วาดจันทร์ (พีเรียด อิน รัตนโกสินทร์)
"ชายครึ่งหญิงครึ่งมิน่ายล"
อาการครุ่นแค้นปรากฏขึ้นยามใบหน้าคมเข้มของผู้เอ่ยถ้อยคำนี้ลอยเข้ามาในห้วงความคิดคำนึง
"มิน่ายลมิน่าชมเดียวจะทำให้อยากยลอยากชมให้ได้เลยคอยดู...อีตาบ้า!"
อาการครุ่นแค้นปรากฏขึ้นยามใบหน้าคมเข้มของผู้เอ่ยถ้อยคำนี้ลอยเข้ามาในห้วงความคิดคำนึง
"มิน่ายลมิน่าชมเดียวจะทำให้อยากยลอยากชมให้ได้เลยคอยดู...อีตาบ้า!"
Tags: เรื่องราวการข้ามมิติของ "วาดจันทร์" หญิงสาวจากยุดไฮเทค ย้อนกับไปในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จุลศักราช ๑๑๗๑ ตรงกับพุทธศักราช ๒๓๕๒
ตอน: ปฐมบท: ห้วงนิรมิต
ปฐมบท: ห้วงนิรมิต
ท้องฟ้าอันมืดมิดค่ำคืนนี้ราตรีประดับดาวเคียงคู่พระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองพระจันทร์อยู่เป็นนานด้วยอาการนิ่งคิด แววตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความโศกเศร้า ราวกับดวงใจมีเรื่องทุกข์ระทมเป็นหนักหนา
‘อีกมินานก็จักเวียนมาถึงคืนเพ็ญแล้วหรือนี่’ ดวงตาที่แสนเศร้านั้นอาบแสงพราวระยิบของหยดน้ำตายามได้คิดถึงเจ้าของร่างผู้เป็นสาเหตุของเรื่องทุกข์ใจทั้งหมด
หญิงวัยกลางคนหน้าตาสวยพริ้มเพรามิสร่างซ่าเดินลับหายเข้าห้องหนึ่งบนเรือนไทยโบราณไป ก่อนจักหยุดยืนนิ่งเป็นเวลานาน สายตาช่างแสนอ่อนโยนนักยามจ้องมองใบหน้าหญิงสาวผู้อ่อนวัยกว่าซึ่งนอนหลับสนิทนิ่งอยู่บนเตียงกว้าง วันนี้คืออีกวันหนึ่งที่เจ้าของห้องผู้นอนหลับใหลอยู่มิอาจรู้เรื่องรู้ราวอันใดว่ามีผู้ทนทุกข์ใจเป็นหนักหนาจากการนอนหลับของตน
“เมื่อใดเจ้าจะฟื้นเสียทีแม่วาด แม่เห็นเจ้านอนนิ่งอยู่เช่นนี้เป็นเวลานานจนเกือบจะเข้าแรมเดือนอยู่แล้วกระมัง เจ้ามิเห็นแก่ความทุกข์ใจของแม่บ้างหรือไรแม่วาด” คุณหญิงเฟื้องเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงแสนทุกข์ระทมใจ น้ำตาหลั่งรินแทบจักเป็นสายเลือดด้วยลูกน้อยในอุทรที่แสนจะรักใคร่กลับมาล้มเจ็บหนักเยี่ยงนี้ แลมิว่าจักให้หมอมือดีต่อกี่คนมารักษาก็หารู้สาเหตุของโรคที่บุตรสาวเป็นไม่ จึงได้แต่รักษาไปตามอาการที่ตรวจพบ
ชายวัยกลางคนกิริยาท่าทีดูสุขุมน่ายำเกรงสมศักดิ์ตนเดินมือไพล่หลังเข้าห้องมาด้วยใบหน้าแสนเคร่งเครียดด้วยยามนี้เหตุการณ์บ้านเมืองก็มีเรื่องน่าห่วงมิยิ่งหย่อนไปกว่าเรื่องในบ้านของตนเลย
