พ่ายเสน่ห์นางซินฯ
เมื่ออัศวินขี่ลัมเบอร์กินี ยุค 2012 หนีการคลุมถุงชนมาตามหารักแท้ ด้วยตัวเอง งานนี้อัศวินรูปงาม จะทำอย่างไรเมื่อเผลอมีใจให้นางก้นครัว แสนสวย...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: อุบัติเหตุรัก

บทที่ 1 อุบัติเหตุรัก
ที่สนามบินสุวรรณภูมิ
เครื่องบินโดยสารลำใหญ่นำผู้โดยสารนับร้อยชีวิตข้ามน้ำข้ามทะเลจากอีกซีกโลกมาถึงยังจุดหมายปลายทางโดยสวัสดิภาพสมกับเป็นสายการบินอันดับหนึ่งของประเทศ หลังจากเครื่องร่อนลงจอดแล้วประมาณหนึ่งชั่วโมง ผู้โดยสารทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติต่างก็ทยอยออกมาจากห้องผู้โดยสาร หนึ่งในจำนวนนั้นมีหนุ่มนักเรียนนอกดีกรีปริญญาโทบริหารธุรกิจบุตรชายคนเดียวของครอบครัว ชาญวรกุล กำลังเดินปะปนมากับผู้โดยสารกลุ่มใหญ่
ร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาคมกริบ ภายใต้กรอบคิ้วดกหนาเป็นปื้นถูกปกปิดด้วยแว่นกันแดดสีชา ริมฝีปากหยักได้รูปถูกปกคลุมด้วยไรสีเขียวเส้นสั้นๆในชุดสูทสีดำสนิทที่ดูโดดเด่นกว่าผู้โดยสารคนอื่น กำลังเข็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ออกมาจากประตู ซึ่งแน่นอนว่าชายหนุ่มบุคลิคแบบนี้ย่อมเป็นที่จับตามองของสาวๆหลายคนในบริเวณนั้น ซึ่งส่งรอยยิ้มหวานเป็นใบเบิกทางมาให้ ยิ่งเมื่อชายหนุ่มโปรยยิ้มบางเบาตอบกลับไปตามมารยาท สาวๆเหล่านั้นก็แทบจะเป็นลมล้มพับกับเสน่ห์ชวนมองที่เจ้าตัวไม่ได้มีเจตนาแกล้งทำแต่อย่างใด
การเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอนที่จากไปนานกว่าห้าปี ทำให้หัวใจของ รัฐวีร์ ชาญวรกุล รู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด เมื่อเหยียบเท้าเข้าสู่แผ่นดินแม่ ไม่มีที่ไหนสุขใจเท่าบ้านเรา คำพูดนี้ยังคงความจริงไม่เสื่อมคลาย เขาเพิ่งประจักษ์แก่ใจก็วันนี้เอง
ชายหนุ่มปักหลักยืนรอเพื่อนรักที่สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะมารับ และตอนนี้เวลาก็ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว อนิรุต ก็ยังไม่โผล่หน้ามาให้เห็น จนชายหนุ่มต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขที่จำได้ขึ้นใจเพื่อจะโทรตาม แม้จะห่างไกลคนละทวีปแต่ยุคโลกาภิวัฒน์และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีกลับเชื่อมโยงสายสัมพันธ์ความเป็นเพื่อนให้สนิทแนบแน่น
“เฮ้ยไม่ต้องโทร ฉันมาแล้ว”เสียงร้องบอกดังมาจากทางด้านหลัง พร้อมกับร่างสูงไล่เลี่ยกัน เดินแกมวิ่งเข้ามาทำให้รัฐวีร์หันกลับไปมองต้นเสียง ก่อนที่สองร่างจะโผเข้ากอดกันด้วยความคิดถึงตามประสาเพื่อนรักที่ไม่ได้เจอหน้าค่าตากันหลายปี
