ใจสบาย
เมื่อภัณฑารักษ์สาวเดี๋ยวเซอร์...เดี๋ยวเปรี๊ยว ต้องมาอยู่ร่วมบ้านกับผู้ชายสุดเนี๊ยบ การเรียนรู้เพื่อที่จะอยู่ร่วมกันก็เกิดขึ้น
แม้ว่าอีกฝ่ายจะมาแนวเหนือโลก และอีกฝ่ายก็รักโลกของตัวเองสุดใจ แต่ถึงจะเหลือรับกับพฤติกรรมของอีกฝ่ายอย่างไร โลกใบเล็ก ๆ ของสองคน ก็ถูกสร้างขึ้นมาทีละเล็กละน้อย จนกลายเป็นโลกของ "เรา" ที่อยู่แล้ว "ใจ" สบาย...ดีทีเดียว
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 1

บทที่ 1

มันคงไม่มีอะไรทำให้ผมประหลาดใจได้มากเท่านี้อีกแล้ว

วันอาทิตย์ วันพักผ่อนส่วนตัวของผม ตรงตามคำว่า ส่-ว-น-ตั-ว เลยละ วันนี้ทั้งวันผมไม่รับแขกหน้าไหนทั้งสิ้น และมันเป็นเรื่องที่รับรู้กันโดยทั่วไป แต่คงมียายผู้หญิงบ้านี่ละ ที่ไม่รับรู้อะไรในโลกกับเขาสักอย่าง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไม่ควรใส่สีม่วงคู่กับสีส้มบนร่างดำ ๆ และยังไม่รู้มารยาทพื้นฐานด้วยซ้ำว่าอย่ากระหน่ำกดกริ่งชาวบ้านเขา ให้ตายซินี่มันเจ็ดโมงเช้า... เจ็ดโมงเช้ากับผู้หญิงที่ผมสาบานว่า จะไม่เจอะไม่เจออีกเป็นครั้งที่สอง สาม สี่ ห้า แต่ให้ตายเถอะ ผมพึ่งสาบานไปเมื่อวานนี้เองนะ

นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกับชีวิตฉันเนี่ย

ทำไมฉันต้องแบกหน้ามายืนตรงหน้านายผู้ชายอ๊อฟฟิตคนนี้ด้วย ในเช้าวันอาทิตย์ ที่ฉันต้องนอนเครงอ่านหนังสือ ดื่มกาแฟ กินปาต๋องโก๋ ที่สวนหลังบ้าน บ้านที่กว่าจะได้กลับไปก็คงอีกหลายปีเชียวละ ฉันอยากจะกรี๊ดออกมาให้ดัง ๆ กระทืบเท้า ดิ้นพล่าน ๆกับพื้น อาละวาดให้หน่ำใจเหมือนเด็กอนุบาล แต่อย่าเลย สภาพแขนขวาเข้าเฝือก มีผ้าก๊อตแป๊ะติดอยู่บนหัวอันโคตรโต กับลอยถลอกเล็ก ๆ น้อยรอบตัว มันก็ดูน่าสมเพชมากพออยู่แล้ว ทำตัวเป็นผู้มีวุฒิภาวะดีกว่าอย่างน้อยก็คงจะดูไม่แย่ไปมากกว่านี้ แต่ก็นะ....ไอ้สภาพทุเรศทุรังเนี่ยก็ไม่ใช่ใครอื่นหรอที่ทำ ถ้าไม่ใช่ ไอ้ผู้ชายอ๊อฟฟิตคนนี้เนี้ย หึย...อารมณ์เสีย

เมื่อวาน

“คุณ เป็นอย่างไรบ้าง”

เสียงผู้ชายกระด้างหู แหวกผ่านม่านหมอกแห่งความมึนงงเข้าสู่ประสาทการรับรู้ของคติยา เธอเงยหน้าขึ้นมองคนที่คุกเข่าอยู่ข้าง ๆ แต่ก็จับสังเกตบนใบหน้าไม่ได้สักอย่าง ความเจ็บร้าวที่แขนขวาสั่งให้เธอเอยปากพึมพำเบา ๆ ว่าเจ็บ แต่ก็ไม่มีแรงพอจะพูดอะไรได้มากกว่านั้น คนข้าง ๆ สบถอะไรบางอย่าง และก่อนที่จะรู้ตัว หญิงสาวก็ถูกยกตัวขึ้นแล้วถูกจับวางไว้บนเบาะรถ เสียงกระแทกประตูแบบไม่เบามือทำให้คนเจ็บรู้สึกเจ็บขึ้นมาอีกมากโข

