กรงรักมายาหัวใจ
ความรักที่เย็นฉ่ำดุจละอองเกล็ดหิมะ หัวใจที่รุ่มร้อนดังเพลิงเพราะรัก

ฟ้าได้ลิขิตให้ทั้งสองมาเจอกัน ก่อนจะพลัดพราก เมื่อหญิงคนรักทิ้งเขาไปอย่างเลือดเย็น เขามีแต่ความเจ็บปวด เจ็บแค้น อันแน่นในหัวใจ เมื่อต้องกลับมาเจอเธออีกครั้ง เขาจะจัดการกับเธออย่างไร ในเมื่อไม่เคยลืมรักครั้งแรก

ปารีส (พระเอก) ชายหนุ่มลูกครึ่งไทย-แคนาดา เขารักปาริสาอย่างหมดหัวใจ ทว่าหล่อนกลับทิ้งเขาไป เมื่อต้องกลับมาเจอกันอีกครั้ง ทั้งที่ยังรัก และไม่เคยลืมจากหัวใจ อยากจะคว้าตัวหล่อนมากอด แต่ทำเพียงแค่แสดงความโกรธ และเย็นชาเท่านั้น โดยเก็บรักขังไว้ในกรงหัวใจ
ปาริสา (นางเอก) หรือที่ใครๆ หลายคนมักเรียกว่า ริสา เพียงแค่ไม่กี่เสี้ยววินาทีได้ตัดสินใจ เดินออกมาจากชีวิตของเขาด้วยเหตุผลบางอย่าง ทว่าหล่อนกลับใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อลืมเขา การต้องกลับมาเจอกับเขาอีกครั้งสร้างความไหวหวั่น หัวใจเหมือนโดนเศษแก้วบาดลึก ต่อความเย็นชา และอารมณ์โกรธของเขา หญิงสาวเก็บกักความรู้สึกซ่อนลึกในกรงหัวใจ ทำตัวเองประหนึ่งเป็นกระจกสะท้อนเงา เมื่อเขาร้ายหล่อนร้ายตอบ เจอความเย็นชา หล่อนก็พร้อมจะเป็นน้ำแข็งขั้วโลกใต้ ทว่าสิ่งที่ทำให้กลัวจับใจ คือความลับที่ปกปิดไว้ไม่ให้เขารู้
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 6 แค่สองเรา...

“เราไม่น่าทิ้งพวกเขาไปกันตามลำพังเลย” เขมิกาพูดขึ้น ขณะเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้อง หันไปมองทวีปที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สนขัดเงาเข้าชุดกับโต๊ะตัวเล็กตรงมุมห้องพัก

“พายุหิมะตกหนักขนาดนี้พวกเขาคงกลับมาไม่ได้” คนที่นั่งเฉยทำทองไม่รู้ร้อนพูดขึ้น จนอีกคนต้องหันไปย่นจมูกใส่ชายคนรักก่อนจะกล่าวโทษ

“เพราะแผนจับคู่ของพี่ทวีปคนเดียว”

“อ้าว ทำไมต้องมาโทษพี่คนเดียว มิกาเองก็เห็นด้วยไม่ใช่หรือไง” ทวีปพูดขึ้นบ้าง “เลิกกังวลเถอะบนแค้มป์มีที่พักพอให้พวกเขาหลบสภาพอากาศเลวร้ายแบบนี้ได้หรอกน่า” เขมิกาพยักหน้าพลางถอนหายใจหันมาโทษตัวเอง


“อย่างน้อยถ้ามิกาไปด้วย ริสาคงมีเพื่อน ดีกว่าไปติดแหง็กที่นั่นกับผู้ชายสองต่อสอง”

“ไม่ต้องห่วงหรอก เพื่อนพี่คนนี้ไว้ใจได้ รับรองริสาปลอดภัยแน่ๆ”

“ด้านไหน?” ทวีปชะงักไปนิดกับคำถามแฟนตัวเอง ก่อนจะตอบอย่างจริงจัง

“ก็ถ้าพูดถึงว่าหากมีเหตุการณ์อะไรอันตรายเกิดขึ้น คนอย่างนายปารีสต้องยอมเสี่ยงเอาชีวิตตัวเองปกป้องริสา โดยไม่ห่วงความปลอดภัยของตัวเอง” เขมิกาขยับเข้าไปนั่งเก้าอี้อีกตัวฝั่งตรงข้ามหรี่ตามองทวีป

“ทำไมต้องมองหน้าพี่อย่างนั้น”

“แล้วถ้าเพื่อนพี่คือสิ่งที่เป็นอันตรายสำหรับริสาเสียเองล่ะ” คนฟังเลิกคิ้วสูงแปลกใจกับความคิดของเขมิกา ก่อนจะหัวเราะเห็นเป็นเรื่องขำ

“ขอบอกว่านายปารีสเป็นสุภาพบุรุษทั้งแท่ง ไม่มีทางที่จะทำแบบนั้นกับริสา”

“ก็เพราะพี่เขาเป็นสุภาพบุรุษทั้งแท่งไง ถ้าเขาเป็นเกย์ มิกาจะมานั่งห่วงริสาให้เสียเวลาทำไม”

