ห้าสาวกับหกหนุ่ม
เรื่องนี้เขียนขึ้นเพราะ รู้สึกว่าการเล่นกีฬาสมัยนี้ไม่ค่อยมีน้ำใจเป็นนักกีฬากันเท่าไหร่ มีแต่การเอาชนะคะคานกันอย่างเดียว จนยกพวกมีเรื่องกันก็มี มีการเล่นพนันกันเป็นส่วนมาก ก็เลยเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยแรงบันดาลใจนี้ค่ะ

ในเรื่องนี้จะมีอยู่ 2 กลุ่มค่ะ กลุ่มห้าสาวหนอนหนังสือ กับกลุ่มหกหนุ่มนักบาส 2 กลุ่มนี้จะไม่ถูกกันค่ะ เป็นคู่อริกันมาแต่ปางไหนไม่อาจทราบได้ แต่เดิมกลุ่มหนุ่มนักบาสจะมีแค่ 5 คน ต่อมาพระเอกย้ายมาจากโรงเรียนอื่นเลยมาอยู่กลุ่มนี้ด้วย พระเอกจะเป็นคนทำให้ 2 กลุ่มนี้เป็นเพื่อนกันนั่นเอง เพราะพระเอกก็เกือบจะถูกเพื่อนเฉดหัวออกจากกลุ่มถ้าไปยุ่งกับกลุ่ม 5 สาว

เหตุการณ์ต่าง ๆ จะเป็นอย่างไร พระเอกของเราจะทำให้ 2 กลุ่มนี้เป็นเพื่อนกันได้หรือไม่ ต้องติดตามตอนต่อไปนะคะ

ถ้าชอบช่วยคอมเม้น
Tags: เรื่องสั้น

ตอน: ตอนเดียวจบ

โรงเรียนที่เงียบเหงาเมื่อตอนปิดเทอมกลับมาคึกคักอีกครั้ง เมื่อการเปิดเทอมใหม่มาถึง หลังเลิกเรียน ตามถนนหนทางต่างเต็มไปด้วยเด็กนักเรียนชายหญิงส่งเสียงเอะอะโวยวายไปตามประสา มีทั้งเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และเสียด่าทอกันอุตลุด

บริเวณป้ายรถเมล์ มีเด็กสาวกลุ่มหนึ่งยืนคุยกันเสียงขรม แม้การเปิดเทอมใหม่จะผ่านมาถึงวันสุดท้ายของสัปดาห์แล้วก็ตาม แต่คุณเธอทั้งหลายยังมีเรื่องเล่าสู่กันฟังอย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย

สีหน้าห้าสาวเปลี่ยนไปทันที เมื่อกลุ่มนักเรียนชายคู่อริเดินตรงมา ทุกคนต่างสะบัดหน้าหนี เชิดหน้าเล็กน้อย ไม่นานคุณเธอก็รีบเผ่นขึ้นรถอันตรธานหายไปตรงนั้นกันหมดราวกับว่าพวกเขามาทำให้บรรยากาศเสียกระนั้น
“โธ่โว้ย! นึกว่าตัวเองวิเศษนักหรือไงวะ” นายฉาดฉานโพล่งออกมาอย่างไม่พอใจต่อปฏิกิริยาของห้าสาว ที่ดูรังเกียจพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด
“นั่นสิ เก่งแต่เรียนแหละว้า...” นายเชิงเทียนรีบสนับสนุน
“ไอ้พวกหนอนหนังสือ เอ๊ย!” เพื่อนในกลุ่มต่างพากันพิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายห้าสาวอย่างไม่พอใจ แต่หนึ่งหนุ่มในกลุ่มกลับเงียบขรึม เขาได้แต่แอบมองหนึ่งในห้าสาว คนที่ผูกผมหางม้าด้วยโบสีขาว สวมแว่นตากลมรีกรอบสีทอง ถ้าหากไม่กลัวคำขู่ของเพื่อนว่าจะตัดเขาออกจากกลุ่ม เขาอยากจะยิ้มให้เธอเป็นการทักทายในฐานะคนรู้จักกัน แม้ดวงตาดำขลับคู่นั้นจะเมินเฉยและไม่เป็นมิตรเลยก็ตาม
“เฮ้ย! สรวง ข้าไปก่อนนะ” เชิงเทียนเพื่อนคนสนิทตบไหล่ลาสหาย หลังจากที่หลาย ๆ คนพากันขึ้นรถเมล์หายไปจากตรงนั้นกันเกือบหมด

ธัญสรวงอึกอักรับคำร่ำลาจากเพื่อนคู่หู มองเพื่อนสนิทก้าวขึ้นรถไป
“ทำไมนะ พวกเพื่อน ๆ ถึงไม่ชอบกลุ่มผู้หญิงพวกนั้น” เขาไม่แน่ใจว่ามีเหตุขัดแย้งอะไรกันระหว่างเพื่อนสองกลุ่มนี้ เนื่องจากเขาเป็นนักเรียนใหม่ย้ายมาจากที่อื่น แล้วนึกถึงวันแรกที่เขาพบเธอ คนที่ผูกผมหางม้า ด้วยโบผูกผมสีขาวในวันก่อน….

=====================

วันนั้นเขาเห็นเธอยืนรอรถเมล์อยู่ลำพัง ความรู้สึกเหมือนถูกใครคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลังจากที่เขาช่วยคนตาบอดขึ้นรถประจำทางเรียบร้อยแล้ว จึงหันไปมองบ้าง รอยยิ้มบาง ๆ ระบายอยู่ในสีหน้าเธอแว่บหนึ่ง ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นเก้ ๆ กัง ๆ แล้วจ้ำอ้าวเดินหนีไป เธอรีบร้อนจนทำปากกาหล่นโดยไม่รู้ตัว

“คุณครับ”

สีหน้าเธอบอกอาการ ตกใจที่เขาตามมา
“ของคุณตกครับ” เขายื่นปากกานั่นคืนเจ้าของ
“ขอบใจนะ” ในใจนึกชื่นชมที่เขาช่วยเหลือคนตาบอดเมื่อสักครู่ และคิดว่า คนดีมีน้ำใจในสังคมนี้ยังคงมีอยู่ น้ำใจยังไม่ได้เหือดแห้งไปเสียทีเดียว

หลังจากสนธนากันได้ครู่หนึ่ง คู่สนธนาของเขาก็โพล่งขึ้นเสียงดัง

“อะไรนะ! นายอยู่กลุ่ม five boys เหรอ”

น้ำเสียงนั้นตกอกตกใจ

“นายไปรวมหัวกับพวกบ้านั่นได้ยังไง ฉันไม่เข้าใจนายจริง ๆ งั้นเราคงเป็นเพื่อนกันไม่ได้แล้วล่ะเพราะกลุ่มฉันกับนายเป็นปฏิปักษ์กัน”
เขายังไม่ทันถามถึงสาเหตุ เธอก็รีบพรวดพลาดจากไป

