นิยายชุด seven light ความรักเจ็ดสี
นิยายชุด seven light ความรักเจ็ดสี
Tags: seven light sevenlight ความรักเจ็ดสี คำแปง เชียงจืน เคนอิจิ
ตอน: seven light บทนำ
บทนำ sevenlight
เสียงวงสะล้อ ซอ ซึงบรรเลงในจังหวะสนุกสนานดังแว่วมา ผู้คนแต่งชุดล้านนาแบบโบราณย้อนยุค เดินขวักไขว่เต็มท้องถนน คนหนุ่มคนสาวส่งเสียงคุยกัน โห่แซวดังมาแว่วๆเด็กๆร่าเริงวิ่งเล่น กันสนุกสนาน ผู้คนพูดคุย ทักทายกันระหว่างทาง คนเฒ่าคนแก่เกล้าผมมวยเหน็บดอกไม้หอม บรรยากาศสนุกสนานและอบอุ่น
ถนนสองเลน ทอดตัวยาวไปถึงวัดที่เห็นหลังคาโบสถ์ต้องแสงไฟระยิบระยับอยู่ไกลๆ ตลอดสองข้างทางประดับเรียงรายไปด้วยประทีปโคมไฟ สลับด้วยตุงล้านนาแกว่งไกวไสว
ห้องแถวไม้สองชั้นติดถนน ชั้นล่างเป็นร้านอาหาร ยังคงเปิดประตูโล่ง โต๊ะเจ็ดแปดตัวตั้งเรียงราย มีคนสองคนอยู่ในร้าน
“ฉันมาก่อนทุกที กลายเป็นว่าคนมาถึงก่อนต้องมารอตลอด ตลอด” ชายหนุ่มผมสั้นสวมเสื้อคอกลมสีขาว สวมทับด้วยแจ๊กเก็ตสีดำ ร่างสูงสันทัด เดินไปมา จับโน่นดูนี่ แกะนั่นรื้อนี่ เดี๋ยวเดิน เดี๋ยวนั่งอย่างคนอยู่ไม่สุข ก่อนจะเหลียวเห็นเก้าอี้โยกหวายตัวใหญ่ ก็ทิ้งตัวลงนั่ง คว้ารถของเล่นมาแกะ
“เป็นอย่างนี้ทุกปีเลย ” หญิงสาวผมยาวลอนสีน้ำตาลแดง หน้าตาออกไปทางญี่ปุ่น สวมเสื้อยืดสีขาวที่มีคำกวนๆ อยู่บนเสื้อกับกางเกงขาสั้น กำลังกินข้าวผัดอย่างเอร็ดอร่อย ตักคำก็บ่นเพื่อนคำ
“ไอ้สี่คนนั้นมันยังไม่มาใช่มั๊ย น่าเบื่อจริงๆ นึกว่าหล่อหรือ ไง ชิ” หญิงสาวบ่นพร้อมกับกินข้าวผัดไปอีกคำ
“ปีหน้าฉันจะมาสายๆ ให้ไอ้สี่คนนั้นมารอบ้าง” หญิงสาวกินข้าวด้วยอารมณ์ ฉุนเพื่อน ที่มาช้า จะไม่ให้ฉุนได้ไงก็ไอ้สี่คนนั้นเล่นมาช้ายังนี้เกือบทุกปีและเธอก็บ่นอย่างนี้ทุกปี
คนเสื้อแจ๊กเก็ตดำ บนเก้าอี้โยกที่อยู่ตรงข้ามดีดนิ้วเปาะ “ แจ่ม ข้าว ”
สองคนลุกขึ้น แปะมือกันอย่างเห็นด้วย “ตามนั้น ปีหน้า” หึ หึ ปีหน้าพวกแกต้องมาก่อนฉันดูซิจะอารมณ์เสียอย่างฉันมั๊ย ฉันหญิงสาวขี้บ่นหัวเราะกับแผนการที่วางไว้ในปีหน้า
หญิงสาวร่างสูง ผมดำยาวหยักศกปล่อยสยาย สวมผ้ากันเปื้อนเดินเข้ามาจากครัวหลังร้าน
“เบื่อรอนัก ก็ไปช่วยไอ้ก้อยโบกรถหน้าวัดซี่” พลางวางจานอาหารสองสามอย่างกับชาเย็นแก้วใหญ่ลงบนโต๊ะ คนนั่งเก้าอี้โยก มือยาวมาคว้าปลาหมึกบดในจานเข้าปากทันที
หญิงสาวขี้บ่นที่กินข้าวผัด ดูดชาเย็นในแก้วก่อนจะถาม “ไอ้ก้อยไปโบกรถทำไม มันเป็น อ.ป.พ.ร เหรอ”
“โอ้ย อย่างไอ้นั่น ไม่ต้องเป็นหร้อก แต่ทำหน้าที่ยิ่งกว่า” คนเคี้ยวปลาหมึกชิงตอบ สาวร่างสูงพยักหน้าประมาณว่า”ทำนองนั้น” ก่อนจะถาม
