จนกว่าเราจะรักกัน

Tags: บ้านไร่ ทุ่งนา ป่าอ้อย เสี่ยหนุ่ม

ตอน: บทที่ 1-2

ก่อนอื่นต้องสวัสดีเพื่อนๆชาวเลิฟทุกคนนะครับ
หายไปเป็นปี คราวนี้มาพร้อมคำขอโทษที่ลงนิยายเรื่อง "ไฟคืนหนาว" ไม่จบ เพราะความขี้เกียจเลยดองคาไว้เป็นปี ก็เลยเอานิยายเรื่องนี้มาลงแทนเป็นการแก้ตัว เขียนจบแล้วครับ สดๆร้อนๆเมื่อวานนี้ สัญญาว่าจะเอามาลงทุกวัน ให้เพื่อนๆอ่านก่อนส่ง บก.พิจารณาอีกที
รักทุกคน :)
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐ๆ


บทที่ 1

เขาต้องการภรรยา...

นี่คือสิ่งที่ เชษฐ์ อินทรพุฒิศักดิ์ ยืนยันกับตัวเอง หลังจากครุ่นคิดไปมาซ้ำซาก
ความต้องการทางกายมันรุนแรงเหลือเกิน เกินกว่าที่เขาจะหาทางตอบสนองความต้องการบัดซบนี้ได้ ... ภายในบริเวณไร่อันร้อนแล้ง ที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้ง ฝุ่น และแม่วัวไร้สายพันธุ์

ทุกคืนค่ำที่เขาเอนตัวลงนอน ความโหยหาบางประการได้กลบอาการเหนื่อยล้าจากการกรำงานในไร่ เขารู้ว่ามันคืออะไร และทางออกสำหรับความยุ่งยากแห่งวัยหนุ่มนี้ก็คือ... การมีภรรยาดีๆ สักคน ที่ไม่เรื่องมาก ไม่มีปากมีเสียง มีเหตุผล สามารถตอบสนองความสมบูรณ์พร้อมแห่งวัยฉกรรจ์ของเขาได้ พร้อมจะมีลูกกับเขาสักโหล และผู้หญิงคนที่ว่าจะต้องอยู่ในไร่อันแสนจะไม่สะดวกสบายนี้ได้อย่างไม่ลำบากใจจนเกินไป

แน่ละว่า หล่อนจะต้องเป็นผู้หญิงที่อึดพอสมควร

เชษฐ์เคยคบผู้หญิงมามากหน้า ทั้งในแบบจริงจังและวูบวาบประเดี๋ยวประด๋าว จากสถิติพบว่าพวกหล่อนมักจะพอใจเพียงแค่เงินในกระเป๋าและเซ็กซ์อันเผ็ดร้อนจากเขาเท่านั้น พอจะเอาเข้าจริงก็ไม่มีใครอยากทนอยู่กับความจริงอันแสนทุรกันดาร ความหวังที่จะมีเมียเป็นตัวเป็นตนของเชษฐ์จึงเข้าขั้นริบหรี่

มันยาก... แต่ก็ไม่สิ้นหวังไปซะทีเดียว

ชายหนุ่มเคยคิดที่จะหาหญิงชาวบ้านแถวนี้มาเป็นเมีย หากพอเดินออกจากไร่ไปสำรวจความจริงก็พบว่า หญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเขามีลูกถึงวัยเข้าโรงเรียนกันแล้ว ที่เหลืออยู่ก็เด็กอายุสิบสี่สิบห้า ยังคงรักสนุก และควรที่จะได้เรียนหนังสือในชั้นที่สูงขึ้น

ความยุ่งยากที่เกือบจะไร้ทางออก ได้ทำให้เชษฐ์นึกถึงสัญญาฉบับหนึ่ง เขาค้นมันออกมาจากในลิ้นชัก ช่วงกลางดึกของคืนเงียบในฤดูร้อน

เชษฐ์ค่อยๆอ่านมันทีละบรรทัดอย่างใจเย็น เมื่อจับใจความของเอกสารนั้นได้ เขาก็อ่านทวนรอบแล้วรอบเล่า แล้วก็นั่งคิดอยู่ที่โต๊ะทำงานค่อนคืน
ก่อนตัดสินใจเดินทางมาที่นี่...


สายตาที่มองมานั้นสะท้อนความรู้สึกหลายอย่าง เชษฐ์ยิ้มรับความไม่เป็นมิตรนั้นอย่างไม่ถือสา หล่อนอาจจะยังตระหนก สับสน หรือว่าอาจจะกระโดดขึ้นมาตะบันหน้าเขาก็ได้

“อย่าหาว่าผมเร่งรัดเลยนะครับคุณอา” เชษฐ์ถอนสายตาจากแม่สาวหน้านิ่งเพื่อสนทนากับบิดาของหล่อน “เราไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กันเลย ตั้งแต่ผมยังเล็ก เติบโตมาเป็นวัยรุ่น จนถึงวันที่ผมคิดว่าอยากจะมีครอบครัว”
ชายชราที่นั่งเอนหลังอยู่กับโซฟาพยักหน้าอย่างเข้าใจ ถอนหายใจออกมา แล้วว่าด้วยเสียงแหบเหนื่อยตามวัย “อาคิดถึงมันอยู่เสมอ อาคิดเสมอว่าอาเป็นหนี้เชษฐ์”

“อย่าเรียกว่าหนี้เลยครับ” เชษฐ์แย้ง แต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ไม่ได้ยืนยันในสิ่งที่เขาพูด “คุณพ่อของผมมีเงินร่ำรวยขึ้นมาได้ก็เพราะบารมีของคุณอา”
“แต่มันก็เป็นอดีตไปแล้ว ความจริงที่เหลืออยู่ในวันนี้คืออาต้องหาเงินมาใช้หนี้หลาน” พลโทศักดายกตัวขึ้นมาจากพนักนุ่ม “มันเป็นเงินเท่าไหร่กันล่ะ” ประโยคท้ายแสดงความไม่ใส่ใจและดูแคลน
เชษฐ์กางกระดาษในมือ “สิบหกล้านสามแสนสองหมื่นเจ็ดพันสิบห้าบาท กับอีกเจ็ดสิบห้าสตางค์ครับ รวมดอกเบี้ยทั้งหมดแล้ว”

ตอนที่พูดจบ เขาก็จับได้ว่าคนทั้งหมดตรงหน้ากำลังนั่งตัวเกร็ง สะกดอารมณ์ให้นิ่ง พวกผู้ดีก็อย่างนี้ละ หน้าตาต้องมาก่อน ส่วนข้างในจะกลวงแค่ไหนมีแต่พวกเขาเองที่รู้ดี

“แต่ในตอนท้ายของสัญญาบอกไว้ว่า หากฝ่ายคุณอาไม่อยากชดใช้เป็นเงิน ให้ถือว่าเงินจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งคือสินสอดสำหรับการแต่งงาน ระหว่างผมกับ...” เขาหยุด เพราะกลัวจะเอ่ยชื่อของหล่อนผิดให้หมางใจกันไปอีก
“พิมพ์รดา”
“ครับ ระหว่างผมกับคุณพิมพ์รดา”

