น้ำผึ้งในคืนคาว
“คุณไม่ใช่ผู้ชายคนแรกของฉัน”

มาชาบอกกับโรม
ชายที่ความเข้าใจผิดเคยทำให้เธออยู่ในอ้อมแขนของเขาเพียงคืนเดียว
เมื่อชายหนุ่มตามหาเธอพบอีกครั้ง
และลักพาเธอจากเมืองกรุงโดยไม่สนใจกฎเกณฑ์ใด

ท่ามสายลมแห่งความรักและพายุแห่งความใคร่
วิถีทางแห่งหัวใจอ้างว้างทั้งสองดวง
จะถูกพัดพาไปในทิศทางใด?

Tags: คู่นอน ชั่วคราว รัก ใคร่ ผลประโยชน์

ตอน: บท๑

น้ำผึ้งในคืนคาว


บทนำ

หวานเหมือนน้ำผึ้ง...กรีดหยดน้ำตา...ฆ่าเราได้เหมือนยาพิษ...นั่นล่ะคือรัก

แต่หากไม่ได้เริ่มต้นที่ความผูกพัน...สิ่งนั้นจะถูกเรียกว่าความรักอยู่ไหม?



กระจกใสบานนั้นกั้นอาณาเขตภายในห้องกับระเบียงซึ่งมองลงไปเห็นแต่แสงสีของเมืองกรุงยามรัตติกาล ตึกสูงระฟ้ากำลังเปล่งสีสันคล้ายการอวดแข่งกันระหว่างแมลงกลางคืนหลากสี ถนนหนทางมีแต่แสงไฟสว่างราวกับชีพจรคนข้างล่างยังไม่หลับใหลแม้ในยามราตรี

คงไม่ต่างจากชีพจรของเธอในขณะนี้ซึ่งกำลังคร่อมจังหวะจนแทบขาดรอน

มือเรียวบางตะปบกับบานกระจกเย็นชืด ส่งผ่านความรู้สึกไหวพล่านในตัวตนที่พื้นผิวราบเรียบเช่นนั้นคงไม่อาจร่วมรับรู้ ปลายเล็บจิกลากไล่ลงมาจนตกลงมาถึงผิวเตียงยับยู่ และในที่สุดก็ค่อยๆ ไขว่คว้าหาอะไรบางอย่าง ก่อนจะพบว่าไม่มีอะไรมั่นคงกว่าการกอบกุมใบหน้าของใครคนหนึ่งซึ่งกำลังมอบความรู้สึกแทบขาดใจนี้เข้ามาในตัวตน

จมูกรั้นงามของหล่อนเกลือกกับเนินบ่าจรดแผงอกของเขาในทุกครั้งที่ความต้องการของเขาถาโถมเข้ามาในเรือนร่าง แม้ในความมืดสลัว...แต่จากสัมผัสที่เคยได้ลูบไล้ล้วนบ่งบอกถึงมัดกล้ามที่เต็มไปด้วยพลานามัย กลิ่นเหงื่อสะอาดของเขาช่างเต็มไปด้วยแรงดึงดูดจนทำให้ลมหายใจเธอสั่นระรัว

ปลายนิ้วหญิงสาวลากไปตามแนวโค้งของศีรษะได้รูปของเขารับกับจังหวะการรุกเร้าที่เขามอบให้ และในที่สุดก็จิกแน่นอยู่ในกลุ่มเรือนผมสั้นของเขาอย่างบ่งบอกว่าอะไรบางอย่างในตัวหล่อนกำลังมาถึงขีดสุด

หล่อนสะบัดหน้าเข้าหาผ้าห่มยับยู่และจิกกัดแน่น ระบายความไหวพล่านที่ทำให้เธอแทบกรีดร้องออกมาดังๆ

คล้ายถูกโยนขึ้นบนฟ้า...ก่อนจะตกลงมาและรับรู้ถึงสายฝนเย็นฉ่ำชโลมลึกไปถึงขั้วหัวใจ

ไม่เพียงเธอที่ถูกพาไปยังที่แห่งนั้นแล้ว แต่เธอรู้ว่าเขาเองก็กำลังไปถึงจุดหมายปลายทางเช่นกัน

ดวงตาของเธอเหมือนพร่าพราย แต่ดวงตาของเขากำลังมองทุกอย่างชัดเจนขึ้น ใบหน้าของเขาซึ่งนับแต่นี้จะถูกเธอจดจำไปจนตายทรุดฮวบลงแต่ยังจดจ้องเธอแน่นิ่ง เสียงหอบหายใจของเขากำลังสอดประสานกับเสียงลมหายใจของเธอราวกับเป็นคนคนเดียว

ทุกอย่างผ่านพ้น สมบูรณ์แบบราวกับไม่คาดฝัน ที่ผิดพลาดไปคงมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

เธอยังไม่รู้จักเขา...และเขาก็ยังไม่รู้จักเธอ...