====================

วันต่อมาธัญสรวงถูกต่อว่าจากเพื่อน ๆ ในกลุ่มยกใหญ่
“นี่แก เมื่อวานฉันเห็นแกยืนคุยกับยายเกรินพวกหนอนหนังสือใช่มั๊ย!” คำถามนั้นทำให้เขาอึ้งเมื่อเห็นท่าทางขึงขังของเพื่อน
“สรวงไปคุยกับยายเกรินทำไม มันเป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกเราเลยนะ แกรู้รึเปล่า” เพื่อนอีกคนสำทับราวกับเป็นเรื่องใหญ่โตทีเดียว
“ฉันขอสั่งห้ามแกไม่ให้ไปคบคุ้นกับคนพวกนั้นอีก โดยเฉพาะยัยแว่นที่ชื่อเกริน มันแหละตัวดีนักเชียวว่าพวกเราไว้เจ็บแสบมาก แกรู้มั๊ย”

เพื่อนแต่ละคนต่างรุมสวดเขาเป็นการใหญ่ จนเขาหูอื้อไปหมด และทุกคนต่างยื่นคำขาดว่าหากเขาไม่เชื่อฟัง ปฏิบัติตาม เขาจะถูกปล่อยเกาะ และถูกตัดออกจากกลุ่ม แต่ธัญสรวงกลับพยายามเป็นมิตรกับเกริน เมื่อมีโอกาสเจอกันโดยที่ต่างฝ่ายต่างไม่มีสมุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งติดตาม แต่ทว่าเกรินกลับเมินเฉยไม่มีมิตรไมตรีตอบ แถมครั้งล่าสุด นอกจากเธอจะไม่พูดกับเขาแล้ว ยังพูดกระแทกใส่หน้าเพื่อนของเขาว่า

“นี่...ดูแลสมาชิกใหม่ของนายให้ดี อย่าให้เขามาเจ๊าะแจ๊ะกับฉัน”

ดีที่เธอพูดใส่ไอ้เชิงเทียนเพื่อนสนิทของเขา ไม่งั้นเขาคงถูกเฉดหัวออกจากกลุ่มไปแล้ว แต่ก็ไม่วายโดนเพื่อนซี้เทศนากัณฑ์ใหญ่จนหูแทบชา

เหตุการณ์นั้นทำให้เขารู้ตัวว่าควรปิดปาก และไม่พูดกับเกรินอีกเลย แม้ใจหนึ่งอยากจะประสานเพื่อนทั้งสองกลุ่มให้หันหน้ามาเป็นมิตร เป็นเพื่อนกัน เลิกมีทิฐิต่อกัน แต่เขาคงต้องพักรบความคิดนั้นไว้ก่อน

=====================

การแข่งขันกีฬาสถาบันใกล้จะมาถึง บรรดาหกหนุ่มต่างได้รับคัดเลือกเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลของโรงเรียน ทุกคนในกลุ่มรักกีฬาเป็นชีวิตจิตใจ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พวกเขาคว้าแชมป์เหรียญทองบาสเก็ตบอลชายระดับม.ปลาย มาให้โรงเรียนสองปีซ้อน แต่ถ้าพูดถึงด้านวิชาการ ความเก่งกาจก็ต้องยกให้ ห้าแว่นหนอนหนังสือ บรรดาห้าสาวแว่นหนาเตอะมีวีรกรรมทำชื่อเสียงให้แก่โรงเรียนไปแข่งขันด้านความเป็นเลิศทางวิชาการ แล้วคว้ารางวัลชนะเลิศมาเป็นที่เชิดหน้าชูตาให้กับโรงเรียน ไม่แพ้ฝ่ายหนุ่ม ๆ นักกีฬาเช่นกัน

ปีนี้เป็นปีที่หนุ่ม ๆ ทั้งหกต่างฟิตซ้อมกีฬาอย่างหนักกว่าทุกปีที่ผ่านมา ความหวังสูงสุดของพวกเขาคือ เหรียญทองเท่านั้น และจะต้องคว้ามาครองเป็นสมัยที่สามให้ได้ ยิ่งกว่านั้นเกียรติและศักดิ์ศรีในการแข่งครั้งนี้คือเดิมพัน เพราะพวกเขารับคำท้าจากบรรดาห้าแว่นหนอนหนังสือ ถ้าหากแพ้จะต้องทำตามที่คุณเธอสั่งทุกประการ

===================

และแล้ววันสุดท้ายของการซ้อมก็มาถึง หกหนุ่มต่างพากันเก็บข้าวของอยู่ในห้องนักกีฬา
“เฮ้ย! พักผ่อนกันให้เต็มที่นะโว้ย วันจันทร์นี้แข่งแล้ว” นายฉาดฉานตะโกนขึ้นมาลั่นห้อง
“เออ...รู้แล้วน่ะ งานนี้ไม่มีแพ้โว้ย..” นายเชิงเทียนถอดเสื้อซ้อมกีฬาออก เปลี่ยนเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาว
“ยังไงก็อย่าประมาทนะพวก” ธัญสรวงพูดแทรกขึ้นมาพลางรูดซิบกระเป๋าให้เรียบร้อย
“อยู่แล้ว...ไปโว้ยพวกเรากลับบ้านกันดีกว่า” บรรดาหกหนุ่ม ต่างเดินคุยกันไปตามถนน ส่งเสียงหัวเราะโหวกเหวกกันไปตามเรื่อง ทำให้ถนนของโรงเรียนที่ดูเงียบเหงาครึกครื้นขึ้น

ธัญสรวงเดินแยกจากเพื่อน ๆ มาอีกทางหนึ่งไปยังหลังอาคารเรียนซึ่งเป็นที่จอดรถมอเตอร์ไซค์
“อ้าว...ว่าไงพ่อหนุ่ม พึ่งกลับรึ” เสียงลุงภารโรงใจดีทักทาย
“ครับ ลุงเองก็พึ่งกลับหรือฮะ” ชายมีอายุพยักหน้าก่อนปั่นจักรยานเก่า ๆ ของแกผ่านไป
เขาเดินไปตามถนนของโรงเรียนผ่านตึกต่าง ๆ พลางแหงนหน้ามองตึกนั้นตึกนี้ไปเรื่อยเปื่อย แล้วสายตากระทบกับสิ่งหนึ่งบนกำแพงตึกด้านขวามือ

ทำให้เขาหยุดชะงัก!!

“เกริน...”

เขามองเธออย่างงง ๆ ซึ่งกำลังไต่บันไดข้างกำแพงของตึกชั้นสามลงมาชั้นสอง ท่าทางเธอคล่องแคล่วว่องไว
“เกริน ขึ้นไปทำอะไรอยู่บนนั้น”เขาตะโกนถามเธอ
เธอหันขวับมองลงมาเบื้องล่าง สีหน้าเธอบอกอาการตกใจ รีบใช้มือข้างหนึ่งงรวบกระโปรงไว้
“แล้วนายล่ะ มายืนทำบ้าอะไรอยู่ตรงนี้ ถอยไป อย่ามองขึ้นมา” เธอตะโกนโหวกเหวกลงมา
“แล้วคุณล่ะ ทำอะไร ยังไม่เห็นบอกผมเลย” เขายังแหงนคออยู่ที่เดิม
“นี่! บอกให้ถอยไป อย่ามองขึ้นมาไม่ได้ยินหรือไง”
ธัญสรวงรีบถอยออกไปจากตรงนั้น พลางหัวเราะ
“ผมไม่เห็นอะไรหรอกน่า...”
“ถ้านายจะหุบปากนายซะ ฉันจะขอบคุณมาก” เธอตะเบ็งเสียงลงมาอย่างหัวเสีย ก่อนจะไต่ลงมาอย่างระมัดระวังไม่คล่องแคล่วอย่างเมื่อครู่ แล้วกระโดดลงมาที่กันสาดชั้นสอง
“คุณจะให้ผมช่วยอะไรมั๊ย”
“ลุงภารโรงล่ะ กลับหรือยังบอกให้แกมาเปิดประตูให้หน่อย ฉันลืมของไว้กลับมาเอา พอลงมาแกก็ปิดประตูชั้นสาม ฉันก็เลยต้องปีนลงมาชั้นสองเนี่ยแหละ” เธอยื่นหน้าจากชั้นสองตะโกนลงมา
“อ้าว! ลุงแกกลับไปแล้วสิครับ”
“อะไรนะ! กลับไปแล้วเหรอ” เกรินถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองเวลาที่ข้อมือ เวลายิ่งทำให้เธอกลุ้มหนักเข้าไปอีก หัวมันตื้อจนคิดอะไรไม่ออกเอาเสียเลย
“นี่คุณ ผมมีวิธีนะ คุณเดินเลาะกันสาดไปทางด้านหลังตึกสิ มีต้นไม้ขึ้นอยู่ด้านหลัง แล้วคุณก็ปีนข้ามมายังต้นไม้นะ แล้วก็ปีนลงมา”

