พิศวาสสายน้ำ
"เนื้อตัวไม่เคยให้ใคร แต่หัวใจขอรับจ้าง...เพื่อชดใช้ในสิ่งที่ทำผิดไป"
Tags: กระโดดตบ กระหน่ำจูบ

ตอน: ๕ ชลธี

...



๕ ชลธี



...




“พี่นุ...ที่พึ่งยามยากของทุกคนนี่ละ ช่วยเราได้แน่ๆ”

ครั้นภัทราวลีเอ่ยถึงพี่ชาย เจ้าตัวก็เดินผ่านหน้าบ้านมาพอดีราวกับรู้จังหวะ

ลษาจำได้ตั้งแต่สะดุดตาแวบแรกตอนที่เขายังอยู่นอกประตูกระจก มาดนิ่งๆ ดูสุขุมของภานุยังเป็นลักษณะเด่นของเขาเหมือนเดิม เป็นพี่ชายของเพื่อนที่มีแต่เมตตาและไมตรีให้ไม่เคยหมด

อยู่ดีๆ หญิงสาวก็เกิดกระอักกระอ่วนขึ้นมา ถ้าจะได้พบหน้ากันจริงๆ ก็เลยขอตัวไปล้างหน้าล้างตา หรืออีกแง่หนึ่งคือการแวะไปเรียกความมั่นใจในตัวเองกลับมาสักนิด
เธอใจไม่แข็งพอ รู้ดีว่า ความดีดั่งดวงแก้วของภานุมีอิทธิพลต่อใจตนยิ่งนัก ใจสั่นๆ ทีเดียวเมื่อแว่วยินเสียงสนทนาดังมาจากภายนอก

“พี่นุคะ ทายซิใครมาเอ่ย”

“ใครกันยัยลิลลี่ ดูท่าดีใจยังกะถูกล็อตตารี่รางวัลที่หนึ่ง”

“บอกให้เรียกหนูลี ยังจะเรียกลิลลี่อีก เรียกให้เหมือนคนอื่นๆ ซิคะ หนูลีชอบชื่อที่พี่ชาลส์ตั้งให้”

“ก็พี่ชอบดอกลิลลี่นี่ กลิ่นหอมออก ไอ้ชลมันจะตั้งว่าไงก็เรื่องของมันซิ เอาเถอะ...ว่าแต่ใครละที่ทำให้น้องตื่นเต้นนัก”

“พี่นุทายไม่ถูกแน่ๆ ค่ะ แต่...หนูลีก็จะให้ลองทาย”

หากไม่รอให้ภานุทาย ลษาก็หน้าเดินกลับออกมา ด้วยหน้าตาที่ผ่องใส่กว่าเดิม แต่ถ้าสังเกตดีๆ ก็อาจเห็นคราบแห่งความเศร้าโศกแฝงอยู่บนใบหน้าและนัยน์ตาที่แห้งโหย

ภานุตกตะลึง ถึงแม้จะดวงหน้าที่เคยสดใสจะหม่นหมองในวันนี้ เค้าของความสะอาดหมดจด ซึ่งเป็นภาพอันตราตรึงอยู่ในใจของภานุมาตลอดกลับเอาชนะได้ ภาพของน้องลษาไม่เคยเปลี่ยน ให้เวลาผ่านไปอย่างไร แต่สำหรับคนที่แอบหลงรักเช่นเขา ดวงใจยังจดจำแต่ภาพอันดีงามของช่วงเวลานั้นเอาไว้ ไม่เคยเปลี่ยน

ถ้าจะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลง คงคือความเป็นสาว ไม่นึกว่าจะสวยขนาดนี้ อายุเพียง 20-21 ปีเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ ไม่น่าเชื่อว่า หลายปีที่ไม่ได้เจอ ลษากลายเป็นผู้หญิงอย่างสมบูรณ์

พอลษาไหว้ ภานุรับไหว้แทบไม่ทัน

“พี่นุสบายดีนะคะ” เธอเริ่มทักทายก่อน

“ครับ...น้องษา”

“ลษามาขอความช่วยเหลือจากหนูลีคะ” เจ้าตัวบอกซื่อๆ ตรงๆ แต่ก็ไว้ตัวและเจียมตัวอยู่ในที ฐานะผู้มาขอความช่วยเหลือ

