กวนเธอเพราะห่วงหรอก
เขียนเรื่องนี้ไว้นานแล้วค่ะ เคยส่งไปลงนิตยสารได้ลงด้วยล่ะ ได้ตังค์กินหนม 400 บาท หลังจากลงแล้วนิตยสารนั้นก็เจ๊งเลย ไหงเป็นงั้นไปได้ แง้ ๆ



ก็เอามาให้อ่านเล่น ๆ สนุก ๆ เป็นเรื่องน่ารัก ๆ เรื่องนี้พระเอกชื่อ เศาร์ เป็นคนกวน ๆ นิดหนึ่ง นางเอกชื่อ วิภวา เย็นวันหนึ่งมาช่วยทำงานกลุ่มกันที่ห้องพักของเศาร์ เธออาสาไปซื้อของที่ยังขาดอยู่มาให้ ระหว่างทางกว่าจะกลับมาถึงห้องของเศาร์อีกที ฝนตกหนัก เพื่อน ๆ ในกลุ่มรีบกลับบ้านกันไปหมด เหลือแต่เธอที่มาติดฝนอยู่ที่ห้องของเศาร์



แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไปนั้น โปรดติดตามค่ะ ^_^
Tags: เรื่องสั้น

ตอน: ตอนเดียวจบ

กวนเธอเพราะห่วงหรอก

หลังจากที่เพื่อน ๆ ในกลุ่มของเขาเห็นท่าทีของฝนฟ้าทำท่าจะตก เลยหนีกลับไปได้สักพักใหญ่ ฟ้าก็กระหน่ำฝนลงมาอย่างหนัก เสียงฝนเสียงฟ้าดังคำรามกึกก้องอยู่ภายนอก แต่เขากลับแทบไม่ได้ยินเสียงเหล่านั้นเลย เพราะจิตใจกำลังจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้า เขาใช้พู่กันจุ่มสี แล้วบรรจงระบายลงบนชิ้นงานอย่างตั้งใจ

“ก๊อก ๆ ๆ” เสียงเคาะประตูดังขึ้น แต่ดูเหมือนเสียงฝนกระหน่ำจะดังกลบเสียงนั้นจนเขาไม่ได้ยิน

จากเสียงเคาะประตูเบา ๆ กลายเป็นเสียงตบประตูดังลั่น แสดงถึงอารมณ์ของคนเคาะเริ่มเสีย เสียงนั้นดังพอที่จะทำให้เขาเงยหน้าขึ้นจากชิ้นงาน มองตรงไปยังประตูห้องอย่างฉงน

“ใครวะ! กระทืบประตูอยู่ได้” เขารู้สึกฉุนคนเคาะประตูช่างไม่มีมารยาทเอาเสียเลย วางพู่กันลงแล้วลุกขึ้นก้าวเร็ว ๆ เดินดิ่งตรงไปที่ประตู

ทันทีที่ประตูเปิดออก ร่างเปียกโชกของคนที่ยืนอยู่หน้าประตู ทำให้เขาเพิ่งนึกออกว่า เธออาสาไปซื้ออุปกรณ์และของที่ยังขาดอยู่มาให้ นี่เขาลืมเธอเสียสนิทเลย มองเธอยืนกอดข้าวของที่ซื้อมาไว้แนบอก เสื้อขาวเปียกปอนหลีบติดกายเธอจนมองเห็นสีผิวตรงต้นแขน

“ทำอะไรอยู่ยะ! เคาะประตูตั้งนานไม่รีบมาเปิด” เธอกระแทกเสียงปึงปังใส่อย่างโมโห มองเพื่อนหนุ่มที่ยืนท้าลมเย็นยะเยือกด้วยกางเกงขาก๊วยสีม่วงอ่อนเพียงตัวเดียวเผยให้เห็นผิวขาวเกลี้ยงสะอาดตาที่ไร้เสื้อปกปิด

“ขอโทษที…ไม่ได้ยินน่ะ” เขาก้มลงมองตัวเองนิดหนึ่ง

“รอแป๊บนึงนะ” แล้วหายกลับเข้าไปในห้อง นึกขึ้นได้ว่ามันคงไม่สุภาพที่เขาไม่ได้สวมเสื้อคุยกับเธอ คว้าเสื้อยืดสีขาวมาสวมแล้วก้าวออกไปเผชิญหน้ากับเพื่อนสาวที่ยืนหน้าตึงอยู่หน้าห้อง ริมฝีปากบางนั้นสั่นเล็กน้อยด้วยความหนาวจากลมเย็นชื้นและละอองฝนที่พัดมาปะทะอยู่ตลอดเวลา

ชายหนุ่มส่งมือไปรับของจากเพื่อนสาว
“เธอคงหนาวแย่ รีบเข้ามาก่อนเถอะ”

วิภวาสาวเท้าเข้ามาในห้องพักของสหายหนุ่ม อึ้งเล็กน้อยที่มองไม่เห็นเพื่อนอยู่ซักคน

เฮ้ย! หายไปไหนกันหมดวะ!

มองเห็นงานที่เขาทำค้างอยู่วางโดดเด่นอยู่บนพื้นกลางห้อง เธอเดินเข้าไปมองดูผลงานกลุ่มที่เธอกับเพื่อน ๆ มีส่วนร่วมช่วยกันทำขึ้น และสงสัยต้องอยู่ช่วยเขาทำจนกว่าฝนจะหยุดบ้าเทน้ำเทท่าลงมาจากฟากฟ้า

เศาร์ก้าวซวบเข้าไปหาเพื่อนสาวที่กำลังยืนก้มมองชิ้นงานบนพื้น เขารีบเอาผ้าขนหนูผืนโตคลุมศีรษะของเธอแล้วผลักร่างเล็กให้ถอยครูดออกมาจากงานที่กองอยู่

“ไอ้บ้า! นี่นายทำอะไร!” วิภวาเอ็ดตะโรลั่น รีบดึงผ้าขนหนูที่โปะลงมาบนหัวออกทันที

“ก็วิภน่ะ ระวังมั่งสิ! น้ำจากหัวเธอจะหยดโดนงานเสียรู้มั้ย! เพิ่งลงสีเสร็จสียังไม่แห้ง แล้วดูซิเนี่ย น้ำหยดนองเต็มห้องเลย ทำไมไม่ยืนอยู่ที่เดียว เดินไปเดินมาทำไม” เขาดุเสียงเครียด พลางกวาดสายตามองไปตามพื้นห้อง

วิภวาอึ้งไปครู่หนึ่ง พูดอะไรไม่ออกด้วยความรู้สึกผิดที่เป็นเหตุทำให้เขาต้องวุ่นวาย ยืนทำหน้าเจื่อน ๆ มองเขาคว้าผ้ามาเช็ดน้ำนองเต็มพื้นหินขัด

