ทรายร้อนอ้อนรัก
ทรายร้อนอ้อนรัก By กันต์ระพี
ตีพิมพ์สำนักพิมพ์ Be mine Publishing

นางแบบสาวสุดเหวี่ยงกับสัญญาก่อนจากไปของพ่อ ทำให้เธอต้องไปผจญภัยในดินแดนทะเลทราย ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตัวอย่างเนื้อเรื่อง

ทรายร้อนอ้อนรัก

ประพันธ์โดย...กันต์ระพี

(ตัวอย่างเนื้อเรื่อง)

“แต่งงาน!”

นิลปัทม์ นางแบบสาวพราวเสน่ห์หัวคิ้วขมวดมุ่นหันขวับมองคุณอนงค์นาถที่มีสีหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย ราวกับว่าเรื่องที่ได้ยินได้ฟังจากปากมารดานั้นเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่สุดก็ว่าได้

“จ้ะลูก แม่ผลัดทางนู้นเขามาหลายปีแล้ว อ้างว่านิลยังเล็กบ้าง ยังเรียนอยู่...”

“ก็ผลัดต่อไปเรื่อย ๆ สิคะ บอกเขาไปก็ได้ว่านิลป่วยหรือเป็นอะไรก็ได้นะคะแม่”

หญิงสาวชิงเอ่ยขึ้น รีบถลาจากจุดที่ยืนอยู่เข้าไปนั่งชิดติดมารดาบนโซฟาตัวยาว พลางเขย่าแขนอวบอูมเร่า ๆ เพราะไม่ต้องการจะเข้าประตูวิวาห์กับบุรุษต่างแดนที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน

“ไม่ได้หรอกลูก แม่เป็นผู้ใหญ่แล้ว เท่าที่บ่ายเบี่ยงมาก็เกรงใจชีคอนาซิสจะแย่อยู่แล้ว”

“ทำไมต้องเกรงใจด้วยล่ะค่ะ เขาต่างหากที่ควรจะเป็นฝ่ายเกรงใจเรา ถ้าไม่เป็นเพราะพ่อของเขา คุณพ่อก็คงไม่จากเราไป” นิลปัทม์เอ่ยเสียงเครียด

ห้าปีที่แล้วในวันเกิดของนิลปัทม์ ชีคโอมานบิดาของชีคอนาซิสได้โทรศัพท์สายตรงมาจากอัลไบจาห์ แจ้งว่าคุณดำรงบิดาของหล่อนเสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ทำให้หล่อนช็อกจนหมดสติ ฟื้นขึ้นมาก็ร้องไห้ฟูมฟายน้ำตาแทบเป็นสายเลือด กว่าหญิงสาวจะทำใจได้ก็ต้องใช้เวลาอยู่นาน

ถึงแม้ว่าชีคโอมานจะชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นให้กับครอบครัวหล่อนด้วยเงินจำนวนสูงลิ่ว ทำให้ฐานะทางบ้านดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา เพราะบิดาของหล่อนไม่ได้เป็นเพียงแค่บอดี้การ์ดส่วนตัว หากแต่เป็นเพื่อนสนิทที่รักใคร่และรู้ใจกันมากที่สุด ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ชีคโอมานยังศึกษาในมหาวิทยาลัยที่อังกฤษ

แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้นิลปัทม์รู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย เพราะการสูญเสียบิดาเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ มันทำให้หล่อนเกลียดดินแดนตะวันออกกลางอย่างฝังใจ และสาบานว่าจะไม่เฉียดกายเข้าใกล้ เพราะเกลียดกลัวความโหดร้ายป่าเถื่อนที่พร่าผลาญทำลายล้างและพรากสิ่งที่หล่อนรัก

“ไม่เอาน่านิล ลูกก็รู้ว่าคุณพ่อเป็นบอดี้การ์ด มีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองคนที่อยู่ในความดูแลอารักขา ลูกควรจะภูมิใจ ที่คุณพ่อทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดีจนถึงวินาทีสุดท้าย ไม่ใช่ไปโทษพวกเขา” คุณอนงค์นาถรั้งตัวบุตรสาวเข้ามากอด พลางยกมือลูบเรือนผมสลวยอย่างแผ่วเบา ทำให้คนที่อยู่ในอ้อมแขนต้องช้อนตาขึ้นมอง

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ หนูก็ยังไม่ชอบใจอยู่ดี”

“เรื่องก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว อย่าไปคิดถึงมันอีกเลย ตอนนี้มาพูดเรื่องที่คุณพ่อรับปากชีคโอมานว่าจะยกหนูให้แต่งงานกับลูกชายเขากันดีกว่า นิลจะเลื่อนหรือจะเอายังไงก็ว่ามา แม่จะได้โทรไปบอกเขา”

“นิลไม่เลื่อนหรอกค่ะ แต่ไม่แต่ง!”