เกรินเดินไปทางด้านหลังของตึกเรียนตามที่เขาบอก ธัญสรวงวิ่งตามไป เขากวาดสายตามองต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นเรียงกันเป็นแถวเป็นแนว มองหาต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขายื่นเลยเข้าไปตรงกันสาดของตึกมากที่สุด แล้วปีนขึ้นไปบนต้นไม้นั้น ไต่ไปตามกิ่งก้านสาขาที่คิดว่าแข็งแรงพอ และทอดตัวไปยังกันสาดชั้นสอง สองมือจับกิ่งไม้ด้านบนที่ดูมั่นคงแข็งแรงเอาไว้
“เกริน...ทางนี้”
เธอเดินมาหยุดตามที่เพื่อนหนุ่มบอก มองกิ่งไม้ใหญ่ซึ่งทอดกิ่งขนาดใหญ่ยื่นเข้ามาที่กันสาดของอาคารเกือบเมตรหนึ่ง ชายหนุ่มจับกิ่งไม้ด้านบนไว้อย่างมั่นคง ลดมือข้างหนึ่งที่จับกิ่งไม้ด้านบนลงมาเอื้อมมือไปรับเพื่อนสาว เกรินมองหน้าเขานิดหนึ่งเหมือนชั่งใจ ก่อนที่จะตัดสินใจส่งมือให้ เพราะเธอคงจะก้าวไปโดยไม่มีอะไรยึดเกาะไว้ไม่ได้เลย
ธัญสรวงยิ้มเล็ก ๆ แล้วดึงเธอข้ามมา แต่ทว่าเกรินรีบดึงมือตัวเองกลับ เขารั้งมือนั้นไว้
“เป็นอะไรไปอีกล่ะครับ รีบ ๆ ข้ามมาเถอะ” เขากระชับมือเธอแน่นกว่าเดิม
“นายยิ้มอะไร หัวเราะเยาะฉันใช่มั๊ย” พลางพยายามดึงมือตัวเองออกจากมือเขา
“เปล่า...ผมดีใจที่คุณรับความช่วยเหลือจากผมต่างหากล่ะ รีบข้ามมาเถอะน่า..” เขาเพิ่มแรงดึงเธอข้ามมา เพื่อนสาวก้าวขึ้นมาเหยียบบนกิ่งไม้ท่อนเดียวกันกับเพื่อนหนุ่มฝ่ายคู่อริ โดยมีเขาจูงไต่ไปตามกิ่งไม้อีก 4-5 ก้าว ถึงจะมีกิ่งไม้อื่นให้เธอยึดเกาะนอกจากเพื่อนหนุ่มที่เดินนำหน้าขณะนี้

เกรินถอนมือจากมือเพื่อนหนุ่ม เมื่อเดินถึงระยะที่มีกิ่งก้านสาขาของต้นไม้มากพอให้ยึดเกาะได้บ้างแล้ว รู้สึกเสียฟอร์มยังไงไม่รู้ที่ต้องให้คู่อริฝ่ายตรงข้ามจูงมือแบบนี้

ธัญสรวงจึงปล่อยมือเพื่อนสาว เมื่อดูแล้วค่อนข้างปลอดภัยพอสมควร ขณะกำลังไต่เข้าหาลำต้น
เดินมาได้ครู่หนึ่งเกือบถึงลำต้นแล้ว เขาต้องตกใจเมื่อได้ยินเกรินร้องเสียงหลงเมื่อมองเห็นแมลงมุมขนาดกลางเกาะอยู่เหนือกิ่งไม้ด้านบนในระยะใกล้มากด้วยความตกใจกลัวสุดขีด พลางปล่อยมือจากกิ่งไม้ด้านบนทันที เพราะแมลงมุมเป็นสัตว์ที่เธอกลัวและขยักแขยงมากที่สุดในชีวิต
เขาหันตัวกลับมามองเห็นเธอสะดุดเสียหลักเซเข้ามาหา พร้อมกับสัญชาตญาณเอามือคว้าตัวเขาเอาไว้เป็นหลักยึด มือของธัญสรวงยึดจับกิ่งไม้ด้านบนไว้แน่นขึ้นกว่าเดิมด้วยความตกใจ มืออีกข้างคว้าตัวเธอเอาไว้ตามสัญชาตญาณแห่งการปกป้อง กลัวว่าจะเธอจะพลาดตกลงไป เสียงร้องของเพื่อนสาวหัวดื้อ ทำเอาเขาใจหายใจคว่ำ เขาเสียการทรงตัวไปเล็กน้อยหลังชนกับลำต้นของต้นไม้พอดี แต่สิ่งที่ตกใจมากกว่านั้นคือสองแขนของเธอกอดเขาเอาไว้แน่นในขณะนี้ ใบหน้าซบลงกับบ่าของเขาอย่างขวัญหาย
“เกิดอะไรขึ้นครับ” ธัญสรวงคิดว่าเธอคงตกใจกลัวอะไรซักอย่าง
“มีแมลงมุมอยู่ข้างบนนั้น ไล่มันไปที” เสียงเธอสั่นเชียว
“มันไปแล้วล่ะครับ” เขามองไม่เห็นแมลงมุมตัวนั้น มันคงตกใจกลัวเธอเช่นกัน

เกรินค่อย ๆ หันไปดู มันไม่อยู่แล้วจริง ๆ ค่อยหายใจทั่วท้องหน่อย สติค่อยกลับมาดังเดิม รีบถอยห่างออกมาจากตัวเพื่อนหนุ่ม รีบละมือออกจากเอวของเขาอย่างด่วนจี๋ รีบคว้าจับกิ่งไม้ด้านบนไว้เพื่อทรงตัว รีบมองไปทางอื่นทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และสุดท้ายรีบปั้นหน้าให้เป็นปกติที่สุด