ได้ยินดังนั้น ภัทราวลีก็ทำหน้าสงสาร เดินเข้ามาโอบไหล่เพื่อนเพื่อถ่ายทอดความเห็นอกเห็นใจ แล้วหันมายังพี่ชายตัวเอง

“พี่นุช่วยหน่อยเถอะค่ะ หาทางทำยังไงก็ได้ ให้เพื่อนหนูลีไปจากกรุงเทพฯ ที”

ยังไม่หายงุนงงที่จู่ๆ ก็ได้พบคนซึ่งไม่คาดว่าจะได้เจอ น้องสาวก็กลับมาเพิ่มความแปลกใจให้มากขึ้นไปอีก

“พี่นุคะ...”

คำนั้นเป็นของลษา สองพี่น้องจึงหันไปมอง ก่อนจะตกใจเมื่อเห็นว่า น้ำตาของลษากำลังหยาดลงข้างแก้ม ด้วยไม่คาดฝันมาก่อนว่า เด็กสาวใจแข็งและแกร่งกล้าสมัยก่อน จะรินน้ำตาออกมาให้เห็นอย่างง่ายดายแบบนี้ ...เพียงแค่มีคำพูดไม่กี่คำมากระทบแผลในใจ

“ช่วยด้วยเถอะค่ะพี่นุ ช่วยลษาหาที่พักพิงครั้งนี้ด้วย ลษาจะไม่ลืมพระคุณของพี่เลย”

“ไหนลองเล่าเรื่องราวให้พี่ฟังหน่อย ค่อยๆ เล่านะครับ เอาตั้งแต่ต้น”

ภานุจริงจังขึ้นมาทันตาเห็น ขยับตัวนั่งตรง กว่าลษาจะเล่าได้สะดวก ก็ต้องให้ลูกสะอื้นที่ตีขึ้นมาเป็นระลอกๆ ต้องหยุดเสียก่อน จากนั้นก็เริ่มเล่าเรื่องราวที่เป็นต้นเหตุแห่งปัญหาในวันนี้

ฟังความอัดอั้นตันใจของเพื่อนน้องอยู่นาน นอกจากความเห็นใจที่มีให้มาตลอดจะเพิ่มขึ้นแล้ว ภานุก็หาทางออกให้กับปัญหาเฉพาะหน้านี้ได้ทันที เขานึกถึงชลธีที่เพิ่งจากไปเป็นคนแรก

“เออแน่ะ...ช่างพอดีอะไรยังงี้ เพื่อนพี่กำลังต้องการคนไปดูแลแม่เขาพอดี แต่ไม่ต้องการเด็กที่ไม่รู้ประสา อยากได้คนที่เข้าใจคนแก่หน่อย มีความรู้มากพอที่จะไม่เป็นแค่คนใช้ทั่วไป เขายกให้เป็นคล้ายๆ พยาบาลส่วนตัวเลยแหละ”

“ดูแลคุณน้าเพลินนะหรือคะ” น้องสาวถาม คงแคลงใจว่าทำไมต้องการพยาบาลใหม่
ภานุจึงเป็นฝ่ายอธิบายแทนบ้าง

“ใช่จ้ะลิลลี่ คือเจ้าชลมันตั้งใจจะพาคุณน้าไปอยู่ที่เกาะนางไห้ จำได้รึเปล่าที่พี่เล่าให้ฟังว่า พี่ช่วยมันออกแบบตกแต่งบังกะโลบนเกาะส่วนตัวของมันน่ะ”

“ว้าว...เกาะกลางทะเลอันดามันน่ะหรือคะ สวยไปเลยล่ะคะ” ภัทราวลีร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้น แล้วก็หันไปทางเพื่อน “นี่ตัว เราเคยไปด้วยแหละเกาะนางไห้ ซ้วยสวย ทะเลสีมรกต ปะการังก็ยังมีอยู่เยอะ ไม่น่าเชื่อว่าพี่ชาลส์จะไปได้ที่ดินตรงนั้น เขากะสร้างเป็นที่พักของนักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ คือไม่ต้องมีเครื่องอำนวยความสะดวกมากนัก ใช้ชีวิตอิงกับธรรมชาติ”

“ใช่จ้ะ พี่ว่า ก็ดีเหมือนกันที่ไอ้ชลมันคิดจะให้คุณน้าเพลินไปสูดอากาศบริสุทธิ์ที่โน่น” ภานุเสริม