“โอ๊ย!” เขมิกายกมือจับหน้าผากตัวเองเมื่อโดนคนรักดีดหน้าผาก มองตาประหลับประเหลือก “เจ็บนะ” หญิงสาวรีบขยับลุกเข้าไปใกล้ตั้งท่าจะเอาคืน ทว่าถูกจับมือทั้งสองข้างไว้

“ปล่อย และนั่งอยู่นิ่งๆ ด้วย ห้ามขยับไปไหน” ทวีปเห็นสีหน้าจริงจังตาลุกวาวของแฟนสาวจำต้องทำตามแต่โดยดี ก่อนจะโวยวายกุมหน้าผากตัวเอง

“เธอโดนแค่ครั้งเดียวเองนะ แต่เล่นดีดหน้าผากพี่ตั้งสองครั้ง” เขมิกายักไหล่พลางอมยิ้ม เดินกลับไปนั่งที่เดิม แล้วหันไปบอก

“ครั้งแรกสำหรับมิกา ครั้งที่สองสำหรับริสา”

“แล้วริสามาเกี่ยวอะไรด้วย”

“ก็พี่ดีแต่พูดเข้าข้างเพื่อนตัวเอง โดยไม่สนใจมองในแง่มุมของริสาบ้าง ถึงยังไงริสาก็เป็นผู้หญิง และพี่ปารีสก็เป็นผู้ชาย”

“อืม ไม่ต้องบอกพี่ก็รู้” ทวีปย้อนกลับอย่างกวนประสาท “แล้วไง”

“ก็ผู้หญิงกับผู้ชายเมื่อมีโอกาสอยู่กันตามลำพังสองต่อสอง ก็เปรียบเหมือนน้ำมันอยู่ใกล้ไฟ ถึงมิกาจะไม่ได้เจอและพูดคุยกับพี่ปารีสบ่อยครั้ง แต่ท่าทีทำเป็นเย็นชาไม่สนใจสาวคนไหนจนได้รับฉายาว่าเจ้าชายหิมะ หรือเจ้าชายน้ำแข็ง ที่สาวๆ ในมหาวิทยาลัยพากันพูดถึง จะบอกให้ว่าเพื่อนพี่คนนี้ไม่ได้เป็นคนไร้ความรู้สึก เขาไม่ต่างอะไรกับภูเขาไฟที่รอวันปะทุ ส่วนริสาแม้มิกาจะเพิ่งได้รู้จักไม่นาน แต่เธอเป็นผู้หญิงอ่อนไหวและหวั่นไหวได้ง่าย คิดดูว่าถ้าสองคนนี้ต้องอยู่ด้วยกันในบรรยากาศเป็นใจ อะไรจะเกิดขึ้น”

เสียงตบมือดังขึ้นเป็นจังหวะเมื่อเขมิกาพูดจบ

“บราโว่! ว้าว!” น้ำเสียงโอเวอร์แอ็คติ้งที่หลุดออกมาสร้างความหมั่นไส้ให้คนได้ยินไม่น้อย “แฟนพี่น่าจะไปเรียนด้านจิตแพทย์ ไปเป็นนักจิตวิทยามากกว่าด้านการบริหารโรงแรมและการท่องเที่ยวเสียอีก”

“ไม่ต้องมาประชด” เขมิกาต่อว่าหน้างอง้ำเป็นจวัก

“พี่พูดจริง”

“ก็เพราะจิตวิทยากับการวิเคราะห์คนก็เป็นส่วนหนึ่งของนักบริหารที่ดี มิกาก็ต้องศึกษาไว้บ้าง” ทวีปยิ้มทะเล้นก่อนจะถาม

“แล้วเคยวิเคราะห์ตัวเอง หรือวิเคราะห์แฟนตัวเองบ้างไหม เราสองคนก็เป็นผู้หญิงกับผู้ชายเหมือนกันแถมเป็นคู่รักกันอีก โอกาสอยู่กันตามลำพังสองต่อสองก็บ่อยครั้งกว่าสองคนนั้น ถ้าพูดตามความจริงปารีสกับริสาก็เหมือนคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันด้วยซ้ำ เลิกกังวลเถอะ หันมากังวลตัวเองดีกว่าว่าทำไมถึงไม่เคยเกิดอะไรขึ้นระหว่างเราได้แค่จับมือกับมองตากันเท่านั้น สรุปเราคงไม่ใช่น้ำมันกับไฟเป็นแน่ ไหนลองบอกสิ ว่าพี่กับเธอเปรียบเป็นอะไรดี”

ถ้อยความยืดยาวอย่างมีเหตุมีผล ย้อนเข้าหาตัวเอง ทำเอาเขมิกาชะงักคอแข็งใบหน้าร้อนผ่าว... ตาบ้าเอ๊ย! เขาจะรู้บ้างไหมว่าแฟนสาวตัวเองเคยมีความคิดอยากจะลองจูบสักครั้ง เพราะเคยเห็นหนุ่มสาวชาวต่างชาติจุมพิตกันหน้าตาเฉยทั้งที่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย ทว่าหญิงไทยอย่างหล่อนก็ต้องสงวนท่าที เรื่องแบบนั้นควรให้ผู้ชายเป็นฝ่ายเริ่มก่อนถึงจะถูก คิดมาถึงตรงนี้เมื่อเขาถามมาจึงตอบออกไปอย่างไม่ลังเล

