ใต้รอยทรายอุ่นไอรัก
ทั้งๆ ที่เบื่อพวกผู้หญิงเสียเต็มทน แต่แล้ววันหนึ่งหนุ่มหล่ออย่างเซสทัสก็จำเป็นต้องรับวรันธรมาอยู่ร่วมชายคา ด้วยจนได้ และเพราะท่าทางเย็นชาไม่ค่อยเต็มใจของเขา จึงทำให้หญิงสาวประกาศก้องว่า “สักวันคุณจะง้อให้รันอยู่”

เมื่อ วรันธร ลูกสาวบุญธรรมของพ่อค้าเพชรรายใหญ่ในเมืองไทย
ถูกสั่งให้ต้องเข้าไปพัวพันกับชี้คหนุ่มเจ้าของอัญมณีล้ำค่านามว่า
เพชรอัลคาซารห์

แผนเร่งด่วนของเธอก็คือต้องหาทางเข้าใกล้ชี้คอัลฟารอสโดยผ่านทางคนสนิทอย่าง
บอดี้การ์ดผมยาวมาดเข้มที่ชื่อ อันวาร์ เซสทัส ให้ได้

“ฉันจะอยู่ที่นี่” วรันธรบอกอีกฝ่ายหน้าตาเฉย
เซสทัสขมวดคิ้วมุ่น “แต่เธอเป็นผู้หญิง!”

“อืม...ก็ใช่” หญิงสาวดันตัวลุกขึ้นจากเตียงอีกฝ่าย
ใบหน้าหวานหันไปมองและถามอย่างท้าทาย “กลัวเหรอ”

เชิญสัมผัสกับความใกล้ชิดที่สามารถแปรเปลี่ยนความรำคาญ

ให้กลายเป็นความสัมพันธ์ที่ยากจะลืมได้ใน 'ใต้รอยทรายอุ่นไอรัก'
Tags: รัก กุ๊กกิ๊ก น่ารัก น่าหยิก อ่านไปยิ้มไป

ตอน: ตอนที่ 1-3 (ตัวอย่างนิยาย)

กลัวจะหลงลืมกันเลยเอา ตัวอย่างของใต้รอยทรายอุ่นไอรักมาให้อ่านนะคะ พร้อมเตรียมพบกับภาคต่อของเรื่องนี้ได้เร็วๆ นี้จ้า

1. เพชรอัลคาซารห์



ณ ประเทศไทย ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่สีขาว รูปทรงทันสมัย บริเวณโดยรอบตกแต่งด้วยสนามหญ้าและต้นไม้สีเขียว ชายวัยเกือบ 50 ท่าทางภูมิฐานนั่งไขว่ห้างอยู่ที่โต๊ะรับแขกในห้องโถง สายตาของเขาจับจ้องหนังสือพิมพ์ในมือด้วยท่าทางครุ่นคิด

จวบจนมีเสียงเหมือนคนกำลังวิ่งลงจากบันไดดังขึ้น เขาจึงเงยหน้ามองพร้อมเรียก

“รัน”

วรันธร สาวสวยรูปร่างเพรียว ผมตรงยาวถูกเกล้ามวยไว้ เผยให้เห็นดวงหน้าเนียนและดวงตาคมสีน้ำตาลที่ฉายแววมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว ร่างบางก้าวลงมาด้วยท่าทางกระฉับกระเฉงอันเป็นบุคลิก เธอหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียก ริมฝีปากอิ่มพึมพำ

“คุณพ่อ”

“มานี่สิวรันธร” เขาหยุดชั่วครู่ก่อนเรียกอีกครั้ง “มานี่สิลูก”

ร่างเพรียวในชุดกางเกงทรงเข้ารูป เสื้อสไตล์เชิ้ตสีขาวสะอาด สะพายกระเป๋าหนังสีน้ำตาลใบใหญ่เดินเข้ามาหาทันทีที่ถูกเรียก

“คะ”

แม้จะใช้คำสรรพนามแทนว่าพ่อและลูก แต่น้ำเสียงและท่าทาง ประกอบกับความรู้สึกบางอย่างกลับถูกกั้นด้วยม่านหมอกสีขาวเจือจางที่ทั้งคู่เองก็สามารถสัมผัสได้ วรันธรเดินมาหาและนั่งลงที่โซฟาตรงข้าม หญิงสาวเงียบเฉยอย่างรอฟังคำสนทนาของอีกฝ่าย

“พ่อมีงานให้ทำ”

หญิงสาวพยักหน้าน้อย ๆ เหมือนเข้าใจ และแม้จะไม่มีคำตอบหรือยอมรับใดๆ คุณเชาวลิตผู้เป็นพ่อก็รู้ดีว่า ถึงอย่างไรวรันธรก็ต้องทำตามคำขอร้องที่คล้ายดั่งคำสั่งของเขาทุกครั้ง และนี่ก็คือสิ่งที่หญิงสาวทำมาตลอด ไม่เคยเปลี่ยนแปลง



ท่ามกลางเปลวร้อนระอุของทะเลทราย เสียงเหยี่ยวสีน้ำตาลกรีดร้องแหวกอากาศขณะที่มันสยายปีกกว้างออกบนท้องฟ้า

ชี้คอัลฟารอสชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดสีขาวกำลังหรี่ตามองเจ้าสัตว์สง่างามนั้น ก่อนส่งเสียงเรียก

“เซสทัส ดูมันสิ”

บอดี้การ์ดหนุ่ม ผู้ถูกเรียกมองร่างสูงใหญ่ของท่านชี้คซึ่งเป็นดั่งเพื่อน เขายิ้มน้อยๆ และเงียบไม่ยอมพูดอะไรตอบ ทว่าใบหน้าคมก็แหงนขึ้นมอง จนผมสีดำตรงยาวเลยบ่าระลงเกือบถึงกลางหลัง

“รู้ไหมเซสทัส ฉันชอบดูพวกมันมาก มันช่างงามสง่า และงามไร้คู่ต่อสู้ ยามที่มันเหินอยู่บนฟ้า ดูเหมือนจะไม่มีใครที่จะหยุดมันได้”

“งามกว่าสาวๆ ในฮาเร็มของนายหรือเปล่าอัล”

แต่ในที่สุดริมฝีปากบางก็แซวขึ้นอย่างอดไม่ได้ แม้จะพูดทีเล่นแต่ดวงตาสีนิลของเขากลับดูนิ่ง ใบหน้าคมซึ่งขาวกว่าอีกฝ่ายเรียบเฉย นั่นคือบุคลิกประจำตัวของ ‘อันวาร์ เซสทัส’ บอดี้การ์ดหนุ่มลูกครึ่งอียิปต์ ผู้มีฝีมือร้ายกาจพอๆ กับความหล่อของเขา

ขณะนั้นเหยี่ยวสีน้ำตาลตีปีกเปลี่ยนทิศทางก่อนโผมาใกล้ และเมื่อชี้คหนุ่มยื่นแขนออกไป ไม่นานมันก็บินมาเกาะสงบนิ่งอยู่บนแขนผู้เป็นนาย พร้อม ๆ กับเสียงเตือนของเซสทัส

“วันนี้เรามีแขก”

“ฉันจำไม่ได้เลย?”

“เพราะนายไม่ฟังคำเตือนของมิรา”

บอดี้การ์ดหนุ่มบอกชื่อหัวหน้าแม่บ้านวัยกลางคนที่คอยเตือนทุกอย่างคล้ายเลขาของท่านชี้ค

“นายเตือนความจำหน่อยสิ เรื่องงาน กินเลี้ยง หรือเรื่องผู้หญิง?”

“งาน”

คำพูดสั้นๆ ทำให้ชี้คหนุ่มเปรย “เบื่อชะมัด” ตั้งแต่พ่อและแม่ของชี้คอัลฟารอสเสียชีวิต เขาผู้เป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลก็ต้องรับผิดชอบงานทุกอย่างของครอบครัว ซึ่งทั้งหมดก็ดูหนักหนาเอาการ แต่การทำงานที่มากมายขนาดนี้ ก็เป็นสาเหตุแห่งความร่ำรวยและทำให้มีเงินหมุนเวียนในบัญชีของเขาจำนวนมหาศาล

“นายเปลี่ยนมาเป็นฉันบ้างได้ไหมเซสทัส” อัลฟารอสถามขึ้น ขณะเดินกลับมาที่รถกับบอดี้การ์ด “จริงสิ ฉันเคยถามนายไหม” ชี้คหนุ่มขมวดคิ้ว “ตอนอยู่ที่ไคโร นายทำอะไร”

อัลฟารอสได้พบกับเซสทัสระหว่างตนเองเดินทางไปกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ เพื่อติดต่อธุรกิจบางอย่าง วันนั้นเป็นวันว่างซึ่งเขาหาโอกาสหนีพวกผู้ติดตามทั้งหลายแวะไปเที่ยวปิระมิดในทะเลทราย และในระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินชมสุสานแห่งกษัตริย์จนเย็นย่ำนั้นเอง พวกผู้ไม่หวังดีซึ่งตัวเขาเองไม่คิดว่าจะเจอก็ปราดเข้ามาทำร้าย พวกนั้นเป็นชายซึ่งมีไม่ต่ำกว่า 5 คน ทุกคนสวมชุดคลุมสีขาวหม่นสกปรก แม้ชี้คหนุ่มจะสามารถต่อสู้ได้ แต่ก็ไม่สามารถชนะคนทั้งหมด และระหว่างที่กำลังจะพลาดท่าเสียทีนั้น บุรุษสูงโปร่งในผ้าคลุมสีน้ำตาลก็ปราดเข้ามาขวาง

“หยุดนะ!”