“ซวยจริง ๆ เลย” ชายหนุ่มทำเสียงบ่นที่จงใจให้มีคนได้แน่ ๆ

เออแหะ คนที่น่าจะบอกว่า ซวยจริง ๆ นะ ควรจะเป็นใครกันแน่ คนเดินข้ามถนนอยู่ดี ๆ ใครกันนะเอารถมาชนนะ ข้ามบนทางม้าลายซะด้วย ไม่ต้องฟ้องศาลก็รู้อยู่แล้วว่าใครกันแน่เป็นคนผิด ถ้าฉันแข็งแรงกว่านี้ละก็ แม่จะด่าให้เข้าโรงพยาบาลประสาทเลยคอยดู หน้าตาก็ดีอยู่หรอกนะ แต่งตัวก็แหม แสนจะเป็นหนุ่มออฟฟิตแสนจืดชืด หูย ใส่สูทผูกไท ไม่ร้อนบ้างหรืองัยกัน สงสัยจังถ้าถอดแนกไทออกจะทำให้พวกมนุษย์เงินเดือนสำลักความเป็นอิสระตายกันหรือเปล่า

เจ้าของรถหยิบโทรศัพท์ออกมา กรอกเสียงที่บ่งบอกถึงความหงุดหงิดเข้าไป

“คุณพิรัย ผมเข้าประชุมสายหน่อยนะ มีอุบัติเหตนิดหน่อย”

“ไม่เป็นอะไรครับ แต่ต้องพาคู่กรณีไปโรงพยาบาล”

ชายหนุ่มพูดอะไรอีกสองสามประโยคแล้วโยนโทรศัพท์รุ่นบางเฉียบไว้บนคอนโซลหน้ารถไม่สนใจด้วยซ้ำว่ามันจะไปกระแทกอะไรบ้าง ก่อนจะปรายตามามองคู่กรณีที่คู้ตัวอยู่บนเบาะข้าง ๆ สายตาที่กล่าวหาอย่างชัดเจนว่า เธอนะมันตัวซวย

หญิงสาวแถบอยากจะควักลูกตาคู่นั้นออกมาแล้วโยนให้เป็ดกินเสียนัก แม้ว่าตานายมันจะสวยขนาดไหนก็ตามเถอะ ผู้ชายเฮงซวยอะไรอย่างนี้เนี้ย คติยาได้แต่ ย้ำคำว่า รอก่อน รอก่อน อยู่ในใจ รอให้ม่านหมอกในหัวจางหายไปก่อน รอให้สมองกลับมาแจ่มใสดังเดิมเสียก่อนเถอะ ฉันจะไม่ปล่อยให้คนอย่างนายมาใช้สายตาถากถางได้หรอก

อารินทร์เหลือบตามองคนเจ็บอีกรอบ มองดูด้วยสายตาของคนที่ประเมินสิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวอยู่เสมอ ผู้หญิงธรรมดา ๆ ผิวคล้ำ ตัวใหญ่เกินไปสำหรับมาตรฐานของเขา หน้าตาก็กระจุ๋มกระจิ๋มดีหรอก ตาคมจัดจ้านนั้นคงเป็นคนเอาเรื่องไม่น้อย แต่มีสิ่งที่คนข้าง ๆ แปลกออกไปจากความธรรมดา ก็คงการแต่งตัวที่ออกจะ แนว สุดฤทธิ์สุดเดช เสื้อยืดตัวหลวม ประโปรงลายดอกแดง สร้อยคอสองสามเส้น ที่ไปคนละทิศคนละทาง ข้อมือมีกำไลสวมไว้เต็ม เล็บบนมือที่ประคองแขนข้างที่เจ็บมีสีทาอยู่ต่างกันไม่ซ้ำสี ผมยาวหยักศกปล่อยยุ่งเหยิงล้อมกรอมหน้าจนเขารำคาญแทน ถ้ายายอ้วนดำคนนี้ทำตาลอย ๆ อีกอย่างเดียว เขาคงนึกว่าหลุดออกมาจากโรงพยาบาลบ้าเป็นแน่

