่ามาสิ ข้ารีบ”
ยายเจ้ยทำท่าเอียงหูฟังอย่างตั้งใจ ขณะที่เด็กสาวลำธารได้ตั้งตัวใหม่อีกรอบ
อะไรมันจะยากปานนั้น กับอีแค่บอกและเชิญชวนคนให้มาซื้อของ แต่สำหรับคุณยายเจ้ยแล้ว อีหนูลำธารกลับบอกได้คำเดียวว่า ไม่ ไม่เพียงคำเดียวเลยจ้า
“ยายเจ้ย ยายฟังให้ดีนะ ฉันจะบอกว่า วันนี้ยายจะซื้อไข่ไก่กี่ฟองจ๊ะ ไข่ไก่สดๆ จากฟาร์มลุงบุญมาเลยจ๊ะ วันนี้ฉันแถมให้ยายเป็นพิเศษเลยก็ได้เอ้า”
อุตส่าห์เน้นเสียงเสียดิบดี หากแต่คุณยายวัยเดอะกลับทำหน้าไม่เข้าใจ ก่อนจะตะโกนใส่หูของเด็กสาวลำธารเสียงดังลั่น เพราะคิดว่าคุณหล่อนไม่ได้ยินเหมือนกัน
“หา ว่าอะไรนะ”
ดั่งสวรรค์สาป นรกสั่ง เวรมกรรมซัด ฉันท์ใด ที่ให้ได้พบพานกัน เด็กสาวจอมแก่นใบหน้าซีดเผือด สองหูได้ยินแต่เสียงระฆังบนหอพระดังวิ้งๆ ไปมาอยู่ในหู
“ยาย กะจะให้หูของฉันหนวกเหมือนยายเลยหรือไง”
หลังจากที่ตั้งสติได้แล้ว ลำธารจึงเอ็ดตะโรเป็นการใหญ่ สองตามองจิกคุณยายเจ้ยที่ดันยืนเสนอหน้าเหี่ยวๆ แถมยังกระพริบตาปริบๆ มองเจ้าหล่อนอย่างน่าสงสาร พาลพาให้ลำธารที่กะว่าจะด่าให้แหลกต้องเปลี่ยนความคิดของตนเองเสียใหม่อย่างนึกสงสารต่อกิริยาเหล่านั้นไปด้วย
กะว่าจะตะโกนให้มันกู่ก้องไปทั่วตลาดให้มันสมกับความแค้นเคืองในหัวใจ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของคุณยายแล้ว เธอจึงเปลี่ยนเป็นเบาคีย์เสียงลงอย่างรวดเร็ว
“ยาย พูดเบาๆ ก็ได้ ฉันได้ยินอยู่ นี่เล่นตะโกนใส่หูของฉัน หูฉันจะหนวกไหมนี่ ยายลำธารเอ้ย”
“อะไรนะนังลำธาร ให้ข้าตะโกนดังๆ อีกหรือ ได้...ดะ-”
“พอๆ ยาย พอแล้วจ้า พอแล้ว สาธุ พอเถอะนะ”
เด็กสาวจอมแก่นยกมือท่วมหัว ขณะที่ยายเจ้ยเปิดยิ้มรับเป็นครั้งแรก เฮ้อ...อย่างน้อยมันก็ยังนอบน้อมต่อข้า
“เออ...ไหวพระเถอะ นังหนู”
คุณยายยังอุตส่าห์ยกมือขึ้นรับไหว้ของเด็กสาวด้วยท่าทีที่ยิ้มแย้มอีกนะ
เห็นท่าทีของคุณยายเจ้ยแล้วเด็กสาวก็นึกท้อ เธอหันหลังกะว่าจะไปสมทบกับเพื่อนหนุ่มที่แอบมองเธอด้วยสายตาขบขัน หากแต่พระเจ้ายังคิดที่จะแกล้ง เมื่อคุณยายยังอุตส่าห์นำมืออันเหี่ยวๆ มาจับแขนของเธอเอาไว้แน่นอีก
“เออ...นังหนู เดี๋ยวก่อน”
เสียงนั้นสั่นและแหบพร่าตามระยะเวลาของสังขารที่ร่วงโรยไป
เม็ดเหงื่อเม็ดโปงๆ ผุดขึ้นเต็มหน้าผากกลมมนนั้น เด็กสาวลำธารแสดงสีหน้าชนิดหนึ่งออกมาทางสายตา พร้อมกับอารมณ์รันทดท้อในหัวใจ
พูดกับคนแก่ ทำไมมันยากอย่างนี้เนี้ย นังลำธารอยากจะตายโว้ย เด็กสาวตะโกนกู่ก้องอยู่ในใจ ก่อนจะหันใบหน้ากลมแบน กลับมาหายายเฒ่ามหาภัยอีกครั้ง
“ยายว่าอะไรนะจ๊ะ”
พยายามจะปั้นสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด ถึงแม้มันจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ตาม
