เรื่อง สั้น...สั้น
เป็นเรื่องสั้นที่วนเวียนอยู่กับเรื่องของสังคม ศีลธรรม และสถาบันครอบครัว
ความถี่ห่างขึ้นอยู่กับแรงบันดาลใจในช่วงเวลานั้น

อาจจะไม่ค่อยใช่แนวของ Sirinda-stories สักเท่าไร แต่อยากจะเก็บไว้ที่เวปนี้ด้วยค่ะ
Tags: เรื่องสั้น

ตอน: เมล็ดพันธุ์ของวันข้างหน้า

ตกเย็นวันหนึ่งภายในห้องพักครูของโรงเรียนชายล้วนมีชื่อแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ชายหนุ่มผู้ซึ่งหลงเหลืออยู่เพียงผู้เดียวยังคร่ำเคร่งอยู่กับแผ่นกระดาษปึกใหญ่ที่วางอยู่ตรงหน้า คิ้วหนาขมวดเป็นปมและนิ้วใหญ่ๆ ก็ยกขึ้นขยับแว่นสายตาเป็นครั้งที่เท่าไรภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็ไม่อาจทราบได้ เขาเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ ยกแขนขึ้นชูแล้วเหยียดไปทางด้านหลังขับไล่ความเมื่อยขบ ริมฝีปากพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ หนึ่งทีก่อนจะหยัดยืนลุกขึ้นและก้มลงรวบรวมเอกสารที่วางอยู่เกลื่อนให้เป็นกองเดียวกัน


ชายหนุ่มเดินออกมาที่ระเบียงด้านหน้า แสงแดดสีส้มทอประกายบ่งบอกว่าใกล้ถึงเวลาสิ้นสุดของวันแล้ว ตาคมใต้แว่นสายตากรอบบางทอดมองสนามฟุตบอลเบื้องล่าง นักเรียนวัยทโมนหลายคนกำลังส่งเสียงโหวกเหวกกันอย่างสนุกสนาน บ้างก็วิ่งไล่กวดลูกกลมๆ ทั้งชุดนักเรียนที่ยับย่น บ้างก็ตะโกนโห่ฮากันสุดเสียง ริมฝีปากของคุณครูหนุ่มยกยิ้มอย่างชื่นบานกับภาพแห่งชีวิตชีวาที่ปรากฏอยู่ในคลองสายตา วิถีเร่งรีบในเมืองใหญ่ไม่อาจขโมยความสดใสตามธรรมชาติแห่งวัยไปได้เลย


ร่างหนาเดินเรื่อยมาจนกระทั่งถึงห้องเรียนซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของเขา เมื่อพบว่าแสงไฟยังส่องสว่างอยู่ครูหนุ่มก็มีสีหน้าแปลกใจ เขาก้าวเข้าไปในห้องแล้วก็พบกับร่างหนึ่งซึ่งยังคงก้มหน้าก้มตากับกองตำราที่สูงจนเกือบจะบังเด็กหนุ่มผู้นั้นมิด


“ทำไมยังไม่กลับบ้านอีกล่ะเกียรติก้อง? “ ครูหนุ่มถามเด็กนักเรียนภายใต้ปกครอง


เกียรติก้อง...เด็กหนุ่มผู้เงียบขรึม ผู้ซึ่งมักจะเก็บตัวและเคร่งเครียดกับการเรียนอยู่เสมอ


นักเรียนชายวัยเพิ่งแตกเนื้อหนุ่มเงยหน้าละจากงานที่กำลังทำ เขายิ้มให้ครูประจำชั้นอย่างแกนๆ ยิ้มเพียงริมฝีปากแต่ทว่าดวงตานั้นกลับว่างเปล่า


“วันนี้ที่โรงเรียนกวดวิชางดครับ ผมไม่รู้ว่าจะไปไหนก็เลยนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่นี่” เด็กหนุ่มตอบอย่างเฉยชา


“ไม่รู้จะไปไหนแล้วทำไมไม่กลับบ้านล่ะ? “ คุณครูเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยก่อนจะดึงเก้าอี้นักเรียนตัวหนึ่งออกมานั่งใกล้ๆ


“ผมไม่รู้ว่าจะรีบกลับไปทำไม? รอให้ค่ำกว่านี้ค่อยออกจากโรงเรียนไปหาอะไรกิน กินเสร็จถึงเข้าบ้านครับ” เกียรติก้องตอบ ครูหนุ่มนิ่งฟังอย่างใช้ความคิด