“พี่ก็เป็นแค่ตาแก่คนหนึ่ง ส่วนฉันก็เป็นเด็กน้อย ที่พี่ไม่กล้าทำอะไรไปมากกว่าจับมือกับมองหน้า เพราะกลัวโดนข้อหาพรากผู้เยาว์” เขมิกาลุกขึ้นยืนก่อนจะสะบัดหน้าใส่แล้วเดินไปเปิดประตูกลับห้องพักฝั่งตรงข้าม ปล่อยให้ทวีปนั่งจมอยู่กับความคิดตัวเองว่าแฟนสาวของเขากำลังสื่อถึงอะไร

จากช่วงเวลาที่ขาดหายไร้ความรู้สึกแต่จิตใต้สำนึกเหมือนตัวเองกำลังตกอยู่ในฝันร้าย หล่อนกำลังร่วงตกลงไปจมสู่ก้นทะเลลึกที่มีแต่ความหนาวเหน็บและรอบตัวผืนน้ำเหมือนถูกระบายละเลงด้วยสีดำทุกด้านจนมองไม่เห็นสิ่งใด ฉับพลันมีแสงสว่างปรากฏขึ้น จากนั้นค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ ปาริสาจ้องมองอย่างตะลึงพ่อการันอยู่ตรงหน้ามีแสงเรืองรองสีขาวรอบตัว ท่านยิ้มพร้อมยื่นมือมาให้

‘พ่อคะ ลูกตายแล้วใช่ไหม กลายเป็นวิญญาณ เราถึงได้เจอกันอีกครั้ง’

หล่อนแน่ใจว่าได้ถามออกไปอย่างนั้นทั้งๆ ที่เรียวปากกลับเม้มแน่นไม่สามารถเผยอราวกับแข็งเป็นหิน หรือนี่เป็นการสื่อสารกันด้วยกระแสจิต หญิงสาวส่งมือตัวเองไปวางลงบนอุ้งมือหนา เขาว่าคนที่ตายไปแล้วร่างกายจะเย็นจัด ปาริสายิ้มทั้งน้ำตาเมื่อสัมผัสได้ว่ามือข้างนี้ที่เคยจับจูงลูกสาวเดินยังคงอบอุ่นเหมือนเดิม

‘พ่อมารับริสาไปอยู่ด้วยใช่ไหมคะ’ บิดาส่ายหน้า

พ่อไม่ได้มารับหนูไปอยู่ด้วย เพราะมันยังไม่ถึงเวลา แต่จะพากลับไปยังที่ที่ลูกควรจะอยู่’

‘ไม่ค่ะ’ ปาริสารีบปฏิเสธ ‘ถ้าที่นั่นไม่มีพ่ออยู่ด้วย ริสาก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกตัวคนเดียว’

‘ใครบอกว่าลูกจะอยู่ตัวคนเดียว กลับเถอะเขาคนนั้นคอยริสาอยู่นะ’

‘ใครคะ?’


พ่อการันไม่ได้ตอบคำถามทันที กลับจูงมือพาหันเดินไปยังทิศทางอีกด้าน พลางร้องเพลงโปรดของตัวเองที่มักชอบร้องให้ลูกสาวได้ยินเสมอตอนอยู่เมืองไทย ปาริสาเดินตามหลังไปอย่างเงียบกริบตั้งใจฟังท่วงทำนองไพเราะจับใจนั้น โดยไม่ซักถามอะไร จนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่ตรงจุดหนึ่ง บิดาหันมามองลูกสาวก่อนจะชี้ไปยังข้างหน้าเห็นราวกับแสงสว่างปลายอุโมงค์ท่ามกลางความมืดมิด หญิงสาวรู้สึกเคว้งคว้างทันทีทันใดเมื่อถูกปล่อยมือ ปาริสาพยายามต่อต้านกระแสน้ำไหลวนเชี่ยวกราด ราวจะพยายามดูดร่างของหล่อนไปยังช่องว่างสีขาวทรงกลมอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก พ่อการันยิ้มให้ราวกับจะเป็นรอยยิ้มครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินผลักห่างออกไป ปาริสาพยายามวิ่งตามทว่ากลับก้าวขาไม่ออกเพราะเหมือนมีแรงมหาศาลบางอย่างฉุดดึงรั้งไว้

‘พ่อคะ กลับมาก่อน อย่าเพิ่งไป’ บุตรสาวร้องเรียกทั้งน้ำตา ‘ริสาเดินตามหลังพ่อไม่ได้อีกแล้ว’

‘กลับไปเถอะลูก’ บิดาพูดเสียงกังวานก้องโดยไม่ยอมหันหน้ากลับมา ปล่อยให้หล่อนเห็นเพียงแผ่นหลังเลือนราง ‘กลับไปหาผู้ชายคนนั้น เขากำลังรอลูกอยู่’

‘เขาเป็นใครคะ ที่พ่อพยายามผลักไสไปให้ โดยยอมทิ้งริสาไปแบบนี้’ ปาริสากล่าวตัดพ้อ ยิ่งใจเสียมากขึ้นเมื่อแผ่นหลังกว้างแสนอบอุ่นที่บิดาเคยให้ขึ้นขี่หลังประคองเดินกล่อมจนหลับเมื่อตอนเป็นเด็ก หายไปกับความมืดพร้อมเสียงก้องสะท้อนลอยมาจากที่ไหนสักแห่งไกลๆ

