เรื่อง สั้น...สั้น
เป็นเรื่องสั้นที่วนเวียนอยู่กับเรื่องของสังคม ศีลธรรม และสถาบันครอบครัว
ความถี่ห่างขึ้นอยู่กับแรงบันดาลใจในช่วงเวลานั้น

อาจจะไม่ค่อยใช่แนวของ Sirinda-stories สักเท่าไร แต่อยากจะเก็บไว้ที่เวปนี้ด้วยค่ะ
Tags: เรื่องสั้น

ตอน: หนาว

เสียงทุบโต๊ะปึงๆ ทำให้เสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ภายในห้องประชุมขององค์การบริหารส่วนตำบลเงียบกริบในทันที


“ผลการเปิดซองประกวดราคาจัดซื้อจัดจ้างสร้างสะพานแห่งใหม่ข้ามคลองชลประทาน ผู้ชนะการประกวดราคาคือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด พิทักษ์ ก่อสร้าง นะครับ”


สิ้นการประกาศของนายกองค์การบริหารส่วนตำบลซึ่งนั่งเป็นประธานอยู่หัวโต๊ะ เสียงผู้คนในห้องประชุมก็ดังขรมอีกครั้ง มีทั้งโห่ฮาและวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นาๆ


“เอาล่ะครับ ผมขอจบขั้นตอนและวิธีการของวันนี้แต่เพียงเท่านี้ ส่วนจะเริ่มทำสัญญาเมื่อไร ทาง อบต. จะนัดวันและเวลาอีกทีนะครับ ปิดการประชุม” ว่าจบ ท่านนายกฯก็ลุกขึ้นและเดินออกจากห้องประชุมทันทีโดยมีเลขานุการของที่ประชุมก้าวยาวๆ ตามไปด้วย


ผู้คนเริ่มทะยอยกันออกไปจนบางตาเหลือเพียงชายสี่ห้าคนในที่แห่งนี้เท่านั้น เมื่อเห็นผู้คนเหลือน้อย ร่างหนาใหญ่กร้านแดดลมของนายพิสิษฐ์ ชายวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าของห้างหุ้นส่วนที่ชนะการประกวดราคาก็ลุกจากเก้าอี้ เขาเดินอ้อมโต๊ะของห้องประชุมที่วางเรียงเป็นรูปเกือกม้ามุ่งหน้าไปหาร่างอ้วนลงพุงของชายชราที่นั่งฝั่งตรงกันข้าม ยิ้มกริ่มให้กับชายที่ยังไม่มีแรงลุกเพราะความพลาดหวัง


“เสียใจด้วยนะครับหลงจู๊ คราวหน้าค่อยสู้กันใหม่ แต่ก็อย่างว่าล่ะครับ บางทีเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมเราก็ควรจะตัดทอนกำไรส่วนตัวลงไปบ้าง อย่างไรซะผมก็ขอขอบคุณในความโลภ เอ้อ! จะว่ายังไงดีนะ ในความ... เอาเถอะ จะเพราะอะไรก็ตามแต่ก็ขอบคุณที่ทำให้ผมชนะอีกครั้งนะครับ” นายพิสิษฐ์เยาะเย้ยจบก็หัวเราะร่าเสียงดังแล้วเดินจากไปโดยไม่สนใจชายที่ตนเพิ่งสนทนาด้วย ซึ่งบัดนี้หน้าที่เคยขาวเหลืองกลับกลายเป็นสีแดงก่ำจนน่าห่วงว่าเส้นเลือดในสมองจะแตกเพราะแรงสูบฉีดจากความโกรธจัด


“ไอ้พิสิษฐ์มันหยามอั๊วะ! “ นายไช้คำรามรอดไรฟันที่กัดกรอด โกรธเกรี้ยวหัวใจเต้นกระหน่ำ รู้สึกได้ถึงแรงลมที่ดันออกทางสองหูจนอื้ออึง ข้อมือเกร็งแน่นด้วยความแค้นกำหมัดราวกับจะขยี้บางสิ่งให้แหลกลาญคามือ


ชายแก่ก้าวขึ้นไปนั่งทางตอนหลังของรถยนต์โอ่อ่าคันใหญ่ มืออ้วนล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าหนีบสีดำของตน กดหมายเลขลงไปด้วยมืออันสั่นระริกจากอารมณ์ที่ยังโกรธกรุ่น ไม่นานปลายสายก็ตอบรับ


“อาเปียว นี่เฮียไช้นะ อั๊วะมีเรื่องจะขอความช่วยเหลือ อั๊วะอยากเก็บไอ้พิสิษฐ์ ลื้อพอจะมีมือปืนเจ๋งๆ สักคนมั้ย? “ นายไช้กรอกเสียงใส่โทรศัพท์ด้วยถ้อยคำอาฆาตมาดร้าย


“ช่วงนี้ตำรวจกวาดล้างหนักหายากนะเฮีย แต่มีอยู่คนนึงฝีมือดีเหมือนกันไม่รู้เฮียจะสนใจมั้ย? คือมันจะแปลกๆ หน่อย แต่เชื่อมือได้ ไม่มีรายไหนรอดจากมันเลยสักคน”


“เออ! ขอให้ไอ้พิสิษฐ์มันตายแล้วสาวมาไม่ถึงอั๊วะก็พอ อั๊วะแค้นจนจะกระอักเลือดอยู่แล้ว”

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ร่างอ้วนของหลงจู๊ชราเดินกระย่องกระแย่งเข้าไปในป่าช้าร้างท้ายวัดเมื่อเวลาพลบค่ำของอีกวันหนึ่งตามลำพัง เขาเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง มีเพียงแสงสลัวจากไฟฉายแรงต่ำส่องให้พอเห็นทางดินขรุขระเท่านั้น บรรยากาศวังเวงชวนให้ขนหัวลุกเกรียวทำเอาชายแก่หายใจได้ไม่ทั่วท้องนัก