“ไม่ได้นะลูก ขืนทำอย่างนั้นเดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ นิลก็รู้นี่นาว่าทางนู้นเขามีอิทธิพลพอตัว ดีไม่ดีเรานั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายเดือดร้อน”

“เฮ้อ! เกลียดพวกชอบกร่างวางอำนาจเสียจริง ๆ อีตาชีคบ้านั่นก็ไม่รู้จะยืดมั่นถือมั่นอะไรนักหนา นี่ก็ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดแล้ว มีใครเขาคลุมถุงชนกันบ้าง สงสัยคงจะแก่หงำเหงือกหาเมียไม่ได้ล่ะสิท่า ถึงได้ตั้งหน้าตั้งตารออยู่ได้” นิลปัทม์เบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอดมารดา ชักหน้าง้ำ บ่นกระปอดกระแปด ทำให้คุณอนงค์นาถต้องรีบแก้ตัวแทนชีคหนุ่ม

“ใครว่ากัน ชีคอนาซิสยังหนุ่มอยู่เลยนะลูก แก่กว่านิลแค่ห้าหกปีเท่านั้นเอง ตอนที่รับตำแหน่งประธานบริษัทโอมานออยล์แทนพ่อเขาที่ตาย รู้สึกว่าอายุจะประมาณยี่สิบเจ็ดหรือยี่สิบแปดนี่แหละ ผ่านมาสองปีแล้วก็คงจะเกือบ ๆ สามสิบแล้วละมั้ง”

“ยี้...ยังไงก็แก่อยู่ดีนั่นแหละค่ะ แม่บอกเขาไปเถอะค่ะว่าให้หาเมียแขกแต่งไปได้เลย ไม่ต้องมายึดติดกับสัญญาของคนตายหรอก ยังไงนิลก็ไม่แต่งกับเขาแน่” นิลปัทม์ค่อนพลางเบ้ปาก ทำให้คุณอนงค์นาถมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก

“ไม่ได้นะลูก ทำแบบนั้นเขาจะยิ่งโกรธ”

“ก็ช่างปะไร นิลไม่สนหรอก”

“นิล...อย่าทำแบบนี้สิลูก แม่ไม่สบายใจเลย”

“ก็ได้ค่ะ เพื่อความสบายใจของแม่ งั้นบอกเขาไปก็แล้วกันค่ะว่านิลขอเลื่อนไปอีกสักห้าสิบปีก็แล้วกัน ถึงเวลานั้นถ้าเขาไม่ด่วนลงโลงไปเสียก่อน นิลจะรีบจัดกระเป๋าบินไปแต่งงานกับเขาถึงอัลไบจาห์เลย” หญิงสาวเอ่ยยิ้ม ๆ แล้วฉวยกระเป๋าสะพายขึ้นคล้องไหล่ทำท่าจะก้าวออกจากคฤหาสน์ เมื่อเหลือบมองเวลาแล้วเห็นว่าจวนเจียนจะถึงเวลานัดกับช่างภาพที่สตูดิโอ ทำให้คุณอนงค์นาถต้องร้องถาม

“อ้าว! แล้วนั่นจะออกไปไหนล่ะลูก”

“นิลมีนัดถ่ายแบบตอนบ่ายค่ะแม่ ไปก่อนนะคะ แล้วค่ำ ๆ ค่อยเจอกัน”

นิลปัทม์หันมาเอ่ยพลางโบกไม้โบกมือให้มารดา ก่อนจะก้าวขึ้นรถสปอร์ตสีแดงเพลิงที่จอดเทียบอยู่หน้าคฤหาสน์ ทันทีที่สตาร์ทรถได้ก็เหยียบคันเร่งออกตัวพุ่งฉิว โดยปล่อยให้คุณอนงค์นาถนั่งถอนหายใจ มองภาพถ่ายสามีที่แขวนอยู่บนผนังพลางรำพึงรำพันออกมาเบา ๆ

“คุณคะ ฉันจะทำยังไงกับลูกสาวหัวดื้อของเราดี...”



นิลปัทม์เหยียบห้ามล้อแทบไม่ทัน เมื่อลีมูซีนสีดำสนิทวิ่งสวนเข้ามาในจังหวะกำลังจะหักพวงมาลัยเลี้ยวออกจากประตูเพื่อมุ่งสู่ถนนสายหลัก หันมองคนขับพลางนึกค่อนว่าขับรถไม่ดูตาม้าตาเรือ แต่ก็ไม่เห็นอะไร นอกจากความดำมืดของฟิล์มกรองแสง แรกทีเดียวตั้งใจจะลงไปปะฉะดะให้แหลกกันไปข้าง แต่เมื่อเหลือบมองเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือก็เปลี่ยนใจ เบนหัวรถสปอร์ตสู่ท้องถนนใหญ่เพื่อตรงไปยังสตูดิโอถ่ายภาพ

ภายในรถลีมูซีนร่างสูงใหญ่ของบุรุษหน้าตาคมคายที่นั่งอยู่ตอนหลังในอิริยาบถสบาย ๆ มีอันต้องไหวเอนไปด้านหน้าเล็กน้อย เมื่อพลขับเคลื่อนพาหนะคันยาวผ่านประตูคฤหาสน์เข้ามา เสียงห้ามล้อในระยะกระชั้นชิด ทำให้ต้องหันมองรถคู่กรณีผ่านบานกระจกติดฟิล์มกรองแสงที่บุคคลภายนอกไม่สามารถมองทะลุเข้ามาด้านในได้ พลางคิดไปว่าถ้าอีกฝ่ายไม่เหยียบเบรกตัวโก่งก็คงจะปะทะกันโครมใหญ่ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่รถสปอร์ตสีแดงเพลิงเคลื่อนตัวสวนผ่าน ทำให้เห็นใบหน้าของคนขับอย่างชัดเจน