“อยากกินอะไร กันอีกมั้ย” สองคนส่ายหัว คนหนึ่งตั้งหน้าตั้งตาเคี้ยวปลาหมึก อีกคนตักข้าวพัดจานใหญ่เข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ
จากหน้าร้านมองออกไปนอกถนน ผู้คนเริ่มซาเพราะทุกคนทยอยเข้าไปทำกิจกรรมในวัด รถเข็นขนมสายไหม สีสดสวยที่หยุดขายหน้าร้านเริ่มเงียบลงหลังจากผ่านสงครามการรุมซื้อจากเด็กๆ ลุงปั๋นคนขายเห็นตามหลักเศรษฐศาสตร์ว่าผู้คนเริ่มไปรอที่วัด มีคนที่ไหนมีสายไหมที่นั่น แกส่งเสียงลา หญิงสาวร่างสูงเจ้าของร้านห้องแถว ก่อนจะเข็นรถออกไป
รถยุโรปสีดำ เข้ามาจอดเทียบหน้าร้านแทนที่ ประตูรถเปิดออก ประตูข้างคนขับก็เปิดออก มีชายหนุ่มที่ดูดีอย่างร้ายกาจ เสือยืดสีฟ้า กางเกงเข้ารูป ใบหน้าคมคาย แต่มีแววตาที่ขี้เล่นก้าวลงมา ส่วนด้านคนขับมีชายหนุ่มหน้าตาละม้ายคล้ายชายคนแรกที่ลงมา แต่ดูเป็นผู้ใหญ่และเข้มกว่า ใส่เสื้อโปโลสีขาว กางเกงยีน
“เฮ้ กันต์กับกานต์ มาแล้ว” คนสามคนในร้าน ร้องทักทายสองหนุ่มที่มาใหม่ หนุ่มแจ๊กเก็ตดำ โผเข้าไปกอดคอสองหนุ่ม ก่อนจะหันไปหาชายหนุ่มเสือยืดสีฟ้า
“เป็นไง มั่งวะเอ็ง” ชายหนุ่มแจ๊กเก็ตดำ ร้องทักเพื่อน พร้อมเอาหน้าเข้ามาใกล้ ๆ
กานต์ปิดจมูก “ไอ้ต่อ กินอะไร มาวะ ปากเหม็นชิบ”
คนโดนว่าปากเหม็น ยิ่งยืนหน้าเข้าใส่ ก่อนจะตอบชนิดปากจ่อจมูก “ปลาหมึกกกกกกก”
กานต์ผลักหน้าเพื่อนหน้าหงาย “อื้อหือ ไอ้ต่อทุเรศเหลือเกิน”
คนโดนผลักหน้าหงาย หัวเราะงอก่อ งอขิงลงไปนั่งกุมท้องบนเก้าอี้โยก
กานต์ เดินมานั่งตรงข้ามกับคนกินข้าวผัด มองจานกับข้าวมากมายบนโต๊ะ ก่อนหยิบปลาหมึกบดมากิน สายตาคมมองจานข้าวผัด พูนๆหอมกรุนของคนตรงข้าม อย่างหมายมั่น ก่อนจะคว้าช้อนใกล้มือจ้วงข้าวผัดของ เขาเข้าปากหน้าตาเฉย
“เฮ้ยๆ อะไรไอ้กานต์ มาช้าแล้วยังมาแย่งข้าวฉันกิน อีกหรอ ” เจ้าของทักท้วง พยายามปกป้องจานข้าวผัดของตน
“อ้าว ข้าว นี่ฉันกำลังไถ่โทษการมาสายของฉันอยู่นะ เธอไม่รู้เหรอ ว่าการกินอาหารหลังหนึ่งทุ่ม มันจะทำให้อ้วน” คนพูดข้าวผัดเต็มปาก “แต่เธอก็มีฉันมาช่วยแบ่งเบาแล้ว เธอจะไม่อ้วนอีกต่อไป เธอควรจะขอบใจฉันนะ ” ตักคำใหญ่อีกคำเข้าปาก
เจ้าของข้าวผัดตาโตอย่างไม่พอใจ พร้อมกัดฟันพูด ด้วยความมั่นไส้ เพื่อน “ ขอบใจมากนะ ” ก่อนจะหรี่ตาทำหน้าเจ้าเล่ห์ “ แต่ฉันถุยน้ำลาย ใส่ไว้หมดแล้ว”
“ฉันไม่ถือ” กานต์ตักข้าวผัดคำโตเข้าปาก กานต์ไม่สนใจอะไรแล้ว เขาไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เช้า เมื่อคืนเขาเร่งทำงานให้เสร็จพอเสร็จ ตอนเช้าพี่ชายเขาก็มาตามให้ขึ้นรถมาเลย และไม่ได้แวะกินอะไรด้วย