“แม่เฟื้อง” น้ำเสียงอันแสนนุ่มนวลอันแฟงด้วยความกล้าแกร่งของบุรุษเอ่ยคำขึ้น ฝ่ามือแข็งแรงวางพาดลงบนไหล่ของคู่ชีวิตตนคลายดั่งว่าจักปลอบประโลมให้คลายจากความทุกข์ระทมใจสักเพลา
“คุณพี่กลับมาเมื่อใดเจ้าคะ ไยมิให้พวกบ่าวมาบอกน้องก่อน” คุณหญิงเฟื้องดึงผ้าพกที่แนบอยู่ข้างสะเอวขึ้นซับน้ำตาที่เปียกปอนอยู่บนใบหน้า
“พี่คิดว่าเจ้าต้องอยู่กับแม่วาดเป็นแน่ จึงมิอยากให้บ่าวไพร่เข้ามารบกวนใจเจ้า”
พระยาอรุณราชภักดีหยุดคำไปยามเมื่อได้เห็นใบหน้าบุตรสาวแจ่มชัดน้ำเสียงก็เกิดติดอาการแหบพร่าขึ้นมาทันใด “ลูกมีอาการดีขึ้นบ้างหรือไม่แม่เฟื้อง”
“มิมีอันใดเปลี่ยนแปลงไปเลยเจ้าค่ะคุณพี่” คุณหญิงส่ายหัวปฏิเสธด้วยความปวดร้าวใจน้ำเสียงเริ่มติดอาการสะอื้นร่ำไห้ “คุณพี่เจ้าขาแม่วาดป่วยเป็นโรคอันใดกันแน่เจ้าคะ มิว่าหมอจักกี่คนต่างก็พากันส่ายหน้าหนีเป็นพัลวันด้วยอับจนหนทางที่จักช่วยแม่วาดได้ อิฉันมิเข้าใจว่าลูกของเราทำกรรมอันใดไว้เหตุใดจึงพบแต่ความทุกข์กายทุกข์ใจมิรู้จักจบจักสิ้นเสียที วันใดเจ้าคะที่ลูกจักพบความสุขกายสุขใจเหมือนเช่นคนทั่วไปบ้าง”
“ดูเถิดเจ้าค่ะราวกับคนนอนหลับมิปาน” คุณหญิงใช้ปลายนิ้วลูบไซร้ใบหน้านวลเนียนของบุตรสาวเพียงเบาๆ สายตายามจ้องมองบอกความแสนรักเป็นนักหนา “จะแตกต่างกันก็เพียงการนอนหลับครั้งนี้ของเจ้าช่างเนิ่นนานนักแม่วาด เมื่อใดเจ้าจะฟื้นตื่นเสียทีลูกแม่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้หัวใจของแม่เจ็บปวดยิ่งนัก แลหากเจ้าเป็นอันใดไปแม่คงจักตรอมใจตายตามเจ้าไปด้วยแน่แท้…แม่วาดเอ๋ย”
คุณพระพลันดึงร่างอันแสนสั่นเทาของเมียรักเข้าสู่อ้อมกอดเพื่อจะปลอบประโลมดวงใจให้คลายจากความทุกข์อันแสนโศกาลงเสียสักเพลาหนึ่งก็ยังดี
“ตื่นจากการหลับใหลเสียเถิด...ยอดรักของผม...ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน...ได้โปรดกลับมาหาผม...ได้โปรดกลับมาหาผม...” ร่างหนึ่งสะดุ้งกายเด้งขึ้นจากที่นอนในสภาพเม็ดเหงื่อโทรมกาย สมองจดจำภาพความฝันได้มิมีวันลืม เพราะมันคืนภาพเดิมซ้ำๆ ที่ตราตรึงอยู่ในห้วงนิรมิตทุกคืนวัน
“คุณเป็นใครกันแน่...วันใดเราจึงจะได้พบกันสักครั้ง...ยอดรักของผม...”