ดวงหน้านวลเนียนเจือเลือดฝาดสีระเรื่อที่ล้อมกรอบด้วยเรือนผมสลวยหยิกเป็นลอนสยายแลโดดเด่นชวนมองไม่รู้เบื่อ โดยเฉพาะนัยน์ตากลมโตดำขลับแฝงแววมุ่งมั่นทอประกายเจิดจรัส ราวกับจะประกาศว่าตนนั้นหยิ่งทระนงอย่างคนมีดีอยู่ในตัว รับกับจมูกโด่งเชิดรั้นบ่งบอกนิสัยและริมฝีปากรูปกระจับที่เจ้าตัวมักจะหยักยิ้มน้อย ๆ เสมือนหนึ่งจะบอกกับทุกบุรุษว่าไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่คิดจะปราบพยศหล่อน!

นิลปัทม์ ศุภดำรงฤทธิ์ นางแบบสาวชื่อดัง บุตรสาวเพียงคนเดียวของคุณอนงค์นาถ

เพียงแค่มองแวบเดียว ชายหนุ่มก็จดจำรายละเอียดเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี โดยไม่จำเป็นต้องเหลียวหลังมองซ้ำให้เสียเวลา เพราะเขานั่งมองภาพถ่ายหญิงสาวในกรอบรูปไม้แกะสักบนโต๊ะตัวเล็กข้างเตียงนอนอยู่ทุกวันจนเป็นความเคยชิน ก็ได้แต่รอคอยว่าเมื่อไหร่หล่อนจะปฏิบัติตามคำของบิดา แต่ก็ได้รับการบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด

ห้าปีสำหรับการรอคอย แม้จะแกล้งลืมไปบ้าง แต่ก็ยังนานไปสำหรับเขา ทั้งที่เมื่อแรกนั้นคิดจะปล่อยหญิงสาวไปสักระยะก่อน เพราะเขาเองก็ยังอยากจะสนุกกับชีวิตโสด แต่เมื่ออายุล่วงมาจะเข้าเลขสาม เพื่อนฝูงที่เคยร่วมวงครื้นเครงต่างก็แยกย้ายกันไปมีครอบครัว ทำให้คิดได้ว่ามันคงถึงเวลาแล้วที่ควรจะลงหลักปักฐานกับผู้หญิงสักคนอย่างจริงจังเสียที จึงได้รุดมาทวงสัญญาที่บิดาของหญิงสาวได้ลั่นวาจาไว้

ทันทีที่ลีมูซีนคันยาวจอดเทียบหน้าคฤหาสน์ ร่างสูงใหญ่ในชุดสูทตามสมัยก้าวลงจากรถ เมื่อบอดี้การ์ดส่วนตัวหนึ่งในสองวิ่งลงมาเปิดประตู รัศมีที่ทาบทับกับการแต่งตัวที่เนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้านั้นบ่งบอกว่าเขาไม่ใช่แค่ผู้ชายธรรมดา ๆ หากแต่เป็นบุคคลสำคัญที่มีอำนาจอยู่ในมือ ทำให้สาวใช้ประจำคฤหาสน์ที่กุลีกุจอออกมาต้อนรับรีบผายมือเชื้อเชิญชายหนุ่มให้ก้าวเข้าไปด้านใน

“สวัสดีครับ คุณอาอนงค์นาถใช่ไหมครับ”

ผู้มาเยือนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มในภาษาของเจ้าบ้าน ซึ่งเป็นผลมาจากการเชื้อสายทางมารดาที่เป็นคนไทย อีกทั้งยังทำธุรกิจการค้าอัญมณีและน้ำมันร่วมกับคนไทยมานานหลายปี จึงมีความชำนาญด้านการภาษาเป็นอย่างดี

“ค่ะ คุณคือ...”

คุณอนงค์นาถหันมองผู้มาเยือนด้วยสีหน้าฉงน แม้จะไม่คุ้นตา แต่ก็อดที่จะนึกชมในใจไม่ได้ว่าคนตรงหน้านั้นมีใบหน้าหล่อเหลาคมคายราวกับรูปสลัก ภายใต้ท่าทีสุภาพที่แฝงไว้ด้วยความสุขุมเยือกเย็น ดวงตาคมเข้มแลอ่อนโยนคู่นั้นกลับส่งบุคลิกโดดเด่นให้มีเสน่ห์ชวนมองและน่าเกรงขามไปในตัว เพียงแค่มองแวบเดียวนางก็รับรู้ว่าผู้ชายคนนี้มีลักษณะของความเป็นผู้นำสูง และคงจะเคยชินกับการออกคำสั่งคนเป็นจำนวนมาก

“ผมอนาซิส บินโอมาน ฟาร์อิด ลูกชายของชีคโอมานครับ”

“ชีคอนาซิส!”