เศาร์เงยหน้ามองเธอที่ยืนนิ่งเงียบไป

“ขอโทษที เมื่อกี๊ผลักหัวแรงไปหน่อยเจ็บหรือเปล่า”

วิภวาส่ายหัว

“อ้ะ! นี่…เอาไปเปลี่ยนซะ เราให้ยืม อยู่เปียก ๆ แบบนี้ไม่ดีหรอก เดี๋ยวไม่สบาย” เขาส่งเสื้อยืดให้พร้อมกับเสื้อเชิ้ต และผ้าถุงอีกหนึ่งผืนให้เธอ

คนรับทำหน้างง ๆ

“ใส่ไปเหอะน่า…เราซักสะอาดแล้ว ไม่เหม็นหรอก ถึงจะมีกลิ่นกายเราติดไปบ้างก็เป็นกลิ่นหอมมม......นะ” เขาลอยหน้าลอยตาอธิบายคุณภาพของเสื้อตัวเองอย่างภาคภูมิใจเสียเหลือเกิน เมื่อเห็นเธอยังยืนงงอยู่

วิภวาทำจมูกย่นปากยื่นใส่เขาก่อนที่จะรับมาเดินเข้าห้องน้ำ

เศาร์นั่งลงตรงที่เดิม หยิบพู่กันขึ้นมาทำงานต่อ

ครู่หนึ่งเธอก้าวออกมาจากห้องน้ำ

ชายหนุ่มเงยหน้าจากงานที่กำลังทำ มองไปที่เพื่อนสาวแล้วอมยิ้มขำ ๆ เสื้อเชิ้ตของเขามันดูลุ่มล่ามไปหน่อยสำหรับร่างเล็กกระทัดรัดอย่างเธอ

“เศาร์..นายไปเอาผ้าถุงมาจากไหนเหรอ” วิภวาถามถึงผ้าถุงดำที่สวมอยู่

“ของแม่เราน่ะ ขอแม่มาไว้ดูต่างหน้ายามคิดถึง อ้าว…!! เธอนุ่งผ้าถุงเป็นด้วยเรอะ!!” ประโยคสุดท้ายแกล้งพูดหยอกล้ออย่างอารมณ์ดี

“โธ่! ของกล้วย ๆ รู้ไว้ฉันอยู่บ้านน่ะ นุ่งผ้าถุงย่ะ” เธอสะบัดเสียงใส่

แปลกจัง….เขาคิดถึงแม่จนต้องขอผ้าถุงแม่มาไว้ดูต่างหน้าด้วยเหรอ?

เศาร์หัวเราะอย่างขำ ๆ กับท่าทีของเพื่อนสาวอย่างรู้นิสัยที่ชอบเอาชนะและไม่เคยยอมใคร

“แล้วเธอน่ะ ทำไมเพิ่งมา ไปซื้อใกล้ ๆ แค่นี้เอง อู้งานนะ กินแรงเพื่อนนี่หว่า เพื่อน ๆ เขากลับกันไปหมดแล้ว”

“โธ่…นายไม่รู้อะไร รถติดเป็นบ้าเลย ติดบ้าติดบออะไรไม่รู้ ฉันนะต้องลงแล้วเดินหอบมานายรู้รึเปล่า แถมฝนก็ดันตกอีก มะร่อกมะแร่กเลย” วิภวาบ่นอย่างยืดยาว

“โอ๋…อย่าเพิ่งโมโหนะ เดี๋ยวจะเลี้ยงมาม่า หิวรึยังล่ะ” เขาจุ่มพู่กันลงในกระป๋องน้ำ
“หิวดิ! ของฉันขอ 2 ห่อนะ”
“กินจุเหมือนกันนะ ตัวแค่เนี้ย” เขาลุกขึ้นเดินไปตรงมุมห้อง หยิบมาม่าออกมาจากถุงใบใหญ่
“นายกินยี่ห้อไหน ฉันชอบมาม่าต้มยำนะ” วิภวาเดินตามไป
“ยี่ห้อนี้กินได้มั้ย” เศาร์ชูมาม่ามังสวิรัติยี่ห้อใบโพธิ์ซองสีเหลืองอ๋อยให้เธอดู

“อ๋า…” วิภวาเลิกคิ้ว “นายเปลี่ยนมากินใบโพธิ์ตั้งแต่เมื่อไหร่ เปลี่ยนรสชาดเหรอ หรือว่า…นายจะหันมากินเจจ๊ะ” วิภวาพูดหยอกเย้าเขาเล่นในประโยคสุดท้าย

“ใช่แล้วล่ะ เรากินเจ เอ้ย! ไม่ใช่ดิ! กินมังสวิรัติ” เขาเทน้ำใส่หม้อ นำไปตั้งบนเตาไฟฟ้าแล้วเสียบปลั๊ก

“อะ…อะไรนะ! ฉันล้อเล่นนะ นายกินจริง ๆ เหรอ” เพื่อนสาวเบิกตาโต ชะงักการฉีกปากถุงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
“จริงสิ ไม่โกหกหรอก เดี๋ยวผิดศีลข้อ 4” เขายิ้ม แล้วหันมาช่วยเธอเปิดซองมาม่า
“อ้าว…งั้นนายก็ต้องถือศีล 5 ด้วยสิ” แววตายังคงฉายแววงุนงงอยู่ไม่หาย
“ฮื่อ…” เขาพยักหน้า แล้วลุกไปเตรียมชามช้อนและตะเกียบให้พร้อม

“ชีวิตเรามีศีลเป็นที่พึ่งนะ” เขาหันมาบอก

วิภวานิ่งมองเขาอย่างงง ๆ ผู้ชายกวน ๆ อย่างเขาเนี่ยนะ กินเจ ถือศีล 5 เธอไม่อยากจะเชื่อ…

“แล้วเวลาอยู่มหาลัยนายกินยังไงล่ะ”

“จะยากอะไร ก็สั่งเขาทำพิเศษสิ กินจนเขาจำหน้าได้แล้วล่ะ” สีหน้าของเขาบ่งบอกว่ามันเป็นเรื่องง่ายดายเสียเหลือเกิน

“แล้วทำไมนายถึงเปลี่ยนมากินมังสวิรัติล่ะ” อดสงสัยต่อไม่ได้

“แค่รู้สึกว่า หากมีทางอื่นที่เราจะมีชีวิตอยู่ได้ โดยไม่ต้องพึ่งลมหายใจความเจ็บปวด การล้มตายของสัตว์ตัวไหน เราขอเลือกทางนั้น” น้ำเสียงนั้นเน้นหนักชัดถ้อยชัดคำชัดเจน

เพื่อนสาวฟังแล้วอึ้ง แทบพูดต่อไม่ถูกเลย

“แต่มันก็ยุ่งยากเหมือนกันนะ ไม่ค่อยมีร้านให้ซื้อนี่นา”

