เล่ห์รักทรายเสน่หา-สร้อยรัมภา
"ฟาห์คิน อาเหม็ด นาซิฟ" นักธุรกิจหนุ่มรูปงาม แต่หัวใจกร้าวกระด้าง ผู้มีอิทธิพลล้นหลามและกุมอำนาจการเงินของประเทศนาร์คอซัสไว้ในมือ ต้องเดินทางมาระเทศไทยอีกครั้ง
ด้วยจุดประสงค์หลักคือการแก้แค้น และหมากในเกมของความอาฆาตที่ทับถมครั้งนี้ก็คือสาวสวยนามว่า "บุณฑริก"
แม้ข้อแลกเปลี่ยนของขานั้นจะขมขื่นสักเพียงใด แต่สาวสวยก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทน
แรงเสน่หาในเรือนกายของสาวน้อยจะเยียวยาไฟแค้นที่มีอยู่ในหัวใจเขาได้หรือไม่
ฤานอกจากพลีกายด้วยใจภักดิ์แล้ว เธอจักต้องยอมอุทิศชีวิตด้วย เขาถึงจะพอใจ!
Tags: รัก แค้น เสน่หา

ตอน: บทนำ - บทที่ 5 (ตัวอย่างนิยาย)

ขออนุญาตโปรโมทนิยายนะคะ

ชมหน้าปกได้ที่หน้า Book ของแพรพริมาจ๊ะ


บทนำ

ท่ามกลางความร้อนระอุของผืนทรายสีทอง มีร่องรอยวิ่งผ่านของล้อรถให้เห็นเป็นทางยาวแม้จะไม่เด่นชัดนักเพราะทุกวินาทีที่ผ่านไปลมทะเลทรายจะพัดเอาเจ้าเม็ดสีทองเล็กๆ นับหมื่นนับแสนมาทับถมอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ยังมองเห็นว่าสุดเส้นทางนั้นปรากฏรถจี๊ปจอดคู่กันอยู่สองคัน โดยบริเวณใกล้ๆ ก็มีเต็นท์สีขาวซึ่งถูกกางให้หญิงสาวร่างเล็กๆ คนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้สนาม และภายในนั้นยังมีเก้าอี้ว่างวางอยู่อีกสองตัว

ขณะที่บุรุษในชุดลำลองอีกสองคนซึ่งเดินทางมาด้วยกันนั้นกำลังใช้มือป้องดวงตามองขึ้นไปบนท้องฟ้า และเพียงไม่นานเหยี่ยวสีขาวตัวโตก็บินกลับมา พลันนั้นเสียงคนที่มีร่างสูงใหญ่กำยำกว่าก็ดังขึ้น

“นายแพ้ฉันแล้วการิม”

สิ้นเสียงนั้นคนตัวสูงก็ยื่นมือซึ่งถูกคลุมด้วยถุงมือหนังออกไปให้เหยี่ยวสีขาวของตนเกาะ ก่อนจะให้อาหารมันเป็นรางวัล

“นายก็ชนะอยู่ทุกทีนี่ฟาห์คิน” การิมเม้มริมฝีปากแน่นอย่างไม่สบอารมณ์ และทำแบบเดียวกับหนุ่มที่ชื่อฟาห์คิน ผิดแต่ว่าเหยี่ยวของเขานั้นเป็นสีน้ำตาลไม่ใช่สีขาว

เสร็จสิ้นจากการให้อาหารเป็นรางวัลแก่เหยี่ยวทั้งสองตัวแล้ว ผู้ติดตามก็นำเหยี่ยวไปเก็บ ชายหนุ่มทั้งสองจึงเดินกลับมายังเต็นท์ที่มีหญิงสาวร่างเล็กนั่งคอยอยู่

“ผมแพ้พี่ชายคุณอีกแล้วล่ะมาเรีย”

การิมเอ่ยเท่านั้น สาวน้อยร่างเล็กก็อมยิ้ม ทำให้คนพูดยกมือขึ้นกุมศีรษะตัวเองทันที

“โอ้ พระเจ้า คุณทำหน้าเหมือนกับว่ารู้อยู่แล้ว”

“ยอมรับซะเถอะการิม” ฟาห์คินเอ่ยพลางตบบ่าเพื่อนของเขาเป็นเชิงปลอบใจ

“ร้อนไหมมาเรีย พี่บอกแล้วว่าอยู่ที่บ้านก็ได้ ไม่ควรตามมาเลย”

“ไม่หรอกค่ะ” มาเรียส่ายศีรษะน้อยๆ “น้องชอบดูเวลาพี่สั่งการเหยี่ยว”

“งั้นหรือ” ฟาห์คินเลิกคิ้วเข้ม ดวงตาสีหยกมีแววแปลกใจ

“จริงๆ นะคะ” มาเรียรีบบอก ดวงตาสีคล้ายพี่ชายเบิกขึ้น ก่อนจะสำทับอีกครั้ง “พี่ดูเท่มากเลย องอาจ และน่าเกรงขามด้วย”

ได้ยินคำชมนั้นการิมซึ่งเดินไปนั่งที่เก้าอี้อีกตัวหนึ่งจึงอดไม่ได้ที่จะค่อนขอด

“ใช่สิ! น่าเกรงขาม และมั่นอกมั่นใจ ว่ายังไงฉันก็ต้องเป็นผู้ชนะ แบบนี้ใช่ไหมล่ะมาเรีย บุคลิกของฟาห์คิน อาเหม็ด นาซิฟ”

คนถูกพูดถึงขมวดคิ้วแบบไม่จริงจังนักเมื่อได้ฟังคำประชดประชัน

“อันนี้ชมหรือแดกดันกันแน่การิม แพ้แล้วอย่าโวยสิ ยอมรับความพ่ายแพ้หน่อย”

“ได้สิครับคุณฟาห์คิน แต่คราวหน้าอย่าชวนมานะ” การิมทำอารมณ์เสียอย่างไว้เชิง

“ชวนงั้นหรือ! ใครกันแน่ที่บอกว่าได้เหยี่ยวมาใหม่และมั่นใจว่ามันจะชนะเหยี่ยวของฉัน” ฟาห์คินส่งเสียงถาม

การิมรู้สึกเสียหน้ากับวาจาคุยโอ้อวดของตน และอีกอย่างก็คือฟาห์คินพูดต่อหน้าดรุณีซึ่งตนเองหมายปองเอาไว้ เขาจึงแสร้งทำเสียงรำคาญ

“ไม่เอาน่า ชนะก็ชนะสิ ไม่เห็นต้องเท้าความเลย”

“เป็นความผิดของฉันหรือไง!” ฟาห์คินถามเสียงดัง เขาทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้และรับน้ำจากบอดีการ์ดที่ตามมาทำหน้าที่คุ้มกัน ก่อนเอ่ยชวนน้องสาวกลับบ้าน

“พี่ว่าเราควรกลับกันได้แล้วนะ”

“เลิกแล้วหรือคะ” มาเรียถามพี่ชาย

“ใช่! พี่มีงานต้องสะสางอีกที่นาร์คอซัส”

ฟาห์คิน อาเหม็ด นาซิฟพยักหน้าตอบน้องสาว ในขณะที่คนฟังอย่างการิมกลับรู้สึกหมั่นไส้เมื่อได้ยินคำตอบของเพื่อนรัก แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าอีกฝ่ายมีงานมากมายจริงๆ อย่างที่บอก

“หยุดพักธุรกิจพันล้านของนายไว้บ้างก็ได้นะฟาห์คิน ไม่ต้องกลัวว่ารายได้มันจะน้อยลงหรอก”

สิ้นประโยคนั้นฟาห์คินถึงกับขมวดคิ้ว ก่อนจะโต้ผู้เป็นเพื่อนกลับเสียงขรึม

“อย่าพูดแบบนั้นการิม มันเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ ฉันไม่ได้กลัวว่าจะได้เงินน้อยลง แต่ฉันกลัวว่าทุกคนในครอบครัวจะได้ไม่ครบเท่าที่เคยได้”

“โอ้ เป็นคนดีซะจริง!” การิมเหยียดมุมปากประชดประชัน

“แต่บางครั้งฉันก็ร้ายที่สุดนะการิม นายเองก็น่าจะรู้”

ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ดวงตาสีหยกเริ่มเข้มข้นเมื่อมองคนที่แดกดันเมื่อครู่ การิมสะดุ้งเล็กน้อย พลางให้นึกถึงเรื่องราวที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนี้ เมื่อมีหุ้นส่วนซึ่งเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ของนาร์คอซัสองค์หนึ่งมีดำริที่จะโกงหุ้นในบริษัทน้ำมันของฟาห์คิน แต่ว่าถูกฟาห์คินจับได้เสียก่อนและจัดการสั่งสอนจนเชื้อพระวงศ์องค์นั้นแทบจะหมดทางทำมาหากิน กลายเป็นเจ้าชายตกยากไปภายในเวลาชั่วข้ามคืน เหตุการณ์นั้นจึงทำให้ใครๆ หลายคนตระหนักได้เป็นอย่างดีว่าไม่ควรทำให้ฟาห์คินโกรธ คิดได้เช่นนั้นการิมก็รีบหันหน้าหลบดวงตาสีหยก ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเรียกบอดีการ์ดของตนเองอย่างร้อนรน

“ไปกันเถอะ ฉันจะกลับแล้ว ส่วนนาย ถ้าอยากจะกลับไปทำงานก็ดี เพราะฉันเองก็มีงานของฉันเหมือนกัน”

มาเรียฟังคำพูดของการิมแล้วแอบอมยิ้ม ก่อนหันกลับมามองท่าทางทรงอำนาจและน่าเกรงขามของพี่ชายอย่างชื่นชม เธอรู้ดีว่าการิมนั้นถึงจะทำเป็นพูดจาประชดประชันแต่เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่กล้าจะต่อกรกับพี่ชายของเธอหรอก เนื่องจากใครๆ ก็รู้ดีว่า ฟาห์คิน อาเหม็ด นาซิฟ พี่ชายของเธอนั้นเป็นนักธุรกิจที่เก่งกาจและมีอำนาจมากที่สุดในประเทศนาร์คอซัส

ชายร่างสูงกำยำ ใบหน้าคมคร้าม นัยน์ตาสีหยกคนนี้ สามารถทำให้ธุรกิจของตระกูลอาเหม็ด นาซิฟ ซึ่งบิดาของเธอบุกเบิกมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ก้าวขึ้นสู่แนวหน้าในระดับภูมิภาคตะวันออกกลางและนำพารายได้มหาศาลเข้าสู่ประเทศนาร์คอซัส ซึ่งนั่นก็ทำให้พี่ชายของเธอแทบจะกุมอำนาจทางการเงินของประเทศเล็กๆ นี้ไว้ได้ทั้งหมดเลยทีเดียว

“ไปกันเถอะ” ฟาห์คินบอกน้องสาว

“ค่ะ”

มาเรียพยักหน้าตอบและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อการิมนั้นรีบเดินจนสะดุดเก้าอี้ตัวหนึ่งที่วางอยู่ และทันทีที่ร่างของเพื่อนพี่ชายลับหายเข้าไปในรถแล้ว หญิงสาวจึงส่งเสียงแกมขบขัน

“พี่ชายทำให้ให้พี่การิมตกใจ”

“สมควรแล้ว! น้องก็รู้นี่ว่าพี่ไม่ชอบให้ใครมาก้าวก่ายการทำงานและเรื่องในครอบครัวของเรา อย่าลืมสิมาเรีย ว่าพ่อฝากความหวังทุกอย่างไว้กับพี่ และพี่ก็เป็นพี่ชายคนโตของน้องๆ ซึ่งน้องทุกคนไม่ว่าจะเกิดจากแม่คนไหนก็ถือว่าเป็นน้องของพี่ เป็นความรับผิดชอบและเป็นสิ่งที่พี่ต้องดูแล”

“แบบนี้ไงคะ มาเรียถึงชอบอยู่ใกล้ๆ พี่ชาย”

หญิงสาวตัวเล็กตาคมบอกชายหนุ่มขณะก้าวตามไปยังรถจี๊ปสีดำของเขา มาเรียนั้นเป็นลูกสาวของภรรยาคนที่สองโดยที่ภรรยาใหญ่อย่างแม่ของฟาห์คินนั้นมีบุตรชายเพียงคนเดียว และมาเรียก็รักพี่ชายของเธอมากเช่นเดียวกับที่ฟาห์คินเอ็นดูเธอ

“ขี้อ้อนน่ะสิเราน่ะ ปีนี้อายุ 18 จะ 19 แล้วนะ โตเป็นสาวแล้ว ควรจะอยู่เรียนรู้เรื่องการบ้านการเรือนกับพวกพี่ๆ ผู้หญิงคนอื่นได้แล้ว”

“พี่เริ่มบ่นอีกแล้วนะคะ”

“พี่พูดเรื่องจริง นี่เป็นหน้าที่ของกุลสตรีทุกคนในนาร์คอซัส เพราะฉะนั้นเธอก็ต้องเริ่มเรียนรู้อย่างจริงจังได้แล้วนะมาเรีย”

น้ำเสียงและท่าทางจริงจังของผู้เป็นพี่ทำเอาน้องสาวคนสวยถึงกับทำหน้ามุ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก อารมณ์ของเด็กสาววัยย่างเข้า 19 ปีนั้นยังอยากตื่นตาตื่นใจกับโลกภายนอกมากกว่าที่จะต้องมาอุดอู้อยู่แต่ในคฤหาสน์หรือส่วนใดก็ตามที่มีแต่ญาติพี่น้องผู้หญิงด้วยกัน ทว่าฟาห์คินก็มิได้สนใจท่าทางของน้องสาว กลับสั่งการต่อในฐานะของพี่ชายคนโตที่ต้องดูแลทุกคน

“กลับไปถึงคฤหาสน์ พี่จะเรียกแม่นมอะมีนะมา เพราะหล่อนควรพาเธอเข้าไปฝึกการเป็นกุลสตรีอย่างจริงจังได้แล้ว”

เอ่ยจบร่างสูงกำยำก็ก้าวขึ้นรถที่บอดีการ์ดเปิดประตูข้างหนึ่งให้ ซึ่งน้องสาวก็ก้าวตามพร้อมบ่น

“โธ่ พี่ฟาห์คินคะ ทุกวันนี้น้องก็เรียนวิชาที่พี่ว่าอยู่บ่อยๆ แล้วนะคะ”

“ยังไม่บ่อยพอมาเรีย เพราะพี่พูดว่าอย่างจริงจัง เธอใกล้จะถึงเวลาออกเรือนแล้วนะน้องสาว” ฟาห์คินบอกเรียบๆ ร่างสูงกำยำนั่งตัวตรงมองไปเบื้องหน้า

มาเรียมีสีหน้าไม่ชอบใจนักแต่เธอก็รู้ดีว่าคำสั่งของฟาห์คินคือประกาศิตสำหรับทุกคนในครอบครัว หรืออาจจะเป็นทุกคนในนาร์คอซัสด้วยซ้ำ แต่กระนั้นหญิงสาวก็รู้ดีว่าพี่ชายของเธอนั้นเป็นคนที่รักครอบครัวมาก และอดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่า ตนคือคนที่พี่ฟาห์คินสนิทสนมด้วยมากที่สุด สาเหตุก็เพราะความดุของเขาทำให้พี่น้องคนอื่นๆ ไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้สักเท่าไร และด้วยเหตุนี้มาเรียจึงทำใจดีสู้เสือเอ่ยต่อรองกับพี่ชาย

“งั้น...พี่ชายคะ น้องขอไปเที่ยวอิตาลีสักอาทิตย์เป็นการส่งท้ายจะได้ไหมคะ แล้วหลังจากนั้นน้องรับรองว่าจะตั้งใจฝึกฝนความเป็นกุลสตรี ไม่เกเร ไม่หนีเรียน ไม่ดื้อ และเชื่อฟังแม่นมอะมีนะทุกอย่าง”

พอฟาห์คินได้ฟังก็หันมาจ้องหน้าน้องสาว ซึ่งมาเรียก็ทำตาใสซื่อสบดวงตาสีหยกโดยไม่หลบแต่อย่างใด ชายหนุ่มจึงส่ายศีรษะอย่างระอาแกมเอ็นดู เพราะคงจะมีน้องสาวคนสวยของเขาคนเดียวกระมังที่ชอบทำแบบนี้ ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นละก็ คงหันหน้าหนีหลบตาทันทีที่ดวงตาสีหยกจ้องแล้ว และสายตาแบบนี้นี่เองที่ทำให้เขาใจอ่อนมาแล้วหลายครั้ง

“อืม” เสียงตอบสั้นๆ นั้นทำให้มาเรียถามยิ้มๆ

“ว่าอะไรนะคะ”

“ไปสิ เอาฟียะไปด้วย แล้วก็ชวนพี่สาวคนอื่นไปด้วย ไปหลายๆ คนยิ่งดี” ฟาห์คินบอกชื่อคนรับใช้ของน้องสาวและพี่สาวคนอื่นๆ เนื่องจากครอบครัวของเขานั้น บิดามีภรรยาถึงสี่คน จึงเป็นเรื่องปกติที่จะมีพี่น้องหลายคนด้วย

“แล้วอย่าหนีเที่ยวคนเดียวเป็นอันขาด อย่าให้ใครมาฟ้องพี่เชียวนะ” ชายหนุ่มกำชับทิ้งท้าย ก่อนจะปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมพาหนะส่วนตัว





ภายในอาคารสูงใจกลางประเทศนาร์คอซัส ประเทศเล็กๆ ที่ติดอันดับความร่ำรวยในแถบตะวันออกกลาง ร่างสูงกำยำของฟาห์คินกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานสีดำ มือหนากุมปากกาด้ามสีทองเขียนอะไรบางอย่าง ก่อนจะเซ็นชื่อลงในเอกสารและปิดแฟ้มลง จากนั้นก็กดอินเตอร์คอมเรียกบอดีการ์ดซึ่งควบตำแหน่งเลขาฯ และคนสนิทเข้ามา

“ซามาล”

“ครับ” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในระดับพอๆ กับเจ้านายขานรับและเดินมายืนตัวตรงหน้าโต๊ะของฟาห์คินทันที

“เราจะซื้อหุ้นโรงแรมในประเทศไทยงั้นหรือ”

“ครับผม บริษัทแกรนด์โอเชียนเป็นบริษัทใหญ่ที่มีโรงแรมในสาขาอยู่หลายๆ แห่งทั้งในประเทศไทย และหลายๆ ประเทศในแถบเอเชียครับ พอดีตอนนี้เจ้าของคนปัจจุบันกำลังประสบปัญหาเรื่องเงินลงทุน เลยคิดจะขายหุ้นของบริษัทฯ”

หนุ่มผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มนัยน์ตาสีเดียวกันอธิบายให้เจ้านายฟังก่อนถามต่อ

“เจ้านายคงจะจำได้นะครับ ประเทศไทยเป็นประเทศเล็กๆ ทางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเจ้าชายไซนาสพระสหายของเจ้านายเคยเสด็จประพาสและตรัสว่าสวยงามมาก ส่วนเจ้าของบริษัทแกรนด์โอเชียนนั้นก็เคยเข้าเฝ้าเจ้าชายเหมือนกัน คือความจริงเขาเสนอขายหุ้นนี้ให้พระองค์ แต่เผอิญว่าเจ้าชายไซนาสไม่ค่อยสนพระทัยสักเท่าไร พระองค์ก็เลยตรัสเรื่องนี้ให้ผมฟัง”

“อืม นายดูทุกอย่างเรียบร้อยแล้วใช่ไหม” ใบหน้าคมพยักลงน้อยๆ อย่างจำได้ ดวงตาสีหยกของเขานิ่งลงเหมือนตริตรอง

“เรียบร้อยแล้วครับ ทุกอย่างอยู่ในรายงานซึ่งวางบนโต๊ะของเจ้านายแล้ว”

“ฉันอ่านแล้วล่ะ ทุกอย่างเรียบร้อยไม่มีที่ติจริงๆ นี่ถ้านายแบ่งภาคเป็นสองคนได้ ฉันจะจ้างให้นายอยู่ที่ออฟฟิศแทนโซเฟียเลขาฯ หน้าห้องฉันด้วยอีกตำแหน่ง”

“แต่ผมทำแบบนั้นไม่ได้ ที่จริงรายงานบนโต๊ะนั่นโซเฟียก็มีส่วนช่วยด้วย และหวังว่าเจ้านายจะพอใจ” คำชมของเจ้านายทำให้ซามาลพูดยิ้มๆ พร้อมก้มหัวเล็กน้อย

“แน่นอน ฉันอ่านทุกอย่างแล้ว เพียงแต่จะถามให้แน่ใจว่าผ่านมือของนายแล้วใช่ไหมเท่านั้นแหละ และถ้ารู้แบบนี้ ฉันก็ไว้ใจได้แน่นอน เอาเป็นว่าตกลงตามนั้น ดำเนินการทุกอย่างได้เลย เอกสารในแฟ้มฉันเซ็นอนุมัติหมดแล้ว และถ้ามีเอกสารอะไรอีกก็ให้โซเฟียส่งเข้ามาได้เลย”

จบคำพูดนั้นซามาลก็หันหลังมุ่งตรงไปยังประตู ฉับพลันนั้นใบหน้าคมคายของชายหนุ่มเจ้าของห้องก็นิ่งลง หัวสมองทบทวนความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องที่เคยคุยกับเจ้าชายไซนาส ซึ่งเมื่อจำได้ว่าฝ่ายนั้นคุยอะไรไว้บ้าง เขาก็เรียกบอดีการ์ดหนุ่มทันที

“เดี๋ยวก่อนซามาล!”