เจ้าของคฤหาสน์อุทานชื่อเขาออกมาปากคอสั่น เมื่อได้ยินคนตรงหน้าเอ่ยแนะนำตัว คิดไม่ถึงว่าคนที่เพิ่งจะพูดคุยกันทางโทรศัพท์เมื่อสองสามวันก่อน จะใจร้อนรีบบินมาเอาคำตอบถึงที่นี่ ทำให้อึกอักขึ้นมาในทันที

“เออ...คือ...ยัยนิลไม่อยู่หรอกค่ะ”

“ครับ ผมทราบแล้ว เพิ่งจะสวนกับเธอเมื่อสักครู่”

ชีคหนุ่มเอ่ยเรียบ ๆ พลางมองสำรวจไปโดยรอบ ก็พบว่านอกจากรูปคุณดำรงที่แขวนเด่นเป็นสง่าอยู่บนผนังด้านหนึ่ง ตามโต๊ะหรือหลังตู้โชว์ต่างก็ตั้งวางรูปของหญิงสาวที่เจ้าของคฤหาสน์เอ่ยถึงในอิริยาบถต่าง ๆ

“นั่งก่อนสิคะชีค” ถึงแม้คุณอนงค์นาถจะมีสีหน้าไม่ดีนัก แต่ก็ฝืนคลี่ยิ้มบาง ๆ พลางเอ่ยเชื้อเชิญ

“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย พลางหันไปคว้ากรอบรูปไม้บนโต๊ะตัวเล็กข้างโซฟามาถือไว้ในมือ ใช้ปลายนิ้วไล้แผ่วเบาไปบนภาพของหญิงสาวแล้วเอ่ยปากถามขึ้น

“ปีนี้คุณนิลปัทม์อายุเท่าไหร่แล้วครับ”

“ยี่สิบสี่แล้วค่ะ”

“ก็ไม่เด็กแล้วสินะครับ และก็คงจะเรียนจบแล้วด้วย”

แม้ถ้อยคำนั้นจะราบเรียบ แต่ก็สื่อความหมายไปในทางดักคอ ซึ่งคนฟังก็เข้าใจได้เป็นอย่างดี แต่จะให้นางตอบออกไปได้อย่างไร ว่าบุตรสาวหัวดื้อขอเลื่อนเวลาออกไปอีกห้าสิบปี คุณอนงค์นาถจึงลำบากใจอยู่ไม่น้อย เพราะทราบดีว่าถ้าเอ่ยออกไปแบบนั้นมีหวังได้แตกหัก แต่ถึงกระนั้นก็พยายามชี้แจงออกไป ด้วยหวังว่าคนตรงหน้าจะรับฟัง

“คือ...เรื่องนั้นอาเข้าใจดีค่ะ แต่ยัยนิลแกหัวดื้อและก็รั้นด้วย นี่อาก็พยายามเกลี่ยกล่อมอยู่ แต่แกก็ไม่ยอมท่าเดียว อาเองก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน”

“ผมทราบครับว่าคุณนิลปัทม์เป็นคนเอาแต่ใจตัว ความจริงก็ไม่ได้อยากจะเร่งรัดอะไรนัก แต่ถ้าขืนปล่อยไปแบบนี้เรื่อย ๆ แล้วเมื่อไหร่คุณอาดำรงกับคุณพ่อของผมจะได้นอนตายตาหลับเสียที” คำพูดของชายหนุ่มทำให้คนฟังนิ่งไปชั่วขณะ สีหน้ามีกังวลอย่างเห็นได้ชัด เพราะรู้สึกไม่แตกต่างไปจากชีคหนุ่ม ทำให้คนรอจังหวะอยู่ชิงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“เอาเป็นว่าถ้าคุณอาลำบากใจ ก็ปล่อยเรื่องนี้ให้ผมจัดการเองจะดีกว่า ผมสัญญาครับว่าจะดูแลคุณนิลปัทม์เป็นอย่างดี เธอจะไม่มีวันเสียใจที่แต่งงานกับผม”

คุณอนงค์นาถครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าตอบรับ เพราะเห็นว่านิลปัทม์ก็อยู่ในวัยที่สมควรจะมีคู่ครองได้แล้ว จึงอยากจะให้เป็นฝั่งเป็นฝาเสียที นางเองก็คงจะสบายใจขึ้นอีกมากโข หากได้ชายผู้นี้มารับช่วงต่อดูแลบุตรสาวหัวดื้อแทน ทำให้คนรอคำตอบคลี่ยิ้มออกมาเต็มใบหน้า ดวงตาคมเข้มทอแสงเจิดจรัส ขณะเลื่อนมันมาหยุดที่ภาพถ่ายในมือ พลางบอกกับตัวเองว่าการรอคอยของเขากำลังจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า...