“เรากินมังสวิรัติ ไม่ได้กินเพราะมีร้านให้ซื้อนะจ๊ะ” พลางเปิดฝาหม้อเมื่อน้ำเริ่มเดือด แล้วเทเส้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปลงไปในหม้อ พร้อมกับใส่เครื่องปรุง

“แรก ๆ จะยุ่งยากเหมือนกัน เพราะเรายังไม่ชิน สิ่งที่ยากที่สุด เราว่า คือการเปลี่ยนความเคยชินมากกว่า อยู่ที่วิธีคิดด้วย คิดให้ยุ่งก็ยุ่ง คิดให้ยากก็ยาก คิดว่าง่ายๆ กล้วย ๆ แค่นี้จิ๊บจ๊อยนะ มันก็ง่าย มันอยู่ที่วิธีคิดนั่นแหละ แต่เราคิดว่าถ้าเราจะยุ่งยากนิดหน่อยเพื่อให้ชีวิตอื่นอยู่รอด เราก็ยินดีไม่มีปัญหา.....” เพื่อนหนุ่มยักไหล่ ใช้ตะเกียบคนเส้นที่อยู่ในหม้ออย่างชำนิชำนาญ

“ที่สำคัญนะ” เศาร์หยุดพูด เพื่อดูว่าคนฟังยังฟังเขาอยู่ไหม หรือไม่ต้องการจะฟังต่อแล้ว

“อะไรเหรอ?” วิภวามองหน้าคนบรรยายเมื่อเห็นเขาเงียบไป

ชายหนุ่มยิ้ม ใจชื้นขึ้น เมื่อรู้ว่าเธอไม่ได้รำคาญ แต่ยังสนใจฟังเขาอยู่
“ที่สำคัญสุขภาพดีขึ้น ยิ่งกินมังสวิรัติ เราก็ยิ่งรู้ว่า นี่คือ อาหารของมนุษย์จริง ๆ”

“ฉันเชื่อ....” เพื่อนสาวยิ้ม เพราะเธอมีญาติที่เป็นโรคภูมิแพ้ เป็นโรคคันผิวหนัง หลังจากเขาเปลี่ยนไปทานมังสวิรัติแล้ว โรคเหล่านี้ทุเลาลง หรือหายไป

“ลองดูมั้ย?”

วิภวาพยักหน้าถี่ๆ สายตาจับที่หม้อบะหมี่ กลิ่นหอมกรุ่น

“ไม่ลองก็ไม่ต้องกินนะ” ชายหนุ่มแกล้งยกหม้อหนี

“เฮ้ย! ยังไม่ได้พูดเลย อย่ากวน อย่ามั่ว หิวนะเฟ้ย”

เพื่อนหนุ่มหัวเราะ รีบวางหม้อลงที่เดิม กลัวว่าเธอจะโมโหหิวซะก่อน



หลังจากจัดการกับมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อย สองสหายต่างลงมือปฏิบัติการกับงานที่ค้างอยู่ทันที

“เศาร์…เผื่อที่ไว้แปะกาวเซ็นต์นึงพอมั้ย” เธอส่งกระดาษแข็งให้เขาดู
“เซ็นต์ครึ่งละกัน”
“นายว่า เราจะทำเสร็จมั้ย ส่งวันจันทร์นี้แล้วนะ”
“ทันดิ! พรุ่งนี้เที่ยง ๆ พวกนั้นมันก็จะมาช่วย วิภร่างแบบไว้เยอะ ๆ นะ พรุ่งนี้ พวกนั้นมาก็ให้ช่วยกันตัด ติดกาว ห่อกระดาษ วันอาทิตย์ก็ช่วยกันประกอบ ก็เสร็จแล้วล่ะ รับรองทัน!”

อยู่ ๆ ไฟก็ดับวูบลงมืดสนิท!!

“ตายแล้ว…ทำไมอยู่ ๆ ไฟดับล่ะ” วิภวาโวยวายลั่น

ใจคอไม่ค่อยดีเอาเสียเลย แม้จะรู้ดีว่าตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมานานตั้งแต่ ม. 1 โน่น เพื่อนคนนี้ไม่เคยมีเรื่องเสียหายเกี่ยวกับผู้หญิงเลย และดูเหมือนเขาไม่เคยจีบใคร หรือมีทีท่าว่าชอบใครซักที ที่สำคัญสาว ๆ ต่างตั้งฉายาเรียกขานเขาว่า “คุณชาย” กับความเป็นสุภาพบุรุษของเขาเสมอ ถึงจะเป็นคุณชายที่ชอบกวนประสาทก็ตามที แต่ทว่า! มันเสี่ยงอยู่เหมือนนะ!

“ไม่ต้องตกใจหรอกน่า…ที่นี่น่ะ เวลาฝนตกไฟชอบดับบ่อย ๆ”
“แล้ว…งานของเราล่ะ! เฮ้อ…” เธอเริ่มกังวลเรื่องงานกลุ่มที่ใกล้กำหนดส่งเข้าไปทุกที

“นี่ ๆ อยู่เฉย ๆ นะวิภ” เขาตะโกนห้ามเมื่อได้ยินเสียงเธอขยับตัวกุกกัก

“เดี๋ยวก็เหยียบโมเดลพังกันพอดี ข้างหลังน่ะ เป็นกระป๋องน้ำกับสี เดี๋ยวก็ได้หกเลอะเทอะหมด” เขาดุเสียงเครียด เพราะรู้ดีกับความซุ่มซ่ามกระโดกกระเดกของเพื่อนคนนี้

“เออน่ะ! แล้วนายล่ะ กำลังทำอะไรอยู่” เธอได้ยินเสียงเขาขยับตัวเคลื่อนไหว

“เก็บชิ้นงานน่ะสิ” เศาร์คลำไปตามพื้น เก็บส่วนประกอบของโมเดลที่วางเกลื่อนอยู่ให้มารวมเป็นจุดเดียว

“เฮ้ย! ไอ้บ้า! นี่มันขาฉัน” เธอร้องลั่น!! เขาจับไปถูกขาเธอเข้าให้

เศาร์รีบชักมือกลับ “โทษที ก็มันมืดนี่หว่า…”

สักพักหนึ่งเขาเริ่มมองเห็นเธอนั่งอยู่ใกล้ ๆ เมื่อสายตาชินต่อความมืด

วิภวาขยับตัวลุกขึ้น

“จะไปไหน!” เขารีบคว้าแขนเธอไว้

วิภวาตกใจ!