ธัญสรวงปล่อยมือจากแผ่นหลังของเพื่อนสาว เมื่อมองเห็นเธอจับกิ่งไม้ด้านบนได้อย่างมั่นคงแล้ว
เกรินพยายามปั้นสีหน้าให้ปกติไม่รู้ไม่ชี้ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย แม้จะไม่กร้าวดูมาดมั่นเหมือนทุกครั้ง แท้จริงแล้วเธอรู้สึกอายจนหน้าชาไปหมด ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าคนที่อยู่ตรงหน้า จะต่อว่าเขาเพื่อกลบเกลื่อนความอายก็พูดไม่ออก นึกไม่ออกบอกไม่ถูก สมองไม่สั่งการเอาเสียเลย นี่ฟ้าแกล้งเธอหรืออย่างไร ทั้ง ๆ ที่เรื่องการปีนป่ายต้นไม้นั้น สมัยเด็ก ๆ เธอก็ปีนป่ายได้คล่องแคล่วไม่แพ้ใครเหมือนกัน

“ไม่เป็นไรนะครับ”

เพื่อนสาวจอมหยิ่งพยักหน้า ท่าทางราวกับแม่เสือน้อยสิ้นฤทธิ์

ธัญสรวงแอบอมยิ้ม อยากจะพูดล้อเธอ แต่เปลี่ยนใจ ไม่อยากตอกย้ำซ้ำเติมเธอมากกว่านี้ แค่นี้เธอคงเสียหน้า เสียฟอร์มมากพอแล้ว เวลานี้เธอดูน่ารักน่าชังเหลือเกิน

เมื่อเกรินลงสู่พื้นดินเรียบร้อย เธอรีบยกข้อมือขึ้นมาดูเวลา
“ฉันต้องไปแล้ว ไปก่อนนะ” ขาดคำเธอรีบพรวดพลาดจากไปอย่างรีบร้อน
“เดี๋ยวเกริน!” เขาดึงมือสาวผมหางม้าไว้ “รีบจังมีนัดหรือครับ ให้ผมไปส่งนะ วันนี้ผมเอามอเตอร์ไซค์มา” พลางปล่อยมือเพื่อนสาวเมื่อเห็นเธอหยุด และสายตาจ้องมาที่มือของเขาซึ่งกำลังรั้งข้อมือเล็ก ๆ ของเธออยู่
“ไม่ต้อง! ฉันไปเองได้” หล่อนกระชากเสียงแข็งขึ้นมาทันที กลับมาเป็นสาวมั่นได้อีกครั้ง แล้วหันหลังกลับ ผมหางม้าที่รวบไว้เคลื่อนไหวตามลีลาของเจ้าของ
“กลัวแฟนเข้าใจผิดหรือไง คุณก็โกหกเขาไปก็ได้นี่ว่าผมเป็นพี่ของคุณ น้องคุณ ญาติคนไหนของคุณก็ได้” เขาตะโกนตามหลัง และเดินตามไป
เธอหันหลังกลับมา “อย่าพูดมั่ว ๆ นะ ฉันมีนัดกับใครมันก็ไม่ใช่เรื่องของนาย ใครบอกว่าฉันนัดกับแฟน!”เธอกระแทกเสียงใส่เขาอย่างโมโหที่เขามาเดาอะไรมั่วซั่วอย่างนี้
“งั้นคุณก็ให้ผมไปส่งสิ ผมหวังดีนะ ไม่อยากให้คุณไปช้าหรือผิดนัด ตอนนี้รถติดเป็นตังเมเลย ให้ผมไปส่งเถอะ”

เกรินมองดูเวลาอีกครั้ง สีหน้าเธอยุ่งเป็นยุงตีกัน

“ว่าไงล่ะ”

คำว่า “เวลา” มันบีบคั้นเธอเหลือเกิน
“ก็ได้”

ธัญสรวงพาเธอเดินไปยังที่จอดรถ แล้วพารถทะยานออกสู่ท้องถนน มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางของคนที่นั่งซ้อนท้ายอยู่ข้างหลัง


=====================

เกรินถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อกลับมาถึงบ้านก่อนที่ฝนจะตก ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าบ้าน ฝนก็เทซู่ลงมาทันที มองเวลานิดหนึ่งทันเวลาพอดีกับที่แม่เธอสั่งให้รีบกลับมาดูน้องชายคนเล็กก่อนที่แม่จะออกไปธุระข้างนอก

ธัญสรวงมองหน้าเจ้าของบ้านนิดหนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจลากลับทั้ง ๆ ที่ฝนยังตกหนักอยู่ เสียงฟ้าเสียงฝนดังเปรี้ยงป้างอยู่ข้างนอก

เกรินอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง มองคนมาส่งเธอเดินตรงไปยังประตูบ้าน “เดี๋ยว! สรวง...นายจะอยู่ที่นี่ก่อน จนฝนหยุดก็ได้นะ” ในที่สุดก็ตัดสินในเรียกเขากลับมา
ธัญสรวงหันมายิ้ม “ผมรู้....” เธอรีบพูดตัดขึ้นมาก่อน
“นายไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น นายมีสิทธิ์อยู่ได้จนฝนหยุดเท่านั้นนะ”
เขาได้แต่มองม่านฝนหนาทึบผ่านหน้าต่างออกไป ในใจภาวนาขอให้มันอย่าเพิ่งหยุดเลย

“แม่ล่ะ โช้ค” เกรินหันมาถามน้องชายที่กำลังนั่งเล่นวิดีโอเกมส์ แล้วเดินไปดูน้องชายคนเล็กที่กำลังหลับอยูที่โซฟา
“ไปแล้วฮะ”ตอบพลางกดปุ่มรัวยิงอย่างมันมือ
“อ้าว...แม่ไม่รอพี่กลับมาก่อนเหรอ”
“พอดีไอ้ตัวเล็กมันหลับ แล้วแม่ก็กลัวฝนตกแม่ก็เลยรีบออกไปก่อน แล้วแม่ก็รู้ว่าพี่รินคงกลับมาตรงเวลาเสมอแหละ”
“สรวงนั่งสิ” เกรินหันไปบอกเขา เมื่อเห็นสรวงยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ตรงหน้าประตูบ้าน
“จบเกมนี้เลิกเล่นได้แล้วนะโช้ค”
“รู้แล้วน่า...โธ่พี่ไม่น่าพูดเลย ตายเลยเห็นมั๊ย” เด็กชายบ่น แต่ก็ไม่ดื้อดึง ปิดเครื่อง ดึงแผ่นวีดีโอเกมเก็บเข้าที่ก่อนที่จะโดนบิดหู
“ใครน่ะ...แฟนพี่เหรอ” น้องชายเธอมองเพื่อนหนุ่มแปลกหน้า พลางกระซิบกระซาบถามพี่สาว แต่มันก็ดังพอที่แขกไม่ได้รับเชิญของเธอจะได้ยิน
“พูดบ้า ๆ รีบ ๆ ไปอาบน้ำทำการบ้านเดี๋ยวนี้เลย” แล้วหันไปทำหน้าดุ ๆ ใส่เขาที่นั่งอมยิ้มอยู่
“โธ่..พี่ริน ไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ ทำไมต้องโมโหด้วย” เด็กชายเดินไปที่เชิงบันไดชั้นบน พลางยิ้มให้เพื่อนหนุ่มของพี่สาว อดแปลกใจไม่ได้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พี่สาวพาเพื่อนผู้ชายมาที่บ้าน
“พี่เป็นเพื่อนกับเกรินน่ะ” ธัญสรวงยิ้มตอบ
“เอ...เราเป็นศัตรูกันมากกว่า ใช่มั๊ยครับคุณเกริน” ประโยคท้ายเขาบ่ายหน้าไปหาเธอ
“นี่ นายไม่จำเป็นต้องสาธยายให้น้องฉันฟังหรอกนะ”
“อ้าว...พี่ริน เป็นศัตรูกันเหรอครับ” โช้คเลิกคิ้วถามอย่างฉงนฉงาย
“เราแค่มีเรื่องขัดแย้งกันนิดหน่อยน่ะโช้ค”
“เอ๋...จริงรึเปล่าครับพี่ริน ยังไงก็ดีกันเถอะ พี่เป็นครูสอนผมเองนี่นา ให้รู้จักอภัย”
“เอ๊ะ ! โช้คหนิ เธอเป็นน้องพี่หรือว่าเป็นน้องของนายธัญสรวงกันแน่ ฮะ ! ไปเลยรีบขึ้นไปเดี๋ยวนี้เลย เดี๋ยวนี้!” เกรินขึ้นเสียงดังเมื่อน้องชายยอกย้อน
“รู้แล้วน่า...ผมไม่เป็น ก ข ค ร้อก…” น้องชายเธอยักคิ้วหลิ่วตากวน ๆ แล้วรีบวิ่งหนีขึ้นบันไดไปก่อนที่พี่สาวจะตามไปเขกกะโหลก