ที่สตูดิโอถ่ายภาพ นิลปัทม์โพ้สท่าถ่ายภาพคู่กับแดนไทยนายแบบหนุ่มมาดเซอร์ ถึงแม้จะเคยร่วมงานกับเพื่อนรุ่นพี่คนนี้มาหลายครั้ง แต่ก็คงไม่มีครั้งไหนจะทำให้อึดอัดใจได้มากเท่าครั้งนี้ เพราะเขาทำท่าราวกับหล่อนเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ปรารถนา ทั้งสบตาซึ้ง โอบกอดไม่ได้ห่างให้ตรงตามคอนเซ็ปคู่รัก เพื่อให้ช่างภาพเก็บภาพหวาน ๆ ในอิริยาบถต่าง ๆ ก่อนจะนำไปขึ้นปกนิตยสารรายปักษ์ชื่อดังฉบับหนึ่ง

“อย่าเกร็งสิครับคุณนิล ครับ...ดีครับ อย่างนั้นละครับ อีกภาพนะครับ โอเคครับ”

สิ้นเสียงลั่นชัตเตอร์ นิลปัทม์ก็เบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนของชายหนุ่มทันที ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าแดนไทยนั้นมีใจให้ แต่หล่อนไม่ชอบผู้ชายมือไวนิสัยเจ้าชู้ จึงตั้งใจว่าถ้าคราวหน้าต้องร่วมงานกับเขาอีกก็จะหาทางหลบเลี่ยง

“ขอบคุณนะครับคุณนิลปัทม์ คุณแดนไทย หวังว่าโอกาสหน้าเราจะได้ร่วมงานกันอีกนะครับ”

“ค่ะ”

“ยินดีครับ”

คล้อยหลังช่างภาพ นิลปัทม์ขยับตัวตั้งท่าจะเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องแต่งตัว แต่นายแบบหนุ่มกลับรั้งลำแขนเรียวไว้ สายตาจิก ๆ ที่หันมามองการกระทำของเขา ส่งผลให้ชายหนุ่มต้องรีบคลายมือออก ก่อนจะเอ่ยถามออกไปไม่เต็มเสียงนัก

“เสร็จจากนี่ น้องนิลรับงานไว้ที่ไหนอีกหรือเปล่าครับ”

“ไม่ได้รับหรอกค่ะ และก็ไม่คิดจะไปไหนด้วย ขอตัวนะคะ” นิลปัทม์เอ่ยเรียบ ๆ แต่ความหมายในเชิงดักคอเหมือนรู้เท่าทันความคิดของคนถาม กลับทำให้ชายหนุ่มหน้าเจื่อนไปในทันที ไม่กล้าเอ่ยปากเซ้าซี้อะไรอีก จำต้องปล่อยหญิงสาวให้เดินแยกออกมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องแต่งตัว

หลังเสร็จสิ้นภารกิจถ่ายแบบ นิลปัทม์ก็บึ่งรถจากสตูดิโอถ่ายภาพกลับบ้านพัก แต่ด้วยสภาพการจราจรที่แออัด กว่ารถสปอร์ตสีแดงเพลิงจะมาจอดเทียบหน้าคฤหาสน์เวลาก็เลยล่วงมาในช่วงค่ำ สาวใช้ร่างเล็กรีบวิ่งหน้าตื่นเข้ามาหา ทันทีที่เห็นเจ้านายสาวก้าวลงจากรถ

“คุณนิลคะ! คุณนิล! เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ”

น้ำเสียงร้อนรนที่ตะโกนลั่นคฤหาสน์ทำให้คนที่เพิ่งก้าวลงจากรถต้องหันมองด้วยความฉงน แต่ยังไม่ทันทีที่จะเอ่ยปากสอบถาม สาวใช้ร่างเล็กก็ไขข้อสงสัยออกมาเสียก่อน

“แย่แล้วล่ะค่ะคุณนิล คุณผู้หญิงถูกจับตัวไป”

“อะไรนะ! คุณแม่ถูกจับตัวไปอย่างนั้นเหรอ มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่มีใครโทรบอกฉัน แล้วนี่แจ้งตำรวจหรือยัง” นิลปัทม์หน้าเสีย รัวลิ้นถามไม่ได้หยุดราวกับคนประสาทรั่ว เพราะไม่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้นกับมารดา ทั้งที่ท่านก็อยู่แต่ภายในบ้านไม่ได้ออกไปไหน

“ยังค่ะ พวกมันขู่ว่าถ้าเรื่องถึงตำรวจจะฆ่าคุณผู้หญิงให้ตาย ดิฉันก็เลยไม่กล้า”

“คุณแม่ คุณแม่ขา...” เพียงแค่ฟังถ้อยคำจากปากสาวใช้ นิลปัทม์ก็ใจจะขาดเสียให้ได้ น้ำตารื้นสะอื้นไห้ออกมาตัวโยน สองขาที่ยืนหยัดก็อ่อนแรงลงไปกว่าครึ่ง จึงมีอาการเซซวน

“คุณนิล!”

สาวใช้ร่างเล็กร้องเรียกเสียงหลง หน้าตื่น เมื่อเห็นเจ้านายสาวทำท่าจะทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น จึงรีบพุ่งตัวเข้าไปรับก่อนจะร้องแรกแหกกระเชอเรียกคนในบ้านเสียงลั่น

“มีใครอยู่บ้าง! ออกมาช่วยกันหน่อยเร็ว! คุณนิลเป็นลม! เร็ว ๆ เข้า!”