เชษฐ์ถือโอกาสสำรวจหล่อนอีกครั้ง และพบว่าพิมพ์รดาเป็นคนสวย ผิวของหล่อนเป็นสีน้ำผึ้ง มีใบหน้ารูปไข่หวานซึ้ง อาจจะเป็นเพราะดวงตาคู่นั้น ตากลมโตคู่สวยเคียงกับแพขนตายาวงอน ดวงตาที่มีประกายวาววับ คลับคล้ายว่าหล่อนจะร้องไห้ แต่เขารู้ว่ามันไม่ใช่ หล่อนปัดหน้าบางๆ หากโดดเด่นด้วยสีลิปสติกที่เคลือบบนริมฝีปากอิ่ม คางของหล่อนแหลมเรียวลงมา ให้เขานึกถึงหยดน้ำที่กำลังจะร่วง จมูกเป็นสันงามวางอยู่กลางหน้าระหว่างต่างหูระย้าย้อย ผมดำสวยม้วนเป็นลอนใหญ่ถูกรวบมาไว้ข้างไหล่ด้านขวา หล่อนแต่งตัวด้วยชุดอยู่บ้าน หากมีความเป็นทางการอยู่เสมอ ดูก็รู้ว่าของทุกชิ้นมีราคาแพง ตามแบบฉบับของพวกผู้ดี
สายตาจาบจ้วงของเขาทำให้พิมพ์รดาก็ผินหน้าไปทางอื่น

หล่อนไม่สบอารมณ์ ...เขารู้ และสำนึกส่วนใหญ่ก็สั่งให้เชษฐ์สงสารหล่อน และหยุดการบีบเค้นนี้เสีย หากวิญญาณของบิดามารดาที่มองอยู่ ผลักให้เขาต้องทำในสิ่งที่พวกท่านคิดว่าถูกต้อง อันได้แก่สิทธิที่เขาควรมีควรได้ ไม่ว่าจะเป็นเงิน หรือภรรยาอย่างที่เขาต้องการ

ถึงตอนนี้เขาจึงชี้แจงต่อ “และเงินอีกครึ่งหนึ่ง แบ่งไว้สำหรับรับขวัญหลานที่จะเกิดจากการแต่งงานนั้น และในวันที่ผมมีลูกให้ถือว่าหนี้สินหมดสิ้น ไม่มี...”

“พอ... พอได้แล้ว” เป็นดาวประดับที่ร้องขึ้น หล่อนไม่สามารถวางใจให้สงบดังความตั้งใจในเบื้องแรก มันมากเกินไป เกินกว่าลูกหนี้กิตติมศักดิ์อย่างหล่อนจะรับได้ “ฉันไม่อยากจะฟัง”
“ยังไม่จบเลยครับคุณอา”

ในจังหวะที่หันกลับมา พิมพ์รดาแน่ใจว่าเชษฐ์กำลังหัวเราะ แววตาของเขาเย็นชาเหลือเกิน มันอำมหิตและเลือดเย็นเกินกว่าที่หล่อนจะนึกถึงวันแต่งงานบ้าบอได้

“ยังไงก็ตามเถอะ สัญญานั้นฉันเป็นคนเขียนขึ้นกับมือ ฉันจำได้ทุกตัวอักษร” ดาวประดับโบกมือ ยืดคอราวกับนางหงส์ แม้จะเป็นหงส์ที่ห่อหุ้มด้วยโทสะ “ฉันจะพยายามหาเงินมาให้เธอโดยเร็วที่สุด”

“เมื่อไหร่ครับ”
ถ้าเชษฐ์จำไม่ผิด คุณดาวประดับสะดุ้งนิดตอนเขาถาม หากแต่แกล้งโบกพัดไปมา ทั้งที่อากาศในห้องก็เย็นจัด
“เร็วๆ นี้” หญิงสูงวัยจิกสายตาด้วยความเคยชิน หล่อนไม่เคยถูกใครไล่ต้อนมาก่อน ตอนนี้มองไปทางไหนจึงมีแต่ไอร้อนเต้นเร่าทั่วบ้าน หัวใจที่กระโดดโครมครามเริ่มบดบังความสามารถทางการได้ยิน และด้วยพื้นฐาน หล่อนเองก็ไม่อยากรับรู้ว่าไอ้หนุ่มบ้านนอกคนนี้จะพล่ามอะไร
หญิงเจ้าบ้านทำท่าจะผุดลุกขึ้น แต่สามีก็ฉวยข้อมือของหล่อนเอาไว้ ให้ดาวประดับชักสีหน้าไม่พอใจภายใต้ริ้วรอยและคราบเครื่องสำอางแน่นหนา หล่อนจำใจกลับมาเผชิญหน้ากับแขกที่ไม่เคยคิดจะคบค้าอีกครั้ง

“ถ้าฉันไม่จ่าย แกจะทำอะไรฉัน”

ท่าทางโอหังของคนเคยตัวไม่ได้ทำให้เชษฐ์ประหลาดใจเลย เขาขยับริมฝีปาก แล้วพูดออกมาด้วยท่าทีสบายๆ
“ผมคงต้องปรึกษาทนาย เป็นไปได้ก็ไม่อยากพึ่งศาลหรอกครับ”

“แกขู่ฉันเหรอไอ้เชษฐ์ ไอ้เด็กเมื่อวานซืน หน็อยแน่ เงินเล็กน้อยแค่นี้ แกคิดว่าฉันไม่มีปัญญาหามาจ่ายแกเหรอ ลูกสาวของฉันมีคู่รักอยู่แล้ว แกเลิกฝันเสียเถอะ ไอ้สกปรก แค่แกมานั่งอยู่ในบ้านหลังนี้ฉันก็ไม่อยากจะหายใจแล้ว”

“หยุดนะประดับดาว”

“ฉันไม่หยุด และคุณก็ควรจะไล่ไอ้กุ๊ยนี้ออกจากบ้านไปได้แล้ว นั่งบื้อให้เด็กเมื่อวานซืนเล่นงานอยู่ได้”
เชษฐ์พิเคราะห์คำด่านั้นอยู่พักหนึ่ง ไม่เตรียมตัวมาก่อนว่าจะมาเจอกับถ้อยคำหยาบคายของพวกผู้ดีในเมืองหลวง โลกของเขาตอนนี้จึงมีเพียงลมหายใจเข้าออก ไม่เช่นนั้นอาจจะต้องระเบิดอารมณ์ตามแรงยั่วของหญิงแก่

“ผมคงคิดผิดที่รั้งคุณไว้ในตอนแรก” นายทหารปลดเกษียณส่ายหน้า เขาอาจจะบังคับบัญชาลูกน้องได้ แต่ภรรยาของเขากลับไม่เคยเชื่อฟังเขาเลย “เชิญ” เขาผายมือ “เชิญคุณขึ้นไปพักผ่อนตามสบาย เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเอง”