))))))))))-((((((((((



บทที่ ๑

“มารับเช็คแทนพริกเหรอชาร์ม”

หญิงสาวรูปร่างเพรียวบางในชุดเสื้อป่านสีฟ้าอ่อนกางเกงยีนส์เข้ารูปสีเข้มเหลียวมองที่มาของเสียงทักถามทันทีที่หล่อนก้าวเข้ามาในแกลเลอรี่เล็กๆ แห่งหนึ่ง ใบหน้าทรงรีใต้กรอบเรือนผมยาวสยายดูคล้ายมีเลือดฝาดสีชมพูระเรื่อเพราะเดินฝ่าไอแดดมาจนถึงภายในอาคารซึ่งปรับอากาศไว้เย็นฉ่ำ ดวงตาสีน้ำตาลใสราวแก้วประกายรอยยิ้มขณะพุ่มมือไหว้เจ้าของสถานที่ พลางส่งเสียงอธิบายนุ่มนวล

“ค่ะพี่เกรซ คือว่าพริกเขาเกิดไข้ขึ้นน่ะค่ะ ก็เลยให้ชาร์มมารับเช็คแทน น่าขำชะมัด...ปกติพริกเขาอึดกว่าชาร์มมากเลยนะคะเนี่ย แต่เวลาทรุดทีนึงนี่หนักเลยค่ะ...ต้องนอนแบ็บอยู่โรงพยาบาล”

“แล้วนี่ชาร์มรับเช็คแล้วต้องกลับไปเฝ้าพริกไหมเนี่ย?”

“พริกบอกว่าไม่ต้องค่ะ ญาติเขาจากต่างจังหวัดเพิ่งมากันเต็มห้อง พอรับแล้วชาร์มก็คงจะกลับเลย อันที่จริงพริกก็ดีขึ้นมากแล้วล่ะค่ะ มีญาติๆ มาดูแลแบบนี้พรุ่งนี้ก็คงกลับมาอยู่ห้องได้แล้ว”

“งั้นรอแป๊บนึงนะ พี่จะเอาเช็คมาให้”

หญิงสาวยิ้มละไมให้ผู้เป็นเจ้าของแกลเลอรี่ ก่อนหย่อนกายนั่งที่ชุดโซฟาเล็กๆ ซึ่งจัดวางอยู่ไม่ไกลจากประตูทางเข้านัก หญิงสาวเหลียวมองรอบด้านด้วยความเคยคุ้น เพราะแม้จะไม่ได้เป็นคนทำงานให้แกลเลอรี่แห่งนี้เสียเอง แต่เธอก็มาที่นี่กับพริกซึ่งเพิ่งได้เข้ามาเป็นศิลปินประจำแกลเลอรี่นี้อยู่บ่อยครั้ง

มาชา หรือ ชาร์ม เป็นเพื่อนรักของพริก...พวกเธอสนิทสนมกันมานานและอาศัยอยู่ในห้องเช่าห้องเดียวกัน แม้ว่ามาชาจะไม่ได้เป็นจิตรกร แต่เธอก็ช่วยงานพริกจนเหมือนเป็นศิษย์ก้นกุฏิของเพื่อนตัวเองคนหนึ่ง เจ้าของแกลเลอรี่จึงรู้จักมาชากับพริกในฐานะคู่หูดูโอ้ที่ติดกันยิ่งกว่าปาท่องโก๋ และการปรากฏกายแทนกันแบบนี้ก็เป็นสิ่งสามัญที่ทุกคนในแกลเลอรี่เล็กๆ นี้คุ้นเคยดี

“นี่จ้ะเช็ค งานนี้พริกได้เยอะหน่อย...เพราะลูกค้าชอบใจงานเขามากน่ะ”