“ก็…ก็…ฉันเมื่อย…จะเดินไปที่หน้าต่างน่ะ” เธอหาข้ออ้าง เพราะคงไม่ดีนักกับการนั่งอยู่ใกล้ ๆ กันในความมืดเช่นนี้

“นี่…ตามเรามา เราละกลัวเธอเหยียบอะไรพังเสียจริง ๆ” ไม่วายดุเธออีก

เธอละเบื่อเขาจริงๆ จะหยุดต่อว่าเธอ หยุดกวนประสาทเธอได้บ้างมั้ยเนี่ย!!

เศาร์ลุกขึ้น จูงมือเธอเดินไปในความมืดอย่างระมัดระวัง เขาคุ้นเคยทุกตารางนิ้วในห้องนี้ และที่สำคัญเขารู้ว่า ชิ้นงานวางอยู่ตรงไหนบ้าง

“อยู่นี่นะ เดี๋ยวเรามา อย่าเดินเผ่นพ่านล่ะ ที่นี่ผีดุนะ เดินชนผีเข้าไม่รู้ด้วย” เขาขู่แกล้งเธออีกต่างหากเพราะรู้ว่า ถึงเธอจะเก่งกล้าสามารถแค่ไหน แต่เธอก็กลัวผี แล้วปล่อยมือเธอ หันหลังเดินไป

“ดะเดี๋ยวสิ! ฉันไปด้วย” เธอคว้าชายเสื้อเขาเดินตามไปอย่างขวัญหนีดีฝ่อ

ไอ้บ้าเอ๊ย! พูดถึงทำไมเนี่ย…!! คนยิ่งกลัว ๆ อยู่ ว่าจะไม่คิดถึงแล้วเชียว

“ไม่ต้อง! ทำตัวเป็นเด็กสามขวบไปได้ เดี๋ยวก็เดินชนกันตายพอดี ห้องก็แคบแค่นี้” เขาดุแล้วสาวเท้าห่างออกไป นอกจากแกล้งให้กลัวแล้ว ยังทำเป็นไม่สนใจอีกต่างหาก

“โธ่! ทีใครทีมันนะ อย่าให้ถึงทีของฉันบ้างล่ะกัน เชอะ!” วิภวาสะบัดหน้ากลับ

ถึงจะรู้ว่าเขาแกล้งหลอกให้กลัว แต่เธอกลับกลัวจริง ๆ และเอาอุปทานเกี่ยวกับผีออกจากจิตใจไม่ได้ด้วยสิ! พยายามคิดถึงเรื่องอื่น เพราะรู้ว่า ถ้าเปลี่ยนความคิดได้ จะเลิกกลัว สายตาเพ่งมองออกไปภายนอก ลมชื้น ๆ พัดเข้ามาปะทะร่างของเธอเบา ๆ รู้สึกหนาวยะเยือก จนต้องกระชับคอเสื้อเชิ้ตของเขาที่สวมอยู่เข้าหากัน ยืนฟังเสียงฝนที่ยังตกกระหน่ำอย่างหนักอยู่ภายนอก ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดง่าย ๆ เอาซะเลย ลมพัดแรงอีกต่างหากราวกับว่าจะพัดอะไรให้ปลิดปลิวไปอย่างนั้น ได้ยินเสียงลมอื้ออึงหวีดหวิว ไม่เคยเห็นฝนตกหนักลมพัดแรงอย่างนี้มาก่อนเลย น่ากลัวจริง ๆ ฟ้าฝนสมัยนี้ รีบเอามือปิดหูแน่น เมื่อแสงสว่างวาบขึ้น แล้วตามมาด้วยเสียงฟ้าผ่าดังสนั่นหวั่นไหว

ไอ้ฝนบ้าเอ๊ย! ทำไมไม่ไปตกให้ชาวไร่ชาวนาวะ! กทม. ไม่ได้ทำไร่ทำนานะเฟ้ย!

คนทำชั่วเยอะ? คนโกงบ้านโกงเมืองเยอะหรือไง? ฟ้าผ่าได้ผ่าดีจริง ๆ เลย

พาลโกรธฟ้าฝนอีกต่างหาก ใจเริ่มกังวลว่า จะกลับหอพักยังไงดี ฝนก็ตกหนักหนาสาหัสสากันเหลือเกิน ฟ้าก็ผ่าเอา ๆ น่ากลัวชะมัด ถ้าดึกกว่านี้ รถสองแถวเข้าหอก็จะไม่มีด้วยสิ! แถมหอก็ปิดห้าทุ่มอีกต่างหาก จะให้อยู่กับเขาสองต่อสองแบบนี้ทั้งคืนก็คงไม่ดีแน่

“ป่านนี้ พ่อจะเป็นยังไงบ้างนะ” เธอคิดถึงพ่อแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันนานหลายปีแล้วก็ตาม วันที่พ่อทะเลาะกับแม่อย่างรุนแรง แล้วเดินจากเธอกับแม่ไป อย่างไม่กลับมาอีก วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกหนักมากอย่างวันนี้….

“ทำไมพ่อต้องกลัวแม่ด้วย ทำไมไม่ยอมบอกว่าพ่ออยู่ที่ไหน แม่ลืมพ่อไปตั้งนานแล้ว คงไม่ไปอาละวาดกับพ่ออีก ทำไมพ่อถึงไม่เชื่อ…” น้ำตาเริ่มซึมออกมาคลอดวงตาคู่นั้น เมื่อนึกถึงครั้งที่พ่อโทรมาหา เธอพยายามถามว่าท่านอยู่ที่ไหน แต่พ่อกลับไม่เคยบอกเลยซักครั้งเดียว วิภวารีบปัดความคิดนั้นออกไป เพราะทุกครั้งที่คิดถึงพ่อ น้ำตาทำท่าจะล้นขอบตาออกมาทุกที เธอรู้สึกขายหน้า หากหญิงเก่งอย่างเธอต้องแสดงความอ่อนแอออกมาให้เขาเห็น คงจะเสียฟอร์มน่าดูเลย

แสงสว่างเรือง ๆ สว่างวาบขึ้นตรงมุมห้องอีกด้านหนึ่ง

วิภวาหันกลับมา มองเห็นแสงสว่างจากลำเทียนที่อยู่ในมือเขา ยืนมองเขาวางเทียนตามจุดต่าง ๆ ของห้องทำให้ห้องสว่างไสวด้วยแสงสีทองของเปลวเทียน

“วิภหรี่บานเกร็ดหน่อย” เขาบอกเธอเมื่อเห็นเปลวเทียนไหวตามลมแรงที่พัดกระหน่ำรอดผ่านบานเกร็ดเข้ามา ทำท่าจะดับ
“นายเตรียมพร้อมเสมอเลยนะ เศาร์” เธอหมุนบานเกร็ด แล้วเดินกลับมานั่งที่เดิม
“อยู่แล้ว….” ชายหนุ่มยิ้มระรื่น มือหยิบพู่กันแกว่งในกระป๋องน้ำ