ไม่ทันที่สามีจะพูดจบ หล่อนก็เดินสะบัดออกไปจากบริเวณนั้นแล้ว
“อาขอโทษแทนดาวประดับด้วยนะ แก่แล้วก็อย่างงี้ อารมณ์แปรปรวน ควบคุมไม่ค่อยได้”
เชษฐ์ยิ้ม ทว่าไม่มีแววขบขันอยู่ในดวงตา

จะอย่างไรก็ตาม มนุษย์เราไม่นิยมให้คนอื่นมาดูถูก และเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น แม้เขาจะมาจากบ้านป่าเมืองไกล แต่เขาก็มีการศึกษา และเจ้าของบ้านควรจะปฏิบัติต่อเขาอย่างผู้มีอารยะ

“ผมไม่คิดว่าจะมาทวงเงินสิบกว่าล้านจากคุณอาภายในวันเดียวหรอกนะครับ” เขาสูดลมหายใจล้ำลึก “ที่ผมมาปรึกษาวันนี้ก็อยากจะทราบว่าเรามีหนทางแก้ไขความยุ่งยากนี้ได้อย่างไรบ้าง ผมเองก็ใช่ว่าจะไม่เดือดร้อน ตอนนี้ที่ไร่ผมกำลังมีปัญหา ผมต้องการเงินไปพัฒนาระบบสาธารณูปโภค รวมถึงปรับปรุงระบบงานในไร่หลายอย่าง ไม่เช่นนั้นผมอาจจะล้มไม่เป็นท่าในอีกสองสามปีข้างหน้า”

“อาเข้าใจ” ตอนนี้เหมือนมีริ้วรอยเกิดขึ้นบนใบหน้าย่นของเจ้าบ้านอีกอย่างน้อยสองรอย “ให้เวลาอาหน่อย สัปดาห์หน้าอาจะโทรไปบอกเชษฐ์ว่าเราจะจัดการเรื่องนี้ยังไง”

“ครับ” เขาลุกขึ้น “งั้นผมลา”

และเขาคงจะขับรถออกมาเลยหากไม่มีเสียงของใครบางคนเรียกเอาไว้

พิมพ์รดาต้องการคุยกับเขา และเขาก็เห็นว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เปิดใจ และทำความรู้จัก
ถ้าจะพูดแบบไม่อ้อมค้อม เขากับหล่อนไม่ต่างอะไรกับคนแปลกหน้า การเรียนรู้จึงเป็นสิ่งจำเป็นในเบื้องแรก แต่เขาก็ไม่ได้หวังว่าความสัมพันธ์จะคืบหน้าต่อไปในทางที่ดี

พิมพ์รดานำเขาออกไปที่ศาลาหน้าบ้าน
มันเป็นบ่ายแก่ที่พระอาทิตย์ไม่คิดจะหลบหลังเมฆ ที่ไรผมข้างหูของหล่อนจึงมีเหงื่อซึมออกมา ผุดเป็นแนวไปถึงท้ายทอย ใต้พวงผมสีดำจัดที่หล่อนได้รวบเป็นหางม้าเอาไว้เมื่อก่อนออกจากบ้าน และที่ปลายจมูกเล็กนั้นอีก เชษฐ์เห็นเม็ดเหงื่อจับอยู่ ตอนนี้หล่อนคงเครียด และใช้ความคิดอย่างหนัก แต่เชษฐ์ก็ไม่รู้จะช่วยคลายความเหนื่อยหนักที่ว่านี้ได้อย่างไร นอกเสียจากเขาจะฉีกสัญญาทิ้ง ไม่ก็เผามันเสีย ซึ่งชายหนุ่มคิดว่ามันคงเป็นสิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้

แต่เขาไม่ทำ!

“เชิญนั่งค่ะ” เสียงของหล่อนเป็นกังวานและทรงเสน่ห์ แม้ใบหน้าจะฉาบด้วยความกังวล พิมพ์รดาก็ยังฝืนยิ้ม “คุณจะรับกาแฟเย็นอีกสักแก้วไหมคะ”

“ไม่แล้วครับ”
เขาไม่คิดถึงกาแฟ แต่เป็นการแลกจูบอย่างดูดดื่มกับหล่อน และความคิดดังว่าทำให้ความเป็นชายของเขาขึงขังขึ้นมาปุบปับ จนชายหนุ่มต้องรีบนั่งในตำแหน่งที่หล่อนผายมือให้ ซึ่งมันก็คือม้านั่งฝั่งตรงข้าม หากไกลกันคนละฟากโลกในความรู้สึก

เขาอยากขยับเข้าไปใกล้กว่านี้ โลมไล้หล่อนด้วยสายตา สูดเอากลิ่นดอกไม้ที่อวลอยู่ใกล้ชายเสื้อ เขารู้สึกชอบหล่อน เพราะหล่อนเป็นคนสวย

ลมร้อนพัดมาวูบไหว ให้ต่างฝ่ายสูดลมหายใจเรียกรวมสติ และก็เป็นพิมพ์รดาเองที่เป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน
“ตอนนี้คุณยังโสดอยู่หรอกหรือคะ”

“คงอย่างนั้นแหละครับ” เขายักไหล่ ด้วยเห็นว่าเป็นคำถามที่ไม่เข้าท่า และเขาก็เคยพูดไปแล้วเมื่อตอนอยู่ในบ้าน หรือหล่อนอาจจะไม่ได้ฟัง นั่นยิ่งเลวร้ายไปใหญ่ที่หญิงสาวจะบอกว่าไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาแถลงก่อนหน้านี้เลย

“แล้วคุณล่ะ”
“ฉันมีคนรักอยู่แล้ว นั่นคือปัญหา”

เชษฐ์หัวเราะ เขาอาจจะนึกสมเพชตัวเองอยู่ หล่อนมีคนรักอยู่แล้ว แต่ถึงแม้หล่อนไม่มี มันก็คงไม่มีความหมายอะไร เพราะท้ายที่สุด การพูดคุยในวันนี้มีทางออกอยู่แค่ช่องเดียว

“ที่ผมมาวันนี้ ผมมาทวงเงิน ไม่ได้หวังจะลากเอาคุณไปลำบากด้วยหรอกครับ ถ้าจะให้ผมพูดตรงๆ คุณไม่เหมาะที่จะไปอยู่ไร่กับผมหรอก”

แม้จะรู้สึกพอใจกับรูปลักษณ์อันยวนเย้าของคนตรงข้าม แต่เขาก็พูดออกไปตามจริงอย่างใจหวิว