สาวใหญ่เดินกลับมาพร้อมซองกระดาษยื่นให้หญิงสาว มาชารับมาเปิดซองดูเล็กน้อยก่อนเก็บลงกระเป๋าสะพายให้เรียบร้อย หล่อนรู้ว่าพริกคงจะอิ่มใจที่ผลงานซึ่งทุ่มเทแรงกายและแรงใจไปได้สิ่งตอบแทนคุ้มเหนื่อยขนาดนี้ แม้ว่าพริกเพิ่งจะได้เข้ามาเป็นจิตรกรสังกัดแกลเลอรี่เต็มตัว...แต่นี่ก็นับเป็นย่างก้าวแรกที่สวยงามไม่เลว

“แล้วตอนนี้ชาร์มทำอะไรอยู่ล่ะ คิดจะมาเป็นจิตรกรแบบพริกบ้างไหม” สาวใหญ่ถามต่อ

“ไม่ไหวหรอกค่ะพี่เกรซ ฝีมือชาร์มยังไก่อ่อนอยู่เลย” หญิงสาวถ่อมตัว “ตอนนี้ชาร์มก็ยังเป็นฟรีแลนซ์ไปเรื่อยค่ะ มีออกแบบเสื้อกับพริกไปขายตามตลาดนัด แล้วก็งานออกแบบหน้าปกสิ่งพิมพ์ของพวกมูลนิธิกับองค์กรเอ็นจีโอที่ยังมีมาเรื่อยๆ เหมือนเดิม”

“เรียกว่ายังวนๆ อยู่กับวงการเดิมที่พริกเคยพาไปอยู่สินะ” เจ้าของกิจการศิลปะเอ่ยเป็นเชิงเปรย “อืมชาร์ม...พี่ขอพูดอะไรตามตรงนะ พี่ว่าชาร์มเป็นคนสวย...สวยจัดคนนึงเลยล่ะ พูดกันตรงๆ พี่ว่าชาร์มน่าจะทำอะไรที่เกี่ยวกับต้นทุนเรื่องหน้าตาตรงนี้ได้ ทำไมชาร์มไม่ลองทำดูล่ะ”

คนถูกชมเพียงยิ้มเก้อๆ อย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก หากนั่นทำให้เจ้าของแกลเลอรี่พิจารณาอากัปกิริยานั้นอย่างสังเกต แม้แต่รอยยิ้มก็ยังเป็นการแสดงออกเพียงในวงหน้า...ไม่ใช่ยิ้มกว้างขวางปลดปล่อยอารมณ์เต็มที่อย่างคนทั่วไป

“พี่ดูออกนะ ชาร์มน่าจะเคยอยู่ในแวดวงสังคมที่ดีมาก่อนใช่ไหม”

สาวใหญ่สันนิษฐานด้วยความมั่นใจ มาชาไม่ได้ตอบคำถาม...หล่อนเพียงแต่สบตาอีกฝ่ายวูบหนึ่งก่อนจะหรุบลงต่ำอย่างไม่ต้องการขยายความในประเด็นนี้นัก

“อย่าแปลกใจที่พี่พูดแบบนั้น พี่เองก็เคยเกิดและเติบโตอยู่ในแวดวงสังคมที่คล้ายๆ กับชาร์ม” คนพูดสบตาหญิงสาว “พี่ก็เคยสงสัยนะว่าทำไมต้องมาอบรมมารยาทพี่ซะขนาดนั้น จะกินจะนอนจะนั่งจะคิด...โอ๊ย...มันอึดอัดไปหมด แต่พอถึงจุดนึงพอมองย้อนไปแล้วก็เลยเข้าใจว่าทำไม ก็เพราะคนรวยต้องการปลูกฝังให้กิริยามารยาทพวกนี้มันฝังอยู่ในกมลสันดานไง ขอโทษที่พี่ใช้คำแรงไปหน่อยนะ แต่ว่าในที่สุดสิ่งนี้ก็จะแสดงออกมาเป็นออร่า...ไอ้แบบที่ชาวบ้านเขาเรียกว่าราศีผู้ดีจับนั่นแหละ มันจะทำให้คนรวยด้วยกันมองเห็น...แล้วในที่สุดก็เข้ามาจับคู่กันเอง เพราะอย่างนั้นเราถึงไม่ค่อยเห็นรักข้ามชนชั้นเหมือนในละครหรอก เพราะในสายตาคนรวยจะสแกนเห็นแต่คนรวยด้วยกันเท่านั้น มันจะมามองชาวบ้านธรรมดาๆ ได้ยังไงกัน”

มาชานิ่งฟังเจ้านายใหญ่ของเพื่อนพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่นาน ดวงตาใสราวแก้วในแผงขนตาหนาหรุบลงต่ำ...คล้ายมีกระแสเงาวูบวับเมื่อหวนคิดถึงห้วงอดีตลึกล้ำเพียงลำพัง

