มนตรามุกจันทรา {ชุดมนตราอัญมณี}สนพ.อรุณ
พลอยตาเสือ มูนสโตน และอความารีน
มรดกที่ย่ามอบให้ทั้งสามสาวจะนำพาลางร้าย ความรัก หรือการผจญภัยมาสู่พวกเธอ

ชีวิตของมุกดาแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เมื่อเธอได้รับมรดกชิ้นสุดท้ายจากผู้เป็นย่า เป็นแหวนมูนสโตน...อัญมณีแห่งดวงจันทร์ซึ่งนำพาวิญญาณของเด็กหญิงดวงหนึ่งมา
หญิงสาวจะทำเช่นไร กับการต้องอยู่ร่วมกับวิญญาณดวงน้อย ในเมื่อเธอนั้นแสนจะกลัวผี!

ชีวิตของวาริทมีเพียงภาระและความเศร้าเป็นเพื่อนมานานแรมปี การได้พบกับเธอ...มุกดา หญิงสาวผู้เปลี่ยนโลกทั้งใบของเขาให้พลันสดใสขึ้น ทว่า เขาจะจัดการอย่างไรกับหญิงสาวในดวงใจดี เมื่อเธอนั้นแสนดี ช่วยเหลือคนไปทั่ว ทั้งสัตว์ คน ... รวมไปถึงกระทั่ง...เอ่อ...ผี! โดยไม่คิดสงสารหัวใจคนเป็นอย่างเขาบ้างเลย (ให้ตายเถอะ)

...มนุษย์ทุกคนย่อมมีเหตุผลแห่งการมีตัวตน
เธอ อาจคือหนึ่งเหตุผลของตัวตนในวันนี้...

Tags: เหนือธรรมชาติ ชุดอัญมณี มาริณ มุกดา วาริท มัชฌิตา อมินตา มายาไฟในดวงตา ม่านธาราเร้นดาว

ตอน: บทที่ 4/2 เพื่อนร่วมห้อง

“นี่กะทิไงพี่สาว” เมื่อรู้ว่ามุกดาสามารถมองเห็นเพื่อนของเธอได้ สิตางศุ์เลยถือโอกาสแนะนำทั้งสองให้รู้จักกัน
มุกดามองเด็กหญิงตัวน้อยด้วยแววตาประหลาดใจ จากบทสนทนาที่ผ่านมาทำให้เธอไม่คิดว่ากะทิจะยังคงเป็นเด็กตัวกระจ้อยเพียงแค่นี้
“หนูอายุเท่าไรกัน” หญิงสาวถามด้วยความประหลาดใจ
“เราถูกรถชนตายตั้งแต่ตอนแปดขวบ แต่ก็ผ่านมาเกือบจะยี่สิบปีได้แล้ว นั่นคือคำตอบที่พี่สาวอยากจะได้ยินรึเปล่า”
นัยน์ตาหวานเบิกกว้างเล็กน้อยกับคำพูดคำจาของเด็กหญิงตัวน้อย วิญญาณเด็กดวงนี้อายุมากกว่าเธอด้วยซ้ำไป...

“แล้วถามได้ไหมว่าทำไมไม่ไปเกิด” มุกดาอยากรู้หนักหนาถึงสาเหตุที่ดวงวิญญาณทั้งหลายยังร่อนเร่อยู่ในภพภูมิมนุษย์
กะทินิ่งไปนิดหนึ่ง ท่าทางของเด็กหญิงเต็มไปด้วยแววครุ่นคิด
“ไปไม่ได้ ยังไม่หมดห่วง เราก็เหมือนวิญญาณอื่นๆในโลกนี้แหละ วิญญาณทุกดวงต่างมีห่วง ต่างยังมีเรื่องราวบางอย่างค้างคาในใจเลยทำให้ไปเกิดใหม่ไม่ได้” เด็กหญิงอธิบาย

“แต่หนูไม่มีนะ” สิตางศุ์ซึ่งลอยอยู่ไม่ห่างโพล่งออกมา
“เธอมี เพียงแต่ไม่รู้ตัวต่างหาก เพราะถ้าไม่มีอะไรต้องห่วง ตอนตายวิญญาณของเธอต้องหลุดออกจากภพภูมินี้ไปแล้ว”
คำอธิบายเรียบๆของกะทิกลับทำให้สิตางศุ์ซึ่งนั่งฟังอยู่ใกล้ๆเป็นกังวล
“แล้วทำไมหนูจำอะไรไม่ได้เลย จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองตายยังไง”

ไม่ว่าสิตางศุ์จะนึกเท่าไร สิ่งเดียวในความทรงจำของเด็กหญิงก็คือ...ความว่างเปล่า
“ตางศุ์จำอะไรไม่ได้เลยเหรอ” มุกดาหันมาถามด้วยความประหลาดใจ
เธอนึกย้อนไปถึงวันแรกที่พบสิตางศุ์ หญิงสาวไม่เคยถามคำถามนี้กับวิญญาณดวงน้อยเลย สิตางศุ์เพียงแค่มาขออาศัยอยู่กับเธอ แล้วเธอก็เอ่ยปากอนุญาตไปโดยไม่รู้เลยว่าเหตุใดเด็กหญิงจึงยังเวียนวนอยู่ในโลกใบนี้
“จำไม่ได้เลย ทุกอย่างว่างเปล่า หนูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเคยเป็นใครมาก่อน” เด็กหญิงส่ายหน้า