ชาวไร่อย่างเขาไม่มีเวลาคิดเรื่องความสวยงาม เสื้อผ้าทันสมัย ทรงผมแฟชั่น เครื่องเพชร หรือความหรูหราฟุ่มเฟือยอื่นใด และพิมพ์รดาก็คงจะรับไม่ได้ ยิ่งถ้าหล่อนได้รู้ว่าวันอันแสนธรรมดาของเขาจะไม่มีวันหมดไปกับการบำรุงบำเรอหล่อน หากเอาแต่หมกมุ่นครุ่นคิดแก้ปัญหาจิปาถะ อย่าง... วัวจะตกลูกเมื่อไหร่ ไร่อ้อยของเขามีวัชพืชตรงไหนบ้าง มีโรคระบาดหรือไม่ นาข้าวจะผ่านความแห้งแล้งไปได้อย่างไรในเมื่อฝนไม่ตกลงมาเลย วิธีการที่จะเร่งให้มันสำปะหลังออกหัวใหญ่ขึ้น และอีกสารพัดที่จะทำให้เขาวุ่นวายในแต่ละวัน ดังนั้นแล้ว หากได้เห็นกิจกรรมดังกล่าวที่ว่ามา หล่อนจะต้องร้องกรี๊ดออกมาอย่างคนบ้าแน่ๆ

เขารักผืนดินของเขา อย่างที่พ่อแม่ของเขารัก นี่คือสิ่งที่เขารู้
และมรดกผืนนี้จะต้องตกไปถึงลูกของเขาอย่างที่มันควรจะเป็น
... ส่งต่อความรัก เสียงหัวเราะ และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนผืนดินให้กับทายาทรุ่นต่อไป

“แต่ถ้าเลือกไม่ได้..” พิมพ์รดาผุดลุกขึ้น ประสานมือเรียวไว้ที่หน้าตักอย่างไม่จำเป็น “คุณก็ต้องรับฉันไปด้วยอยู่ดี”

“ผมคงทำแบบนั้นไม่ได้หรอก นี่มันยุคไหนแล้ว สัญญาบ้าบอนั่นได้ทำขึ้นตั้งแต่ยุคละครน้ำเน่าเฟื่องฟู คุณไม่พอใจการคลุมถุงชน ผมรู้ และผมก็ไม่ชอบด้วย แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ผมต่างจากคุณ คือผมแก่เกินไป เกินกว่าที่จะเพ้อฝันถึงความรักเลื่อนลอย ตอนนี้ผมสามารถแต่งงานกับผู้หญิงคนไหนก็ได้ ขอแค่หน้าตาของหล่อนเป็นมิตรกับอารมณ์ทางเพศ ซื่อสัตย์ รักลูกของผม เธอไม่จำเป็นต้องรักผมเลยก็ได้ ขอแค่เธอรักลูก และสามารถทำหน้าที่แม่บ้านในไร่อันแสนห่างไกลจากความเจริญได้” เขาถอนหายใจ “ซึ่งมันก็มากเกินไป เกินกว่าที่ผมจะหาผู้หญิงดีๆ ได้สักคน”

ปณิธานของเขาน่าเกลียดเหลือเกิน มันน่าสมเพชเกินกว่าคนบูชารักแท้อย่างหล่อนจะรับได้

พิมพ์รดาขอสละความดีที่เคยทำให้กับความคิดที่ร้ายกาจนั่น
คนเราจะมีชีวิตคู่ที่มีความสุขได้อย่างไร หากคนทั้งสองไม่ได้รัก...
ถ้ามองเรื่องนี้เป็นข้อแตกต่างระหว่างเขากับหล่อน มันไม่ใช่แค่ช่องว่าง หากคือหุบเหวกว้างใหญ่ ลึกล้ำดำมืด จนหล่อนไม่อาจเดินข้ามไป แม้จะมีสะพานใหญ่ทนทานแค่ไหนทอดมาก็ตาม

“เป็นอุดมการณ์ที่น่ายกย่องจังเลยนะคะ”
เขารู้ว่าหล่อนประชด ในจังหวะที่ใบหน้ารูปไข่นั้นเผลอเชิดขึ้น
“เห็นไหมล่ะว่าคุณไม่เหมาะที่จะเป็นเมียของผม”
เมีย... ถ้ามารดาของหล่อนมาได้ยินคงจะร้องกรี๊ดกับคำหยาบไม่คล่องปากผู้ดีคำนี้ หล่อนเองก็หน้าแดงขึ้นมาเหมือนกันตอนที่เขาพูดขึ้นมาตรงๆ คล้ายมีอะไรลอยแหวกมวลอากาศมาตีแสกเข้ากลางหน้าผาก
แต่ก็ดี หล่อนจะได้รู้ว่าเขาเป็นคนยังไงตั้งแต่เริ่มต้น

“คุณเองก็ไม่เหมาะที่จะมาเป็นสามีฉัน”
พิมพ์รดามองเขาอย่างท้าทาย พอใจที่ได้โอกาสโต้ ซึ่งเขาก็ได้แต่ยิ้ม

เชษฐ์ไม่สนใจหรอกว่าหล่อนจะสวยแพรวพราว มีหัวคิด หรือไม่ยอมคนตามแบบฉบับของสาวยุคใหม่ที่ถูกตามใจมาจนเคยตัว ณ ตอนนี้เขาเพียงต้องการภรรยาพูดน้อย อึด และว่านอนสอนง่าย เพียงแค่หนึ่งคน

พิมพ์รดาไม่เหมาะกับการเป็นแม่บ้านประจำไร่ แต่เหมาะจะเป็นคู่นอนของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ!

ขาของหล่อนเล็กเรียว มีเสน่ห์ เหมาะที่จะเกี่ยวเอวของเขาไว้บนเตียง มากกว่าที่จะไปเดินไล่แม่ไก่ หรือให้อาหารหมูในเล้า เขาต้องการหล่อน นั่นคือเสียงร้องจากความรู้สึกอันดิบเถื่อน ทว่าเขาก็ไม่สามารถเผยความต้องการนั้นออกมาได้ มันดูอ่อนหัดเกินไป

“งั้นเราก็มีความคิดตรงกัน”
“ใช่ค่ะ”
หล่อนยิ้ม ดวงตากลมโตไม่มีแววขลาดเขลาอยู่เลย นั่นเป็นอีกสิ่งที่เขาชอบ หล่อนเป็นคนมั่นใจ แต่งตัวเก่ง และคุณสมบัติดังว่าเกินกว่าความต้องการที่เขาระบุไว้

“ขอบคุณนะคะที่สละเวลามาคุยกับฉัน ฉันไม่อยากรบกวนเวลาคุณแล้ว แล้วเจอกันค่ะ” รอยยิ้มที่คลี่ส่งแทบจะตรึงเชษฐ์ไว้กับที่ “ในวันที่ฉันนำเงินทั้งหมดไปคืนคุณ”

“ยินดีครับ”
เขาเฝ้ามองร่างสะโอดสะองเดินลับหายเข้าไปในบ้าน ให้เกิดความรู้สึกโหยหา
บั้นท้ายของหล่อนหยอกเย้าสายตาผู้ชายอย่างเขาจนเกินไป