“เอ่อ...ครูครับ รายงานที่ผมส่งไปเป็นอย่างไรบ้างครับ? ” เด็กหนุ่มถามขึ้นเมื่อเห็นว่าผู้เป็นครูยังคงนั่งอยู่


“ก็อยู่ในเกณฑ์ดีนะ” คุณครูตอบเมื่อนึกไปถึงรายงานวิชาชีววิทยาที่เขาให้นักเรียนในชั้นทำ


เมล็ดทานตะวันถูกส่งมอบให้เด็กนักเรียนแต่ละคนคนละสามเมล็ด คุณครูหนุ่มให้เวลานักเรียนในการเฝ้าดูการเจริญเติบโตของพืชสีเขียว ก่อนเขียนอธิบายโดยรายงานส่งเขาเป็นระยะๆ และให้อภิปรายหน้าชั้นเรียนเมื่อครบเทอมการศึกษา


“แค่ดีเหรอครับ? ” เกียรติก้องมีสีหน้าเป็นกังวล


“ใช่ ดี แล้วมีอะไรที่ควรจะเป็นมากกว่านั้นหรือ? “ คุณครูย้อนถาม


“เปล่าครับ” เด็กหนุ่มหลบตา ชายหนุ่มจึงถอนหายใจออกมาหนักหน่วง


“เกียรติก้อง เธอได้คุยกับเพื่อนๆ บ้างไหมตอนที่ทำรายงานชิ้นนี้? ”


“ไม่ครับ ก็ครูให้ทำงานเดี่ยวนี่ครับ” เกียรติก้องตอบแต่นัยน์ตานั้นมีแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด


“นั่นสินะ” ครูหนุ่มพึมพำคล้ายกับพูดกับตัวเอง


เมื่อจบการสนทนาครูประจำชั้นก็ยังไม่ขยับเขยื้อนกายไปไหน เขายังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้นักเรียนใกล้กันกับเด็กหนุ่ม และในขณะเดียวกันเมื่อมีบุคคลอื่นอยู่ร่วมห้อง สมาธิที่เคยมีจึงกระจายหายไปหมด นักเรียนเกียรติก้องตัดสินใจเก็บตำรับตำราเข้ากระเป๋าเป้แล้วเตรียมตัวกลับ


“พอจะมีเวลาคุยกับครูสักครู่ไหม? “ เมื่อเห็นว่าศิษย์ยุติการอ่านหนังสือครูหนุ่มจึงถามขึ้น


“ครับครู” เท้าที่เตรียมจะก้าวออกจากโต๊ะเรียนชะงัก เด็กหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้ง


“นอกจากเรียนหนังสือแล้วเธอมีกิจกรรมอื่นที่ได้ใช้เวลาว่างอีกไหม? “ เกียรติก้องนิ่งไปชั่วครู่อย่างใช้ความคิดเมื่อผู้เป็นครูเอ่ยถาม


“แค่เรียนที่โรงเรียนและที่กวดวิชาผมก็ไม่เหลือเวลาให้ทำอย่างอื่นแล้วครับ” เขาตอบอย่างระมัดระวัง


“เรียนหนักขนาดนั้นเลยหรือ? “ คุณครูยังสงสัย


“ก็ทุกเย็นหลังเลิกเรียนแล้วก็เต็มวันทุกๆ วันหยุดครับ”


“ครูว่าผลการเรียนแบบเธอไม่จำเป็นที่จะต้องเคี่ยวกรำขนาดนั้นเลยนะ” ครูหนุ่มบอกตามที่คิด


“แต่ผมก็ยังไม่เคยได้ที่หนึ่งสักที”


“มันสำคัญมากขนาดนั้นเลยเหรอ? “ ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น


“เราวัดความเก่งกันที่การจัดอันดับไม่ใช่เหรอครับ? “ ศิษย์ตอบเรียบนิ่ง


“แล้วทำไมเธอถึงจะต้องเป็นคนเก่ง? “ เขาถาม


“เพราะคนเก่งคือคนที่ประสบความสำเร็จ และคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่มีความสุขเพราะเขาจะมีทุกๆ อย่าง” ครูหนุ่มนิ่งฟังอย่างตั้งใจ แต่ก็อดสนเท่ห์ไม่ได้ว่าลูกศิษย์ผู้นี้นั้นเติมโตมาด้วยเบ้าหลอมแบบไหนกัน


“ดังนั้นเมื่อตอนนี้เธอคิดว่าเธอยังไม่เก่ง ดังนั้นเธอจึงไม่มีความสุข” ครูหนุ่มคาดเดาความคิดของเด็กหนุ่ม