“เอ...ถ้าอย่างนั้น ลษาก็จะเป็นตัวเลือกที่ดีนะสิคะ พอดีกับที่จะหาที่พักใจสักหน่อยด้วย”

สองพี่น้องหันไปมองลษาแทบจะเป็นสายตาเดียวกัน

ตลอดเวลาที่ฟัง ลษาไม่ได้พูดขัดแต่อย่างใด ได้แต่ฟังคำสนทนาเกี่ยวกับตัวเธอ พร้อมกันนั้นความหวังก็ก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ ในใจ

ดวงตาของเธอเปล่งประกายความหวังชัดเจน สีหน้าโรยแรงในตอนแรกกลับสดชื่นทันตาเห็น

“ถ้าเพื่อนพี่นุโอเคกับลษา ลษาก็ยินดีไปดูแลคุณน้าเพลินอะไรนั่นค่ะ”
ยิ้มสุขใจปรากฏบนใบหน้านวล เพราะหาทางออกได้ในที่สุด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นขึงขัง

“แต่...ลษาขอร้องพี่นุกับหนูลีอยู่เรื่องเดียว”

“อะไรจ้ะลษา มีอะไรบอกมาได้เลย” ภัทราวลีเอ่ยด้วยความยินดี ฝ่ายภานุก็สนับสนุน

“นั่นสิ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง พี่ยินดี”

ลษามองด้วยดวงตาซึ่งเปี่ยมไปด้วยความขอบคุณ เธอก้มหน้านิดหนึ่ง แล้วเงยหน้าขึ้นเมื่อบอกอย่างจริงจังว่า

“ไม่ยากเย็นจนเหลือบ่ากว่าแรงหรอกค่ะพี่นุ ก็แค่...อยากให้พี่นุกับหนูลีช่วยปกปิดสถานะกับตัวตนที่แท้จริงของลษาให้ด้วยนะคะ”


///////////////////////////////////


รถสปอร์ตสีแดงแล่นปราดเข้ามาจอดที่ด้านหน้าของคฤหาสน์หินอ่อนสีขาว ชลธีก้าวลงมาจากรถอย่างกระแทกกระทั้น ไม่สนใจว่าอาจทำให้รถราคานับสิบล้านเป็นรอยบุบ

ชายหนุ่มตรงมายังบ้านซึ่งเป็นที่อยู่ประจำตั้งแต่เด็ก เขาตั้งใจจะแพ็คกระเป๋าเดินทางไปดูงานญี่ปุ่น ก่อนที่จะก้าวผ่านประตูไม้สักทองด้านหน้าเข้าไป จู่ๆ เขาก็หยุดกึก แล้วเงยหน้ามองความโอ่อ่าของคฤหาสน์ ไม่น่าเชื่อว่าจากผู้อยู่อาศัย เขาจะได้กลายมาเป็นผู้ครอบครองมันอย่างสมบูรณ์ในวันนี้

ชลธีจำได้ดีถึงวันที่ตัวเองลากกระเป๋าหนังแสนหนักมากับแม่เพลิน เมื่อนายชัชวาลรับเขากับแม่ซึ่งเคยรักชอบกันมาก่อนภรรยาถูกต้องตามกฎหมายอย่างอรวรรณ เข้ามาอยู่ในเรือนหลังเล็ก ชิดกับเรือนคนใช้ อันที่จริงนายชัชวาลตั้งใจจะให้อยู่ปีกใดปีกหนึ่งของตัวตึกใหญ่ แต่อรวรรณค้านหัวชนฝา พร้อมตราหน้าเด็กชายชลธีว่าไม่มีวันได้ขึ้นมาเหยียบบนตึกนี้ได้

คิดมาถึงตรงนี้ ชลธีก็หัวเราะเสียงดัง จนคนรับใช้ที่วิ่งมาต้อนรับตกใจ เขาโบกมือไล่อย่างขุ่นใจ ก่อนจะก้าวเข้าไปด้านในด้วยความผึ่งผาย

