กรงรักมายาหัวใจ
ความรักที่เย็นฉ่ำดุจละอองเกล็ดหิมะ หัวใจที่รุ่มร้อนดังเพลิงเพราะรัก
ฟ้าได้ลิขิตให้ทั้งสองมาเจอกัน ก่อนจะพลัดพราก เมื่อหญิงคนรักทิ้งเขาไปอย่างเลือดเย็น เขามีแต่ความเจ็บปวด เจ็บแค้น อันแน่นในหัวใจ เมื่อต้องกลับมาเจอเธออีกครั้ง เขาจะจัดการกับเธออย่างไร ในเมื่อไม่เคยลืมรักครั้งแรก
ปารีส (พระเอก) ชายหนุ่มลูกครึ่งไทย-แคนาดา เขารักปาริสาอย่างหมดหัวใจ ทว่าหล่อนกลับทิ้งเขาไป เมื่อต้องกลับมาเจอกันอีกครั้ง ทั้งที่ยังรัก และไม่เคยลืมจากหัวใจ อยากจะคว้าตัวหล่อนมากอด แต่ทำเพียงแค่แสดงความโกรธ และเย็นชาเท่านั้น โดยเก็บรักขังไว้ในกรงหัวใจ
ปาริสา (นางเอก) หรือที่ใครๆ หลายคนมักเรียกว่า ริสา เพียงแค่ไม่กี่เสี้ยววินาทีได้ตัดสินใจ เดินออกมาจากชีวิตของเขาด้วยเหตุผลบางอย่าง ทว่าหล่อนกลับใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อลืมเขา การต้องกลับมาเจอกับเขาอีกครั้งสร้างความไหวหวั่น หัวใจเหมือนโดนเศษแก้วบาดลึก ต่อความเย็นชา และอารมณ์โกรธของเขา หญิงสาวเก็บกักความรู้สึกซ่อนลึกในกรงหัวใจ ทำตัวเองประหนึ่งเป็นกระจกสะท้อนเงา เมื่อเขาร้ายหล่อนร้ายตอบ เจอความเย็นชา หล่อนก็พร้อมจะเป็นน้ำแข็งขั้วโลกใต้ ทว่าสิ่งที่ทำให้กลัวจับใจ คือความลับที่ปกปิดไว้ไม่ให้เขารู้
ฟ้าได้ลิขิตให้ทั้งสองมาเจอกัน ก่อนจะพลัดพราก เมื่อหญิงคนรักทิ้งเขาไปอย่างเลือดเย็น เขามีแต่ความเจ็บปวด เจ็บแค้น อันแน่นในหัวใจ เมื่อต้องกลับมาเจอเธออีกครั้ง เขาจะจัดการกับเธออย่างไร ในเมื่อไม่เคยลืมรักครั้งแรก
ปารีส (พระเอก) ชายหนุ่มลูกครึ่งไทย-แคนาดา เขารักปาริสาอย่างหมดหัวใจ ทว่าหล่อนกลับทิ้งเขาไป เมื่อต้องกลับมาเจอกันอีกครั้ง ทั้งที่ยังรัก และไม่เคยลืมจากหัวใจ อยากจะคว้าตัวหล่อนมากอด แต่ทำเพียงแค่แสดงความโกรธ และเย็นชาเท่านั้น โดยเก็บรักขังไว้ในกรงหัวใจ
ปาริสา (นางเอก) หรือที่ใครๆ หลายคนมักเรียกว่า ริสา เพียงแค่ไม่กี่เสี้ยววินาทีได้ตัดสินใจ เดินออกมาจากชีวิตของเขาด้วยเหตุผลบางอย่าง ทว่าหล่อนกลับใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อลืมเขา การต้องกลับมาเจอกับเขาอีกครั้งสร้างความไหวหวั่น หัวใจเหมือนโดนเศษแก้วบาดลึก ต่อความเย็นชา และอารมณ์โกรธของเขา หญิงสาวเก็บกักความรู้สึกซ่อนลึกในกรงหัวใจ ทำตัวเองประหนึ่งเป็นกระจกสะท้อนเงา เมื่อเขาร้ายหล่อนร้ายตอบ เจอความเย็นชา หล่อนก็พร้อมจะเป็นน้ำแข็งขั้วโลกใต้ ทว่าสิ่งที่ทำให้กลัวจับใจ คือความลับที่ปกปิดไว้ไม่ให้เขารู้
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 6 แค่สองเรา...