“ถามจริงกลุ่มคุณกับผมมีเรื่องขัดแย้งอะไรกัน” เขายิงคำถามที่คาใจมานาน
“ฉันก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็ไม่ชอบหน้ากันซะแล้ว” เกรินขยับแว่นนิดหนึ่ง แล้วเดินกลับมานั่งที่โซฟา มองน้องชายคนเล็กที่กำลังหลับสนิท “ว่าแต่พวกนายเหอะมั่นใจแค่ไหนว่าจะชนะในการแข่งบาสครั้งนี้ ถ้าแพ้ พวกนายก็แพ้พนันพวกเรานะ”
ธัญสรวงจ้องตาคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม “สำหรับผมแพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดา เพราะผมเล่นกีฬาด้วยใจรักและมีน้ำใจนักกีฬาพอ ที่จะยอมรับผลที่เกิดขึ้น เราตั้งใจทำเต็มที่ ทำให้ดีที่สุดก็พอแล้ว”
“นายคิดยังงั้นจริงง่ะ ที่จริงฉันไม่ชอบกีฬาหรอกนะ ไม่เห็นจะดีตรงไหน เล่นเสร็จก็ยกพวกตีกัน เสียอกเสียใจที่แพ้ ได้ยินข่าวรึเปล่าล่ะ ฉันละเบื่อ ไม่รู้เล่นกีฬากันทำไม เพื่ออะไรกันแน่! ยิ่งระดับประเทศยิ่งแล้วใหญ่ มีการพนันกันเข้ามาเกี่ยวกันอีก ทำให้คนหมดตัวไม่รู้เท่าไหร่ บางคนก็ถึงขนาดฆ่าตัวตายเลยนะ” เธอถอนหายใจอย่างระอา
“ทำไมเขาถึงอยากได้เงินพนันนี้นะ เงินบาปชัด ๆ เงินที่ได้มาจากหยาดน้ำตา ความเดือดร้อนของคนอื่น เงินนี้ทำให้คนหลายคนร้องไห้ ทำให้บ้านแตกสาแหรกขาด จนถึงทำให้คนฆ่าตัวตาย ทำไม! เขาถึงยังอยากได้เงินพวกนี้อยู่ ทำไมถึงอยากได้เงินที่คนอื่นเขาเสีย ฉันไม่เข้าใจเลย” ในแววตาของเธอมีความเศร้าและความเจ็บปวดเจืออยู่ พ่อของเธอก็เป็นหนึ่งในนั้น พ่อกับแม่ถึงต้องแยกทางกันในที่สุด
“แต่รับรองว่า พวกผมไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดแน่ เรามีน้ำใจนักกีฬากันทุกคน คุณเคยไปดูพวกเราแข่งในสองปีที่ผ่านมารึเปล่า ถึงแม้ตอนนั้นผมจะอยู่ในโรงเรียนอื่น แต่เที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้ก็ทำให้ผมรู้ว่าพวกเราไม่ได้เป็นอย่างที่คุณพูดเลย” เขาแย้งขึ้นมาทันที
“ฉันไม่เคยไปดูหรอก บอกแล้วว่าไม่ชอบกีฬา” เกรินไหวไหล่
“งั้นครั้งนี้คุณต้องไปดู แลัวคุณจะเข้าใจพวกเรา”
“แน่นอน! พวกฉันต้องไปแน่”
“ผมอยากขอร้องอะไรคุณสักอย่างหนึ่งจะได้มั้ย”
“อะไร” คิ้วเรียวภาคใต้กรอบแว่นขมวดเข้าหากัน
“ถ้าผลออกมาแพ้ ผู้แพ้ไม่ต้องการการต่อว่า ซ้ำเติม หวังว่าคุณคงไม่ใช่คนชอบซ้ำเติมคน”
“ฉันยังไม่รับปากนายหรอกนะ แต่ก็จะรับไว้พิจารณาก็แล้วกัน ฉันต้องดูท่าทีของพวกนายก่อน”
“หวังว่า...ผมคงดูคนไม่ผิด” ธัญสรวงขยับตัวลุกขึ้น
“การตั้งความหวังไม่ใช่เรื่องผิด แต่เมื่อใดที่เราตั้งความหวัง ความผิดหวังก็อาจรอเราอยู่”
“แต่ความหวัง ทำให้คนเรามีพลังที่จะไปให้ถึงจุดหมายปลายทางนะครับ” เขาเดินไปที่หน้าต่าง มองเม็ดฝนที่เริ่มซาและขาดเม็ดลง
“ก็ถูกของนายนะ แต่เราต้องรู้จักหวัง หรือฝันในสิ่งที่ไม่ไกลเกินไป” เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นด้วยกับเขา และลดน้ำเสียงแข็งกร้าวแกมเย่อหยิ่งลงบ้าง มีความเป็นกันเองมากขึ้น

“ถ้าผมหวังอยากให้พวกเราสองกลุ่มเป็นเพื่อนกันละครับ จะเป็นฝันที่ไกลเกินไปไหม” ธัญสรวงหันตัวกลับมา
“บางที...มันก็ขึ้นอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียวไม่ได้หรอกนะ นายลองกลับไปถามพรรคพวกของนายดูละกัน ว่าเขาจะลดความน่าหมั่นไส้ลงได้แค่ไหน” สีหน้าเธอปรากฏรอยยิ้มบาง ๆ

ธัญสรวงยิ้ม ความหวังที่อยากให้เพื่อนสองกลุ่มหันมาเป็นมิตรกัน หนทางที่เคยดูมืดมนมาตลอดเริ่มมีเงาของแสงสว่างรำไร พอจะเป็นจริงขึ้นมาบ้าง