นับแต่วันที่อรวรรณปรามาสเด็กชายตัวเล็ก เขาอาศัยในบ้านนี้อย่างถูกกดขี่ แม่เพลินเองก็ใช่ว่าจะทุกข์น้อยกว่าเขา แต่แม่ก็อุตสาหะอดทนเพื่อลูก แม้จะถูกโขกสับและกลั่นแกล้งทางวาจาจากอรวรรณเท่าไหร่ก็ไม่ย่อท้อ

ตอนเด็กๆ เขาเคยถามแม่มาตลอดว่าทำไมต้องทน แม่ก็ตอบเขาโดยไม่ลังเล พร้อมด้วยน้ำเสียงมั่นคงว่า ความรักทำให้แม่ทนได้

ชลธีไม่เข้าใจคำพูดนั้น จนกระทั่งโตเป็นวัยรุ่น และถามย้ำคำถามเดิมกับแม่ เขาจึงได้เข้าใจแน่ชัด

‘แม่รักคุณชัช คุณชัชเองก็รักกับแม่ แต่ต้องแต่งงานกับคุณแม่ใหญ่ แม่เชื่อในความรัก ต่อให้เราต้องทุกข์ใจจากใครคนอื่นเพียงใด แต่ถ้ามีคนที่รักอยู่เคียงข้าง แม่ก็หาความสุขในความทุกข์นั้นได้ อย่างแม่มีชลอยู่ข้างๆ แม่ แม่ก็มีความสุขแล้วละลูก’
ถึงจะเข้าใจความตั้งใจของแม่ แต่เขากลับไม่เห็นด้วยเลยจนนิดเดียว เขาเห็นความรักแบบอุดมคติของแม่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็จริง แต่เขาก็ไม่อาจยอมรับได้อยู่ดีว่า ความรักแบบอุทิศชีวิตต่อคนคนหนึ่งจะมีอยู่ในโลก

เนื่องจากความโหดร้ายของอรวรรณในสายตาของเด็กชายและซึมซับมาจนโตนี่เอง เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ด้านอ่อนโยนของความรักจากแม่เพลิน ไม่อาจเข้ามาปรุงแต่งให้จิตใจของชลธีให้เห็นค่าของความรักได้เลย

ชลธีรู้ตัวตลอดว่าตัวเองแบกเอาความแค้นไว้เต็มบ่า กักเก็บความริษยาไว้เต็มดวงใจ และสิ่งเหล่านี้เองทำให้เขาก้าวขึ้นมาครองบ้านหลังนี้ได้อย่างผ่าเผย

นับเป็นการตอกหน้าอรวรรณ ซึ่งนอนเป็นผักไม่ไหวติง ได้อย่างสาแก่ใจยิ่งนัก!
ไม่เท่านั้น เครือบริษัทของตระกูลนายชัชวาล ก็ตกทอดมาสู่มือเขาอีกเช่นกัน
น่าขัน...แต่มันก็เป็นเรื่องจริง!

ทายาทแท้ๆ ก็ไม่ใช่ แต่ไอ้ชลธีคนนี้ก็ได้รับการไว้วางใจ ให้เข้ามาบริหารจัดการเอง หลังจากนายชัชวาลเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุ

ย้อนนึกมาถึงอุบัติเหตุที่คร่าชีวิตพ่อเลี้ยง เขาก็ต้องโมโหจัด เพราะอุบัติเหตไม่ได้เอานังผู้หญิงอีกคนของลุงชัชไปด้วย!

จู่ๆ ชายหนุ่มก็ชะงักฝีเท้า จากที่ตั้งใจจะขึ้นไปแพ็กกระเป๋าเดินทาง หันหน้าไปทางซ้าย ตรงทางปีกซ้ายของคฤหาสน์ ซึ่งนายชัชวาลเคยใช้เป็นห้องนอน

ที่นั่นยังมีใครอีกคนพำนักอยู่ ใครคนที่สมควรจบชีวิตพร้อมๆ กับเจ้าของบ้าน ทว่ากลับยังหายใจอยู่รวยริน

เถอะ...ถึงยังไงก็ยังนอนเป็นผัก ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งนั้นหรอก!