เจ้าของข้าวผัด กำช้อนแน่นอย่างไม่ยอม “เอ้อ เอาสิ แย่งกินทันก็แย่งเลย” พลางทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ
“อ้าว หมดโต๊ะนี้ใครอิ่มก่อนคนนั้นแพ้” กานต์ชูช้อนอย่างท้าทาย
“ได้เลย” หญิงสาวเจ้าของข้าวผัดชูช้อนรับคำท้า อีกคนถลกแขนเสื้อ “มาเลย”
“เดี๋ยวๆ” แจ๊กเก็ตดำ ลุกพรวดมาจาเก้าอี้โยก “ขอเอา ปลาหมึกของฉัน ออกจากการแข่งขัน” สองคนรีบยึดจานไว้ “ไม่ได้ #*-/+*-/*##%$%*/+” เสียงเถียงกันโหวกเหวก
หนุ่มเสื้อโปโลสีขาว ท่าทางเงียบขรึมกับสาวร่างสูงมองอยู่ข้างนอก หนุ่มเสื้อขาว ส่ายหน้าอย่างขำๆ หันไปหาสาวร่างสูง “แต่ละคนมันไม่ได้โต กันขึ้นเลยนะ ไปเถอะคำแปง เอาของสดไปเก็บในครัวกัน”
สาวร่างสูงหันมายิ้ม ก่อนจะช่วยถือถุงของกินมากมายเดินนำเข้าไปในครัว “กันต์ การ์ตูนที่ฝากซื้อได้รึเปล่า”
“ได้อยู่ ในรถ เรื่องราวไปถึงไหนแล้ว”
“ตอนนี้กลุ่มก็มารวมตัวที่เกาะ ชาบอนดี้แล้ว กำลังจะไปเกาะเงือก ๙ล๙”
เวลาผ่านไปสักครู่ เสียงผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนมาแต่ไกล “ทุกคน”
“ทุกคนมารึยัง” สาวผมเปียเดี่ยวสีน้ำตาลยุ่งเหยิง หน้าชื้อเหงื่อ สวมเอี้ยมจราจรสีส้มสะท้อนแสง มาหยุดยืนเท้าเขาหอบแหกๆหน้าร้าน ก่อนจะมองคนในร้านแล้วยิ้มกว้างอย่างดีใจ
“มากันแล้วเหรอ”
สามคนที่แย่งกันกินเต็มปากหันมาอุทานพร้อมกันอย่างลิงโลด “ไอ้ก้อย”
สองคนที่เดินมาจากครัวหลังร้านยิ้มให้อย่างยินดี
หญิงสาวผมเปีย ยิ้มรับ“ไอ้ช้างมาแล้วนะ อยู่หลังเวที” ก่อนจะเริ่มทำหน้าตระหนก ทุกคนเริ่มมองหน้ากันเลิกลัก
“และตอนนี้ โฆษก เขาประกาศเปิดให้แล้ว กำลังเรียกพวกเราขึ้นเล่นแล้ว” สิ้นเสียงคนผมเปียทุกคนอุทานพร้อมกัน
“ห๋า”
ก่อนจะตามมาด้วยเสียงก่นด่าไฟแลบ
“ไหงงั้น บอกให้มารวมตัวกันบ้านคำแปงก่อนไง”
“ให้ตายสิ ยังไม่ได้ซ้อม รวมกันเลยซักเพลง”
“ไอ้ช้าง เอ้ยยย เมิงชื่อช้างหรือฟายดีฟระ”
“เอาล่ะ” เสียงจากคนเสื้อโปโลขาว ที่เงียบที่สุด “เอาเป็นว่า รีบไปที่วัด ไปเซ็ตเครื่องดนตรี แล้วให้โฆษกช่วยประกาศดึงเวลา เอาล่ะไปเร็ว” ทุกคนพยักหน้า ขบวนโกลาหลวิ่งกรูไปวัด
ลานดินกว้างหน้าวัด ถูกจัดยกร้านขึ้นเป็นเวทีเล็กๆ มีแสงไฟหลอดนีออนหลากสี สาดส่องพยายามให้อลังการเหมือนเวทีคอนเสิร์ต …เอ่อ แต่ไม่ โฆษกร่างอ้วนยืนประกาศปากเปล่าอยู่บนเวที
“พ่อแม่พี่น้องชาวเชียงจืน ทุกท่าน และอำเภอใกล้เคียง คืนนี้เป็นงานนมัสการพระธาตุประจำปี สำหรับค่ำคืนนี้เราได้รับเกียรติจากดารา ดาวรุ่งขวัญใจมหาชน ซึ่งก็เป็นลูกหลานของอำเภอเชียงจืนเรานี่เอง….”