ถ้อยคำถามนั้นสะท้านแน่นในทรวงอก เพราะหัวใจรู้สึกสั่นไหวแปลกๆ ทุกครายามเมื่อเฝ้าค้นหาที่มาของผู้เป็นเจ้าของร่างนั้น สายตาคมจดจ้องมองท้องฟ้ากว้างข้างนอกหน้าต่างเห็นเพียงดวงดาวทอประกายเปล่งเสียงมิรู้ว่าจันทร์เจ้าหายไปอยู่เสียที่ใด “พายุกำลังจะขึ้นฝั่ง” สิ้นคำพูดเสียงคลื่นซัดสาดก็โถมกระหน่ำเข้าตีแนวโขดหินถี่กระชั้น ติดตามด้วยเสียงฟ้าร้องครืนเปลี่ยนความสดใสของผืนนภาไปเสียสิ้น “สงสัยว่าคงต้องเริ่มภารกิจของเช้าวันใหม่เร็วกว่าที่คิดไว้” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่รีบผุดลุกขึ้นจากเตียงกว้างเพื่อเตรียมไปจัดการแก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้
“ปังปังๆๆ” เสียงทุบประตูห้องดังลั่นทำให้ร่างผู้นั่งอยู่บนเตียงกว้างตัดสินใจสะบัดผ้าห่มออกจากกาย เดินออกไปเปิดประตูห้องด้วยใบหน้าเครียดขึงไม่พอใจ
“ผู้ใดมาเคาะประตูห้องข้าแต่เช้าเยี่ยงนี้ประเดี๋ยวเถิดหากมิมีธุระความอันใดข้าจักลงทัณฑ์มันให้หนักเชียว”
น้ำคำกล่าวคาดโทษนั้นหาทำให้เป็นก่อกวนรู้สึกหวาดกลัวไม่ ดวงหน้าแฉล้มปรากฏยิ้มละไมเสียจนน่าหมั่นไส้
“เจ้ามีอันใดรึพุดกรองถึงได้มาเคาะห้องพี่แต่เช้าเยี่ยงนี้”
“ข้านั้นมิมีอันใดดอก เพียงแต่เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงพี่ร้องครวญละเมอ...ข้านึกเป็นห่วงก็เลย...”
“มิมีอันดอกเจ้ามิต้องเป็นห่วง”
“ฝันเช่นเดิมอีกแล้วฤาเจ้าคะ”
ปลายคิ้วบนดวงหน้าคมเข้มพลันขมวนปมเข้าหากัน สองมือประสานนิ่งอยู่ด้านหลังผ้าคาดเอวสีแดงตัดกับผ้าโจงกระเบนลายน้ำเงิน พุดกรองแว่วเสียงลมหายใจแสนหนักหน่วงออกจากบุรุษข้างกาย “ฝันเช่นไรเจ้าคะ พี่กล้ายังมิเคยเล่าให้ข้าฟังสักครา” ผู้ถูกถามถอนใจยาวออกมาก่อนจะยอมเปิดสาธยายเล่าความโดยง่าย
“ข้าฝันถึงนางผู้หนึ่งซึ่งมีดวงหน้างดงามหมดจด ดวงตาคู่หวานแลดูซุกซนมันเคลื่อนไหวมิหยุดนิ่งคล้ายดั่งว่าอยากรู้อยากเห็นไปหมดทุกสิ่งสรรพ ผิวเนื้อนวลเนียนหน้าสัมผัส เส้นดำขลับผมยาวสลวย เสียงพูดสดใสกังวานน่าฟังเสียจนพี่หลงมนต์ทุกคราที่นางเอื้อนเอ่ย รอยยิ้มพิมพ์พิสุทธิ์น่าชมจนพี่มิกล้ากระพริบตาเพราะกลัวว่าจะไม่ได้เห็นมันอีก เพียงแต่...” รอยยิ้มวาดพริ้มฝันพลันเลือนหายไปจากใบหน้าของสาวน้อยเหลือทิ้งไว้เพียงแต่ความครุ่นคิดสงสัยในคำว่า ‘เพียงแต่’ ของผู้เป็นพี่ชาย
“เพียงแต่อันใดเจ้าคะ” หญิงสาวเริ่มอดรนทนมิไหวเมื่อเห็นพี่ชายมิยอมเอ่ยคำต่อเสียที มัวแต่จดจ้องมองไปทางซุ้มชมนาดมิคลาดสายตา