เสียงกังวานซึ่งตวาดขึ้นทำให้ทุกคนชะงัก ดวงตาสีนิลภายใต้ผ้าคลุมสีครื้มช่างนิ่งสนิทน่าเกรงขาม และในที่สุดความเก่งกาจ การเคลื่อนไหวที่ว่องไวก็สามารถเอาชนะพวกนั้นได้โดยไม่ยาก ถึงขนาดว่าแม้เสร็จสิ้นการต่อสู้แล้ว ผ้าคลุมศรีษะของเขายังไม่หลุดออกเลยทีเดียว

อัลฟารอสจำวันนั้นได้ดี เนื่องด้วยเมื่อคนร้ายหนีไปหมดแล้ว พอผู้ช่วยเหลือเปิดผ้าคลุมออก ตัวเขาเองกลับชะงัก เพราะนึกเพ้อเจ้อว่าวิญญาณฟาโรห์แห่งสุสานมาช่วยเหลือ ชี้คหนุ่มยังนึกขำทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนั้น แต่จะไม่ให้คิดแบบนี้ได้อย่างไร ก็ในเมื่อชายที่ดึงผ้าคลุมออกต่อหน้าเขา มีผมตรงยาว จมูกโด่งเป็นสัน ศีรษะทุยสวย ดวงตาสีนิลคมกริบ ช่างเหมือนภาพวาดฟาโรห์บนผนังสุสานเสียเหลือเกิน

ความเก่งกาจนี้เองทำให้อัลฟารอสขอร้องให้เซสทัสมาเป็นบอดี้การ์ดให้ ซึ่งแม้ชายหนุ่มจะยอมรับทำหน้าที่นี้ และเดินทางกลับมาแมนซัวร์ด้วย แต่เขาก็มีข้อแม้ว่าจะทำงานให้ชี้คอัลฟารอสในบางโอกาสที่สำคัญจริงๆเท่านั้น และอีกอย่างก็คือปฏิเสธที่จะพักในที่ส่วนตัวของท่านชี้ค เพราะเซสทัสชอบใช้ชีวิตส่วนตัวเกินกว่าที่จะอยู่ในคฤหาสน์ซึ่งมีลักษณะคล้ายฮาเร็ม และมีผู้หญิงพลุกพล่านหลายสิบคนตลอดเวลา

ขณะนี้เมื่อได้ยินคำถามนั้น เซสทัสก็ยังมีท่าทีนิ่งเฉย เขาก้าวขึ้นรถเคียงข้างชี้คหนุ่มพร้อมตอบ

“จำไม่ได้เหมือนกัน”

รถคันใหญ่เคลื่อนตัวออกไปข้างหน้า โดยชี้คอัลฟารอสก็ไม่สนใจหาคำตอบอีก เขาแค่ส่งเสียงบอกคนขับ “เร็วๆ ฉันมีนัด” และแถมวันนี้เขาอารมณ์ดีพอที่จะสัพยอกคนขับว่า “แต่อย่าพาหลงเข้าเขตทะเลทรายสีแดงก็แล้วกัน” ชี้คหนุ่มหันมายิ้มกับเซสทัส “เพราะเราคงกลับมาไม่ทันนัดแน่ๆ หรือไม่ก็ไม่ได้กลับออกมาอีกเลย”



หลังจากชี้คอัลฟารอสเดินทางถึงคฤหาสน์โดยปลอดภัยแล้ว เซสทัสก็ขับรถสปอร์ตสีดำไปตามเส้นทางซึ่งเป็นถนนทอดยาวออกไปนอกเขตเมือง ที่นั่นชายหนุ่มซื้อบ้านไว้หลังหนึ่ง เขาชอบมันเพราะไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน และอีกสาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนั้นก็คือสุดเส้นทางนี้ ในที่ซึ่งห่างออกไปไม่ไกลเป็นอาณาเขตของทะเลทรายสีแดง พื้นที่ซึ่งแห้งแล้งที่สุด มันร้อนโหดร้ายยามเที่ยงวัน หนาวร้ายกาจยามเที่ยงคืน และก่อกำเนิดพายุทรายขนาดมหึมาขึ้นบ่อยครั้งมาก

เซสทัสยังขับรถคู่ใจไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อน ทว่าช่วงหนึ่งในระหว่างการเดินทางสายตาคมกริบของเขาก็มองเห็นบางสิ่งบางอย่าง สิ่งที่สามารถทำให้ดวงตาสีนิลกระจ่างขึ้นวูบหนึ่ง

ร่างของหญิงสาวหุ่นเพรียวสมส่วนในชุดเดินทางปรากฏอยู่ข้างทาง เธอเป็นทิวทัศน์ซึ่งไม่คุ้นตาเขาเลย อย่างน้อยก็น่าจะเป็นที่เชื้อชาติ เพราะนั่นไม่ใช่ชาวแมนซัวร์



วรันธรกำลังทุ่มเถียงบางอย่างกับเจ้าของร้านขายของบริเวณนั้น ดวงตาคมสีน้ำตาลของหญิงสาวจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง สักพักหนึ่งชายอ้วนเตี้ยซึ่งเป็นเจ้าของร้านก็เริ่มเห็นชัดว่าผู้หญิงคนนี้คงไม่ยอมง่ายๆ เขาจึงร้องตะโกนเพื่อเรียกลูกน้องมาสมทบ แต่ร่างเพรียวก็หาได้เกรงกลัวไม่ วรันธรกระชากกระเป๋าของเธอซึ่งอยู่ในมือชายอ้วนเตี้ยกลับมาและตะโกนใส่

“นี่ของฉัน”

“โอ๊ย แม่คนหน้าด้าน ยัยหน้าหนา กระเป๋านั่นอยู่ร้านฉัน เธอจะมาบอกว่าของตัวเองงั้นหรือ โง่ชะมัด”

วาจาของพ่อค้าจอมโกงทำให้ดวงตาหญิงสาวแทบลุกเป็นไฟ เธอบอกเสียงกร้าว

“เอาคืนมาเดี๋ยวนี้!”

“ฝันไปเถอะ” มือหนามากมายด้วยไขมันกระชากกระเป๋ากลับไปทันที มือเรียวจึงยื้อกระเป๋าหนังสีดำคืนกลับมาอีกครั้ง

“ปล่อยนะ!”

เมื่อเห็นว่าทุกอย่างจะไม่จบลงง่ายๆ ชายคนนั้นก็โหวกเหวก โวยวายทันที “ว้อย พวกเรา ว้อย มาช่วยกันหน่อยเร็ว!” เสียงนั่นมีผลให้ในร้านมีการเคลื่อนไหว และผู้ชายตัวโต ๆ 2 คน ก็เดินดุ่มออกมาจากหลังร้านพร้อมถาม

“มีอะไรครับนาย”

“นังคนนี้สิ หาว่ากระเป๋าใบนี้เป็นของมัน”

“ก็มันของฉันนี่!” วรันธรร้องเถียง คิ้วเรียวแทบจะขมวดปม

“ไม่ต้องฟัง จัดการมันเลย”

เสียงเจ้าคนอ้วนเตี้ยสั่งอย่างรำคาญ พร้อมชายร่างใหญ่สองคนเดินเข้ามาขนาบหญิงสาว วรันธรยังมีสีหน้าโกรธจัด เธอพยายามสะบัดตัวหนี เมื่อพวกนั้นจับหมับที่แขนทั้งสองข้าง ด้วยร่างกายที่ใหญ่โตกว่ามากทำให้หญิงสาวขยับตัวได้ไม่ถนัดนัก แต่กระนั้นวรันธรก็ยังพยายามสะบัดแขนออก ทว่าก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้นมือหนาของบุรุษสูงโปร่งก็จับแขนคนที่ตัวโตกว่าตนเองมาก และเหวี่ยงออกไปข้าง ๆ ส่วนอีกคนที่ยังจับแขนเรียวอยู่รีบโวยวาย

“อะไรวะ”

เซสทัสผลักอกคนโวยทันที ใบหน้าคมเข้มไร้ความรู้สึกส่งเสียงเชิงถาม “รังแกผู้หญิง?” และพอทั้งหมดเห็นหน้าเขาชัด ๆ ท่าทางฮึดฮัดเมื่อครู่ก็หมดไป ความรู้สึกเกรงกลัววิ่งรี่เข้ามาแทนที่ เสียงพวกนั้นพึมพำ

“เซสทัส”

เพราะคนในเมืองนี้ใคร ๆ ก็รู้กิติศัพท์ และความเก่งกาจของบอดี้การ์ดท่านชี้คอัลฟารอสดี ดวงหน้าคมหันกลับมามองวรันธร

“ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

หญิงสาวพยักหน้าน้อย ๆ อย่างรักษาท่าที เธอยังไม่หายโกรธการกระทำของเจ้าอ้วนเตี้ยนั่น และกระเป๋าใบนั้นก็ยังถูกชายเจ้าของร้านกอดไว้

“นั่นกระเป๋าของฉัน”

เธอส่งเสียงเข้มอีกครั้ง และเมื่อเห็นอีกฝ่ายจับกระเป๋าเธอแน่นและส่ายหัวดิก หญิงสาวจึงโวยวาย

“มีคนกระชากกระเป๋าฉันวิ่งมาทางนี้ แล้วตอนนี้มันก็อยู่ในมือนาย เอาคืนมาเดี๋ยวนี้นะ”

แม้จะผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่มา แต่หญิงสาวก็คุมสติได้อย่างไม่น่าเชื่อ และไม่มีความเกรงกลัวพวกนี้แม้แต่น้อย เซสทัสถอนหายใจเบา ๆ เข้าใจเรื่องต่าง ๆ ขึ้นมาทันที เขามองหน้าชายอ้วนเตี้ย ก่อนบอกเสียงเย็น “รู้ใช่ไหมว่าฉันมีวิธีพิสูจน์” สายตาคมดูเย็นชาขณะพูดว่า “รู้ใช่ไหมว่าจะเป็นยังไง”

เจ้าของร้านอ้วนเตี้ยมีสีหน้าตกใจก่อนแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ เขายัดกระเป๋าใส่มือเซสทัสก่อนบังคับเสียงไม่ให้สั่น

“นี่ของอยู่ในมือฉันแท้ๆ นะ!”