ผัวะ! เสียงจากหลังเวทีดังขึ้น“ไอ้ช้าง เขาให้ไปรวมตัวกันบ้านไอ้คำแปงไอ้ฟราย”
“ฉันลืมง่ะ.. เลยบอกรถมาลงหลังเวที…ถึงว่าไม่มีใคร”
“เมิงมัน ง่าว” เสียงประสานดังขึ้นพร้อมเพรียง จนคนหน้าเวทีสะดุ้ง โฆษกตกใจ แต่รีบแก้เก้อ “คงซ้อมการแสดงน่ะครับ ก่อนจะหันไปขยิบตา รับซิกจากคนส่งซิกหลังเวที
“ตอนนี้หลังเวทีพร้อมแล้วนะครับ ถึงเวลาที่ทุกท่านรอคอย วงดนตรีลูกหลานคนเชียงจืนและพระเอกดังดาวรุ่ง เพื่อจัดหากองทุนเพิ่มหนังสือให้ห้องสมุด ในโรงเรียนของอำเภอเชียงจืนเรานะครับ “
เสียงปรบมือกราว นักดนตรีทั้งเจ็ดคน เดินแถวออกมาประจำที่เครื่องดนตรีตัวเองอย่างเขินๆ
“คนแรก น้องคำแปง แสนไชยยะ หรือน้องแปง ลูกสาวแม่เพ็ญ วันนี้จะมาโชว์ลีลา กีต้าร์ไฟฟ้า” มีเสียงฮือฮาจากผู้ชม
“ต่อมา เป็นคู่พี่น้อง อดีตนักเรียนดีเด่นของอำเภอ หลานแม่อุ้ยแจ่ม กันต์และกานต์ ครับ กานต์โบกมือหยอยๆเลียนแบบนางสาวไทย กันต์ยิ้มก้มหัวทักทาย
และนักร้องหน้าตาญี่ปุ่น หนูข้าว กนกอร หญิงสาวยิ้มชูสองนิ้ว วันนี้หนูข้าวจะมาโชว์น้ำเพลงอันไพเราะให้พวกเราฟัง ขอเสียงตอนรับหนูข้าวครับ มีเสียงหวิววิ้ว....วิ้ว... จากผู้ชม
พิธีกรมาหยุดที่หนุ่มเสื้อแจ๊กเก็ตดำที่นั่งหลังกลองชุด “ตามมาด้วยหมวดหนุ่มสุดหล่อ หลานแม่อุ้ยหนู ร้อยตำรวจโทอดิศรครับ … “สาวๆหน้าเวทีฝากถามว่า ยังโสดมั้ยครับ” ตำรวจแจ๊กเก็ตดำยิ้มตาหยี “โสดครับ” แถมด้วยยักคิ้วข้างเดียว เรียกเสียงกรี๊ดอีกหนึ่งระลอก
พิธีกรมาหยุดตรงสาวผมเปีย ที่นั่งอุ้มกีต้าร์โปร่ง “โอ้ คนนี้ทุกคนคุ้นเคยกันดี พี่เทืองของเรานั่นเองครับ” เสียงเด็กวัยรุ่นชายกลุ่มข้างๆเวที ปรบมือเชียร์ออกนอกหน้า “วันนี้เล่นอะไรครับ”พิธีกรร่างอ้วนถาม “ซออู้มั้งคะ” คนผมเปียตอบหน้ากวนๆ พิธีกรหันหลังหนีขวับ
“และสุดท้าย ซุปเปอร์สตาร์ที่ท่านรอคอย“วารณ ครับ”เสียงกรี๊ดดังสนั่น หนุ่มใบหน้าหล่อเหลา ยิ้มกว้างค้อมตัวสวัสดีรอบทิศ
“สวัสดีครับ คืนนี้วง เซเวนไลท์ ของพวกเราขอมอบเพลง เป็นเกียรติกับทุกๆท่านนะครับ วันนี้จะหาเงินซื้อหนังสือ อุปกรณ์ทดลองให้โรงเรียนของบ้านเรานะครับ” หยุดไปรับดอกไม้ “จะมีน้องๆถือสลุงสำหรับใส่เงินอยู่ใกล้ๆท่านนะครับ ชอบเพลงของพวกเรามากก็ใส่เงินในสลุงมากๆนะครับ“ ทำหน้าหน้าสงสาร“แต่ถ้าไม่ชอบ ก็ยิ่งต้องใส่เงินในสลุงมากๆ ถือว่าเป็นค่าหยุดร้องนะครับ จ่ายเยอะๆจะได้เลิกร้องเร็วๆ” เรียกเสียงหัวเราะครืนจากผู้ชม
ทุกคนหันมามองกันต์ กันต์พยักหน้า ดนตรีบรรเลง
“วันนี้ฝนตก…. ไหลลงที่หน้าต่าง เธอคิดถึงฉันบ้างไหมหนอเธอ……”