สงสัยว่าฟ้าจะเมตตา บันดาลให้ยัยอรวรรณได้รับกรรมทันตาในชาตินี้ โดยการทุกข์ทรมานอยู่ในสภาพของคนพิการเป็นอัมพาต

จะว่ายัยอรวรรณไม่รู้สึกรู้สมอะไรก็คงไม่ถูกนัก เพราะตอนที่เขาเข้าไปในห้องซึ่งพรั่งพร้อมไปด้วยเครื่องมือแพทย์ แล้วไล่คนรับใช้รวมถึงพยาบาลผู้ดูแลให้ไปรอด้านนอก นางยักษ์ที่นอนอยู่บนเตียงก็หันมามองอย่างระแวง

ดวงตาของเธอนั่นละที่บอกว่า ยังได้ยินอยู่เต็มสองหู ยังได้เห็นอยู่เต็มสองตา ถึงจะได้แต่นอนนิ่งเหมือนไม่รับรู้เรื่องราวอะไรเลยก็ตามที

และถ้าชลธีเดาไม่ผิด ยัยนั่นก็คงล่วงรู้ถึงชะตากรรมตนเองด้วยนั่นละ อยู่บนสวรรค์ดีๆ ก็หล่นลงสู่นรกเสียแล้ว

ดูสิ ดูหน้าตาของเธอ ยามที่เขาเดินเข้าไปใกล้ น้ำหูน้ำตาเหมือนจะไหลออกมาด้วยความกลัว...และคงจะปะปนด้วยความรังเกียจด้วยแน่ๆ

ชลธีไม่ยี่หระ ยิ่งเห็นก็ยิ่งทำหน้าเหี้ยม ก้าวเข้าไปหาช้าๆ ราวกับเสือโคร่งกำลังก้าวเข้าไปหยิบยื่นความตายให้กับเหยื่อ

“ไงคับคุณแม่หญ่าย...วันนี้อาการเป็นยังไงบ้าง”

ชายหนุ่มนั่งลงบนเตียงนอนสีขาว คนบนเตียงออกอาการสั่นอย่างเห็นได้ชัด เขาจ้องลึกลงไปในดวงตาแห้งผากบนดวงหน้าแห้งเหี่ยว เมื่อก่อนเธอเคยเต่งตึงกว่านี้ด้วยฝีมือหมอระดับแนวหน้าของเมืองไทย แต่บัดนี้ ไม่เพียงอุบัติเหตุได้พรากความงามไป หากยังได้เสริมความชราภาพให้เธอเป็นของกำนัลเป็นของแถม

คิดแล้วชลธีก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะรีบปิดปาก เป็นอากัปกิริยาที่ดูยังไงก็เป็นการแสร้งทำมากกว่า

“อุ๊ปส์...ลืมไปนะครับ ตอนเด็กๆ คุณแม่หญ่ายบอกว่าห้ามหัวเราะคิกคักต่อหน้าผู้ใหญ่ มันไม่ดี...ใช่ไหม”

อรวรรณตัวสั่นยิ่งกว่าเดิม ส่งเสียงอื้ออ้าๆ เหมือนจะไล่ชายหนุ่ม ขยับดิ้นเท่าที่แรงจะอำนวยจนผ้าห่มร่นลงจากอก

คนนั่งข้างๆ ใช้มือดึงผ้าขึ้นห่มตามเดิม ท่าทางละมุนละไมปานว่าทำด้วยความรัก ถ้าใครก็ตามที่ไม่รู้เบื้องหลังมาเห็น คงจะมองว่านี่เป็นการแสดงความห่วงใยอย่างสุดซึ้ง ระหว่างแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงก็เป็นได้

ทว่าในเวลานั้น มีแต่ชลธีกับอรวรรณเท่านั้นที่เข้าใจดี ว่าสิ่งที่ชลธีทำนั้นไม่ใช่แค่ชักผ้าขึ้นถึงหน้าอกดังเดิม แต่ชายหนุ่มค่อยๆ ดึงมันสูงขึ้นจนถึงใบหน้า ก่อนปล่อยมันลงช้าๆ ทาบไปหน้าของอรวรรณ ราวกับการปิดหน้าของคนตาย!