“พี่เกรซพูดซะชาร์มเห็นภาพเลยว่าชนชั้นในสังคมไทยมันเหนียวแน่นขนาดไหน” หล่อนเปรยขึ้นเป็นเชิงยอมรับ “แต่ว่าชาร์มก็ขอบอกพี่เกรซตามตรงว่าชาร์มก็ไม่ได้เคยมีชีวิตเลิศหรูอะไรนักหรอกค่ะ มันก็เป็นแค่ช่วงนึงของชีวิตเท่านั้นเอง อันที่จริงชาร์มคิดว่าตัวเองหลุดจากวงโคจรแบบนั้นมานาน...อะไรๆ มันก็เลือนๆ ไปแล้ว ไม่คิดเลยนะคะว่าพี่เกรซจะยังมองออก”

“ผีย่อมเห็นผีด้วยกันไง” สาวใหญ่ยิ้มทะเล้นอย่างภาคภูมิ “เอาเป็นว่าอดีตก็เป็นอดีต เราอย่าไปพูดถึงมันดีกว่าเนอะ จริงสิชาร์ม...ค่ำนี้ว่างไหม...พี่อยากชวนไปผับที่เหมาภาพวาดจากแกลเลอรี่ของเราไปประดับในนั้นด้วยกัน”

“ผับเหรอคะ...”

มาชาเลิกคิ้ว ก่อนจะก้มมองสารรูปตัวเองซึ่งเรียกได้ว่าปอนๆ เต็มที่ เสื้อผ้าแบบนี้ไม่เหมาะกับการไปเที่ยวกลางคืนในที่แบบนั้นแน่ๆ ยิ่งเธอก็รู้มาจากพริกว่าสถานท่องเที่ยวราตรีแห่งนั้นออกจะหรูหราไม่น้อย

“พี่มีชุดให้ชาร์มนะ...ไปด้วยกันสิ เจ้าของผับเขาชวนพี่เองแหละ ไปเปิดหูเปิดตากันบ้างจะเป็นไรไป พี่จะพาชาร์มไปขึ้นเช็คที่ธนาคารก่อนก็ได้ พี่อยากแต่งตัวสวยๆ ให้ชาร์มมานานแล้ว วันนี้แฟนพี่ก็ไม่อยู่...พี่จะควงชาร์มไปด้วยดีกว่า ไปกันเถอะน่าชาร์ม...ลองทำตัวเป็นผีเสื้อราตรีกันดูสักวันจะเป็นไรไป”

สาวใหญ่พูดเองเออเองอย่างไม่ฟังเสียงหรือท่าทีอิดออดของหญิงสาว มาชาได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนใจแต่สุดท้ายก็ยอมถูกลากไปถึงลานจอดรถด้วยจนได้

หญิงสาวไม่ได้สนใจการจะไปปรากฏตัวในสถานเริงรมย์พวกนั้นนัก มาชาไม่ใช่นักเที่ยว แม้ว่าเธอจะไม่ใช่สมาชิกของโลกสว่างเพราะงานฟรีแลนซ์ของเธอมักจะใช้สมาธิที่โลดแล่นในตอนกลางคืน แต่หญิงสาวก็ไม่เคยทำตัวเป็นผีเสื้อราตรีเพราะเธอรู้สึกว่านั่นก็ไม่ใช่โลกของเธอ

ปีกผีเสื้อบอบบางกำลังจะกรีดกราย สิ่งที่แฝงเร้นรอคอยอยู่ในค่ำคืนนี้อาจมีบางอย่างเหนือความคาดหมาย แต่มาชาไม่เคยกลัวเรื่องพวกนั้นเพราะเธอเองก็ใช่ว่าจะไร้เดียงสาและบริสุทธิ์ต่อโลก หากสิ่งที่เธอไม่คาดคิดก็คือ...บางอย่างซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในคืนนี้จะเปลี่ยนแปลงชีวิตเธอไปตลอดกาล

))))))))))-((((((((((

เกรซ...เจ้าของแกลเลอรี่เล็กๆ ซึ่งมีเงินทุนหมุนเวียนไม่ขาดมือเคยเป็นสาวสังคมมาก่อน อย่างน้อยนามสกุลของหล่อนก็เป็นที่รู้จักชนิดที่เอ่ยออกไปทุกคนก็ต้องร้องอ๋อ ดังนั้นการไปปรากฏตัวตามแหล่งท่องเที่ยวยามราตรีหรูหราของเจ้าหล่อนจึงไม่ใช่ภาพที่เหนือการคาดหมายนัก แต่หญิงสาวที่ถูกหล่อนควงแขนมาด้วยนั้นต่างหากที่ไม่เคยปรากฏในวงสังคม...และรูปลักษณ์ของเธอก็ดูดีเกินจะเป็นผู้ช่วยซึ่งจะคอยเดินตามต้อยๆ เท่านั้น