====================

เสียงเชียร์ของนักเรียนทั้งสองโรงเรียนเงียบหายไปนานแล้วเหลือคนอีกไม่กี่คนที่กำลังเดินออกจากสนามบาส เหตุการณ์วุ่นวายเมื่อครู่จบลงด้วยดี หกหนุ่มค่อย ๆ เดินตรงไปยังประตูทางออก
“ดีนะ โรงเรียนที่มีเรื่องกันไม่ใช่โรงเรียนเรา” นายฉาดฉานนึกถึงเหตุการณ์ชุลมุนเมื่อครู่
“นั่นสิ! ไม่งั้นเสียชื่อตายเลย” นายเชิงเทียนสนับสนุน
“ใช่ ยัยพวกห้าแว่นหนอนหนังสือก็อยู่ ไม่งั้นมันคงเอาไปนินทาตามเคย ยัยพวกนั้นยิ่งมองพวกเราไม่มีดีอยู่” หนุ่มตาตี่พูดขึ้น
“แล้วแกเป็นไรรึเปล่าวะฉาน ข้านะเกือบโดนลูกหลงแหนะ” เชิงเทียนหันไปมองหน้าเพื่อนหนุ่มหลังร่วมขบวนการห้ามทัพนักเรียนสองโรงเรียนไม่ให้มีเรื่องกัน
“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องจิ๊บจ๊อย เฮ้ย! พวกเรามีใครโดนลูกหลงหรือเปล่าวะ มะรืนนี้แข่งรอบชิงชนะเลิศแล้วนะเว้ย! รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี”
“ข้าอยากรู้ว่ะ ถ้าพวกเราได้เหรียญทอง ยัยห้าแว่นหนอนหนังสือก็แพ้พนันเรา แล้วพวกเราจะให้มันทำอะไรดีวะ” นายตาตี่ถามขึ้นมาลอย ๆ
“ข้าว่านะ มันเรียนเก่ง ให้พวกมันช่วยติวให้พวกเราดีกว่าว่ะ เผื่อจะฉลาดขึ้นกว่าเดิม จะได้พลิกประวัติศาสตร์ตัวเองเป็นของขวัญให้แม่ก่อนจบ ม. 6” หนุ่มตัวสูงน้อยที่สุดในกลุ่มเสนอความคิดขึ้น
“เฮ้ย! อย่าฝันเฟื่องล่วงหน้าเลย ไว้ชนะจริง ๆ ค่อยคิดเหอะ แต่เอ๊....ทุกนัดที่เราแข่งยัยพวกห้าแว่นนั้นก็มาดูพวกเราแข่งทุกนัดเลยนะ เมื่อกี๊ข้ายังเห็นพวกนั้นอยู่เลย” นายฉาดฉานขมวดคิ้ว
“เราว่านะ พวกแกโกรธเคืองอะไร พวกนั้นมากมายวะน่าจะหันหน้ามาเป็นเพื่อนกันดีกว่า ไหน ๆ ก็จะจบม.6อยู่แล้ว” ธัญสรวงเสนอความคิดขึ้นมากลางวง
“แกอยากให้พวกเราเป็นมิตรกับพวกหนอนหนังสือ เพราะแกจะได้ไปจีบยัยเกรินใช่ม้า....” สิ้นเสียงนายเชิงเทียน เสียงโห่ฮาก็ดังขึ้น
“เฮ้ย! เราพูดจริงนะโว้ย พวกแกอย่าแปลี่ยนรื่องเดะ! เราอยากให้พวกเรากับเขาเป็นเพื่อนกัน มันผิดตรงไหนวะ” ท่าทางขึงขังของเขาทำให้ทุกคนนิ่งอึ้ง เพราะปกติธัญสรวงไม่เคยทำท่าทางเครียดเอาจริงเอาจังมากมายขนาดนี้ให้เห็น ที่ผ่านมาเขาเป็นเพื่อนที่ดีของทุกคน มีน้ำใจ และไม่ใช่คนชอบขึ้นเสียงใช้อารมณ์
“ก็ใช่ว่าพวกเราไม่อยากเป็นเพื่อนกับยัยพวกนั้นซะเมื่อไร่ล่ะ” ฉาดฉานรีบพูดขึ้นเพื่อคลี่คลายบรรยากาศ
“ก็ยัยห้าแว่นนั่นน่ะ ไม่ชอบขี้หน้าพวกเราจะตายไป เห็นหน้าพวกเรางี้ ก็รีบเผ่นกันหมด เห็นพวกเราเป็นตัวอะไรกันวะ คิดว่าตัวเองเรียนเก่ง ทำหยิ่ง เฮอะ! น่าหมั่นไส้มั้ยล่ะ” นายฉาดฉานสาธยายประสบการณ์ที่ผ่านมา
“ก็พวกแกชอบไปหาเรื่องพวกเค้านี่หว่า พูดกวนประสาทเขา ใครเขาจะอยากอยู่ใกล้วะ” ธัญสรวงแก้ตัวให้ห้าสาว “พวกแกน่ะ ก็ลดทิฐิหน่อยซีวะ ทำดีกับเขาก่อนเป็นไรไป ความดีเท่านั้นที่จะเอาชนะใจกันได้นะ บางทีเขาอาจช่วยพวกเราเรื่องเรียนบ้าง” ธัญสรวงวกมาสนับสนุนเหตุผลเรื่องการเรียนของเพื่อนอีกคน
“เอาเถอะในฐานะที่แกเป็นเพื่อนที่ดีของพวกเรามาตลอด ช่วยเหลือพวกเราหลาย ๆ อย่าง เอาเป็นว่า ตอนนี้พวกเราจะไม่พูดกวนยัยพวกนั้นก็แล้วกัน ไงพวกเราก็ต้องดูท่าทีพวกนั้นก่อนว่ามีปฏิกิริยาตอบโต้ที่พวกเราจะรับได้มั๊ย” นายฉาดฉานสรุปในฐานะเป็นหัวโจก หลังจากที่นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เขารู้ดีว่าการเป็นเพื่อนกันไว้ย่อมดีกว่าเป็นศัตรูกันแน่นอน

=======================

แล้ววันแข่งรอบชิงชนะเลิศบาสเก็ตบอลชาย ระดับชั้น ม. ปลาย ก็มาถึง อัฒจันทร์เชียร์แน่นถนัด เต็มเหยียดด้วยนักเรียนชายหญิงนับร้อยคน ต่างคนต่างมาเชียร์ทีมโรงเรียนของตัวเอง เสียงกรี๊ดและเสียงปรบมือดังลั่นต้อนรับนักกีฬาที่วิ่งก้าวลงสนาม ทั้งสองทีมต่างวอร์มเบา ๆ อยู่คนละฝั่ง
ในบรรดากองเชียร์นับร้อย ห้าสาวนั่งอยู่ตอนกลางของอัฒจัทร์ สายตาจับอยู่ที่นักกีฬาซึ่งกำลังโบกไม้โบกมือให้กองเชียร์ สีหน้าทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส พกพาความมั่นใจมาเต็มกระเป๋า พวกเขาอยู่ในชุดกีฬาสีฟ้าอ่อนซึ่งเป็นสีประจำโรงเรียน ตัวเลขอารบิคสีดำโดดเด่นอยู่กลางเสื้อของแต่ละคน ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ในชุดสีเขียวเข้ม
เกรินชะงักเล็กน้อยเมื่อหนึ่งในนักกีฬาเสื้อสีฟ้ายืนอยู่กลางสนามมองตรงขึ้นมายังที่เธอพอดี เธอจึงพยักหน้าเป็นกำลังใจให้ นายสรวงจึงยิ้มอย่างร่าเริง ดูมีกำลังใจเพิ่มขึ้น

“ปี๊ด.………….”