ความว่างเปล่านี้เพิ่งเริ่มมามีบทบาทกับเธอก็ตอนได้พบกับกะทิ สิตางศุ์เพิ่งรู้ว่าวิญญาณแต่ละดวงต่างมีความทรงจำเกี่ยวกับชีวิตก่อนความตายด้วยกันทั้งสิ้น ยกเว้นเธอกลับจำอดีตของตนเองไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“ไม่ใช่ไม่รู้ เธอแค่ลืมมันไปต่างหาก” กะทิแก้คำพูดของเพื่อน “ที่เป็นแบบนั้นเพราะตอนเธอตาย จิตของเธอไม่สงบ ความทรงจำเกี่ยวกับชีวิตที่เคยมีเลยเลือนหายไป”
“แล้วหนูควรทำอย่างไร” สิตางศุ์ถาม

“สักพักเดี๋ยวมันก็กลับมา...” เสียงเล็กๆบอกมุกดาและวิญญาณของเด็กหญิง หากปลายหางเสียงกลับเงียบไปราวคนครุ่นคิด “แต่ก็ไม่รู้ว่าการรับรู้เรื่องราวในอดีตและความทรงจำสุดท้ายก่อนตาย มันใช่เรื่องดีรึเปล่า”
“ต้องดีสิ หนูอยากรู้ว่าตัวเองเคยเป็นใคร อยู่ที่ไหนมาก่อน” สิตางศุ์บอกพร้อมกับจินตนาการไปถึงครอบครัวที่เธอไม่อาจจดจำได้

“อือ ดีก็ดี” กะทิไม่อยากขัดใจเพื่อน พยักหน้าเออออกับอีกฝ่าย ก่อนชวนสิตางศุ์กลับไปเล่นต่อ
มุกดาเลยได้แต่มองภาพตรงหน้าด้วยความเหนื่อยใจ เอาวะ อยู่กับผีเด็กก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร...
เพราะไม่อาจข่มตาหลับลงได้ท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักและเสียงร้องเพลงของพวกเด็กๆ มุกดาจึงตัดสินใจเดินเปิดโทรทัศน์ เนื่องจากหญิงสาวเป็นคนชอบดูหนัง เธอเลยซื้อเครื่องเล่นแผ่นดีวีดีมาตั้งไว้ในห้องรับแขกเช่นเดียวกับแผ่นภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง

“หนูดูด้วย” เสียงเล็กๆของเด็กผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มลอยมาหยุดยืนอยู่ข้างกายเธอ
มุกดามองใบหน้าเล็กๆตรงหน้าแล้วก็ได้แต่กลอกตาขึ้นฟ้า

โอเค เธอแพ้เด็ก เห็นหน้าใสๆไร้เดียงสาแล้วอดใจอ่อนไม่ได้...

“อยากดูเรื่องอะไร” มุกดาเลือกแผ่นภาพยนตร์การ์ตูนที่มีอยู่เกือบสิบเรื่องออกมาให้เจ้าตัวเล็กตรงหน้าเลือก
จากนั้นไม่นานบรรดาผีเด็กชายหญิงทั้งหลายเลยลอยวนมาล้อมหน้าล้อมหลังเธอ
“ดูเรื่องนี้ดีกว่า” สิตางศุ์ซึ่งดูจะปวารณาตัวเป็นหัวโจทก์ของแก็งผีเด็ก จิ้มนิ้วโปร่งแสงของตัวเองลงไปบนแผ่นดีวีดีแผ่นหนึ่งทันที “หนูชอบฉากนางฟ้าเสกรถฟักทองให้ซินเดอเรลล่า”
“จำเนื้อเรื่องเรื่องนี้ได้ด้วยเหรอ” มุกดาถามด้วยความแปลกใจ
“จำได้สิ ก็หนูชอบ เมื่อก่อนเคยนั่งดูเรื่องนี้กับคุณแม่...” ประโยคสุดท้ายของสิตางศุ์ชะงักงันไป

วูบหนึ่งในความว่างเปล่า เด็กหญิงคลับคล้ายคลับคลาเห็นตัวเองกำลังนั่งอยู่บนตักของหญิงคนหนึ่ง เบื้องหน้าของเธอคือจอโทรทัศน์ฉายเรื่องราวรักอมตะของนางซินฯก้นครัวกับเจ้าชายหนุ่มรูปงาม เธอนั่งดูการ์ตูนเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ทุกคืน ไม่หลับไม่นอนเพียงเพราะต้องการรอคอยใครสักคน
นั่นสิ ใครล่ะที่เธอกับเจ้าของตักผู้นี้กำลังรอคอยอยู่...