‘เมื่อลูกลืมตา เปิดหัวใจ ก็จะเห็นเขาเอง พ่อไม่ได้ทิ้ง อีกไม่นานพ่อจะกลับไปอยู่กับลูก แต่ตอนนี้...ลาก่อนลูกรัก’


‘พ่อคะ!’
หญิงสาวตะโกนสุดเสียง ร่างบอบบางถูกดึงเข้าไปยังแสงสว่างราวดวงจันทร์กลมโตตรงหน้า หล่อนหลับตาปี๋ เพราะนึกกลัวสิ่งที่ต้องเจอและรอคอยเมื่อหลุดพ้นไปจากตรงที่แห่งนี้ ความอึดอัดราวจะหายใจไม่ออกหายเป็นปลิดทิ้ง หญิงสาวค่อยๆ เปิดเปลือกตากลับพบเพียงแสงสว่างจากเปลวไฟเล็กๆ จ่อมาตรงหน้า

“รู้สึกตัวแล้วเหรอ เฮ้อ โล่งอกไปที”
ปาริสาเรียบเรียงเรื่องราวความฝันกับความเป็นจริง จึงนึกได้ว่าคนที่พูดกับหล่อนคือชายหนุ่มที่ชื่อปารีส พร้อมกับเปลวไฟดวงเล็กถูกดึงออกห่างไปอยู่ตรงใบหน้าของเขา ดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อเห็นเลือดตรงขมับซ้าย

“พะ...พี่ เลือดไหล พี่ปารีสหัวแตก” ร่างบางพยายามพยุงกายลุกขึ้นนั่ง แต่กลับไม่มีแรง และรู้สึกเวียนศีรษะพร้อมกับอาการปวดเจ็บ

“อย่าเพิ่งลุกขึ้นเลย นอนนิ่งๆ ไปก่อนเถอะ ให้ร่างกายปรับตัวก่อน” ปารีสบอกเสียงสั่นจนหญิงสาวสังเกตได้ “ส่วนเลือดที่เห็นคงโดนหิมะที่จับตัวเป็นก้อนน้ำแข็งกระเด็นใส่ แต่ไม่ต้องห่วง คงเป็นเพียงคราบเลือด เพราะมันแห้งหยุดไหลไปนาน สงสัยอากาศหนาวจัดมากไปหน่อย แม้แต่เลือดยังแข็งตัว”

นอกจากเสียงสั่นริมฝีปากเขาก็ยังซีดเซียว ปาริสาต้องตกใจเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเสียสละเสื้อกันหนาวของตัวเองคลุมร่างหล่อนไว้ เขาจึงมีเพียงเสื้อสเวตเตอร์ไหมพรมสีดำแขนยาวอยู่ตัวเดียว แม้แต่มือที่ถือไฟแช็คนั้นก็ยังสั่นอย่างเห็นได้ชัด ปาริสาจับมือตัวเองภายใต้เสื้อกันหนาวอีกชั้นที่เขาคลุมให้ จึงพบว่าถุงมือหนังอย่างดีของเขาสวมทับกับถุงมือไหมพรมธรรมดาของหล่อนอีกชั้น...มิน่าถึงรู้สึกว่ามือสองข้างอบอุ่นตลอดเวลา หญิงสาวไม่อาจทนนอนนิ่งอยู่เฉยๆ ได้อีกต่อไป จึงรีบลุกขยับเข้าไปใกล้เอาเสื้อกันหนาวคลุมไหล่สองข้างของพลางบ่น


“ทำไมพี่ต้องเสียสละเสื้อมาให้ริสา แล้วต้องมานั่งทนหนาวอยู่แบบนี้ด้วย”

“ก็พี่กลัวนี่หนา” เขาบอกเสียงยังคงไม่หายสั่น

“กลัวอะไรคะ”

“กลัวว่าเธอต้องหนาวตายก่อนพี่ไง” ปาริสารู้สึกหัวตาร้อนผ่าวด้วยความซาบซึ้ง แต่ยังไม่เลิกเอ็ดเขาด้วยความเป็นห่วง

“แล้วพี่จะยอมหนาวตายก่อน โดยทิ้งริสาไว้ในที่แบบนี้คนเดียวหรือไงคะ” น้ำตาปาริสาไหลโดยไม่รู้ตัว

“ร้องไห้ทำไมพี่ยังไม่ตาย”

“พี่ควรจะวางไฟแช็คลง” หญิงสาวแนะนำพลางสูดจมูกจากอาการน้ำมูกไหลเพราะการร้องไห้หรืออากาศหนาว หล่อนเองก็ไม่แน่ใจ “พี่จะได้สวมเสื้อกันหนาวให้เรียบร้อย ไม่ต้องมานั่งตัวสั่นอยู่แบบนี้” เขาเหลือบตาขึ้นมามอง ก่อนจะบอกเสียงเหมือนจะตลก แต่หล่อนไม่ขำด้วยหรอก

“พี่ก็อยากจะวางเหมือนกัน แต่ตอนนี้รู้สึกมือมันแข็งไปหมด แทบจะขยับไม่ได้ เขาเรียกว่าอะไรนะ น่าจะเป็นอาการนิ้วล็อค”