นักเรียนเกียรติก้องนิ่งงันไม่สามารถหาคำตอบใดที่คิดว่าดีพอมาบอกได้


“เพราะเธอไม่เก่งเธอจึงไม่มีความสุข หรือ เพราะเธอไม่เก่งเธอจึงเลือกที่จะไม่มีความสุข? สมการชีวิตมันไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิดเสมอไปหรอกนะ มีคนเก่งหลายคนที่โดดเดี่ยวอ้างว้าง ซึ่งนั่นแม้เขาจะรายล้อมด้วยความสำเร็จแต่ก็ห่างไกลจากคำว่าความสุขเหลือเกินไม่ใช่หรือ? ” ผู้เป็นครูสั่งสอน


“วันเวลามันเรียกกลับคืนมาไม่ได้ และประสบการณ์ชีวิตก็ไม่อาจซื้อหาได้ด้วยเงิน เธอจะเป็นอย่างไรเมื่อไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดแต่รอบกายกลับไม่เหลือใครที่ร่วมแสดงความยินดีอย่างจริงใจ? ” เขาว่าต่อ


“เมล็ดทานตะวันยังไงมันก็งอกออกมาเป็นต้นทานตะวัน แต่หากทานตะวันเมล็ดนั้นมันผ่านการคั่วจนสุกมาแล้ว ไม่ว่าจะพยายามขนาดไหนมันก็งอกออกมาไม่ได้ไม่ใช่หรือ? ”


“หมายความว่า...” เด็กหนุ่มคราง ใจหายวาบ


“นี่ครูหลอกผม เห็นพวกผมเป็นตัวตลกเหรอครับ? “ เกียรติก้องถามเสียงดังอย่างโกรธเกรี้ยว


“เปล่าเลยเกียรติก้อง แต่ครูกำลังทำหน้าที่ของครู หน้าที่ครูที่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ตำราเคลื่อนที่ได้ ความรู้เหล่านั้นพวกเธออาจหาได้ทั่วไปหากใฝ่รู้ แต่หน้าที่หล่อหลอมให้พวกเธอเติบโตไปอย่างมีคุณภาพ คนอย่างครูคงปฏิเสธไม่ได้”


เด็กหนุ่มจ้องมองเข้าไปในดวงตาแน่วแน่ของผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้อย่างเคลือบแคลง


“ถึงแม้ครูจะบอกว่างานเพาะเมล็ดพันธุ์เป็นงานเดี่ยว แต่หากเธอได้พูดคุยกับเพื่อนบ้าง เธอก็จะรู้ว่าการที่ต้นไม้ของเธอไม่งอกนั้นไม่แตกต่างจากที่เพื่อนๆ เป็น เราอาจได้หัวเราะร่วมกันในวันที่เอาต้นไม้ของแต่ละคนมาอวดและสรุปผล แต่มันจะไม่เป็นแบบนั้นเพราะมีต้นไม้ของเธอเพียงคนเดียวที่งอกออกมาอย่างสมบูรณ์ งานชิ้นสุดท้ายของเทอมนี้ครูเพียงหวังจะสอนลูกศิษย์ให้รู้จักกับความไม่สมบูรณ์แบบและความซื่อสัตย์ สิ่งซึ่งจะทำให้พวกเธอมีชีวิตอยู่อย่างภาคภูมิ ความภูมิใจในเกียรติและศักดิ์ศรีรวมทั้งการยอมรับในผลของสิ่งที่ไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่จะทำให้พวกเธอเป็นคนเต็มคน เป็นคนที่จะคงอยู่อย่างมั่นคงไม่ว่าจะพบเจอกับความทุกข์ร้อนใดๆ ” ถ้อยคำที่หลั่งไหลเข้าสู่โสตประสาทกระทบใจซ้ำๆ ราวกับระลอกคลื่น


เกียรติก้องหลบตาอย่างนึกละอาย เมื่อครั้งที่เขาพยายามรดน้ำทุกวี่วันให้เมล็ดพันธุ์นั้นแตกใบอ่อนแต่ทว่ากลับไม่มีวี่แววว่าใบเลี้ยงสีเขียวจะแทงหน่อ เด็กหนุ่มว้าวุ่นใจเกรงว่าจะไม่สามารถทำรายงานส่งให้ผู้เป็นครูได้ เขาจึงซื้อเมล็ดพืชมาเพาะจนเกิดเป็นต้นอ่อนทานตะวันนับสิบต้น เด็กหนุ่มเลือกต้นกล้าที่แข็งแรงเพื่อบรรจงเขียนรายงานที่สมบูรณ์ แม้สิ่งที่กระทำควรส่งผลให้เขาพึงพอใจแต่ทว่าในความคิดลึกๆ นั้นก็อดที่จะเกิดทุกข์ไม่ได้ เมื่อรู้ดีว่าเขากำลังหลอกลวงใครต่อใครแม้กระทั่งตนเอง