“ตางศุ์ ตางศุ์จำเรื่องของตัวเองได้แล้วเหรอ” มุกดาถามด้วยความหวัง
หากเด็กหญิงกลับส่ายหน้า “จำไม่ได้หรอก รู้แต่ว่าเคยดูเรื่องนี้กับแม่” สีหน้าของสิตางศุ์เศร้าลงเล็กน้อย
ภายใต้เรื่องราวสนุกสนานของเทพนิยาย เหตุใดหัวใจดวงน้อยถึงรู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เด็กหญิงถามตัวเองด้วยความงุนงง แต่พอมุกดาเดินไปเปิดแผ่นดีวีดี เสียงบรรเลงเพลงในโทรทัศน์ก็ดังขึ้น ดึงความสนใจของเธอให้จดจ่ออยู่ที่หน้าจอแทน

“ฮือๆ...ฮือๆ”
เสียงร้องไห้ราวคร่ำครวญเสียใจกับอะไรบางอย่าง ดังแทรกผ่านบทสนทนาของตัวการ์ตูนในหน้าจอเข้ามา ตอนนี้เสียงเจี๊ยวจ๊าวของบรรดาผีเด็กทั้งหลายต่างเงียบลง เมื่อทั้งหมดพร้อมใจนั่งลงชมภาพยนตร์การ์ตูนไปพร้อมๆกับมุกดา ดังนั้นในช่วงที่เสียงในจอโทรทัศน์เบาลง มุกดาจึงเพิ่งสังเกตว่า เธอได้ยินเสียงใครบางคนกำลังร้องไห้คร่ำครวญอยู่
“ตางศุ์ได้ยินเสียงใครร้องไห้รึเปล่า” มุกดาตัดสินใจหันมาถามสิตางศุ์ ซึ่งนอนเอกขเนกอยู่บนโซฟาไม่ห่างกายนัก

ร่างโปร่งแสงของเด็กหญิงสะดุ้งเล็กน้อย เธอหันหน้าไปมองกะทิแวบหนึ่ง ก่อนส่ายหน้าให้กับมุกดา
“ไม่เห็นได้ยินเสียงอะไรนี่ พี่สาวหูฝาดแล้ว” สิตางศุ์บ่น หากกลับรีบเสมองไปยังหน้าจอโทรทัศน์โดยไม่ยอมหันมามองหน้าหญิงสาว
คิ้วโก่งงามขมวดมุ่นเล็กน้อย แปลกใจในท่าทีของเด็กหญิง มุกดานั่งดูโทรทัศน์ต่อไปพร้อมกับเงี่ยหูฟัง
“ฮือๆ...ฮือๆ...”
คราวนี้หญิงสาวไม่คิดว่าตัวเองหูฝาด เธอได้ยินเสียงดังมาจากบริเวณหน้าต่างด้านนอกชัดเจน ร่างบางตัดสินใจลุกออกจากโซฟา เดินตรงไปยังประตูระเบียง
“พี่สาวอย่าออกไป...”

เสียงของกะทิดังขึ้นก่อน หากคำพูดของเด็กหญิงก็ยังช้าเกินไป เพราะมือบางเลิกผ้าม่านออกเพื่อเปิดประตูบานเลื่อนออกไปนอกระเบียง สิ่งแรกที่สายตาของหญิงสาวกวาดต่ำลงไปเห็นจากระเบียงชั้นด้านบนของเธอก็คือร่างของผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งร้องไห้อยู่บนเสาไฟติดกับริมถนนด้านหน้าคอนโดมิเนียม

สยองรึเปล่า มุกดาเองก็ตอบไม่ถูกนัก รู้แต่ว่าดวงวิญญาณเบื้องล่างให้ความรู้สึกน่าสะพรึงกลัวกว่าบรรดาผีเด็กในห้องเธอนัก หญิงสาวนึกย้อนไปถึงหนังผีที่ตัวเองไม่ใคร่จะชอบดู เพราะดูทีไรมักติดตา เก็บไปกลัวได้เป็นวันๆ ภาพเบื้องล่างเองก็เช่นกัน มันเริ่มจากเธอมองเห็นเงาตะคุ่มๆเป็นร่างของผู้หญิงคนหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาอยู่ พลัน วินาทีถัดมาราวกับวิญญาณดวงนั้นรับรู้ถึงการถูกแอบมอง ผู้หญิงคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาสบตาเธอ!

“กรี๊ดดด!” มุกดากรีดร้องขึ้น มันไม่ดังนักหรอก แต่ก็พอทำให้วิญญาณเด็กดวงทั้งหลายที่กำลังสนุกสนานอยู่กับภาพยนตร์ในจอโทรทัศน์ต่างลอยมาหาเธอ
“พี่สาวเป็นอะไร” สิตางศุ์เป็นฝ่ายถลามาหาเธอก่อน
“คะ...ใครอยู่ตรงนั้น”
คำถามของมุกดากลับไม่มีใครยอมชะโงกหน้าออกไปนอกระเบียงเลย
“เข้าห้องเถอะพี่สาว ข้างนอกที่พี่สาวเห็นก็ผะ...ผีไง”

“ตางศุ์เห็นแล้ว?” คราวนี้คนกำลังหวาดกลัวกลับมีร่องรอยความประหลาดใจขณะเดินกลับเข้ามาในห้อง จัดแจงล็อกประตูระเบียง ปิดผ้าม่านเสียมิดชิด
ทั้งสิตางศุ์และกะทิต่างพยักหน้ารับ
“เราเห็นเขานั่งอยู่ตรงนั้นมาหลายวันแล้ว ถึงบอกไงว่าอย่าออกไป” กะทิเป็นฝ่ายตอบคำถามหญิงสาว
“แล้วเขาจะเข้ามาในห้องพี่ไหม” มุกดาพยายามบังคับเสียงตัวเองไม่ใช่สั่น
แน่ล่ะ เธอกลัวผีนี่นา...