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนดวงหน้าคมเข้มยามเมื่อได้คิดถึงภาพฝันที่ตนยืนพูดคุยกับนางในห้วงนิรมิต “เพียงแต่ชุดที่นางสวมใส่นั้นดูผิดแผกแปลกประหลาดมิเหมือนพวกเราแม้แต่น้อย”
“มันเป็นชุดเยี่ยงไรเจ้าคะ”
“พี่นั้นก็อธิบายมิถูก...มันดูรัดกุมแน่นหนาปกปิดมิดชิด แต่มันก็บางพลิ้วเสียจนชวนให้คิดฝันไปถึงไหนต่อไหน”
“พี่กล้าพูดเช่นนี้คงมิใช่ว่ากำลังคิดจะทำอันใดนางในฝันผู้นั้นดอกหนา”
“พุดกรองเจ้ามันเป็นเด็กแก่แดดเสียจริง” ผู้เป็นพี่ชายหันมาต่อว่าน้องสาวด้วยน้ำเสียงจริงจังกับคำพูดที่ดูมิสมวัย
“แล้วพี่คิดเช่นข้าพูดหรือไม่เล่า” พุดรกองตอบกลับด้วยน้ำคำยียวนที่แสนรู้ทันความรู้สึกนึกคิดของผู้เป็นพี่ชาย แต่สิ่งที่ได้รับตอบแทนนั้นกลับคือมะเหงกก้อนโตอันแสนเจ็บหน่วงกลางหน้าผากน้อย
“โอ๊ย!...ข้าเจ็บนะพี่กล้า เหตุใดพี่จึงทำกับข้าเยี่ยงนี้”
“นี่คือสิ่งตอบแทนที่เจ้าแสนรู้ใจพี่นักหนา” ผู้เป็นพี่ชายเดินหัวเราะกลับเข้าห้องไป เมื่อเห็นน้องสาวได้แต่ฮึ่มอัมบ่นกระปอดประแปดในเรื่องที่ถูกพี่ชายประทุษร้าย
พุดกรองใช้ฝ่ามือลูบหน้าผากไปมาสายตาจดจ้องมองพี่ชายมิคาดสายตาใจนั้นกล่าวคาดโทษมิยอมความ ‘สักวันเถิดขาจักสนองคุณเข้าให้ที่ชอบรังแกข้าเสียจริง...จักว่าไปแล้วข้าก็อยากจะเห็นหน้านางในฝันของพี่นักว่าจะสวยสดงดงามปานใดจักได้สักครึ่งหนึ่งของข้าหรือไม่’
ท้องฟ้าอันมืดมิดค่ำคืนนี้ราตรีประดับดาวเคียงคู่พระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองพระจันทร์อยู่เป็นนานด้วยอาการนิ่งคิด แววตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความโศกเศร้า ราวกับดวงใจมีเรื่องทุกข์ระทมเป็นหนักหนา
‘อีกมินานก็จักเวียนมาถึงคืนเพ็ญแล้วหรือนี่’ ดวงตาที่แสนเศร้านั้นอาบแสงพราวระยิบของหยดน้ำตายามได้คิดถึงเจ้าของร่างผู้เป็นสาเหตุของเรื่องทุกข์ใจทั้งหมด
หญิงวัยกลางคนหน้าตาสวยพริ้มเพรามิสร่างซ่าเดินลับหายเข้าห้องหนึ่งบนเรือนไทยโบราณไป ก่อนจักหยุดยืนนิ่งเป็นเวลานาน สายตาช่างแสนอ่อนโยนนักยามจ้องมองใบหน้าหญิงสาวผู้อ่อนวัยกว่าซึ่งนอนหลับสนิทนิ่งอยู่บนเตียงกว้าง วันนี้คืออีกวันหนึ่งที่เจ้าของห้องผู้นอนหลับใหลอยู่มิอาจรู้เรื่องรู้ราวอันใดว่ามีผู้ทนทุกข์ใจเป็นหนักหนาจากการนอนหลับของตน
“เมื่อใดเจ้าจะฟื้นเสียทีแม่วาด แม่เห็นเจ้านอนนิ่งอยู่เช่นนี้เป็นเวลานานจนเกือบจะเข้าแรมเดือนอยู่แล้วกระมัง เจ้ามิเห็นแก่ความทุกข์ใจของแม่บ้างหรือไรแม่วาด” คุณหญิงเฟื้องเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงแสนทุกข์ระทมใจ น้ำตาหลั่งรินแทบจักเป็นสายเลือดด้วยลูกน้อยในอุทรที่แสนจะรักใคร่กลับมาล้มเจ็บหนักเยี่ยงนี้ แลมิว่าจักให้หมอมือดีต่อกี่คนมารักษาก็หารู้สาเหตุของโรคที่บุตรสาวเป็นไม่ จึงได้แต่รักษาไปตามอาการที่ตรวจพบ