“ว่าแต่คิดนานไหมค่ายกลนี้” เธอแหย่พลางหัวเราะร่วน เพราะถึงนึกค่ายกลในหนังจีน แทนที่จะเป็นหนังรักโรแมนติก

“ค่ายกลไรเล่า! หยุดบ้าหนังจีนเลย มานี่เลย ทำงานเดี๋ยวนี้!” เขาตวัดสายตาดุ ๆ ขึ้นมามอง พลางหยดน้ำตาเทียนลงบนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเตี้ย ซึ่งเธอนั่งทาบแบบกระดาษแข็งอยู่ก่อนหน้านี้ แล้ววางเทียนลงบนน้ำตาเทียนนั้น

“นายเป็นคนจังหวัดไหน” วิภวาชวนเขาคุย เป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน แต่กลับยังไม่เคยซักประวัติความเป็นมาของเขาเลย
“สุโขทัยน่ะ” เขาตอบพลางแต้มสีดำลงบนชิ้นงานอย่างมีสมาธิ
“แล้วนายมีพี่น้องกี่คนล่ะ” เธอกดดินสอลากเส้นตามแบบลงบนกระดาษแข็ง
“เราเป็นคนโต มีน้องชายน้องสาวอีกอย่างละ 2 คน” เขาตอบโดยไม่ได้เงยหน้ามองเธอ สายตาจับอยู่ที่ชิ้นงานเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น
“ดีนะ คงสนุกสิ ฉันนะเป็นลูกคนเดียว เหงาจะตาย” วิภวาขยับแบบตรงที่ว่างถัดมา

“โหย…หนุกบ้าอะไร ตีกัน ทะเลาะกัน เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน เราน่ะ ปวดหัวจะตาย”

มิน่าล่ะ! เพราะเป็นลูกคนโต เขาจึงรับผิดชอบงานได้ดี และมักเป็นคนคอยดูแลเพื่อน ๆ เสมอ

“แต่มันคงดีกว่าไม่มีใครเลยนี่นา” เธอกระซิบบอกตัวเองเบา ๆ ไม่อยากให้เขารับรู้ถึงความเหงา เมื่อเธอกลับบ้านแล้วไม่เจอใครเลย

“แล้วแม่เธอทำอะไรล่ะ” วิภวาถามต่อไป
“ครอบครัวเราทำนาทำไร่ ทำสวนด้วย เราถึงได้แข็งแรงบึกบึนอย่างงี้ไงล่ะ” เขาหัวเราะร่วน ก่อนจะหยุดทำงานขึ้นมาแอ่นอก แสดงท่าทางความแข็งแรงประกอบ

เพื่อนสาวหัวเราะตามอย่างขำ ๆ ในท่าประกอบของเขา

“ว่าแต่แม่เธอล่ะ ทำอะไร เด็กเทพไม่ใช่เหรอเธอน่ะ”

“เป็นพยาบาลน่ะ ไม่ค่อยอยู่บ้านหรอก เดี๋ยวเข้าเวรเช้า ออกเวรบ่าย เข้าเวรดึก นาน ๆ เราจะกลับไปเยี่ยมแม่ซักที”

“แล้วพ่อเธอล่ะ”

“พ่อ.....”

หัวใจของเธอเหมือนถูกกระตุก เมื่อเขาถามถึงพ่อของเธอ

“พ่อ...เราเปิดร้านทำแว่นตานาฬิกาอยู่ต่างจังหวัดน่ะ” เธอหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดต่อจนจบประโยค
“เหรอ….ไม่ได้อยู่ด้วยกันเหรอ…แล้วไปเปิดอยู่ที่ไหนล่ะ” แล้วตวัดปลายพู่กันบนชิ้นงานซ้ำอีกครั้ง
“ไม่รู้…ฉันไม่รู้หรอก” พยายามบังคับน้ำเสียงให้ราบเรียบ เมื่อน้ำตาอุ่นเริ่มคลอหน่วยอีกแล้ว
“อ้าว…ไม่รู้เหรอ…ทำไมไม่รู้ล่ะ” เขาเปลี่ยนพู่กันเป็นเบอร์เล็กลง แล้วแตะสีใหม่ขึ้นมาแต้มในส่วนที่ละเอียดขึ้น

วิภวานิ่ง.... เงียบกริบ....ไม่มีคำตอบของคำถามนั้น


…..ฉัน....ไม่รู้……..

ฉันไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับพ่อ…นั่นสิ! ทำไม! ทำไมฉันถึงไม่รู้ว่าพ่อตัวเองอยู่ที่ไหน? ทำไม…ทำไมถามพ่อ…พ่อถึงเลี่ยงไม่ยอมบอก ฉัน…ฉันคงไม่ควรรับรู้ว่าพ่อของตัวเองอยู่ที่ไหน ใช่มั้ย!

เธอนั่งก้มหน้าถามตัวเองอยู่ในใจ

เศาร์เงยหน้าขึ้นมองเมื่อเห็นวิภวาเงียบไป เขาตกใจที่เห็นเธอร้องไห้ มองหยดน้ำที่รินไหลเป็นทางตามผิวแก้ม สะท้อนกับแสงเทียนเป็นประกาย

วิภวารีบยกมือปาดน้ำตา เมื่อเห็นเพื่อนหนุ่มมองมา แล้วหันหน้าหนีไปทางอื่น

“วิภ…”

“วิภ…เรา…ขอโทษ เราไม่ตั้งใจ” เขาไม่รู้จะพูดอะไรที่ดีกว่านั้น

เศาร์ลุกขึ้นเดินไปหยิบกระดาษทิชชู่มาส่งให้เธอ
“เราลืมไปว่าพ่อแม่เธอแยกกันอยู่ ขอโทษนะ” เขานั่งลงข้าง ๆ เพื่อนสาว
“ฉันไม่ได้เสียใจหรอกที่พ่อกับแม่หย่ากัน แยกกันอยู่”

เธอเงยหน้ามองเขา มองเห็นแสงเทียนวูบไหวอยู่ในดวงตาคู่นั้น รีบยกมือป้ายน้ำตาที่ไหลออกมาอีก

“พ่อแม่ฉันอยู่ด้วยกันทะเลาะกันทุกวัน ครอบครัวฉันไม่ได้มีความสุขเหมือนของนายเลย”

“อ้าว…ไม่ดีเหรอ จะได้ไม่เหงาไง” เขากระเซ้าแหย่

“นี่! อย่ากวนได้มั้ย!” เธอชักยัวะ!! สายตาจ้องหน้าเขาเขม็ง

คนกำลังเศร้านะเฟ้ย!!