“เข้ามาไม่ได้หรอกถ้าพี่สาวไม่อนุญาต”
“พี่ไม่อนุญาต” หญิงสาวตอบทันควัน ก่อนหันไปกำชับสิตางศุ์ “ตางศุ์ห้ามพาเข้ามานะ”
“โธ่ หนูไม่กล้าหรอก หนูก็กลัวเหมือนกันนะ”
คราวนี้คนฟังเลยได้แต่เลิกคิ้วสงสัย
“กลัวทำไม ตัวเองก็เป็นผีเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
“ถึงหนูจะเป็นผี แต่เมื่อก่อนหนูก็เป็นคนนะ ตอนเป็นคนกลัวผีได้ แล้วทำไมตอนนี้จะกลัวไม่ได้”

มาถึงตอนนี้ทั้งคนกลัวผีและผีที่ดันกลัวผีเสียเองเลยได้แต่นั่งขลุกอยู่ในห้องรับแขก แม้กะทิจะยืนยันว่าวิญญาณผู้หญิงดวงนั้นไม่สามารถเข้ามาในห้องมุกดาได้ แต่หญิงสาวก็ยังคงไม่ยอมกลับไปนอนในห้องตามลำพัง ท้ายสุดเธอก็เลยนั่งดูหนังกับบรรดาผีเด็กทั้งหลายจนผล็อยหลับไป
มุกดามารู้สึกตัวตื่นอีกทีตอนเกือบแปดโมง หญิงสาวเหลียวมองไปรอบกายพบเพียงความว่างเปล่า ห้องรับแขกของเธอกลับกลายมาอยู่ในสภาพปรกติ ยกเว้นแค่เพียงดวงวิญญาณของเด็กหญิงที่ยังคงยืนส่งยิ้มมาให้เธอ

“เพื่อนๆหายไปไหนกันหมดแล้วละ”
“กลับไปหมดแล้วค่ะ เหลือแต่กะทิอยู่กับหนู” สิตางศุ์บอกหญิงสาว
หากเช้าวันนี้ก็เป็นเช่นเคย มุกดาไม่สามารถมองเห็นดวงวิญญาณของเด็กหญิงได้
“พี่มองไม่เห็นกะทิ” เธอบอกขณะกวาดตามองไปรอบห้อง เห็นเพียงร่างโปร่งแสงของสิตางศุ์เท่านั้น
“กะทิยืนอยู่ข้างๆหนูนี่แหละ แต่พี่สาวมองไม่เห็นหรอก กะทิบอกว่าพี่สาวจะเห็นเธอได้ก็เฉพาะตอนกลางคืนที่พระจันทร์ขึ้น แต่ถ้าคืนไหนไม่มีพระจันทร์ พี่สาวก็จะไม่เห็นเธอ อำนาจของมูนสโตนขึ้นอยู่กับดวงจันทร์บนฟ้า” เด็กหญิงพูดตามคำอธิบายของกะทิให้หญิงสาวฟัง

มุกดาเองก็ได้แต่พยักหน้ารับ หญิงสาวลุกขึ้นจากโซฟาเพื่อจัดการกับตัวเอง กว่าจะกลับมาจากห้องน้ำได้อีกครั้งก็เป็นเวลาเกือบเก้าโมง ขณะกำลังชั่งใจอยู่ว่าเธอจะเอาอย่างไรกับเวลาครึ่งวันที่เหลืออยู่ดี เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นเป็นทำนองเพลงซึ่งเธอตั้งไว้สำหรับเบอร์ของลูกค้า
หญิงสาวหยิบมือถือตัวเองขึ้นมาอย่างไม่คิดอะไร หากยามสายตากวาดลงเห็นชื่อบนหน้าจอโทรทัศน์ หัวใจของคนมองก็กระตุกวาบในอกทันที

วาริท! เขาโทร.มาหาเธอทำไมในเช้าวันหยุดเช่นนี้...

“สวัสดีค่ะคุณวาริท”
“สวัสดีครับ คุณมูนสะดวกคุยรึเปล่า” เสียงของชายหนุ่มถามกลับมาก่อน เนื่องจากเป็นเช้าวันเสาร์ เขาเองก็ไม่มั่นใจนักว่าอีกฝ่ายว่างพอจะคุยกับเขารึเปล่า แต่วาริทก็ยังอยากจะโทร.หาเธอ แม้จะไม่มั่นใจนักว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมไหม
“สะดวกค่ะ” เสียงหวานใสที่ลอดผ่านสายโทรศัพท์มา ทำให้คนรู้ตัวดีว่าโทร.ผิดเวลาใจชื้นขึ้น
“ยายอรกับแฟนกลับมาแล้ว ผมอยากให้คุณลองเข้ามาคุยกับพวกเขาดู น่าจะมีบางอย่างต้องปรับแก้จากไฟล์ร่างของเพื่อนคุณ”

“อ้อ ได้สิคะ คุณปโยชนม์กับคุณอรสุมจะสะดวกเมื่อไรคะ”
“บ่ายวันนี้คุณว่างไหม” เสียงของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความคาดหวัง จนหัวใจคนฟังกระตุก
“คะ? วันนี้เลยเหรอ” เสียงหวานงุนงงในทีแรก หากก็ยอมตอบคำถามอีกฝ่าย “ความจริงฉันว่าจะออกไปทำบุญที่วัดตอนเช้าค่ะ แต่วันนี้ตื่นสายไปหน่อย”
คำพูดของหญิงสาวทำให้วาริทนึกถึงการพบกันครั้งแรกของเขาและเธอ