คำพูดซึ่งเหมือนจะบอกว่านี่คือของๆ ตัว ทำให้วรันธรยิ่งเพิ่มอารมณ์โมโห ทว่าชายอ้วนเตี้ยก็รีบหันหลังผลุบหนีหายเข้าไปในร้านทันที

เซสทัสมองใบหน้ารูปไข่ขาวผ่อง ดวงตากลมโตสีน้ำตาลที่มีแววฉลาดทันคน ก่อนส่งกระเป๋าให้หญิงสาว

“ของคุณ?”

แต่วรันธรยังมีอารมณ์คุกรุ่น นายคนนี้พูดเหมือนรู้จักกับเจ้าของร้านนั่นเลย และยังมีท่าทางคุ้นเคยกันอีกต่างหาก เธอไม่แน่ใจหรอกว่าพวกนี้จะมาไม้ไหน

“ต้องขอบคุณไหม!”

นั่นคือคำที่หญิงสาวคิดได้ในตอนนั้น และนั่นก็เรียกความรื่นรมย์ให้ปรากฏในดวงตาของเซสทัสผู้มีแต่ความเฉยเมยได้ทันที ชายหนุ่มพูดขึ้นลอยๆ

“ก็ดี...ถ้ามีใจจะขอบคุณ”

เขาสบตาเธอครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลังจากไป อะไรบางอย่างในดวงตาสีนิลของเซสทัส ทำให้หญิงสาวตัดสินใจเดินเข้าไปหาชายซึ่งเป็นลูกน้องเจ้าของร้านอ้วนเตี้ยพร้อมถาม

“เขาเป็นใครน่ะ”

ชายร่างใหญ่มองหญิงสาวอย่างทึ่งจัด เพราะทั้งๆ ที่เธอเพิ่งเกือบโดนพวกเขาทำร้าย แต่ทำไมไม่มีทีท่าว่าจะหวั่นเกรงสักนิด แต่ใจก็ยังคิดว่าอาจเป็นเพราะได้รับความช่วยเหลือจากบุรุษเมื่อครู่ละมัง

“คุณเซสทัส..เขาเป็นคนสนิทของท่านชี้คอัลฟารอส”

พอหญิงสาวได้ยินคำหลัง ‘ชี้คอัลฟารอส’ ดวงตาสีน้ำตาลก็เบิกกว้าง วรันธรวิ่งตามร่างสูงซึ่งกำลังขึ้นรถสปอร์ตสีดำของเขาทันที

“คุณเซสทัส” เธอตะโกนร้อง และหยุดยืนข้างๆ รถเขา ก่อนระล่ำระลักด้วยความเหนื่อย

“เซสทัส...ฉัน...ฉันขอบคุณ”

ชายหนุ่มเงยหน้ามองหญิงสาวอย่างแปลกใจ เขาพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนสตาร์ทรถและทำท่าจะจากไป วรันธรตาโตทันที พร้อมคิดหาคำพูดที่จะสามารถหยุดเขาไว้อย่างเร่งด่วน

“ฉันไปด้วยได้ไหม”

แม้จะดูไม่ค่อยเข้าท่า แต่ทว่ามันก็ได้ผล เซสทัสหยุดชะงักและหันกลับมามองหญิงสาวอย่างไม่อยากจะเชื่อ วรันธรพยายามไม่คิดมากกับสายตาเช่นนั้น ‘นี่คืองานที่ต้องทำ’ เธอบอกตัวเองในใจว่าต้องตามเขาไปเพื่อให้ได้บรรลุจุดประสงค์ซึ่งคุณพ่อสั่งไว้

‘สืบเรื่องของชี้คอัลฟารอส หาเพชรอัลคาซารห์ของราชวงศ์บาสุรี อัญมณีในตำนาน เพชรสีชมพูที่หายากที่สุด สวยงามที่สุด และที่สำคัญลึกลับที่สุด เพราะเป็นสิ่งที่ผู้ครอบครองซึ่งก็คือ สกุลชีราห์ พวกเขาหวงแหนมันเป็นอย่างมาก มันไม่เคยปรากกฎให้ใครได้ยลโฉม มีเพียงตำนานเท่านั้น ฉันต้องการรู้ว่ามันอยู่ที่นั่นจริงใช่ไหม’

วรันธรจึงยักไหล่ก่อนขยายความ “ฉันกลัว”

เซสทัสมองท่าทางของหญิงสาว ทั้งสีหน้าและท่าทางของเธอไม่ได้บอกสักนิดว่าจะเป็นอย่างที่พูด วรันธรจับกระแสความเคลือบแคลงนั้นได้ ร่างสมส่วนจึงค่อยๆ ห่อตัวนิดๆ ก่อนสัมทับความน่าเชื่อถือ “เมื่อกี้พวกนั้นขู่ว่า ถ้าคุณไปเมื่อไหร่ พวกเขาจะจัดการฉัน” เสียงเล็กๆ บอกพร้อมทำตาแสนซื่อ และพยักหน้าลงน้อยๆ อย่างยืนยัน เซสทัสทำเสียงขึ้นจมูกก่อนบอกสั้นๆ

“เชิญ”



******************************



2. ดวงตาสีนิลที่ลุ่มลึก



รถสปอร์ตสีดำแล่นไปตามทางซึ่งเริ่มมีบ้านเรือนน้อยลง เป็นเพราะบริเวณนั้นเกือบถึงเขตนอกเมืองซึ่งอยู่ใกล้กับชายแดน และถนนเส้นนี้ยังสามารถผ่านออกไปสู่ทะเลทรายสีแดงด้วย เซสทัสยังขับรถด้วยท่าทีนิ่งเฉย สายตาของเขามองตรงไปเบื้องหน้าขณะส่งเสียงถามคนข้าง ๆ

“จะไปไหนแน่”

“ไปกับคุณไง”

วรันธรตอบง่ายๆ แบบไม่ใส่ใจ สายตาของเธอยังมองทิวทัศน์ข้างทางอย่างแปลกหูแปลกตา และไม่มีทีท่าว่าจะสนใจจริงจังกับสิ่งที่เขาถาม ผมสีน้ำตาลเข้มซึ่งรวบเป็นมวยไว้ด้านหลังของหญิงสาวสะบัดตามแรงลมที่รถสปอร์ตวิ่งผ่าน เซสทัสชำเลืองมองแว่บหนึ่งก่อนพึมพำ

“ตลก!”

“ไม่นี่” ท่าทางกวนๆ ของคนที่ตอบทำให้หนุ่มมาดเข้มชักอารมณ์ขุ่น

“คุณต้องการจะไปที่ไหนกันแน่ อย่ากวนโมโห”

วรันธรมองอีกฝ่ายอย่างเริ่มรู้สึกตัวว่าเธอยังต้องพึ่งพาเขาอีกมาก จึงแสร้งก้มหน้าเล่นบทบาทน่าสงสารอีกครั้ง “ก็ฉันไม่มีที่ไปนี่นา” ว่าแล้วหญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นทำตาเชื่อมมองเขา “เนี่ยโดนล้วงกระเป๋าหมดตัวเลย” พร้อมทำท่ากวาดมือลงไปในกระเป๋าสะพายใบใหญ่สีดำเหมือนกับว่าหาสิ่งนั้นไม่เจอจริงๆ เซสทัสยังมีท่าทีนิ่งเฉยกับคำบอกเล่าของสาวสวย หรืออาจกำลังนึกอยู่ว่าจะทำอย่างไรกับเธอดี วรันธรมองท่าทางแบบนั้นอย่างรู้ทัน เธอรีบชิงพูดขึ้นเสียงอ้อนก่อนที่เซสทัสจะหาทางสลัดตนเองทิ้งลงไปข้างทาง

“ให้ฉันอยู่กับคุณนะ”

ประโยคที่ได้ยินทำให้เซสทัสขมวดคิ้วก่อนเหยียบเบรกจนรถหยุดนิ่งกลางถนน เขาไม่ได้สนใจเสียงรถราซึ่งเบรคเอี๊ยดอ๊าดและต้องหมุนพวงมาลัยเพื่อเบี่ยงหลบรถของตน แต่กลับหันมาจ้องหญิงสาวข้างๆ

“อยู่กับผม?”