เศาร์หัวเราะเบา ๆ แล้วเอาแต่นั่งจ้องหน้าเธอ

“มองอะไร! ไม่เคยเห็นคนร้องไห้หรือไง” เธอเริ่มเปลี่ยนจากอารมณ์เศร้าเป็นอารมณ์เสีย

“ไม่เคย…!” เขายักไหล่ ยิ้มอย่างกวนบาทา ลอยหน้าลอยตาอย่างกวนประสาท

“โกหก!” เธอชักโมโห “นายผิดศีลแล้วนะ”

“เอ๊…ไม่ผิดหรอก ก็เราไม่เคยเห็นคนร้องไห้ที่ชื่อวิภวา…นี่นา…จะผิดได้ยังไง”

“นายนี่! บอกว่าอย่ากวน ๆ พูดไม่รู้เรื่องหรือไง” เธอเอื้อมมือมาทุบเขาตุ้บตั้บหลายที

เขายึดมือเธอไว้ “อ๊ะ…อ๊ะ…อย่ามาป้ายขี้มูกใส่เราสิ”

เธอพยายามดึงมือตัวเองออก “ไอ้..บ้า! ปล่อยนะ”

“นี่…แล้วก็ห้ามป้ายขี้มูกกับเสื้อเรานะ เราไม่ยอมด้วย” เขาอมยิ้มแล้วปล่อยมือเธอกลับไป เดินไปนั่งลงที่เดิมมองเห็นเธอค้อนใส่เขาตาเขียวปัด

“หยุดร้องไห้แล้วก็ทำงานต่อสิ! เดี๋ยวเถอะ อู้เหรอ!” แล้วเขาก็ลงมือทำงานต่อ

วิภวามองเขาก้มหน้าก้มตาทำงาน
“ที่แท้…นายคงไม่อยากให้เราร้องไห้ ก็เลยหาเรื่องกวน โธ่! เอ๊ย! นายคงพูดปลอบใครไม่เป็นล่ะสิ” ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มน้อย ๆ แล้วหยิบดินสอขึ้นมาทำงานต่อ

เสียงฟ้ายังคำรามครืน ๆ อยู่ภายนอก ฝนซาลงบ้างแล้ว ได้ยินเพียงเสียงจ้อกแจ้ก ๆ เบา ๆ

หลอดไฟกระพริบก่อนเปิดสว่าง....ไฟมาแล้ว....

เศาร์เงยหน้าจากงานตรงหน้า เหลือบดูนาฬิกาที่ผนังห้อง ขณะนั้นบอกเวลาตี 2 วันใหม่กำลังเริ่มขึ้นแล้ว เขาหันไปมองเพื่อนสาว ส่ายหน้าแล้วลุกขึ้นดินเข้าไปหาเธอ ยืนเพ่งมองวิภวาที่ฟุ้บหน้าหลับตาพริ้มอยู่กับโต๊ะ ในมือเธอยังกำดินสอไว้อยู่ มองรูปสุดท้ายที่เธอทาบแบบมันเหยเกบิดเบี้ยว เขาเอื้อมมือไปดึงดินสอออกจากมือเธอ ทันทีที่ดินสอหลุดออกจากมือเรียวนั้น เขาสะดุ้งเมื่อเธอคว้ามือเขาไว้

“พ่อ…” เขาก้มลงตะแคงหูฟังเสียงเธอครางเรียกพ่อเบาๆ พร้อมกับมองเห็นน้ำตาระรินเอื่อย ๆ อย่างช้า ๆ

“วิภฝันร้ายหรือ…”
เขาค่อย ๆ ดึงมือตัวเองออกมา แล้วเขย่าร่างเธอเบา ๆ เพื่อปลุกเธอให้ตื่นจากฝันร้าย

“วิภ…วิภ…”

เธอค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ

“ง่วงก็ไปนอนเถอะ มา…เร็ว! ลุกขึ้น เดี๋ยวก็น้ำลายยืดรดกระดาษเป็นด่างเป็นดวงพอดี”

“แหม…นายคงไม่เคยมองฉันในแง่ดีเลยสินะ ฉันน่ะ เกิดมาสาบานได้ว่าไม่เคยนอนน้ำลายยืดน้ำลายหกนะ อย่ามาตู่กันดีกว่า นายล่ะสิเป็นบ่อย” เธอลุกขึ้นจากโต๊ะเดินตามเขาไป แต่แล้วกลับชะงักฝีเท้า

เอ…ต้องนอนห้องเดียวกันกับเขาจริง ๆ หรือนี่ รู้สึกทำใจไม่ได้ยังไงไม่รู้

“ไม่มีที่นอนนิ่ม ๆ หรอกนะ มีแต่เสื่อ หมอนก็ไม่มี เอาผ้าหนุนก็แล้วกัน” เขาจัดแจงจัดที่หลับที่นอนให้เธอ

เศาร์หันกลับมามองเพื่อนสาวที่ยืนนิ่งไม่เดินตามมา

“เป็นอะไรไป” เขาเห็นเธอเงียบผิดปกติ

“ฉันคิดว่า ฉันจะกลับหอน่ะ”

“อ้าว!! ไม่นอนด้วยกันเหรอ”

สาวน้อยขมวดคิ้วย่นยู่ยี่

“จะบ้าเหรอ! ใครจะไปนอนกับนาย” อดตวาดใส่เขาไม่ได้

เฮ้ย! พูดงี้หมายความว่าไงฟะ! ชักไม่ชอบมาพากล

“ล้อ....เล่น………” เขาลากเสียงยาว

“หอเธอน่ะ มีรถเข้ารึเปล่าตอนนี้น่ะ แล้วหอเธอปิด 5 ทุ่มไม่ใช่เหรอ” น้ำเสียงเขาราบเรียบดูเป็นงานเป็นการมาก ๆ ที่สำคัญเคยไปส่งเธอที่หอ และรู้ดีว่า หอย่านชาญเมืองกทม. ดึก ๆ รถลาไม่มี หรือมีก็ต้องยืนรอนานเป็นชาติ

วิภวานิ่งงัน มันเป็นจริงอย่างที่เขาบอก

เฮ้อ….!!