เสียงตะโกนที่ดังก้อง ทำให้บรรดาสาวใช้ต่างพากันแตกตื่นวิ่งมารวมตัวกันที่หน้าคฤหาสน์ ก่อนจะเฮโลกันเข้าพยุงร่างเจ้านายสาวให้เข้ามานอนพักบนโซฟาตัวยาวภายในห้องโถง แล้วกุลีกุจอจัดแจงหายาดมยาหม่องมาปฐมพยาบาลเบื้องต้น ผ่านไปได้สักพักนิลปัทม์ก็มีอาการดีขึ้น

“คุณแม่...”

เสียงครางผะแผ่วที่หลุดจากเรียวปากบาง ก่อนที่หญิงสาวจะลุกพรวดพราดขึ้นเมื่อได้สติ ทำให้บรรดาสาวใช้ที่นั่งหน้าแป้นรายล้อมอยู่รอบกายต้องรั้งร่างบางไว้ พลางเอ่ยปรามเสียงระงม

“นอนพักก่อนเถอะค่ะคุณนิล อย่าเพิ่งลุกเลย”

“นั่นน่ะสิคะ หน้าคุณนิลยังซีดอยู่เลย เดี๋ยวจะเป็นลมไปอีก”

“ปล่อย! ฉันจะไปช่วยคุณแม่”

นิลปัทม์เอ่ยพลางตวัดสายตากร้าวกวาดมองบรรดาสาวใช้ ทำให้ทุกคนต่างกลัวกันหัวหดไม่กล้ารั้งนายสาวไว้ จะมีก็แต่สาวใช้ร่างเล็กผู้แจ้งเหตุเท่านั้นที่ลุกพรวดพราดขึ้นขวางทาง

“คุณนิลตามไปตอนนี้ก็ไม่ทันหรอกค่ะ ดิฉันว่าคุณนอนพักเอาแรงก่อนเถอะ”

“เธอพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง? รู้อะไรก็รีบบอกฉันมา หรือว่าเธอเป็นพวกเดียวกับมัน” นิลปัทม์กระชากเสียงถาม พลางตวัดสายตากร้าวมองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ ทำให้สาวใช้ร่างเล็กต้องรีบปฏิเสธลิ้นรัว

“เปล่าค่ะ อย่าเข้าใจผิดสิคะ ดิฉันไม่รู้ไม่เห็นอะไรด้วย”

“ถ้าไม่รู้ไม่เห็นจริง แล้วเธอรู้ได้ยังไงว่าฉันจะตามไปช่วยคุณแม่ไม่ทัน”

“ก็พวกนั้นสั่งไว้ว่าถ้าคุณนิลอยากได้ตัวคุณผู้หญิงคืนก็ให้ตามไปอัลไบจาห์ ดิฉันก็เลยคิดว่า...”

“เอาล่ะ ฉันเข้าใจแล้ว ไม่ต้องอธิบายอะไรอีก ต่างคนต่างย้ายแยกกันไปพักผ่อนได้แล้วไป ฉันอยากอยู่เงียบ ๆ คนเดียวสักครู่” นิลปัทม์ชิงเอ่ยขึ้นก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวยาวเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง ครุ่นคิดไปต่าง ๆ นานา แต่ก็เหมือนว่าจะมืดแปดด้าน จนกระทั่งชื่อหนึ่งผุดขึ้นมาในความคิด

ชีคอนาซิส...

เพียงแค่นึกถึงนักธุรกิจหนุ่มเจ้าของบ่อน้ำมัน ซึ่งเป็นผู้ทรงอิทธิพลในแถบตะวันออกกลาง หญิงสาวก็รีบลุกพรวดพราดวิ่งขึ้นบันไดสีงาช้างที่ทอดยาวลงมาจรดผืนพรมกลางห้องโถง ตรงไปห้องนอนที่อยู่ชั้นสองของตัวคฤหาสน์ กระชากกระเป๋าเดินทางออกจากตู้เสื้อผ้าได้ ก็จัดแจงโยนข้าวของเครื่องใช้จำเป็นใส่เข้าไปในนั้น ก่อนจะปิดกระเป๋าแล้วลากมันไปยัดใส่ท้ายรถขับตรงไปสนามบิน

นิลปัทม์ลืมความโกรธเกลียดที่มีต่อผืนทรายไปเสียสนิท เวลานี้ในหัวของหญิงสาวมีแต่เรื่องของมารดาอยู่เต็มไปหมด นึกกังวลและเป็นห่วง เกรงว่าท่านจะได้รับภยันตรายต่าง ๆ นานา จึงไม่ได้เอะใจเลยสักนิดว่าสาวใช้แต่ละคนไม่ได้มีสีหน้าท่าทางเป็นกังวลหรือหวาดวิตกเลยแม้แต่น้อยที่ประมุขของบ้านถูกคนร้ายจับตัวไป



นกเหล็กลำใหญ่ที่ทะยานขึ้นเหนือน่านฟ้าร่อนลงจอดบนรันเวย์ท่าอากาศยานอัลไบจาห์ในเวลาบ่ายคล้อย ร่างระหงในชุดทะมัดทะแมงลากกระเป๋าก้าวออกมาตามทางผ่านจุดตรวจค้นบริเวณประตูผู้โดยสารขาเข้า เดินปะปนไปกับผู้คนหลากหลายเชื้อชาติที่แวะเวียนมาท่องเที่ยวเพราะหลงใหลมนต์เสน่ห์แห่งผืนทราย บ้างก็มาเพื่อติดต่อธุรกิจการค้า รวมไปถึงคนที่เดินทางกลับถิ่นฐานบ้านเกิด