วรันธรหรี่ตาห่อตัวอย่างหวาดเสียว เพราะกลัวว่าจะมีใครกระแทกหลังสปอร์ตสีดำคันสวยของเขา หรือไม่ก็อาจจะมีใครชะโงกออกมาพร้อมเสียงด่าบริภาษ แต่ปรากฏว่าเธอคิดผิด ไม่รู้เพราะว่าทุกคนเห็นคนขับรถคันนี้ หรืออาจจะเพราะทุกคนรู้อยู่แล้วว่าสปอร์ตสีดำคันงามนี้เป็นของใคร จึงพากันขับผ่านไปเฉยๆ ทว่าเสียงที่ทำเอาเธอแทบสะดุ้งคือเสียงถามเข้มๆ ของคนขับรถ

“ว่าไงนะ!”

“ก็ว่าอย่างนั้น”

หญิงสาวตอบทันที ขณะที่เซสทัสทำหน้าบอกไม่ถูก นี่สิ! ตลกของจริง อยู่ดีๆ ก็มีผู้หญิงมาขออยู่ด้วยงั้นหรือ? เขาหนีผู้หญิงที่น่ารำคาญในคฤหาสน์ของอัลฟารอสมาอยู่จนเกือบชายแดน แต่ต้องมารับผู้หญิงแปลกหน้าเข้ามาอยู่ในบ้านหรือไง เซสทัสเค้นเสียง

“ไม่มีทาง!”

วรัสธรมองใบหน้าขาวคม ก่อนยักไหล่ไม่สนใจ และพูดเหมือนจะย้ำว่านี่คือสิ่งถูกต้องที่สุดแล้วและเขาต้องยอมรับ

“แต่คุณช่วยฉัน”

“เกี่ยวอะไร?”

“อ้าว! ก็ต้องช่วยให้ตลอดสิ”

“อะไรนะ”

“อื้อ” วรันธรพยักหน้ายืนยัน “ช่วยแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบด้วยสิ”

บอดี้การ์ดหนุ่มมาดเข้มหรี่ตาลงอย่างไม่คาดว่าจะได้ยิน และเริ่มคิดว่าเขากำลังเจอกับผู้หญิงที่แปลกที่สุดเท่าที่เคยพบ ดวงหน้าหวาน ดวงตาคมเฉลียวฉลาดนั่น ดูไม่เหมือนผู้หญิงที่ชอบวิ่งตามผู้ชายเลยสักนิด เธอสวย! และยิ่งมีเสน่ห์มากขึ้นเมื่อเพิ่มบุคลิกที่เขาเห็นอยู่ตอนนี้ ชายหนุ่มเม้มปากลงอยากจะคิดเหลือเกินว่าตนเองหูฝาด แต่ใบหน้าที่ยิ้มอย่างไม่สนใจเบื้องหน้านี้ ยังมีตัวตนและเป็นของจริง

เมื่อคิดถึงตรงนี้เซสทัสก็ถอนหายใจ เพราะยังไงผู้หญิงก็คือผู้หญิง ย่อมจะน่าเบื่อเหมือนกันทุกราย และเซสทัสก็ไม่ชอบให้ใครยุ่มย่ามกับชีวิตส่วนตัวของเขา แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะดูสวยอย่างที่เขาคิดก็ตาม

“คุณชื่ออะไร”

“รัน ฉันชื่อวรันธร” หญิงสาวยิ้มอย่างคิดว่าเขาคงยอมรับคำขอของเธอแล้ว เสียงหวานๆ จึงบอกอีกครั้ง “เรียก-รัน-นะคะ”

“คุณไปอยู่กับผมไม่ได้”

วรันธรชะงัก ก่อนขมวดคิ้ว หากดวงตาคมสีน้ำตาลยังมีแววมุ่งมั่น “ทำไมจะไม่ได้ คุณกลัวเมียคุณจะว่าหรือไง” พอนึกถึงข้อนี้หญิงสาวก็พยักหน้าก่อนหาทางออกให้ “ไม่ต้องห่วงหรอก บอกว่าฉันมาสมัครเป็นคนใช้ก็ได้ แล้วฉันก็ทำงานบ้านได้ทุกอย่างเลยนะ ทำอาหารก็อร่อยอีกต่างหาก เมียคุณต้องชอบแน่นอน”

พอได้ฟังคำตื้ออย่างไม่สะทกสะท้านของหญิงสาว เซสทัสจึงขมวดคิ้วก่อนถามขึ้นอย่างสงสัย “งั้นหรือ” เขามองการแต่งกายซึ่งดูดีเกินกว่าข้อเสนอของอีกฝ่ายแล้วตั้งข้อสังเกต “ถึงกับยอมเป็นคนรับใช้เชียวหรือ? ท่าทางคุณจะอยากอยู่บ้านผมมาก”

วรันธรชะงักกึก รีบหันหน้าหนีเพื่อเก็บพิรุธก่อนทำสายตาเชื่องๆ ดุจแมวสีสวาทยามขออาหารเจ้านาย “ก็ฉันไม่มีที่ไปนี่นา.....ได้โปรดเถอะค่ะ ฉันไม่ทำให้ภรรยาคุณเข้าใจผิดหรอก”

‘ไม่มีที่ไป’ เป็นเพราะคำๆ นั้นละมัง ชายหนุ่มผมยาวจึงถอนหายใจหนักๆ พร้อมบอกให้เธอเข้าใจ “ผมอยู่คนเดียว” เซสทัสหันหน้ากลับไป ใช้มือทั้งสองจับพวงมาลัยไว้นิ่งอย่างตัดสินใจ ในขณะนั้นรถของเขายังจอดอยู่กลางถนน แม้จะมีคนสัญจรเพียงนานๆ ครั้ง ทว่าการกระทำแบบนั้นของเขาก็บอกให้วรันธรรับรู้ว่า เซสทัสมีอำนาจไม่แพ้ชี้คอัลฟารอส

ชายหนุ่มเอี้ยวตัวมาหาคนที่นั่งข้างๆ ก่อนทำสีหน้าเรียบเฉยจริงจัง

“คุณกลัวพวกนั้นใช่ไหม?”

วรันธรรีบพยักหน้าซ้ำๆ อย่างยอมรับ พอได้ฟังดังนั้นเซสทัสก็ใช้ข้อศอกยันที่พนักเบาะ และเขยิบตัวชะโงกหน้าเข้าไปใกล้

“แล้ว.....ไม่กลัวผมหรือไง”

วรันธรนิ่งไปชั่ววินาที ทว่าเธอก็ไม่ได้หลบใบหน้าคมซึ่งกำลังก้มลงมาจนห่างใบหน้าเธอแค่คืบ ลักษณะนิสัยของผู้ชายที่ชอบหว่านเสน่ห์หรือลวนลามเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เธอเองไม่เคยทำ ลูกสาวนายเชาวลิต บุตรสาวบุญธรรมที่ถูกเลี้ยงมาในบ้านหลังใหญ่แต่ไร้ซึ่งความอบอุ่น ถูกสอนให้รู้จักใช้เสน่ห์ของตัวเอง เพื่อล้วงความลับของเพศตรงข้ามมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ยังดีที่พ่อเลี้ยงของเธอไม่เคยสั่งให้ต้องใช้ตัวเองเข้าแลก เพราะถ้าเช่นนั้น คนอย่างวรันธรจะไม่ยอมเด็ดขาด! และเธอคงต้องโดนไล่ออกมาจากบ้านของนายเชวลิตมานานแล้วอย่างแน่นอน

และในวันนี้ก็เช่นกัน.....หญิงสาวไม่ได้หลบดวงตาคมของเซสทัส ใบหน้าหวานมีเสน่ห์ของเธอจ้องตอบเขาอย่างมีแผนการ ‘นี่คือการสร้างจังหวะแห่งความประทับใจ ขั้นต่อไปเราก็ต้องถอยหลังออกห่างจากเขาช้าๆ’ วรันธรท่องอยู่ในใจ และพยายามทำอย่างคิดไว้

ทว่า! เธอกลับทำเช่นนั้นไม่ได้ ใบหน้าขาวคม ดวงตาสีนิลแสนลุ่มลึกที่มองจ้อง ช่างเป็นเหมือนหมุดที่ตอกตรึงเธอไว้อย่างแน่นหนา ลมหายใจอุ่นๆ ของชายหนุ่มที่แผ่วผ่านใบหน้าหวาน ขณะที่ริมฝีปากบางของเขาเผยอออกและก้มลงมาช้าๆ กำลังทำให้หัวใจของวรันธรก็เร่งจังหวะประท้วง แม้ว่าร่างกายจะแทบไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลยก็ตาม

และหญิงสาวก็รู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่งเมื่อมีเสียงบีบแตรรถคันหลังดังขึ้น “ปี๊นๆ” น่าจะเป็นใครสักคนที่รู้จักเจ้าของรถสปอร์ต เพราะเขาตะโกนแซวเสียงดัง

“กลางถนนนะเซสทัส”

ชายหนุ่มถอยหลังกลับไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับ หน้าอกหนายุบตัวลงอย่างสะกดกลั้น วรันธรเอนร่างบางพิงพนักรถ มือเรียวกำแน่น ดวงตาสีน้ำตาลส่อแววสับสน ถ้าไม่ใช่ว่าเธอจำเป็นต้องอาศัยนายคนนี้เพื่อสืบเรื่องเพชรและเข้าให้ถึงตัวชี้คอัลฟารอสล่ะก็ ตอนนี้ตนเองคงวิ่งหนีไปตั้งหลักจนไกลแสนไกลแล้ว ใบหน้านวลแดงซ่านขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ หญิงสาวหันหน้าออกนอกรถและก้มลง ใช้มือทั้งสองปิดใบหน้าของตนเองพร้อมร้องตะโกนในใจ

‘เป็นอะไรรัน นี่มันข้อห้ามนี่นา ห้ามมีความรู้สึกอ่อนไหวต่อเหยื่อเป็นอันขาด!’