จากคำบอกเล่าของเพื่อนอันธพาลเมื่อวันวานว่า เพชรฆาตลึกลับผู้นี้จะแวะเวียนมาที่นี่ทุกคืน วิธีการว่าจ้างอันแปลกประหลาดมีเพียงแค่ผู้จ้างใส่รูปถ่ายพร้อมชื่อและเงินสดครึ่งหนึ่งของการจ้างในห่อผ้า ไปผูกไว้ที่กิ่งต้นพิกุลต้นแรกในป่าช้าร้างแล้วจึงกลับมาอีกครั้งในวันถัดไป หากห่อผ้ายังอยู่หมายความว่าไม่รับงานแต่ถ้าไม่ก็ถือเป็นอันตกลง โดยจะไม่มีการพบปะกับผู้จ้างโดยเด็ดขาดเพื่อความปลอดภัยของนักฆ่าเอง จากนั้นผู้ว่าจ้างก็มีเพียงหน้าที่รอ...รอจนกว่ามือปืนผู้นี้จะติดต่อกลับไป


ร่างชราอ้วนกลมเขย่งปีนเพื่อผูกห่อผ้ากับกิ่งพิกุลอย่างทุลักทุเล นึกเคืองอยู่ในใจว่ากิ่งพิกุลนั้นบางนัก ลำพังห่อผ้าก็ทำให้โน้มลงมาแล้ว นับประสาอะไรกับปึกธนบัตรอีกหนึ่งแสนบาทในห่อจะไม่พาลทำเอากิ่งอ่อนนั้นหักลงมาเชียวหรือ? มือหนาชะงักแล้วเปลี่ยนใจผูกห่อผ้าไว้กับลำต้นที่อยู่สูงขึ้นไปแทน ก่อนจะจ้ำอ้าวออกมาอย่างรวดเร็วเพราะรู้สึกราวกับว่ามีดวงตาที่มองไม่เห็นเป็นสิบดวงจับจ้องไปตลอดทาง


++++++++++++++++++++++++++++++++++


ราวหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่นายไช้กลับไปพบเพียงความว่างเปล่าที่ต้นพิกุล หลงจู๊ชราได้แต่นั่งรอนอนรอการติดต่อกลับมาอย่างใจระทึก ค่าจ้างสองแสนบาทสำหรับการเด็ดหัวศัตรูคู่อาฆาตคงงามพอที่จะทำให้ไม่ถูกปฏิเสธ แต่คนแก่ใจร้อนอย่างเขากลับอดทนนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้ เขาจึงตัดสินใจโทรหานายเปียวนักเลงโตอีกครั้ง


“ว่าไงเฮียไช้? ”


“เฮ้ยมันยังไงวะเนี่ย? มันมาเอาเงินไปแล้วแต่ไม่เห็นติดต่อมาสักที นี่อั๊วะรอมาเป็นอาทิตย์แล้วนะโว้ยอาเปียว! “ ชายชราหัวเสีย


“มันคงยังไม่มีโอกาสมั้งเฮีย มันจะติดต่อมาเมื่องานเรียบร้อยแล้วน่ะ” นายเปียวตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจ


“งานสำเร็จ! มันจะสำเร็จยังไงวะ? มันจะรู้ได้ยังไงว่าให้ไปฆ่าใคร? “ หลงจู๊เสียงสูง


“เอ๊ะยังไง? ก็เฮียเอารูปกับชื่อใส่ไปในห่อผ้าแล้วไม่ใช่เหรอ? “ ปลายสายชักสงสัย


“เออสิ! ใส่ไปครบนั่นแหละ รูปอั๊วะกับชื่อ เงินก็ใส่ไปแล้ว แต่ป่านนี้มันยังไม่ติดต่อมาถามสักคำว่าอั๊วะจะให้ไปเก็บใคร” นายไช้ยังงงงวย


“เวรแล้ว! ผมหมายถึงให้ใส่รูปกับชื่อไอ้พิสิษฐ์ไม่ใช่รูปเฮีย ทีนี้จะทำยังไง? ไอ้นี่มันจะไม่ติดต่อมาจนกว่าจะฆ่าคนในรูปให้ตายได้ หน้าตามันเป็นยังไง อยู่ที่ไหนผมก็ไม่รู้ ซวยแล้วไงเฮียไช้! “ นายเปียวเสียงแหลมอย่างตื่นตระหนก


ชายชรามือไม้อ่อนปล่อยโทรศัพท์หลุดมือหล่นลงกระแทกพื้น เข่าทรุดไร้เรี่ยวแรงหงายหลังพังพาบลงไปกับเก้าอี้ไม้สักประดับมุก ความรู้สึกหนาวยะเยือกจนสั่นสะท้านยิ่งกว่าจุดเยือกแข็งไต่ลงมาจากโคนผมหยุดอยู่ที่หลังคอแล้วไล่ลงไปจนถึงปลายเล็บเท้า แต่ถึงจะหนาวเยือกเพียงไรเหงื่อเม็ดเป้งก็ยังผุดพรายทั่วทั้งตัว ชายชราแว่วเสียงฝีเท้าหนักๆ ของมัจจุราชที่เดินวนไปมาอยู่รอบกาย หลับตาลงหายใจแผ่วราวกับใกล้จะขาดใจตาย...

************************************************



กาแฟเย็น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 พ.ย. 2554, 13:07:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 พ.ย. 2554, 13:07:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 1750





   ทางสองแพร่ง >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account