ชายวัยกลางคนกิริยาท่าทีดูสุขุมน่ายำเกรงสมศักดิ์ตนเดินมือไพล่หลังเข้าห้องมาด้วยใบหน้าแสนเคร่งเครียดด้วยยามนี้เหตุการณ์บ้านเมืองก็มีเรื่องน่าห่วงมิยิ่งหย่อนไปกว่าเรื่องในบ้านของตนเลย
“แม่เฟื้อง” น้ำเสียงอันแสนนุ่มนวลอันแฟงด้วยความกล้าแกร่งของบุรุษเอ่ยคำขึ้น ฝ่ามือแข็งแรงวางพาดลงบนไหล่ของคู่ชีวิตตนคลายดั่งว่าจักปลอบประโลมให้คลายจากความทุกข์ระทมใจสักเพลา
“คุณพี่กลับมาเมื่อใดเจ้าคะ ไยมิให้พวกบ่าวมาบอกน้องก่อน” คุณหญิงเฟื้องดึงผ้าพกที่แนบอยู่ข้างสะเอวขึ้นซับน้ำตาที่เปียกปอนอยู่บนใบหน้า
“พี่คิดว่าเจ้าต้องอยู่กับแม่วาดเป็นแน่ จึงมิอยากให้บ่าวไพร่เข้ามารบกวนใจเจ้า”
พระยาอรุณราชภักดีหยุดคำไปยามเมื่อได้เห็นใบหน้าบุตรสาวแจ่มชัดน้ำเสียงก็เกิดติดอาการแหบพร่าขึ้นมาทันใด “ลูกมีอาการดีขึ้นบ้างหรือไม่แม่เฟื้อง”
“มิมีอันใดเปลี่ยนแปลงไปเลยเจ้าค่ะคุณพี่” คุณหญิงส่ายหัวปฏิเสธด้วยความปวดร้าวใจน้ำเสียงเริ่มติดอาการสะอื้นร่ำไห้ “คุณพี่เจ้าขาแม่วาดป่วยเป็นโรคอันใดกันแน่เจ้าคะ มิว่าหมอจักกี่คนต่างก็พากันส่ายหน้าหนีเป็นพัลวันด้วยอับจนหนทางที่จักช่วยแม่วาดได้ อิฉันมิเข้าใจว่าลูกของเราทำกรรมอันใดไว้เหตุใดจึงพบแต่ความทุกข์กายทุกข์ใจมิรู้จักจบจักสิ้นเสียที วันใดเจ้าคะที่ลูกจักพบความสุขกายสุขใจเหมือนเช่นคนทั่วไปบ้าง”
“ดูเถิดเจ้าค่ะราวกับคนนอนหลับมิปาน” คุณหญิงใช้ปลายนิ้วลูบไซร้ใบหน้านวลเนียนของบุตรสาวเพียงเบาๆ สายตายามจ้องมองบอกความแสนรักเป็นนักหนา “จะแตกต่างกันก็เพียงการนอนหลับครั้งนี้ของเจ้าช่างเนิ่นนานนักแม่วาด เมื่อใดเจ้าจะฟื้นตื่นเสียทีลูกแม่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้หัวใจของแม่เจ็บปวดยิ่งนัก แลหากเจ้าเป็นอันใดไปแม่คงจักตรอมใจตายตามเจ้าไปด้วยแน่แท้…แม่วาดเอ๋ย”
คุณพระพลันดึงร่างอันแสนสั่นเทาของเมียรักเข้าสู่อ้อมกอดเพื่อจะปลอบประโลมดวงใจให้คลายจากความทุกข์อันแสนโศกาลงเสียสักเพลาหนึ่งก็ยังดี
“ตื่นจากการหลับใหลเสียเถิด...ยอดรักของผม...ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน...ได้โปรดกลับมาหาผม...ได้โปรดกลับมาหาผม...” ร่างหนึ่งสะดุ้งกายเด้งขึ้นจากที่นอนในสภาพเม็ดเหงื่อโทรมกาย สมองจดจำภาพความฝันได้มิมีวันลืม เพราะมันคืนภาพเดิมซ้ำๆ ที่ตราตรึงอยู่ในห้วงนิรมิตทุกคืนวัน
“คุณเป็นใครกันแน่...วันใดเราจึงจะได้พบกันสักครั้ง...ยอดรักของผม...”