“ขอโทษทีเพื่อน ที่มาช้า พอดียายแตงกวาไม่สบายก็เลยอยู่ช่วยกิ่งดูแลลูกก่อน แล้วนายเป็นยังไงบ้างการเดินทางเรียบร้อยดีหรือเปล่า” เหตุผลของการมาช้าทำให้รัฐวีร์โกรธไม่ลงทั้งที่ตั้งใจไว้แต่ต้นแล้วว่าเจอหน้าเพื่อนปุ๊บ จะเตะรับขวัญปั๊บข้อหาที่ปล่อยให้ยืนรอจนขาแข็ง
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันเข้าใจ ว่าแต่เรื่องที่ฉันขอให้นายช่วยเรียบร้อยหรือเปล่า รุต” รัฐวีร์ถามขณะเดินเคียงคู่กับอนิรุตไปยังรถของอีกฝ่ายที่จอดรออยู่ตรงลานจอดรถของสนามบิน
“เรียบร้อยสิ ฝีมือระดับอนิรุตแล้ว รับรองถูกใจนายแน่นอน” บอกด้วยความมั่นใจ
“ขอบใจนายอีกครั้งนะรุต สำหรับความช่วยเหลือทุกอย่าง” ฝ่ามือใหญ่ตบลงบนบ่าแข็งแรง อย่างแสดงความขอบคุณ
“เฮ้ยไม่เป็นไรน่า เรื่องเล็กน้อย เพื่อนกันนี่หว่า ว่าแต่นายจะให้ฉันไปส่งที่บ้านหรือว่า...”อนิรุตพูดไม่ทันจบประโยค รัฐวีร์ก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน
“ไปบ้านสวน ฉันยังไม่อยากเข้าบ้านตอนนี้ แล้วที่สำคัญนายต้องเก็บเรื่องที่ฉันกลับมาเมืองไทยเป็นความลับ ห้ามบอกใครเด็ดขาด” ชายหนุ่มกำชับหนักแน่น
“อ้าว....ทำไมละ”เจ้าของมือที่กำลังช่วยยัดกระเป๋าใบโตใส่ท้ายรถหันมามองหน้าคนพูด ด้วยความงงงวยเล็กน้อย
“ไม่มีอะไรหรอก” รัฐวีร์ปฏิเสธเสียงเนือยๆ แล้วเปิดประตูรถเข้าไปนั่ง ปรับเบาะรถข้างคนขับให้เอนไปด้านหลัง เพื่อตนเองจะได้นอนเหยียดยาวผ่อนคลายความเมื่อยขบ สองมือประสานรองไว้ใต้ศีรษะในท่าทีสบายอารมณ์
“แล้วนี่ถ้าคุณหญิงแม่ ของนายรู้จะไม่อาละวาดเอาเหรอ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนจากอกไปตั้งสี่ห้าปี พอกลับมาก็ไม่ยักจะไปให้ท่านได้ชื่นใจ กลับหนีหน้าซะงั้น แล้วกรุงเทพฯมันก็ไม่กว้างขวางอะไรมากมาย ถ้าสักวันนายเกิด จ๊ะเอ๋ กับคุณหญิงแม่แบบจังๆขึ้นมา นายจะทำยังไงวะรัฐ”
“เถอะน่า ฉันคงไม่โชคร้ายขนาดหรอก เอาไว้ฉันพร้อมที่จะให้คุณหญิงแม่คลุมถุงชนเมื่อไหร่ ฉันค่อยเข้าบ้าน ถึงตอนนั้นมันคงยังไม่สาย”บอกอย่างไม่คิดอะไรมาก แต่คนขับรถถึงกับเหยียบเบรกห้ามล้อเสียงดัง ด้วยความตกใจ ดีที่บริเวณนั้นเป็นถนนโล่งไม่มีรถวิ่งตามหลังมา ไม่อย่างนั้นคงได้เจ็บตัวกันบ้าง
“อะไรนะ นี่อย่าบอกนะว่า ที่ไม่ยอมเข้าบ้านเนี่ย เพราะคุณหญิงจะจับนายแต่งงาน” สายตาหรี่มองคนข้างกายอย่างไม่ค่อยเชื่อถือคำพูดนัก