เขาปรารถนาหล่อน
แน่นอนว่ามันต้องเป็นแบบชั่วครั้งชั่วคราว
ถ้าหล่อนจับพลัดจับผลูได้ไปเป็นเมียของเขาอย่างในละคร เชษฐ์นึกไม่ออกว่าเขาจะมีกะจิตกะใจไปทำงานอย่างอื่นอะไรได้ นอกเสียจากอุทิศเวลาทั้งหมดให้กับหล่อนบนเตียงนอน
และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของหายนะ
หล่อนไม่เหมาะกับหนุ่มชาวไร่อย่างเขา
จริงๆ นะ

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

บทที่ 2

พิมพ์รดานำปัญหาหนักอกไปถ่ายผองให้กับพี่ชายที่หนีคดีฉ้อโกงไปอยู่ต่างประเทศ หล่อนรู้ว่าเขากำลังลำบาก ชีวิตของคนงานในไร่องุ่นไม่ได้สวยงามดั่งฉากหนึ่งในละคร เขาต้องเก็บหอมรอมริบเพียงเพื่อให้มีเงินค่าเช่าบ้าน ค่าอาหาร และเสื้อผ้าเลวๆ สำหรับหน้าหนาวอันแสนทรมาน แต่พิมพ์รดาก็ไม่อาจพึ่งพาใครได้ในตอนนี้ เมื่อพ่อแม่หมางเมินต่อกัน ครอบครัวของหล่อนกำลังมีสงครามเล็กๆ มันก่อตัวขึ้นจากความเงียบเชียบ ซึ่งหล่อนก็รู้ว่ามันคืออะไร คนเดียวที่พอจะช่วยคลายความกลัดกลุ้มได้ก็คือพี่ชายร่วมสายเลือดเพียงคนเดียว

“แกคงไม่คิดจะไปเป็นแม่พันธุ์ให้กับไอ้หนุ่มชาวบ้านคนนั้นหรอกนะยายฟาง”
เสียงอู้อี้ที่ส่งมาทำให้พิมพ์รดารู้ว่าเขากำลังเคี้ยวอะไรไปด้วย
อยากถามว่าเขากินอะไร
แต่กลัวคำตอบที่ได้จะสั่งให้น้ำตาไหลออกมา...
หล่อนรู้ว่าเขาไม่ได้กินของดีนักหรอก อย่างมากก็คงเป็นขนมปังแข็งๆ สักชิ้น ทาด้วยแยมผลไม้ ไม่ก็เนยก้อนจิ๋ว กับไส้กรอกราคาไม่กี่เหรียญ โชคยังดีที่เขาได้ดื่มนม พี่ชายเคยบอกหล่อนว่าเจ้าของไร่มีนมให้ดื่มฟรี

“แน่ล่ะ ฉันไม่อยากไป แต่ก็ยังคิดอยู่ว่าจะไปหาเงินขนาดนั้นมาจากที่ไหน”

“ระยำเอ๊ย” พัฒน์ร้อง “ทำไมเรื่องนรกพวกนี้ถึงเกิดขึ้นกับครอบครัวเราไม่หยุดหย่อนนะ”
“มันคือคำสาป” หล่อนแสร้งหัวเราะ เพราะรู้ดีว่าที่พี่ชายต้องหนีหัวหดนั้นเป็นเพราะเขาถูกใส่ร้าย เขาซื่อ และดีเกินไป จนตกเป็นเครื่องมือของพวกมีอำนาจ
“แต่ฉันก็ไม่หวังว่าแกจะสิ้นคิดไปเป็นแม่บ้านนมยานให้กับไอ้เชษฐ์หรอกนะ ฉันเคยเจอมัน บ้านนอกไร้รสนิยมสิ้นดี”
“ถึงตอนนี้แล้วฉันต้องคิดสิ”
พัฒน์เงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนว่าเสียงเบา
“ฟาง... หนีมาอยู่ออสเตรเลียด้วยกันไหม”
พลันนั้นก็มีแสงสว่างเกิดขึ้นตรงหูโทรศัพท์ หญิงสาวเริ่มรู้สึกชาจากหู ก่อนความหวังแช่มชื่นจะไหลบ่าไปทั่วร่าง
หล่อนยิ้ม นั่นเป็นความงามที่เกิดขึ้นในรอบวัน
“ฉันลืมคิดไปเสียสนิท”

เสียงใสนั้นเต็มไปด้วยความลิงโลด

“แต่พ่อแม่น่ะสิ” พัฒน์ว่าครึ่งเสียง “ถ้าเราหนีมากันหมด...”

“นั่นสินะ” ทางสว่างที่ส่องประกายมาวูบหนึ่ง ได้ถูกปิดลงเกือบจะในทันทีที่หญิงสาวนึกถึงชายหญิงสูงวัยที่อยู่ห่างออกไปเพียงแค่ผนังกั้น

การเดินทางจากไปแดนไกลโดยไม่มีกำหนดกลับของพี่ชายเมื่อสามปีก่อนได้สร้างความทุกข์ตรมให้กับคนในครอบครัวอย่างที่พิมพ์รดาไม่อาจทำใจลืมได้ ถึงวันนี้ทุกคนยังคงเป็นห่วงพัฒน์อยู่ หากหล่อนต้องเนรเทศตัวเองออกนอกประเทศอีก แน่นอนว่าบุพการีคงไม่อาจรับสภาพความเป็นจริงได้

แล้วเรื่องศักดิ์ศรีนั่นอีก...

พลโทศักดาไม่นิยมให้ลูกหนีหนี้ไปไหน แค่การตัดสินใจอย่างหุนหันของพัฒน์ก็สร้างรอยขีดข่วนบนแผ่นจารึกคุณงามความดีของตระกูลมากพอ หากหล่อนต้องหนีไปอีก บิดามารดาของหล่อนคงล้มพับด้วยความอับอายพอๆ กับนึกสงสารหล่อน

ถึงตอนนี้หญิงสาวก็พุ่งความคิดไปที่การแต่งงานล้างหนี้

“เอาเถอะ อย่าเพิ่งคิดถึงมันเลย แกเข้านอนได้แล้ว พรุ่งนี้ให้พ่อโทรหาพี่ใหม่ เราอาจได้ข้อสรุปพรุ่งนี้หลังจากที่พี่คุยกับพ่อ และพี่คิดว่าแกคงไม่ต้องไปแต่งงานแบบจำทนเหมือนอย่างผู้หญิงหน้าโง่ในละคร”
พิมพ์รดาวางสาย พลันก็นึกถึงใครอีกคน