ใบหน้าเรียวก้มให้ต่ำลงกว่าเดิม สองมือของเธอยิ่งแตะศีระษะตัวเองไว้อย่างคนที่กำลังต่อสู้ทางความคิด ‘พ่อเคยบอกว่า เธอเก่งที่สุดยังไงล่ะรัน ไม่คิด ไม่คิด หยุดเดี๋ยวนี้!’



“ตกลงว่าเธอกลัวฉัน ใช่ไหม?”

เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทำให้วรันธรรู้สึกตัว หญิงสาวเงยหน้าอีกครั้ง ร่างเพรียวระหงนั่งตัวตรง หายใจลึก ๆ และเริ่มใหม่

“ไม่!” คำแรกเธอบอกตัวเองและประโยคหลังก็ขยายความให้เขาฟัง “ฉันไม่กลัวคุณ ฉันจะไปอยู่บ้านของคุณ” เซสทัสปรายตามองหญิงสาว วูบหนึ่งดวงตานิ่งนั่นก็วาบขึ้นอย่างนึกสนุก

“ก็ได้ ถ้าเธอแน่ใจ”



บ้านของหนุ่มโสดตั้งอยู่ในหมู่ต้นไม้ซึ่งมีขนาดลำต้นไม่ใหญ่นัก ทว่ามีปริมาณมากพอจะให้ความร่มรื่นได้ ต้นไม้เป็นสิ่งหายากในทะเลทราย หากว่าพบเห็นได้บริเวณโอเอซิสที่เป็นเมืองใหญ่เช่นรัฐแมนซัวร์นี้ เซสทัสขับรถผ่านหมู่ไม้หน้าบ้าน ก่อนจอดมันในโรงรถข้าง ๆ

วรันธรเปิดประตูออกมา เธอก้าวลงพร้อมมองบ้านสีขาวชั้นเดียวหลังไม่ใหญ่นัก ด้วยท่าทีเงียบๆ ทว่าดวงตากลมโตสีดำกลับเป็นประกายจนปิดไม่มิด นั่นเป็นเพราะตอนแรกเธอคิดว่าเขาจะอยู่อาพาร์ทเม้นต์ที่ไหนสักแห่งซะอีก ‘แบบนี้ก็ดี’ หญิงสาวคิด เธอนึกถึงห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ เล็กๆ ภายในอาพาร์ทเม้นท์ส่วนมาก ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นแล้วตนเองจำเป็นที่จะต้องอยู่ประจัญกับเขาเพียงลำพังสองคนอีก.....วูบหนึ่งที่อาการเมื่อตอนสบตากับเซสทัสบนรถผ่านแว่บเข้ามาในจิตใจ วรันธรรีบกระพริบตาถี่ๆ เหมือนพยายามไล่ความรู้สึกนั้น

‘ไม่ใช่หรอก!’

หญิงสาวรีบเปลี่ยนความคิดของตัวเองทันใด ฉันหมายถึงว่าถ้าต้องอยู่ในห้องแคบๆ แบบนั้นก็คงต้องอึดอัดน่าดู และแล้ววรันธก็ชักจูงความสนใจของตนเองไปที่เรื่องอื่นแทน

‘บ้านเดี่ยวหลังน้อยๆ’

สายตากลมโตสีดำมองต้นไม้รอบๆ และสังเกตสังกาไปทั่วตามนิสัย จนแทบไม่ได้เห็นเลยว่าเซสทัสเดินหนีเข้าบ้านไปตั้งแต่เมื่อไหร่ พอเห็นหลังของคนตัวสูงไวๆ หญิงสาก็รีบวิ่งตามทันที ‘เผื่อว่าเขาจะล๊อคประตูห้ามไม่เข้า’ เธอคิดในใจ แต่ก็โล่งอกที่มันยังเปิดแง้มไว้ ยืนยันว่าให้เข้าไปได้

และเมื่อสายตาของหญิงสาวมองเข้าไปด้านใน ตนเองก็ได้พบกับความประหลาดใจอีกครั้ง เพราะบ้านหลังนี้เรียบร้อยเกินคาด เฟอร์นิเจอร์ที่มีไม่มาก วางเรียงอย่างมีระเบียบ มีเพียงของไม่กี่อย่างที่วางอยู่บนโต๊ะและยังไม่ได้เก็บ บนพื้นห้องแทบไม่ฝุ่นปรากฏเลยด้วยซ้ำ

หญิงสาวเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เพราะเธอเคยเห็นแต่ห้องพักหนุ่มโสดของพวกลูกน้องพ่อ พวกนั้นเป็นหนุ่มโสดจนค่อนข้างโฉดทีเดียว ท่าทางดุๆ สมกับตัวดำๆ ใหญ่ๆ ทำให้คนที่มองกลัวไปตามๆ กัน แบบนี้แหละเธอถึงไม่ค่อยหวั่นกับเจ้าสองคนที่ร้านขายของ

เมื่อตอนอยู่เมืองไทย บ่อยครั้งที่เธอต้องไปเคาะประตูห้องเพื่อตามให้พวกนั้นมาทำงานด่วน และทุกครั้งที่เปิดประตูห้องพักหนุ่มโสดออก เธอก็แทบจะต้องใช้วิชากระโดดข้ามรั้ว เพื่อหลีกหนีของต่างๆ ที่วางกองระเกะระกะจนมองไม่เห็นสีจริงๆ ของพื้นห้องเลยทีเดียว แต่อย่างว่าแหละ พวกนั้นเป็นผู้ชาย และไม่มีแม่บ้านคอยทำความสะอาดให้ ด้วยความคิดแบบนั้นวรันธรจึงเหยียดยิ้มเงยหน้ามองเจ้าของบ้าน

“ไม่น่าเชื่อว่าเป็นบ้านผู้ชาย”

แต่เซสทัสทำนิ่งเฉยเหมือนไม่ได้ยิน บ้านของเขาเป็นบ้านชั้นเดียว ด้านหน้ามีชานพักออกมาคล้ายเป็นบริเวณหน้ามุขกว้างๆ และห้องแรกที่เปิดประตูเข้าไปเจอก็คือห้องรับแขกสีครีม ที่มีโซฟาและเฟอร์นิเจอร์โทนสีเทาตั้งอยู่ ถัดไปมีห้องอีกสองห้อง ซึ่งมีทางเดินขั้นกลางและหันหน้าชนกัน ห้องหนึ่งค่อนข้างใหญ่ อีกห้องดูเล็กกว่า บริเวณส่วนหน้าของห้องที่เล็กกว่านั้นเป็นเคาเตอร์อเนกประสงค์ ซึ่งออกแบบได้อย่างสวยงาม กลมกลืนกับห้องรับแขก และน่าจะมีเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับอำนวยความสะดวกหลายๆ อย่างบริเวณนั้นรวมทั้งตู้เย็นด้วย

เซสทัสเดินหนีเข้าไปในห้องใหญ่โดยไม่สนใจหญิงสาวที่ตามมาอีก

วรันธรไม่ยี่หระต่อท่าทีเฉยชาของเขา เธอเดินกลับไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าและกระเป๋าถือสีดำตัวต้นเหตุที่ทำให้ทะเลาะกับเจ้าของร้านอ้วนเตี้ยจอมโมเมนั่น และวางมันไว้กลางห้องรับแขก

แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ เธอจึงชำเลืองมองไปทางห้องที่เซสทัสเดินหายเข้าไป และเริ่มคิดว่า ตอนนี้ทุกๆ อย่างทั่วๆ บ้านช่างเงียบสงบนัก เงียบจนเธอรู้สึกว่าตนอยู่คนเดียวในบ้านหลังนี้

‘หรือเขาหลอกเธอมาทิ้งไว้ที่บ้านคนอื่น’

เพราะคิดแบบนั้นหญิงสาวจึงก้าวไปทางห้องเบื้องหน้าทันที แต่ก็มีมารยาทพอที่จะเคาะบอกคนซึ่งอาจจะอยู่ข้างใน แต่เกรงว่าเธอคงเคาะแรงมากไปหน่อย เพราะนอกจากเสียง ‘ก๊อก’ ที่ดังขึ้นเพียงครั้งแรกแล้ว ประตูนั้นยังผลุบเข้าไปฉับพลัน เร็วจนมือและร่างที่เคาะหน้าคะมำเข้าไปในห้อง

เซสทัสซึ่งกำลังดึงประตูเปิดรวบร่างนุ่มนั้นไว้ทันที พร้อมถามเสียงเข้ม

“เข้ามาทำไม”

คนในอ้อมกอดเขาตาโต เงยหน้ามองร่างสูง “ปล่อยนะ”

“ผมน่ะหรือ?”