“แล้วพี่จะถือแบบนั้นไว้ตลอดทำไมกัน” ปาริสาแว๊ดใส่อย่างเหลืออด “ควรวางมันทิ้งไปตั้งแต่แรกแล้ว”

“ก็มันเป็นเพียงแสงอบอุ่นเดียวที่พี่พอจะหาให้เธอได้”
ผู้ชายคนนี้กำลังทำให้ปาริสาแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่อีกแล้ว เพราะนึกขึ้นได้ว่าทันทีเมื่อลืมตารู้สึกตัว ก็เห็นเปลวไฟดวงเล็กอยู่ตรงหน้า แสดงว่าตลอดเวลาเขาถือมันไว้อย่างนั้นเพื่อหวังว่าลำแสงเพียงน้อยนิดจะให้ความอบอุ่นกับหล่อนได้

หญิงสาวจัดการกุมมือเขาไว้ ก่อนจะเป่าไฟแช็คให้ดับลง และมือเกร็งแข็งเย็นจัดนั้นก็เป็นคิวต่อไป หล่อนใช้ลมร้อนๆ จากปากตัวเองเพื่อทำให้มือเขาอุ่นขึ้น จากนั้นจึงค่อยงัดนิ้วมือออกจนไฟแช็คร่วงตกพื้น ปาริสารีบถอดถุงมือตัวเองออกทั้งหมด ก่อนจะใช้ความร้อนจากมือบอบบางถูมือของเขาไปมา ตลอดเวลาการกระทำของหญิงสาวตรงหน้าปารีสมองเงาดำตะคุ้มของหล่อนตาแทบไม่กะพริบ

“เรากำลังอยู่ที่ไหนคะ” ร่างบางถาม

“อ๋อ คงเป็นกระท่อมของพวกล่าสัตว์ หรือไม่อาจเป็นกระท่อมพักของนักปีนเขาทำขึ้น”

"แล้วพี่รู้จักที่นี่ได้ยังไง”

“เจอโดยบังเอิญนานแล้วตอนมาเล่นสกีที่นี่ แล้วเคยแวะมานั่งพัก”
ชายหนุ่มตอบขณะเริ่มรู้สึกว่าลมร้อนที่ออกมาจากเรียวปากของหล่อนทำให้มือที่แทบจะแข็งเป็นหินอุ่นจัดขึ้น แต่แปลกนักเขากลับร้อนวูบวาบไปทั้งกาย ปาริสาจัดการสวมถุงมือหนังอย่างดีคืนเจ้าของ หลังจากมือข้างนั้นเริ่มคลายความเกร็งและเย็นจัด ก่อนจะบอกกับเขา


“ขยับมืออีกข้างของพี่มาใกล้มือข้างนี้สิคะ มันมืดมองไม่เห็น ริสาจะได้ช่วยสวมถุงมือให้” หญิงสาวอาสาอย่างเต็มใจ เพราะตลอดเวลาที่ไม่รู้สึกตัว เขาเองก็เสียสละอดทนช่วยเหลือเธอมามากแล้ว

“เออ...คือ มืออีกข้างพี่กำลังกำขวดเบียร์อยู่ มันก็มีอาการไม่ต่างจากมือข้างนี้ของพี่หรอก” ปาริสาถึงกับถอนหายใจเฮือกเมื่อได้ฟัง

“นี่พี่ชอบกินเบียร์มาก ถึงกับขนาดวางไม่ลงเชียวเหรอคะ”
หลังจากถามเขาเชิงประชดก็รีบจัดการช่วยเหลือเขาเหมือนเช่นเดิมอีกครั้ง ขณะที่หูสองข้างที่อยู่ไม่ห่างจากใบหน้าเขานักได้ยินเขาบอกเสียงเรียบ


“พี่ค้นหาเจอในนี้พร้อมกับไฟแช็ค ตั้งใจจะเอาเบียร์กรอกปากของเธอเผื่อดีกรีของมันจะทำให้ร่างกายของน้องริสาอุ่นขึ้น แต่ดันโชคร้ายเบียร์จับตัวกลายเป็นวุ่นเกล็ดน้ำแข็ง พี่เลยต้องกำไว้เผื่อมันจะละลาย”


หญิงสาวได้แต่เงยมองเงามืดใบหน้าของปารีสเงียบกริบ พลางคิด...อีกแล้วการกระทำทุกอย่างเพียงเพราะหล่อนคนเดียว ปาริสารู้สึกผิดอีกครั้งแต่ต้องหน้าแดงระเรื่อกับคำพูดต่อมา

“ตอนแรกกะจะเทเข้าปากตัวเองอมให้มันละลายแล้วค่อยป้อน แต่ก็เปลี่ยนใจ”

“ขอบคุณค่ะที่เปลี่ยนใจ และก็ขอโทษด้วยที่ต้องทำให้พี่ต้องมาลำบากแบบนี้ ถ้าริสายอมเชื่อฟังพี่รออยู่ในรถก็ดีหรอก ลำพังพี่ตัวคนเดียวคงเอาตัวรอดได้สบาย”

“ช่างมันเถอะอย่าโทษตัวเองเลย มันไม่ใช่ความผิดของใคร” เขาบอกพลางยัดแขนตัวเองเข้าแขนเสื้อกันหนาวแล้วดึงรูดซิบปิดถึงคอ