ถ้อยคำถามนั้นสะท้านแน่นในทรวงอก เพราะหัวใจรู้สึกสั่นไหวแปลกๆ ทุกครายามเมื่อเฝ้าค้นหาที่มาของผู้เป็นเจ้าของร่างนั้น สายตาคมจดจ้องมองท้องฟ้ากว้างข้างนอกหน้าต่างเห็นเพียงดวงดาวทอประกายเปล่งเสียงมิรู้ว่าจันทร์เจ้าหายไปอยู่เสียที่ใด “พายุกำลังจะขึ้นฝั่ง” สิ้นคำพูดเสียงคลื่นซัดสาดก็โถมกระหน่ำเข้าตีแนวโขดหินถี่กระชั้น ติดตามด้วยเสียงฟ้าร้องครืนเปลี่ยนความสดใสของผืนนภาไปเสียสิ้น “สงสัยว่าคงต้องเริ่มภารกิจของเช้าวันใหม่เร็วกว่าที่คิดไว้” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่รีบผุดลุกขึ้นจากเตียงกว้างเพื่อเตรียมไปจัดการแก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้
“ปังปังๆๆ” เสียงทุบประตูห้องดังลั่นทำให้ร่างผู้นั่งอยู่บนเตียงกว้างตัดสินใจสะบัดผ้าห่มออกจากกาย เดินออกไปเปิดประตูห้องด้วยใบหน้าเครียดขึงไม่พอใจ
“ผู้ใดมาเคาะประตูห้องข้าแต่เช้าเยี่ยงนี้ประเดี๋ยวเถิดหากมิมีธุระความอันใดข้าจักลงทัณฑ์มันให้หนักเชียว”
น้ำคำกล่าวคาดโทษนั้นหาทำให้เป็นก่อกวนรู้สึกหวาดกลัวไม่ ดวงหน้าแฉล้มปรากฏยิ้มละไมเสียจนน่าหมั่นไส้
“เจ้ามีอันใดรึพุดกรองถึงได้มาเคาะห้องพี่แต่เช้าเยี่ยงนี้”
“ข้านั้นมิมีอันใดดอก เพียงแต่เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงพี่ร้องครวญละเมอ...ข้านึกเป็นห่วงก็เลย...”