เสียงแหลมของนกหวีดดังขึ้น เป็นสัญญาณว่า นับแต่วินาทีนี้การแข่งขันกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

เสียงกองเชียร์เฮดังขึ้นเป็นพักๆ เมื่อลูกกลมๆ สีส้มเด้งกระดอนลงตาข่าย เมื่อฝ่ายโรงเรียนตนเองทำประตูได้ การแข่งขันดำเนินไปอย่างตื่นเต้นเร้าใจ เสียงกลองรัวกระหึ่มลั่นสนามอย่างครึกครื้น บรรดากองเชียร์ส่งเสียงเชียร์กันอย่างคึกคัก เชียร์กันอย่างสุดเสียงเลยทีเดียว

นักกีฬาทั้งสองฝ่ายต่างมีลีลาการเล่นคล่องแคล่วว่องไว เจนสนามด้วยกันทั้งคู่ ทีมเสื้อสีฟ้ามีการเล่นแบบทีมเวิร์คที่เหนือชั้นกว่า ตั้งรับฝ่ายตรงข้ามอย่างเหนียวแน่น ต่างกับทีมเสื้อสีเขียว ซึ่งมีการบุกแบบสายฟ้าแลบ เกมแข่งขันเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาใกล้หมดลงไปทุกที ต่างฝ่ายต่างพยายามเข้าทำคะแนนแข่งกับเวลา คะแนนบนสกอร์ทีมเสื้อสีฟ้าตามอยู่สี่คะแนน เสียงนกหวีดของกรรมการเป่าฟาวขึ้นอยู่หลายครั้ง ผู้ทำฟาวจะยกมือขึ้นหันหมายเลขให้กรรมการดูโดยอัตโนมัติ มีการปะทะกันบ้างเมื่อเข้าประชิดตัว แต่ไม่มีใครแสดงอาการไม่พอใจ ทุกคนต่างเข้าใจดีว่าต่างฝ่ายต่างไม่ได้เจตนา การกระทบกระทั่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และพร้อมจะให้อภัยเสมอ

ก่อนหมดเวลาเพียงสามนาทีธัญสรวงสามารถชู้ตลูกระยะไกลสามคะแนนได้ ทำให้แต้มห่างกันเพียงหนึ่งแต้ม ฉาดฉานเลย์อัพชู้ตลูกได้อีก ฝ่ายสีฟ้าจึงนำอยู่สามแต้มแต่ฝ่ายตรงข้ามสามารถชู้ตตามมาอีกหนึ่งลูก ในนาทีสุดท้ายเกิดการฟาวขึ้น กรรมการตัดสินให้ฝ่ายสีเขียวได้ยิงลูกโทษสองคะแนน จึงนำทีมสีฟ้าไปหนึ่งคะแนน

บรรดากองเชียร์ต่างนั่งเชียร์กันตัวโก่ง นั่งลุ้นตาไม่กระพริบ และแล้วเสียงแหลมยาวของนกหวีดก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าหมดเวลาการแข่งขัน ฝ่ายทีมสีเขียวเป็นฝ่ายชนะนำไปด้วยคะแนนเพียงคะแนนเดียว
เมื่อกรรมการทำสัญญาณมือบอกหมดเวลา นักกีฬาทั้งสองทีมต่างวิ่งมาเรียงหน้ากระดานแล้ววิ่งมาจับมือกัน ทุกคนต่างมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสร่วมยินดีกับฝ่ายชนะเลิศ ต่างถามไถ่ชื่อเสียงเรียงนามกันและกัน

บรรดากองเชียร์ต่างทยอยออกจากสนามบาสไปนานแล้ว เหลือแต่ทีมนักกีฬาชุดสีฟ้าอ่อนที่ยืนรวมกันเป็นกลุ่มมองตรงมายังอัฒจันทร์ซึ่งห้าสาวนั่งเรียงกันอยู่
พวกหล่อนลุกขึ้นเดินลงมา ฝ่ายหกหนุ่มจึงขยับตัว สองกลุ่มเดินมาเผชิญหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างมองท่าทีของฝ่ายตรงข้าม

ฉาดฉานหัวหน้าทีมตัดสินใจก้าวออกมาเผชิญหน้ากับห้าสาว นัยตาหม่นเศร้าเล็กน้อย เขาไม่เสียใจกับความพ่ายแพ้การแข่งขันและยอมรับผลที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่เขาเสียใจคือพวกเขาเป็นฝ่ายแพ้พนัน ไม่รู้จะเจอพวกหล่อนเล่นงาน สั่งให้ทำอะไร พวกหล่อนอาจจะพูดจากระทบกระเทียบ ถากถาง และตอกย้ำความพ่ายแพ้ครั้งนี้ เขามองหน้าของบรรดาฝ่ายตรงข้าม สีหน้าและแววตาของทุกคนเชิดเล็กน้อยตามแบบผู้กำชัยชนะ

“พวกเรา...แพ้แล้ว” ฉาดฉานอึดอัด กว่าจะหลุดคำพูดนั้นออกไปได้
“พวกเธอมีอะไรก็ว่ามา”น้ำเสียงของเขาฟังดูเข้มแข็งกลบความพ่ายแพ้ที่ซ่อนไว้ภายใน
เกรินยิ้มเล็กน้อยในฐานะตัวแทนฝ่ายหญิง เธอก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง
“ใช่! พวกนายแพ้”น้ำเสียงเธอยังคงเย่อหยิ่งเหมือนเคย
ธัญสรวงจ้องมองเกรินไม่วางตา หัวใจของเขาแปล๊บ...ขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินประโยคแรกจากปากเธอของเธอ นี่เขาดูคนผิดหรืออย่างไร สิ่งที่เขาเคยขอร้องเธอ เธอไม่รับพิจารณาเอาเสียเลย
“ระหว่างเรามีเรื่องราวมากมายที่ต้องสะสาง” เกรินกวาดสายตากร้าว มองฝ่ายตรงข้ามแต่ละคน ไม่หวั่นต่อสายตาทุกคู่ที่มองตรงมา แม้แต่นายธัญสรวง แววตาของเขาหม่นเศร้าบ่งบอกถึงความผิดหวังอยู่ลึกๆ เธอมองผ่านสายตาคู่นั้นไปอย่างไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด ด้วยความมั่นใจในตัวเอง
“พวกนายทำอะไรกับพวกเราไว้บ้าง จำได้มั๊ย พวกเรายังจำได้ดี ไม่ลืมง่ายๆ หรอกนะ วันที่เราท้าพนันกัน พวกนายคงจำได้ดีนะ ว่าพูดอะไรไว้” เกรินเริ่มทวงสัญญา

บรรดาหนุ่มๆ ต่างเงียบกริบ ไม่มีใครขยับปากต่อล้อต่อเถียงเหมือนที่ผ่านมา
“เราอยากรู้ ถ้าพวกนายชนะ พวกนายจะให้พวกเราทำอะไร”เกรินลดเสียงแข็งกร้าวลง
“แกนั่นแหละ พูดไปสิ” ฉาดฉานหันไปมองเพื่อนหนุ่มที่สูงน้อยที่สุดในกลุ่ม
“พวกแกเห็นด้วยกับความคิดฉันงั้นเหรอ” เขาออกจะงงๆ ไม่คิดว่าเพื่อนจะเอาจริง
“เออ...พูดไปเหอะ” เชิงเทียนสนับสนุน
หนุ่มคนนั้นหันไปมองเกริน “คือ...ฉันอยากให้พวกเธอนะ ช่วยติวให้พวกเราหน่อย”
“แล้วตกลงพวกเธอจะให้พวกเราทำอะไรกันแน่! บอกมาเลย พวกเราไม่เบี้ยวแน่” ฉาดฉานตัดบทอย่างรำคาญ