อรวรรณส่งเสียงฝืดฝาดผ่านจมูกเพราะหายใจไม่ถนัด คราวนี้ชลธียังหัวเราะออกมาทีเดียว สุดท้ายก็ดึงผ้าที่ปรกหน้าคนป่วยออกมาห่มไว้ที่อกแต่โดยดี

เขาเลิกคิ้วแล้วถาม

“ตกใจมาหรือคับแม่หญ่าย”

อรวรรณตะกรุมตะกรามสูดอากาศหายใจ เหมือนกับคนพยายามตะกุยโผล่พ้นน้ำ

“น่าจะพอใกล้เคียงกับคนใกล้ตาย หรือคนที่ถูกทำร้ายปางตาย คุณแม่หญ่ายพอจะรู้ซึ้งบ้างไหมครับ นี่ไง...อาการของคนที่คุณแม่หญ่ายไปทำกับเขาไว้”

พูดจบก็ลุกจากเตียง เอามือล้วงกระเป๋า เปลี่ยนเสียงจากประชดประชัดเป็นเคร่งขรึม
เขาพ่นพิษความแค้นออกมามากพอแล้ว อย่าเพิ่งทำให้เธอช็อคตายไปก่อนเวลาอันควรดีกว่า ประเดี๋ยวจะใช้กรรมที่เคยทำกับแม่ของเขาไว้ไม่หมด!

“นอนเป็นผักมาตั้งนาน เดินไปไหนอย่างใจไม่ได้ ดุด่าว่าคนอื่นไม่ได้ บงการทำโน่นนี่ไม่ได้แล้ว...แม่ใหญ่จะพอสำนึกได้บ้างหรือยังครับ ว่าคนที่ไม่มีทางสู้ มันกล้ำกลืนฝืนทนแค่ไหน”

ดวงตาของชลธีวาววับ ผิดกับดวงตาฝ้าฟางของคนป่วยที่มีเพียงแสงสลัว เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“กรรมได้สนองแม่ใหญ่แล้วละครับ ผมบอกได้แค่นี้”

เขาทำท่าจะเดินจาก แต่ก็เอี้ยวตัวมาพูด

“ไม่ต้องห่วงทรัพย์สมบัติที่อยู่เบื้องหลังนะครับผมจะดูแลให้เป็นอย่างดี ให้สมกับที่ลุงชัชกับแม่ใหญ่ได้ก่อร่างสร้างมันขึ้นมา บรรดาคนต่างๆ ที่อยู่ในบ้าน ข้าเก่าเต่าเลี้ยงต่างๆ ก็ไม่ต้องห่วง ผมยังชุบเลี้ยงต่อ แต่ก็ต้องดูนะครับว่า ใครมีประโยชน์อะไรมากน้อยแค่ไหน ถ้าอยู่ไปวันๆ หวังกินเงินเดือน โดยที่ไม่ทำตัวให้เกิดประโยชน์ขึ้นมา ผมก็คงจะต้องโละ ส่วนลูกของแม่ใหญ่ก็ไม่ต้องห่วงด้วยนะครับ น้องฝนไม่ได้อยู่ในข่ายที่จะต้องโละหรอก แต่เป็นคนที่ต้องรักษาไว้แนบกายทีเดียว”

นัยน์ตามีฝ้าขาวเป็นดวงๆ ของคนป่วย เบิกกว้างขึ้นอีกครั้งด้วยความตระหนก

ชลธีสะใจยิ่งนัก ที่ได้เห็นความปวดร้าวฉายมาจากดวงตาคู่นั้น ดั่งเช่นที่เขาเคยเห็นความปวดร้าวจากดวงตาของแม่เพลิน

“เจ็บใช่ไหมครับ” เขาเย้ยหยัน

คนบนเตียงส่งเสียงอู้อี้ ชลธียิ่งยิ้มด้วยความสาแก่ใจ

“ถ้าเจ็บนักก็ทนเจ็บไปเรื่อยๆ นะครับ ผมมันผีห่าซาตาน คอยมาเอาคืนจากแม่ของผมยังไงละ”

จากหวาดกลัว กลายเป็นแค้นขุ่น ดวงตาของอรวรรณวามวาว เจ็บใจที่ทำอะไรไม่ได้ อึดอัดจนแทบใจจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ จึงส่งเสียงอ้อแอ้หนักขึ้น

ตอนั้นเองก็มีเสียงเปิดประตู ชลธีเบี่ยงตัวออกมาจากแม่ใหญ่ หันไปมองก็พบอว่าเป็นลูกสาวของคนบนเตียงนั่นเอง

“อ้าว พี่ชล มาเยี่ยมคุณแม่หรือคะ”