“เราไม่น่าทิ้งพวกเขาไปกันตามลำพังเลย” เขมิกาพูดขึ้น ขณะเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้อง หันไปมองทวีปที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สนขัดเงาเข้าชุดกับโต๊ะตัวเล็กตรงมุมห้องพัก
“พายุหิมะตกหนักขนาดนี้พวกเขาคงกลับมาไม่ได้” คนที่นั่งเฉยทำทองไม่รู้ร้อนพูดขึ้น จนอีกคนต้องหันไปย่นจมูกใส่ชายคนรักก่อนจะกล่าวโทษ
“เพราะแผนจับคู่ของพี่ทวีปคนเดียว”
“อ้าว ทำไมต้องมาโทษพี่คนเดียว มิกาเองก็เห็นด้วยไม่ใช่หรือไง” ทวีปพูดขึ้นบ้าง “เลิกกังวลเถอะบนแค้มป์มีที่พักพอให้พวกเขาหลบสภาพอากาศเลวร้ายแบบนี้ได้หรอกน่า” เขมิกาพยักหน้าพลางถอนหายใจหันมาโทษตัวเอง
“อย่างน้อยถ้ามิกาไปด้วย ริสาคงมีเพื่อน ดีกว่าไปติดแหง็กที่นั่นกับผู้ชายสองต่อสอง”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เพื่อนพี่คนนี้ไว้ใจได้ รับรองริสาปลอดภัยแน่ๆ”
“ด้านไหน?” ทวีปชะงักไปนิดกับคำถามแฟนตัวเอง ก่อนจะตอบอย่างจริงจัง
“ก็ถ้าพูดถึงว่าหากมีเหตุการณ์อะไรอันตรายเกิดขึ้น คนอย่างนายปารีสต้องยอมเสี่ยงเอาชีวิตตัวเองปกป้องริสา โดยไม่ห่วงความปลอดภัยของตัวเอง” เขมิกาขยับเข้าไปนั่งเก้าอี้อีกตัวฝั่งตรงข้ามหรี่ตามองทวีป
“ทำไมต้องมองหน้าพี่อย่างนั้น”
“แล้วถ้าเพื่อนพี่คือสิ่งที่เป็นอันตรายสำหรับริสาเสียเองล่ะ” คนฟังเลิกคิ้วสูงแปลกใจกับความคิดของเขมิกา ก่อนจะหัวเราะเห็นเป็นเรื่องขำ
“ขอบอกว่านายปารีสเป็นสุภาพบุรุษทั้งแท่ง ไม่มีทางที่จะทำแบบนั้นกับริสา”
“ก็เพราะพี่เขาเป็นสุภาพบุรุษทั้งแท่งไง ถ้าเขาเป็นเกย์ มิกาจะมานั่งห่วงริสาให้เสียเวลาทำไม”
“โอ๊ย!” เขมิกายกมือจับหน้าผากตัวเองเมื่อโดนคนรักดีดหน้าผาก มองตาประหลับประเหลือก “เจ็บนะ” หญิงสาวรีบขยับลุกเข้าไปใกล้ตั้งท่าจะเอาคืน ทว่าถูกจับมือทั้งสองข้างไว้
“ปล่อย และนั่งอยู่นิ่งๆ ด้วย ห้ามขยับไปไหน” ทวีปเห็นสีหน้าจริงจังตาลุกวาวของแฟนสาวจำต้องทำตามแต่โดยดี ก่อนจะโวยวายกุมหน้าผากตัวเอง
“เธอโดนแค่ครั้งเดียวเองนะ แต่เล่นดีดหน้าผากพี่ตั้งสองครั้ง” เขมิกายักไหล่พลางอมยิ้ม เดินกลับไปนั่งที่เดิม แล้วหันไปบอก
“ครั้งแรกสำหรับมิกา ครั้งที่สองสำหรับริสา”
“แล้วริสามาเกี่ยวอะไรด้วย”
“ก็พี่ดีแต่พูดเข้าข้างเพื่อนตัวเอง โดยไม่สนใจมองในแง่มุมของริสาบ้าง ถึงยังไงริสาก็เป็นผู้หญิง และพี่ปารีสก็เป็นผู้ชาย”
“อืม ไม่ต้องบอกพี่ก็รู้” ทวีปย้อนกลับอย่างกวนประสาท “แล้วไง”