แต่อย่างไรก็เถอะ เธอทำให้เขาหงุดหงิดชะมัดที่ต้องมาเสียเวลาทำงานไป การประชุมประจำเดือนไม่ใช่สิ่งที่จะมาบอกเลื่อนกันได้ง่าย ๆ ดูเอาเถอะมัวแต่ฝันตอนข้ามถนนละซิท่า ถึงไม่เห็นว่ารถเขากำลังวิ่งเข้าใกล้ขนาดไหน เมื่อกี้ที่เธอตัดสินใจก้าวลงมาบนทางม้าลายนะ หน้าคล้ำ ๆ แหงนมองฟ้าอยู่ชัด ๆ ให้ตายซิ ทำไมเขาต้องมาเสียเวลากับคนสติไม่เต็มด้วยนี่

เสียงโทรศัพท์ส่งเสียงร้องออกมาจากกระเป๋าสะพายผ้าย้วย ๆ ที่เจ้าของรถจัดการโยนมาไว้แทบเท้าคนเจ็บ คติยาพยายามก้มตัวแล้วเอามือมือข้างที่ยังดี คว้านเข้าไปหาต้นตอของเสียง หญิงสาวมองดูที่หน้าจอโทรศัพท์รุ่นเก่าที่ทำได้แค่รับเข้าและโทรออกแล้วเบ้หน้านิด ๆ เธอลืมไปสนิทว่ากำลังเดินไปเจอพี่ชายตัวดีที่นาน ๆ ทีจะโผล่หน้ามาให้เห็น

“ฮาโหล อย่าพึ่งบ่น เขาไม่ได้จะแกล้งให้ตัวรอ เขาเกิดอุบัติเหตุ”

เมื่อฟังเสียงถามไถ่ร้อนใจด้วยความเป็นห่วงมาตามสาย ก็ทำให้อารมณ์หญิงสาวดีขึ้น อย่างน้อยละนะ ก็มีพี่ชายลักปิดลักเปิดกับเขาอยู่ทั้งคน

“ไม่เป็นอะไรมาก กำลังไปโรงพยาบาล”

เมื่อปลายสายถามว่าจะไปโรงพยาบาลไหน คติยาก็มองหน้าคนขับที่ตอนนี้นิ่งสนิท และดูไม่สนใจเธอสักนิด

“คุณ จะไปโรงพยาบาลไหน”

ดวงตาสำจัดปรายตามองนิดหนึ่ง แล้วบอกชื่อโรงพยาบาลระดับแนวหน้าของประเทศที่อยู่อีกไม่ไกล อย่างเสียไม่ได้ เธอกรอกเสียงบอกคำตอบพี่ชายเธอไป แล้วกดตัดสัญญาณอย่างกระแทกกระทั้น อยากจะโยนโทรศัพท์ไปบนคอลโซนรถเป็นการระบาย อารมณ์ เหมือนกันละน้า แต่เครื่องของเธอก็เก่าจนรับแรงกระแทกไปมากกว่านี้ไม่ไหว หึ ถ้าไม่ติดว่ารอสายสำคัญอยู่ละก็ ไม่ปาคอลโซนรถให้เสียเวลา ปาหัวคนข้าง ๆ ดีกว่าอีก สะใจดี

เมื่อถึงโรงพยาบาล คนเกือบบ้าในความเห็นของอาริทร์ก็ถูกเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ชายหนุ่มนั่งลงบนโซฟานุ่ม แล้วหยิบหนังสือพิมพ์วิเคราะห์เศรษฐกิจที่ทางโรงพยาบาลจัดเอาไว้บริการขึ้นมาอ่าน เป็นการทำให้เวลาที่เสียเปล่ามีค่าขึ้นมาอีกนิด สักพักเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือพิมพ์ ก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินทำหน้าเรอหร่าเข้ามา การแต่งตัวที่เรียกได้ว่า ซ่อมซ่อ ขัดกับบรรยากาศของสถานที่อย่างแรง แต่ท่าทางอย่างนี้ หน้าตาอย่างนี้ จะมีใครเป็นอื่นไปได้