“ครับ” ซามาลหันหลังเดินกลับเข้ามา

“ฉันคิดว่า...จะไปดูที่นั่นเอง ที่ประเทศไทยใช่ไหม”

“ครับ”

“ตอนนี้พวกน้องๆ คงกำลังสนุกสนานอยู่กับการทัวร์ยุโรป ฉันก็น่าจะไปพักผ่อนแบบไม่เสียงานโดยเดินทางไปที่ประเทศไทยบ้าง”

“เจ้านายทำงานหนักมากแล้ว พักผ่อนบ้างก็ดี” ซามาลอมยิ้มบอกเจ้านาย

“นี่แหละการพักผ่อนของฉัน แจ้งที่แกรนด์โอเชียนว่าฉันจะเดินทางไปดูงานที่นั่น เตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อยด้วย”

“ครับผม แล้ว...” ซามาลทำท่าคิดเล็กน้อย

“อะไร”

“เจ้าหญิงมาลิก้าล่ะครับ จำได้ว่าเมื่ออาทิตย์ก่อน พระองค์ตรัสบ่นเรื่องที่เจ้านายไม่เคยมีเวลาให้พระองค์เลย”

“แต่ถ้าเอาเจ้าหญิงไปด้วย นั่นแหละถึงจะเรียกว่าฉันไม่ได้พักผ่อน” ฟาห์คินไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ร่างกำยำเอนกายลงพิงพนัก ขณะที่บอดีการ์ดหนุ่มเอ่ยถาม

“งั้นเจ้านายต้องการผู้หญิงคนไหนหรือเปล่าครับ”

“ไม่ต้อง ซามาล ฉันบอกแล้วไงว่า พวกเธอนั่นแหละที่จะทำให้ฉันไม่ได้พักผ่อน”

บอดีการ์ดหนุ่มจึงยิ้มขำๆ ก่อนก้มหัวรับคำและเดินออกไปปฏิบัติงานตามที่ได้รับคำสั่งมา และด้วยการปฏิบัติงานที่ทรงประสิทธิภาพ เวลาผ่านไปเพียงไม่นานเครื่องบินส่วนตัวของฟาห์คิน อาเหม็ด นาซิฟ ก็ร่อนลง ณ สนามบินในกรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทย





“บัว”

เสียงเรียกที่ดังขึ้นทำให้หญิงสาวร่างเพรียวที่ปล่อยผมสีน้ำตาลเข้มยาวและใส่ชุดทำงานสีฟ้าหันไปมองทั้งๆ ที่ไหล่ยังหนีบหูโทรศัพท์ไว้ไม่ให้หล่น

“ได้ค่ะ โอเคค่ะ สวัสดีค่ะ” เธอเปล่งเสียงตอบรับคนปลายสายพลางยกมือบอกคนที่เรียกให้รอสักครู่ ก่อนวางมันลงบนแป้นและถาม

“ว่าไงคะพี่เชอร์รี่”

หญิงสาวหุ่นเซ็กซีแต่งหน้าจัดที่ชื่อพี่เชอร์รี่เร่งเดินมานั่งตรงหน้าและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“เธอรู้ไหมบัว ว่าจะมีเจ้านายคนใหม่มาดูงานที่บริษัทเรา”

“ไม่รู้หรอกค่ะ แล้วใครบอกพี่รี่ล่ะคะ” บัวหรือบุณฑริกส่ายหน้าพร้อมถาม

“หัวหน้าน่ะสิ เห็นบอกว่าเป็นชาวตะวันออกกลาง คงหล่อน่าดูชมเลย” พีอาร์รุ่นพี่ในชุดทำงานค่อนข้างจะเซ็กซีกระซิบบอกสาวรุ่นน้องที่เพิ่งเข้ามาทำงานไม่นานด้วยท่าทางเคลิ้มฝัน

“หวังว่าคงไม่ตรงกับช่วงที่บัวลางานนะคะ” บุณฑริกพูดยิ้มๆ

“อะไรนะ บัวจะลางานเหรอ ลาได้ยังไงกัน หัวหน้าให้ไปเหรอ ไม่ได้นะ ถ้าจะมาลาวันที่ยุ่งๆ ละก็ ไม่ได้เชียวนะ” เชอร์รี่รีบบอกด้วยสีหน้าไม่ค่อยชอบใจนัก เพราะถ้าสาวรุ่นน้องไม่อยู่ก็จะไม่มีคนช่วยต้อนรับเจ้านายคนใหม่ และอย่างน้อยถ้าบุณฑริกอยู่ด้วย เธอก็คงดูน่าภูมิฐานขึ้นในฐานะที่มีเด็กรุ่นน้องให้คอยเรียกใช้

“แต่..บัวคิดว่าจะไปอิตาลีกับพลน่ะค่ะ” ดวงตาโตสีน้ำตาลสวยมองคนตรงหน้าอย่างลังเล

“อะไรนะ พลจะไปอิตาลีอีกแล้วหรอ! ก็เขาเพิ่งจะกลับมาจากทัวร์ยุโรปไม่นานนี้เองนี่ จะไปอิตาลีอีกแล้วเหรอ แล้วทำไมพี่ถึงไม่รู้เรื่องนี้เลยล่ะ”

สาวเซ็กซีส่งเสียงโวยวาย ซึ่งพอได้ยินวาจาแบบนั้นบุณฑริกจึงถอนหายใจ

“ก็ไม่ทราบสิคะ”

เธอและธนพลตัดสินใจคบหากันในช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัยในปีสุดท้าย ก่อนที่แฟนหนุ่มจะเอ่ยปากขอหมั้น ซึ่งพ่อแม่ของเธอก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด กลับเห็นด้วยและสนับสนุนอย่างออกหน้าออกตา นั่นก็เพราะพ่อของเธอนั้นมีฐานะเป็นลูกจ้างในบริษัทของพ่อธนพลนั่นเอง

ทว่าเมื่อมาถึงตอนนี้บุณฑริกกลับไม่แน่ใจแล้วว่าตนเองตัดสินใจถูกหรือไม่ เนื่องจากธนพลนั้นเริ่มทำให้เธอไม่มั่นใจในความรักของเขาเสียแล้ว เพราะถึงเขาจะยังบอกว่ารักเธออยู่เช่นเดิม แต่พฤติกรรมของเขากลับตรงกันข้าม และนับวันความเจ้าชู้ของคู่หมั้นหนุ่มก็เริ่มชัดเจนขึ้น

ฉะนั้นแม้ว่าตัวของเขาจะยืนยันว่า ‘ผมรักบัวมากที่สุด’ ก็ตาม แต่บางครั้งคำพูดก็ไม่สามารถยืนยันสิ่งที่เป็นอยู่ได้ดีเท่ากับการกระทำเลย เพราะแม้แต่สาวรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ตรงหน้านี้ก็ยังเคยมีข่าวแว่วๆ มาเข้าหูของบุณฑริกว่า หล่อนเคยไปดินเนอร์กับธนพลอยู่หลายครั้ง

ซึ่งข่าวคาวที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ก็ทำให้บุณฑริกเองเริ่มจะเหนื่อยหน่ายเต็มทีแล้ว หญิงสาวรู้สึกว่าหัวใจของเธอมันเริ่มล้าลงเรื่อยๆ จนแทบไม่รู้สึกหวือหวากับความรักของเขาอีกแล้ว

แต่ดูเหมือนผู้หญิงตรงหน้าก็ยังอยากแสดงตัวให้เธอรู้เป็นนัยๆ เสียงนั้นจึงแว่วขึ้นอีก

“ว้า แย่จังเลยนะ ทำไมธนพลถึงไม่บอกพี่บ้าง พี่ก็อยากไปอิตาลีเหมือนกันนะ”

“แต่พี่รี่ต้องทำงานไม่ใช่หรือคะ” บุณฑริกมีน้ำเสียงเรียบๆ ไม่คิดเหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะกล้าพูดเช่นนั้นกับเธอ

“ก็ลาได้นี่นา” เชอร์รี่ยังทำท่ากวนๆ บุณฑริกจึงยิ้มเหยียดๆ ให้

“งั้นก็น่าเสียดายนะคะ ที่พลเขาไม่คิดจะชวนพี่”

“เอ๊ะ พูดยังไงกันเนี่ยบัว พี่ยังไม่ได้บอกสักคำเลยนะว่าอยากจะให้พลชวน ว่าแต่เธอเองนั่นแหละปล่อยให้คู่หมั้นไปโน่นไปนี่บ่อยๆ ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือไง ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งไปฝรั่งเศสมาไม่ใช่หรอ แล้วนี่อะไรกันเดือนนี้ก็จะไปอิตาลีอีกแล้ว”

“มันเป็นสิทธิ์ส่วนตัวของเขานี่คะ ถึงเราจะเป็นคู่หมั้นกัน แต่ถ้าเขาอยากจะไปไหน บัวก็คงห้ามเขาไม่ได้หรอกค่ะ”

“แล้วปล่อยให้ไปไกลขนาดนั้นตามลำพังไม่กลัวเขานอกใจบ้างหรือไง” เชอร์รี่ปรายตามองสาวรุ่นน้อง บุณฑริกจึงมองอีกฝ่ายตรงๆ

“ถ้าเขาอยากจะนอกใจบัวละก็ ไม่ว่าจะไปไกลถึงอิตาลีหรืออยู่ใกล้ๆ แค่กรุงเทพฯ บัวก็ห้ามเขาไม่ได้หรอกค่ะ แล้วอีกอย่างพลก็บอกบัวว่ากลับมาคราวนี้เขาจะไม่ไปไหนอีกแล้ว เพราะจะต้องรับช่วงงานที่บริษัทต่อจากคุณพ่อ”

“แล้วที่อิตาลีเนี่ยน่ะหรือ ที่บัวคิดว่าจะไปกับธนพลด้วยน่ะ” เชอร์รี่ถามอีกฝ่ายด้วยดวงตาแวววาว

“ค่ะ กำลังคิดอยู่ว่าจะไปดีไหม”

“แค่คิดหรือ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่ายังไม่ได้ตัดสินใจจะไปอย่างเด็ดขาดใช่ไหม” เชอร์รี่หรี่ตาลงเหมือนขบคิดอะไรบางอย่าง

“ทำไมเหรอคะพี่รี่”

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ”

รอยยิ้มแฝงเลศนัยของเชอร์รี่ทำให้บุณฑริกไม่สบายใจนัก แต่ก็ไม่อยากคุยกับอีกฝ่ายอีก

“งั้นบัวขอตัวไปทำงานต่อนะคะ”

หญิงสาวถอนหายใจและคิดอย่างเบื่อๆ ว่านี่ไงล่ะสาเหตุที่เธอยังไม่อยากแต่งงานกับธนพล ถึงแม้ตัวเขาและทุกๆ คนในครอบครัวจะพยายามสนับสนุนมากเพียงใดก็ตาม






บทที่ 1

บุณฑริกในแบบฟอร์มสีฟ้าของบริษัทกำลังยืนพูดคุยอะไรบางอย่างกับผู้จัดการโรงแรมแกรนด์โอเชียนมารีนา สถานที่พักตากอากาศหรูหราริมชายหาดเมืองพัทยา กิจการในเครือแกรนด์โอเชียน หญิงสาวฟังผู้จัดการวัยกลางคนพูดพลางหันไปมองทางประตูบ่อยๆ เหมือนกำลังรอคอยว่าคนที่ตนเองมารอต้อนรับนั้นเดินทางมาถึงหรือยัง

เนื่องจากวันนี้ บุณฑริกถูกส่งให้มาต้อนรับฟาห์คิน อาเหม็ด นาซิฟ เจ้าของโรงแรมคนใหม่ซึ่งจะมาประชุมผู้ถือหุ้นที่พัทยา และสาเหตุที่เธอต้องมาทำงานนี้อย่างกะทันหันโดยไม่มีคนอื่นที่สำนักใหญ่ตามมาช่วยก็เพราะหลังจากวันที่บอกกับพี่เชอร์รี่ว่าเธอคิดจะลาพักร้อนไปอิตาลีกับคู่หมั้น ฝ่ายนั้นก็รีบวิ่งแจ้นไปเสนอกับหัวหน้าทันที

“ให้ลาไม่ได้นะคะพี่ คิดดูสิว่าเราจะต้องยุ่งกันมากขนาดไหน ทั้งเรื่องประชุมผู้ถือหุ้นที่พัทยา แถมคุณฟาห์คิน อาเหม็ด นาซิฟ เจ้าของคนใหม่ ก็จะต้องไปที่พัทยาด้วย ซึ่งเราก็ยังไม่รู้เลยว่าจะส่งใครไปคอยต้อนรับ รี่ว่าอย่าเพิ่งให้ใครลางานตอนนี้เลยนะพี่ ถ้าแค่วันเดียวน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าหลายวัน งานเราต้องสะดุดแน่ๆ เลยค่ะ”

และเนื่องจากพี่เชอร์รี่นั้นสนิทกับหัวหน้ามากเพราะทำงานด้วยกันมานานแล้ว คำพูดของเธอจึงดูมีน้ำหนัก จนในที่สุดบุณฑริกก็หมดโอกาสที่จะไปอิตาลี และทำได้เพียงแค่ส่งธนพลขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิเมื่อคืนวานเท่านั้น

ซึ่งบุณฑริกจำได้ว่าเมื่อเธอพูดเรื่องนี้กับคู่หมั้น เขาก็มีท่าทีซึ่งไม่ค่อยใส่ใจนัก แถมยังตอบกลับให้เธอต้องนิ่งเงียบ

“รอให้เราแต่งงานกันก่อน แล้วค่อยไปฮันนีมูนที่อิตาลีก็ได้นี่จ๊ะบัว”

ธนพลเลือกที่จะใช้ประโยคนี้เพราะรู้ดีว่าถ้าพูดถึงเรื่องแต่งงานเมื่อไร บุณฑริกก็มีอันต้องเงียบลงทุกครั้งไป ทว่าเมื่อกลับมาคิดอีกที หญิงสาวก็อดจะแปลกใจไม่ได้ว่าการไปอิตาลีครั้งหลังๆ ของธนพลนั้น เขาจะไม่ค่อยคะยั้นคะยออยากให้เธอไปด้วยเหมือนครั้งก่อนๆ เลย แต่บุณฑริกก็ไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะสิ่งที่เธอต้องจดจ่อในตอนนี้ก็คือคนที่ตนเองมารอต้อนรับมากกว่า

ก่อนจะเดินทางมาพัทยา เธอถูกทั้งหัวหน้าและรุ่นพี่ที่ทำงานกำชับเธอนักหนา ว่าให้ปฏิบัติตัวดีๆ เตรียมพร้อมทุกเมื่อ แต่งตัวสวยงาม และทำตามที่เจ้านายต้องการ กำชับอยู่บ่อยครั้งจนเธอท่องจำได้ขึ้นใจ แต่ปัญหามันก็คือเธอยังไม่เคยเห็นหน้าเจ้าของโรงแรมคนใหม่เลย เพราะเมื่อวานนี้เธอไม่ได้อยู่ต้อนรับฟาห์คิน อาเหม็ด นาซิฟ ที่กรุงเทพฯ

“ไม่ต้องคิดมากนะบัว งานแรกก็ตื่นเต้นนิดหน่อย แต่ต่อๆ ไปก็สบายมาก” เสียงผู้จัดการวัยกลางคนพูดอย่างรู้ดีว่าผู้หญิงข้างๆ นั้นรู้สึกเช่นไร บุณฑริกจึงพยักหน้าให้

“ค่ะ”

“ดีแล้ว ไม่ต้องซีเรียสมาก นึกเสียว่าเรากำลังรอต้อนรับคนรู้จักคนหนึ่งเท่านั้น เพียงแต่เป็นคนรู้จักที่สำคัญมากๆ เลย”

“ค่ะ”

บุณฑริกยิ้มน้อยๆ ก่อนรับคำอีกครั้ง และมองออกไปที่ประตู ในจังหวะนั้นเองเสียงวิทยุสื่อสารของฝ่ายอาคารสถานที่ก็ดังขึ้นเพื่อบอกให้ทุกคนเตรียมพร้อม และหลังจากนั้นทุกอย่างก็ดูเงียบสงบลงเหมือนกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง

ทว่าไม่นานความน่าอึดอัดนี้ก็สิ้นสุดลง เมื่อมีเสียงวิทยุจากฝ่ายอาคารสถานที่ดังขึ้นพร้อมเสียงโต้ตอบสลับกันไปมาวุ่นวาย และไม่นานนักพนักงานรวมถึงผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาก็ได้ตื่นเต้นกับกลุ่มคนชุดดำนับสิบที่กรูกันผ่านประตูกระจกด้วยท่าทางเข้มแข็งและเร่งรีบ ก่อนจะตามด้วยชายร่างสูงใหญ่ในชุดดำ ในมือถือกระเป๋าเอกสาร เคียงข้างกับบุรุษอีกคนหนึ่งซึ่งกำลังเดินเข้ามา

บุรุษผู้นั้นอยู่ในชุดสูทราคาแพงสีเทาเข้ม มีเรือนกายสง่าสูงกำยำ ใบหน้าคมของเขามองตรงไปข้างหน้าอย่างเคร่งขรึมและมั่นใจ ลักษณะเช่นนั้นทำให้ทุกๆ คนรู้สึกว่า ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่บุคคลธรรมดาเช่นหลายๆ คนที่กรูกันเข้ามาก่อนหน้านี้

ท่าทางเดินของเขานั้นดูทรงอำนาจ ขายาวๆ ย่างก้าวอย่างมั่นคง องอาจดุจราชสีห์หนุ่ม ใบหน้าขาวคมนั้นเชิดขึ้นน้อยๆ และดูมีเสน่ห์น่าค้นหา จมูกโด่งเป็นสันสวยตามแบบชนชาติตะวันออกกลาง แต่อะไรเล่าจะน่ามองเท่านัยน์ตาสีหยกของเขา ซึ่งทั้งหมดที่รวมกันทำให้หลายๆ คนมั่นใจได้ว่า นี่คือฟาห์คิน อาเหม็ด นาซิฟ ชายหนุ่มผู้กุมอำนาจธุรกิจหลายพันล้านของนาร์คอซัสไว้ในมือ

ฟาห์คินเดินเข้าประตูโรงแรมด้วยท่าทางน่าเกรงขาม ยิ่งกอปรกับบอดีการ์ดชุดดำที่เข้ามาจับจองพื้นที่ส่วนใหญ่และดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มแข็ง ก็ยิ่งทำให้บุรุษผู้นี้ยิ่งดูมีอำนาจ ดวงตาสีหยกของเขากวาดตามองเบื้องหน้าก่อนหยุดชะงักเมื่อบุณฑริกก้าวเข้ามาในสายตา

หญิงสาวผมสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาโตสีเดียวกัน ยิ้มหวานให้ชายหนุ่ม ก่อนพนมมือไหว้ และกล่าวทักทายเจ้านายคนใหม่เป็นภาษาอังกฤษ

“ยินดีต้อนรับสู่แกรนด์โอเชียนมารีนาพัทยาค่ะ คุณฟาห์คิน อาเหม็ด นาซิฟ”

คนที่ถูกทักทายนั้นจ้องหญิงสาวตรงหน้านิ่ง และแม้ใบหน้าคมยังดูเรียบเฉย ทว่าดวงตาสีหยกกลับเข้มขึ้นและนิ่งลึกดั่งมีมนต์ขลัง ซึ่งท่าทางแบบนั้นทำให้หลายๆ คนพลอยนิ่งตามอย่างนึกไม่ออกว่าเขากำลังมีความรู้สึกเช่นไร แต่สำหรับบุณฑริกแล้ว เธอไม่ได้คิดว่านั่นคือสิ่งผิดปกติ ดวงตาสีน้ำตาลของหญิงสาวจึงยังยิ้มให้ชายหนุ่มตรงหน้าและบอกเขาต่อด้วยการแนะนำคนสำคัญของโรงแรมสาขาแห่งนี้

“นี่ผู้จัดการสาขาที่นี่ คุณธนวัฒน์ค่ะ”

“สวัสดีครับคุณฟาห์คิน ยินดีต้อนรับครับผม”

นายธนวัฒน์เอ่ยตามธรรมเนียม แต่ก็ต้องมีท่าทีเก้อและประหม่าเมื่อคนที่เขาพูดด้วยนั้นยังไม่หันมาทางตน คนที่กำลังทำหน้าที่ตามที่ได้รับคำสั่งมาอย่างบุณฑริกจึงจ้องดวงตาสีหยกที่มองเธอไม่วางตา และถามขึ้นมาทันที

“มีอะไรผิดปกติอย่างงั้นหรือคะ”

ฟาห์คินนั้นถึงกับหรี่ตาลงด้วยไม่เชื่อว่าเธอจะถามตรงๆ แบบนั้น ในขณะที่ซามาลซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ก็มองท่าทีของเจ้านายอย่างแปลกใจแต่ก็รีบเอ่ยขึ้นกับฝ่ายที่รอต้อนรับ

“เราจะขึ้นไปพักผ่อนข้างบนห้อง ทางนี้คงจัดเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว เอ่อ...แล้วคุณชื่อ?” เขามองหญิงสาวที่ยืนอยู่เป็นเชิงถาม

“ดิฉันชื่อบุณฑริกค่ะ ทางสำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพฯ ส่งให้ดิฉันมาอำนวยความสะดวกและคอยต้อนรับคุณฟาห์คิน อาเหม็ด นาซิฟ ที่นี่ค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ควรนำผมขึ้นไปบนห้อง”

พอรู้หน้าที่ของอีกฝ่าย ฟาห์คินก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเข้มๆ บุณฑริกถึงกับชะงักเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าหน้าที่นั้นจะเป็นความรับผิดชอบของเธอ

“เอ่อ...ผู้จัดการจะเป็นคนพาคุณขึ้นไปค่ะ”

“ตอนนี้ผมต้องการให้คุณไปกับเรา”

“แต่ว่า...” หญิงสาวพยายามจะปฏิเสธ ขณะที่ในใจก็อยากจะตะโกนตอบกลับนักว่า เธอไม่ใช่เด็กยกกระเป๋า แต่ความคิดนั้นก็เป็นอันต้องสะดุดเมื่อถูกคุณธนวัฒน์สะกิดพร้อมขยิบตาส่งสัญญาณว่าให้ทำตามนั้น

“มันเป็นหน้าที่นะบัว”

“งั้น...ก็ได้ค่ะ”

หญิงสาวจำใจรับคำ ร่างบางสาวเท้าตามหลังพนักงานของโรงแรมเพื่อนำพาเจ้านายคนใหม่มุ่งหน้าสู่ห้องพักสุดหรู โดยพยายามที่จะไม่หันกลับมามองคนข้างหลังพร้อมท่องความตั้งใจของตนเอง

‘ส่งเขาขึ้นไป อย่าเข้าไปในห้อง และให้รีบกลับลงมา’





ทันทีที่เดินมาถึงที่หมาย พนักงานชายที่เดินนำหน้าก็พาทั้งหมดเข้าไปในห้องใหญ่ห้องหนึ่งซึ่งถูกกั้นออกจากส่วนที่บรรดาแขกทั้งหลายเดินอยู่ และที่นั่นก็มีลิฟต์อยู่เพียงสองตัวเท่านั้น

“เชิญเลยครับคุณบัว”

“ชั้นไหนคะ”

หญิงสาวกระซิบถามเบาๆ ด้วยไม่รู้มาก่อนว่าตนจะต้องเป็นคนนำฟาห์คินขึ้นไปพักที่ห้องพิเศษ จึงทำให้เธอไม่ได้ทำการบ้านในเรื่องนี้มาก่อน

“ชั้นบนสุดครับ คุณบัวพาแขกไปส่งได้เลย แล้วไม่ต้องกลัวว่าจะหาห้องไม่เจอ เพราะลิฟต์ตัวนี้จะหยุดที่ห้องพักของคุณฟาห์คินเลยครับ ส่วนข้างในห้อง ทุกอย่างก็ถูกเตรียมไว้พร้อมหมดแล้วครับ” พนักงานชายพูดจบ ลิฟต์ตัวนั้นก็เปิดออกทันที พร้อมกับการปรากฏตัวของชายชุดดำซึ่งเดินออกมาโค้งคำนับให้กับบุรุษสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอ

“ทุกอย่างเคลียร์เรียบร้อยแล้วครับ”

บุณฑริกแอบผ่อนลมหายใจยาวๆ พร้อมคิดในใจว่า การเป็นคนที่มีอิทธิพลล้นฟ้า ร่ำรวยเงินทอง ดูเหมือนจะลำบากในการใช้ชีวิตเสียเหลือเกิน เพราะจะไปไหนแต่ละทีก็ต้องมีคนติดตาม แถมจะทำอะไรก็ต้องคอยเช็กความปลอดภัยก่อนเสมอ

‘นี่คงต้องใช้เข็มเงินตรวจยาพิษตอนเขาทานอาหารด้วยแน่ๆ เลย เคยทานแฮมเบอร์เกอร์ข้างถนนบ้างหรือเปล่านะคุณอภิมหารวย’

หญิงสาวคิดไปเรื่อยเปื่อยจนไม่ได้สังเกตว่าตอนนี้บอดีการ์ดชุดดำสองคนขยับไปยืนประจำที่ด้านหน้าลิฟต์แล้ว ขณะที่ฟาห์คินกับซามาลก็กำลังยืนมองเธออยู่จากด้านใน

นักธุรกิจหนุ่มชาวนาร์คอซัสจ้องภาพสาวชาวไทยที่ยืนอมยิ้มนิ่งไม่วางตา เขาแตะแขนของซามาลเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะเรียกบุณฑริก จนกระทั่งเธอรู้สึกตัวเองว่า ทุกๆ คนดูเงียบไป หญิงสาวจึงทำตาโต หันไปมองคนในลิฟต์ และเมื่อเห็นว่าดวงตาสีหยกกำลังจ้องอยู่ ร่างเพรียวสมสัดส่วนก็รีบก้าวเข้าไปด้านในทันที เธอหันหลังให้ชายหนุ่มทั้งคู่ ก่อนกดปิดลิฟต์และกัดริมฝีปากอย่างนึกเคืองตัวเอง

ไม่นานต่อจากนั้นลิฟต์พิเศษก็ส่งเสียงบอกว่าถึงจุดหมายแล้ว บุณฑริกจึงกดปุ่มเปิดและทำท่าจะก้าวออกไป แต่ทว่าพอเห็นว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือห้องพักสุดหรู เท้าบอบบางทั้งสองข้างก็พลันชะงักนิ่งอยู่หน้าประตูลิฟต์

“คุณน่าจะออกไปก่อนนะ”

ซามาลบอกผู้หญิงที่ยืนอึ้งอยู่ด้านหน้าเขา บุณฑริกเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนต้องเสียความตั้งใจโดยการเหยียบเข้าไปในห้องของผู้ชายคนนี้ เธอนึกโมโหตัวเองอยู่ในใจว่ามัวแต่ท่องจำเอกสารบ้าบอ ซึ่งมีทั้งวิธีการต้อนรับอย่างประทับใจ และการพูดทักทายชาวตะวันออกกลาง จนไม่มีเวลามาศึกษาว่าที่โรงแรมหรูแห่งนี้มีลิฟต์ส่วนตัวที่เข้าสู่ห้องพิเศษโดยตรงแบบนี้

‘ไม่เป็นไร ก็แค่บอกลาซะ เพราะไม่ว่ายังไงมันก็หมดหน้าที่ของเธอแล้ว’

บุณฑริกได้แต่คิด เพราะเพียงแค่ปากบางขยับจะเอื้อนเอ่ยวาจา เสียงเข้มของฟาห์คินที่สั่งงานลูกน้องคนสนิทก็ทำเอาคำพูดถูกกลืนหายกลับเข้าไปในลำคอระหงทันที

“วางกระเป๋าไว้ซามาล แล้วลงไปรอข้างล่าง”

บุรุษร่างสูงดวงตาสีน้ำตาลอมยิ้มเล็กน้อย ก่อนก้มหัวรับคำ และก้าวผ่านบุณฑริกเข้าไปในลิฟต์ เมื่อเห็นเช่นนั้นหญิงสาวก็ขยับจะทำตามซามาลบ้าง

“คุณอยู่ก่อน”

เสียงเข้มที่ดังอีกครั้งทำให้หญิงสาวชะงักเล็กน้อย บุณฑริกมองคนที่สั่งก่อนหันกลับไปมองแผ่นหลังของซามาลซึ่งก้าวเข้าไปในลิฟต์และหันกลับมาเอ่ยยิ้มๆ กับเธอ

“หน้าที่ของคุณไม่ใช่หรือครับ ที่จะต้องดูแล บริการ ต้อนรับ ฟาห์คิน อาเหม็ด นาซิฟ”

“อะ...อะไรนะ”

บุณฑริกเริ่มใจไม่ดี คำพูดของบอดีการ์ดหนุ่มและประโยคของพี่เชอร์รี่ที่บอกให้เชื่อฟังเจ้านายคนใหม่เริ่มตีกันอยู่ในหัว จนหญิงสาวไม่รู้จะก้าวไปข้างหน้าหรือถอยหลังดี พีอาร์สาวสวยลังเลอยู่นานจนกระทั่งประตูลิฟต์ปิดลง เธอจึงหลับตาและหายใจเข้าลึกๆ

“หน้าที่งั้นหรือ” ริมฝีปากสีชมพูพึมพำก่อนหันกลับมาหาเจ้าของห้อง ซึ่งดวงตาสีหยกคู่นั้นก็กำลังจ้องเธออยู่เช่นกัน

“มานั่งนี่สิ”

ชายหนุ่มส่งเสียงเรียกพร้อมก้าวไปนั่งที่โซฟา ใบหน้าเข้มๆ และเสียงต่ำๆ นั้น ทำให้บุณฑริกรู้สึกแปลกๆ ในหัวใจ แต่คนอย่างเธอก็ไม่ชอบทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูม เพราะฉะนั้นหญิงสาวจึงเดินไปหาเขาพร้อมถามตรงๆ

“มีอะไรที่คุณอยากได้เพิ่มเติมอีกอย่างนั้นหรือคะ”

“มีอะไรงั้นหรือ” ฟาห์คินทวนคำอย่างไม่ใส่ใจนัก

“ใช่ค่ะ ที่ให้ดิฉันอยู่นี่ ไม่ทราบว่าคุณต้องการอะไรคะ”

“นั่งสิ”

นอกจากไม่สนใจฟังแล้วชายหนุ่มยังเรียกพร้อมตบเบาะข้างๆ ตนเอง กิริยาแบบนั้นทำให้ความร้อนบางอย่างพุ่งปรี๊ดในศีรษะของบุณฑริก ก่อนที่หญิงสาวจะต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการระงับอารมณ์อันพลุ่งพล่าน จากนั้นก็ตัดสินใจถามเขาอีกครั้ง

“คุณต้องการอะไรอีกงั้นหรือคะ”

“ต้องการ?” ใบหน้าคมของฟาห์คินเงยมองคนที่ยืนก่อนลุกขึ้นมาประจันหน้ากับหญิงสาว สายตาสีหยกเข้มข้นเช่นนั้นทำให้บุณฑริกรู้สึกตัวร้อนวาบขึ้นมากกว่าเดิมแต่เธอก็ยังทำใจดีสู้เสือ

“ใช่ค่ะ ที่ดิฉันถามเพราะอยากจะรู้ว่า การที่คุณให้ดิฉันอยู่ที่นี่ เป็นเพราะคุณต้องการอะไรเพิ่มเติม หรืออยากทราบอะไรอื่นอีก ซึ่งดิฉันคิดว่าถ้าคุณอยากทราบเรื่องงานละก็ ดิฉันจะตอบทุกอย่างที่คุณอยากรู้ตอนมื้อเย็นของวันนี้”

“ผมไม่ชอบคุยระหว่างทานอาหาร” คนฟังขยับเข้ามาใกล้เธออีกพร้อมบอกเรียบๆ

“เอ่อ...ถ้างั้น...คุยตอนนี้ก็ได้ค่ะ งั้นดิฉันขอตัวไปเอาเอกสารก่อนนะคะ” บุณฑริกเริ่มตะกุกตะกัก เธอก้าวถอยหลังสองก้าวก่อนหันหลังทำท่าจะเดินออกไปจากที่นั่น

“ไม่ต้องใช้เอกสาร” ฟาห์คินบอกพร้อมคว้าแขนเรียวหมับและดึงเธอเข้ามาใกล้ บุณฑริกทั้งตกใจ ทั้งคาดไม่ถึง หญิงสาวยืนตัวแข็งเมื่ออีกฝ่ายรัดเธอเข้าหาตัวเองอย่างแรงและก้มลงจูบปากสีชมพูทันที

“อุ๊บ”

ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้าง ร่างเพรียวบางดิ้นขลุกขลักก่อนดันเขาออกอย่างแรง จากนั้นมือเรียวขาวผ่องก็ยกขึ้นฟาดลงที่ใบหน้าคมเข้มทันที

เผียะ!

“อะไร ตบผมทำไม!” ฟาห์คินตะคอก

“ทำไมงั้นหรือ” บุณฑริกแทบจะร้องไห้ แต่ด้วยความที่ไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอ ประเภทที่เจออะไรก็เอาแต่ร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่า สิ่งที่หญิงสาวแสดงออกก็คือการกัดฟันเค้นเสียงใส่อีกฝ่าย

“ใช่ จะบ้าหรือไง”

“คุณน่ะสิบ้า คุณทำตัวหยาบคายกับฉันแล้วมาถามฉันว่าตบคุณทำไมงั้นหรือ นี่มันน้อยไปด้วยซ้ำ” บุณฑริกตะโกน ก่อนคว้าแจกันแก้วเจียระไนที่วางอยู่ใกล้มือ แล้วเขวี้ยงใส่อีกฝ่ายทันที

เพล้ง!

แต่ฟาห์คินหลบทัน แจกันใบสวยจึงลอยไปกระทบกับฝาผนังด้านหลัง และต่อจากนั้นอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายก็ปลิวข้ามหัวเขาวุ่นวายไปหมด แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็จับมือเรียวไว้ได้ขณะที่เธอกำลังจะคว้ากรอบรูปโมนาลิซาที่ทำจากกระจกมาเขวี้ยงใส่เขาอีก

“ฤทธิ์มากนักนะ นี่บริการใหม่จากโรงแรมของคุณหรือไง” ฟาห์คินเค้นเสียง

“บริการบ้าอะไร ฉันไม่ใช่ผู้หญิงขายบริการนะ ปล่อยฉันนะ” บุณฑริกตะโกนอย่างโมโหจัด

“ไม่ใช่อะไร ก็เธอบอกเองว่าเธอถูกส่งมาบริการฉัน” ฟาห์คินบีบมือเรียวจนหญิงสาวต้องปล่อยกรอบรูปนั้นออก

เพล้ง!

กรอบรูปโมนาลิซาหล่นกระแทกโต๊ะเล็กๆ ข้างโซฟาจนเศษกระจกตกกระจัดกระจายไปทั่วพื้นห้อง รวมไปถึงกระเด็นไปบาดขาเรียวงามของหญิงสาว

“โอ๊ย!”

ฟาห์คินชะงักเล็กน้อยก่อนมองอีกฝ่ายอย่างเสียอารมณ์ เขากระชากให้ร่างเพรียวตามตนเองมา

“จะทำอะไร ปล่อยฉันนะ”

“ไม่ต้องพูดมาก เดินตามมานี่ หวังว่าคงเดินได้นะ กระจกนั่นคงไม่ได้บาดเส้นเอ็นคุณหรอกนะ”

“แผลแค่นี้ไม่ทำให้ฉันตายหรอก! แล้วไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือไง ปล่อยนะ บอกให้ปล่อยไง” บุณฑริกพยายามบิดแขนหนีแต่ฟาห์คินก็ไม่ยอมง่ายๆ ชายหนุ่มบีบมือเธอจนแน่น

“นี่มันบริการบ้าอะไร!” นักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อดันเธอให้นั่งลงกับโซฟา ในขณะที่บุณฑริกขยับตัวหนีทันที ฟาห์คินจึงตวาดลั่นด้วยความโมโห

“นั่งเฉยๆ ตอนนี้ฉันไม่มีอารมณ์แบบนั้นแล้ว อย่าฤทธิ์มากนัก ไม่งั้นฉันจะหักแขนเธอซะเดี๋ยวนี้เลย”

พอได้ยินแบบนั้นบุณฑริกจึงกัดฟันนั่งลง ทว่าคิ้วเรียวก็ยังขมวดมุ่นอยู่ หญิงสาวมองเขาคว้าโทรศัพท์ขึ้นและกดเรียกใครบางคนขึ้นมา ซึ่งไม่นานซามาลก็มาปรากฏตัวที่หน้าลิฟต์พร้อมกระเป๋าพยาบาลใบหนึ่ง ดวงตาสีน้ำตาลของเขาเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นสภาพภายในห้อง

“นี่มัน...”

“เธอน่าจะบาดเจ็บที่ขา” ฟาห์คินบอกก่อนนั่งลงข้างๆ หญิงสาวและปรายตามองเธอ ใบหน้าคมนิ่วลงนิดๆ เมื่อเห็นบุณฑริกขยับตัวออกห่างไปอีก

“ผมทำแผลให้นะครับ”

สิ้นคำพูดของซามาล หญิงสาวก็ขมวดคิ้วมุ่น กระชากกระเป๋าพยาบาลจากมือของบอดีการ์ดไปทันที

“ฉันทำเองได้”

เอ่ยจบก็ลุกขึ้นทำท่าจะเดินเขยกๆ ออกไป ซึ่งนั่นทำให้ชายหนุ่มเห็นว่าขาของเธอมีเลือดไหลออกมาอย่างเห็นได้ชัด ฟาห์คินจึงลุกขึ้นเอื้อมไปฉุดข้อมือเรียวไว้

“ทำที่นี่แหละ ผมจะได้รู้ว่าคุณไม่ได้หนีไปตายที่ไหนให้เสียยา”

“บอกแล้วไงว่าแผลแค่นี้ไม่ทำให้ถึงกับตายหรอก และฉันจะกลับไปทำที่ห้องของฉัน” เธอตะคอกใส่อีกฝ่าย

“เอ๊ะ เธอนี่!”

“ถ้ากลัวเปลืองนัก ไอ้นี่ไม่เอาก็ได้” บุณฑริกยกกระเป๋าพยาบาลในมือขึ้นพร้อมกระแทกใส่หน้าอกกำยำของนักธุรกิจหนุ่ม

“ไม่ได้! ฉันบอกให้ทำที่นี่ก็ต้องทำที่นี่” แต่ฟาห์คินยังไม่ปล่อยมือเรียว

“ฉันไม่เชื่อคุณ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อด้วย”

“แต่นี่เป็นคำสั่ง ในฐานะที่คุณเป็นลูกจ้าง และผมเป็นเจ้าของบริษัท”

“งั้นฉันลาออก!” บุณฑริกกระชากแขนกลับอย่างแรงและก้าวเขยกๆ หนีอีกฝ่ายทั้งๆ ที่เจ็บขาเหลือเกิน มือเรียวรีบกดเปิดลิฟต์และก้าวเข้าไป ก่อนหันมาสบดวงตาสีหยกอย่างโกรธแค้น

“นี่มันอะไรกันครับ” ซามาลถามอย่างงงๆ เมื่อประตูลิฟต์ปิดเรียบร้อยแล้ว

“ก็อย่างที่เห็น” ฟาห์คินส่งกระเป๋าพยาบาลให้ลูกน้องคนสนิทและนั่งลงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้

“แต่ว่าผู้หญิงคนนี้ถูกส่งมาต้อนรับเจ้านายไม่ใช่หรือครับ พนักงานที่สำนักงานใหญ่ก็บอกมาอย่างนั้นไม่ใช่หรือ ก็เมื่อวานนี้ขนาดเจ้านายปฏิเสธว่าไม่ต้องการ เธอคนนั้นก็ยังคะยั้นคะยอไม่เลิก แถมยังบรรยายสรรพคุณว่าสวย หุ่นดี ถ้าเจ้านายไม่ชอบก็ไม่ต้องใช้บริการก็ได้ แต่เจ้านายก็ไล่เธอไปและบอกว่าไม่ต้องการ” ซามาลทวนความจำ

“ใช่!”

ฟาห์คินตอบอย่างอารมณ์เสีย เพราะเมื่อวานนี้เขาปฏิเสธไปจริงๆ ว่าไม่ต้องการ แต่ทว่าพอถึงวันนี้ วันที่เขาได้เห็นหญิงสาวยืนอยู่ตรงหน้า หัวใจของเขาก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มวาววับของเธอนั้น ยามยิ้มช่างสดใสเหมือนเด็กสาว แต่เมื่อยามพยศนั้นเขาก็เห็นพายุทะเลทรายในดวงตาสีน้ำตาลนั่นเลยทีเดียว

“เอ...ถ้าอย่างนั้นหรือว่า...เธอคนนี้...ก็คง...ไม่ใช่” ซามาลคิดพลางพูดออกมา มือหนาของบอดีการ์ดหนุ่มยกขึ้นกุมขมับก่อนถอนหายใจ

“ไม่ใช่งั้นหรือ” ฟาห์คินพึมพำ ที่จริงเขาเองก็เริ่มรู้สึกอย่างที่ซามาลบอกตั้งแต่ตอนที่ผู้หญิงคนนี้พยายามขัดขืนอย่างเอาเป็นเอาตายแล้ว

“สงสัยว่าเราจะเข้าใจผิดแล้วนะครับ” ซามาลมองท่าทางนิ่งคิดของเจ้านายก่อนออกความเห็น แต่ฟาห์คินก็ยังไม่ยอมรับเสียทีเดียว

“แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ดูสภาพที่เธออาละวาดสิ”

“ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ” บอดีการ์ดหนุ่มพูดยิ้มๆ พลางมองสภาพเละเทะ ข้าวของเกลื่อนกลาดห้อง

“อะไร!” ฟาห์คินถามห้วนๆ อย่างไม่มีอารมณ์นัก แต่ซามาลก็อมยิ้มก่อนบอกเจ้านาย

“ไม่น่าเชื่อว่าจะมีผู้หญิงปฏิเสธเจ้านายหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้”

คำตอบของบอดีการ์ดคนสนิททำให้ฟาห์คินกัดฟันอย่างนึกโมโห ผู้หญิงคนนี้ช่างไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เขาได้เจอ และเขาจะไม่ยอมให้ทุกอย่างจบลงง่ายๆ อย่างนี้แน่นอน






บทที่ 2

บุณฑริกใช้สำลีที่ขอมาจากห้องพยาบาลชุบยาเพื่อมาทำแผลให้ตนเอง รอยบาดที่เกิดจากแก้วนั้นยาวพอสมควร จึงทำให้หญิงสาวรู้สึกปวดหนึบๆ แต่ดีที่ว่าแผลนั้นไม่ได้ลึกนักและไม่มีเศษแก้วฝังอยู่จึงง่ายต่อการทำความสะอาด

“คนบ้า ถ้าให้ฉันทำงานกับคุณ ฉันขอไปตายซะดีกว่า”

บุณฑริกบ่นพึมพำก่อนถอนหายใจ เพราะลองได้ประกาศลาออกต่อหน้าเจ้าของบริษัทไปแล้ว ก็มีหวังต้องหางานใหม่ทำลูกเดียว วูบหนึ่งเธอคิดไปถึงธุรกิจการค้าผ้าไทยส่งนอกที่ครอบครัวของธนพลกำลังทำ เพราะฝ่ายนั้นเคยชวนเธออยู่หลายครั้งแล้ว แต่หญิงสาวกลับคิดว่าตัวของเธอเองก็มีความสามารถพอและไม่อยากถูกเขม่นว่าใช้เส้นจึงขอหางานทำเองดีกว่า

“ฉันไม่เชื่อหรอกว่าฉันจะหางานใหม่ไม่ได้”

หญิงสาวบอกตัวเองอย่างมาดมั่น ทว่าไม่นานเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ร่างเพรียวจึงก้าวเท้าไปดู และเมื่อขยับบานประตูเปิดออก เธอก็รู้สึกตกใจเล็กน้อยเพราะมองเห็นซามาลยืนอยู่ตรงหน้า

“คุณ..มาทำไม” เธอส่งเสียงเข้มด้วยยังโมโหไม่หาย

“คืนนี้คุณฟาห์คินอยากดินเนอร์กับคุณ”

“ไม่”

บุณฑริกตอบทันทีอย่างไม่ลังเลใจและคิดเหมารวมไปหมดว่าช่างเป็นเรื่องจริงแท้ๆ ที่หลายๆ คนพูดกันว่าหนุ่มๆ พวกนี้นอกจากจะมีความหล่อที่พกมาตั้งแต่เกิดแล้ว พวกเขายังพกพาเอาความเอาแต่ใจตัวเองมาด้วย ไม่งั้นเขาคงจะไม่ทำอะไรบ้าๆ แบบที่เธอโดนเป็นแน่ และเมื่อคิดดังนั้นหญิงสาวจึงทำท่าจะปิดประตู ทว่าซามาลก็ใช้ท่อนแขนของตัวเองเข้าขวางพร้อมจับมันไว้อย่างไม่ได้กลัวว่าตนเองจะเจ็บ

“เอ๊ะ!” สาวสวยร้องเสียงดัง

“เจ้านายผมอยากขอโทษคุณ” บอดีการ์ดร่างสูงหน้าตาคมตามเชื้อชาติรีบบอกพร้อมก้มหัวลง

“รวมถึงผมด้วย ผมต้องขอโทษเป็นอย่างมากเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งสาเหตุก็เพราะมีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย ทำให้คุณฟาห์คินปฏิบัติตัวกับคุณอย่างไม่เหมาะสม แต่ตอนนี้เราเข้าใจทุกอย่างแล้ว และเขาก็อยากจะขอโทษโดยชวนคุณไปดินเนอร์คืนนี้”

“เฮอะ!” บุณฑริกทำเสียงขึ้นจมูก

‘แล้วไอ้จูบที่เขาขโมยไปจากฉันนี่ล่ะ ขอโทษแล้วความรู้สึกต่างๆ มันจะหายไปหรือไงเล่า’ ยิ่งคิดหัวใจก็ยิ่งฉิว จนต้องระบายออกโดยการตะโกนใส่อีกฝ่าย

“ขอโทษโดยการดินเนอร์งั้นหรือ คุณนึกว่าเงินมันซื้อได้ทุกอย่างหรือไง แล้วถ้าฉันยังไม่หายโกรธอีก เจ้านายคุณจะทำยังไง ซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือไม่ก็ซื้อหุ้นโรงแรมนี้ให้ฉันได้หรือเปล่าล่ะ” หญิงสาวปล่อยมือจากประตูที่จับและเปลี่ยนมายืนกอดอกโดยใช้หลังพิงผนังห้องข้างๆ พลางค่อนขอด

“แล้วเขาก็จริงใจมากเลยนะ ที่ฝากคนอื่นมาขอโทษ ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนทำผิดแท้ๆ”

เมื่อซามาลเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะปิดประตูใส่เขาอีก ชายหนุ่มจึงละแขนและมือที่ขวางออกพลางบอกแทนเจ้านาย

“เจ้านายผมรู้สึกผิดจริงๆ นะครับ คุณน่าจะรับดินเนอร์กับเขาคืนนี้”

“แต่ฉันก็คงไม่หายโกรธง่ายๆ แค่เพราะได้กินอาหารมื้อหรูกับเขาหรอก แล้วฉันก็ไม่ชอบวิธีของคนร่ำรวย ที่ทำอะไรก็ต้องมีทนายหน้าหอ หรือการเอาของมาล่อ” บุณฑริกพูดพร้อมขมวดคิ้วใส่ผนังเบื้องหน้า

“หรือคุณต้องการอะไรที่มากกว่านั้น” ซามาลถามเรียบๆ

“นี่คุณ! นี่มันไม่ใช่การเล่นตัวนะ หรือโก่งราคาอะไรนะ แต่ฉันแค่อยากจะฝากไปบอกเขาว่าความรู้สึกน่ะมันซื้อกันไม่ได้ด้วยเงินหรอกนะคุณฟาห์คิน”

“แค่นั้นหรือ?” พอเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความงุนงงของซามาล บุณฑริกจึงถอนหายใจและเอ่ยตัดบท

“เอาเป็นว่าขอให้ทุกอย่างจบๆ ไปก็แล้วกัน ฉันไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น นอกจากว่าต่อไปนี้ทั้งฝ่ายคุณและฉันไม่ต้องมาเจอหน้ากันและไม่ต้องมานึกถึงเรื่องนี้อีก เพราะยังไงฉันก็จะลาออกจากบริษัทฯ ของเขาอยู่แล้ว ฉะนั้นบอกเขาด้วยว่าต่อไปไม่ต้องให้ใครมาออกคำสั่งอะไรกับฉันอีก” หญิงสาวเชิดหน้าบอกซามาลพลางขยับไปใกล้ประตูและบอกผู้ชายตัวโตที่ยืนอยู่

“แล้วก็...ไม่ต้องเคาะประตูนะ เพราะฉันจะไม่เปิดอีกแล้ว” พร้อมกันนั้นมือเรียวก็ดันประตูปิดลงทันที

ปัง!