“ก็ผู้หญิงกับผู้ชายเมื่อมีโอกาสอยู่กันตามลำพังสองต่อสอง ก็เปรียบเหมือนน้ำมันอยู่ใกล้ไฟ ถึงมิกาจะไม่ได้เจอและพูดคุยกับพี่ปารีสบ่อยครั้ง แต่ท่าทีทำเป็นเย็นชาไม่สนใจสาวคนไหนจนได้รับฉายาว่าเจ้าชายหิมะ หรือเจ้าชายน้ำแข็ง ที่สาวๆ ในมหาวิทยาลัยพากันพูดถึง จะบอกให้ว่าเพื่อนพี่คนนี้ไม่ได้เป็นคนไร้ความรู้สึก เขาไม่ต่างอะไรกับภูเขาไฟที่รอวันปะทุ ส่วนริสาแม้มิกาจะเพิ่งได้รู้จักไม่นาน แต่เธอเป็นผู้หญิงอ่อนไหวและหวั่นไหวได้ง่าย คิดดูว่าถ้าสองคนนี้ต้องอยู่ด้วยกันในบรรยากาศเป็นใจ อะไรจะเกิดขึ้น”
เสียงตบมือดังขึ้นเป็นจังหวะเมื่อเขมิกาพูดจบ
“บราโว่! ว้าว!” น้ำเสียงโอเวอร์แอ็คติ้งที่หลุดออกมาสร้างความหมั่นไส้ให้คนได้ยินไม่น้อย “แฟนพี่น่าจะไปเรียนด้านจิตแพทย์ ไปเป็นนักจิตวิทยามากกว่าด้านการบริหารโรงแรมและการท่องเที่ยวเสียอีก”
“ไม่ต้องมาประชด” เขมิกาต่อว่าหน้างอง้ำเป็นจวัก
“พี่พูดจริง”
“ก็เพราะจิตวิทยากับการวิเคราะห์คนก็เป็นส่วนหนึ่งของนักบริหารที่ดี มิกาก็ต้องศึกษาไว้บ้าง” ทวีปยิ้มทะเล้นก่อนจะถาม
“แล้วเคยวิเคราะห์ตัวเอง หรือวิเคราะห์แฟนตัวเองบ้างไหม เราสองคนก็เป็นผู้หญิงกับผู้ชายเหมือนกันแถมเป็นคู่รักกันอีก โอกาสอยู่กันตามลำพังสองต่อสองก็บ่อยครั้งกว่าสองคนนั้น ถ้าพูดตามความจริงปารีสกับริสาก็เหมือนคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันด้วยซ้ำ เลิกกังวลเถอะ หันมากังวลตัวเองดีกว่าว่าทำไมถึงไม่เคยเกิดอะไรขึ้นระหว่างเราได้แค่จับมือกับมองตากันเท่านั้น สรุปเราคงไม่ใช่น้ำมันกับไฟเป็นแน่ ไหนลองบอกสิ ว่าพี่กับเธอเปรียบเป็นอะไรดี”
ถ้อยความยืดยาวอย่างมีเหตุมีผล ย้อนเข้าหาตัวเอง ทำเอาเขมิกาชะงักคอแข็งใบหน้าร้อนผ่าว... ตาบ้าเอ๊ย! เขาจะรู้บ้างไหมว่าแฟนสาวตัวเองเคยมีความคิดอยากจะลองจูบสักครั้ง เพราะเคยเห็นหนุ่มสาวชาวต่างชาติจุมพิตกันหน้าตาเฉยทั้งที่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย ทว่าหญิงไทยอย่างหล่อนก็ต้องสงวนท่าที เรื่องแบบนั้นควรให้ผู้ชายเป็นฝ่ายเริ่มก่อนถึงจะถูก คิดมาถึงตรงนี้เมื่อเขาถามมาจึงตอบออกไปอย่างไม่ลังเล
“พี่ก็เป็นแค่ตาแก่คนหนึ่ง ส่วนฉันก็เป็นเด็กน้อย ที่พี่ไม่กล้าทำอะไรไปมากกว่าจับมือกับมองหน้า เพราะกลัวโดนข้อหาพรากผู้เยาว์” เขมิกาลุกขึ้นยืนก่อนจะสะบัดหน้าใส่แล้วเดินไปเปิดประตูกลับห้องพักฝั่งตรงข้าม ปล่อยให้ทวีปนั่งจมอยู่กับความคิดตัวเองว่าแฟนสาวของเขากำลังสื่อถึงอะไร
จากช่วงเวลาที่ขาดหายไร้ความรู้สึกแต่จิตใต้สำนึกเหมือนตัวเองกำลังตกอยู่ในฝันร้าย หล่อนกำลังร่วงตกลงไปจมสู่ก้นทะเลลึกที่มีแต่ความหนาวเหน็บและรอบตัวผืนน้ำเหมือนถูกระบายละเลงด้วยสีดำทุกด้านจนมองไม่เห็นสิ่งใด ฉับพลันมีแสงสว่างปรากฏขึ้น จากนั้นค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ ปาริสาจ้องมองอย่างตะลึงพ่อการันอยู่ตรงหน้ามีแสงเรืองรองสีขาวรอบตัว ท่านยิ้มพร้อมยื่นมือมาให้