มาชาไม่ได้ตื่นเต้นกับการปรากฏตัวในที่แบบนี้ดังที่สาวใหญ่คาดเดาไว้ สายตาของหล่อนเฉยชาเมื่อเกรซบุ้ยใบ้บอกหล่อนว่าคนโน้นคนนี้เป็นใครและโด่งดังเพียงใดในวงสังคม หล่อนมองพวกเขาด้วยแววตานิ่งสงบ และไม่มีอาการสะทกสะท้านแบบสาวรุ่นแม้แต่น้อยเมื่อบรรดาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่จับจ้องที่เรือนร่างแบบบางหากซ่อนทรวดทรงสมส่วนพอดีตัวของเธอ

เกรซแยกตัวไปแล้ว มาชาจึงนั่งเพียงลำพังที่ชุดโซฟา เวลาสวมชุดเดรสกระโปรงเข้ารูปกับรองเท้าส้นสูง...หล่อนก็สามารถนั่งไขว่ห้างได้ราวกับนางพญามาจำแลง บางทีสิ่งที่เกรซพูดไว้อาจจะเป็นความจริง การอบรมมารยาทของกุลธิดาตั้งแต่วัยเยาว์นั้นทำให้จิตวิญญาณความเป็นผู้ดีสามารถแทรกซึมลงไปในทุกตารางนิ้ว มันจึงพร้อมจะแสดงออกมาเสมอแม้ว่าเธอจะอยากสลัดมันทิ้งมากแค่ไหนก็ตาม

ขนาดเธอพลัดจากวงสังคมแบบนั้นมานับนานแล้ว...แต่สิ่งนี้ก็ยังติดอยู่ในกิริยาท่าทางจนพี่เกรซสังเกตเห็นได้

ยิ่งได้มาสวมชุดเสื้อผ้ารวมถึงเครื่องประดับแต่พองามแบบนี้...ราศีความเป็นสุภาพสตรีมีราคาก็ยิ่งจับตัวหล่อนเหมือนได้พลังเสริมขึ้นอีกเท่าตัว

‘ชาร์มนี่เหมือนพวกนางในวรรณคดี เอวบางสองมือแทบโอบได้รอบ’

เกรซบอกหล่อนเช่นนั้นระหว่างที่ช่วยเธอเลือกเสื้อผ้า ตอนนั้นมาชาก้มมองเดรสแขนกุดสีดำคอวีที่เข้ารูปช่วงเอวบอบบางของหล่อน ก่อนเงยหน้ายิ้มน้อยๆ

‘ไม่เห็นรอบเลยค่ะ นี่ไงคะมือชาร์มยังแตะกันไม่ได้เลย’ เธอว่าพลางใช้มือทั้งคู่เท้าสะเอวตัวเอง

‘ไม่ได้หมายถึงมือตัวเอง แต่หมายถึงมือกว้างๆ ของผู้ชายต่างหาก’

เกรซแย้งดวงตาประกายวิบวับอย่างมีความหมาย พลางช่วยหญิงสาวจัดชุดช่วงกระโปรงด้านล่างให้เข้ารูปกับสะโพกกลมกลึงและเรียวขาขาวผ่องมากขึ้น

‘ปกติพี่เห็นชาร์มชอบแต่งชุดเสื้อผ้าโคร่งๆ แบบเดียวกับพริก แต่พี่ก็คิดอยู่ว่ารูปร่างจริงๆ ของชาร์มมันต้องอ้อนแอ้นแบบนี้แน่ๆ ชาร์มรู้ไหม...ชาร์มเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่มองแล้วให้ความรู้สึกเหมือนดอกไม้นะ’

หญิงสาวเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเจ้านายของเพื่อนสนิทพูดเช่นนั้น สาวใหญ่เจ้าของแกลเลอรี่เงยหน้ามองเธอพลางบรรจงสวมสร้อยข้อมือเส้นเล็กๆ ให้ข้อมือเล็กบางของหญิงสาว