“ใช่นะสิ” เอ่ยถึงเรื่องนี้ อารมณ์ของรัฐวีร์ก็ขุ่นมัวขึ้นมาทันที คุณแม่ นะคุณแม่ นี่มันยุคไหนสมัยไหนกันแล้ว ยังทำเป็นคนแก่หัวโบราณคร่ำครึ แต่นั่นยังไม่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกโมโหได้มากเท่ากับที่รู้ว่า การแต่งงานครั้งนี้มีผลประโยชน์ทางธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
“แล้วทำไมนายไม่หิ้วแหม่ม ตาสีฟ้า ผมสีทองมาฝากคุณหญิงแม่สักคนละรัฐ จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว”อนิรุตแสร้งถาม ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเพื่อนรักไม่นิยมบริโภคของนอกอยู่แล้ว
“ผู้หญิงไทยสวยๆเยอะแยะ ทำไมฉันจะต้องเสียดุลให้ต่างชาติด้วยละ”
“อ้าว ถ้านายคิดอย่างนั้น เรื่องที่คุณหญิงแม่จะหาเมียให้มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่นา นายจะหนีทำไมกัน” คุณพ่อลูกหนึ่งถามด้วยความสงสัย
“เป็นนาย นายจะยอมใช้ชีวิตกับคนแปลกหน้าไปตลอดชีวิตเหรอรุจ ผู้หญิงคนนั้นก็กระไร กลัวจะหาสามีไม่ได้สิท่า ถึงได้ยอมให้ผู้ใหญ่จูงจมูกแบบนี้” รัฐวีร์ไม่ตอบ แต่กลับยิงคำถามสวนมา แถมยังแสดงความไม่พอใจไปถึงหญิงสาวนิรนามที่ตนเองไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อนอย่างพาลๆ คนฟังจึงได้แต่ส่ายหน้า
“อืม มันก็จริงของนาย การแต่งงานที่ไม่ได้เกิดจากความรักมันคงไม่มีความสุข”
“เข้าใจก็ดีแล้ว ออกรถสักทีสิ ฉันอยากเห็นบ้าน ว่ามันจะสวยอย่างที่นายคุยนักคุยหนาหรือเปล่า” รัฐวีร์ร้องเตือนและเร่งให้อนิรุต รีบพาไปยังบ้านสวนย่านชานเมืองนนทบุรี ที่เขาอุตสาห์ทุ่มเงินเก็บทั้งหมดซื้อเอาไว้ เมื่อเจ้าของเดิมต้องการขายเพื่อจะย้ายไปกลับไปอยู่ภูมิลำเนาเดิมที่จังหวัดเชียงใหม่
“รับรอง นายต้องชอบแน่ ไอ้รัฐ” โบรกเกอร์มือทองบอกด้วยความมั่นใจ

ผ่านไปราวสองชั่วโมงรถยนต์โตโยต้าคัมรี่สีขาวก็มาจอดนิ่งอยู่หน้าบ้านทรงไทยหลังใหญ่ ที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางไม้ยืนต้นหลากหลายชนิด ทำให้ทั่วบริเวณดูร่มรื่น กิ่งก้านใบของต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงากางกั้นแสงแดดไม่ให้ทะลุผ่านมายังผืนหญ้าเขียวขจีเบื้องล่าง ด้านซ้ายมือของตัวบ้านมีศาลาทรงไทยหลังเล็กปลูกอยู่ริมแม่น้ำสายใหญ่ ถัดไปเป็นเรือนเพาะชำกล้วยไม้ที่เจ้าของเดิมสร้างไว้เพราะหลงใหลในเสน่ห์ความงามของมัน
หลังจากที่เอากระเป๋าสัมภาระขึ้นไปเก็บบนห้องนอนของตนเองเรียบร้อยแล้ว รัฐวีร์ก็ลงมาเดินชมรอบๆบริเวณบ้าน อากาศเย็นสบาย สายลมพัดโชยอ่อน หอบเอากลิ่นดอกไม้หอมที่ปลูกอยู่ริมทางเดินลอยมาปะทะจมูก ช่วยทำให้บรรยากาศของบ้านหลังนี้น่าอยู่ และเป็นที่ถูกใจเจ้าของบ้านคนใหม่เอามากๆด้วย