“หาอะไรนะ”
อุตส่าห์เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
“ฉันถามว่า เมื่อกี้ยายว่าอะไรนะจ๊ะ”
แม่หนูลำธารสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด แล้วถามออกมาเสียงใส ย้ำนะเจ้าคะ เสียงใสนะจ๊ะ
“ข้าหิวน้ำ”
คุณยายก็ตอบเสียงใสเหมือนกัน หากแต่ลำธารกลับแสดงสีหน้าหนักใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
เอาอีกแล้วนังลำธาร แกมิน่าเสือกเข้ามาถามยายเฒ่าเจ้ยนี่เล้ย...เป๊ะ เหมือนเมื่อวานเด๊ะเลย ไม่เชื่อก็ฟังคำต่อมาของแกดูดิ
“พาข้าเข้าไปนั่งที่แผงของเอ็งหน่อยสิ ข้าเดินมาไกล เมื่อยและก็หิวน้ำมากด้วย”
ลำธารมองใบหน้าเหี่ยวๆ ของยายเจ้ย เฒ่ามหาภัยแล้วก็คิดถึงวีรกรรมอันสุดแสนจะสวยงามของคุณยาย
ร่างเหี่ยวๆ มีแต่หนังหุ้มกระดูก หลังงองุ้ม ผมสีขาวทั่วทั้งหนังหัวถูกเกล้าม้วนเอาไว้ที่กลางกระหม่อม ค่อยๆ เดินชันไม้เท้าออกจากแผงขายไข่ไก่ของลำธาร หากแต่โชคชะตากลับพลิกกลับไปกลับมาแปดตลบ เมื่อไม้เท้ามหากุศลกรรมดันไปยันถูกเปลือกกล้วยที่พื้น ส่งผลให้ร่างเหี่ยวๆ นั้นถลาร่อนลงสู่แผงไข่ไก่สีห้าแผงตกแตกกระจาย พร้อมกับร่างของเด็กสาวคนหนึ่งที่ตะโกนร้องลั่น ใบหน้าซีดเผือด
“คุณพระ!! พุทโธ ธัมโม สังโฆ”
ลำธารลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็ต้องตกใจ เมื่อยายเจ้ยยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับยิ้มยิงฟันอย่างสยดสยอง
“ว้าย..ย้าย...”
“เอ็งจะร้องไปทำไมวะ ข้าตกอกตกใจหมด”
“ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยนะยาย ว่าคนที่ทำให้ฉันตกใจจะเป็นยายนั่นแหละ”
เด็กสาวเกาหัวตัวเองบ่นพึมอย่างเหลืออด
เพื่อแสดงความมีน้ำใจ ลำธารจึงพายายเจ้ยเดินมานั่งพักเหนื่อยอยู่ที่แผงพร้อมกับอาการเสียวไส้กลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีกรอบ
หากแต่การคาดเดาของเด็กสาวกลับผิดถนัด เพราะจวบจนเวลาเกือบสิบนาทีที่ยายเจ้ย นั่งอยู่ตรงนั้น นางไม่ได้สร้างเรื่องทุกข์อกทุกข์ใจให้กับลำธารสักนิด จวบจนเด็กสาวได้ถามคุณยายอีกรอบกับเรื่องเสนอขายสินค้าของคุณเธอด้วยคำถามอันแสนจะเฟอร์เฟ็กต์นั่นแหละ แล้วคำตอบที่ตอบกลับมาของคุณยายจะเป็นอย่างไร เราไปชมกัน
“เปล้า” อุตส่าห์ลากเสียงสูงอย่างกระแดะ “วันนี้ข้าไม่อยากจะกินไข่ไก่หรอก แต่ข้าอยากจะกินไข่เป็ด เอ็งมีขายไหม”
จบข่าว!!!
พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ต.ค. 2554, 19:37:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ต.ค. 2554, 19:37:01 น.