“ไอ้กรณ์”

“เฮ้ย ไอ้ริทร์ ไหงมาอยู่ตรงนี้เนี่ย”

ไอ้กรณ์ กับ ไอ้ริทร์ สวมกอดกันอย่างแมน ๆ แถมมีทำมือเหมือนแร๊ฟเปอร์กันอีกต่างหาก

“ฉันน่าจะถามแกมากกว่านะ มีอะไรรึเปล่า”

“น้องสาววะ เกิดอุบัติเหตุ ก็เลยรีบมา”

“มีน้องสาวด้วยหรอวะ” ไอ้ริทร์ทำหน้างง

“อ้าว ไม่เคยบอกหรอ” ไอ้กรณ์ทำหน้างงกว่า

“ไม่เคย”

“เฮ้ย ก็พูดถึงมันอยู่บ่อย ๆ ไอ้ติงัย ไอ้คนที่เรียนวาดรูปนะ”

“เฮ้ย นั่นมันน้องชายแกไม่ใช่หรอ”

“มั่วแล้วไอ้คุณริทร์ ไอ้ติ ชื่อผู้หญิง ชื่อน้องสาวฉันโว้ย”

“บ้านไหนเขาคิดว่า ไอ้ติ เป็นชื่อผู้หญิงวะ”

“ก็บ้านฉันนี่แหละ”

“เออ เอาละ ไม่เถียง” อาริทร์ตัดสินใจตัดบท ยอมรับความมั่วมาเป็นของตัวเอง ไม่อยากถกเรื่องความคิดเห็น โดยส่วนตัวของคนเป็นเพื่อนเท่าไหร่ คบกันมานานจนไม่คิดจะเถียงให้เสียเวลาอีกแล้ว สรุปเขาก็ต้องแก้ฐานข้อมูลในหัวใหม่ว่าเพื่อนสนิมของเขา มีน้องเป็นผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชาย

“แล้วกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

“เมื่อวานนี้เอง กลับมาทำ...”

“พี่กรณ์” เสียงเรียกจากคนที่นั่งอยู่ในรถเข็น ขัดจังหวะการสนทนา วรากรณ์ถลาเข้าไปเกาะรถเข็นของน้องสาวทันที มือหนาลูบเบา ๆ ไปที่เฝือก เหมือนกลับว่าถ้าสัมผัสแรงไป กระดูกของน้องสาวจะหักอีกท่อน ความห่วงใยดูเหมือนจะแผ่ออกมาทั้งสีหน้าสีตา แต่ทางคำพูดนี่ซิ

“หูย ไอ้ติแก ให้หมอเปลี่ยนสีเฝือกเหอะวะ ขาวซะ ตัดกับสีผิวแกอย่างแรง”

“หูย เขาก็คิดเหมือนกันเลยพี่กรณ์ เปลี่ยนเป็นสีแดงดีมั้ย ย้อมจากเลือดในปากพี่นะ”

อาริทร์บอกตัวเองว่าอย่าแปลกใจกับคำทักทายของสองพี่น้องครอบครัวแดดส่องแสง ถ้าจะแปลกก็แปลกมาตั้งแต่นามสกุลแล้วละ

“ฉันรักแกวะ” คนพี่ชะโงกตัวหอมแก้มคล้ำ ๆ ของน้องสาวทีหนึ่ง
“รักพี่เหมือนกันละ”

“แล้วคู่กรณีแกอยู่ไหนวะเนี่ย เดี๋ยวฉันจะจัดการต่อยมันให้คว่ำเลย เอาเลือดของมันมาย้อมเฝือกแกดีมั้ย”

“คนข้างหลังพี่นั้นละ” คติยาเอาแขนยกแขนใส่เฝือกชี้ข้ามไหล่พี่ชายตัวเองไป
คนเป็นพี่ชายก็หันกลับไปมอง ซ้าย ขวา แล้วมาหยุดอยู่ที่เพื่อนสนิท