นิลปัทม์หวังจะอาศัยอำนาจของชีคอนาซิสช่วยยุติปัญหาก่อนที่จะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นกับมารดาตน จึงเร่งรุดมาที่นี่ โดยลืมไปเสียสนิทว่าหล่อนไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขาเลยสักอย่าง จึงได้แต่นึกตำหนิตัวเองที่ไม่เคยใส่ใจในเรื่องของชีคหนุ่ม ทำให้ไม่มีทั้งเบอร์โทรศัพท์หรือที่อยู่ ซ้ำยังไม่รู้จักหน้าค่าตา นอกจากชื่อเต็ม ๆ และชื่อบริษัทฯของเขา ที่มักจะได้ยินจากปากมารดาอยู่บ่อยครั้ง

ชีคอนาซิส บินโอมาน ฟาร์อิด ประธานบริษัทโอมานออยล์

บริษัทโอมานออยล์...ใช่เลย!

บริษัทฯ ยักษ์ใหญ่ขนาดนั้น ยังไงก็ต้องมีคนรู้จักบ้างล่ะน่า

นิลปัทม์ครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ลากกระเป๋าก้าวพรวด ๆ ไปยังประตูทางออก ตั้งใจจะนั่งรถแท็กซี่ที่จอดรอผู้ใช้บริการด้านหน้าท่าอากาศยานไปพบชีคอนาซิสที่บริษัทฯ โดยหารู้ไม่ว่ามีสายตาคู่หนึ่งลอบมองอยู่ก่อน นับตั้งแต่หล่อนก้าวออกจากประตูผู้โดยสารขาเข้า อารามรีบร้อนไม่ทันระวังทำให้หญิงสาวปะทะเข้ากับร่างสูงใหญ่ในชุดประจำชาติสีขาวสะอาดตาที่กำลังเดินสวนมาในจังหวะพอดี

“ซอรี่ มิส...”

ภาษาอังกฤษสำนวนอาหรับสำเนียงแปร่ง ๆ กับลำแขนแกร่งที่ตวัดรั้งเอวบางเข้าแนบชิด เพื่อไม่ให้คนในอ้อมแขนล้มก้นจ้ำเบ้าต่อหน้าผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมา ทำให้คนเซซวนต้องช้อนตาขึ้นมองเจ้าของแผงอกกว้าง

เพียงแวบแรกที่ได้เห็น นิลปัทม์ก็ใจเต้นโครมคราม จ้องเขาจนเสียกิริยา แม้จะรู้มาบ้างว่าชาวตะวันออกกลางมีเค้าโครงหน้าคมคาย แต่ก็ไม่คิดว่าชายผู้นี้จะดูดีเกินคาด ไม่ว่าจะเป็นคิ้วดกหนาที่พาดเฉียงเหนือดวงตาคมเข้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความมั่นใจ หรือจมูกโด่งเป็นสันที่รับกับริมฝีปากหยักได้รูป ทุกอย่างกอปรขึ้นเป็นเครื่องหน้าหล่อเหลาที่บ่งบอกถึงเสน่ห์ร้อนแรงแห่งบุรุษ

นิลปัทม์หัวใจกระตุก เนื้อตัวอ่อนปวกเปียกไปหมด บุรุษตรงหน้าสะกดสายตาหล่อนให้หยุดนิ่งราวกับต้องมนต์ขลัง ซ้ำกลิ่นกายหอมสะอาดปราศจากเครื่องเทศที่ผสมผสานโคโลญจน์ชั้นดีอย่างลงตัว ก็ยังทำให้หล่อนเผลอไผลปล่อยตัวปล่อยใจให้เขากอดอยู่อย่างนั้นตั้งนานสองนาน

“ไม่เป็นอะไรนะครับ”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่ดังขึ้น ทำให้นิลปัทม์หลุดจากภวังค์ หน้าแดงซ่าน พลางนึกไปว่าถ้ามารดามาเห็นเข้าคงได้อกแตกตาย ที่จู่ ๆ หล่อนก็ปล่อยให้ชายแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้มายืนกอดกลางสนามบิน

“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”

หญิงสาวยิ้มแก้เก้อ หลับหูหลับตาตอบออกไป ก่อนจะเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนของชายหนุ่มอย่างสุภาพ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเขา เพราะรู้สึกอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี ที่จ้องเขาตาค้าง ไม่ผิดกับสาวน้อยเริ่มริรักที่ตกหลุมเสน่ห์บุรุษตั้งแต่แรกพบหน้า

“คุณจะไปไหนเหรอครับมิส ให้ผมไปส่งไหม”

ถึงแม้ว่าถ้อยคำเชิญชวนจะราบเรียบ ไม่ส่อกิริยากรุ้มกริ่มอย่างคนเจ้าชู้ประตูดิน แต่นิลปัทม์ก็ยังไม่ไว้ใจเสียทีเดียว ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเพราะเขายังเป็นคนแปลกหน้าสำหรับผู้เดินทางต่างถิ่นเช่นหล่อนก็เป็นได้ จึงทำให้ต้องระวังตัวมากเป็นพิเศษ