“เหนื่อยไหม? “ ครูหนุ่มถามขึ้นทำลายความเงียบงันอันน่าอึดอัด


เกียรติก้องเงยมองหน้าผู้เป็นครูอย่างไม่ค่อยเชื่อหูในสิ่งที่ตนได้ยิน


“หากเหนื่อยหนักนักก็พักเสียหน่อย ครูอาจไม่ใช่ครูที่ดีเลิศเลออะไร ออกจะกบฏเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำที่แกล้งพวกเธอแบบนั้น และถึงการยุยงให้ลูกศิษย์ไม่ต้องขยันเรียนมันเป็นเรื่องไม่ควร แต่ตราบใดที่เด็กคนนั้นยังไม่ออกนอกทางและรู้ว่าหน้าที่ที่แท้จริงของตนคืออะไร ครูก็เห็นว่าการเที่ยวเล่นตามประสาก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องห้ามปราม”


“ผมเหนื่อยครับครู ทั้งเหนื่อยและท้อแต่ก็ไม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไร? ” เด็กหนุ่มสารภาพ “ผมเหนื่อยที่ไม่ว่าจะพยายามสักขนาดไหนผมก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเสียที”


“หากความสำเร็จของเธอคือการสอบได้ที่หนึ่ง คือการแข่งขันเพื่อให้ได้ชัยชนะ เธอก็อาจจะยังไม่ประสบความสำเร็จ และถึงแม้ว่าวันนี้เธอจะเป็นที่หนึ่งของห้อง แต่อย่าลืมว่ายังมีที่หนึ่งของชั้น ที่หนึ่งของโรงเรียนต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด” ครูหนุ่มเตือน


“เธอตอบตัวเองได้หรือเปล่าว่าความสำเร็จของเธอคืออะไร? แต่สำหรับครูแล้ว ความสำเร็จของครูคือการมีความสุขในสิ่งที่ทำในทุกๆ วัน แม้บางครั้งอาจมีอุปสรรคหรือปัญหาให้ต้องแก้ไข แต่จะไปกลัวอะไรเมื่อรอบตัวของครูนั้นมีคนมากมายที่พร้อมจะช่วยเหลือ“ เขาเล่าด้วยรอยยิ้มสุขใจ


“ผมอยากมีเพื่อนนะครับ แต่ผมไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร? เวลาเกือบทั้งหมดของผมหมดไปกับการเรียนพิเศษ กว่าจะรู้สึกตัวเพื่อนๆ ก็รวมกันเป็นกลุ่มก้อนในขณะที่ผมไม่เหลือใครแล้ว” เกียรติก้องร่างกายงองุ้มลงอย่างไร้ซึ่งความมั่นใจ


“ไม่มีอะไรสายเกินไปที่จะเริ่มต้นหรอกนะ มิตรภาพไม่อาจหาซื้อได้ด้วยเงินแต่เธอมีได้โดยไม่ต้องลงทุน เพียงแค่เธอเปิดใจและซื่อตรง เธอก็จะค้นพบว่าเธอไม่ได้อยู่บนโลกอย่างโดดเดี่ยว แล้วเมื่อนั้นเธอก็จะรู้ว่าความสุขในโลกใบนี้มันหาได้ไม่ยากเลย”


“กำลังจะไปหาข้าวกินใช่มั้ย? งั้นไปกับครู มื้อนี้ครูเลี้ยงเอง” ครูหนุ่มตัดบทผุดลุกขึ้น แล้วเอื้อมไปตบบ่าลูกศิษย์เบาๆ อย่างเอื้ออาทร



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ทว่าแสงไฟภายในโรงเรียนนั้นกลับส่องสว่าง โดยเฉพาะบริเวณสนามหญ้าซึ่งสว่างจ้าเป็นพิเศษ


ทั้งครูและศิษย์เดินลงมายังด้านล่างของตึกเรียน สองร่างมุ่งหน้าไปยังประตูใหญ่แล้วก็ต้องหยุด เมื่อเสียงเรียกจากสนามฟุตบอลดังลั่น


“ครูธีร์ครับ ทำไมวันนี้ลงมาช้าจัง ดูสิพวกผมเลยแพ้พวกห้องสามเลย” เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนยับยู่ยี่และเปื้อนคราบดินสีน้ำตาลคนหนึ่งโอดครวญ พร้อมกับเสียงสนับสนุนจากเหล่านักเรียนชายที่บ้างก็นั่งบ้างก็นอนแผ่อย่างเหนื่อยอ่อนอยู่บนสนามหญ้า