‘ก็ชาร์มดูบอบบาง...มีค่า...แล้วก็น่าทะนุถนอมไง นี่ชาร์ม...บางทีก็มีจิตรกรบางคนก็ต้องการนางแบบนะ ถ้าชาร์มสนใจละก็ลองดูสักครั้งก็...แล้วพี่จะติดต่อให้’

ในตอนนั้นหญิงสาวได้แต่ยิ้มโรยๆ เหมือนไม่ได้ใส่ใจนัก ปกติมาชาไม่ค่อยได้แยแสความเป็นผู้หญิงที่ฉายชัดอยู่ในเรือนร่างแบบบางของตัวเอง เธอพอใจที่ใช้ชีวิตอิสระกับพริกเพื่อนสาวผู้พาเธอไปรู้จักรูปแบบใหม่ๆ ของชีวิตอยู่เสมอ การแต่งตัวปอนๆ เหมือนเพื่อนรักช่วยทำให้เธอไม่โดดเด่นเมื่อไปรู้จักโลกที่กว้างขึ้น แต่มันก็ยังไม่อาจกลบความบอบบางซึ่งเป็นธรรมชาติดั้งเดิมของเธอได้เลย

มาชานั่งจิบเครื่องดื่มของตัวเองเงียบๆ หล่อนไม่ได้รู้สึกสนุกไปกับบรรยากาศรื่นเริงรอบด้านเท่าใดนัก ตรงนี้เหมือนโลกที่หล่อนไม่รู้จัก และเวลานี้...หล่อนก็เพียงอดทนรอให้ถึงเวลากลับบ้านเพื่อจะพ้นไปจากสถานบันเทิงหรูหราและกลับคืนสู่โลกธรรมดาสามัญของตัวเอง

จนกระทั่งสายตาเหม่อลอยของหล่อนไปพบกับผู้ชายคนนั้น

จากตำแหน่งที่มาชานั่งอยู่...เขาอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร แต่อาจเพราะมีแขกเหรื่อในงานเดินผ่านไปมาหล่อนจึงไม่สังเกตเห็นเขาตั้งแต่แรก กระนั้น...มาชาก็ไม่แปลกใจที่เธอไม่เคยรับรู้ว่าที่ตรงนั้นมีเขาอยู่ ในเมื่อเขาไม่ใช่คนที่มีอะไรโดดเด่นแม้แต่น้อย ชุดเสื้อผ้าไม่ใช่สูทสำหรับออกงานหรูหราแบบหนุ่มสังคมชาวเมืองที่เดินกันขวักไขว่ เพียงแต่เอาเสื้อนอกทรงสูทสวมทับชุดเสื้อยืดกางเกงง่ายๆ เท่านั้น รูปหน้าทรงรียาวของเขาก็ไม่มีอะไรชวนสะดุดตา ทุกอย่างดูเรียบง่ายเหมาะแก่การมองแล้วผ่านเลย...ถ้าไม่เพราะดวงตาคมสีดำขลับซึ่งกำลังจับจ้องมาทางเธอคู่นั้น

มันช่างเป็นดวงตาที่เต็มไปด้วยแรงดึงดูดจนเธอรู้สึกเหมือนต้องมนต์

มาชาไม่รู้ว่าเธอประสานสายตากับเขาอยู่นานเท่าไหร่ แต่เมื่อมีคนกลุ่มใหญ่เดินเข้ามาหาและทักทายผู้ชายคนนั้นและคงจะเป็นกลุ่มเพื่อนของเขา...หล่อนจึงได้ถอนสายตากลับมาช้าๆ อย่างยากเย็น

เธอรู้ว่าตัวเองกำลังจะสูญเสียการควบคุม นี่เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยเป็นมาก่อนในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้

มาชาลุกขึ้นจากที่นั่ง หล่อนอยากกลับบ้านก่อนเวลาตามที่นัดกับเกรซเอาไว้ กระนั้นหญิงสาวก็ต้องการบอกกล่าวรุ่นพี่สาวใหญ่ก่อนจะหาทางกลับโดยพลการเช่นนั้น มาชาหยิบโทรศัพท์ออกมาและกดหาอีกฝ่ายระหว่างที่เดินตัวปลิวออกมาข้างนอก

“พี่เกรซ ขอโทษนะคะ...คือชาร์มขอตัวกลับก่อน เดี๋ยวชุดกับแอคเซสเซอร์รี่ที่พี่ให้ยืมชาร์มจะส่งคืนให้วันพรุ่งนี้นะคะ”