ทำไมเธอไม่รีบฝ่าฝนฝ่าฟ้าผ่าเปรี้ยงปร้างกลับไป ตั้งแต่ตอนนั้นให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยนะ! จะได้ไม่ต้องกังวลใจเหมือนตอนนี้

“ไม่ต้องกลับหรอก เราตั้งใจจะไปนอนห้องเพื่อนอยู่แล้วล่ะ นอนให้สบายนะ คืนนี้เรายกห้องให้” เขาเองก็รู้สึกเหมือนกันว่านอนห้องเดียวกันมันไม่เหมาะไม่ควรไม่งามเลยจริง ๆ

“ฉันทำให้นายลำบากหรือเปล่า” อดเป็นห่วงเขาไม่ได้

“ไม่หรอก ว่าแต่เธอเถอะ จะนอนห้องเราได้รึเปล่า เตียงก็ไม่มี หมอนก็ไม่มี ฟูกก็ไม่มี อะไร ๆ แทบไม่มีซักอย่าง” เขาลุกขึ้นเดินถอยออกมา ไปที่ตู้เก็บเสื้อผ้า

“ฉันน่ะอยู่ง่าย…กินง่าย…นอนก็ง่าย…..” เพื่อนสาวเดินไปนั่งลงกับเสื่อที่เขาปูไว้

“เอ้า! นี่ห่มซะอากาศเย็น” เขาโยนผ้าห่มให้

“โธ่! นายนี่! โยนดี ๆ หน่อยก็ไม่ได้ ลงหัวฉันทุกที!” เธอรีบดึงผ้าห่มที่โปะลงมาบนหัวออก

เศาร์หัวเราะ “นี่…นอนดี ๆ ล่ะ อย่าให้โป๊นะ”

“รู้แล้วน่ะ! แต่ถ้าเกิดโป๊ขึ้นมานายห้ามมองนะ”

“ไม่รู้ซี…แล้วแต่ว่ามันจะหันไปจ๊ะเอ๋รึเปล่า นอนดี ๆ แล้วกัน ไงถ้าโป๊เราจะมาดึงปิดให้เอง”

“บ้า! ทะลึ่ง!” เธอล้มตัวลงนอนเอาผ้าห่มคลุมโปง

“อ้าว! จะช่วยให้ไม่โป๊ยังจะว่าอีกแหนะ”

“นี่! นายน่ะหยุดกวนฉันซะที ฉันหนวกหูจะนอนแล้ว” เธอตะโกนอู้อี้อยู่ในผ้าห่ม

“คร้าบ….” เขารับเสียงยาวยืด

“ฝันดีนะวิภ ขอให้ฝันว่าพ่อมาหาเธอนะ” เขาอวยพรเป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่จะลงมือทำงานต่อ

วิภวาค่อย ๆ โผล่หน้าออกมาจากผ้าห่มช้า ๆ มองเห็นเขาก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างขะมักเขม้น

“ขอบใจ…เศาร์” เธอบอกเขาในใจ แต่แล้วก็ลุกขึ้นมานั่งต่อ นอนไม่ลงจริง ๆ ไม่กล้านอนต่อหน้าผู้ชาย ถึงแม้เขาจะเป็นคุณชายที่เป็นสุภาพบุรุษแค่ไหนก็ตาม

เพื่อนหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากชิ้นงาน มองอย่างสงสัย

“นายล่ะ ยังไม่นอนเหรอ ไปนอนได้แล้ว”

โห….มีไล่ ๆ นี่ใครเป็นเจ้าของห้องกันแน่เนี่ย….!!

“ไปก็ได้ แล้วห้ามนอนดิ้นเตะข้าวของเรากระจุยกระจายนะ” พลางแกว่งพู่กันในกระป๋องน้ำ แล้วนำมาพักไว้บนถาดพักพู่กัน อดชื่นชมเธอไม่ได้ที่ดูระมัดระวัง ถือตัวเรื่องนี้ และยังรักนวลสงวนตัวอยู่

“บ้า!! ใครจะนอนน่าเกลียดขนาดนั้นล่ะ หรือว่าตัวเองนอนอย่างนั้นประจำ เลยคิดว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนตัวเอง”

ก่อนไปยังมีหน้ามากวนประสาทอีก คนอะไร!!

“เราไม่ได้เอากุญแจห้องไปนะ ล็อคห้องดี ๆ ถ้าไม่ใช่เราห้ามเปิดสุ่มสี่สุ่มห้านะ” เพื่อนหนุ่มสั่งก่อนเดินออกจากห้อง

“ฮื่อ….รู้แล้ว” เธอพยักหน้าหงึก ๆ เดินตามไปที่ประตูห้อง เตรียมล็อคประตูลงกลอนให้เรียบร้อย


===============

แสงทองของวันใหม่ฉาบรังสีเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมสว่างขึ้น เสียงนกเล็ก ๆ คุยกันกระจุ๊กกระจิ๊กอยู่ภายนอก บรรยากาศยามเช้าสดชื่นแจ่มใส

วิภวาขยับตัวลุกขึ้นรีบสำรวจตัวเอง ถอนหายใจโล่งอกที่ทุกส่วนของร่างกายอยู่ในสภาพเรียบร้อยดี

ตื่นได้ซักพักใหญ่ได้ยินเสียงเคาะประตู เดินไปมองที่ช่องเล็ก ๆ ของประตูว่าใครมา?

พ่อคุณ! มาแต่เช้าเลย เป็นห่วงห้องจะรกกระจุยกระจายหรือไง!

“ตื่นแต่เช้าเลยนะวิภวา” เขาก้าวเท้าเข้ามา เมื่อประตูห้องเปิดออก

“แล้วนายล่ะ ทำไมรีบตื่น นอนกี่โมงล่ะ ฉันว่านายต้องนอนน้ำลายยืด อ้าปากหวอแน่ ๆ” เธอหัวเราะคิกคักที่ได้เป็นฝ่ายกวนแก้แค้นเขาบ้าง

แล้วเดินออกไปที่ระเบียงเพื่อสูดอากาศบริสุทธ์ยามเช้า

“นี่…เคยเห็นเรานอนหรือไง ไม่เห็นจริงอย่าพูดดีกว่า” เขาโวยวายขณะเดินตามเพื่อนสาวไปที่ระเบียงห้อง

“นายชอบปลูกดอกไม้เหรอ” วิภวามองเห็นกระถางดอกไม้วางอยู่เรียงราย ส่งกลิ่นหอมรวยริน โดยเฉพาะดอกไม้สีขาว มองแล้วสบายตาสบายใจรู้สึกว่ามันสวยเป็นพิเศษ
“อืม…เห็นดอกไม้แล้วมันสดชื่นดีนะ” มองเธอที่ยืนพิงกำแพงอยู่ ลมเย็นชื้นพัดผมเธอพลิ้วไหวเบา ๆ อากาศยามเช้าสดชื่นเย็นสบาย แดดใสแสนอบอุ่นเริ่มฉาบทาขอบฟ้า

เขาชะงักนิดหนึ่ง แล้วขยับเข้าไปใกล้ร่างเล็กบอบบางนั้น

“ขอโทษนะวิภ อยู่เฉย ๆ นะ”

วิภวาตกใจ!! รีบถอยตัวออกไปทางประตูแต่ถูกเขาจับไหล่ไว้

“เฉย ๆ ซี่…มดน่ะ มดอยู่บนหัวเธอ ตัวบะแอ้บเลย” เขาดึงร่างของเจ้ามดออกจากเส้นผมของเธอ
“ทางของเจ้าอยู่นี่…เจ้ามด” เธอมองเขาปล่อยมันไต่ไปตามกระถางดอกไม้
“ชีวิตนายดูมีความสุขจังเลยนะ”