ซามาลผงะตัวเล็กน้อยก่อนยิ้มขำๆ เขาไม่เคยเจอผู้หญิงแบบนี้เลยสักที และคิดว่าฟาห์คินก็คงคิดคล้ายกับเขาเหมือนกัน เพราะทันทีที่ฝ่ายนั้นได้ฟังถ้อยคำรายงานทุกกระบวนความไม่ขาดตกบกพร่อง ชายหนุ่มก็ขมวดคิ้วเข้มทันที

“โกหกหรือเปล่า”

นั่นคือคำแรกที่ฟาห์คินพึมพำแม้จะรู้ดีว่าซามาลนั้นไม่เคยโกหกตนเองเลย เพราะฉะนั้นบอดีการ์ดหนุ่มจึงไม่ได้แก้ตัวแต่อย่างใดนอกจากมองเจ้านายยิ้มๆ





ส่วนบุณฑริกนั้นหลังจากอาบน้ำเสร็จ เธอก็ทายาอีกครั้งพร้อมหยิบผ้าก๊อซเล็กๆ ขึ้นปิดแผลและใส่กางเกงผ้าสีขาวขายาวเสื้อเชิ้ตสีเดียวกัน ก่อนคาดเข็มขัดและเตรียมตัวลงไปเดินหาอะไรทานที่ตลาดกลางคืนเมืองพัทยา

บรรยากาศยามค่ำคืนของเมืองท่องเที่ยวสว่างไสวประดับประดาไปด้วยไฟราวสวยๆ ถนนขนาดกว้างนั้นดูแคบลงไปถนัดตาเมื่อเต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน ซึ่งมีทั้งคนต่างชาติและคนไทยด้วยกัน อีกทั้งร้านรวงข้างทางก็เปิดเสียงเพลงดังสนั่นตามด้วยเสียงสาวเชียร์เบียร์ทั้งหลาย

บุณฑริกเลือกร้านอาหารเล็กๆ ร้านหนึ่งซึ่งติดกระจกสีชาเพื่อกั้นเสียงจอแจจากภายนอก และบรรยากาศภายในร้านนั้นก็ตกแต่งด้วยไฟสีเหลืองนวลเข้ากับเก้าอี้ลายไม้ รวมทั้งกรอบรูปหลายๆ กรอบที่แขวนอยู่ โดยบริเวณมุมด้านในก็จัดเป็นเวทีเล็กๆ และมีนักดนตรีชายดีดกีตาร์ครวญเพลงเบาๆ ด้วย

บรรยากาศสบายๆ นั้นทำให้หญิงสาวรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ที่จริงในโรงแรมที่เธอพักนั้นก็มีร้านอาหารเงียบๆ อยู่เหมือนกัน แต่สิ่งที่ทำให้เธอตัดสินใจออกมาข้างนอกก็คงเป็นเพราะผู้ชายคนนั้นมากกว่า

“ออกมาแบบนี้ดีกว่าเยอะ เดี๋ยวเกิดต้องเจอกันตอนกินข้าวเย็นอีก จะพานกินไม่ลงซะเปล่าๆ”

ริมฝีปากสีชมพูพึมพำกับตัวเองก่อนมือเรียวจะยกเมนูขึ้นพลิกไปมาอย่างสบายอารมณ์ และไม่นานเธอก็ได้อาหารที่ถูกใจ

“ยำรวมมิตร สลัดไก่ กับน้ำส้มค่ะ” หญิงสาวบอกเมื่อบริกรเดินเข้ามาถามพร้อมคิดในใจว่าวันนี้จะขอกินให้เต็มคราบ ฉลองที่ตกงานเสียหน่อย

แต่เมื่อบริกรผู้นั้นรับออเดอร์แล้ว เขากลับไม่เดินจากไป บุณฑริกจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอเงยหน้ามองเด็กหนุ่มซึ่งใส่เสื้อยืดกางเกงยีน ก่อนเห็นว่าเขากำลังจ้องมองไปทางประตูด้านหลัง บุณฑริกจึงหันตามและพบว่ามีชายคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามา

“คุณ...ฟาห์คิน!”

หญิงสาวอุทานอย่างคาดไม่ถึง ขณะที่ร่างกำยำในเสื้อเชิ้ตสีเข้มและกางเกงแบรนด์เนมที่กำลังเดินเข้ามามองตอบคนเรียกก่อนอ้อมมานั่งเก้าอี้ด้านตรงข้ามกับเธอ

“คุณฟาห์คิน คุณ...มาทำไม”

บุณฑริกถามผู้ชายตรงหน้าและรู้สึกว่าในร้านมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะอีกมุมหนึ่งของร้านซามาลกำลังเจรจาอะไรบางอย่างกับผู้หญิงวัยกลางคนซึ่งเป็นเจ้าของร้าน และไม่นานร้านอาหารแห่งนั้นก็ปราศจากผู้คนอื่นนอกจากบุณฑริกและนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อนามฟาห์คิน

“หมายความว่ายังไงคะ” หญิงสาวถามคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มจึงเหยียดมุมปากก่อนเอ่ยตอบ

“คุณมีนัดกินมื้อเย็นกับผม”

“ฉันปฏิเสธไปแล้ว”

“แต่ผมไม่เชื่อและก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะปฏิเสธ”

“เป็นไปไม่ได้งั้นเหรอ คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ หมายความว่าคุณไม่เชื่อบอดีการ์ดของคุณ คุณก็เลยต้องตามมาถามฉันด้วยตัวเองอย่างนั้นเหรอ”

หญิงสาวปรายตามองคนตรงหน้า หากแต่ในใจนั้นกลับอยากได้ยินคำขอโทษจากปากของชายหนุ่มมากกว่าที่จะฟังจากตัวแทน เพราะถ้าเขาพูดเช่นนั้น ตัวของเธอคงมีความรู้สึกที่ดีมากกว่านี้ คิดมาถึงตรงนี้บุณฑริกก็นั่งตัวตรง ก่อนจะเปิดปากพูดเหมือนที่ฝากซามาลไปบอกเขาเมื่อเย็น

“งั้นเชิญฟังด้วยหูของคุณเองเลยนะคะ ว่าฉันไม่ชอบวิธีที่คุณให้คนอื่นมาขอโทษแทนตัว และจะไม่หายโกรธคุณด้วยอาหารแค่มื้อเดียว แต่ฉันก็จะพยายามทำใจให้ทุกอย่างมันจบลงซะ และจะไม่กินข้าวกับคุณด้วย” พูดจบเธอก็คว้ากระเป๋าของตนเองและลุกขึ้น แต่นักธุรกิจหนุ่มก็ลุกตามและคว้าข้อมือของเธอไว้

“อย่าเพิ่งไป”

“ปล่อยนะ นี่คุณจะทำอะไรน่ะ” สัมผัสแบบนั้นทำให้บุณฑริกอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องของเขาเมื่อไม่นานมานี้

“ผมแค่อยาก....อยากจะบอกว่าทั้งหมดคือเรื่องเข้าใจผิด และก็ไม่อยากให้คุณโกรธ” ฟาห์คินจ้องดวงตาสีน้ำตาลของบุณฑริก แววตาสีหยกจริงจังนั้นทำให้หญิงสาวนิ่งลงและดึงมือของตนเองกลับ

“ฉันก็บอกแล้วไงว่าขอให้ทุกอย่างมันจบลงซะ เรื่องที่เกิดขึ้น...เรื่องที่คุณ...ก็ให้มันจบไป” ริมฝีปากสีชมพูเม้มแน่นเมื่ออดไม่ได้ที่จะคิดถึงจูบนั้น

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไม่ต้องลาออก”

“แต่ฉันพูดไปแล้วว่าจะลาออก”

“คนเรามีโอกาสพูดผิดได้” ฟาห์คินพูดเหมือนไม่เห็นสำคัญ

“พูดผิดงั้นหรือ ฉันเนี่ยนะพูดผิด” หญิงสาวมองเขาอย่างงงๆ ชายหนุ่มผู้นี้ช่างมีวิธีคิดที่ไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาเสียเหลือเกิน

“ก็ใช่สิ คุณไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้นหรอก นั่งลงสิ วันนี้ผมจะเลี้ยงข้าวคุณ”

“แต่ฉันบอกแล้วไงว่า...” พอหญิงสาวทำท่าจะรั้นอีก ฟาห์คินจึงเรียกเธอน้ำเสียงเข้ม

“บัว”

“อะไรนะ คุณเรียกฉันว่าอะไร”

“บัว นั่นชื่อของคุณไม่ใช่หรือไง”

จบคำถามนั้นทำเอาหญิงสาวถึงกับนิ่งอึ้งไป เพราะไม่อยากเชื่อว่าเขาจะเรียกเธออย่างสนิทสนมถึงขนาดนั้น

“ก็ใช่ แต่ยังไงฉันก็จะลาออก”

“ถ้าอย่างนั้นผมขอถามหน่อยว่าคุณเขียนใบลาออกหรือยัง”

“ยัง”

“ถ้างั้นคุณก็ยังไม่ได้ลาออก ไหนลองบอกมาหน่อยสิว่าหัวหน้าของคุณสั่งให้คุณมาทำอะไร”

“ต้อนรับ ดูแล...บริ...บริการ ฟาห์คิน อาเหม็ด นาซิฟ”

อ๋อ! บุณฑริกเพิ่งนึกได้ เพราะไอ้คำๆ นี้แค่นั้นน่ะหรือ เขาถึงตีว่าเธอเป็นผู้หญิงอย่างว่าไป หญิงสาวครุ่นคิดในหัวสมอง และดวงตาของเธอคงสื่ออะไรบางอย่างออกมา ฟาห์คินจึงพูดขึ้น

“คุณบอกเองว่าเรื่องที่ผ่านมาก็ให้มันจบไป เพราะฉะนั้นผมหวังว่าคุณจะไม่คิดถึงมันอีก และตอนนี้ผมก็ต้องการจะบอกว่า คุณยังเป็นพนักงานของบริษัทอยู่ เพราะฉะนั้นผมก็อยากจะรู้ว่าคุณทำหน้าที่ของตัวเองหรือยัง”

“ทำไมต้องทำ ก็...ก็ฉันบอกแล้วว่า...จะกลับไปลาออก”

“แต่ตอนนี้ยัง”

“แต่ว่า...” หญิงสาวทำท่าจะเถียงอีก ฟาห์คินจึงขมวดคิ้วด้วยมาดเจ้านายหนุ่มและพูดเสียงเข้ม

“ทางสำนักงานใหญ่บอกว่าคุณเพิ่งเข้ามาทำงาน เพิ่งผ่านทดลองงานมาได้ไม่กี่เดือน งั้นก็แสดงว่าเพิ่งเรียนจบ ตอนนี้ผมยังไม่ได้อ่านประวัติการศึกษาของคุณที่ส่งมาจากแผนกบุคคล แต่ช่วยบอกผมหน่อยสิว่า สถาบันที่คุณศึกษาอยู่ เขาสั่งสอนให้คุณทิ้งหน้าที่ตัวเองกะทันหันโดยไม่มีความรับผิดชอบแบบนี้น่ะหรือ”

พอได้ฟังคำนี้บุณฑริกก็ถึงกับพูดไม่ออก ไม่น่าเชื่อเลยว่าผู้ชายตรงหน้าเธอนี้จะฉลาดเป็นกรดและสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ถึงขนาดนี้

“ฉัน...”

“ตอนนี้สิ่งที่คุณควรจะทำก็คือกินข้าวกับผม” ดวงตาสีหยกเจือรอยยิ้มอย่างตระหนักดีว่าเขากำลังชนะในเกมนี้ มือหนาหยิบเมนูอาหารตรงหน้าขึ้นก่อนยื่นให้หญิงสาว

“ผมไม่รู้ว่าควรทานอะไรดี เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาประเทศไทย”

บุณฑริกถึงกับกัดริมฝีปาก หญิงสาวหายใจสั้นๆ

‘เฮอะ! ฉันน่าจะรู้ไว้อีกอย่างว่าคนที่เป็นเจ้าของธุรกิจหลายพันล้านน่ะ ไม่โง่นักหรอก’

แม้ภายในใจจะก่นด่าประชดประชันเจ้านายคนใหม่ แต่ภายนอกนั้นหญิงสาวกลับจำใจต้องพลิกเมนูไปมา พลันให้นึกถึงรสชาติอาหารที่ผู้จัดการโรงแรมไปสอบถามมาจากซามาลว่าฝ่ายที่นั่งตรงข้ามกับเธอนั้นชอบทานอะไรรสชาติอะไรเป็นพิเศษ

“รสจัดหน่อย แต่ไม่ต้องเผ็ดมาก”

หญิงสาวยกมือเรียกบริกรที่ยืนแอบๆ อยู่แถวนั้นก่อนสั่งอาหารประเภทต้มยำมาเพิ่มอีกสองสามอย่างพร้อมกับข้าวเปล่า

“ลองทานดูนะคะ ร้านนี้บัวก็เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรกเหมือนกัน” เธอออกตัวกับอีกฝ่าย ซึ่งฟาห์คินก็พยักหน้ารับ

“อืม”

“ความจริงที่โรงแรมก็เตรียมอาหารไว้ให้คุณแล้ว ถ้ายังไงคุณบอกให้คุณซามาลพากลับไปก็คงทัน”

“ที่นี่ก็ดี ถ้าไม่ชอบค่อยกลับก็ได้”

“แล้วแต่คุณ” บุณฑริกไหวไหล่น้อยๆ

หากความหวังที่จะให้ชายหนุ่มกลับโรงแรมโดยเร็วมีอันต้องเป็นหมัน เพราะอาหารในร้านแห่งนั้นมีรสชาติที่อร่อยมาก เพราะฉะนั้นบุณฑริกจึงเห็นชายหนุ่มรับประทานมันได้มากจนตนเองอดแปลกใจไม่ได้ และความเป็นคนชอบพูดตรงๆ จึงทำให้เธอเปิดปากถามออกไปด้วยความสงสัย

“อย่าบอกนะคะว่าคุณยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่มาถึง”

“คุณจะบอกว่าผมกินเยอะเกินไปหรือไง” คิ้วเข้มของชายหนุ่มขมวดน้อยๆ

“เปล่านะคะ บัวแค่อยากรู้ว่าตอนบ่ายที่โรงแรมจัดอะไรให้คุณหรือเปล่า บัวไม่อยากให้บกพร่องน่ะค่ะ” ดวงตาสีน้ำตาลแวววาวอย่างขำๆ ที่เขาตีความคำถามของเธอในทำนองนั้น

“มี แต่ผมไม่ได้กิน มัวแต่ยุ่งๆ”

“ตอนนี้ก็เลยหิวมาก” หญิงสาวพูดยิ้มๆ ด้วยอาการแดกดันเขานิดๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารู้สึกอารมณ์ดีขึ้น ฟาห์คินจึงโต้กลับทันควัน

“ตกลงคุณก็จะบอกว่าท่าทางผมเหมือนคนอดอยากงั้นสิ”

“บัวไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อยนะคะ คุณพูดเองทั้งนั้น” บุณฑริกกลั้นยิ้มและส่ายหน้าปฏิเสธ

ฟาห์คินเงยหน้ามองอีกฝ่าย แม้เขาจะรู้สึกถูกคอในการพูดจาของหญิงสาวตรงหน้า แต่ชายหนุ่มก็ไม่ชอบให้ใครมาหยอกให้เสียเชิงง่ายๆ

“ที่จริงตอนแรกที่มาถึงโรงแรมน่ะ ผมก็หิวนะ แต่พอได้ชิมอะไรบางอย่าง ก็เลยรู้สึกอิ่ม” ชายหนุ่มมองริมฝีปากสีชมพูของผู้หญิงตรงหน้านิ่ง ก่อนดวงตาสีหยกจะค่อยๆ เหลือบขึ้นสบดวงตาสีน้ำตาลสวยอีกครั้ง

หญิงสาวที่นั่งอยู่จึงรีบเม้มปาก หน้าร้อนวาบๆ นึกโกรธตัวเองที่ไม่ทันคิดและพูดแบบนั้นกับเขา พร้อมเริ่มรับรู้นิสัยเจ้านายคนใหม่ของเธอว่า ฟาห์คิน อาเหม็ด นาซิฟนั้นช่างไม่ยอมพ่ายแพ้กับอะไรง่ายๆ จริงๆ

“งั้นคุณก็กินต่อไปก่อนละกัน ฉันจะไปถามว่าบอดีการ์ดของคุณหิวเหมือนคุณไหม”

“ซามาลทานแล้ว คุณไม่ต้องห่วงเขาหรอก คนเป็นบอดีการ์ดน่ะไม่มีเวลาจะมานั่งจิบเบียร์ ละเลียดอาหารหรอก เขาคงทำทุกอย่างเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนมาแล้ว”

“อย่างนั้นหรือคะ เป็นอาชีพที่ไม่น่ามีความสุขนะคะ” บุณฑริกหันไปมองซามาลก่อนกลับมาหาฟาห์คิน

“หึ! ว่างๆ คุณก็ลองถามเขาสิ ว่าทรมานไหมที่ต้องมาเป็นบอดีการ์ดของผม”

“นั่นสิคะ” บุณฑริกมองตอบดวงตาสีหยก เธอก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าการที่ซามาลต้องมาอยู่ข้างๆ คนที่ฉลาดเป็นกรดและดูเหมือนจะไม่รู้จักคำว่าพ่ายแพ้นั้นเขารู้สึกแบบไหนกันแน่






บทที่ 3

คืนแรกที่พัทยาของฟาห์คิน อาเหม็ด นาซิฟนั้นจบลงด้วยการที่บุณฑริกพานักธุรกิจหนุ่มเดินเที่ยวตามถนนของตลาดกลางคืนซึ่งมีร้านต่างๆ เปิดขายของมากมายไปตลอดทางจนถึงโรงแรม และการสนทนาระหว่างทั้งสองก็ดูจะราบรื่นมากขึ้น เมื่อได้เคลียร์เรื่องเข้าใจผิดกันเรียบร้อยแล้ว

พอเช้าวันรุ่งขึ้นบุณฑริกก็ทำตามหน้าที่ของตนเองโดยการประสานงานกับคนสนิทอย่างซามาลเกี่ยวกับเรื่องการเตรียมเอกสารให้เจ้านายได้เข้าร่วมประชุมกับผู้ถือหุ้น ซึ่งการได้ทำงานร่วมกันก็ทำให้เธอเริ่มคุ้นเคยกับซามาลมากขึ้น แม้ว่าหญิงสาวจะเริ่มสนิทสนมกับเขา แต่เธอก็ยังไม่มีโอกาสที่จะถามไถ่ซามาล ว่าเขารู้สึกทรมานไหมที่ได้มาเป็นบอดีการ์ดให้ผู้ชายที่ชื่อฟาห์คิน อาเหม็ด นาซิฟ จนกระทั่งเวลาล่วงผ่านจนถึงตอนเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่เจ้านายคนใหม่เสร็จสิ้นภารกิจในการประชุมและพบปะกับบรรดาผู้ถือหุ้นรายย่อย เธอก็ยังหาโอกาสเหมาะถามไถ่ไม่ได้เสียที

“คุณฟาห์คินจะกลับนาร์คอซัสเลยหรือเปล่าคะ”

บุณฑริกถามเจ้านายหนุ่มในขณะที่เขากำลังก้าวเข้าไปในลิฟต์โดยมีซามาลยืนอยู่ข้างๆ และเมื่อฟาห์คินได้ยินดังนั้น ชายหนุ่มก็ขมวดคิ้วมองหญิงสาว

“นอกจากจะทำหน้าที่ต้อนรับแล้ว หัวหน้าของคุณเขาบอกให้คุณช่วยไล่ผมกลับด้วยหรือไง”

“ฉัน...” บุณฑริกขมวดคิ้วน้อยๆ และรู้สึกว่าอีกฝ่ายจะชอบอารมณ์เสียกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเสียจริงๆ

“ว่าไง” ฟาห์คินเชิดหน้าน้อยๆ ถามอีกฝ่าย

“ที่ดิฉันถามก็เพราะจะได้ช่วยบริ...เอ่อ...ช่วยอำนวยความสะดวกให้น่ะค่ะ” หญิงสาวชะงักเล็กน้อยเมื่อคิดได้ว่า คำว่า ‘บริการ’ นี่แหละที่เกือบพาเธอซวยมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ฟาห์คินก็ยังไม่มีอารมณ์ที่ดีขึ้น

“ทำไม! จะจองตั๋วหรือไง ผมมีเครื่องบินส่วนตัวนะคุณ บอกเอาไว้ เผื่อมีคนที่ยังไม่รู้” ฟาห์คินหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าผู้หญิงตรงหน้าอยากให้เขากลับเสียเหลือเกิน

ท่าทางหงุดหงิดของเจ้านายหนุ่มสร้างความแปลกใจให้กับซามาลไม่น้อย เพราะเขาไม่คิดว่าฟาห์คินจะหงุดหงิดได้ถึงขนาดนี้ ทั้งๆ ที่การประชุมผู้ถือหุ้นก็ราบรื่นและผ่านไปด้วยดี

ขณะที่คนลมเพลมพัดกลับยิ่งดูหงุดหงิดมากขึ้นเมื่อทั้งสามก้าวเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ที่เรียกว่าลิฟต์ แล้วทุกคนเอาแต่นิ่งเงียบ ไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมาเลย จนชายหนุ่มรู้สึกว่าลิฟต์ตัวนั้นวิ่งถึงห้องของเขาเร็วเป็นพิเศษมากกว่าทุกๆ วัน

ติ๊ง!