“เป็นไงรัฐ สวยถูกใจนายหรือเปล่า”อนิรุตร้องถามขณะเดินนำหน้าคนงานชายหญิงคู่หนึ่งมาหาชายหนุ่ม
“ถูกใจมากเพื่อน สวยกว่ารูปที่นายส่งอีเมล์ให้ฉันดูเสียอีก”
“ฉันดีใจนะ ที่นายชอบ เออ นี่ ถวิล กับ จวง เป็นคนดูแลที่นี่ตอนที่เจ้าของเก่าเขายังอยู่ ฉันเห็นว่านายกำลังหาคนก็เลยจะให้นายจ้างสองคนนี้ต่อ นายจะว่าไง”
“ได้ ไม่มีปัญหาอะไรนี่”คำตอบของเจ้าของบ้านคนใหม่ทำให้สองผัวเมียที่ยืนอยู่ใกล้ๆหันไปยิ้มให้กันด้วยความดีใจ ที่ไม่ต้องตกงานอย่างที่วิตกกังวลกันในตอนแรก
“งั้นก็ตกลงตามนี้นะ ถวิล จวง นี่คุณรัฐวีร์ เจ้าของบ้านคนใหม่”อนิรุตแนะนำสองผัวเมียให้รู้จัก พร้อมกันนั้นก็แนะนำให้ทั้งคู่รู้จักเจ้าของบ้านคนใหม่ด้วย
“สวัสดีครับ/สวัสดีค่ะ คุณท่าน”เสียงสั่นๆเพราะความตื่นเต้นกล่าวทักทายอย่างอ่อนน้อม
“เรียกผม ว่า รัฐก็ได้ครับ เรียกคุณท่านมันฟังดูแก่ยังไงไม่รู้”รัฐวีร์บอกอย่างเป็นกันเอง
“ครับคุณรัฐ” ถวิลยิ้มรับ
“ถวิล กับ จวง ก็ทำหน้าที่เหมือนที่เคยทำนะ เราอยู่กับแบบสบายๆไม่ต้องเครียด”
“ค่ะ คุณรัฐ”
“ถ้าอย่างนั้นทั้งสองคนไปทำงานต่อเถอะนะ ถ้าต้องการอะไรผมจะไปเรียกเอง” ลับหลังถวิลและจวงไปแล้วรัฐวีร์และอนิรุตก็ไปนั่งคุยกันต่อที่ศาลาริมน้ำ
“นี่โฉนดที่ดินและสัญญาซื้อขายของบ้านหลังนี้ ฉันเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”อนิรุตวางซองสีน้ำตาลที่ถือติดมือมาลงบนโต๊ะไม้สักขนาดใหญ่กลางศาลา รัฐวีร์ยื่นมือไปหยิบมาเปิดออกดูเช็คความเรียบร้อยเพียงครู่ก็เก็บไว้ที่เดิม เมื่อเห็นว่าทุกอย่างถูกต้องครบถ้วน
“แล้วนายจะเอาไงต่อ รัฐ”
“เอาไง อะไรของนาย” คิ้วหนายกสูงขึ้นเป็นเชิงถาม
“อ้าว ก็เรื่องคุณหญิงแม่ของนายไง นี่นายจะบอกฉันได้หรือเปล่าว่าจะไปให้คุณหญิงแม่ท่านเห็นหน้าเมื่อไหร่”
“นายไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นหรอก ไว้ฉันพร้อมเมื่อไหร่ฉันจะกลับไปเอง ออ! แล้วฉันมีงานสำคัญให้นายทำ”สีหน้าจริงจังของรัฐวีร์เล่นเอาอนิรุตรู้สึกร้อนวูบวาบ เพราะมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเรื่องที่เพื่อนจะให้ช่วยนั้นมันต้องเป็นอะไรที่ไม่ธรรมดาแน่นอน
“อะไรของนาย” คนถามหรี่ตาน้อยๆ อย่างไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่
“เถอะน่า ไม่เหลือบ่ากว่าแรง คนเก่งอย่างนายอนิรุตหรอก”
“นี่ไม่ต้องมาชม นายจะให้ช่วยอะไรก็ว่ามา ไม่ต้องมาโยกโย้ น่ารำคาญ” ปากก็บอกว่ารำคาญแต่พอเอาเข้าจริง อนิรุตก็ไม่เคยทำให้เพื่อนผิดหวังเลยสักครั้ง และหวังว่าครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน
“นายช่วยไปสืบให้หน่อยสิ ว่าคนที่คุณหญิงแม่จะให้ฉันแต่งงานด้วย เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ทำงานที่ไหน เอาแบบละเอียดเลยนะ” นั่นไงว่าแล้ว ชายหนุ่มคิดไว้ไม่ผิด ว่างานนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
“นี่นายจะบ้าเหรอ รัฐ นี่มันงานช้างเลยนะ ฉันว่าฉันคงช่วยงานไม่ได้หรอก”
“ช้างยังไง ก็ไม่พ้นมือนายหรอก ฉันเชื่อ แล้วฉันจะรอฟังข่าวดีนะ ไอ้เพื่อนรัก” มือหนักตบลงบนไหล่แข็งแรงของอนิรุตเบาๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างคนมีความหวัง แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าบอกบุญไม่รับเมื่อโดนยัดเยียดภารกิจหนักอึ้งให้โดยที่ตัวเองยังไม่แน่ใจสักนิดว่าจะทำได้หรือเปล่า แต่ก็ตอบกลับไปแบบแบ่งรับแบ่งสู้
“เดี๋ยวฉันจะลองดูก็แล้วกัน”
“ฉันเชื่อมือนาย”
“อืม ฉันจะพยายามสุดความสามารถ ว่าแต่นายมีอะไรอีกหรือเปล่า”
“ไม่มีแล้วเชิญนายตามสบาย”
“ถ้างั้นฉันกลับบ้านก่อนนะ ไม่รู้ป่านนี้แตงกวาจะอาการดีขึ้นหรือยัง” คุณพ่อลูกหนึ่งบอกอย่างเป็นกังวล
“นายรีบกลับเถอะ บอกกิ่งด้วยนะ อีกสองสามวันฉันจะแวะไปเยี่ยม” รัฐวีร์ฝากความถึงเพื่อนสะใภ้
“เดี๋ยวฉันจะบอกให้ ฉันไปละ ออ! ขาดเหลืออะไรก็บอกถวิล กับ จวงได้เลยนะ”อนิรุตไม่วายกำชับ
“รู้แล้วน่า กลับไปได้แล้วไป ป่านนี้ลูกเมียนั่งชะเง้อคอยาวแล้ว”รัฐวีร์ส่ายหน้ากับความเป็นห่วงเกินเหตุของเพื่อนรัก
“เออ ไปแล้ว แล้วเจอกันเพื่อน”ชายหนุ่มเดินมาส่งอนิรุตที่หน้าบ้าน แล้วยืนรอจนรถขับออกถนนใหญ่ไปแล้วจึงกลับเข้าบ้าน

เป็นเพราะยังปรับตัวกับเวลาของเมืองไทยไม่ได้บวกกับบรรยากาศแสนสบายของบ้านหลังใหม่ ทำให้วันนี้รัฐวีร์ตื่นสายกว่าปกติหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดสีขาวสบายๆกับกางเกงเลขาสั้นร่างสูงเพรียวก็เดินลงมาด้านล่าง เมื่อมาถึงเห็นจวงกำลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้องรับแขก
“เป็นอะไรจวง เดินไปเดินมา มีอะไรหรือเปล่า”
“อ้าว คุณรัฐ จวงว่าจะขึ้นไปปลุกเชียวคะ เห็นบ่ายสองโมงแล้วคุณยังไม่ลงมา นึกว่าไม่สบายนะคะ”สาวใช้บอกด้วยความเป็นห่วง
“ผมไม่เป็นไรหรอก แค่เพลียๆกับการเดินทางนะ ว่าแต่ตอนนี้มีอะไรให้ผมรองท้องบ้าง รู้สึกหิวแล้ว”
“มีค่ะ จวงเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว คุณรัฐไปนั่งรอที่โต๊ะอาหารเลยค่ะ เดี๋ยวจวงไปยกมาให้” พูดจบสาวใช้ก็กระวีกระวาดวิ่งเข้าครัวไปเตรียมอาหารให้ผู้เป็นนาย