เศาร์ถอยตัวห่างออกมาก้าวหนึ่ง “คนเรามีทุกข์ทั้งนั้นแหละนะ ไม่ทุกข์เรื่องนี้ก็ทุกข์เรื่องโน้น เชื่อมั้ย…ไม่มีใครไม่มีทุกข์ ไม่มีปัญหาหรอก อยู่ที่เราจะใส่ใจกับทุกข์นั้นแค่ไหนน่ะ ใส่ใจมากก็ทุกข์มาก ใส่ใจน้อยก็ทุกข์น้อยเธอก็เหมือนกันอย่าคิดมากนะ”

เธอมองเห็นความห่วงใยในสายตาเขา รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
“แล้วนายมีทุกข์อะไรล่ะ ถ้าทุกข์แล้วนายทำยังไง”

“ถ้าเราทุกข์เหรอ ก็ใช้ธรรมะของพระพุทธเจ้าไง อริยสัจ 4 น่ะ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค” เขาท้าวแขนกับขอบระเบียง

“จริงง่ะ” เธอไม่ค่อยอยากจะเชื่อ

“ไม่จริงก็ผิดศีลข้อ 4 ซี ทำไมหน้าเราไม่ให้เหรอ”

“ฮื่อ…ก็นายน่ะชอบกวนเรื่อยเลย แบบนี้เขาเรียกว่า เพ้อเจ้อ…”

“โธ่…เราก็ไม่ใช่พระอรหันต์นี่นา ก็ต้องมีหลุดกันบ้าง แต่เราก็พัฒนาขึ้นนะ เดี๋ยวนี้เราไม่พูดทะลึ่งแล้ว เห็นอ๊ะเปล่า…”

วิภวาหัวเราะ “เออๆ เห็นแล้วจ้ะ ว่าแต่ธรรมะช่วยดับทุกข์ได้จริงเหรอ”

“ได้สิ เพราะธรรมะช่วยทำให้เราเข้าใจความเป็นจริงของชีวิตได้มากขึ้น ถ้าเราตั้งใจศึกษาเรียนรู้จริง เธอลองเอามาใช้บ้างสิ” น้ำเสียงเขาอ่อนโยน

“ที่จริงเราเป็นชาวพุทธไม่ใช่เหรอ ศาสนามีไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่ทุกวันนี้ไม่รู้เขายึดเหนี่ยวจิตใจด้วยอะไรกัน เวลามีปัญหาก็แก้ผิดวิธี ไปกินเหล้าเมายามั่ง เสพยาเสพติด เที่ยวกลางคืน นั่นมันไม่ใช่วิธีแก้ที่แท้จริง มันยิ่งสร้างปัญหามาเพิ่มมากกว่า ธรรมะไม่ใช่แต่นั่งสมาธิหลับตาอย่างเดียวหรอกนะ นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่จริงธรรมะก็อยู่รอบ ๆ ตัวเรานี่แหละ ธรรมะก็คือความดีนั่นเอง เช่น ถ้าเธอไม่คืนเสื้อตัวนี้ให้เรา โดยที่เราไม่อนุญาตเธอก็เป็นคนไม่ดี ขึ้นชื่อว่า ขโมยเสื้อเรา นั่นก็คือเธอผิดศีลข้อ 2 เป็นคนไม่มีธรรมะไงล่ะ เธอมาช่วยเราทำงาน เธอมีน้ำใจ นั่นก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ที่บ้านเมืองเราไม่สงบสุขก็เพราะคนไม่มีศีลห้านี่แหละ ถ้าทุกคนมีศีลห้า ศีลก็จะนำสุขมาให้คนนั้น ถ้าศีลของใครขาดไป ความทุกข์ก็จะเริ่มแวะเวียนมาหา เดี๋ยวนี้เขาเรียกว่า กรรมติดจรวด หรือกรรมออนไลน์ไงล่ะ”

“สา…ธุ…….” เธอลากเสียงยาวหลังจากที่เขาเทศนาจบ พลางยิ้มอย่างขำ ๆ

“ธรรมะช่วยได้จริง ๆ นะ หาว่าเราพูดเล่นหรือไง เธอเองก็ลองศึกษาดูมั่งดิ”

“จ้ะ! แล้วฉันจะลองดู แต่ว่าตอนนี้ท้องฉันร้องจ๊อก ๆ แล้วล่ะ ทุกข์ก็คือ ฉันหิวแล้ว วิธีดับทุกข์ก็คือ เราต้องไปหาข้าวใส่ท้องกันแล้วล่ะ” วิภวาหัวเราะ

“งั้นอาตมาภาพจะพาโยมไปฉันเจมังสวิรัตินะ ไปมั้ย”

“นิมนต์เจ้าค่ะ ไปซี่…วันนี้ฉันจะหยุดเบียดเบียนสัตว์โลก 1 วัน ก็แล้วกันนะ หลวงพ่อ” เธอหัวเราะ แล้วเดินตามร่างสูงกลับเข้าห้อง เธอไม่อยากจะเชื่อว่าผู้ชายกวน ๆ อย่างเขาจะมีธรรมะอยู่ในใจขนาดนี้ พึ่งเคยเห็นเขาพูดจาเป็นธรรมะก็วันนี้เอง ทุกทีเขามักจะพูดจากวน ๆ ไร้สาระตลอด

แต่…เธอรู้ว่า…ในคำพูดกวน ๆ ของเขามีความห่วงใยเธอซ่อนอยู่

18-8-39
ปรับปรุงใหม่ครั้งที่1 14-9-48
ปรับปรุงใหม่ครั้งที่2 13-11-51
ปรับปรุงใหม่ครั้งที่3 17-1-53
ริเศรษฐ์



ริเศรษฐ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 มี.ค. 2555, 20:19:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 มี.ค. 2555, 20:19:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 1538





คิมหันตุ์ 2 มี.ค. 2555, 00:32:43 น.
เรื่องนี้ล้ำลึก มาก ดูจากที่ คุณนักเขียน ปรับปรุงสี่รอบ ^ ^


wane 2 มี.ค. 2555, 05:51:36 น.
น่ารักดีค่ะ


ริเศรษฐ์ 3 มี.ค. 2555, 08:24:51 น.
คุณ คิมหันตุ์
ขอบคุณมากค่ะ ปรับปรุงหลายครั้งมากค่ะ อ่านอีกทีมันคิดว่า บางเหตุการณ์ยังไม่สมเหตุสมผล เลยต้องเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงค่า...

คุณ wane
ขอบคุณนะคะ ดีใจที่ชอบค่ะ ^_^



เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account