เจ้าของเสียงหวานใสนั้นคือเก็จพิรุณ หญิงสาวที่มีอายุอ่อนกว่าชลธีราว 3 ปีเศษ หากแต่บุคลิกยังสดใส คล้ายเด็กสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ

นับย้ายเข้ามาในบริเวณบ้านของนายชัชวาล เขาพบแต่ความคับแค้นใจ ถ้าจะมีอะไรที่พอจะเป็นความสวยงามชื่นบานอยู่บ้าง คงจะเป็นเด็กหญิงฝนหรือเก็จพิรุณนั่นเอง
ถึงจะเป็นลูกสาวของศัตรู บอกตัวเองหลายครั้งให้ยกเก็จพิรุณให้อยู่ในพวกที่ทำร้ายแม่ของเขา แต่ชลธีกลับไม่เคยทำสำเร็จ เขาแพ้ให้แก่ความอ่อนโยนอ่อนหวานของเด็กหญิตัวเล็กเจ้าของแก้มนวลใส เธอยิ้มให้เขาทุกครั้งที่โดนแม่ของเธอต่อว่าหรือกลั่นแกล้ง

บางครั้ง เด็กหญิงฝนก็จะแอบเอาขนมที่แม่ซื้อมาให้ ไปให้เด็กชายชลที่เรือนเล็กหลังบ้าน แต่ในหลายๆ ครั้ง เขากลับตวาดเด็กหญิงจนหน้าหงอกลับไป

ทว่าเด็กหญิงฝนยังไม่เข็ด ยังกลับมาแอบมองเขาอยู่ประจำ เอาขนมหรือของเล่นมาวางไว้หน้าบ้านโดยที่เขาไม่รู้ตัว เธอทำอยู่อย่างนี้จนกระทั่งจำนนต่อน้ำใจของเธอ นอกจากความน่ารักในรูปกายภายนอกแล้ว น้ำใสใจจริงของเด็กหญิงที่ผิดแผกจากแม่ของเธอนั่นเอง คือสิ่งที่ขวางกั้นไม่ให้ตกไปอยู่ในกลุ่มของคนที่เขาเรียกว่าศัตรู

“คุณแม่เป็นอะไรคะ ดูสิ เหงื่อเต็มเลย แล้วพยาบาลสายหยุดไปไหนคะ”

เก็จพิรุณถามขึ้นด้วยความกังวลเมื่อเห็นอาการเกร็งไม้เกร็งมือของอรวรรณ แล้วก็รีบวิ่งมาหา

“พี่ให้พี่สายหยุดออกไปเอง”

“คะ?”

ชลธีหันหน้าหนี ไม่ยอมสบตา พายุอารมณ์ที่พัดกระหน่ำอรวรรณเมื่อครู่จางหายไปแล้ว เมื่อถูกความอ่อนโยนของเก็จพิรุณหยุดยั้งไว้

“ฝนก็ดูแลแม่ไปก่อนก็แล้วกันนะ พี่จะไปตามพี่สายหยุดมาให้”

เขาบอกแค่นั้นแล้วก็เดินจาก แต่เหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ จึงหันกลับมาบอก

“อ้อ พี่นึกออกแล้ว เหตุที่คุณแม่ใหญ่เหงื่ออกขนาดนั้น ท่านคงจะ ‘ร้อน’ ละมัง เพราะพี่ดันเข้าไปยืนใกล้ๆ ท่านจนเกินไป”

ดวงตาอรวรรณเบิกกว้าง เพราะรู้ตัวว่าโดนแดกดันในทำนองที่ว่า เข้าใกล้พระแล้วร้อน

ชลธีหัวเราะเบาๆ อธิบายใหม่ว่า

“ผมหมายถึง ผมตัวใหญ่ ไอความร้อนคงเยอะ แถมยังห่มผ้าเสียหนา” เขาซ่อนยิ้ม แล้วพูดให้จบ “พี่ไปตามพี่สายหยุดมาเช็ดตัวให้ก็แล้วกัน”

เก็จพิรุณไม่เข้าใจในความหมายนั้น เธอมีสีหน้างุนงง ได้แต่เอ่ยว่า

“ขอบคุณค่ะ”


/////////////////////////////////



ภาม
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ก.พ. 2555, 15:26:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ก.พ. 2555, 15:26:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 1244





<< ๔ ขอความช่วยเหลือ   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account