“ริสาคงนอนหมดสติไปนาน ตอนโดนหิมะถล่มใส่ยังสว่างอยู่เลย รู้สึกตัวอีกทีก็มืดแล้ว” ปาริสาชวนคุย

“โชคดีที่พี่คว้าตัวเธอแล้วพุ่งตัวหลุดออกมาได้ทันอย่างฉิวเฉียด ถ้าช้ากว่านี้อีกนิดเราสองคนคงถูกฝั่งใต้หิมะแน่ๆ แต่ก็ยังโดนก้อนน้ำแข็งกระแทกจนหัวแตก น้องริสาโดนบ้างไหม เห็นสลบไปนานพี่ก็ใจคอไม่ดี พยายามดูแล้วไม่เห็นว่ามีอาการบาดเจ็บ”

“คงโดนแค่สะเก็ดก้อนเล็กค่ะ รู้สึกเจ็บนิดหน่อย แต่ที่เป็นลมไปคงเพราะตกใจมากกว่า” หล่อนเว้นจังหวะเพียงเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง “เสียงของพี่ปารีสยังสั่นอยู่เลย เสื้อกันหนาวตัวนอกอีกตัวที่ถอดให้ริสาสวมก่อนนั้นเอากลับไปใส่เถอะค่ะ”

“ไม่เป็นไรแค่ตัวนี้ตัวเดียวพี่ก็ทนหนาวได้แล้ว”


เขาปฏิเสธ แสงสว่างปรากฏขึ้นอีกครั้งเมื่อไฟแช็คถูกจุดโดยมือของหญิงสาว ร่างสูงที่นั่งอยู่ตรงหน้าสังเกตเห็นได้ว่าหล่อนตาแดงก่ำปลายจมูกก็แดงระเรื่อ ปาริสากำลังใช้มือตัวเองทั้งสองข้างสลับอังบนเปลวไฟดวงเล็กนั้น ก่อนที่หล่อนจะเอาฝ่ามือทั้งสองข้างมาแนบกับแก้ม ชายหนุ่มไม่คาดคิดว่าปาริสาจะทำเพื่อเขาถึงขนาดนี้

“เป็นไงอุ่นขึ้นไหมคะ”

“อืม...อุ่นมาก เหมือนจะละลายเชียวล่ะ” หัวใจของเขากำลังละลายเพราะผู้หญิงคนนี้ ความมืดช่วยไม่ให้ปาริสาเห็นประกายร้องแรงในดวงตาคมกริบของเขา เพราะไม่อย่างนั้นหล่อนคงต้องชักมือหนี

“พี่เอามือถือติดตัวมาไหม มือถือของริสาอยู่ในกระเป๋าทิ้งไว้ในรถ”

“เอามา แต่บนนี้ไม่มีสัญญาณ”

“ถ้าอย่างนั้นเราต้องอยู่บนนี้ทั้งคืนสิ เพราะติดต่อขอความช่วยเหลือไม่ได้” หญิงสาวพูดแล้วถอนหายใจ

“ก็คงต้องเป็นแบบนั้น ถึงติดต่อได้คงยังไม่มีใครขึ้นมาช่วยตอนนี้หรอก ไม่ได้ยินเสียงข้างนอกหรือไง กำลังมีพายุ ถ้าน้องริสาเอามือไปแนบกับผนังที่ทำจากไม้สนก็จะรู้ว่ามันสั่นเพราะแรงลมกับโดนหิมะปะทะ เราควรอยู่ในนี้จนกว่าจะเช้า เป็นวิธีที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด”

หญิงสาวพยักหน้ารับเพราะเห็นว่าเป็นทางเลือกสุดท้าย เมื่อฟังเหตุผลของรุ่นพี่หนุ่ม ก่อนจะขยับถอยหลังไปนั่งพิงผนังไม้ตรงจุดเดิมที่เคยนอนสลบนิ่งไปนาน แววตาคู่หวานมองนิ่งไปยังเปลวสีเหลืองอมแดงจากไฟแช็คที่ตนเองกำลังประคองอยู่ในมือ แสงสว่างจากโทรศัพท์มือถือที่ร่างสูงกดเปิดดึงความสนใจให้ปาริสาเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นเขาเดินไปยังอีกมุมเป็นกองถุงกระดาษและพลาสติกหลายใบวางซ้อนสุมรวมกันระเกะระกะ ชายหนุ่มเริ่มรื้อค้นอย่างเอาจริงเอาจัง ใช้เวลาอยู่พักใหญ่เขาก็เดินกลับมา

“ทายสิ ว่าพี่ไปเจออะไรมา” เขาถามพลางเดินเข้ามาใกล้แล้วย่อตัวลงนั่งข้างหญิงสาว ยื่นสิ่งที่อยู่ในมือให้ดู “โชคดีชะมัดเจอขวดเหล้า แอลกอฮอร์จะทำให้เรารู้สึกอุ่นขึ้น มาฉลองให้กับความโชคร้ายของเราดีกว่า” ชายหนุ่มจัดการเปิดขวดก่อนจะส่งไปให้คนนั่งข้าง เจ้าหล่อนส่ายศีรษะ

“ไม่เอาดีกว่าเดี๋ยวเมาไม่รู้เรื่อง แค่ไวน์หนก่อนก็ถึงกับน็อก”