เสียงถามแบบนั้น ทำให้หญิงสาวโวยเสียงดัง “ใช่น่ะสิ! คุณน่ะแหละ”

“แต่ตอนนี้ผมไม่ได้จับคุณแล้ว” เซสทัสยกมือขึ้นเสมอปลายคางเป็นการยืนยัน “คุณต่างหากที่กอดผม”

วรันธรมองหน้าเขาเก้อๆ ก่อนค่อยๆ ปล่อยมือ และดันตัวเองขึ้น ก็ใช่น่ะสิเมื่อกี้เธอหน้าคะมำนี่นา เธอแก้ตัวอุบอิบ

“ก็ฉันจะล้มนี่ ไม่ได้พิศวาสอะไรหรอกน่า”

“เหมือนกัน”

เซสทัสยังเฉยชาขณะตอบเรียบๆ นั่นยิ่งพาให้วรันธรต้องกัดริมฝีปากพึมพำ “หนอย” แต่ ‘อดทน’ หญิงสาวท่องไว้ในใจ เธอเปลี่ยนเรื่องใหม่เพื่อกลบเกลื่อนความโมโห

“เสื้อผ้าของฉัน เก็บไว้ไหนดี” พร้อมหันมองไปที่ห้องฝั่งตรงข้าม “ห้องโน้นได้ไหม”

เซสทัสยักไหล่น้อยๆ ก่อนบอก “นั่นห้องน้ำ”

“ว่าไงนะ!”

“ลองเดินไปดูสิ จะได้ไม่ต้องถาม”

พูดจบเขาก็เริ่มปลดกระดุมเสื้อสีดำของตนเองออก วรันธรรีบตรงลิ่วไปที่ห้องตรงข้ามทันที ‘คนขี้โม้’ เธอต่อว่าเขาในใจ ‘ห้องกว้างๆ แบบนั้น จะเป็นห้องน้ำไปได้ยังไงกัน’ แต่ทันทีที่เธอดันประตูสีครีมเข้าไป หญิงสาวก็รู้ชัดว่าตนเองคิดผิด ห้องที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าคือห้องน้ำที่กว้างใหญ่จริง ๆ ถึงแม้จะไม่กว้างเท่าห้องนอนที่เธอเพิ่งเดินออกมา แต่พื้นของมันก็ปูด้วยกระเบื้องสีขาวเคลือบมุกวาววับ ทุกอย่างที่วางอยู่ดูเป็นระเบียบ อ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ราคาแพงวางอยู่มุมหนึ่ง มีผ้าสีครีมลวดลายปลาโลมาที่ไม่มีสีปรากฏกั้นกลาง แจกันดอกไม้ใบใหญ่ที่มีกิ่งไม้ประดิษฐ์สีน้ำตาลใส่เอาไว้จนเต็มวางอยู่ข้างประตู ตามก้านของมันมีผีเสื้อที่น่าจะทำจากกระดาษ และดอกไม้เล็กๆ สีขาวเกาะตามปลายไม้

หลังจากดื่มด่ำกับความงามของห้องน้ำเบื้องหน้า อย่างที่ไม่เคยคิดว่าเธอจะสามารถมองห้องน้ำที่ไหนได้นานขนาดนี้ ในที่สุดวรันธรก็ถึงทางตันและเริ่มตระหนักถึงความเป็นไปไม่ได้

‘แล้วเราจะอยู่ที่ไหนในบ้านของเขา ห้องรับแขกน่ะหรือ อาจใช้ได้ชั่วคืน แต่จุดประสงค์ของเธอยังอีกยาวไกลนี่นา’

ในขณะที่กำลังคิดเช่นนั้นร่างสูงของเซสทัสก็ปรากฏตัวที่สุดปลายห้องน้ำ เขาสวมเสื้อคลุมสีเทาเข้ม และเดินตรงมา ‘ก็ได้ถ้าเธอแน่ใจ!’ เสียงนุ่มของเขาดังก้องอยู่ในโสตประสาทของหญิงสาว

“ร้ายนักนะ!”

วรันธรพึมพำ ห้องนี้มีเพียงห้องนั่งเล่นหนึ่งห้อง ห้องนอนหนึ่ง ห้องน้ำหนึ่ง มันถูกสร้างไว้สำหรับคนๆ หนึ่งเท่านั้น แบบนี้แหละเขาถึงบอกเธอว่า ‘ก็ได้ ถ้าเธอแน่ใจ’

เซสทัสก้าวเข้าห้องน้ำโดยไม่ผ่านตำแหน่งที่วรันธรยืนอยู่ หญิงสาวจึงรู้อีกอย่างว่าห้องน้ำอันแสนใหญ่โตหรูหรานี้ มีประตูสองด้าน หนึ่งจากห้องนอนของเขา และสองที่เธอกำลังยืนอยู่

ชายหนุ่มร่างสูงทำเหมือนไม่มีคนอื่นอยู่ในนั้น เขาเริ่มทำกิจวัตรของตนเองโดยเดินไปเปิดน้ำที่อ่าง และดึงเชือกที่ร้อยรอบเสื้อออกเพื่อเตรียมตัวลงไปแช่

วรันธรกัดริมฝีปากอย่างขัดใจก่อนจะถอยหลังและดึงประตูห้องน้ำปิด หญิงสาวก้าวปัง ๆ ออกไปทางห้องรับแขก ‘นายแน่มากเซสทัส’ เสียงยกกระเป๋ากุกกักดังตามมาหลังจากนั้น

เซสทัสอมยิ้มกับตัวเอง ‘เท่านี้ก็สิ้นเรื่อง’ ป่านนี้ผู้หญิงคนนั้นคงขนเข้าขนของออกไปจากบ้านของเขาแล้ว ยิ่งพอได้ยินเสียงตะโกนเหมือนโวยวายลั่นๆ และสักพักก็ได้ยินเสียงปิดประตูหน้าบ้านดังโครม ร่างสูงก็ลดตัวลงแช่ในน้ำอย่างสบายใจยิ่งขึ้น

เขาไม่อยากอยู่ใกล้ๆ ผู้หญิงคนนี้เลยจริงๆ ให้ตายสิ!



******************************



3. ข้อห้าม



เซสทัสก้าวออกจากอ่างน้ำหรู พร้อมเสียงสายน้ำหยดพราวตามร่างที่เต็มไปด้วยความแข็งแรง ชายหนุ่มไม่ได้มีกล้ามเป็นมัด ๆ ใหญ่โตเป็นยักษ์ปักหลั่น หากแต่ทั่วร่างกาย หน้าท้องแบนราบ กลับเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นแข็งแกร่ง

เขาหยิบผ้าเช็ดตัวสีเทาเช็ดตามร่างกาย ก่อนหยิบผ้าผืนเล็ก เช็ดตามเส้นผมตรงยาวประบ่าสีดำสนิท ชายหนุ่มมองกระจกในห้องน้ำนิ่ง ในขณะที่มือขยี้ตามเส้นผม ทุกครั้งที่ได้เห็นภาพสะท้อนของตนเอง เซสทัสจะคิดถึงดวงตาดำสนิทของพ่อ ใบหน้าคมคร้าม และริมฝีปากบาง เส้นผมตรงยาวสีดำของแม่

“แม่ครับ พ่อครับ ผมทำถูกแล้วใช่ไหม ที่มาที่นี่”

แค่วูบเดียวที่เขาชะงักกับคำพูดของตนเอง เพราะยังไงเขาก็ตัดสินใจแล้ว ตัดสินใจเป็นบอดี้การ์ดของชี้คอัลฟารอส ขายาวๆ จึงก้าวออกจากห้องน้ำไปทางประตูซึ่งเมื่อครู่มีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ และอดไม่ได้ที่จะเดินออกไปดูที่ห้องรับแขก

“ไม่มี…..”

เขาพึมพำ ก่อนก้าวเรื่อยๆ ไปจนถึงประตูบ้าน และมองออกไปเบื้องนอก วูบหนึ่งชายหนุ่มนึกถึงใบหน้าหวานขี้โวยวายเมื่อครู่ “ชื่อรันงั้นหรือ?” รันแปลว่าวิ่ง และตอนนี้ผู้หญิงที่ชื่อรันก็วิ่งเผ่นแน่บหนีเขาไปแล้ว เซสทัสส่งเสียงหึในลำคอขณะเดินกลับเข้ามาในห้องนอน

ทว่า! เมื่อบานประตูเปิดออกภาพที่เห็นในห้องทำเอาเกือบช๊อค!

เพราะผู้หญิงคนที่เขากำลังยิ้มเยาะเมื่อครู่ ตอนนี้กลับปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้า

ร่างเพรียวบางของหญิงสาวที่ชื่อรันนั่งเอนหลังพิงปลายเตียงของเซสทัส ดวงตาของเธอปิดลง ศรีษะเอนเหมือนคนที่กำลังหลับด้วยความเพลีย

“เธอ!”

แม้จะอยู่ในชุดที่ไม่เรียบร้อยนัก ชุดที่เขาสวมคือเสื้อคลุมสีเทา และผ้าขนหนูผืนเล็กๆ พาดบนไหล่ แต่เซสทัสก็ตรงดิ่งไปที่ร่างสวยนั้น

“เธอ!” และเมื่อร่างหญิงสาวนิ่งเงียบเหมือนคนกำลังเพลียจัด ชายหนุ่มก็ตวาดเสียงดัง

“รัน ตื่นเดี๋ยวนี้ รัน!”