“ว่าไงตัวเอง” น้ำเสียงของศิระยังคงน่ารักเสมอ “คิดถึงเค้าใช่ป่าว?”
“อืม” พิมพ์รดาตอบสั้นๆ และหล่อนก็หมายความตามนั้น
แค่ได้ยินเสียงเขา ความอบอุ่นก็วิ่งทะลุหัวใจไม่หยุด
เมื่อไรหนอที่เขาจะกลับ...
เมื่อไรหนอจะได้อยู่เคียงคู่กัน...
หรือมันอาจไม่มีวันนั้น ด้วยปัจจัยหลายอย่างที่คอยดึงคนทั้งสองให้ห่างกันออกไปไม่เว้นแต่ละวัน
“เรียนเป็นไงบ้าง” หญิงสาวปัดความหม่นมัวออกไปจากเส้นเสียง หล่อนฝืนยิ้มให้กับโทรศัพท์ พยายามประคองอารมณ์ให้ปกติที่สุด
“ก็เหมือนเดิม เครียดว่ะ นี่เค้ากำลังจะออกไปห้องสมุด เทอมนี้ก็จะหมดคอร์สเวิร์คแล้ว เทอมหน้าก็จะเริ่มลุยงานวิจัย และคาดว่า อีกปีกว่าๆ เราก็จะได้เจอกันแล้วนะ”

เขาได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาโทและเอกที่สหรัฐอเมริกา เพื่อจะกลับมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยผู้มุ่งมั่น
พิมพ์รดานึกเสมอ นึกถึงวันที่เขากลับมา หล่อนมักมองเห็นเขาในมาดอาจารย์ผู้ฉลาดเฉลียว สวมแว่นสายตากรอบหนาสีดำ หอบหนังสือพะรุงพะรังอยู่ตามโถงทางเดินในอาคารเรียนของมหาวิทยาลัย

ศิระเป็นคนเอาการเอางาน และเห็นแก่ส่วนรวม เขามักจะย้ำกับตัวเองและหล่อนเสมอ ว่าการที่เขาได้มีโอกาสไปร่ำเรียนถึงต่างประเทศก็ด้วยเงินของรัฐบาล และเงินที่ว่าก็ไม่ได้มาจากไหน มันคือเงินภาษีของทุกคน

“ยังไงก็ขยันๆ นะ เค้าไม่กวนแล้ว”
“อ้าว” เขาร้อง “ทำไมวันนี้คุยน้อยนักล่ะ”
เมื่อคนรักไม่ตอบข้อสงสัย ศิระจึงพูดในสิ่งที่คิด
“ตัวเองไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า เล่าให้เค้าฟังนะ”

เสียงอ่อนนุ่มประดุจแพรไหมกระตุ้นให้คนไกลต้องเม้มริมฝีปาก พิมพ์รดากำโทรศัพท์แน่น สะกดอารมณ์ไม่ให้เอนไหว หญิงสาวกำลังซวนเซอยู่ในกระแสคลื่นแห่งความวิตก

หล่อนจะบอกเขาได้อย่างไรถึงความจริงที่เกิดขึ้น มันน่าอายเกินไปที่จะพูดถึงเรื่องหนี้สินทั้งที่คนสองคนยังไม่ได้แต่งงานกัน

แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ ต่อให้ศิระรับรู้เขาก็คงไม่มีเงินมากมายมาถมความกลวงโบ๋ของครอบครัวหล่อน

เขารักหล่อน หล่อนรู้ และก็ซาบซึ้งถึงความรักที่ตนเองมีต่อเขาเช่นกัน
บทสรุปของความรักครั้งนี้อาจจะไม่สวยหรูเหมือนอย่างในละคร
และหากแม้นว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น หล่อนก็จะยึดมั่นในความรู้สึกที่มีให้เขาไม่เปลี่ยนแปลง

“สบายดี ทำไมเหรอ”

“ก็เสียงฟังดูแปลกๆ บอกมาเหอะ อีกไม่กี่ปีเราก็จะแต่งงานกันแล้วนะ ไม่มีอะไรต้องปิดบังกันแล้ว”
ความใฝ่ฝันที่เคยร่วมสร้างด้วยกันวิ่งเข้ากระแทกประตูใจ จนหญิงสาวเกือบปล่อยทำนบน้ำตาแห่งความอ่อนไหวอย่างสุดกลั้น

แต่งงาน... เขาพูดถึงการแต่งงานกับหล่อน งานวิวาห์ที่หญิงสาวอารมณ์หวานทุกคนปรารถนา
พิมพ์รดาอยากตะโกนดังๆ ว่ามันอาจไม่มีทางเกิดขึ้น เมื่อเขายังเรียนไม่จบ และหล่อนก็มีหนี้สินท่วมหลังคาบ้าน

“บ้าเหรอ เค้าไม่เป็นอะไรหรอก แค่คิดถึง... คิดถึงตัวเองนะ”
“รักนะคับ”
“จ้า พ่อคนดี”

ผู้ชายในชีวิตของหล่อนมีแค่นี้
พ่อ ...พี่ชาย และศิระ
ซึ่งมันก็ทำให้ชีวิตของหญิงสาวเติมเต็มมาโดยตลอด หากตอนนี้วิถีของหล่อนเริ่มมีปัญหา เมื่อหล่อนตรวจพบว่าตนเองมีมะเร็งร้าย มะเร็งที่เกิดจากก้อนเนื้อเล็กๆ ที่ครอบครัวของหล่อนไม่ยอมผ่าทิ้ง จนวันนี้ก้อนเนื้อน้อยในวันวานเริ่มสำแดงฤทธิ์เดช และมีดหมอที่จะพิชิตเนื้อร้ายนี้ได้คือ ‘การแต่งงาน’

พิมพ์รดาไม่คิดว่าคำๆ เดียวกันจะให้อารมณ์แตกต่างในความรู้สึก
ตลอดมา... การแต่งงานคือจุดมุ่งหมายของความรักที่หญิงสาวคอยเฝ้าฝัน
มันหรูหรา อ่อนนุ่ม น่าลูบไล้สัมผัส ขณะเดียวกันก็ส่องสว่างเรืองรอง ให้หล่อนมองเห็นอนาคตที่รออยู่เบื้องหน้า

แต่ผู้ชายคนล่าสุดที่แหวกป่าทึบเข้ามาในชีวิต ได้พลิกนิยามความรักและการแต่งงานของหล่อนให้ผิดแผก สิ่งนั้นช่างน่าประหลาด ตลกขบขัน และเจิ่งนองไปด้วยความน่าขยะแขยง

ในวันที่เจอกันครั้งแรก เชษฐ์แทบจะสำเร็จความใคร่กับหล่อนด้วยสายตา

เขาโอ้โลมปฏิโลมหล่อนด้วยดวงตาหวานจัด ให้หัวใจคนมองกระตุกวาบด้วยความขลาดเขลา

หล่อนกลัว ทั้งที่เขาปฏิบัติต่อหล่อนเหมือนคนอื่นปกติ แต่ไม่ใช่พรายตาคู่นั้น คู่ที่ทำให้หล่อนรู้สึกว่ากำลังเปลื้องผ้าอยู่ต่อหน้าผู้ชายนับร้อย