“จิบแค่อึกสองอึก ไม่ถึงกับหมดสติหรอก มันจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น ขนาดพี่ที่ว่าอดทนกับความหนาวได้ดี ยังรู้สึกตัวสั่นเลย ถ้าเธอไม่ยอมดื่มเชื่อเถอะ อีกสักพักจะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกแช่แข็ง” ได้ยินแค่นั้นปาริสาเลิกบ่ายเบี่ยงรีบคว้ายกขวดขึ้นจ่อปากแล้วดื่มไปหนึ่งอึกใหญ่ แล้วส่งคืน

“จริงด้วย ริสารู้สึกร้อนวาบตั้งแต่ลำคอไปยังกระเพาะ มันช่วยให้อาการสั่นจากข้างในทุเลาได้จริงๆ” หญิงสาวหันหน้าไปทางเขา

“ทำไม...”
คำถามชะงักค้างอยู่แค่นั้น เมื่อเห็นร่างสูงกำลังยกขวดเหล้าขึ้นดื่มกลืนหลายอึก จากลำแสงไฟแช็คที่หล่อนถืออยู่ในมืออีกข้างไม่ยอมวาง...อย่างนี้มันเรียกว่าจูบทางอ้อมชัดๆ ปาริสารู้สึกใบหน้าร้อนวูบวาบ ชายหนุ่มดึงขวดเหล้าห่างออกจากปากแต่ยังถืออยู่ในมือหันไปทางคนนั่งข้าง ระยะห่างเรียกว่าลำแขนสองข้างแทบชนกัน

“น้องริสาจะถามอะไร” ร่างบางเบือนหน้าหนีประกายของแววตาคมกริบยามสะท้อนกับแสงเปลวไฟ ถามข้อสงสัยของตัวเองโดยไม่ยอมมองเขา

“ทำไมเหล้าถึงไม่เป็นเกล็ดวุ้นเหมือนเบียร์ ตอนริสากินยังเห็นเป็นน้ำเหลวปกติเพียงแค่รู้สึกเหมือนดื่มน้ำเย็นเท่านั้น” ปารีสคลี่ยิ้มกับคำถาม เขารู้สึกว่าหล่อนน่ารักยามช่างซักช่างถาม

“อุณหภูมิแม้จะติดลบ 30 องศา ยังไม่เพียงพอจะทำให้เหล้าจับตัวเป็นน้ำแข็งได้หรอก” เขาตอบก่อนจะบอกเหมือนเป็นคำสั่งกรายๆ “แล้วควรจะปิดไฟแช็คได้แล้ว เอาไว้ใช้ยามจำเป็น พี่เองยังต้องปิดมือถือ”

“ก็ได้” หญิงสาวตอบเสียงเบาเพราะไม่เต็มใจอยากจะอยู่กับเขาตามลำพังในความมืด

“จะดื่มอีกไหม” เขาถาม

“ไม่ค่ะ ไว้ดื่มเวลาจำเป็น”
น้ำเสียงแบบกระเง้ากระงอดทำให้ปารีสถึงกับหัวเราะในลำคอ หญิงสาวหันไปย่นจมูกใส่ แถมแอบแลบลิ้นให้อีกต่างหากเพราะมั่นใจว่าเขามองไม่เห็น ก่อนจะลุกหนีไปนั่งอยู่ยังผนังฝั่งตรงข้าม ปารีสที่รู้สึกปรับสายตาให้ชินกับความมืดได้แล้ว จึงมองเห็นเงาเลือนรางที่นั่งห่างออกไป

“เลิกงอนเถอะ แล้วมานั่งใกล้กันดีกว่า” ร่างสูงพูดเสียงเรียบ “อย่างน้อยหากเรานั่งเบียดกัน ไอร้อนจากร่างกายจะทำให้เราลดความหนาวลงได้”

“ริสาไม่ได้งอน แค่อยากนั่งคนเดียวมากกว่า” หล่อนไม่ยอมทำตามอย่างว่าง่าย

“รู้ไหมว่านกเพนกวินเอาตัวรอดจากความหนาวของหิมะหรือน้ำแข็งขั้วโลกใต้ได้ยังไง พวกมันจะล้อมวงเข้ามารวมตัวเป็นกระจุกกลุ่มใหญ่ เพื่อพิงไออุ่นซึ่งกันและกัน” ปาริสานั่งนิ่งเหมือนเดิมพลางโต้ตอบเขาอยู่ในใจ ‘ไม่ต้องบอกก็รู้เพราะชอบดูรายการสารคดีสัตว์โลก’


“แต่ริสาไม่ใช่นกเพนกวินสักหน่อย” หล่อนตอบกำปั้นทุบดิน

“ตามใจแล้วกัน” ร่างสูงพูดพลางลอบถอนหายใจเขาก็แค่หวังดีกับหล่อนเท่านั้น “ถ้าหนาวจนทนไม่ไหว จะดื่มเหล้าอีกก็บอกได้นะ” เงียบกริบไม่มีคำตอบใดใดหลุดออกมาจากปากเจ้าหล่อน ปารีสยกริมฝีปากยิ้มก่อนจะถามอีกครั้ง “ริสา เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม”

“ยังหายใจอยู่ค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง”