“มิมีอันดอกเจ้ามิต้องเป็นห่วง”
“ฝันเช่นเดิมอีกแล้วฤาเจ้าคะ”
ปลายคิ้วบนดวงหน้าคมเข้มพลันขมวนปมเข้าหากัน สองมือประสานนิ่งอยู่ด้านหลังผ้าคาดเอวสีแดงตัดกับผ้าโจงกระเบนลายน้ำเงิน พุดกรองแว่วเสียงลมหายใจแสนหนักหน่วงออกจากบุรุษข้างกาย “ฝันเช่นไรเจ้าคะ พี่กล้ายังมิเคยเล่าให้ข้าฟังสักครา” ผู้ถูกถามถอนใจยาวออกมาก่อนจะยอมเปิดสาธยายเล่าความโดยง่าย
“ข้าฝันถึงนางผู้หนึ่งซึ่งมีดวงหน้างดงามหมดจด ดวงตาคู่หวานแลดูซุกซนมันเคลื่อนไหวมิหยุดนิ่งคล้ายดั่งว่าอยากรู้อยากเห็นไปหมดทุกสิ่งสรรพ ผิวเนื้อนวลเนียนหน้าสัมผัส เส้นดำขลับผมยาวสลวย เสียงพูดสดใสกังวานน่าฟังเสียจนพี่หลงมนต์ทุกคราที่นางเอื้อนเอ่ย รอยยิ้มพิมพ์พิสุทธิ์น่าชมจนพี่มิกล้ากระพริบตาเพราะกลัวว่าจะไม่ได้เห็นมันอีก เพียงแต่...” รอยยิ้มวาดพริ้มฝันพลันเลือนหายไปจากใบหน้าของสาวน้อยเหลือทิ้งไว้เพียงแต่ความครุ่นคิดสงสัยในคำว่า ‘เพียงแต่’ ของผู้เป็นพี่ชาย
“เพียงแต่อันใดเจ้าคะ” หญิงสาวเริ่มอดรนทนมิไหวเมื่อเห็นพี่ชายมิยอมเอ่ยคำต่อเสียที มัวแต่จดจ้องมองไปทางซุ้มชมนาดมิคลาดสายตา
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนดวงหน้าคมเข้มยามเมื่อได้คิดถึงภาพฝันที่ตนยืนพูดคุยกับนางในห้วงนิรมิต “เพียงแต่ชุดที่นางสวมใส่นั้นดูผิดแผกแปลกประหลาดมิเหมือนพวกเราแม้แต่น้อย”
“มันเป็นชุดเยี่ยงไรเจ้าคะ”
“พี่นั้นก็อธิบายมิถูก...มันดูรัดกุมแน่นหนาปกปิดมิดชิด แต่มันก็บางพลิ้วเสียจนชวนให้คิดฝันไปถึงไหนต่อไหน”
“พี่กล้าพูดเช่นนี้คงมิใช่ว่ากำลังคิดจะทำอันใดนางในฝันผู้นั้นดอกหนา”
“พุดกรองเจ้ามันเป็นเด็กแก่แดดเสียจริง” ผู้เป็นพี่ชายหันมาต่อว่าน้องสาวด้วยน้ำเสียงจริงจังกับคำพูดที่ดูมิสมวัย
“แล้วพี่คิดเช่นข้าพูดหรือไม่เล่า” พุดรกองตอบกลับด้วยน้ำคำยียวนที่แสนรู้ทันความรู้สึกนึกคิดของผู้เป็นพี่ชาย แต่สิ่งที่ได้รับตอบแทนนั้นกลับคือมะเหงกก้อนโตอันแสนเจ็บหน่วงกลางหน้าผากน้อย
“โอ๊ย!...ข้าเจ็บนะพี่กล้า เหตุใดพี่จึงทำกับข้าเยี่ยงนี้”
“นี่คือสิ่งตอบแทนที่เจ้าแสนรู้ใจพี่นักหนา” ผู้เป็นพี่ชายเดินหัวเราะกลับเข้าห้องไป เมื่อเห็นน้องสาวได้แต่ฮึ่มอัมบ่นกระปอดประแปดในเรื่องที่ถูกพี่ชายประทุษร้าย
พุดกรองใช้ฝ่ามือลูบหน้าผากไปมาสายตาจดจ้องมองพี่ชายมิคาดสายตาใจนั้นกล่าวคาดโทษมิยอมความ ‘สักวันเถิดขาจักสนองคุณเข้าให้ที่ชอบรังแกข้าเสียจริง...จักว่าไปแล้วข้าก็อยากจะเห็นหน้านางในฝันของพี่นักว่าจะสวยสดงดงามปานใดจักได้สักครึ่งหนึ่งของข้าหรือไม่’
บุษบงดาลัด
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 พ.ค. 2555, 18:09:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 พ.ค. 2555, 18:12:07 น.