อาหารมื้อแรกของวันและมื้อแรกที่เมืองไทยเป็นราดหน้าทะเลรสชาติแสนอร่อยฝีมือแม่ครัวมือฉมังอย่างจวง ซึ่งตอนนี้คนทำยืนยิ้มหน้าบานเป็นจานดาวเทียมไปแล้วตั้งแต่ถูกเจ้านายหนุ่มชมต่อหน้าว่าทำอาหารอร่อย แถมจานเปล่าตรงหน้ายังเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดี
“คุณรัฐ อยากได้อะไรอีกมั้ยคะ”
“ไม่มีแล้วละ จวงจะทำอะไรก็ไปทำเถอะ”
“ค่ะ”รับคำเสร็จจวงก็หยิบจานชามที่ชายหนุ่มทานเสร็จแล้วใส่ถาด เพื่อจะนำไปทำความสะอาดในครัว แต่ไม่ทันที่จวงจะเดินออกไปจากห้องอาหาร รัฐวีร์ก็ร้องเรียกเอาไว้ก่อน
“เออ เดี๋ยวจวง พี่ถวิลอยู่ไหนครับ”
“พี่ถวิล กำลังเพาะชำต้นไม้อยู่หลังบ้านค่ะ คุณรัฐ เดี๋ยวจวงไปตามให้นะคะ”
“ไม่ต้องครับ เดี๋ยวผมไปดูเองดีกว่า” พูดจบร่างสูงใหญ่ก็เดินลัดเลาะสนามหญ้าสีเขียวไปหลังบ้าน ร่างที่กำลังก้มๆเงยๆอยู่กับถุงเพาะชำสีดำเรียกความสนใจให้รัฐวีร์ต้องเข้าไปดูใกล้ๆ
“ทำอะไรอยู่ครับพี่ถวิล”
“อ้าวคุณรัฐ ผมกำลังแยกกิ่งเฟื่องฟ้าที่ชำไว้ ใส่ถุงนะครับ คุณรัฐมีอะไรจะใช้ผมเหรอครับ”ถวิลละมือจากงานตรงหน้า แล้วเดินมาหาผู้เป็นนาย
“ไม่มีอะไรหรอกครับ มาผมช่วยดีกว่า” ว่าแล้วร่างสูงก็เดินไปใกล้กองดินสีดำขนาดเล็กที่ถวิลผสมเอาไว้สำหรับเพาะต้นไม้ แต่ถูกคนสวนหนุ่มใหญ่วิ่งมาขวางเอาไว้ก่อน
“ไม่เป็นไรครับคุณรัฐ มันเป็นหน้าที่ของผม เดี๋ยวผมทำเองครับ”ลูกจ้างบอกด้วยความเกรงใจสุดขีด
“ไม่เป็นไรครับพี่ถวิล ผมอยากทำ อยู่เฉยๆแล้วรู้สึกเบื่อ มาครับ มาช่วยกันงานจะได้เสร็จเร็วๆ” พูดจบมือใหญ่สะอาดสะอ้านก็หยิบช้อนขนาดพอดีมือ มาตักดินใส่ถุง แต่นายถวิลยังยืนหันหน้าหันหลังอย่างทำอะไรไม่ถูก จนรัฐวีร์ต้องบอกแกมบังคับให้มาทำงานด้วยกัน นั่นแหละสามีของจวงถึงได้ขยับ แล้วทั้งนายทั้งบ่าวก็ร่วมแรงแข็งขันช่วยกันบรรจุถุงเพาะชำและปักชำกิ่งเฟื่องฟ้ากันอย่างขะมักเขม้น และกว่างานทั้งหมดจะเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบสี่โมงเย็น

ระหว่างรออาหารเย็นรัฐวีร์ก็ฆ่าเวลาด้วยการออกไปนั่งรับลมที่ศาลาริมน้ำ เสียงเรือหางยาวที่วิ่งสวนกันไปมาเพื่อรับส่งผู้โดยสารไม่ได้ก่อให้เกิดความน่ารำคาญแต่มันกลับเป็นสิ่งเติมเต็มธรรมชาติและความเป็นอยู่ของคนในท้องถิ่นนี้ให้ดูสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังฝ่าความเงียบขึ้นมาทำให้รัฐวีร์ต้องละภาพอันสวยงามของพระอาทิตย์ยามใกล้อัสดงมากดรับสายเมื่อชื่อที่โชว์อยู่หน้าจอเป็นของอนิรุต
“เป็นไงบ้าง รัฐ ทุกอย่างโอเคมั้ย”