เสียงเพลง ในจังหวะฟังสบาย ก้องอบอวล คนในหมู่บ้านนั่งฟังเพลงของเหล่าลูกหลานอย่างมีความสุข และแอบดีใจลึก ๆ ว่าเด็กๆ ที่พวกเขาเห็นเล่นซนกันมาตั้งแต่เด็กๆ พอโตมาจะเป็นคนดี เป็นที่ภูมิใจของหมู่บ้าน ลูกหลานที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ก็ไม่เคยลืมบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง
เสียงวงสะล้อ ซอ ซึงบรรเลงในจังหวะสนุกสนานดังแว่วมา ผู้คนแต่งชุดล้านนาแบบโบราณย้อนยุค เดินขวักไขว่เต็มท้องถนน คนหนุ่มคนสาวส่งเสียงคุยกัน โห่แซวดังมาแว่วๆเด็กๆร่าเริงวิ่งเล่น กันสนุกสนาน ผู้คนพูดคุย ทักทายกันระหว่างทาง คนเฒ่าคนแก่เกล้าผมมวยเหน็บดอกไม้หอม บรรยากาศสนุกสนานและอบอุ่น
ถนนสองเลน ทอดตัวยาวไปถึงวัดที่เห็นหลังคาโบสถ์ต้องแสงไฟระยิบระยับอยู่ไกลๆ ตลอดสองข้างทางประดับเรียงรายไปด้วยประทีปโคมไฟ สลับด้วยตุงล้านนาแกว่งไกวไสว
ห้องแถวไม้สองชั้นติดถนน ชั้นล่างเป็นร้านอาหาร ยังคงเปิดประตูโล่ง โต๊ะเจ็ดแปดตัวตั้งเรียงราย มีคนสองคนอยู่ในร้าน
“ฉันมาก่อนทุกที กลายเป็นว่าคนมาถึงก่อนต้องมารอตลอด ตลอด” ชายหนุ่มผมสั้นสวมเสื้อคอกลมสีขาว สวมทับด้วยแจ๊กเก็ตสีดำ ร่างสูงสันทัด เดินไปมา จับโน่นดูนี่ แกะนั่นรื้อนี่ เดี๋ยวเดิน เดี๋ยวนั่งอย่างคนอยู่ไม่สุข ก่อนจะเหลียวเห็นเก้าอี้โยกหวายตัวใหญ่ ก็ทิ้งตัวลงนั่ง คว้ารถของเล่นมาแกะ
“เป็นอย่างนี้ทุกปีเลย ” หญิงสาวผมยาวลอนสีน้ำตาลแดง หน้าตาออกไปทางญี่ปุ่น สวมเสื้อยืดสีขาวที่มีคำกวนๆ อยู่บนเสื้อกับกางเกงขาสั้น กำลังกินข้าวผัดอย่างเอร็ดอร่อย ตักคำก็บ่นเพื่อนคำ
“ไอ้สี่คนนั้นมันยังไม่มาใช่มั๊ย น่าเบื่อจริงๆ นึกว่าหล่อหรือ ไง ชิ” หญิงสาวบ่นพร้อมกับกินข้าวผัดไปอีกคำ
“ปีหน้าฉันจะมาสายๆ ให้ไอ้สี่คนนั้นมารอบ้าง” หญิงสาวกินข้าวด้วยอารมณ์ ฉุนเพื่อน ที่มาช้า จะไม่ให้ฉุนได้ไงก็ไอ้สี่คนนั้นเล่นมาช้ายังนี้เกือบทุกปีและเธอก็บ่นอย่างนี้ทุกปี
คนเสื้อแจ๊กเก็ตดำ บนเก้าอี้โยกที่อยู่ตรงข้ามดีดนิ้วเปาะ “ แจ่ม ข้าว ”
สองคนลุกขึ้น แปะมือกันอย่างเห็นด้วย “ตามนั้น ปีหน้า” หึ หึ ปีหน้าพวกแกต้องมาก่อนฉันดูซิจะอารมณ์เสียอย่างฉันมั๊ย ฉันหญิงสาวขี้บ่นหัวเราะกับแผนการที่วางไว้ในปีหน้า
หญิงสาวร่างสูง ผมดำยาวหยักศกปล่อยสยาย สวมผ้ากันเปื้อนเดินเข้ามาจากครัวหลังร้าน
“เบื่อรอนัก ก็ไปช่วยไอ้ก้อยโบกรถหน้าวัดซี่” พลางวางจานอาหารสองสามอย่างกับชาเย็นแก้วใหญ่ลงบนโต๊ะ คนนั่งเก้าอี้โยก มือยาวมาคว้าปลาหมึกบดในจานเข้าปากทันที
หญิงสาวขี้บ่นที่กินข้าวผัด ดูดชาเย็นในแก้วก่อนจะถาม “ไอ้ก้อยไปโบกรถทำไม มันเป็น อ.ป.พ.ร เหรอ”