“คุณดูเป็นคนธรรมะธรรมโมมาก”
“ไม่หรอกค่ะ คุณย่าฉันเพิ่งเสียไปไม่นานก็เลยอยากไปทำบุญให้ท่าน อีกอย่าง เมื่อคืนนี้...” มุกดาเกือบหลุดเรื่องที่เธอเจอผีผู้หญิงนั่งร้องไห้บนเสาไฟออกไป โชคดีเธอยังยั้งปากตัวเองไว้ทัน “ฉันฝันไม่ค่อยดีน่ะค่ะ ก็เลยว่าจะไปทำบุญเสียหน่อย”
“ไปที่วัดเดิมรึเปล่า”
อุปาทานรึเปล่าก็สุดรู้ น้ำเสียงของชายหนุ่มราวมีความคาดหวังบางอย่างแฝงติดมาด้วย
“ค่ะ ก็คงเป็นที่นั่น”
“ถ้างั้นเราไปเจอกันที่นั่นก็ได้ คุณจะไปถึงกี่โมง ผมจะไปรอ จะได้ขับตามกันไปถูก”

วาริทวางสายไปนานแล้ว หากหญิงสาวยังคงจ้องมองโทรศัพท์ในมือตัวเองอย่างไม่เชื่อสายตา สมองของเธอเริ่มจินตนาการเลยเถิดไปไกล ทว่าเพียงไม่นาน ร่างบางก็รีบสั่นศีรษะ ตัดอกตัดใจกับความคิดเพ้อเจ้อของตัวเอง

บ้าน่า ผู้ชายเพียบพร้อมอย่างวาริท วราธารักษ์น่ะรึจะมาจีบเธอ...หญิงสาวพยายามข่มความคิดเพ้อฝันของตัวเองไว้ในอก จัดแจงปิดโน้ตบุ๊กลง ก่อนหันมาบอกสิตางศุ์ซึ่งนั่งดูโทรทัศน์อยู่
“พี่จะออกไปข้างนอกนะ ตางศุ์จะอยู่ที่นี่กับกะทิใช่ไหม”
เด็กหญิงหันหน้าไปมองเพื่อนตัวเล็กข้างกาย มุกดาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไร แต่สุดท้ายกลับมาบอกเธอว่า

“พี่สาวจะไปวัดใช่ไหม พวกหนูไปด้วยสิ”
“จะไปทำไม” มุกดาขมวดคิ้วถาม
“พี่สาวจะไปทำบุญ พวกหนูก็อยากได้บุญ ให้หนูไปด้วยนะ กะทิบอกว่าบุญกุศลที่พี่สาวทำให้ จะช่วยให้พวกหนูอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไม่ลำบาก”

เพราะเหตุผลและคำพูดอันน่าเชื่อถือของกะทิ คราวนี้มุกดาเลยไม่อาจปฏิเสธไม่ให้วิญญาณทั้งสองตามติดเธอไปด้วยได้ หญิงสาวขับรถออกจากคอนโดมิเนียมของตัวเองออกมา เธอตั้งใจแวะไปยังวัดริมน้ำแห่งหนึ่ง แต่เนื่องจากวัดแห่งนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของผู้เป็นย่านัก ขณะกำลังขับรถอยู่บนถนนใหญ่ หญิงสาวตัดสินใจหักพวงมาลัยเลี้ยวตรงไปยังบ้านสีเบจ

มุกดาจอดรถลงหน้าบานประตูรั้วบ้าน เลยผ่านช่องฉลุลวดลายสวยงามเข้าไปคือสนามหญ้าค่อนข้างรกครึ้มราวเขาวงกต พันธุ์ไม้ในสวนวงกตของบ้านหลังนี้ล้วนแต่เป็นไม้นำเข้ามาจากต่างประเทศด้วยกันทั้งสิ้น สร้างความแปลกตาให้กับผู้พบเห็นเสมอ หญิงสาวอาศัยกุญแจในกระเป๋าถือของตัวเองไขประตูรั้วเข้ามา ร่างบางก้าวตรงมายังบานประตูซุ้มโค้งอันเป็นลักษณะเฉพาะตัวของบ้าน หนึ่งสาวกับสองดวงวิญญาณเดินผ่านทางเดินภายในสวนมาหยุดลงหน้าประตูไม้บานใหญ่ของตัวบ้าน เมื่อไขกุญแจประตูบ้านเข้ามา เบื้องหลังบานประตูคือห้องรับแขกสีเบจเช่นเดียวกับตัวบ้าน ตัดสลับกับผ้าม่านลูกไม้สีครีม ซึ่งมาริณน้องสาวของเธอปรับปรุงให้ดูสว่างขึ้น ยกเว้นอีกด้านที่เป็นห้องนอนของย่ายังคงสภาพไว้ไม่ผิดไปจากเดิม

“หายไปไหนกันหมดนะ มีน! ไม่อยู่บ้านรึ” มุกดาตะโกนเรียกชื่อน้องสาว
หญิงสาวเข้าใจว่ามาริณน่าจะอยู่บ้านในบ่ายวันเสาร์เช่นนี้ เธอจึงไม่ได้โทรศัพท์มาหาน้องสาวก่อน
“พี่สาว หนูกับกะทิเข้าไปนะ” เสียงของสิตางศุ์ตะโกนบอกตามหลังมา
ยังไม่ทันจะเอ่ยปากอนุญาต ร่างโปร่งแสงของเด็กหญิงตัวน้อยก็ลอยละล่องมาหยุดลงกลางห้องรับแขก
“อ้าว เข้ามาได้ยังไง พี่ยังไม่อนุญาตเลย” มุกดาถามด้วยความแปลกใจมากกว่าจะติติง