“โอเค มากเพื่อน ว่าแต่ นายคงไม่โทรมาเพื่อถามแค่นี้หรอกนะ”รัฐวีร์ถามอย่างรู้ทัน
“แหม นายนี่ยังรู้ใจฉันเหมือนเดิมนะ”อนิรุตพูดกลั้วหัวเราะเมื่อโดนจับไต๋ได้
“ไม่อย่างนั้น ฉันจะเป็นเพื่อนรักของนายได้เหรอ”
“อืม งั้นคืนนี้ออกไปหาอะไรดื่มกันหน่อยดีกว่า ฉันจะโทรนัดไอ้สิงห์ กับ ไอ้เสก ไว้แล้ว”อนิรุตบอกแผนการที่ตนเองดำเนินการไปล่วงหน้า
“เฮ้ย นี่นายหัวสิงห์มันยอมออกจากถ้ำจริงๆแล้วเหรอเนี่ย” รัฐวีร์ถามถึงสิงหรัตน์ เพื่อนร่วมก๊วนที่ถูกตั้งฉายาเป็นเสือจำศีล ซึ่งขณะนี้เจ้าตัวกำลังบุกเบิกทำธุรกิจอยู่บนเกาะแถบทะเลทางภาคใต้ นานๆครั้งถึงจะยอมโผล่หน้ามาสังสรรค์กับเพื่อนฝูง
“ก็ใช่นะสิ ไม่รู้นึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรขึ้นมา เห็นว่าคราวนี้จะมาอยู่นานเป็นเดือนเลยนะ” อนิรุตบอกด้วยความตื่นเต้นกับสิ่งที่ตนเองก็ไม่อยากจะเชื่อ เพราะสิงหรัตน์เป็นคนบ้างานตัวจริง
“อืม งั้นเดี๋ยวนายมารับฉันด้วยนะ”
“ได้เพื่อน อีกสามชั่วโมงเจอกัน”
“โอเค แล้วเดี๋ยวเจอกัน” วางสายจากอนิรุต รัฐวีร์ก็เดินไปยกเลิกอาหารมื้อเย็นกับจวง แล้วถือโอกาสออกไปวิ่งจ๊อกกิ้งเรียกเหงื่อ

เป็นเพราะย่างเข้าฤดูหนาวทำให้บรรยากาศยามพลบค่ำมาเร็วกว่าปกติ ทั่วบริเวณโดยรอบกำลังถูกราตรีกาลเข้ามาครอบคลุม รัฐวีร์กำลังเพลินอยู่กับการเดินสำรวจไปตามถนนคอนกรีตรอบหมู่บ้าน แต่ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะวิ่งกลับบ้าน รถสปอร์ตสีแดงเพลิงราคาแพงลิบลิ่วก็วิ่งเข้ามาจอดเทียบริมฟุตบาท เสียงเครื่องยนต์ก็ถูกเร่งขึ้นอย่างจงใจ ก่อนที่คนขับ จะขับรถตรงดิ่งมาในแนวเดียวกับที่รัฐวีร์กำลังวิ่งสวนมา จากสายตาที่ประเมินท่าทีแล้ว ดูเหมือนคนขับจงใจจะขับเข้าใกล้ร่างบอบบางของใครบางคนที่เดินก้มหน้าก้มตาของเบื้องหน้าของเขามากกว่า
ด้วยสัญชาตญาน ทำให้รัฐวีร์ต้องรีบเร่งสปีดความเร็วของตนเองไปข้างหน้าแล้วคว้าเอาร่างเล็กที่ตกเป็นเป้านิ่งให้กับรถคนนั้นมาไว้ในอ้อมแขน ก่อนที่ทั้งสองจะล้มลงไปนอนกลิ้งอยู่บนแอ่งน้ำขังชื้นแฉะ
“โอ๊ะ”
“อุ๊ย ว๊าย” ปัญณดาร้องเสียงหลง แข่งกับเสียงรถที่จอดติดเครื่องห่างออกไปราวสิบเมตร หญิงสาวพยายามยันกายลุกขึ้นจากร่างบึกบึนที่ตนเองทับอยู่อย่างยากเย็นเพราะรู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อศอกและสะโพก เสื้อผ้าชุดสวยเลอะเทอะไปด้วยน้ำครำ
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เสียงทุ้มชวนฟังของพลเมืองดีที่ช่วยเหลือไว้ทำให้ปัญณดาหันกลับไปมอง ดวงตากลมโต มองสบกับตาคู่คมของอีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งใจ สองสายตาประสานกันชั่วเสี้ยววินาทีก่อนที่หญิงสาวจะเป็นฝ่ายหลบสายตา