วรันธรงัวเงียลืมตา ยกมือปัดแขนและมือหนาที่กำลังเขย่าตัวเธอ

“หูจะแตก เรียก เบาๆ ก็ได้”

“มานอนตรงนี้ทำไม”

“อ้าว”

“อ้าวอะไร”

“ก็ที่นี่มีห้องนอนห้องเดียวนี่นา ฉันก็จะนอนในนี้แหละ”

“อะไรนะ!”

“ฉันพูดไม่ชัด หรือนายหูไม่ดี ฉันจะอยู่ที่นี่ และก็นอนกับนายในห้องนี้แหละ”

“หะ..” เซสทัสขมวดคิ้วมุ่น “เธอเป็นผู้หญิงนะ”

“อืม” วรันธรดันตัวลุกขึ้นบิดขี้เกียจ ใบหน้าหวานมองเขาและถามอย่างท้าทาย “กลัวเหรอ?”

เสียงหวานชิงถามขึ้นก่อน เพราะตัวเธอเองไม่กลัวเขาหรอกน่า คนอย่าง ‘รัน’ รอดมาแล้วทุกสถานการณ์ แล้วอีกอย่างคอมม่อนเซ้นท์ขั้นพื้นฐานของเธอก็บอกว่า ผู้ชายคนนี้ไม่น่ากลัว แม้จะขี้เก็กและกวนประสาทไปหน่อยก็เถอะ พอคิดได้แบบนี้เลยอดไม่ได้ที่กวนกลับ

“ทำไมเราจะอยู่ห้องเดียวกันไม่ได้ ก็คุณบอกเองนี่ว่าไม่ได้พิศวาสฉัน เราก็ต่างคนต่างนอนก็เท่านั้น หรือคุณจะเปลี่ยนใจมาสนฉันล่ะ”

“ถ้าผมเปลี่ยนใจ คุณนั่นแหละที่ต้องกลัว” เซสทัสทำเสียงเข้มก่อนสั่งเป็นงานเป็นการ

“เก็บข้าวของออกไปเดี๋ยวนี้”

วรันธรมองใบหน้าเอาจริงเอาจังของอีกฝ่าย ก่อนยืนยัน

“ไม่”

เซสทัสย่างสามขุมเข้ามาหาเขาคว้าข้อมือเธอ อีกมือก็เอื้อมหยิบกระเป๋าหญิงสาว และดึงให้เดินตาม

“ไม่ไป!”

วรันธรร้องเสียงหลง พยายามดิ้นรนสู้มือหนาแข็งแรง แต่อีกฝ่ายไม่ฟัง ทำไมเขาต้องยอมให้ผู้หญิงที่ไม่รู้จักกันมาอยู่ในบ้านของตนเองด้วย แค่ฮาเร็มของชี้คอัลฟารอส ก็ทำให้เขารำคาญอาการกรี๊ดกร๊าด ทะเลาะเบาะแว้ง จนแทบจะเป็นโรคเข็ดขยาดผู้หญิงเสียแล้ว ชายหนุ่มเค้นเสียงเข้มกึ่งสอนกึ่งอบรม

“ผู้หญิงดีๆ เขาไม่ทำแบบนี้กันหรอกรู้ไหม”

คำปรามาสทำให้คนโดนดึงกัดริมฝีปาก หัวใจวรันธรเต้นแรงด้วยความโกรธ กอปรกับความเหนื่อยที่พยายามดิ้นในตอนนี้ และความเพลียที่ทะเลาะกับชาวบ้านมาอีกหลายยกหลายพัก ทำให้วรันธรหยุดการดิ้นรนกระทันหัน หญิงสาวหายใจแรงและถี่ขึ้น แต่กลับสั้นลงและไม่เป็นจังหวะ

เซสทัสหยุดชะงักหันกลับมามองด้วยสีหน้าแปลกใจ

“อะไร!”

“คุณ.....รัน.....”

หญิงสาวพยายามบอกเขา มือที่ยื้อยึดต่อสู้เมื่อครู่หลุดออกจากชายหนุ่ม พร้อมร่างของเธอทรุดลงกับพื้นห้อง และหายใจแรงๆ เหมือนกับกลัวว่าออกซิเจนนั้นอาจจะไม่ได้เข้าไปหล่อเลี้ยงปอด

“เป็นอะไร” เซสทัสร้องถามด้วยสีหน้าตกใจ วรันธรชี้มือก่อนร้องบอกตะกุกตะกัก

“....กระ..เป๋า....”

เซสทัสรีบหยิบสิ่งที่วรันธรร้องขอส่งให้ ตนเองก็ย่อตัวลงข้างๆ มองมือเรียวที่กำลังควานหาบางอย่างในกระเป๋านั้น วรันธรหยิบตลับใสๆ ซึ่งมียาพ่นใส่อยู่ เธอรีบเปิดมันออกเอาขึ้นมาจรดที่ปากของตนเอง กดเพื่อพ่นยา และหายใจเข้าลึกๆ

ชายหนุ่มยังคุกเข่าข้างหนึ่ง มองหญิงสาวที่ค่อยๆ หายใจดีขึ้น ก่อนถาม

“เป็นไงบ้าง?”

วรันธรพยักหน้า ทำนองว่าดีขึ้นแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีเสียงหายใจที่ดังกว่าปกติ เธอค่อยๆ บอกเขา

“ไม่ได้เป็นมานานแล้ว”

“ต้องพกยานั่นตลอด?”

“ดีที่ยังติดกระเป๋าอยู่เสมอ”

เซสทัสลุกขึ้นก่อนยื่นมือหนาให้หญิงสาวจับ วรันธรเหนี่ยวมือของเขา หายใจเข้ายาวๆ แล้วทำสายตาน่าสงสาร

“คุณจะไล่ฉันจริง ๆ เหรอ”

เสียงอ้อนๆ ทำให้ชายหนุ่มหยุดนิ่งอย่างครุ่นคิด หญิงสาวเห็นแบบนั้นก็รีบฉวยมือชายหนุ่มมาจับและมองเขาเชิงขอร้อง

“รันไม่รู้จักใครที่นี่เลย...รันมาตามหา...แม่...ขอรันอยู่ด้วยนะ”

บอดี้การ์ดหนุ่มหายใจลึกๆ ก่อนดึงมือตนเองออกจากการยึดเหนี่ยว และเดินตรงไปอีกด้านของห้อง เขายืนหันหลังให้หญิงสาวขณะบอก

“มานี่สิ”

ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นทันที ริมฝีปากกระจับแย้มยิ้ม ทำท่าจะเดินลิ่วๆ ไปหาคนเรียก แต่เสียงเข้มก็ดุขึ้นทันควัน

“เอากระเป๋ามาด้วย”

“มีตาหลังหรือไง” วรันธรพึมพำเบาๆ แต่ก็หิ้วกระเป๋าไปหา เซสทัสเปิดตู้สีควันบุหรี่ตรงหน้า ดันเสื้อผ้าของตัวเองชิดไปด้านหนึ่ง

“เอาของไว้ในนี้ เราแบ่งกันคนละฟาก”

พอได้ยินแบบนั้นดวงตาคมสีน้ำตาลก็กระจ่างสดใสขึ้นทันควัน หากเธอก็รีบกัดริมฝีปากคล้ายกลัวว่าตนเองจะแสดงอาการดีใจออกมาจนเกินควร ทั้งที่พยายามเก็บแต่อีกฝ่ายก็ยังรู้

“ไม่ต้องดีใจหรอก ที่นี่มีกฎ”

“อะไรก็ได้ค่ะ”

“ข้อหนึ่ง ห้ามทำตัวน่ารำคาญ” เซสทัสมองหน้าหวานก่อนบอกต่อเสียงเข้ม

“ข้อสอง ห้ามส่งเสียงดังกวนใจ ข้อสาม ห้ามทำบ้านสกปรก ข้อสี่ ห้ามยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของฉัน ข้อห้า ห้ามแตะต้องของๆฉัน ข้อหก ห้าม...”

“เดี๋ยวๆๆ” วรันธรยกมือโบกพัลวัน ทำให้เซสทัสหยุดและมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้านิ่งๆ

“ห้ามขนาดนี้รันจะกระดิกตัวได้ไหมเนี่ย”

“ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องอยู่”

“โอเคๆ ลองคิดดูนะ คุณบอกว่าห้ามแตะต้องของๆ คุณ”

วรันธรจ้องตอบดวงตาสีนิล ก่อนเลี่ยงไปมองข้าวของทุกๆ ชิ้นในห้องนั้น

“ก็นี่มันบ้านคุณนี่นา ถ้าห้ามแบบนี้ รันคงต้องเอาผ้ามาปู แล้วนั่งนิ่งๆ ให้คุณเอาฟอร์มารีนมาฉีด จะได้ไม่ต้องขยับตัวไปไหนละมัง” เธอค้อนเจ้าของบ้านควับอย่างหมั่นไส้ “ถ้ามัดตราสังข์อีกอย่าง ก็เผาได้เลย”

“อะไร” เซสทัสยังขมวดคิ้วมุ่น เพราะเขาไม่รู้จักอย่างหลังที่เธอบอก แต่ก็พอรู้ว่าหญิงสาวประชดเรื่องฟอร์มารีน “งั้นข้อนี้ยกเว้น ทำได้ไหม?”