“เออแหะ ทำไมบ้านย่าของพี่สาวถึงเข้ามาได้โดยไม่ต้องขออนุญาตล่ะ” สิตางศุ์หันไปถามเพื่อนข้างกาย
กะทิเองได้แต่ส่ายหน้า “แปลกจัง ปรกติผีอย่างพวกเราเข้ามาในสถานที่ส่วนตัวอย่างบ้านคนก่อนได้รับอนุญาตไม่ได้นี่นา”
สิตางศุ์ถ่ายทอดคำพูดของกะทิให้หญิงสาวฟัง หากมุกดาเองก็ได้แต่ส่ายหน้าด้วยความไม่เข้าใจ
“ช่างเถอะพี่สาว เข้ามาได้ก็ดีแล้วนี่นา” สิตางศุ์บอกอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญนัก

ระหว่างนั้น เสียงตะโกนของเธอก็เรียกเด็กสาวหน้าตาหมดจดคนหนึ่งให้เดินออกมาหา
“คุณมีนไม่อยู่บ้านค่ะ” ป่าน...สาวใช้ซึ่งคอยดูแลบ้านให้มาริณบอกเธอ
“อ้าวรึ งั้นไม่เป็นไร ป่านจะทำอะไรก็ไปทำเถอะ เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปข้างบนเสียหน่อย” มุกดาโบกมือไล่อีกฝ่าย
หลังจากมาริณมาหาเธอถึงคอนโดมิเนียมในคืนฝนตกเมื่อหลายวันก่อน เธอก็ไม่ได้พบหน้าน้องสาว แต่ก็พอทราบข่าวคราวของมาริณผ่านทางโทรศัพท์ รวมถึงเรื่องที่น้องสาวสามารถติดต่อมัชฌิตาได้

อย่างน้อยก็เบาใจได้ว่าพี่สาวเธอยังอยู่ดีมีสุข... แม้ว่ามุกดาจะอดห่วงเรื่องที่พี่สาวขาดการติดต่อไปนาน แต่ด้วยความน้อยใจ หญิงสาวเลยยังไม่คิดโทรศัพท์ไปหาคนเป็นพี่
เธอรอให้ป่านเดินออกห่างไปพอสมควรแล้ว จึงเดินขึ้นบันไดมายังชั้นสองของตัวบ้าน ระหว่างนั้นเธอได้รับโทรศัพท์จากมาริณพอดี จึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจไปหาเธอที่คอนโดมิเนียมเช่นกัน มุกดาเลยได้แต่ส่ายหน้ากับความใจตรงกันของเธอสองพี่น้อง

บริเวณโถงทางเดินขึ้นชั้นสองของตัวบ้านคือประตูบานไม้หลายห้องถูกปิดสนิทไว้ มุกดาเดินตรงมายังรูปแขวนติดผนังห้องรูปหนึ่งกลางโถงทางเดิน รูปในกรอบไม้สีขาวกรอบนี้เป็นภาพวาดของย่าอมินตา มันถูกแขวนไว้บนผนังกำแพงนับตั้งแต่วันแรกที่เธอก้าวย่างมายังบ้านหลังนี้ หากแต่สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังกรอบรูปนี้ต่างหากที่เธอตั้งใจมาหยิบ...กุญแจห้องย่าอมินตา

นับตั้งแต่การจากไปของย่าอมินตา มุกดายังคงทำใจไม่ได้ทุกครั้งกับการก้าวย่างไปยังส่วนต่างๆภายในบ้านหลังนี้ ทั้งห้องรับแขกทึบแสงที่ย่าเคยนั่งเล่น เคยนั่งทำนายดวงให้กับบรรดาผู้คนมากมาย เทียนไขหลายเล่มภายในตัวห้องถูกวางทิ้งไว้ ราวตอกย้ำว่าครั้งหนึ่งมันเคยสว่างไสวด้วยมือของผู้เป็นย่า หลายคนนับถือผู้เป็นย่าของเธอว่าเป็นผู้มีญาณทิพย์ สามารถล่วงรู้ถึงชะตาชีวิตของใครต่อใคร แต่สำหรับมุกดาไม่เคยคิดถึงผู้เป็นย่าในแง่นั้น แม้ย่าอมินตาจะมี ‘อะไรบางอย่าง’ พิเศษกว่าคนอื่น เธอกลับเห็นย่าอมินตาเป็นเพียงบุพการีเพียงคนเดียวที่เธอรักและเคารพ ดังนั้นเมื่อการสูญเสียครั้งใหญ่มาถึง หญิงสาวจึงตัดสินใจหันหลังให้กับความเศร้าด้วยการพาตัวเองออกไปจากบรรยากาศเก่าๆภายในบ้านสีเบจ หากนานๆครั้ง มุกดาก็ยังคงกลับมาเยี่ยมบ้านหลังนี้...กลับมาหาผู้เป็นย่าของเธอเสมอ