“แน่จั๊ย!” เกรินขึ้นเสียงสูง

“แน่นอนถ้าไม่เกินความสามารถของพวกเรา” นายฉาดฉานตอบชัดถ้อยชัดคำหนักแน่น
“งั้นฟังดีๆนะ ในฐานะที่พวกเราเก่งด้านวิชาการ ด้านการเรียน ฉะนั้นพวกเราไม่ขอรบกวนอะไรพวกนายมากมาย และสิ่งที่ขอก็เป็นผลดีกับพวกนายเอง พวกเราขอแค่เทอมหน้านี้ พวกนายทุกคนจะต้องทำเกรดเฉลี่ยให้ได้ 3 ขึ้นไปเท่านั้น”

หกหนุ่มพากันนิ่งอึ้ง ตะลึงไปตามๆ กัน มองหน้ากันไปมาอย่างงุนงงสุด ๆ

“อะ...อะไรนะ! พูดเล่นหรือเปล่าเกริน ฉันนะมากสุดก็ 2.5 เท่านั้น นี่จะเอาตั้ง 3 เชียวเหรอ”
“ใช่! นายฟังไม่ผิดหรอก และต้องทำให้ได้ด้วย” เกรินเน้นคำด้วยน้ำเสียงหนักๆ
“แล้วก็...ไหนๆพวกเราจะจบม.หกกันอยู่แล้ว พักหลังๆ นี่พวกนายก็ทำตัวดีขึ้น ไม่กวนพวกเราเหมือนที่ผ่านๆ มา จริงๆ แล้วพวกนายก็เป็นคนดีเหมือนกันนะ พวกเราได้ดูการแข่งขันของพวกนายทุกนัดอยากจะบอกว่า ประทับใจพวกนายมาก พวกนายเล่นเก่งมาก มีน้ำใจนักกีฬากันทุกคนเลย แม้จะมีการกระทบกระทั่งกับฝ่ายตรงข้าม พวกนายก็ไม่ถือสาให้อภัย พวกนายแข่งกีฬากันอย่างสนุกสนานไม่ซีเรียสเลย ยิ้มแย้มแจ่มใสกันดีมาก รอยยิ้มของพวกนายเวลาเล่นกีฬา มันเท่จริง ๆ เลยถึงผลจะออกมาว่าแพ้ พวกนายก็มีน้ำใจแสดงความยินดีกับฝ่ายตรงข้าม เป็นภาพที่น่าดูมากเลยนะ ฉันเพิ่งเคยเห็นกีฬาสร้างความสามัคคี ทำให้เกิดมิตรภาพระหว่างกันได้ก็วันนี้เอง ไม่ใช่เอาแต่จะชนะคะคานกัน ชิงดีชิงเด่นกันเพียงอย่างเดียวเท่านั้น พวกนายทำให้พวกเรามองเห็นมุมดีของกีฬามากขึ้น ฉะนั้นเรื่องราวระหว่างเราที่ผ่านมานั้น พวกเราก็จะเลิกจดจำมันอีกต่อไป”

นักกีฬาหนุ่มทั้งหลายต่างมองหน้ากันอย่างงงงันเป็นครั้งที่สอง แทบไม่เชื่อหูตัวเองว่าจะถูกชมจากพวกเธอได้
“เฮ้ย! สรวงข้าหูฝาดไปหรือเปล่าวะ หรือว่าฝันไป” เชิงเทียนตบไหล่เพื่อนสนิท
ธัญสรวงตบไหล่เพื่อนเข้าโครมใหญ่อย่างดีใจสุดๆ
เสียงหัวเราะต่างเฮขึ้นพร้อมกัน
“อะไรกันวะสรวงเล่นแรงๆ เจ็บนะโว้ย!”
“เรื่องจริงว่ะ เชิง แกไม่ได้ฝัน” ธัญสรวงพูดอย่างอารมณ์ดี พลางบีบจมูกกระเซ้าเพื่อนเล่นอย่างร่าเริง เขาหันไปมองเกริน เพิ่งได้เห็นรอยยิ้มที่เป็นมิตรจากสาวผูกผมหางม้าก็วันนี้เอง
“สำหรับนายเราจะติวให้เป็นพิเศษเลย” เกรินเดินเข้าไปหาหนุ่มที่เสนอความเห็นอยากให้พวกเธอเป็นติวเตอร์ให้
“เฮ้ย! ได้ไงวะ”เสียงคนอื่นๆต่างพากันร้องขึ้นมา “ทำไมติวให้มันคนเดียววะ แล้วพวกเราล่ะ”
“ก็ฉันเห็นนายนี่ดูเขาตั้งใจเรียนน่ะสิ เขาเป็นคนริเริ่มความคิดนี่นา ถ้าพวกนายอยากให้พวกเราติวให้ก็ต้องตั้งใจเรียนนะ เพราะพวกเราอยากสอนเฉพาะคนที่ตั้งใจอยากจะเรียนจริงๆ เท่านั้น”
“อยู่แล้ว...ใช่มั๊ยพวกเรา” ฉาดฉานหันไปตะโกนถามเพื่อนๆ เสียงตอบตกลงก็เฮดังขึ้นมา
“งั้นต่อไปพวกเราก็จะเป็นเพื่อนกันใช่มั้ย”นายธัญสรวงตะโกนถามขึ้นมาอีกครั้ง
เกรินยิ้ม”ถ้าพวกนายอยากจะเป็นมิตรกับพวกเรา พวกเราก็ยินดีเป็นมิตรกับพวกนายเหมือนกัน”

ธัญสรวงได้แต่อมยิ้มอย่างมีความสุข ในที่สุดความหวังของเขาก็เป็นจริง เขามองเพื่อนทั้งสองฝ่ายต่างมีรอยยิ้ม เสียงหัวเราะให้กันและกัน มันเป็นภาพที่งดงามเหลือเกิน

ห้าสาวกับหกหนุ่มพากันเดินเคียงกันไปออกจากสนามบาสเก็ตบอลอย่างเบิกบานใจ พวกเขาเพิ่งรู้วันนี้เองว่า การเป็นมิตรกันดีกว่า การเป็นศัตรูกันเป็นไหนๆ ทุกคนต่างเล่าถึงอดีตที่เคยมีเรื่องมีราวทะเลาะเบาะแว้งกัน แล้วพากันยิ้ม หัวเราะกับเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาและผ่านไปอย่างไม่มีวันหวนกลับมาอีกครั้ง

8 ก.ค. 39
7 มี.ค. 53 ปรับปรุงใหม่
ริเศรษฐ์



ริเศรษฐ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 มี.ค. 2555, 20:30:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 มี.ค. 2555, 20:30:59 น.

จำนวนการเข้าชม : 1473





ChaussonAuxPomme 15 มี.ค. 2555, 17:50:42 น.
: )


ริเศรษฐ์ 15 มี.ค. 2555, 23:18:56 น.
ขอบคุณสำหรับยิ้มสวย ๆ นะคะ ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account