เสียงดนตรีที่ดังขึ้นในลิฟต์บ่งบอกว่าให้รู้ว่าถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ฟาห์คินกับซามาลจึงก้าวเข้าไปในห้อง หากแต่หางตาของคนเป็นเจ้านายกลับชำเลืองมาทางร่างบอบบางที่ยืนเงียบๆ อยู่ด้านหลัง พลันคิ้วหนาก็ขมวดมุ่นเมื่อภาพที่ปรากฏในจักษุคือหญิงสาวไม่ยอมเขยื้อนกายออกจากลิฟต์ เป็นดั่งที่เขาคาดไว้ไม่มีผืด

“ออกมา” ชายหนุ่มบอกสั้นๆ

“คือว่า...บัวต้องไปเตรียมการ...ต้องไปแจ้งข้างล่างว่าคุณจะกลับเลยหรือเปล่า”

“ผมก็บอกแล้วไง ว่าไม่ใช่หน้าที่ของคุณที่จะต้องมาไล่ให้ผมกลับ”

“บัวไม่ได้ไล่นะคะ”

“แต่ที่พูดมาน่ะมันเหมือนไล่มากเลยนะ ผมบอกแล้วไงว่าผมมีเครื่องบินวนตัว ไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่คุณจะต้องมารู้ว่าผมจะกลับหรือไม่กลับ” ฟาห์คินพาลพาโลใส่

“ดิฉันทราบดีค่ะว่าคุณรวยมากและมีเครื่องบินส่วนตัว แต่มันก็มีเรื่องอื่นๆ ที่ต้องอำนวยความสะดวกอีกนะคะ ไม่ว่าจะเป็นที่พัก ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน ทั้งของตัวคุณเองหรือของผู้ติดตามมากมายข้างล่างนั่น และดิฉันก็คิดว่าดิฉันควรจะรู้ และคุณก็ไม่น่าโมโห” บุณฑริกพยายามใจเย็น

ฟาห์คินจึงยกมือหนาขึ้นกอดอก จมูกโด่งเป็นสันของเขาเชิดขึ้นเล็กน้อย ก่อนริมฝีปากหยักจะส่งเสียงเรียก

“ออกมานี่สิ”

“ไม่ได้หรอกค่ะ บัวต้องรีบลงไปทำธุระข้างล่าง”

“นี่เป็นคำสั่ง! คุณต้องเดินมาที่นี่เดี๋ยวนี้ อ๋อ...ที่ไม่กล้าเดินมาเนี่ยเพราะกลัวผมจะทำอะไรคุณอีกงั้นเหรอ คุณไม่ต้องกลัวหรอก เพราะตลอดชีวิตในวัยหนุ่มของผมไม่เคยต้องบังคับฝีนใจใคร และที่สำคัญผมก็เลิกคิดถึงเรื่องนั้นไปแล้วด้วย เอ...หรือว่าคุณยังคิดอยู่”

หญิงสาวที่ยืนจึงหันไปมองหน้าซามาล และเมื่อเห็นฝ่ายนั้นยังยืนอยู่และก้มหน้าเล็กน้อยเหมือนจะบอกว่าเชิญออกมาเถอะ เธอจึงก้าวออกมา

“บัวไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลยนะคะ...บัว...บัวก็แค่คิดว่าการประชุมก็จบลงแล้ว แล้วถ้าหากคุณจะบินกลับประเทศของคุณเลย ไม่ว่าจะเป็นวันนี้ วันพรุ่งนี้ หรือวันไหนๆ บัวก็จะต้องแจ้งให้ผู้จัดการธนวัฒน์รับทราบ”

“แต่ผมยังไม่กลับ” ฟาห์คินบอกอีกฝ่าย

“หมายถึงตอนนี้น่ะหรือคะ”

“สักอาทิตย์ หรือสองอาทิตย์” ฟาห์คินบอกอย่างไม่เห็นว่าเป็นเรื่องแปลก

“แต่ว่า...”

บุณฑริกทำท่างงๆ เธอหันไปมองซามาล เพราะจำได้ว่าฝ่ายนั้นบอกว่าคุณฟาห์คิน อาเหม็ด นาซิฟ เป็นนักธุรกิจที่มีงานยุ่งมาก และไม่เคยอยู่ที่ไหนนานเกินสองสามวัน เพราะห่วงงานที่ออฟฟิศใหญ่ในนาร์คอซัส แต่ซามาลเองก็ได้แต่ไหวไหล่น้อยๆ เป็นเชิงไม่รู้เหมือนกัน บุณฑริกจึงคิดถึงสัจธรรมในชีวิตว่าอย่าเอาอะไรกับความแน่นอน

‘ตอนนี้เขาอาจติดใจพัทยาจนอยากนอนอาบแดดสักเดือนหนึ่งก็ได้นี่ เดี๋ยวนี้การสื่อสารอบ่างเช่นอินเตอร์เน็ตก็สามารถทำให้คนที่อยู่คนละมุมโลกติดต่อถึงกันได้ทั่วโลกแล้วนี่นา”

“ตกลงค่ะ ถ้าอย่างนั้นบัวจะลงไปบอกกับผู้จัดการเอาไว้ ส่วนจะอยู่ถึงวันไหน..ซามาลก็คงจัดการได้”

“ทำไมต้องให้ซามาลจัดการ” ฟาห์คินขมวดคิ้ว

“ก็เขาเป็นคนสนิทของคุณนี่คะ แล้วถ้าไม่ใช่ซามาล คุณคิดว่าเป็นใครล่ะคะที่สมควรจัดการเรื่องแบบนี้”

“คุณไง!”

“อะ..อะไรนะคะ แต่ว่าบัวต้องกลับไปทำงาน บริษัทส่งบัวให้มาที่พัทยาสองวัน พรุ่งนี้บัวก็ต้องกลับไปทำงานแล้ว”

“ผมให้คุณอยู่ต่อจนกว่าผมจะกลับ” ฟาห์คินออกคำสั่ง

“อยู่ต่อ...” บุณฑริกรำพึงอย่างงุนงง ในขณะที่เจ้านายหนุ่มหันไปสั่งซามาล

“ผมจะอยู่ที่นี่ต่อสักอาทิตย์หรือสองอาทิตย์ จัดการทุกอย่างให้ด้วย ถ้ามีงานด่วนก็ส่งมาที่นี่ได้เลย ส่วนบัว คุณก็ทำหน้าที่ของคุณต่อไป”

“หน้าที่ของบัวงั้นหรือคะ”

“ใช่! คุณทำงานอยู่ที่บริษัทของผมไม่ใช่หรือ เพราะฉะนั้นตอนนี้ผมขอสั่งให้คุณอยู่ที่นี่ต่อจนกว่าผมจะกลับ” ฟาห์คินตอบอย่างไม่คิดว่ามันคือเรื่องที่แปลก

ซามาลจึงก้มหน้าน้อยๆ รับคำ และหันไปมองบุณฑริกเหมือนจะบอกให้เธอทำตาม

“ก็...ก็ได้ค่ะ” หญิงสาวรับคำอย่างงงๆ

“ถ้างั้นก็ไปได้แล้ว” ใบหน้าคมเอ่ยยิ้ม ปรายตามองไปที่ลิฟต์เหมือนจะบอกเป็นนัยๆ ว่าหมดธุระของตนแล้ว

บุณฑริกมองใบหน้าคมของฟาห์คินอยู่อึดใจ เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงต้องการให้เธออยู่ที่นี่ต่ออีก ในเมื่อหน้าที่ของตนตามที่ได้รับคำสั่งมาก็ได้จบสิ้นลงแล้ว





เพราะประกาศิตจากเจ้านายคนใหม่ ทำให้ตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมาบุณฑริกต้องอยู่ประจำที่พัทยา แต่ที่จริงแล้วจะเรียกว่าอยู่ประจำก็ไม่ถูกนัก เพราะมีหลายวันเช่นกันที่เธอต้องพาเขาข้ามไปยังจังหวัดอื่นๆ หรือไปตามเกาะแก่งต่างๆ ในแถบภาคตะวันออก

การอยู่ด้วยกันตลอดเวลายาวนานถึงสองสัปดาห์น่าจะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่มีเศษกระดาษชิ้นเล็กๆ ที่เรียกว่าโน้ต ซึ่งพนักงานของโรงแรมเดินเข้ามามอบให้กับบุณฑริก ขณะที่ทั้งคู่เพิ่งเดินทางกลับมาจากการรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน

“คุณบัวครับ”

“มีอะไรหรือคะ”

“มีโน้ตถึงคุณบัวครับ” พนักงานคนนั้นส่งกระดาษแผ่นเล็กๆ ให้

“ผมขึ้นข้างบนก่อน คืนนี้เรามีนัดทานข้าวด้วยกันนะบัว”

“ค่ะเจ้านาย” บุณฑริกยิ้มให้อีกฝ่ายและถือโน้ตใบนั้นไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งมีโซฟาสีเทานุ่มๆ วางไว้สำหรับรับแขก หญิงสาวนั่งลงและคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกเพื่ออ่าน

‘ธนพลจะกลับจากอิตาลีพรุ่งนี้ จากพี่เชอร์รี่’

บุณฑริกขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะที่อ่านโน้ตแผ่นนั้นซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง หัวใจของเธอก็เริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่หญิงสาวกลับบอกตัวเองไม่ได้เลยว่ากำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่

‘ดีใจงั้นหรือ คงไม่ใช่หรอก’ เพราะครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ธนพลไปเที่ยวต่างประเทศนานๆ

‘หรือโมโห’ เพราะตลอดสองอาทิตย์ที่เธอมาอยู่ที่เมืองพัทยานี้ หญิงสาวไม่เคยได้รับโทรศัพท์จากธนพลเลย ทั้งๆ ที่เขาก็มีเบอร์มือถือของเธอ และหนำซ้ำตอนนี้คนที่โทรมาบอกให้ตนเองไปรับคู่หมั้นก็เป็นพี่เชอร์รี่ ผู้หญิงที่เคยมีข่าวคาวกับเขามาก่อน

‘โมโหหึง?’

‘ไม่ใช่’ บุณฑริกตอบตัวเองในใจ พร้อมผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ ด้วยเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวเองในขณะนี้มันคืออะไรกันแน่ ตอนนี้เธอรู้แต่เพียงว่าใจมันหวิวๆ เบาโหวง คล้ายๆ กับคนที่กำลังนอนหลับฝันหวานอยู่ดีๆ แล้วมีเรื่องอะไรที่ทำให้ต้องสะดุ้งตื่นลืมตาขึ้นมาพบกับความเป็นจริงบนโลกมนุษย์ ความจริงที่ว่าตนเองมีคู่หมั้นอยู่แล้วก็คือธนพล





มื้อค่ำวันนั้นฟาห์คินเลือกทานอาหารที่ภัตตาคารหรูบนระเบียงดาดฟ้าของโรงแรมที่พัก โดยนั่งในจุดที่สามารถมองออกไปเห็นพื้นที่มุมกว้างของพัทยาในยามค่ำคืนได้ โต๊ะที่เขาและเธอนั่งนั้นปูด้วยผ้าลูกไม้สีขาวสะอาด บนโต๊ะมีดอกกุหลาบสีแดงแรกแย้มแสนสวยกลิ่นหอมละมุนซึ่งผูกโบสีชมพูอันเล็กๆ วางไว้เพียงดอกเดียว

แต่แม้บรรยาการจะแสนสบายและโรแมนติก ทว่ามื้อนี้ระหว่างบุณฑริกและฟาห์คินกลับดูเงียบลงมากกว่าเดิม ซึ่งชายหนุ่มก็รับรู้ได้

“คุณเหมือนคนที่กำลังมีอะไรอยู่ในใจ”

“ใครบ้างคะ ที่ไม่มีอะไรอยู่ในใจ” บุณฑริกตอบเขาอย่างเนือยๆ

“ยิ่งพูดกวนๆ แบบนี้ ผมยิ่งว่าใช่แน่นอน มีอะไรอยากจะบอกผมหรือเปล่า” ฟาห์คินถามพลางมองใบหน้าสวย ทว่าบุณฑริกไม่ยอมตอบ หญิงสาวมองใบหน้าคมดวงตาสีหยกก่อนถามกลับ

“พรุ่งนี้คุณก็จะกลับแล้วสินะคะ”

“อืม”

“ถ้างั้นพรุ่งนี้บัวก็คงกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ ได้แล้ว” หญิงสาวพึมพำก่อนรู้สึกตื้อๆ ขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“แน่นอน หรือว่าตอนนี้คุณไม่อยากกลับเสียแล้ว หรือว่าอยากให้ผมอยู่ต่อ” ฟาห์คินอมยิ้ม มองอีกฝ่าย ดวงตาสีหยกแวววาวจนบุณฑริกต้องหลบและสั่นศีรษะ

“บัวไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นสักหน่อยค่ะ”

“ผู้หญิงก็มักเป็นแบบนี้แหละ มักไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองคิด ชอบทำเรื่องง่ายให้กลายเป็นเรื่องยาก” ฟาห์คินเหยียดมุมปาก

“ดูคุณจะเข้าใจผู้หญิงจริงๆ นะ”

“ก็แค่หลักการง่ายๆ ปากแข็งแต่ใจอ่อน ธรรมชาติของผู้หญิง” ฟาห์คินไหวไหล่เล็กน้อย ทำให้บุณฑริกมองท่าทางยโสของอีกฝ่ายอย่างหมั่นไส้

“แต่ผู้หญิงบางคนก็ปากตรงกับใจนะคะ”

“อย่างคุณหรือไง”

“ใช่ค่ะ” บุณฑริกตอบรับ และเชิดหน้าน้อยๆ

ฟาห์คินอมยิ้มก่อนจ้องผู้หญิงซึ่งนั่งข้างๆ ตน มือหนาของเขาหยิบดอกกุหลาบแรกแย้มผูกโบเล็กๆ สีชมพูที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนยื่นมันมาจนกลีบนิ่มๆ สีแดงสัมผัสคางมนของหญิงสาว

“งั้นบอกผมสิบัว ว่าคุณชอบผมไหม”

เสียงทุ้มนุ่มๆ กลิ่นหอมรวยริน พร้อมกลีบนุ่มๆ ที่สัมผัสปลายคางอยู่นั้น ทำให้บุณฑริกชะงัก หญิงสาวสบตากับเขา และอะไรบางอย่างทำให้เธอคิดว่าดวงตาสีหยกตรงหน้านั้นแสนจะระยิบระยับแพรวพราว แถมขณะนี้ริมฝีปากหยักของเขาก็กำลังหยักมุมน้อยๆ ส่งผลให้ใบหน้าคมแสนหล่อเหลา

“บัว...บัวไม่ได้เกลียดคุณ” หญิงสาวตะกุกตะกักเล็กน้อย

“ฮึ! นี่มันเป็นวิธีหลบเลี่ยงใช่ไหมซามาล นายคิดว่าผู้หญิงคนนี้ปากแข็งหรือเปล่า”

คำตอบของเธอทำให้ฟาห์คินทำเสียงขึ้นจมูก ก่อนจะหันไปถามซามาลที่ยืนอยู่ใกล้ๆ บอดีการ์ดหนุ่มจึงยิ้มน้อยๆ แต่ไม่ยอมออกความเห็นอะไร

“ซามาล คุณยิ้มอะไร”

บุณฑริกถามพาลๆ ด้วยใบหน้าที่แดงจัด แต่อาการแบบนั้นยิ่งทำให้ชายหนุ่มทั้งสองกลั้นหัวเราะ หญิงสาวจึงโวยวาย

“นี่พวกคุณคิดจะต้อนให้บัวจนมุมใช่ไหม”

“ผมทำแบบนั้นหรือ แล้วสำเร็จหรือเปล่าล่ะ” ฟาห์คินถามอย่างยโส

“คุณฟาห์คิน!” บุณฑริกเรียกอีกฝ่ายอย่างทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่ากำลังเขินหรือกำลังโมโหกันแน่

“ว่ายังไงครับคุณบัว” ชายหนุ่มถามล้อๆ ทำให้หญิงสาวกัดริมฝีปากและลุกขึ้น

“วันนี้บัวขอตัวก่อนนะคะ เพราะรู้สึกปวดหัวมาตั้งแต่เย็นแล้ว”

“ปวดหัวงั้นหรือ” ฟาห์คินหรี่ตาอย่างจับผิด

“ใช่ค่ะ แล้วตอนนี้ก็ปวดมากด้วย” หญิงสาวเน้นคำบอกอีกฝ่ายและทำท่าจะจากไป

“เดี๋ยวบัว”

“อะไรอีกล่ะคะ” บุณฑริกชะงักก่อนถาม

“นี่ของคุณ สำหรับคุณโดยเฉพาะ” ฟาห์คินลุกขึ้นและเดินมาหาหญิงสาว มือหนาส่งดอกกุหลาบที่ผูกโบสีชมพูให้เธอ

“ของฉันหรือคะ”

“อืม”

ดวงหน้าคมคายพยักน้อยๆ ดวงตาสีหยกจ้องมองอย่างมีความหมาย ใบหน้าของสาวชาวไทยจึงเป็นสีชมพูเปล่งปลั่งกว่าเดิมอีก เธอจึงรีบก้มหน้าลงมองกุหลาบสีแดงแรกแย้มดอกนั้นก่อนรับมันมาจากเขาและรีบเดินออกจากห้องอาหารทันที

ฟาห์คิน อาเหม็ด นาซิฟมองตามอีกฝ่ายยิ้มๆ และยกมือห้ามไม่ให้บอดีการ์ดเดินตามไปเรียกหญิงสาวที่กำลังเดินหนีเขาไป

บุณฑริกแทบจะไม่มองหน้าใครทั้งนั้น เธอเดินเร็วกลับมาที่ห้องของตนและวางดอกกุหลาบดอกนั้นที่ชั้นวางโทรทัศน์ ริมฝีปากบางก็พึมพำบ่นคนให้

“เอาดอกกุหลาบมาหลอกฉันหรือไงฟาห์คิน ไม่มีวิธีให้ที่มันดีกว่านี้แล้วหรือไงกัน ไปขโมยห้องจัดเลี้ยงมาหรือเปล่าก็ไม่รู้”

ถึงจะบ่นว่าสารพัดแต่สุดท้ายมือเรียวก็หยิบมันขึ้นมาอีก พลันนั้นหัวใจของหญิงสาวก็อดรู้สึกวูบๆ วาบๆ ไม่ได้เมื่อนึกถึงคำว่า ‘สำหรับคุณโดยเฉพาะ’ ที่หลุดออกมาจากปากของฟาห์คิน





ตอนเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้นฟาห์คินให้ซามาลไปตามบุณฑริกมาพบตนที่ห้อง บอดีการ์ดหนุ่มจึงทำตามคำสั่งโดยเดินไปเคาะประตูห้องของอีกฝ่าย ทว่าบุณฑริกกลับเดินออกมาเปิดประตู และแม้หญิงสาวจะแต่งตัวเรียบร้อยแล้วแต่ท่าทางของเธอกลับเหมือนไม่อยากจะออกไปทำงานในวันสุดท้ายสักเท่าไร

“จะกลับกันแล้วหรือคะ” เธอส่งเสียงเนือยๆ ถามเขา

“อืม เจ้านายต้องกลับไปสะสางงานที่นาร์คอซัส”

“งั้นบัวไม่ไปส่งนะคะ”

“อ้าว ทำไมล่ะ แต่เจ้านายให้ผมมาตามคุณขึ้นไปพบนะ”

“บัว...ปวดหัว”

“มีอะไรหรือเปล่า ยังโกรธเจ้านายผมอยู่หรือไง นี่มันสองอาทิตย์แล้วนะ คุณยังไม่ชินกับคำพูดของเขาอีกหรือ?” ซามาลถามเพราะคิดว่าบุณฑริกโกรธเจ้านายตนเรื่องเมื่อคืน

“เปล่า ไม่ได้โกรธ แค่ไม่อยากเจอ” หญิงสาวบอกอีกฝ่ายตรงๆ ด้วยความที่เริ่มสนิทสนมกับซามาลมากขึ้นแล้ว

“ทำไมล่ะ คุณดูแปลกๆ นะบัว” อีกฝ่ายตั้งข้อสังเกต

“งั้นหรือคะ คุณคิดไปเองล่ะมั้ง แล้วทำไมเขาต้องให้คุณมาตามบัวไปพบด้วยล่ะ ต้องมีพิธีลาด้วยงั้นหรือ”

“ไม่รู้สิ ถ้าอยากรู้จริงๆ คุณคงต้องขึ้นไปกับผมแล้วล่ะ” ซามาลแกล้งท้า

“คุณติดนิสัยชอบหลอกล่อมาจากเจ้านายหรือไงคะเนี่ย”

“จริงหรือ? ผมไม่รู้ตัวเลย”

พร้อมกับคำตอบของบอดีการ์ดหนุ่ม บุณฑริกก็ก้าวออกมาจากห้อง ที่จริงเธอเองก็เตรียมอาบน้ำแต่งตัวใส่ชุดสีครีมไข่ไก่ไว้ตั้งแต่เช้าแล้ว เพียงแต่รู้สึกลังเลที่จะต้องไปพบหน้าเจ้านายของซามาลเหลือเกิน แม้ว่าวันนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เจอเขาแล้วก็เถอะ

“แต่คุณคงไม่ดุแล้วก็เจ้าเล่ห์เท่าเขากระมัง” หญิงสาวบอกอีกฝ่ายยิ้มๆ

“ไม่รู้สิบัว บางครั้งคนเราก็ทำอะไรไปโดยไม่รู้สึกตัวเหมือนกันนะ”