มือบางยกกรอบรูปสีขาวขนาดใหญ่ให้เผยอขึ้นจากผนังกำแพง ก่อนสอดมืออีกขึ้นหนึ่งเข้าไปควานหากุญแจที่ถูกซ่อนไว้เบื้องหลังภาพวาด ไม่นานหญิงสาวก็สามารถหยิบกุญแจประตูห้องออกมาได้ เธอถือมันมาสอดเข้าไปยังลูกบิดบานประตูถัดออกไปไม่ไกลนัก ประตูห้องนอนของย่าอมินตาเป็นประตูบานเดียวภายในบ้านที่ถูกล็อกไว้ตลอดเวลา
เบื้องหลังบานประตูไม้คือห้องนอนขนาดใหญ่ แสงอาทิตย์ยามบ่ายลอดผ่านม่านเนื้อหนักเข้ามาได้เพียงรำไร ส่งผลให้ภายในห้องนอนตกอยู่ในความมืดสลัว มุกดากวาดสายตามองไปรอบห้องเพื่อควานหาสวิตช์ไฟ
“มืด น่ากลัวจังเลยพี่สาว ไม่มีผีอยู่ในห้องนี้แน่นะ” สิตางศุ์ที่ยังคงลอยตามติดเธอมาไม่ห่างถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆเล็กน้อย

“ถึงมีก็ผีคุณย่าพี่เอง จะกลัวทำไม พี่เองก็อยากพบท่าน”
นั่นคืออีกหนึ่งเหตุผลของการกลับมาบ้านในวันนี้ เมื่อคืนนี้หลังจากเธอสามารถมองเห็นวิญญาณดวงอื่นๆได้ มุกดาก็แอบคาดหวังในใจว่า บางทีดวงวิญญาณย่าอมินตาของเธออาจจะยังล่องลอยอยู่ในภพภูมินี้
“ไม่มีใครอยู่หรอก ในห้องนี้มีแต่พวกเรา” กะทิเป็นฝ่ายตัดความหวังของมุกดาลงผ่านทางคำพูดของสิตางศุ์
“งั้นเหรอ” น้ำเสียงของหญิงสาวมีร่องรอยความเศร้าสร้อยพาดผ่าน
มือบางค่อยๆแหวกม่านสีขาวซึ่งคลุมมิดอยู่รอบเตียงนอนออก สิตางศุ์ซึ่งกำลังลอยละล่องเล่นไปรอบห้องถึงกลับหน้าเหวอ ลอยมาหลบหลังเธอ

“พี่สาวกะ...เก็บศพคุณย่าไว้ในห้องนี้เหรอ” เสียงเล็กๆถามขณะหลับตาปี๋ ไม่กล้าจ้องมองไปยังร่างไร้ลมหายใจของหญิงชราบนเตียงนอน
“เป็นผีแล้วยังจะกลัวอีก” มุกดาส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจแกมขำขัน

อันที่จริงมุกดาก็กลัวผี สมัยเด็กเธอมักมีลางสังหรณ์เรื่องสิ่งเร้นลับมากกว่าใคร สร้างความหวาดกลัวให้กับเธอเมื่อครั้งยังเยาว์ไม่น้อย แต่ตลอดมาหญิงสาวไม่เคยเผชิญหน้ากับเหล่าวิญญาณชัดเจนขนาดนี้ ส่วนใหญ่มักมาในรูปแบบของลางสังหรณ์ ความรู้สึกวูบวาบราวกับมีใครจับจ้องอยู่ เธอไม่เคยเห็นวิญญาณดวงใดชัดเจนขนาดสิตางศุ์ ส่วนหนึ่งมุกดามั่นใจว่าการเปิดสัมผัสที่หกของเธอให้เด่นชัดได้ขนาดนี้มีสาเหตุมาจากแหวนมูนสโตนที่สวมติดนิ้วอยู่ ดังนั้นหญิงสาวจึงคาดหวังอยู่ลึกๆว่าการกลับมาบ้านในวันนี้จะทำให้เธอได้พบกับย่าอมินตา
หญิงสาวทรุดกายนั่งลงข้างร่างของย่าอมินตา มือบางเอื้อมมือไปแตะยังบริเวณหลังมือเหี่ยวย่นแต่เพียงแผ่วเบา ผิวหนังของย่าไม่ได้นุ่มเหมือนทุกครั้งที่เธอเคยสัมผัส มันแข็งกระด้างและเย็นเฉียบ บ่งบอกชัดเจนว่าผู้นอนหลับอยู่เบื้องหน้าเธอเป็นเพียงร่างไร้ลมหายใจ

“ทำไมร่างคุณย่าของพี่สาวถึงไม่เน่าล่ะ” เมื่อเห็นทุกอย่างเงียบสงบ ไม่มีอะไรน่าสยดสยองเหมือนที่นึกหวั่น สิตางศุ์เลยเริ่มชะโงกหน้าเข้ามามอง
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ย่าของพี่มักมีอะไรให้ประหลาดใจเสมอ ท่านเป็นคนมีอำนาจพิเศษ ลึกลับ และยากจะเข้าใจ” เธอบอกสิตางศุ์ขณะก้มลงมองแหวนสีชมพูบนนิ้วกลาง “แหวนวงนี้ก็เป็นของย่าพี่ พี่ได้มันมาก่อนท่านจะสิ้นใจ นั่นเลยทำให้เราได้พบกันรู้ไหม”
คราวนี้ผีขี้กลัวอย่างสิตางศุ์เลยยิ้มแฉ่ง ลอยเข้ามาใกล้ร่างบนเตียงมากขึ้น