จากนั้นทุกอย่างในกระท่อมไม้หลังเล็กก็ตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีการคุยโต้ตอบกันอีก หญิงสาวที่หนีไปนั่งกอดเข่าจุกตัวอยู่คนเดียวได้ยินแต่เสียงลม และเสียงหายใจกับเสียงฟันกระทบเพราะความหนาวสั่นของตัวเอง ไม่นานก็ได้ยินเสียงบางอย่างโหยหวน นึกว่าตนคงหูฝาดไปจึงเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจอีกครั้ง


‘สะ...สะ...เสียงหมาหอน’ ตอบตัวเองตะกุกตะกักอยู่ในใจเพียงเท่านั้น ก่อนจะลุกพรวดซอยเท้าถี่ยิบเพียงไม่กี่ก้าวก็ไปนั่งเกาะแขนคนตัวสูงฝั่งตรงข้าม


“เป็นอะไร” เขาถามเพราะประหลาดใจกับคนที่พยายามหลีกเลี่ยงแทบไม่อยากอยู่ใกล้ กลับมานั่งเบียดเกาะแขนเขาเสียแน่น

“เสียงหมาหอนพี่ได้ยินไหม”

“อ๋อ คงเป็นเสียงหมาป่า”

“ก็ไหนพี่บอกว่าแถวนี้ไม่มีสัตว์ร้ายไง” เธอถามเขาเสียงเข้มเล็กน้อยเพราะความกลัว

“ที่ได้ยินเสียงหอนแว่วๆ เบาขนาดนั้น เพราะมันไม่ได้อยู่แถวนี้ แต่อยู่ไกลออกไป เราอยู่ใต้ลมเสียงคงลอยมาให้ได้ยินบ้างเป็นธรรมดา”

“แล้วแถวนี้มีผีไหม”
คนเกาะแขนแทบไม่กระดิกตัวยังไม่เลิกถาม แต่แปลกนักเขากลับรู้สึกชอบมากกว่าจะรู้สึกรำคาญ ก่อนจะถามขึ้นเมื่อนึกถึงคำพูดของหล่อนก่อนหน้านั้น

“ไหนบอกว่าไม่กลัวผีไง”

“นั่นมันกลางวัน แต่นี่มันกลางคืนนี่นา”


ร่างสูงหัวเราะก่อนจะป้อนคำถามอีกรอบ เพราะเขาชอบฟังเสียงกังวานเป็นจังหวะสูงและต่ำยามเจ้าหล่อนเจรจา ไพเราะราวกับเสียงเปียโนที่ดีดบรรเลงในโบสถ์ เขานับถือศาสนาคริสต์ตามบิดาชาวแคนาดา แต่ก็ไม่เคยลืมความเป็นไทยเพราะเลือดของมารดาที่เคารพรักยังคงไหลเวียนหล่อเลี้ยงหัวใจเขาอยู่ และประตูหัวใจดวงเดียวกันตอนนี้ ราวกับกำลังถูกหัตถ์ของพระเจ้าเปิดแง้มออกแล้วยื่นมาเกาะกุมบีบแล้วคลายออก รู้สึกหายใจติดขัดขณะเดียวกันก็อบอุ่นอย่างประหลาดและเต้นตุบตับแบบแปลกพิกล เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าถามหล่อนออกไปด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเพียงใด

“แล้วระหว่างผีกับพี่ น้องริสากลัวอะไรมากกว่ากัน?”



มุกมาดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 พ.ค. 2555, 13:11:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 พ.ค. 2555, 13:34:20 น.

จำนวนการเข้าชม : 1695





<< จับมือผมไว้แล้วคุณจะปลอดภัย   ตอน 7 คำตอบของหัวใจ...และไออุ่นแห่งรัก >>
มุกมาดา 29 พ.ค. 2555, 13:20:12 น.
ขอบคุณทำกำลังใจที่กดเข้ามาอ่านและกดไลด์ให้นะคะ...เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนได้มีแรงใจปั่นผลงานมาให้อ่านต่อไป ^^

คุณ wane = ใช่ค่ะ ติดพายุ และยังเป็นค่ำคืนที่ยาวนาน อิ อิ

คุณ pseudolife = ปลอดภัยทั้งคู่ค่ะ แบบฉิวเฉียด ^^

คุณปอแก้ว = ขอบคุณค่ะที่ยังตามมาเหยียบหิมะต่อ ^^

คุณฝนปราย = ขอบคุณค่ะที่คอยติดตามอ่าน ส่วนความถี่ในการอัพ ผู้เขียนได้อธิบายไว้ในคอมเม้นท์ตอนที่แล้วเรียบร้อยแล้วค่ะ ^____^


pseudolife 30 พ.ค. 2555, 14:47:25 น.
อ๊ายยยย พี่ปารีสถามอะไรคะเนี่ย เขินๆ


ฝนปราย 3 มิ.ย. 2555, 15:46:42 น.
พี่ปารีสกลับมาแล้ว อยากรู้เร็ว ๆ ว่าพระ-นาง ต้องจากกันเพราะอะไร


ฝนปราย 3 มิ.ย. 2555, 16:01:27 น.
มีคำผิดนิดหน่อยค่ะ
แว้ด เงาดำตะคุ่ม แอลกอฮอล์ คำสั่งกลายๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account