“ไม่เป็นไรค่ะ”

“ให้ผมไปส่งเถอะครับ คิดเสียว่าเป็นการไถ่โทษที่เดินชนคุณก็แล้วกัน”

“อย่าดีกว่าค่ะ ลำบากคุณเปล่า ๆ เดี๋ยวฉันเรียกแท็กซี่ไปเองจะสะดวกกว่า”

นิลปัทม์บ่ายเบี่ยง เพราะอ่านข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์มานักต่อนักแล้ว ว่ามักจะมีผู้สูญเสียทรัพย์สินจากการเชื่อใจคนแปลกหน้า ซึ่งแท้ที่จริงแล้วนั้นเป็นคนร้ายแฝงกายปะปนกับผู้คนในสนามบิน ที่มักจะแสร้งทำทีให้ความช่วยเหลือ ก่อนจะพานักท่องเที่ยวเหล่านั้นไปปลดทรัพย์

“คุณคงกลัวว่าผมจะเป็นนักต้มตุ๋นใช่ไหมครับ”

ชายตรงหน้าเอ่ยขึ้นราวกับอ่านความคิดของหญิงสาวออก ทำให้อีกฝ่ายมีอาการอึกอักขึ้นมาทันที

“เอ่อ...”

“ผมไม่ใช่คนร้ายหรอกครับ ผมเป็นพนักงานขับรถของทางสนามบิน นี่ครับ...บัตรประจำตัวพนักงานของผม ถ้าคุณไม่แน่ใจจะลองไปสอบถามที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ดูก็ได้”

ชายหนุ่มปลดบัตรประจำตัวพนักงานจากกระเป๋าเสื้อส่งให้หญิงสาว พลางผายมือไปที่ประชาสัมพันธ์ ซึ่งนิลปัทม์เองก็ไม่ชอบการท้าทายอยู่เป็นเดิมทุน จึงฉวยบัตรของเขาแล้วก้าวพรวด ๆ ไปที่เคาน์เตอร์ หล่อนต้องแน่ใจเสียก่อนว่าเขาไม่ใช่คนร้ายจึงจะวางใจ และคำตอบที่ได้รับก็เป็นไปตามนั้น

“ที่นี้คุณคงบอกผมได้แล้วนะครับ ว่าจะให้ผมไปส่งที่ไหน”

ชายหนุ่มเอ่ยพลางรับบัตรพนักงานจากมือหญิงสาวมาติดไว้บนกระเป๋าเสื้อตามเดิม

“บริษัทโอมานออยล์ค่ะ”

“ยินดีบริการครับ เชิญครับมิส” ชายร่างสูงในชุดประจำชาติผายมือเชื้อเชิญหญิงสาว พลางขยับตัวทำท่าจะเดินนำไปที่รถ แต่ก็ต้องชะงักปลายเท้า เมื่อน้ำเสียงหวาน ๆ เรียกเขาไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวค่ะ ช่วยบอกสักนิดจะได้ไหมค่ะ ว่าคุณชื่ออะไร?”

“เรียกผมว่าอาโป”

“อาโป...ชื่อแปลกดีนะคะ ใช่ที่มาจากรากศัพท์ภาษาบาลีสันสกฤตที่แปลว่าน้ำหรือเปล่าคะ”

“ครับ ผมเกิดใกล้แม่น้ำ แม่ก็เลยเรียกผมว่าอย่างนั้น”

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะอาโป ฉันนิลปัทม์” หญิงสาวคลี่ยิ้ม พลางยื่นมือออกไปตรงหน้าอย่างแสดงอัชฌาสัย

“ครับ ผมเองก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้รู้จักคุณเสียที คุณนิลปัทม์!”

ชายหนุ่มมองมือเรียวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นมือไปสัมผัส กระชับอย่างคงมั่นก่อนจะคลายออกแล้วก้าวนำออกไปด้านหน้าตัวอาคารสนามบิน ถึงแม้ว่าถ้อยคำนั้นจะสร้างความแปลกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่หญิงสาวก็ก้าวตามเขาไปโดยไม่ได้ระแวงสงสัยสิ่งใด เพราะคิดว่าหล่อนคงฟังภาษาอังกฤษสำนวนอาหรับสำเนียงแปร่ง ๆ นั้นผิดเพี้ยนไป

**********
หมายเหตุ...
ทรายร้อนอ้อนรัก by กันต์ระพี ตีพิมพ์สนพ.Be mine
(วางจำหน่าย 13 เมษายน 2554)

อ่านทรายร้อนอ้อนรัก (e-book)
อ่านได้บน iPad, iPhone, iPad Touch (iOS 4 ขึ้นไป)
http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=646

หรือสั่งซื้อได้ที่..
http://welovenovel.com/PD351308-สินค้า-ทรายร้อนอ้อนรัก.html





กันต์ระพี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 มี.ค. 2555, 12:44:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 มี.ค. 2555, 12:44:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 2075





เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account