เขาเป็นคนที่มีแรงดึงดูดทางเพศ นั่นคือสิ่งที่พิมพ์รดารับทราบได้

ผิวของเขามีสีแทนจัด ห่อหุ้มมัดกล้ามที่เต็มตึงอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวพอดีตัว

เขาเป็นคนหล่อ และหน้ากลัว ใบหน้าของเขาเรียบเกินไป จนถือได้ว่านิ่งสนิท

ปากของเขาคมชัดมีเสน่ห์ จมูกวางตัวเป็นสันแล้วเชิดสูงขึ้นตอนปลาย โดดเด่นเหมาะสมกับคู่คิ้วดำงามแน่นหนา หน้าผากเขาแคบและเปิดผมขึ้นสูง จึงทำให้เชษฐ์ดูเด็ก

พลังในตัวของเชษฐ์ทำให้หล่อนจดจำรายละเอียดของเขาได้จนถึงตอนนี้
โดยเฉพาะดวงตาหวานจัดคู่นั้น

ภาพของเขาติดตาอยู่ตลอด แม้จะสลัดออกไปก็วิ่งกลับเข้ามาใหม่ในรูปแบบที่น่าไหวหวั่นกว่าเดิม
จะให้หญิงสาวหลับสนิทได้อย่างไร เพราะแม้กระทั่งตอนที่มองไปข้างฝา ยังเห็นว่าเขายืนส่งยิ้ม แล้วแยกเขี้ยวใส่หล่อนอย่างไม่ปรานี

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

ความเงียบที่ซ่องสุมอยู่ภายในบ้านแทบจะระเบิดออกมาให้ทุกอย่างแตกเป็นเสี่ยงๆในคืนสุดท้ายของสัปดาห์ ไม่มีใครนอนหลับ แม้แต่แม่ครัวของบ้านก็อยู่ในอาการตึงเครียด บุพการีของหล่อนโต้เถียงกันอย่างดุเดือดเมื่อสองวันก่อน เรื่องที่จะให้หล่อนหาสามีรวยๆ เพื่อล้างหนี้ และมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย มีอยู่ทางเดียวคือหล่อนต้องแต่งงานกับผู้ชายหนึ่งคนที่เข้ามาติดพันอยู่ก่อน

เขาเข้าทางบิดาของหล่อน ด้วยหวังว่าท่านจะโน้มใจบุตรสาวให้เป็นไปตามที่เขาคิด ซึ่งก็นับได้ว่าเขาไม่รู้จักหล่อน

พิมพ์รดาคล้ายจะเป็นคนหัวอ่อน หากหล่อนรักความยุติธรรม ถูกผิดก็ว่ากันตามเหตุผล หล่อนอาจจะแต่งงานกับเขาก็ได้ หากเจ้าหนี้ของหล่อนเอามีดมาจี้และขู่ว่าจะปาดคอพ่อแม่ของหล่อน สำนึกอาจจะสั่งให้หล่อนทิ้งความฝันเพื่อจำใจแต่งงาน แต่มันไม่ใช่กับผู้ชายคนนี้ ซึ่งมารดาของหล่อนก็เห็นด้วย ยืนยันหนักแน่น อีกทั้งโกรธเป็นเจ้าเข้า จะเรื่องอะไรได้อีก ถ้าไม่ใช่เรื่องที่นายทหารคนนั้นมีภรรยาอยู่แล้ว

ถึงตอนนี้พิมพ์รดาเข้าใจสำนวน ‘สุนัขจนตรอก’ โดยไม่ต้องเปิดหนังสือ หัวใจของหล่อนตายด้านเกินกว่าจะโหยไห้หรือกระทืบเท้าร้องตวาดเอาเหมือนกับเด็กเล็ก

อีกไม่กี่วันหมายศาลก็คงจะมาถึง ให้มารดาของหล่อนฟูมฟาย เตรียมตัวรับความขายหน้าและสภาวะล้มละลายที่กำลังจะบังเกิด ตอนที่ผู้พิพากษาอ่านคำสั่ง หล่อนก็คงจะมีเวลาคิดอ่านว่าจะพาครอบครัวขยับตูดย้ายออกจากบ้านไปซุกหัวอยู่ที่ไหน มันอาจจะเป็นบ้านของน้าสะใภ้ผู้น่าชิงชัง หรือบ้านพักเล็กๆ ในกรมทหารที่บิดาของหล่อนต้องบากหน้าเข้าไปขอพึ่งใบบุญจากสหายเก่า

ทุกเรื่องล้วนแต่ดีเด่นทั้งนั้น เพราะความเห็นแก่ตัวของหล่อนเอง!

ชั่ววูบของอารมณ์ พิมพ์รดาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเชษฐ์ ด้วยสำนึกว่าผู้ให้กำเนิดคงจะหวังพึ่งพาการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวเพื่อส่วนรวมของหล่อน

หญิงสาวไม่ชอบให้ใครบังคับ และครั้งนี้ หล่อนก็ตัดสินใจด้วยตนเอง แม้มันจะเป็นการไตร่ตรองที่เต็มไปด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อ เป็นการทรยศต่ออุดมการณ์เรื่องความรักที่เคยมี ทว่าหล่อนก็คิดดีแล้ว ในตอนที่กดหมายเลขโทรศัพท์ก็แว่วได้ยินเสียงวัวร้องและแม่ไก่ตีปีก กระทั่งกลิ่นเตียงนอนสกปรก และกองเสื้อผ้าที่ไม่เคยซักของเขา

แต่เชษฐ์ไม่รับสาย พอหล่อนโทรไปอีกรอบก็พบว่าสัญญาณโทรศัพท์ไม่มีแล้ว
มันคงจะเป็นความจริงที่โหดร้ายเกินไป ถ้าจะสรุปว่าเขาปิดโทรศัพท์มือถือเพื่อหนีหน้าจากข้อเสนออันน่ารังเกียจของหล่อน

ให้พิมพ์รดายืนค้างเติ่งอยู่กับโทรศัพท์นานเนิ่น อย่างไม่รู้จะคิดอ่านอะไรต่อ

เวลาล่วงเลยผ่านไปจนเกือบตีสอง บังคับปอดของหญิงสาวให้บีบแคบ คล้ายกำลังจะขาดอากาศหายใจ หล่อนตัดสินใจเดินลงจากห้อง หวังจะออกไปสูดอากาศที่ศาลาหน้าบ้าน ในจังหวะที่ก้าวขาลงบันได ก็พลันสะดุดเข้ากับร่างของใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ในความมืด

“จัดการมันให้เร็วที่สุด ถ้าไม่มีไอ้เชษฐ์สักคนครอบครัวของฉันคงไม่ต้องอยู่ในภาวะร้าวฉานแบบนี้”
น้ำเสียงอันแสนธรรมดาราวกับกำลังโทรสั่งอาหารของพลโทศักดาทำให้บุตรสาวที่แอบฟังอยู่ถึงกับเข่าอ่อน พลันดวงหน้าทะนงตนของเชษฐ์ก็ลอยขึ้นจากแสงจ้ากลางห้อง