“เอ่อ ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ แล้วคุณละคะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้คุณต้องเจ็บตัว” รัฐวีร์แอบพินิจใบหน้านวลเนียน นัยน์ตาหวานเศร้ารับกับคิ้วโก่งและขนตางามงอน จมูกโด่งเป็นสันเชิดนิดๆ ริมฝีปากสีกุหลาบที่คาดว่าคงจะหวานปานน้ำผึ้งหากได้ลิ้มลอง
“คุณคะ” เสียงเรียกของสาวสวยข้างกายทำให้รัฐวีร์หลุดจากภวังค์ แถมยังก่นด่าตนเองที่เผลอคิดอะไรเพ้อเจ้อกับผู้หญิงที่เพิ่งเจอกันไม่ถึงสองนาที
“ครับ”
“ฉันต้องขอบคุณ คุณมากนะคะ” ปัญณดาเอ่ยเสียงเบา
“คุณไม่เป็นไรก็ดีแล้ว รีบเก็บของเถอะครับ แล้วก็รอผมอยู่ตรงนี้นะ ผมขอจัดการกับเจ้าของรถคันนั้นก่อน” รัฐวีร์ประคองร่างของหญิงสาวที่เขาเพิ่งช่วยชีวิตไว้ได้อย่างหวุดหวิดให้ลุกขึ้นยืน มือแข็งแรงออกอาการสั่นนิดๆอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนยามได้แตะเนื้อนุ่มนิ่มนั้น
“ฉันว่าเราอย่ามีเรื่องกันเลยนะคะ มันเป็นแค่อุบัติเหตุ” ปัญณดารีบห้ามเอาไว้ เมื่อเห็นท่าทางเอาเรื่องของพลเมืองดี เธอไม่อยากมีเรื่องมีราว โดยเฉพาะกับเจ้าของรถคันนั้น
“ไม่ได้นะครับ นี่มันไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่มันเป็นความตั้งใจ ถ้าเราหลบไม่ทันมีหวังได้เป็นผีเฝ้าถนนไปแล้ว คุณไม่ต้องกลัว เดี๋ยวเราไปแจ้งความผมจะเป็นพยานให้คุณเอง” รัฐวีร์อ่านเหตุการณ์ทั้งหมดทะลุปรุโปร่ง หากไม่จงใจแล้วทำไมจะต้องขับเบียดมาบนถนนอีกฝั่งทั้งที่ ตนเองก็ขับรถอยู่เลนขวา แต่นี่ขับกินเลนมาอย่างเจตนา ถ้าจะมองว่าเป็นอุบัติเหตุคงจะฟังดูตลกเกินไป
“อย่าให้ถึงขนาดนั้นเลยค่ะ เราสองคนไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” เธอร้องห้ามเสียงเครือ
“ไม่ได้ ผมไม่ยอมหรอก ยังไงก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง”พูดจบรัฐวีร์ก็เดินดุ่มๆจากไป โดยที่ปัญณดาไม่มีสิทธิจะทัดทาน เธอได้แต่มองหายนะที่กำลังจะมาเยือนตนเองในไม่ช้าด้วยความหวั่นใจ



มนพัทธ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 เม.ย. 2555, 21:16:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 เม.ย. 2555, 21:16:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 1402





ปูจ้า 16 เม.ย. 2555, 08:40:41 น.
ว๊าวๆๆๆนางเอกกับพระเอกเจอกันแล้วสินะ ใครกันที่ขับรถชนน่ะอย่าบอกนะว่าคือตัวอิจฉาหน่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account