“ชาร์ม...เดี๋ยวสิ ไปรอพี่ที่รถสักพักได้ไหม พี่ก็กำลังจะกลับแล้วล่ะ”

“ไม่เป็นไรค่ะพี่ ชาร์มกลับแท็กซี่เองก็ได้”

“ไม่เอาน่า...พี่ไปส่งเอง แต่พี่ติดคุยกับเพื่อนคนนึงอยู่ รอสักพักนะ...แล้วพี่จะออกไป”

อีกฝ่ายตัดสายเพียงเท่านั้น มาชาจึงได้แต่มองโทรศัพท์มือถือของตนแล้วถอนใจเบาๆ ในเมื่อรุ่นพี่ผู้มีศักดิ์เป็นนายของเพื่อนออกปากเช่นนี้หล่อนก็คงไม่มีทางเลือกอื่น หญิงสาวเบนเส้นทางออกไปยังลานจอดรถซึ่งบางส่วนอยู่ในความมืดสลัว ทิ้งผับหรูซึ่งกำลังครึกครื้นด้วยงานรื่นเริงอยู่ด้านหลังไกลขึ้นทุกที

แต่...รถของพี่เกรซอยู่ไหนล่ะ...

มาชามีทักษะจำทิศทางอยู่ในระดับต่ำมาก หลายครั้งเธอจึงต้องพึ่งพาพริกเวลานั่งรถเมล์ไปไหนต่อไหน ภายในลานจอดที่กว้างขวางแบบนี้ทำเอาเธอเริ่มสับสน รถประจำตำแหน่งของเกรซก็เป็นรถสีเรียบๆ ไม่สะดุดตา จนหญิงสาวนึกโทษตัวเองที่ไม่รู้จักสังเกตทะเบียนรถของรุ่นพี่สาวคนนี้ให้ชัดๆ ก่อนมาด้วยกัน

คันนี้ละมั้ง...

หญิงสาวบอกตัวเองเมื่อเดินมาถึงรถยนต์สีเทาเงินคันหนึ่ง เธอจำได้ว่ามันเป็นรถรุ่นเดียวกับที่เธอนั่งมาในวันนี้ มาชายืนเหลียวซ้ายแลขวา...หล่อนรู้ว่าควรจะใจเย็นรอรุ่นพี่สาวใหญ่ในผับแล้วค่อยเดินมาด้วยกัน แต่เวลานี้เธอก็มาถึงรถแล้ว และก็ได้แต่คาดหวังว่าเจ้าของแกลเลอรี่สาวคนนั้นจะเสร็จธุระเร็วๆ เสียที

ผ่านไปครู่ใหญ่...มาชายังยืนหันรีหันขวางเพียงลำพัง

เธอหยิบโทรศัพท์มือถือมาดูเวลา มันนานเสียจนเธอคิดว่าคงไม่ต้องรอเจ้าของรถอีกต่อไป เดินไปอีกนิดก็จะเป็นถนนใหญ่ และหญิงสาวคงจะโบกแท็กซี่ได้สักคันเพื่อจะกลับหอพัก

มาชากำลังจะก้าวออกไป เงาของร่างสูงใหญ่เงาหนึ่งก็สาดยาวลงทาบทับเส้นทางตรงหน้า

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นจากปลายรองเท้าซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นรองเท้าบุรุษช้าๆ

เป็นเขาคนนั้น...ชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีดำขลับเข้มคมซึ่งเคยสะกดสายตาเธอตั้งแต่แรกพบในผับ ร่างสูงของเขามาหยุดยืนที่ข้างรถสีเทาคันนั้น และเสียงปลดล็อกที่ดังขึ้นทำให้หล่อนรู้ตัวว่าที่เข้าใจว่านี่เป็นรถของพี่เกรซนั้นผิดถนัด แต่มันเป็นรถของผู้ชายคนนี้ต่างหาก

มาชาคิดส่งเสียงอธิบายสักคำว่าหล่อนไม่ได้เจตนาจะมาป้วนเปี้ยนแถวรถของเขา หากยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยอะไร ชายหนุ่มก็เปิดประตูรถ...ฝั่งข้างคนขับด้วยท่าทีที่หล่อนสามารถตีความได้ทันที

“ขึ้นรถสิ...”