“ไหน ริทร์เรอะ”

“เออ ฉันเองละ”

“ออ งั้นก็ปล่อนผ่าน” ง่าย ๆ สบาย ๆ ตามแบบวรากรณ์

“ปล่อยผ่านอะไรกันเล่าพี่กรณ์ ตาคนนั้นมาทำน้องพี่บาดเจ็บนะ แขนขวาด้วย แล้วเขาจะวาดรูปอย่างไงกันเล่า”

“ใช้มือซ้ายซิ” พี่ชายตอบเหมือนทุกอย่างในชีวิตมันง่ายไปเสียหมด

“อะไรกันพี่กรณ์”

วรากรณ์ยกมือขึ้นทำท่าปรางห้ามญาติ ก่อนที่คติยาจะโว้ยวายไปมากกว่านี้

“ฟังพี่ ไอ้ติ แกเป็นน้องสาวฉัน ฉันรักแก ไอ้ริทร์มันเป็นเพื่อนฉัน แล้วฉันก็รักมัน”
อาริทร์เก็บอาการขนลุกไว้ภายใต้ท่าทีเคร่งขรึม เขารู้ว่าคนพูด พูดด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ แต่ก็ทำให้รับฟังอย่างสงบไม่ได้หรอก มีผู้ชายมาบอกรักไม่ใช่เรื่องที่น่าภาคภูมิใจสักนิด

“แต่ก็น้อยกว่าแก” วรากรณ์รีบต่อสร้อย เมื่อเห็นสายตาเขียวปัดของคนเป็นน้อง

“เพราะฉะนั้น สมานฉันท์เถอะวะ เห็นแก่หัวใจที่รักสงบของฉันบ้าง”

“ฉันจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง กรณ์ นายไม่ต้องเป็นห่วง” ปากก็บอกเพื่อน แต่ตาคมกลับจ้องน้องเพื่อน แขม่ง สายตาที่ราวกับบอกว่า ฉันมีเงินจ่ายหรอกน่า ยัยหน้าเงิน

เออแหะ ผู้ชายคนนี้ ชอบด่าคนทางสายตาซะจริง ๆ แต่เข้าใจผิดแล้วยะ ฉันไม่ต้องการเงินจากใครไอ้หนุ่มอ๊อฟฟิต

“ฉันต้องการคำขอโทษ นายชนฉันจนฉันแขนเดี้ยง เสียโฉมซะขนาดนี้ ไม่ใช่เอาเงินมาตบ ๆ แล้วมันจะหายเจ็บได้นะ”

อาริทร์อยากเถี้ยงกลับไปเหลือเกินว่า ถึงเขาไม่ขับรถชน เจ้าหล่อนก็ไม่มีโฉมให้เสียหรอก แต่เขาพนันได้เลยว่า คราวนี้เลือดเขาคงได้อาบเฝือกคนแสนงามแน่ ๆ
“ขอโทษ” อยากได้นักก็จัดให้

“โหย จี๊ดอะ จี๊ดไปถึงแก่นสมอง นี่ นาย ถ้าไม่เต็มใจพูดละก็ หุบปากไว้เหมือนเดิมก็ได้”

“แอ๊ะ เธอ....”

“อะจ๊ะ หยุด สต๊อป แปลว่าหยุด”

“เลิกแล้วต่อกัน เลิกแล้วต่อกัน อาริทร์ นายรับปากนะว่าจะรับผิดชอบทุกอย่าง”

“ใช่”

“สาบานนะ”

“สาบาน”

อารินทร์ไม่อยากเชื่อเลยว่าคำพูดนั้นจะกลับมาตวัดรัดตัวเขาไว้แน่นขนาดนี้



จำเนียน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 มี.ค. 2555, 01:23:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 มี.ค. 2555, 01:48:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 1182





แล่นแต๊ 28 มี.ค. 2555, 01:47:46 น.
น่าจะมันส์ 555


ปูสีน้ำเงิน 29 มี.ค. 2555, 00:02:50 น.
จะรออ่านตอนต่อไปนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account