หัวใจของพิมพ์รดาสูบฉีดเลือดโครมคราม ได้ยินแม้กระทั่งเสียงชีพจรที่เต้นรัวอยู่ข้างกกหู
“แกจะจัดการให้ฉันได้เมื่อไหร่... อืม... หาคนมาทำงานนี้ให้เร็วที่สุด และที่สำคัญ ให้โอกาสมันหนีตำรวจสักพัก จากนั้นก็เก็บมันซะ”

พิมพ์รดาไหวตัวกลับเข้ามาในห้องโดยเร็วที่สุด ปิดประตูลงกลอนอย่างเงียบเชียบราวกับหายตัวได้ เมื่อกลับเข้ามาสู่ป้อมปราการของตัวเองแล้ว หญิงสาวก็พิงตัวลงแนบฝา ค่อยๆ ทรุดกองลงนั่นอย่างอ่อนระโหย ตรงข้างประตูห้อง

ทุกอย่างชัดเจน
มันชัดเจนเกินกว่าหัวใจจะเปิดรับเอาความจริงที่ได้ยินเข้ามาได้

ความผิดหวังได้จู่โจมอารมณ์เร็วเกินกว่าจะตั้งรับ คล้ายกับว่าบิดาของหล่อนกำลังทรยศกับความดีงามทุกอย่างเพื่อเปิดทางให้กับความสะดวกสบายของบุตรสาว

พิมพ์รดาขบกินก้อนสะอื้นอย่างสะท้าน ดวงตาวิบไหวอยู่ในความมืด และก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป หล่อนก็กดโทรศัพท์หาเชษฐ์อีกครั้ง

แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเดิม...

ของจำเป็นทุกอย่างจึงถูกกวาดลงในกระเป๋าเดินทางกะทัดรัดเพียงใบเดียวโดยใช้เวลาน้อยที่สุด เมื่อเสียงกรนจากห้องข้างๆ เริ่มดังสนั่นหวั่นไหว หัวใจก็สั่งให้แขนขากระตุก

พิมพ์รดายกกระเป๋าออกมาถึงบันไดแล้วในนาทีที่นึกอะไรได้
หล่อนลืมเขียนจดหมาย

คุณพ่อคุณแม่คะ


หนูมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะไปจากที่นี่
มันเป็นความทรมานอย่างแสนสาหัสที่เราทุกคนไม่อยากให้เกิด
หนูจะหลบไปอยู่กับเพื่อนสักระยะ
หรือไม่ก็บินไปหาพี่พัฒน์ที่เมืองนอก
ไม่ต้องเป็นห่วง หนูจะดูแลตัวเองให้ดี

... ฟาง


พิมพ์รดาค่อยๆ ลากกระเป๋าออกมาจากความสลัวราง เมื่อพบกับแสงสว่างจากหลอดไฟบนท้องถนน น้ำตาบนใบหน้าก็แห้งพอดี

ในซอยไม่มีรถเลยสักคัน มีแต่หมาจรจัดที่ส่งเสียงเห่าให้สะดุ้งตอนที่หล่อนเดินย่องผ่านไป มันส่งต่อจังหวะกันเป็นทอดๆ เหมือนกับกลัวว่าจะไม่มีใครรู้เห็นมหกรรมการหลบหนีของหล่อน จึงเป็นครั้งแรกที่หญิงสาวอยากบีบคอไอ้เจ้าตัวสี่ขา แผนการระทึกขวัญจะดำเนินต่อไปอย่างไร ขึ้นอยู่กับพวกหมาจอมจุ้นนี้ส่วนหนึ่ง
ความกลัวคือสิ่งเดียวที่วิ่งอยู่ในกระแสโลหิต ทุกครั้งที่หัวใจบีบเต้น มันได้ส่งความหวาดผวาออกไปทุกทิศทาง หญิงสาวหันหน้าแลหลัง หวังใจไม่ให้มีใครจับได้แล้ววิ่งตามออกมา และในวินาทีที่ลมกลางคืนพัดเอาไรผมขึ้นจากนวลหน้า แสงไฟจากรถแท็กซี่ก็วิ่งตัดผ่านเข้ามาในม่านตา


“ไปหมอชิตค่ะ”
พิมพ์รดายัดกระเป๋าเดินทางเข้าไปในรถอย่างทุลักทุเล พร้อมกับความคิดที่ว่าควรจะลดของจำเป็นในชีวิตลง
“ไปจังหวัดไหนครับ ตอนนี้ท่าจะไม่มีรถแล้วนะครับ” คนขับยิ้มเป็นมิตรให้ผู้โดยสารคลายใจ
หล่อนคลี่ยิ้มตอบ ควักเอากระดาษจดที่อยู่ออกมาอ่าน

“อุดรธานีค่ะ”
“อ้อ...” ชายคนนั้นเหยียบคันเร่ง “คนบ้านเดียวกัน”

“ค่ะ” หล่อนตอบส่งๆ ด้วยไม่อยากพูดให้มากความ แต่พ่อหนุ่มแท็กซี่ก็ยังคงชี้แจงในสิ่งที่หญิงสาวไม่เคยรู้
“รถคันแรกจะออกตอนประมาณตีห้า คุณน่าจะมีเวลาทานข้าว และพักผ่อนประมาณหนึ่งชั่วโมง”

พิมพ์รดายกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาสำรวจ หญิงสาวมองไม่เห็นอะไรบนหน้าปัดบอกเวลานั้น คล้ายหล่อนกำลังถูกดูดลงไปในหุบเหวแห่งห้วงเวลา ทุกอย่างอึมครึมคล้ายจะหยุดนิ่ง แม้ตอนมองออกไปยังท้องถนนที่ทอดยาวอยู่ข้างหน้า หญิงสาวก็ไม่แน่ในว่ามันจะนำพาหล่อนไปพบพานกับสิ่งใด

จะดอกไม้ หรือก้อนหิน...
มีแต่นางฟ้าบนสวรรค์เท่านั้นที่รู้

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐




วาต์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 เม.ย. 2554, 19:34:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 เม.ย. 2554, 19:34:56 น.

จำนวนการเข้าชม : 2631





Gingfara 28 เม.ย. 2554, 21:51:43 น.
ว้าวๆๆๆมาเป็นกำลังใจนะคะ
รอตตอนต่อไปอยู่น้าาา


anOO 29 เม.ย. 2554, 16:31:22 น.
โอ้ว......จะมาอยู่บ้านนอกได้เหรอ
นางเอกเราท่าทางคุณหนูออก
เอากำลังใจมาฝากค่ะ


เทียนจันทร์ 4 ก.ค. 2555, 12:37:26 น.
จะสงสารหนูฟางทีมั๊ยน้า...


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account