“ขอโทษที วันนี้ครูต้องสะสางงานที่หมกไว้ เพราะมันทะลักออกมาจนจะทับตายอยู่รอมร่อ ว่าแต่...นี่ก็ค่ำแล้วทำไมยังไม่กลับบ้านกันอีก? ” ครูหนุ่มดุไม่จริงจังนัก


“กำลังจะกลับกันแล้วครับแต่รอครูกันอยู่”


“รอครูทำไมกัน? “ ชายหนุ่มแปลกใจ


จากนั้นเด็กหนุ่มทุกคนคนก็ลุกขึ้นพรวดพราดแล้วพร้อมใจประสานเสียงกัน


“สุขสันต์วันเกิดครับครูธีร์! ” เหล่าทโมนเนื้อตัวมอมแมมยิ้มแป้นสดใส คุณครูหนุ่มหัวเราะชอบใจอย่างตลกขบขัน


“ที่รอนี่คือรอให้ครูพาไปเลี้ยงวันเกิดใช่มั้ย? “ ครูหนุ่มว่าแก้เขิน


“โหย! ครูรู้ทันพวกผมอีกแล้ว” เด็กหนุ่มคนหนึ่งโวยวาย


“เอาสิ แต่เยอะขนาดนี้แค่บะหมี่เกี๊ยวหน้าโรงเรียนก็พอนะ”


“ไชโย้! “ ทั้งหมดตะโกนลั่นจากนั้นก็คว้าข้าวของแล้ววิ่งกรูกันมา ณ จุดที่คุณครูยืนอยู่


เกียรติก้องยืนอย่างเก้ๆ กังๆ ทำตัวไม่ถูก เขาพึมพำคำเดียวกับเพื่อนๆ ให้ผู้เป็นครูพอได้ยิน รอยยิ้มที่ตอบกลับมาจากคุณครูทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มอุ่นชื้น


สายตาของเพื่อนร่วมห้องที่ลอบมองมายังเกียรติก้องนั้นทำให้เขารู้สึกแปลกแยก เด็กหนุ่มรวบรวมความกล้าคลี่ยิ้มที่มุมปากด้วยจังหวะหัวใจที่เต้นระรัว


“วันนี้ไม่ไปเรียนพิเศษเหรอ? “ เพื่อนคนหนึ่งถามขึ้น


“วันนี้งดน่ะ” ก้องเกียรติพยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ


“วันหลังว่างๆ ก็มาเตะบอลกับพวกเราได้นะ เห็นนายเอาแต่อ่านหนังสือเดี๋ยวแขนขาลีบหมดกันพอดี” เพื่อนอีกคนชวน เด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างแข็งขันด้วยหัวใจที่เต็มตื้น


“ชวนเพื่อนเล่นกีฬาครูไม่ว่า แต่อย่าพากันไปเสียคนล่ะ” ครูหนุ่มปรามทีเล่นทีจริง


“ครูมองพวกผมในแง่ร้ายอีกแล้ว ถึงจะไม่ค่อยขยันแต่พวกผมก็ไม่เคยสอบตกนะครับ” ลูกศิษย์คนหนึ่งในกลุ่มเถียงขึ้นทันควัน


“...แค่เฉียดฉิว” อีกคนต่อให้ เรียกเสียงหัวเราะได้ดังขรม


จากนั้นกลุ่มลูกศิษย์และคุณครูหนึ่งเดียวก็ทยอยเดินออกนอกประตูรั้วของโรงเรียน


อนาคตเป็นเรื่องที่ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าใครจะเลือกเดินในเส้นทางไหน แต่อย่างน้อยความทรงจำที่ดีภายในรั้วสถานศึกษาก็จะถูกประทับไว้ในบันทึกหน้าหนึ่งของชีวิตตลอดไป...


====================

สุขสันต์วันเกิดค่ะ คุณครูGธีร์W

====================

ด้วยจิตคารวะต่อ"อาจารย์จี"[GTW หรือ Psycho man] ผู้หนึ่งซึ่งทำให้กาแฟเย็นมีกำลังใจในการร่างฝันของตนเองให้เป็นรูปเป็นร่าง ขอบคุณมากค่ะ




กาแฟเย็น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ธ.ค. 2554, 09:31:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ธ.ค. 2554, 09:31:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 1553





<< ทางสองแพร่ง   เสียงสวรรค์ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account