“งั้นหรือคะ จริงสิซามาล บัวเคยคิดจะถามคุณเหมือนกัน ว่าคุณมีความสุขไหมที่ได้เป็นบอดีการ์ดของคุณฟาห์คิน ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่พวกเราจะเจอกัน บัวก็อยากให้คุณตอบ”

“อะไรนะ”

“ก็ดูอาชีพของคุณจะไม่มีความสุขเลยนี่นา ถามจริงๆ เถอะ คุณมีเวลาไปจีบสาวบ้างหรือเปล่า ขนาดกินข้าว ฟาห์คินยังบอกว่าคุณรีบกินเลย”

“หึๆ มันเป็นอาชีพของลูกผู้ชาย แล้วผมก็ภูมิใจกับมันมาก ผมจะไม่ตอบคำถามของคุณหรอกนะบัว เพราะถึงบอกคุณก็คงไม่เข้าใจ” ซามาลยิ้มมุมปาก

“โอ้โฮ บัวรู้สึกโง่จังเลยนะเนี่ย”

“คุณก็มีบางอย่างคล้ายฟาห์คินเหมือนกัน” ซามาลหัวเราะขำ

“บัวน่ะหรือ”

“ก็ใช่สิ เรื่องคำพูดไง ฟาห์คินก็ชอบพูดตรงๆ วาจาฉลาดหลักแหลมแบบนี้แหละ”

“พูดตรงๆ งั้นหรือ เมื่อวานเขายังหาว่าบัวปากแข็งอยู่เลย”

“ก็คุณตอบไม่ตรงคำถามนี่บัว”

“แล้วคุณคิดว่าบัวควรตอบว่ายังไง ฉันชอบคุณค่ะงั้นหรือ เจ้านายของคุณน่ะเจ้าเล่ห์ต่างหากที่ถามแบบนั้น”

พอซามาลได้ฟังก็หัวเราะเบาๆ ในขณะที่บุณฑริกค้อนขวับพลางบ่นใส่อีกฝ่าย

“ไม่เห็นตลกเลย”

คุยกันเพลินๆ ไม่เท่าไรทั้งคู่ก็ก้าวมาถึงเคาน์เตอร์ด้านล่างซึ่งเป็นทางเดียวที่จะต้องเดินผ่านไปขึ้นลิฟต์พิเศษได้ และไม่นานเสียงพนักงานหญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้น

“คุณบัวคะ” ท่าทางเรียกของเธอนั้นเหมือนพยายามบอกให้บุณฑริกเดินไปที่เคาน์เตอร์ หญิงสาวจึงบอกซามาล

“เดี๋ยวบัวตามขึ้นไปนะคะ”

“ผมจะรอที่ลิฟต์” ซามาลแจ้งความประสงค์ บุณฑริกจึงไหวไหล่น้อยๆ ก่อนเดินไปเข้าหาพนักงานผู้นั้น

“มีอะไรงั้นหรือคะ”

“โทรศัพท์จากนาร์คอซัสค่ะ”

“อ้าว ทำไมไม่ต่อขึ้นไปให้คุณฟาห์คินข้างบนล่ะ”

“ทางโน้นบอกว่าอยากคุยกับพนักงานหญิงที่มีหน้าที่ต้อนรับคุณฟาห์คินค่ะ”

“อะไรนะ” บุณฑริกขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ แต่ก็รับหูโทรศัพท์จากพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ก่อนจะกรอกเสียงลงไป

“สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อบุณฑริก เป็นพนักงานที่สำนักงานใหญ่ส่งมาให้คอยต้อนรับคุณฟาห์คิน อาเหม็ด นาซิฟค่ะ”

หลังจากพูดประโยคนั้นจบแล้ว บุณฑริกก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เธอเพียงแต่ฟัง ฟัง ฟัง และก็ฟัง ขณะที่ริมฝีปากก็เม้มแน่น จนพนักงานหญิงหน้าเคาน์เตอร์อดมองด้วยความแปลกใจไม่ได้

“พอแล้วค่ะ ดิฉันจะวางหูแล้ว”

ฟังได้สักพักบุณฑริกก็บอกปลายสาย ก่อนจะวางหูโทรศัพท์ลงดังกึก! ทันทีที่พูดจบ หลังจากนั้นร่างเพรียวก็เอนพิงเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์หน้าโรงแรมเหมือนตั้งสติ ริมฝีปากสีชมพูเม้มลงอย่างข่มใจ ก่อนที่จะเดินออกไปจากจุดนั้นและก้าวไปหาซามาล หญิงสาวหยักมุมปากให้เขานิดหน่อยเป็นการทักทายและไม่ยอมพูดอะไรอีกเลยจนกระทั่งลิฟต์ตัวนั้นวิ่งขึ้นมาถึงจุดหมาย

“ผมคงส่งคุณได้แค่นี้นะบัว” ซามาลเอ่ยพลางสังเกตท่าทีที่นิ่งเงียบของบุณฑริก แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมตอบอะไร บอดีการ์ดหนุ่มจึงเดาว่าหญิงสาวอาจจะกลัวเลยไม่อยากเข้าไปในห้องของฟาห์คินเพียงลำพัง

“คุณคงไม่กลัวหรอกนะ เพราะคุณเองก็คุ้นเคยกับคุณฟาห์คินมาหลายอาทิตย์แล้ว และคงรู้ดีว่าเจ้านายผมไม่เคยต้องการผู้หญิงที่ไม่ยินยอมพร้อมใจ ถึงแม้จะไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนเป็นแบบนั้นเลยก็ตาม”

แม้ซามาลจะพยายามทำให้บรรยากาศดีขึ้น แต่บุณฑริกก็เพียงแค่มองตอบเขาด้วยสีหน้านิ่งเฉย ริมฝีปากสีชมพูยังเม้มแน่นเหมือนกลัวว่าถ้อยคำที่เก็บไว้มันจะหลุดออกไปเสียก่อน บอดีการ์ดหนุ่มมองท่าทางแบบนั้นอย่างงงๆ แต่เขาก็ทำได้เพียงเก็บความสงสัยนั้นไว้และกดปิดลิฟต์เมื่อหญิงสาวก้าวออกไปแล้ว

บุณฑริกเดินเข้าไปห้องสุดหรูนั้นและพบว่าฟาห์คินกำลังยืนหันหลังคอยเธออยู่ที่ระเบียง ซึ่งด้านหน้าของเขานั้นคือภาพท้องทะเลสีฟ้าอมเขียวอันกว้างใหญ่ไพศาล

เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากด้านหลัง ชายหนุ่มจึงหันกลับเข้ามาในห้อง ริมฝีปากของเขาหยักมุมเล็กน้อยเมื่อเห็นหญิงสาวในชุดสีครีม

“เมื่อคืนคุณหนีผมนะบัว”

“หนีหรือคะ?” บุณฑริกขมวดคิ้วน้อยๆ

“ใช่ คุณตอบไม่ตรงกับคำถามแล้วก็หนีไปดื้อๆ ทั้งๆ ที่วันนี้ผมก็จะกลับแล้ว”

คนถูกถามจึงเม้มปากน้อยๆ ในขณะที่นักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อเดินเข้ามาใกล้ร่างเพรียวสวย และยกมือหนาแตะที่เอวของเธอเบาๆ ด้วยท่าทีที่ปราศจากอาการลวนลาม ดวงตาสีหยกจ้องดวงตาสีน้ำตาลนิ่ง ใบหน้าคมมองผู้หญิงที่สูงประมาณปลายคางของเขา และถามเบาๆ

“งั้นบอกผมหน่อยสิว่าถ้าผ่านวันนี้ไป คุณจะคิดถึงผมไหม แต่ไม่ใช่ในฐานะเจ้านายนะ คุณจะคิดถึงผมใช่ไหมบัว”

ฟาห์คินเปลี่ยนมาแตะข้อมือหญิงสาว ใช้ปลายนิ้วของเขาไล้แขนเรียวขึ้นมาช้าๆ และเมื่อหญิงสาวยังนิ่งเฉย ไม่มีอาการขัดขืนหรือตอบโต้ มือหนาจึงสัมผัสที่หัวไหล่เนียนเบาๆ ใบหน้าคมก้มลงไปหาดวงหน้าสวยพร้อมกระซิบที่ข้างหู

“และถ้าเป็นแบบนั้น คุณจะกลับนาร์คอซัสไปกับผมได้ไหมบัว”

“ไปนาร์คอซัสน่ะหรือคะ? คุณกล้าชวนบัวแบบนั้นหรือคะคุณฟาห์คิน” พอสิ้นสุดประโยคนั้นมือเรียวก็จับมือหนาของอีกฝ่ายออกและถอยหลังห่างจากเขาหนึ่งก้าว ทำให้นักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อชะงักอย่างงงงันเพราะเมื่อครู่เขาคิดว่าเธอกำลังตกอยู่ในภวังค์และพร้อมจะรับรสจูบอันแสนร้อนแรงจากตนเองเสียอีก

“คุณพูดถึงอะไรบัว”

“ก็อย่างที่บอก และถ้าคุณกล้าชวนจริงๆ ละก็ จะให้บัวไปที่นั่นในฐานะอะไรคะ”

“ก็ผู้หญิงของผม” ใบหน้าคมขมวดมุ่นขณะตอบอีกฝ่าย

“ผู้หญิงของคุณ! งั้นคนที่เท่าไรล่ะคะ”

“ถามอะไรแบบนั้น นี่คุณเป็นอะไรกันแน่” เสียงของฟาห์คินเริ่มดังขึ้น

“นั่นสิ!” บุณฑริกทำเสียงขึ้นจมูก

‘จริงสิ! เธอเป็นอะไรกันแน่ และจะมาต่อว่าอะไรเขา ในเมื่อเธอก็รู้ตัวดีอยู่แล้วว่าตนเองก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำแบบนั้น’

“คุณเป็นอะไรกันแน่บัว”

“เปล่า! บัวแค่ต้องการจะบอกคุณว่า กรุณากลับนาร์คอซัสไปซะเถอะค่ะ ยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี” บุณฑริกนึกถึงถ้อยคำที่ได้ยินในโทรศัพท์เมื่อครู่แล้วเค้นเสียงบอกอีกฝ่าย

“คุณบ้าหรือเปล่า พูดอะไรของคุณ” ฟาห์คินจับบ่าเรียวอย่างแรงเพราะไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เลย

“บัวไม่ได้บ้า เพียงแต่เมื่อกี้คู่หมั้นของคุณโทรมาหาบัว เจ้าหญิงมาลิก้าแห่งนาร์คอซัสทรงโทรศัพท์มาหาดิฉัน...” ดวงตาสีน้ำตาลมองอีกฝ่ายอย่างโกรธๆ เธอหยุดพูดครู่หนึ่งและเม้มปากลงเพื่อกล้ำกลืนคำที่ฝ่ายนั้นด่าเธอเอาไว้

“เจ้าหญิงทรงโทรมางั้นหรือ”

“ใช่ค่ะ และเจ้าหญิงก็ทรงต้องการให้คู่หมั้นของพระองค์กลับนาร์คอซัสเป็นการด่วน”

ความจริงเจ้าหญิงมาลิก้าไม่ได้พูดแค่นั้น แต่พระองค์ตรัสอย่างหยาบคายกับเธอมาก ทั้งยังทรงด่าอย่างเจ็บๆ หาว่าเธอนอนกับฟาห์คินแล้ว และติดใจในรสชาติพิศวาสของเขาเลยยื้อไว้ไม่ให้อีกฝ่ายกลับนาร์คอซัส เธอแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่านั่นคือวาจาที่ออกมาจากปากผู้สูงศักดิ์

‘บอกไปจะมีคนเชื่อฉันไหมว่าบุคคลอย่างเจ้าหญิงแห่งนาร์คอซัสจะกล้าตรัสแบบนี้ แถมพระองค์ยังทรงประกาศอีกด้วยว่า จะให้พระคู่หมั้นสุดที่รักของพระองค์ไล่เธอออกจากงาน’

“งั้นทำไมถึงไม่ต่อโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วทำไมพระองค์ถึงทรงไม่คุยกับผม”

เสียงถามอย่างนุ่มนวลทำให้บุณฑริกยิ่งมั่นใจว่าทั้งคู่คงรักกันมาก และยิ่งนึกโกรธที่ต้องมาโดนด่าทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย

“เรื่องนั้นคุณคงต้องไปถามคู่หมั้นของคุณเอง ส่วนบัวเองก็คงต้องรีบกลับไปรับคู่หมั้นของบัวเหมือนกัน” เธอพูดเสียงดังอย่างไม่อยากเสียเชิง

“คู่หมั้นของคุณ!”

“ใช่ค่ะ คู่หมั้นที่รักกันมากของบัว เขาเพิ่งกลับมาจากอิตาลี และจะลงเครื่องบ่ายนี้ ถ้าบัวไม่ไปรับละก็ เขาคงเสียใจน่าดูเชียว”

“คุณไม่เคยบอกเรื่องนี้กับผมเลย!”

“คุณก็ไม่เคยบอกเรื่องคู่หมั้นของคุณกับบัวเหมือนกัน”

“ทำไมผมต้องบอกคุณ มันไม่ใช่เรื่องที่คุณจำเป็นต้องรู้” ฟาห์คินกัดฟันอย่างโกรธๆ

“เฮอะ! งั้นฉันก็คิดเหมือนคุณนั่นแหละ” หญิงสาวตะโกนใส่เขาก่อนหันหลังเดินเร็วๆ ไปที่ลิฟต์ นิ้วเรียวกดเปิดมัน และก้าวเข้าไปในนั้นทันที

“บัว! กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนนะ”

ฟาห์คินตะโกนเรียกพร้อมก้าวตาม แต่บุณฑริกก็ไม่ยอมหันหลังกลับไปอีก พร้อมกับย้ำเตือนตัวเองอยู่ในใจ ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอและเขาที่เกิดขึ้นตลอดเกือบเดือนที่ผ่านมา มันเกิดขึ้นเพราะความน้อยใจในคู่หมั้นหนุ่ม และมันก็ไม่สมควรเกิดขึ้นเลย แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เธอก็ควรจบมันโดยเร็วเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อครอบครัว

“ลาก่อนค่ะคุณฟาห์คิน เพราะเราไม่ควรจะเจอกันอีกแล้ว”

บุณฑริกพึมพำเบาๆ ก่อนก้าวเข้าไปในลิฟต์ คิ้วเรียวขมวดน้อยๆ และมองใบหน้าคมของคนที่ตะโกนเรียกตน จนกระทั่งประตูลิฟต์ค่อยๆ ปิดลงกั้นคนทั้งสองให้แยกจากกัน






บทที่ 4

ทันทีที่บุณฑริกลงลิฟต์มาถึงชั้นล่างก็เจอกับซามาลซึ่งเพิ่งเดินกลับมาจากเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของโรงแรม เพื่อสอบถามชื่อคนที่โทรมาหาบุณฑริกเมื่อสักครู่

“บัว”

เสียงเรียกของบอดีการ์ดส่งผลให้บุณฑริกหยุดชะงักการก้าวเดิน แล้วหันไปยังที่มาของเสียง

“ซามาล พวกคุณจะกลับเช้านี้เลยใช่ไหม ต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่บัวอาจจะไม่ได้อยู่ส่งพวกคุณ” บุณฑริกพูดขึ้นทันทีที่เขาเรียก มือเรียวยกขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณให้พนักงานชายคนหนึ่งเดินมาหาและส่งกุญแจห้องให้

“ช่วยไปเอากระเป๋าบนห้องมาให้ทีนะ” เธอหันกลับมาหาซามาลอีกครั้งขณะที่อีกฝ่ายขมวดคิ้วมองอยู่

“คุณน่าจะขึ้นไปหาเจ้านายของคุณนะ”

“บัว...เรื่องเจ้าหญิง” ซามาลอยากจะถามว่าเจ้าหญิงมาลิก้าทรงโทรมาว่าอย่างไรบ้าง

“เรื่องคู่หมั้นของเจ้านายคุณ!” บุณฑริกเน้นเพื่อเปลี่ยนคำพูดของเขาเสียใหม่ “บัวไม่อยากคิดเลยว่าคุณกับเจ้านายจะไม่บอกเรื่องนี้กับบัว”

“ก็ผมไม่คิดว่า...”

“ไม่คิดว่าอะไร” บัวจ้องหน้าคนตัวโต นัยน์ตาของซามาลนั้นมีสีน้ำตาลเช่นเดียวกับหญิงสาวเพียงแต่อ่อนกว่าจนเกือบออกสีทอง

“แต่ก็ช่างเถอะ” หญิงสาวถอนหายใจ “มันไม่ใช่เรื่องของบัวเลยสักนิด”

“แล้วคุณกับฟาห์คิน”

“อ้อ!” บัวไหวไหล่น้อยๆ “ก็บอกลากันแล้ว”

“หวังว่าเจ้าหญิงคงไม่ได้ตรัสอะไรที่ไม่ดีกับคุณนะ” ซามาลนั้นรู้จักเจ้าหญิงมาลิก้าดี และบางครั้งเขาก็คิดว่า ตนรู้จักพระองค์ดีกว่าฟาห์คินด้วยซ้ำ เพราะเจ้าหญิงนั้นมักจะกริ้วอยู่บ่อยครั้งเมื่อลับหลังพระคู่หมั้น

“ไม่หรอกค่ะ พระองค์คงตรัสแต่เรื่องที่สมควรจะตรัสกระมัง คนที่เป็นคู่หมั้นกันก็ควรจะมีสิทธิ์แสดงความเป็นเจ้าของกันและกันอยู่แล้ว ซึ่งตัวบัวเองก็น่าจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน” หญิงสาวบอกยิ้มๆ เพราะเริ่มทำใจได้แล้ว

“หมายความว่ายังไงครับ”

“ก็บัวเองก็มีคู่หมั้นเหมือนกันนี่คะ และวันนี้บัวก็ต้องรีบกลับไปรับเขาด้วย”

“อะไรนะ คุณมีคู่หมั้นแล้วงั้นหรือ” ซามาลเบิกดวงตาขึ้นเล็กน้อย บุณฑริกจึงหัวเราะ

“ถือว่าเราเสมอกันนะ แต่อย่างที่เจ้านายคุณบอกนั่นแหละ ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นต้องป่าวประกาศ” หญิงสาวมองพนักงานของโรงแรมที่ถือกระเป๋าของตนเดินกลับมา ก่อนจะหันไปร่ำลากับซามาล

“ต้องบอกลากันแล้วล่ะค่ะ เราคงไม่ได้เจอกันอีกแน่ๆ เลย”

“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะครับ ในเมื่อคุณก็ยังทำงานอยู่ที่บริษัทของ...หรือว่า...หรือว่าคุณคิดจะลาออก” เขาหรี่ตาลงอย่างนึกได้

บุณฑริกไม่ตอบอีกฝ่าย เธอเพียงรับกระเป๋าสีขาวของตนเองมาถือไว้ก่อนยื่นมือให้ซามาล

“ลาก่อนนะคะซามาล”

“ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะครับ” บอดีการ์ดหนุ่มยังไม่ยอมจับมือกับหญิงสาว

“บัวมีเหตุผลของตัวเองค่ะ”

“แต่ว่า...” ซามาลไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรดี ชายหนุ่มจึงถอนหายใจและมองไปที่ลิฟต์พิเศษ ในใจคิดถึงเจ้านายหนุ่มซึ่งอยู่บนห้องและอยากรู้เหมือนกันว่าตอนนี้ฟาห์คินกำลังเป็นอย่างไร

“ไปก่อนนะคะ” บุณฑริกพูดขึ้นอีกครั้ง ซามาลจึงยื่นมือไปสัมผัสกับเธอพร้อมบอกอย่างจริงใจ

“ผมดีใจที่ได้รู้จักคุณ”

“ค่ะ”

สิ้นคำนั้นหญิงสาวก็ก้าวออกไปจากโรงแรม และพยายามทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลังโดยตั้งใจว่าจะไม่ยอมหวนกลับมาคิดถึงมันอีก





หลังจากที่บุณฑริกลาออกจากบริษัทแกรนด์โอเชียนแล้ว ตลอดช่วงสองเดือนที่ผ่านมาเธอก็พยายามทำอย่างที่ตั้งใจไว้ นั่นก็คือลืมเรื่องที่เคยเกิดขึ้นที่พัทยา และตั้งอกตั้งใจทำงานในตำแหน่งประชาสัมพันธ์ของบริษัทแห่งหนึ่ง

ส่วนธนพลก็เดินทางไปต่างประเทศอีกแค่ครั้งเดียวในช่วงหลังจากที่หญิงสาวกลับมาจากพัทยา และเขาก็ไม่เคยเดินทางไปที่ไหนอีก แต่กลับทุ่มเทเวลาของเขาทั้งหมดมาคอยดูแลเทกแคร์คู่หมั้นสาว โดยการตามรับตามส่ง ตามประสาคู่หมั้นที่น่ารัก ไม่เว้นแม้กระทั่งวันนี้

“ทำไมบัวไม่ไปทำงานที่บริษัทของพ่อผมล่ะครับ”

ธนพลเอ่ยถามหญิงสาวหลังจากที่รับเธอขึ้นรถเพื่อพามากินข้าวเย็นที่บ้าน ซึ่งบุณฑริกก็ตอบยิ้มๆ เหมือนทุกครั้ง

“ก็บัวรอเป็นเลขาฯ ของคุณอยู่ พลก็บอกสิว่าเมื่อไรพลจะเลิกเที่ยว และเข้าทำงานในบริษัทอย่างเต็มตัวสักที เมื่อนั้นแหละบัวก็จะทำงานที่นั่นเหมือนกัน”

“โธ่บัว ก็ตอนนี้ผมเป็นที่ปรึกษาของบริษัทอยู่แล้ว”

“อ๋อ เพราะคุณเป็นที่ปรึกษานี่เอง ถึงต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ งั้นบัวก็ต้องรอเป็นเลขาฯ ของคุณจริงๆ นั่นแหละ พลจะได้เลิกเดินทางเสียที”

“แต่ตอนนี้ผมก็ไม่ได้ไปไหนมาเป็นเดือนแล้วนะ” ธนพลอ้อนแฟนสาว

“ผมน่ะรู้ตัวแล้วว่าตัวเองน่ะบกพร่องต่อหน้าที่ของคู่หมั้นที่ดี ต่อไปนี้ข้าพเจ้า นายธนพล บวรโยธิน จะดูแลบัวอย่างไม่ให้คลาดสายตาเลยสักวินาทีเดียว” ชายหนุ่มร่างสูงยกมือปฏิญาณ

“เกินไปค่ะ ทุกวินาทีนั่นน่ะบัวกระดิกไม่ได้เลยนะคะ”

“ได้สิบัว แต่ผมจะอยู่ข้างๆ คุณตลอดเวลาไง”