สุ้มเสียงเรียบของเขาไม่บอกห้วงอารมณ์ใดๆ มาชานิ่งงัน เธอรู้ว่ากำลังจะมีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ในเวลานั้น สายตา...น้ำเสียง...ทุกๆ อย่างที่หลอมรวมเป็นตัวตนของเขา...มันล้วนเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่มีอานุภาพมหาศาล มาชารู้ว่าหล่อนไม่มีทางต้านเวทมนตร์ลี้ลับนี้ได้...และทุกอย่างก็เกิดขึ้นราวกับเธอถูกสะกดใจ

))))))))))-((((((((((

คอนโดมิเนียมกลางกรุงยูนิตใหญ่อยู่ในย่านที่รับทัศนียภาพกรุงเทพฯยามราตรีได้ถนัดชัดเจน ถนนเบื้องล่างยังเต็มไปด้วยรถราแล่นสวนกันไปมาจนกลายเป็นสีสันที่สวนทางกันแจ่มชัด แต่ไม่ว่าแสงสีพวกนั้นจะสวยงามเพียงใด...มันก็ไม่มีผลกับหนึ่งชายหนุ่มและหนึ่งหญิงสาวที่กำลังกอดรัดกันในทุกจังหวะการย่างก้าวเข้ามาในห้องนอนย่อยเลยแม้แต่น้อย

หญิงสาวหายใจแรงเมื่อใบหน้าของเขาผละจากริมฝีปากอิ่มและกำลังไล่ลงซุกไซ้ซอกคอขาวระหง ร่างของเขาช่างดูสูงใหญ่จนร่างบางดูคล้ายจมหายไปในอ้อมกอดของเขาได้ อุ้งมืออุ่นของเขาก็ช่างกว้างขวางจนรวบเอวด้านหลังของหล่อนได้ด้วยมือข้างเดียว

เป็นครั้งแรกที่เธอเข้าใจความหมายของเอวบางจนสองมือโอบได้รอบ มันคงคล้ายสิ่งที่เธอกำลังพบอยู่ตอนนี้ และเธอเชื่อว่าเขาคงทำเช่นนั้นได้หากไม่เพราะมืออีกข้างของเขาเอาแต่สาละวนลากไล้มอบสัมผัสหวามหวิวตั้งแต่เรียวขาเนียนสวย...สูงขึ้นเรื่อยๆ จนชายกระโปรงหล่อนถอยร่นขึ้นทีละน้อย

“ผมชอบคุณนะ...”

ชายหนุ่มยังมีแก่ใจหยุดยั้งการรุกโลมซึ่งกำลังทำให้สติสัมปชัญญะของหล่อนกระเจิดกระเจิง ร่างบางกำลังเอนลงตามการโอบอุ้มของเขา และเมื่อเธอรู้ตัวอีกครั้ง...ฟูกเตียงหนานุ่มก็แนบกับแผ่นหลัง มีร่างทั้งร่างของเขากำลังเอนทาบทับตามลงมาเหมือนดังกำแพงที่จะกักกันเธอไว้ที่นี่จนกว่าจะล่วงผ่านค่ำคืนนี้ไป

“ตั้งแต่มองตากันครั้งแรก...คุณก็มีอะไรที่ทำให้ผมลืมไม่ลง ผมไม่สนว่าคุณจะเป็นผู้หญิงแบบนี้...แต่ผมจะจ่ายคุณตามที่คุณต้องการ”

จบจากคำพูดนั้น...เธอรู้ทันทีว่าเขาหมายถึงอะไร

เขาเข้าใจว่าเธอเป็นผู้หญิงที่หากินด้วยเรือนร่างมาตั้งแต่รับเธอขึ้นรถ

แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลกลใด...ในตอนนั้นเธอก็ไม่มีความคิดที่จะต่อต้านชายหนุ่มแม้แต่น้อย

ในความดำมืดของราตรีกาลภายนอก...ห้วงอารมณ์ของมนุษย์นั้นอาจดำมืดและดิ่งลึกตามสัญชาตญาณแห่งความรักและความใคร่ยิ่งกว่ากัน มันเป็นแรงดึงดูดระหว่างสัตว์โลกเพศเมียและเพศผู้...ระหว่างสองขั้วแห่งความต่างซึ่งถูกลิขิตให้หลอมรวมกันโดยไม่จำเป็นต้องวางอยู่บนพื้นฐานของความผิดถูกใดๆ

))))))))))-((((((((((




อันธิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ม.ค. 2555, 16:19:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ม.ค. 2555, 16:19:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 1854





nutcha 18 ม.ค. 2555, 16:00:15 น.
น่าติดตามค่ะ


เพาพะงา 2 มิ.ย. 2555, 19:29:29 น.
น่าสนๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account