“โอ้ย อย่างไอ้นั่น ไม่ต้องเป็นหร้อก แต่ทำหน้าที่ยิ่งกว่า” คนเคี้ยวปลาหมึกชิงตอบ สาวร่างสูงพยักหน้าประมาณว่า”ทำนองนั้น” ก่อนจะถาม
“อยากกินอะไร กันอีกมั้ย” สองคนส่ายหัว คนหนึ่งตั้งหน้าตั้งตาเคี้ยวปลาหมึก อีกคนตักข้าวพัดจานใหญ่เข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ
จากหน้าร้านมองออกไปนอกถนน ผู้คนเริ่มซาเพราะทุกคนทยอยเข้าไปทำกิจกรรมในวัด รถเข็นขนมสายไหม สีสดสวยที่หยุดขายหน้าร้านเริ่มเงียบลงหลังจากผ่านสงครามการรุมซื้อจากเด็กๆ ลุงปั๋นคนขายเห็นตามหลักเศรษฐศาสตร์ว่าผู้คนเริ่มไปรอที่วัด มีคนที่ไหนมีสายไหมที่นั่น แกส่งเสียงลา หญิงสาวร่างสูงเจ้าของร้านห้องแถว ก่อนจะเข็นรถออกไป
รถยุโรปสีดำ เข้ามาจอดเทียบหน้าร้านแทนที่ ประตูรถเปิดออก ประตูข้างคนขับก็เปิดออก มีชายหนุ่มที่ดูดีอย่างร้ายกาจ เสือยืดสีฟ้า กางเกงเข้ารูป ใบหน้าคมคาย แต่มีแววตาที่ขี้เล่นก้าวลงมา ส่วนด้านคนขับมีชายหนุ่มหน้าตาละม้ายคล้ายชายคนแรกที่ลงมา แต่ดูเป็นผู้ใหญ่และเข้มกว่า ใส่เสื้อโปโลสีขาว กางเกงยีน
“เฮ้ กันต์กับกานต์ มาแล้ว” คนสามคนในร้าน ร้องทักทายสองหนุ่มที่มาใหม่ หนุ่มแจ๊กเก็ตดำ โผเข้าไปกอดคอสองหนุ่ม ก่อนจะหันไปหาชายหนุ่มเสือยืดสีฟ้า
“เป็นไง มั่งวะเอ็ง” ชายหนุ่มแจ๊กเก็ตดำ ร้องทักเพื่อน พร้อมเอาหน้าเข้ามาใกล้ ๆ
กานต์ปิดจมูก “ไอ้ต่อ กินอะไร มาวะ ปากเหม็นชิบ”
คนโดนว่าปากเหม็น ยิ่งยืนหน้าเข้าใส่ ก่อนจะตอบชนิดปากจ่อจมูก “ปลาหมึกกกกกกก”
กานต์ผลักหน้าเพื่อนหน้าหงาย “อื้อหือ ไอ้ต่อทุเรศเหลือเกิน”
คนโดนผลักหน้าหงาย หัวเราะงอก่อ งอขิงลงไปนั่งกุมท้องบนเก้าอี้โยก
กานต์ เดินมานั่งตรงข้ามกับคนกินข้าวผัด มองจานกับข้าวมากมายบนโต๊ะ ก่อนหยิบปลาหมึกบดมากิน สายตาคมมองจานข้าวผัด พูนๆหอมกรุนของคนตรงข้าม อย่างหมายมั่น ก่อนจะคว้าช้อนใกล้มือจ้วงข้าวผัดของ เขาเข้าปากหน้าตาเฉย
“เฮ้ยๆ อะไรไอ้กานต์ มาช้าแล้วยังมาแย่งข้าวฉันกิน อีกหรอ ” เจ้าของทักท้วง พยายามปกป้องจานข้าวผัดของตน
“อ้าว ข้าว นี่ฉันกำลังไถ่โทษการมาสายของฉันอยู่นะ เธอไม่รู้เหรอ ว่าการกินอาหารหลังหนึ่งทุ่ม มันจะทำให้อ้วน” คนพูดข้าวผัดเต็มปาก “แต่เธอก็มีฉันมาช่วยแบ่งเบาแล้ว เธอจะไม่อ้วนอีกต่อไป เธอควรจะขอบใจฉันนะ ” ตักคำใหญ่อีกคำเข้าปาก
เจ้าของข้าวผัดตาโตอย่างไม่พอใจ พร้อมกัดฟันพูด ด้วยความมั่นไส้ เพื่อน “ ขอบใจมากนะ ” ก่อนจะหรี่ตาทำหน้าเจ้าเล่ห์ “ แต่ฉันถุยน้ำลาย ใส่ไว้หมดแล้ว”
“ฉันไม่ถือ” กานต์ตักข้าวผัดคำโตเข้าปาก กานต์ไม่สนใจอะไรแล้ว เขาไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เช้า เมื่อคืนเขาเร่งทำงานให้เสร็จพอเสร็จ ตอนเช้าพี่ชายเขาก็มาตามให้ขึ้นรถมาเลย และไม่ได้แวะกินอะไรด้วย