“โจรกลับใจหรือไงคะเนี่ย” บุณฑริกถามตรงๆ

“โอ้โฮ เปรียบผมเป็นโจรเลยหรือบัว ก็แค่นิดหน่อยตามประสาผู้ชายน่ะครับ แต่ผมบอกแล้วไง ว่าผมรักบัวคนเดียวเท่านั้น” ชายหนุ่มทำตาปรอยขณะใช้มือข้างซ้ายกุมมือเรียวที่วางอยู่บนตักของหญิงสาว

“มีแต่บัวนั่นแหละที่ไม่ยอมเห็นใจผม เมื่อไรจะยอมแต่งงานกับผมสักทีล่ะครับ” ธนพลส่งเสียงหวานทว่าก็เหมือนที่เขาคาดการณ์ไว้ คือบุณฑริกจะเพียงแต่ยิ้มและไม่ตอบตกลงเขาเสียที

‘แต่วันนี้คุณต้องตกลงแล้วล่ะบัว’ ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายอย่างมาดมั่น





เวลาผ่านไปอีกพักใหญ่กว่าที่รถเก๋งของธนพลจะเลี้ยวเข้าสู่ซอยหมู่บ้านซึ่งเป็นที่อยู่ของผู้ที่มีอันจะกินทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้แสดงได้ดีถึงฐานะของผู้พักอาศัย บุณฑริกมองบ้านเดี่ยวใหญ่ๆ หลายๆ หลังที่เรียงรายกันมาตามทางที่รถของแฟนหนุ่มแล่นผ่าน

“นี่ผมก็เพิ่งต่อเติมบ้านนะครับบัว ทำห้องนั่งเล่นด้านหลังติดกับสวนเอาไว้ให้คุณโดยเฉพาะเลยนะ เผื่ออีกหน่อยมีลูกสักคนสองคน ลูกจะได้มีที่ไว้วิ่งเล่นด้วย” ธนพลชวนคุยพลางบีบมือน้อยเบาๆ

อนาคตที่วาดฝันไว้ของธนพลกระตุ้นให้บุณฑริกนิ่งคิดว่าถึงเวลาที่จะแต่งงานกันได้หรือยัง ความจริงถ้าย้อนเวลาไปได้ หญิงสาวก็อยากให้ธนพลดีกับตัวเองแบบนี้ตั้งแต่ตอนที่เพิ่งหมั้นกัน เพราะหลังจากที่เขาสวมแหวนตีตราจองเป็นเจ้าของเธอแล้ว ชายหนุ่มก็เริ่มเที่ยวอย่างหนัก ทำเหมือนว่าจะต้องใช้ชีวิตโสดให้คุ้มค่าก่อนที่จะร่วมหอกับเธอ และข่าวคราวความเจ้าชู้ของเขาก็แว่วมาเข้าหูตนเองเป็นระยะๆ ไม่เคยขาด ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมันทำให้ความรู้สึกดีๆ เมื่อครั้งแรกพบกันของเธอเริ่มเจือจางลงเรื่อยๆ

จนกระทั่งธนพลมีข่าวกุ๊กกิ๊กกับรุ่นพี่ในที่ทำงานเก่าของเธออย่างพี่เชอร์รี่ ตอนนั้นบุณฑริกเริ่มชั่งใจเป็นอย่างหนักแล้วว่า ความสัมพันธ์ของเธอและเขาควรจะเป็นไปอย่างไร

ซึ่งตอนนั้นธนพลต้องขอบคุณฟาห์คิน อาเหม็ด นาซิฟกระมัง เพราะเขาทำให้เธอตัดสินใจเดินทางมารับเขาที่สนามบินอีกครั้ง ทั้งๆ ที่เคยคิดว่าจะปล่อยให้สาวๆ คนอื่นมาทำหน้าที่คู่หมั้นที่ดีแทนเสียบ้าง และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาธนพลก็เริ่มเปลี่ยนไป เขาเดินทางไปอิตาลีอีกครั้งเดียวเท่านั้น ก่อนจะกลับมาเป็นชายหนุ่มคนที่เธอเคยคบอยู่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย

แต่ความรู้สึกของบัวล่ะ? มันคงเหมือนกับกระดาษขาวบางๆ ซึ่งครั้งแรกถูกหยิบขึ้นมาทั้งแผ่นอย่างเบามือ และแม้ผู้ถือจะดูทะนุถนอมแต่ก็คงเห็นว่าการหยิบมันแบบเต็มแผ่นตลอดไปนั้นมันน่าเกะกะและน่ารำคาญ เพราะฉะนั้นเขาจึงพับมันซะและยัดใส่กระเป๋าเสีย ซึ่งพอถึงตอนนี้แม้กระดาษแผ่นนั้นจะถูกนำกลับมารีดให้เรียบเช่นเดิมแต่มันก็ไม่สามารถลบร่องรอยที่ถูกพับลงได้

“ถึงแล้วครับ”

เสียงของธนพลทำให้หญิงสาวออกจากภวังค์ เธอยิ้มให้เขาน้อยๆ ก่อนก้าวลงเมื่อประตูรถด้านของตนเองถูกเปิดออก และเมื่อทั้งสองก้าวเข้ามาในบ้าน บุณฑริกก็มองคนที่นั่งรออยู่ด้วยดวงตาที่โตกว่าเดิม

“พ่อคะ แม่คะ ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะคะ” หญิงสาวเรียกบิดามารดาของตนเองซึ่งกำลังนั่งคุยอยู่กับบิดาและมารดาของธนพลอย่างงงๆ

“ก็คุณคำรณกับคุณพรรณีน่ะสิจ๊ะ ส่งรถไปรับพ่อกับแม่ที่บ้าน” มารดาของบุณฑริกเอ่ยชื่อบิดามารดาของธนพล

บ้านของบุณฑริกนั้นอยู่ในซอยแห่งหนึ่งซึ่งเป็นชุมชนที่มีฐานะปานกลาง ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนครอบครัวของธนพล และพ่อของเธอนั้นก็เป็นผู้จัดการในบริษัทค้าผ้าไทยส่งนอกซึ่งเป็นกิจการของคู่หมั้นหนุ่ม เหตุผลทั้งหมดทำให้สองครอบครัวสนิทสนมกันเป็นพิเศษและแน่นอนว่าต้องรวมถึงความเกรงอกเกรงใจต่อกันด้วย

“ใช่จ้ะหนูบัว” คุณพรรณีบอกยิ้มๆ หญิงมีอายุนั่งตัวตรงอย่างวางมาดก่อนบอกลูกชาย

“พาหนูบัวไปที่โต๊ะอาหารเลยสิจ๊ะลูก เราจะได้ทานอาหารกันไปคุยเรื่องงานแต่งงานกันไปด้วย”

“อะไรนะคะ” บุณฑริกครางเบาๆ คุณปราณีผู้เป็นแม่จึงลุกขึ้นมาจับมือลูกสาวไว้

“ไม่ต้องดีใจขนาดนั้นจ้ะลูก เดี๋ยวเราไปคุยกันที่โต๊ะอาหารดีกว่านะจ๊ะ นี่คุณคำรณกับคุณพรรณีก็นั่งรออยู่นานแล้วล่ะ ให้ผู้ใหญ่คอยนาน มันไม่ดีนะลูก”

บุณฑริกกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น เธอเริ่มเห็นลางๆ ถึงอนาคตข้างหน้าของตนเองแล้ว ดวงตาสีน้ำตาลสวยหันไปมองคุณบรรพตผู้เป็นบิดา ซึ่งพอเห็นฝ่ายนั้นสบตาอย่างอ้อนวอน เธอก็เริ่มเดาทุกอย่างออก

‘ฉันกำลังถูกมัดมือชก’

หญิงสาวบอกตัวเอง ซึ่งวันนี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับตอนที่มีงานหมั้น เพียงแต่ตอนนั้นเธอมีความรู้สึกดีๆ ให้กับธนพลมากกว่าตอนนี้เท่านั้นเอง และในเมื่อทุกอย่างถูกจัดเตรียมมาเป็นอย่างดีแล้ว บุณฑริกจึงไม่ต้องทำอะไรมากนอกจากฟังและรับคำทุกๆ อย่างตามที่ผู้ใหญ่สั่ง และหลังจากเสร็จธุระแล้วครอบครัวของบุณฑริกก็เดินทางกลับโดยรถตู้ของบ้านธนพลนั่นเอง





“แต่งงานเสียทีก็ดีแล้วล่ะ” เสียงคุณปราณีพูดขึ้นเมื่อรถตู้คันนั้นเดินทางมาถึงหน้าบ้านของตนเอง บุณฑริกจึงขมวดคิ้วถามมารดา

“ดีตรงไหนคะแม่ ตรงที่ไม่มีใครถามบัวเลยสักคนน่ะหรือคะ”

“บัว ลูกก็คบกับพลมานานแล้วนี่ลูก หมั้นกันเกือบปีแล้ว แต่งงานเสียทีก็ดีจริงๆ นั่นแหละ” ผู้เป็นพ่อเอ่ยเสียงนุ่ม

“แต่ว่าทุกคนก็น่าจะถามบัวก่อน นี่อะไรกันคะ ดูเหมือนใครๆ ก็จะรู้เรื่องนี้กันหมด ยกเว้นตัวบัวเอง” บุณฑริกไม่รู้จะบอกอย่างไรเหมือนกันเนื่องจากตนเองเคยพูดเรื่องนิสัยที่เปลี่ยนไปของธนพลกับพ่อและแม่แล้ว แต่ทว่าท่านทั้งสองกลับเห็นว่าเรื่องเจ้าชู้นั้นเป็นเพียงธรรมชาติของผู้ชาย

“ก็พลเขาบอกกับพ่อว่าแกหาทางเลี่ยงเขาอยู่เรื่อย เขาเลยกลัวว่าแกกำลังจะมีแฟนใหม่”

“อะไรนะคะ ทำไมไม่เห็นพลพูดแบบนี้กับบัวเลยล่ะ”

“ก็ตาพลกับพ่อเขาคุยกันตามประสาผู้ชายน่ะลูก แล้วมันจริงหรือเปล่าล่ะ ทั้งเรื่องที่ลูกปฏิเสธเขาและเรื่องแฟนใหม่น่ะ” คุณปราณีถามลูกสาว

“แม่คะ...” บุณฑริกอยากจะแย้ง แต่คุณปราณีก็ขัดขึ้น

“มันไม่งามนะลูก เรามีคู่หมั้นอยู่แล้ว จะไปมีคนอื่นอีกน่ะไม่ได้นะลูก มันจะอายชาวบ้านเขาเปล่าๆ ถ้าเราหมั้นกับใครก็ต้องแต่งงานกับคนนั้นน่ะถูกแล้ว จะได้ไม่ต้องอายชาวบ้านเขา”

“แม่คิดแบบนั้นหรือคะ แล้วทำไมทีพลไปมีผู้หญิงอื่นอีกตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมไม่มีใครพูดแบบนี้เลย”

“เอ๊ะ บัวนี่พูดยังไง ก็พลเขาเป็นผู้ชาย” คุณปราณีเรียกลูกสาวเสียงดุๆ

“เป็นผู้ชาย!”

บุณฑริกทวนคำของแม่ด้วยน้ำเสียงประชดประชัน คุณปราณีจึงหันไปดุสามีขณะที่ทุกคนก้าวมานั่งในห้องรับแขกของบ้านทาวน์เฮาส์สองชั้นแล้ว

“เห็นไหมคะ คุณน่ะตามใจบัวจนเคยตัว ดูสิเถียงคำไม่ตกฟาก”

“บัวลูกพ่อ คุณคำรณน่ะเขาเอ็นดูหนูนะลูก แม้เขาจะเป็นถึงเจ้านายของพ่อ แต่ก็ไม่ได้คิดเลยว่าเรามีฐานะที่ด้อยกว่า พลเองเขาก็รักลูกมาก เขาถึงคะยั้นคะยออยากจะแต่งงานกับลูก ผู้ชายน่ะมันก็ต้องมีบ้างล่ะเรื่องเจ้าชู้ ลูกอย่าไปใส่ใจนักเลย แต่ช่วงหลังๆ มานี้พลเขาก็ไม่ได้ทำตัวเหมือนตอนที่หมั้นกันใหม่ๆ แล้วนี่ อีกอย่างคุณคำรณกับคุณพรรณีเขาก็อยากอุ้มหลานเต็มทีแล้ว” คุณบรรพตมองลูกสาวซึ่งนั่งลงบนโซฟาพร้อมเอนศีรษะพิงพนัก ก่อนหันไปหาภรรยาอย่างหาเสียงสนับสนุน

“อย่าว่าแต่คุณคำรณกับคุณพรรณีเลย เราสองคนเองก็อยากมีหลานแล้วเหมือนกันใช่ไหมคุณปราณี”

“ใช่ค่ะคุณ” มารดาของบุณฑริกตอบรับยิ้มแย้มก่อนหันมาหาลูกสาว

“แล้วบัวจำได้ไหม ตอนที่เราพูดกันถึงเรื่องงานแต่งงานน่ะ ดูเขากระตือรือร้นมากเลยนะ ท่าทางแล้วเขาจัดได้ยิ่งใหญ่ ไม่น้อยหน้าใครในวงสังคมเลย คุณจำได้ไหมคะ เรื่องที่คุณพรรณีเขาจะเชิญแขกเหรื่อผู้ใหญ่มาตั้งมากมาย แม่ฟังแล้วก็อดปลื้มแทนลูกสาวไม่ได้เลยนะเนี่ย”

บิดามารดาของบุณฑริกต่างคุยกันถึงเรื่องนี้ด้วยความปลื้มอกปลื้มใจจนไม่ได้สังเกตเลยว่าบุณฑริกนั้นไม่ได้ดีใจไปกับเรื่องนี้สักเท่าไรเลย ทั้งๆ ที่การแต่งงานกับคู่หมั้นนั้นเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ทำกันทั่วทั้งโลก

ด้วยความใจร้อนของว่าที่เจ้าบ่าว ฤกษ์แต่งงานที่ได้จึงเป็นเดือนหน้า เพราะฉะนั้นทุกๆ คนจึงมีเวลาเตรียมงานไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกอย่างก็เลยดูโกลาหล และดูเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับสื่อมวลชนและแขกเหรื่อที่ตระกูลบวรโยธินรู้จัก

และหลังจากวันที่สองครอบครัวได้พูดคุยกันเรื่องงานแต่งงาน บิดามารดาของบุณฑริกก็สั่งให้เธอไปลาออกจากงานที่กำลังทำอยู่ โดยอ้างว่าคุณคำรณและคุณพรรณีต้องการให้สะใภ้เข้าไปช่วยเป็นหูเป็นตาบริหารงานภายในบริษัทของเขา ซึ่งธนพลเองก็ยืนยันกับเธอว่าจะเข้าไปรับตำแหน่งประธานบริษัทแทนบิดา และจะมีการแถลงการณ์เรื่องนี้ในงานเลี้ยงฉลองการสมรสด้วย

ช่วงเวลาไม่ถึงเดือนนั้นบุณฑริกจึงต้องตระเวนแจกการ์ดงานแต่งงานของตนเองกับชายหนุ่ม ซึ่งแขกส่วนมากจะเป็นพวกนักธุรกิจ คนในแวดวงสังคมไฮโซ รวมทั้งสื่อมวลชนที่มีส่วนร่วมในภาคธุรกิจด้วย เพราะถึงแม้ครอบครัวของธนพลจะไม่ได้ร่ำรวยติดอันดับใดอันดับหนึ่งในประเทศไทย แต่ก็เป็นที่รู้จักกว้างขวางตามประสานักธุรกิจด้วยกัน

“เหนื่อยไหมครับ” ธนพลถามคู่หมั้นสาวเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำตาปรือๆ อยู่ที่เบาะด้านข้างคนขับ

“นิดหน่อยค่ะ เพลียๆ น่ะ อยากนอนจัง”

“งั้นนอนก่อนไหม อีกตั้งไกลกว่าจะถึงบ้านคุณ” ธนพลส่งสายตาเจ้าชู้ให้ เนื่องจากวันนี้เธอและธนพลไปแจกการ์ดบ้านญาติของเขาคนหนึ่งซึ่งอยู่ในเขตนอกเมืองจึงทำให้กลับบ้านค่ำกว่าปกติ

“กลับไปนอนที่บ้านเถอะค่ะพล บัวเป็นคนหลับยาก ยิ่งถ้าแปลกที่ด้วยละก็”

“โธ่ บัวครับ ผมจะหาที่นอนดีที่สุดให้บัวเลยนะ” ธนพลทำเสียงอ้อน พอได้ยินแบบนั้นหญิงสาวก็ขมวดคิ้ว หันขวับไปมองหน้าอีกฝ่าย

“พลพูดถึงอะไรคะ รีบกลับเถอะค่ะ บัวขอร้อง”

“ทำไมต้องโกรธด้วย ผมเป็นคู่หมั้นของคุณนะบัว แล้วเราก็กำลังจะแต่งงานกัน ใครจะเชื่อผมไหมเนี่ยว่าแม้แต่จูบคุณยังไม่เคยยอมผมเลย” ธนพลขมวดคิ้วบ้าง

ถ้อยคำของเขาทำให้บุณฑริกคิดไปถึงจูบแรกของตนเอง นึกถึงอ้อมแขนกำยำที่รัดรึงร่างของเธอเข้าสู่อกกว้างของเขา พลังอำนาจมหาศาลที่ตรึงเธอให้หยุดนิ่งอยู่ชั่วขณะ

“บัวปวดหัวค่ะพล บัวอยากกลับบ้าน”

หญิงสาวเอ่ยจบก็สะบัดศีรษะของตนเองไปมาเพื่อให้ลืมภาพเหล่านั้น ธนพลจึงเหลือบมองร่างอิ่มข้างๆ สายตาคมมองอย่างหมายมาด

‘ฝากไว้ก่อนเถอะบัว รอให้ถึงคืนเข้าหอก่อนเถอะ ผมจะเอาคืนคุณให้คุ้มเชียว’

แต่บุณฑริกก็ไม่ได้สนใจคู่หมั้นหนุ่มอีก หญิงสาวเอนหลังพิงพนักก่อนมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ริมฝีปากสีชมพูดเม้มเข้าหากันเพราะกำลังพยายามไม่คิดถึงความสัมพันธ์ของตนเองกับฟาห์คินอีก






บทที่ 5

วันนี้เป็นอีกวันที่แสนยุ่งของบุณฑริกเพราะธนพลไปรับตัวเธอตั้งแต่เช้า เพื่อมาลองชุดแต่งงานอีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้สั่งแก้ให้เข้าทรง และเมื่อหญิงสาวสวมชุดสีขาวนั้นก้าวเดินตามบันไดวนของร้านลงมาชั้นล่าง ธนพลซึ่งยืนอยู่กลางห้องโถงชั้นหนึ่งก็ถึงกับตะลึงตะลานมองเจ้าสาวของตนเองอย่างชื่นชม

“คุณสวยมากเลยบัว”

บุณฑริกจับกระโปรงบานของแต่งงานซึ่งระบายด้วยผ้าแก้วและตกแต่งด้วยกุหลาบเล็กๆ สีชมพูอ่อนสวยงามอย่างรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เพราะไม่ว่างานแต่งงานนี้จะจัดขึ้นด้วยสาเหตุใดก็ตาม แต่ยังไงธนพลก็เป็นผู้ชายที่เธอตกลงปลงใจหมั้นหมายกับเขาไว้ตั้งแต่แรก ตอนนี้หญิงสาวจึงได้แต่หวังว่าเขาคงไม่มีเรื่องความเจ้าชู้มาเข้าหูตนเองอีก หญิงสาวก้มลงมองชุดแต่งงานที่ตนเองสวมและต้องยอมรับว่าเธอชอบตนเองในชุดสีขาวเปลือยบ่านี่เหลือเกิน

“บัวครับ”

ธนพลส่งมือให้หญิงสาวขณะที่เธอก้าวลงบันไดห้องเสื้อมาถึงขั้นสุดท้ายแล้ว มือเรียวจึงวางลงบนมือเขา มาถึงวันนี้บุณฑริกก็เริ่มบอกตัวเองแล้วว่า นี่เป็นสิ่งที่เธอได้เลือกไว้แล้วจริงๆ อย่างที่พ่อกับแม่พูด

“อย่าลืมสิว่าลูกคบหากันมาตั้งเกือบปีแล้วก่อนจะหมั้น และในเมื่อลูกตัดสินใจหมั้นกับธนพล นั่นก็เหมือนการประกาศตัวว่าพร้อมจะร่วมหอกับเขาไปครึ่งตัวแล้วนะลูก”

คุณบรรพตบิดาของบุณฑริกเตือนเธอในวันหนึ่ง และพร้อมกันนั้นคุณปราณีมารดาของหญิงสาวก็รีบเสริม

“แต่งงานกับผู้ชายที่เราหมั้นด้วยน่ะ ถูกที่สุดแล้ว เชื่อเถอะลูก ว่าพลน่ะเขารักลูกมากที่สุด”

ฉะนั้นวันนี้เธอจึงต้องทำใจให้ยินยอมพร้อมรับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ให้จงได้ นั่นเพราะสิ่งนี้คือเรื่องที่เธอเลือกไว้ตั้งแต่รับหมั้นจากธนพลแล้ว ทว่าเมื่อใบหน้าสวยยิ้มน้อยๆ และก้าวตามคนที่กุมมือตนเองไว้ บุณฑริกก็ต้องชะงักด้วยเห็นใครบางคนบริเวณด้านหน้าของร้าน

“สวยมากเลยบัว ดีนะครับเนี่ยที่เสร็จทัน แก้คราวนี้พอดีกับตัวคุณที่สุดเลย ผมว่ากำลังสวยแล้วนะ หรือบัวว่ายังไงจ๊ะ” มือหนาเอื้อมมาจับต้นแขนของหญิงสาว ส่วนอีกมือก็แตะเอวคอดกิ่วเอาไว้ ขณะที่ริมฝีปากหนาเอ่ยชมความงามของว่าที่เจ้าสาวไม่ขาดปาก แต่ทว่าบุณฑริกกลับไม่สนใจที่จะฟัง เพราะเธอกำลังขมวดคิ้วคิดหนักว่าตนเองกำลังตาฝาดหรือเปล่า

‘ซามาล’ เธอคิดว่าตนเองเห็นซามาลยืนอยู่หน้าร้านเมื่อครู่นี้ และถ้าซามาลอยู่ที่นี่...