หญิงสาวอมยิ้มก่อนบอกร่างสูง

“ได้อยู่แล้ว”



เซสทัสทิ้งหญิงสาวให้อยู่ในห้องนอนของเขา ร่างสูงเดินมานอนที่เบาะตัวยาวที่บุด้วยนวมอ่อนนุ่ม พลางสะบัดหน้าอย่างไม่แน่ใจตัวเอง ‘หาเรื่องใส่ตัวชะมัด’ ชายหนุ่มบ่นในใจ อยู่ดีๆ ก็รับใครไม่รู้เข้ามาอยู่ในบ้าน แต่ให้ตายสิ! ทำไมเขาต้องเป็นห่วงเป็นใยกลัวว่าเธอจะออกไปไม่สบายกลางถนนหนทางก็ไม่รู้ มือหนาสัมผัสหน้าผากตัวเองพร้อมคิด ‘สงสัยต่อมความดีของเขาจะฟุ้งซ่านมากเกินไปหน่อย’

“&&”

เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดัง ทำให้ชายหนุ่มกดรับ คำพูดไม่กี่คำในโทรศัพท์ทำให้ร่างสูงผลุนผลันยืนขึ้น วิ่งเข้าไปหยิบของบางอย่างในห้องนอน และกลับออกไปที่รถสปอร์ตของตนเองทันที



จวบจนเวลาดึกดื่น รถสีดำจึงกลับมาจอดเทียบที่โรงรถอีกครั้ง ชายหนุ่มไขกุญแจบ้าน พร้อมจับต้นคอตนเองอย่างเหนื่อยอ่อน และโดยสัญชาตญาณเซสทัสก็เปิดประตูห้องนอนของตัวเองและทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มทันที ‘ขอสักงีบก่อนเถอะน่า’ เขาคิดในใจก่อนขยับตัวเพื่อจะหลับพักผ่อน

แต่แล้ววูบหนึ่งก็คิดถึงเรื่องเมื่อเย็นได้ และโดยไม่ต้องคิดต่อไป เสียงหวานข้างๆ เขาก็โวยวายขึ้น

“ไปไหนมา!”

คำถามที่ทำให้ใบหน้าคมขมวดมุ่น ด้วยความไม่ชอบใจ

“บอกแล้วว่าอย่ายุ่ง”

“ถูก! ต้องไม่ยุ่ง”

วรันธรในชุดเสื้อยืดสีขาวกางเกงขาสั้นกำลังนั่งคุกเข่าทั้งสองอยู่บนเตียงของเขา ใบหน้าของเธอขมวดมุ่นขุ่นไม่แพ้เสียงที่ตะโกน “รันก็ไม่อยากยุ่ง! แต่คุณก็ไม่ควรขังฉันไว้ในบ้านหลังนี้ รู้ไหมตั้งแต่เย็นยังไม่อะไรตกถึงท้องเลย ตู้เย็นที่มีแต่เบียร์กับน้ำเปล่า แค่นั้นน่ะ มันทำให้อิ่มไม่ได้หรอกนะ”

เซสทัสขมวดคิ้วลุกขึ้นนั่งช้าๆ พร้อมทบทวนถึงเรื่องเมื่อเย็นนี้ ใช่! เขารีบออกจากบ้านไปเพราะคนที่คฤหาสน์โทรมาบอกว่า

‘ชี้คอัลฟารอสจำเป็นต้องไปติดต่อธุรกิจด่วนที่เมืองใกล้ๆ และเครื่องบินส่วนตัวก็กำลังจะเตรียมออกจากคฤหาสน์ ให้รีบมาทำหน้าที่ของตนเองด้วย’

ตอนนั้นเขากดปุ่มปิดโทรศัพท์ก่อนเดินตรงออกจากบ้าน ล็อคประตูด้วยความเคยชิน และสตาร์ทรถออกไป ให้ตายสิ! เขาลืมสนิทว่ายังมีอีกคนอยู่ข้างใน ดังนั้นก็เท่ากับว่าเขาขังเธอไว้ในบ้านของตัวเอง

วรันธรจ้องคนที่นั่งอยู่ คิ้วสวยขมวดผูกโบราวโกรธแค้นอีกฝ่ายมาแรมปี เมื่อเย็นพอเธอได้ยินเสียงปิดประตูก็รีบชะโงกหน้าออกมาดู แต่สิ่งที่ได้เห็นกลับคือความว่างเปล่า และทันใดนั้นหูของเธอก็ได้รับฟังเสียงสตาร์ทรถออกไปจากบ้าน หญิงสาววิ่งมาที่ประตู อยากจะออกไปดูเหมือนกันว่าเขาจะไปทางไหน แต่ทันทีที่มือเรียวสัมผัสกับลูกบิด เธอก็ทั้งตกใจทั้งโมโห ‘ล็อค’ เขาขังเธอไว้ในนี้ ตั้งแต่เย็นจรดค่ำคืนเลยทีเดียว

ไม่นานหลังจากนั้นเมื่อร่างกายของเธอเริ่มรับรู้ว่าถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว กระเพาะที่ยังไม่มีอะไรตกถึงเลย ตั้งแต่ลงเครื่องที่สนามบินรัฐแมนซัวร์ ก็ทั้งร้องประท้วง ทั้งบิดเกลียวด้วยความหิว

“นายจะฆ่าฉันหรือไง”

หญิงสาวเค่นเสียงใส่อีกฝ่าย คำว่า ‘โมโหหิวจนหน้ามืดตาลาย’ น่าจะใช้ได้กับเธอตอนนี้ เซสทัสเหลือบมองคนข้างๆ เขาเองก็รู้สึกผิดเหมือนกัน แต่ครั้นพอเห็นหน้ายับยู่ มือเรียวจับที่ท้องของอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็อดก้มลงซ่อนรอยยิ้มด้วยความขำไม่ได้

“ตลกหรือไง!” วรันธรยิ่งโมโหมากกว่าเดิม “ฉันฆ่านายได้เลยนะตอนนี้!” พูดจบก็หันไปคว้าหมอนใบใหญ่ข้างๆ เขวี้ยงใส่อีกฝ่ายโดยแรงทันที

เซสทัสรับหมอนเต็มอ้อมแขนก่อนรีบคว้ามือหญิงสาวที่กำลังจะหันไปเพื่อหยิบหมอนใบอื่นพร้อมส่งเสียงกึ่งขำ “ผมตาย คุณก็ไม่หายหิวหรอกน่า” เขารวบมือเธอไว้เป็นการห้ามศึกก่อนบอก

“ไปเถอะ จะพาไปกินข้าว”



*********************************************









แพรพริมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 พ.ค. 2555, 13:35:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 พ.ค. 2555, 13:35:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 1853





Siang 11 พ.ค. 2555, 13:41:05 น.
หายไปนานเลยนะคะ คิดถึงค่ะ มาปูเสื่อรออ่านเรื่องใหม่ค่ะ


แพรพริมา 11 พ.ค. 2555, 13:44:09 น.
เร็วๆ นี้จ้า คิดถึงน้องเซี่ยงและคนอ่านทุกคนเหมือนกันนะคะ ^^


Auuuu 11 พ.ค. 2555, 14:52:38 น.
น่าสนุกกกกกก


แพรพริมา 11 พ.ค. 2555, 17:09:12 น.
ขอบคุณจ้าคุณ Auuuu เรื่องนี้ราคาย่อมเยาว์มั่ก หน้าปกแค่ 99 บาทเองน๊า กำลังจะแต่งภาคต่อเลยเอาภาคแรกมาเตือนความจำกันจร้า (เตือนความจำคนเขียนด้วย อิอิ)


Zephyr 11 พ.ค. 2555, 17:17:54 น.
อยากจะบอกคุณแพรว่า.........................เค้าซื้อแล้ว........
ฮ่าๆๆ ตอนแรกอ่านแล้วจำไม่ได้ ชื่อนางเอกคุ้นๆ พอเจอชื่อเซสมัส เข้าไป โป๊ะเช๊ะ
อิอิ ซื้อไว้นานมากแล้ว หน้าปกทรายมากมาย(ก็เรื่องทะเลทรายนี่นะ ^^)
แต่ ฮือ เค้าอยากได้ลายเซ็น.....


แพรพริมา 11 พ.ค. 2555, 18:09:41 น.
ส่งกลับมาเลยค่าเด๋วเซ็นให้น๊า ^^


Auuuu 11 พ.ค. 2555, 20:12:34 น.
ไอ้หย่ะะะ อยากอ่านจัง
สงสัยต้องไปหามาอ่านซะแล้ว


แพรพริมา 11 พ.ค. 2555, 21:42:01 น.
คุณ Auuuu หาไม่ได้บอกนะคะ จะช่วยหาให้
แอบกระซิบค่ะว่าที่เวปกรีนมายด์กำลังลดราคาหนังสือเพียบเลยจร้า
www.greenmindbook.com


หมูอ้วน 11 พ.ค. 2555, 23:06:43 น.
จำเรื่องนี้ได้นะค่ะ พี่แพรเคยเอามาลงใช่ป่าวค่ะ


แพรพริมา 12 พ.ค. 2555, 00:02:30 น.
ถูกต้องคร่า น้องหมูอ้วน ลงจนจบไปครบถ้วนและรวมเล่มแล้วจร้า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account