เจ้าของข้าวผัด กำช้อนแน่นอย่างไม่ยอม “เอ้อ เอาสิ แย่งกินทันก็แย่งเลย” พลางทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ
“อ้าว หมดโต๊ะนี้ใครอิ่มก่อนคนนั้นแพ้” กานต์ชูช้อนอย่างท้าทาย
“ได้เลย” หญิงสาวเจ้าของข้าวผัดชูช้อนรับคำท้า อีกคนถลกแขนเสื้อ “มาเลย”
“เดี๋ยวๆ” แจ๊กเก็ตดำ ลุกพรวดมาจาเก้าอี้โยก “ขอเอา ปลาหมึกของฉัน ออกจากการแข่งขัน” สองคนรีบยึดจานไว้ “ไม่ได้ #*-/+*-/*##%$%*/+” เสียงเถียงกันโหวกเหวก
หนุ่มเสื้อโปโลสีขาว ท่าทางเงียบขรึมกับสาวร่างสูงมองอยู่ข้างนอก หนุ่มเสื้อขาว ส่ายหน้าอย่างขำๆ หันไปหาสาวร่างสูง “แต่ละคนมันไม่ได้โต กันขึ้นเลยนะ ไปเถอะคำแปง เอาของสดไปเก็บในครัวกัน”
สาวร่างสูงหันมายิ้ม ก่อนจะช่วยถือถุงของกินมากมายเดินนำเข้าไปในครัว “กันต์ การ์ตูนที่ฝากซื้อได้รึเปล่า”
“ได้อยู่ ในรถ เรื่องราวไปถึงไหนแล้ว”
“ตอนนี้กลุ่มก็มารวมตัวที่เกาะ ชาบอนดี้แล้ว กำลังจะไปเกาะเงือก ๙ล๙”
เวลาผ่านไปสักครู่ เสียงผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนมาแต่ไกล “ทุกคน”
“ทุกคนมารึยัง” สาวผมเปียเดี่ยวสีน้ำตาลยุ่งเหยิง หน้าชื้อเหงื่อ สวมเอี้ยมจราจรสีส้มสะท้อนแสง มาหยุดยืนเท้าเขาหอบแหกๆหน้าร้าน ก่อนจะมองคนในร้านแล้วยิ้มกว้างอย่างดีใจ
“มากันแล้วเหรอ”
สามคนที่แย่งกันกินเต็มปากหันมาอุทานพร้อมกันอย่างลิงโลด “ไอ้ก้อย”
สองคนที่เดินมาจากครัวหลังร้านยิ้มให้อย่างยินดี
หญิงสาวผมเปีย ยิ้มรับ“ไอ้ช้างมาแล้วนะ อยู่หลังเวที” ก่อนจะเริ่มทำหน้าตระหนก ทุกคนเริ่มมองหน้ากันเลิกลัก
“และตอนนี้ โฆษก เขาประกาศเปิดให้แล้ว กำลังเรียกพวกเราขึ้นเล่นแล้ว” สิ้นเสียงคนผมเปียทุกคนอุทานพร้อมกัน
“ห๋า”
ก่อนจะตามมาด้วยเสียงก่นด่าไฟแลบ
“ไหงงั้น บอกให้มารวมตัวกันบ้านคำแปงก่อนไง”
“ให้ตายสิ ยังไม่ได้ซ้อม รวมกันเลยซักเพลง”
“ไอ้ช้าง เอ้ยยย เมิงชื่อช้างหรือฟายดีฟระ”
“เอาล่ะ” เสียงจากคนเสื้อโปโลขาว ที่เงียบที่สุด “เอาเป็นว่า รีบไปที่วัด ไปเซ็ตเครื่องดนตรี แล้วให้โฆษกช่วยประกาศดึงเวลา เอาล่ะไปเร็ว” ทุกคนพยักหน้า ขบวนโกลาหลวิ่งกรูไปวัด
ลานดินกว้างหน้าวัด ถูกจัดยกร้านขึ้นเป็นเวทีเล็กๆ มีแสงไฟหลอดนีออนหลากสี สาดส่องพยายามให้อลังการเหมือนเวทีคอนเสิร์ต …เอ่อ แต่ไม่ โฆษกร่างอ้วนยืนประกาศปากเปล่าอยู่บนเวที
“พ่อแม่พี่น้องชาวเชียงจืน ทุกท่าน และอำเภอใกล้เคียง คืนนี้เป็นงานนมัสการพระธาตุประจำปี สำหรับค่ำคืนนี้เราได้รับเกียรติจากดารา ดาวรุ่งขวัญใจมหาชน ซึ่งก็เป็นลูกหลานของอำเภอเชียงจืนเรานี่เอง….”