“งั้นหนูก็ต้องขอบคุณคุณย่าของพี่สิ ท่านทำให้หนูได้พบกับพี่” เด็กหญิงพนมมือไหว้ร่างไร้วิญญาณของย่าอมินตา
มุกดามองภาพร่างของผู้เป็นย่ากำลังหลับสนิทอยู่บนเตียงนอน ความทรงจำเมื่อครั้งวัยเยาว์ผุดพรายขึ้น เธอเห็นตัวเองยังเป็นเด็กเล็ก วิ่งเล่นไปทั่วบ้านกับมาริณ โดยมีมัชฌิตาที่แม้จะไม่ยอม ‘เล่นอะไรแบบเด็กๆ’ เหมือนน้องสาวอย่างพวกเธอ แต่มัชฌิตาก็ยังมักจะอยู่ใกล้ชิดพวกเธอเสมอ ช่วงเวลาในวัยเด็กของพวกเธอกับมาริณแม้จะผ่านการสูญเสียทั้งบิดามารดามา แต่มุกดาก็ยังเป็นคนมองโลกในแง่ดี ความเศร้าจึงอยู่กับเธอไม่นานนัก ชีวิตสดใสในวัยเด็กกลับมาอีกครั้งเมื่อเธอย้ายมาอยู่กับผู้เป็นย่าในบ้านสีเบจแห่งนี้ ทุกที่ภายในบ้านมีความทรงจำ มีความหลังในทุกส่วนยามเหลียวมอง

มุกดานั่งนิ่ง ทอดสายตามองร่างไร้วิญญาณของผู้เป็นย่าอยู่พักใหญ่ ก่อนจะนึกถึงน้องสาวขึ้นมาได้ มือบางจึงเอื้อมลงไปหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าขึ้นมาโทร.หาน้อง แล้วก็ต้องส่ายหน้ากับความขี้ลืมของมาริณ เมื่ออีกฝ่ายดันลืมนัดของเธอได้ ทั้งๆที่เพิ่งคุยกันไม่ชั่วโมงดีด้วยซ้ำ ดังนั้นหลังจากยกเลิกนัดกับน้องสาว เธอเลยหันมาบอกสิตางศุ์ซึ่งลอยวนรอคอยเธออยู่นานแล้ว

“ไปซื้อของกันดีกว่า พี่จะได้ไปทำบุญให้ย่าแล้วก็พวกเธอด้วย”
“พี่สาวจะทำบุญให้พวกหนูด้วยเหรอ” สิตางศุ์ถามด้วยน้ำเสียงดีใจ
“อืม ไปกันเถอะ สายมากแล้ว”

************ โปรดติดตามตอนต่อไป ตอนที่ 5 ชื่อตอน ตามรังควาน **************



ริญจน์ธร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ม.ค. 2555, 11:17:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ม.ค. 2555, 11:17:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 2331





<< บทที่ 4/1 เพื่อนร่วมห้อง   
ริญจน์ธร 13 ม.ค. 2555, 11:36:18 น.
ตอบคอมเม้นจ้า
คุณ Sansanook ลองติดตามอ่านกันต่อนะคะ ยังไม่เฉลย อิอิ

คุณ nako เอาตอนต่อไปมาฝากแล้วนะคะ ^^

คุณ jink น้องตางศุ์พาผีเด็กแถวๆ นั้นเข้ามาเล่นค่ะ เพราะพี่มูนดันหลุดปากอนุญาตออกไป

คุณ ameerahTaec ^___^ ตอนเขียน คนเขียนก็อินค่ะ นึกว่าเป็นมุกดาซะแล้ว อิอิ

คุณ หมูอ้วน น้องตางศุ์น่ารัก แต่ก็ยังเป็นผีนี่เนอะ คนเขียนเอง เรื่องนี้ก็จ้องเขียนกลางวัน

คุณ Neferretti รอลุ้นต่อนะคะ แต่ช่วงนี้อาจน่ากลัวไปนิด แต่รับรองว่าสนุกค่ะ ^^

คุณ silverraindrop มูนขี้ใจอ่อนกับเด็กค่ะ ลองตามอ่านดูนะคะว่าความป่วนของตางศุ์จะสร้างเรื่องอะไรบ้าง


silverraindrop 13 ม.ค. 2555, 11:55:40 น.
รอลุ้นตอนหน้าค่ะ แค่ชื่อตอนก็ตื่นเต้นแล้ว


Auuuu 13 ม.ค. 2555, 12:08:32 น.
ใครรังควานใครกันละนี่ ลุ้นๆๆ


Zephyr 13 ม.ค. 2555, 13:36:16 น.
รังควาน ถ้าวาริทตามรังควานก็โอเคนะคะ แต่ถ้าคนอื่นนี่ คง...หึหึ


หมูอ้วน 13 ม.ค. 2555, 13:53:52 น.
ตอนหน้า จะเป็นคนหรือ...หนอ คิดแล้วขนลุกอ่ะค่ะ หุหุ


ameerahTaec 13 ม.ค. 2555, 17:37:24 น.
แอร๊ยยยย คุณวาริทททททท ผีตัวข้างนอกป่าวตามรังควาน


ใบบัวน่ารัก 17 มิ.ย. 2555, 11:17:44 น.
ได้หรอ เก็บศพ ไว้ในบ้าน
ไม่เน่าไม่มีกลิ่นหรือ น่ากลัว
ปรามๆสิตางบ้าง ซนมาก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account