‘ฟาห์คิน…เขาก็อยู่ที่นี่เหมือนกันอย่างนั้นหรือ’

ใบหน้าสวยจึงเหลียวมองไปรอบๆ ขณะที่ธนพลก็ยังเอ่ยชมแฟนสาวไม่ขาดปาก พลางพูดคุยกับช่างเสื้อที่ยิ้มแย้มอย่างภูมิใจในผลงานและลูกค้าของตน





ร่างสูงใหญ่ของฟาห์คินยืนอยู่ริมหน้าต่างกระจกของห้องแกรนด์เดอลุกซ์ในโรงแรมแกรนด์โอเชียนบางกอกกลางเมืองกรุงเทพฯ ชายหนุ่มหันหลังกลับมาเมื่อมีเสียงรายงานว่าคนที่เขารอคอยได้เดินทางกลับมาแล้ว

“ว่าไงซามาล เจอตัวไอ้คนชั่วนั่นหรือเปล่า”

เสียงเข้มถามบอดีการ์ดหนุ่มซึ่งก้าวเข้ามาในห้อง ซามาลจึงก้มหัวลงก่อนรายงาน

“เจอแล้วครับ”

เมื่อได้ยินดังนั้นดวงตาสีหยกของฟาห์คินก็เข้มขึ้นจนเงาวับ ฟันขาวสะอาดขบกันจนขึ้นสันนูน

“ดี! งั้นบอกมาสิว่าไอ้หมอนั่นอยู่ที่ไหน”

“ร้านเสื้อแถวสุขุมวิทครับ”

“ร้านเสื้องั้นหรือ มันไปกับใคร” ฟาห์คินขมวดคิ้วเพราะผู้ชายกับร้านตัดเสื้อดูจะห่างไกลกันอยู่มาก

“เอ่อ...” ซามาลอ้ำอึ้งเล็กน้อยและเปลี่ยนเรื่องเสียใหม่ “ผมหาข้อมูลธุรกิจที่ครอบครัวของเขากำลังทำอยู่มาให้เจ้านายเรียบร้อยแล้วนะครับ เมื่อเช้าให้ยาฮามเอามาวางไว้ให้บนโต๊ะ เจ้านายคงได้อ่านแล้ว”

“ฉันถามว่ามันอยู่กับใคร!” ฟาห์คินตวาดลั่นเพราะจับสังเกตท่าทางพิรุธของลูกน้องคนสนิทได้

“ก็....ผู้หญิงที่เจ้านายเคยเจอที่พัทยา”

ซามาลบอกเป็นนัยๆ เขาละเว้นข้อความที่ว่า ฟาห์คินเองก็เคยบอกให้ตามสืบหาที่อยู่ของบุณฑริกด้วย เมื่อครั้งที่เขากลับไปถึงนาร์คอซัสและได้รู้ว่าหญิงสาวได้ลาออกไปแล้ว

ทว่าในตอนนั้นฟาห์คินได้ทำเพียงแค่สั่งเพราะว่าไม่ทันที่ซามาลจะลงมือปฏิบัติ ชายหนุ่มก็บอกยกเลิกคำสั่งนั้นเสียก่อน ซึ่งซามาลจำได้ดีว่า ดวงหน้าคมของเจ้านายหนุ่มมีแววอวดดีขณะที่กัดฟันบอกเขา

‘แค่ผู้หญิงคนเดียว! เธอไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับฉันนักหรอกน่า’

แต่ไม่น่าเชื่อว่าแม้ผ่านมาสองเดือนแล้วฟาห์คินกลับจำเธอได้อย่างขึ้นใจ เพราะทันทีที่ซามาลบอกเช่นนั้น เสียงทุ้มของเจ้านายหนุ่มก็ดังขึ้นมาทันที

“บัว” ฟาห์คินพึมพำพร้อมคิ้วเข้มขมวดมากขึ้นกว่าเดิม ดวงตาสีหยกจ้องบอดีการ์ดหนุ่มซึ่งกำลังพยักหน้ายอมรับ

“หมายความว่ายังไง ทำไมบัวกับไอ้หมอนั่นมันถึงอยู่ด้วยกัน เล่ามาให้ละเอียดเดี๋ยวนี้เลยซามาล ฉันไม่มีเวลามาเล่นร้อยคำถามกับใคร”

“ผมตามเขาออกไปจากบ้านในตอนเช้า และเห็นเขาไปรับบัวที่บ้าน จากนั้น...จากนั้นทั้งคู่ก็ไปที่ร้านตัดเสื้อแถวสุขุมวิท” ซามาลนิ่งลงชั่วครู่

“แล้วไง!” ฟาห์คินแทบจะตวาด

“ผมเห็นเธอใส่ชุดแต่งงานสีขาว และท่าทางของเขาก็กำลังดีใจมาก”

“อะไรนะ!” นักธุรกิจหนุ่มทุบโต๊ะดังปัง

“ผมเลยตามไปสืบจนรู้มาว่า ทั้งคู่กำลังจะแต่งงานกันในอาทิตย์หน้านี่เอง”

“แต่งงานงั้นหรือ?” ฟาห์คินเม้มริมฝีปาก ดวงตาแสดงความคาดไม่ถึงก่อนจะเปลี่ยนเป็นแววร้ายๆ และเหยียดมุมปาก

“ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลย ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายลวงโลกคนนั้นจะอยู่กับผู้หญิงที่เคยปฏิเสธฉัน งั้นก็จริงสินะที่ในจดหมายของมาเรียบอกว่ามันรับผิดชอบน้องสาวของฉันไม่ได้ เพราะมีคู่หมั้นคู่หมายรออยู่ที่เมืองไทย” ชายผู้กำอำนาจของนาร์คอซัสไว้ในมือมีสีหน้าเหยียดหยันขณะถามต่อไป

“งั้นบอกฉันสิ ว่าเธอกำลังมีความสุขมากใช่ไหม บอกฉันสิว่าเธอกำลังยิ้มอย่างมีความสุขใช่ไหม”

“เธอยิ้ม” ซามาลตอบสั้นๆ

“งั้นก็ไม่ผิดสินะ ที่จะคิดว่าคนพวกนี้เป็นสาเหตุให้น้องฉันตาย หัวเราะกันหน้าระรื่นในขณะที่มาเรียต้องนอนร้องไห้อยู่ทุกๆ คืน แม้กระทั่งตอนนี้ฉันยังไม่รู้ว่าวิญญาณของเธอจะสงบสุขไหม!”

“ผมว่า...บัวคงไม่รู้เรื่องอะไรด้วยหรอกครับ” ซามาลนั้นถือว่าบุณฑริกคือเพื่อนคนหนึ่งเพราะฉะนั้นเขาจึงไม่อยากดึงเธอเข้ามาร่วมในเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ด้วย

“ฉันไม่สนใจหรอก!”

ฟาห์คินสวนขึ้นมาทันควัน นัยน์ตาสีหยกคุกรุ่นด้วยความโมโหจัด ในหัวสมองของเขาตอนนี้นั้นมีแต่ภาพเมื่ออาทิตย์ก่อนของน้องสาวสุดที่รักซึ่งกระอักเลือดออกมาจนเลอะแขนและเสื้อของเขา





“พี่คะ” มาเรียเรียกเสียงแหบพร่าและบอกเขาทั้งน้ำตา

“น้องมัน...เลว...ชั่ว...ชั่วที่สุด...พี่...” ใบหน้าสวยของน้องสุดที่รักบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดที่กำลังทรมานไปทั่วทั้งภายในภายนอกของร่างกาย นั่นรวมไปถึงหัวใจด้วย!

“ซามาล!” ฟาห์คินตะโกนลั่น หัวใจของคนเป็นพี่แทบจะขาดตามน้องสาว

“หมอ ตามหมอมาเร็วเข้า!”

“ไม่!” มาเรียยื้อแขนพี่ไว้ด้วยแรงอันน้อยนิด

“ไม่...ทัน...แล้ว” เธอหยุดพูด พร้อมกับพยายามสะกดความเจ็บปวดแต่ก็ทนไม่ไหวจนต้องอาเจียนเอาเลือดสีแดงเป็นลิ่มๆ ออกมาจากริมฝีปากที่เคยเจื้อยแจ้วเจรจาความกับพี่ชายมาตั้งแต่เด็กๆ

“มาเรีย!” ฟาห์คินตะโกนลั่น แขนกำยำกอดน้องเอาไว้ขณะที่อีกฝ่ายฝืนความเจ็บปวดบอกเขาเบาๆ เกือบเป็นเสียงกระซิบ

“อย่า...ทิ้ง...น้อง...ไป...อย่า.....ทำ......แบบ.....เขา..คน....นั้น” และพอสิ้นเสียงสุดท้าย น้องสาวของฟาห์คินก็กระอักเลือดอีกครั้งก่อนร่างบางของเธอจะกระตุกอย่างทรมานและนอนตายอยู่ในอ้อมแขนของเขานั่นเอง พี่ชายเห็นดังนั้นก็แทบบ้า เขาตะโกนเรียกคนรับใช้ของน้องสาวเสียงลั่น

“ฟียะ!”

สิ้นเสียงเรียก ซามาลก็ลากตัวหญิงผู้นั้นเข้ามาแทบจะทันที ฟาห์คินมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาดุดัน ร่างกำยำโกรธจนระงับโทสะไว้แทบไม่ได้

“มันเรื่องอะไร เกิดอะไรขึ้น!”

เสียงตวาดราวฟ้าผ่าทำให้หญิงสาวชาวนาร์คอซัสสะดุ้งเฮือกและค่อยๆ ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาให้เจ้านาย ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว น้ำอุ่นๆ ไหลรินขณะที่ริมฝีปากบิดเบี้ยวด้วยกำลังขวัญเสียอย่างหนัก

ฟาห์คินใช้มือเดียวสะบัดกระดาษแผ่นนั้นให้คลี่ออก ด้วยเขายังประคองร่างไร้วิญญาณของน้องสาวสุดที่รักไว้ด้วยมืออีกข้างหนึ่ง ดวงตาสีหยกก้มลงอ่านข้อความในนั้นทุกอักษร



พี่คะ น้องคงไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้วเมื่อพี่ได้รับจดหมายนี้....นั่นเพราะน้องไม่สามารถมีชีวิตอยู่อีกต่อไปได้ น้องทำเรื่องน่าละอายและผิดต่อตระกูลของเรา น้องทำผิดต่อพ่อ แม่ และพี่ชายที่น้องรักมากที่สุด น้องไม่มีวิธีใดที่ดีกว่านี้อีกแล้ว เพราะถึงอยู่ต่อน้องก็คงไม่พ้นจากความตาย แต่จะให้หนีไปที่ไหนก็คงไม่ได้อีก ในเมื่อผู้ชายที่เป็นพ่อของเด็กในท้องของน้องบอกว่าเขาไม่สามารถรับผิดชอบตัวของน้องได้....

นั่นก็เพราะเขามีผู้หญิงคนหนึ่งรออยู่...ผู้หญิงที่เป็นคู่หมั้นของเขา หญิงที่เขารัก....ใช่ค่ะ! ผู้หญิงที่เขารักแต่เธอคนนั้นกลับไม่ใช่น้อง

น้องมันโง่สิ้นดี ที่หลงคารมผู้ชายคนหนึ่งจนถึงกับยอมพลีกายให้เขาโดยง่าย

พี่คะ โทษของน้อง ยังไงก็คงไม่พ้นจากความตาย ให้น้องตายเสียตอนนี้ เพื่อที่พี่จะได้เก็บมันไว้เป็นความลับ และเพื่อจะได้ไม่มีมลทินใดๆ มาแปดเปื้อนตระกูลของเรา นั่นคือคำขอสุดท้ายของน้อง

รักพี่...มาเรีย



แม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านมาแล้วร่วมอาทิตย์ แต่ทว่าจนกระทั่งบัดนี้ตัวอักษรทุกตัวที่ผ่านสายตาของฟาห์คินมันก็ยังส่งเสียงออกมาเหมือนเห็นน้องสาวกำลังร่ำไห้และพูดด้วยตัวของเธอเอง

“มันต้องชดใช้” ฟาห์คินเค้นเสียงบอกซามาล

“ให้ผมจัดการเลยไหมครับ”

“ไม่! นายก็รู้ว่านั่นไม่ใช่นิสัยของฉัน และโทษตายทันที มันก็ยังน้อยเกินไปสำหรับไอ้หมอนั่น เพราะถ้าทำแบบนั้นมันจะไม่ได้ลิ้มรสของความเสียใจ ความทรมาน เหมือนที่ฉันและมาเรียได้รับ” ฟาห์คินพูดเสียงดัง

“ถ้าอย่างนั้น ในเรื่องธุรกิจ ครอบครัวของนายธนพลทำธุรกิจผ้าไทยส่งออกอยู่ ผมจะหารายละเอียดทุกอย่างมาให้เจ้านาย ผมเชื่อว่าเจ้านายเชือดกิจการของเขาได้ง่ายๆ อยู่แล้ว” ซามาลพยายามพูดถึงจุดประสงค์เดิมที่เคยพูดกันไว้ก่อนหน้าที่จะเดินทางมาประเทศไทย

“ก็ใช่! เราเคยพูดเรื่องนี้กันแล้ว” ฟาห์คินนั่งลงบนโซฟาสีน้ำตาลหนานุ่ม ที่จริงเรื่องนี้ตนเองก็คิดมาตั้งแต่จัดพิธีศพของน้องสาวแล้ว แต่ว่าตอนนี้...ความคิดอีกอย่างกำลังผุดขึ้นมาในหัวสมองของเขา ชายหนุ่มยังจำเรื่องราวที่บุณฑริกปฏิเสธตนเองที่โรงแรมแกรนด์โอเชียนมารีนาในจังหวัดพัทยาได้ และภาพของวันนั้นก็ยังติดตราในหัวสมองของเขาอยู่อย่างไม่จางหาย

‘คู่หมั้นที่รักกันมากของบัวเพิ่งกลับมาจากอิตาลี จะลงเครื่องบ่ายนี้ ถ้าบัวไม่ไปรับละก็ เขาคงเสียใจน่าดูเชียว’

ความรู้สึกของเขาตอนนั้นมันราวกับว่าตนเองกำลังโดนหลอก! โดนหลอกให้หลงเสน่ห์ของผู้หญิงคนหนึ่งมาตลอดระยะเวลาเกือบเดือน

ความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกสำหรับผู้ชายที่ไม่เคยโดนปฏิเสธแม้แต่ครั้งเดียวอย่างเขา และแม้ในตอนนั้นใจของชายหนุ่มอยากจะกระชากร่างอิ่มเข้ามาแนบชิดกายมากเพียงใด แต่คนอย่างฟาห์คิน อาเหม็ด นาซิฟก็ไม่เคยฝืนใจใคร! นอกเสียจากว่า.....

“นี่คือการแก้แค้น” ฟาห์คินเหยียดมุมปาก ดวงตาสีหยกเต็มไปด้วยเล่ห์กลบางอย่าง

“อะไรนะครับ หมายความว่ายังไงครับ” ซามาลถามอย่างแปลกใจ

“ฉันจะเอาคืน จะทำให้ไอ้หมอนั่นมันได้รู้สึกถึงความอับอายอย่างที่มาเรียได้รับ และจะได้รู้ซึ้งถึงความเสียใจจากการสูญเสียของรักน่ะ มันมีรสชาติเป็นยังไง”

ฟาห์คินบอกเสียงเข้ม ดวงตาสีหยกเข้มข้นจนเป็นประกาย และซามาลก็รู้สึกถึงอารมณ์บางอย่างที่กำลังเดือดพล่านอยู่ในตัวเจ้านายหนุ่ม





บ่ายวันนั้นหลังจากลองชุดเสร็จ ธนพลก็พาบุณฑริกไปรับประทานอาหารที่ร้านแห่งหนึ่งแถวๆ ย่านสุขุมวิท ชายหนุ่มสังเกตเห็นท่าทีที่เงียบลงของว่าที่เจ้าสาว จึงส่งเสียงถาม

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับบัว”

ด้วยยังตกอยู่ในภวังค์ความคิด หญิงสาวจึงสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกทัก แต่ก็รีบปฏิเสธ

“เปล่าค่ะ บัวไม่ได้เป็นอะไร พลสั่งอาหารหรือยังคะ”

“ผมจะถามว่าบัวอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”

“ไม่หรอกค่ะ ที่จริงแล้วบัวก็ยังไม่ค่อยหิวสักเท่าไรหรอกค่ะ”

“ลดความอ้วนหรือไง ยังไงก็ต้องทานบ้างนะครับ เดี๋ยวถึงวันงานจะเป็นลมเสียเปล่าๆ”

“ค่ะ”

บุณฑริกรับคำสั้นๆ เธอพยายามลบเรื่องของนักธุรกิจชาวตะวันออกกลางคนนั้นออกไปจากหัวสมองเหมือนอย่างที่เคยทำมาแล้วเมื่อสองเดือนที่ผ่านมา และมันคงจะง่ายกว่านี้มากถ้าตาเจ้ากรรมของเธอดันมองไม่เห็นซามาลขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาสีน้ำตาลสวยโตขึ้นทันที เธอมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่บริเวณหลังร้านและค้อมศีรษะให้ตนเองอย่างตกตะลึง

“เป็นอะไรน่ะบัว” ธนพลเรียกขึ้นอย่างสงสัย

“ไม่ค่ะ ไม่” บุณฑริกหันมามองธนพล และเมื่อเธอหันกลับไปอีกครั้ง ซามาลก็ไม่ได้อยู่ที่นั่นเสียแล้ว

‘นี่มันเหมือนกับการเล่นเกมอะไรสักอย่างหนึ่งก็ไม่ปาน เขานึกว่าตัวเองเป็นวิญญาณหรือไงนะ ถึงได้มาทำผลุบๆ โผล่ๆ แบบนี้’ บุณฑริกคิดอย่างหงุดหงิด

“ผมสั่งอาหารแล้วนะบัว เอ...ทำไมวันนี้คุณดูแปลกๆ นี่เหลือเวลาอีกไม่กี่วันเท่านั้นเองนะครับ ผมว่าบัวพักผ่อนให้เยอะๆ จะดีกว่า เพราะทุกอย่างก็เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว คงไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะ เอาเป็นว่าผมจะยอมตัดใจไม่เจอบัวเสียวันสองวัน แม้จะต้องทนทรมานคิดถึงมากเจียนตายก็เถอะ” เขาหยอดคำพูดหวานหยด

ในขณะที่บุณฑริกไม่ได้สนใจนัก ดวงตาของหญิงสาวยังมองไปรอบๆ ร้าน แต่ก็พยักหน้าให้แฟนหนุ่มในลักษณะฟังบ้างไม่ได้ฟังบ้าง ซึ่งธนพลก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะกำลังมีความสุขกับงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นในระยะอันใกล้นี้

สำหรับเขานั้น บุณฑริกก็คือผู้หญิงที่ตนเองเห็นว่าเหมาะสมที่สุดที่จะมาเป็นภรรยา เพราะหญิงสาวนั้นมีทั้งดีกรีดาวมหาวิทยาลัย ทั้งเรียนเก่ง ทั้งประพฤติดี ไม่เคยมีข่าวคราวในทางเสื่อมเสีย ฉะนั้นเธอจึงเป็นที่หมายปองของหนุ่มๆ มากมายในมหาวิทยาลัย และแน่นอนว่าเมื่อเพลย์บอยอย่างเขาคว้าหญิงสาวมาได้ จึงทำให้ดูเก่งกาจและเด่นกว่าเพื่อนๆ ในหมู่คณะเดียวกันนัก

จะว่ารักก็คงใช่ แต่คำว่ารักของเขานั้นก็มีแจกให้กับผู้หญิงทั่วๆ ไป จนตนเองไม่ได้รู้ค่าของมันสักเท่าไรเสียแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าจะบอกว่ามันเป็นความรู้สึกพิเศษในหัวใจ รวมถึงเป็นความเหมาะสม และสมควร คงจะดีกว่า

อีกทั้งดอกไม้งามอย่างบุณฑริกก็มีหลายอย่างที่เขาอยากจะค้นหา เธองดงามสมดังชื่อบุณฑริกที่แปลว่าดอกบัวขาว แต่ก็มีความเรียบง่าย ตรงไปตรงมา สดใสมีเสน่ห์เช่นดอกบัวสวยๆ ตามท้องน้ำ และมีอีกสิ่งซึ่งดูเหมือนเธอจะเก็บไว้ให้ชายเดียวที่แต่งงานด้วยเท่านั้น...แบบนี้แล้วชายใดล่ะจะไม่ต้องการ

************************************************


ลงได้แค่นี้เพราะวางแผงไปแล้วนะคะ

หาซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไปจร้าเพราะที่สำนักพิมพ์หมดสต๊อคไปแล้ว ^^



แพรพริมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ก.พ. 2555, 11:41:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ก.พ. 2555, 12:01:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 2219





แพรพริมา 9 ก.พ. 2555, 12:04:42 น.
หรือสั่งผ่าน แพรพริมา ในราคาลด 30% พร้อมลายเซ้นต์จร้า (อิอิ แอบขายนิ๊ดนึง )


Zephyr 10 ก.พ. 2555, 11:26:12 น.
เลวสุดๆอ่ะนายพลเนี่ย ขอให้ได้รับผลกรรมเลวๆของตัวเองในเร็ววันนะคะ
แต่กำลังจะมีคนซวยเพราะความเข้าใจผิดและความแค้นบังตา เฮ้อ
ต้องไปรออ่านในเล่มเอาแล้วเนอะ อิอิ


แพรพริมา 10 ก.พ. 2555, 13:09:12 น.
อะจร้า พรุ่งนี้จะรีบไปส่งให้แต่เช้าเลยนะคะ ถ้าไปรษณีย์เปิดสายจะไปทุบประตูเรียกโดยไว อิอิ


Zephyr 10 ก.พ. 2555, 13:48:20 น.
โอ๊ะ ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ค่ะ แต่ทุบเรียกเองเหรอคะ เราไปช่วยพังประตูให้เอามะ เร็วกว่า ฮ่าๆๆๆ ถ้ายังงั้นหายตัวไปเอาที่บ้านคุณแพรเลยดีกว่าเนอะ อิอิ ^^
แหม แต่ ฟาห์คิน(เขียนยากจังวุ้ย)น่าตีจริงๆนะ กะแค่คำว่า บริการ คิดลึกซะ เป็นเรานะ แม่จะเอาอะไรแถวนั้นเขวี้ยงซะ ไม่ก็จระเข้ฟาดหางซะทีนึงเลย ดีมั้ยคะ
แต่พี่รี่นี่ไม่ไหวนะ ไม่ไหวจะเคลียร์ วิญญาณนางร้ายเต็มๆ


สิรินภา 20 ก.ค. 2555, 16:33:31 น.
เรื่องนี้มีแล้วววววว สนุกกกกก


แพรพริมา 1 ส.ค. 2555, 20:16:53 น.
ขอบคุณค่าคุณสิรินภา จะเขียนภาคสองยังหาเวลาว่างไม่ได้สักทีค่ะ สงสัยป่านนี้ สนพ.เค้าตัดหางปล่อยวัดไปแล้ว เหอๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account