ผัวะ! เสียงจากหลังเวทีดังขึ้น“ไอ้ช้าง เขาให้ไปรวมตัวกันบ้านไอ้คำแปงไอ้ฟราย”
“ฉันลืมง่ะ.. เลยบอกรถมาลงหลังเวที…ถึงว่าไม่มีใคร”
“เมิงมัน ง่าว” เสียงประสานดังขึ้นพร้อมเพรียง จนคนหน้าเวทีสะดุ้ง โฆษกตกใจ แต่รีบแก้เก้อ “คงซ้อมการแสดงน่ะครับ ก่อนจะหันไปขยิบตา รับซิกจากคนส่งซิกหลังเวที
“ตอนนี้หลังเวทีพร้อมแล้วนะครับ ถึงเวลาที่ทุกท่านรอคอย วงดนตรีลูกหลานคนเชียงจืนและพระเอกดังดาวรุ่ง เพื่อจัดหากองทุนเพิ่มหนังสือให้ห้องสมุด ในโรงเรียนของอำเภอเชียงจืนเรานะครับ “
เสียงปรบมือกราว นักดนตรีทั้งเจ็ดคน เดินแถวออกมาประจำที่เครื่องดนตรีตัวเองอย่างเขินๆ
“คนแรก น้องคำแปง แสนไชยยะ หรือน้องแปง ลูกสาวแม่เพ็ญ วันนี้จะมาโชว์ลีลา กีต้าร์ไฟฟ้า” มีเสียงฮือฮาจากผู้ชม
“ต่อมา เป็นคู่พี่น้อง อดีตนักเรียนดีเด่นของอำเภอ หลานแม่อุ้ยแจ่ม กันต์และกานต์ ครับ กานต์โบกมือหยอยๆเลียนแบบนางสาวไทย กันต์ยิ้มก้มหัวทักทาย
และนักร้องหน้าตาญี่ปุ่น หนูข้าว กนกอร หญิงสาวยิ้มชูสองนิ้ว วันนี้หนูข้าวจะมาโชว์น้ำเพลงอันไพเราะให้พวกเราฟัง ขอเสียงตอนรับหนูข้าวครับ มีเสียงหวิววิ้ว....วิ้ว... จากผู้ชม
พิธีกรมาหยุดที่หนุ่มเสื้อแจ๊กเก็ตดำที่นั่งหลังกลองชุด “ตามมาด้วยหมวดหนุ่มสุดหล่อ หลานแม่อุ้ยหนู ร้อยตำรวจโทอดิศรครับ … “สาวๆหน้าเวทีฝากถามว่า ยังโสดมั้ยครับ” ตำรวจแจ๊กเก็ตดำยิ้มตาหยี “โสดครับ” แถมด้วยยักคิ้วข้างเดียว เรียกเสียงกรี๊ดอีกหนึ่งระลอก
พิธีกรมาหยุดตรงสาวผมเปีย ที่นั่งอุ้มกีต้าร์โปร่ง “โอ้ คนนี้ทุกคนคุ้นเคยกันดี พี่เทืองของเรานั่นเองครับ” เสียงเด็กวัยรุ่นชายกลุ่มข้างๆเวที ปรบมือเชียร์ออกนอกหน้า “วันนี้เล่นอะไรครับ”พิธีกรร่างอ้วนถาม “ซออู้มั้งคะ” คนผมเปียตอบหน้ากวนๆ พิธีกรหันหลังหนีขวับ
“และสุดท้าย ซุปเปอร์สตาร์ที่ท่านรอคอย“วารณ ครับ”เสียงกรี๊ดดังสนั่น หนุ่มใบหน้าหล่อเหลา ยิ้มกว้างค้อมตัวสวัสดีรอบทิศ
“สวัสดีครับ คืนนี้วง เซเวนไลท์ ของพวกเราขอมอบเพลง เป็นเกียรติกับทุกๆท่านนะครับ วันนี้จะหาเงินซื้อหนังสือ อุปกรณ์ทดลองให้โรงเรียนของบ้านเรานะครับ” หยุดไปรับดอกไม้ “จะมีน้องๆถือสลุงสำหรับใส่เงินอยู่ใกล้ๆท่านนะครับ ชอบเพลงของพวกเรามากก็ใส่เงินในสลุงมากๆนะครับ“ ทำหน้าหน้าสงสาร“แต่ถ้าไม่ชอบ ก็ยิ่งต้องใส่เงินในสลุงมากๆ ถือว่าเป็นค่าหยุดร้องนะครับ จ่ายเยอะๆจะได้เลิกร้องเร็วๆ” เรียกเสียงหัวเราะครืนจากผู้ชม
ทุกคนหันมามองกันต์ กันต์พยักหน้า ดนตรีบรรเลง
“วันนี้ฝนตก…. ไหลลงที่หน้าต่าง เธอคิดถึงฉันบ้างไหมหนอเธอ……”
เสียงเพลง ในจังหวะฟังสบาย ก้องอบอวล คนในหมู่บ้านนั่งฟังเพลงของเหล่าลูกหลานอย่างมีความสุข และแอบดีใจลึก ๆ ว่าเด็กๆ ที่พวกเขาเห็นเล่นซนกันมาตั้งแต่เด็กๆ พอโตมาจะเป็นคนดี เป็นที่ภูมิใจของหมู่บ้าน ลูกหลานที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ก็ไม่เคยลืมบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง
คำแปง
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ก.พ. 2555, 14:07:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ก.พ. 2555, 14:08:10 น.
จำนวนการเข้าชม : 1437
EP.เชียงจืน ตอนที่1 เมืองแรกเริ่มเดิมที >> |