‘พ่อคะ ลูกตายแล้วใช่ไหม กลายเป็นวิญญาณ เราถึงได้เจอกันอีกครั้ง’
หล่อนแน่ใจว่าได้ถามออกไปอย่างนั้นทั้งๆ ที่เรียวปากกลับเม้มแน่นไม่สามารถเผยอราวกับแข็งเป็นหิน หรือนี่เป็นการสื่อสารกันด้วยกระแสจิต หญิงสาวส่งมือตัวเองไปวางลงบนอุ้งมือหนา เขาว่าคนที่ตายไปแล้วร่างกายจะเย็นจัด ปาริสายิ้มทั้งน้ำตาเมื่อสัมผัสได้ว่ามือข้างนี้ที่เคยจับจูงลูกสาวเดินยังคงอบอุ่นเหมือนเดิม
‘พ่อมารับริสาไปอยู่ด้วยใช่ไหมคะ’ บิดาส่ายหน้า
พ่อไม่ได้มารับหนูไปอยู่ด้วย เพราะมันยังไม่ถึงเวลา แต่จะพากลับไปยังที่ที่ลูกควรจะอยู่’
‘ไม่ค่ะ’ ปาริสารีบปฏิเสธ ‘ถ้าที่นั่นไม่มีพ่ออยู่ด้วย ริสาก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกตัวคนเดียว’
‘ใครบอกว่าลูกจะอยู่ตัวคนเดียว กลับเถอะเขาคนนั้นคอยริสาอยู่นะ’
‘ใครคะ?’
พ่อการันไม่ได้ตอบคำถามทันที กลับจูงมือพาหันเดินไปยังทิศทางอีกด้าน พลางร้องเพลงโปรดของตัวเองที่มักชอบร้องให้ลูกสาวได้ยินเสมอตอนอยู่เมืองไทย ปาริสาเดินตามหลังไปอย่างเงียบกริบตั้งใจฟังท่วงทำนองไพเราะจับใจนั้น โดยไม่ซักถามอะไร จนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่ตรงจุดหนึ่ง บิดาหันมามองลูกสาวก่อนจะชี้ไปยังข้างหน้าเห็นราวกับแสงสว่างปลายอุโมงค์ท่ามกลางความมืดมิด หญิงสาวรู้สึกเคว้งคว้างทันทีทันใดเมื่อถูกปล่อยมือ ปาริสาพยายามต่อต้านกระแสน้ำไหลวนเชี่ยวกราด ราวจะพยายามดูดร่างของหล่อนไปยังช่องว่างสีขาวทรงกลมอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก พ่อการันยิ้มให้ราวกับจะเป็นรอยยิ้มครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินผลักห่างออกไป ปาริสาพยายามวิ่งตามทว่ากลับก้าวขาไม่ออกเพราะเหมือนมีแรงมหาศาลบางอย่างฉุดดึงรั้งไว้
‘พ่อคะ กลับมาก่อน อย่าเพิ่งไป’ บุตรสาวร้องเรียกทั้งน้ำตา ‘ริสาเดินตามหลังพ่อไม่ได้อีกแล้ว’
‘กลับไปเถอะลูก’ บิดาพูดเสียงกังวานก้องโดยไม่ยอมหันหน้ากลับมา ปล่อยให้หล่อนเห็นเพียงแผ่นหลังเลือนราง ‘กลับไปหาผู้ชายคนนั้น เขากำลังรอลูกอยู่’
‘เขาเป็นใครคะ ที่พ่อพยายามผลักไสไปให้ โดยยอมทิ้งริสาไปแบบนี้’ ปาริสากล่าวตัดพ้อ ยิ่งใจเสียมากขึ้นเมื่อแผ่นหลังกว้างแสนอบอุ่นที่บิดาเคยให้ขึ้นขี่หลังประคองเดินกล่อมจนหลับเมื่อตอนเป็นเด็ก หายไปกับความมืดพร้อมเสียงก้องสะท้อนลอยมาจากที่ไหนสักแห่งไกลๆ
‘เมื่อลูกลืมตา เปิดหัวใจ ก็จะเห็นเขาเอง พ่อไม่ได้ทิ้ง อีกไม่นานพ่อจะกลับไปอยู่กับลูก แต่ตอนนี้...ลาก่อนลูกรัก’
‘พ่อคะ!’
หญิงสาวตะโกนสุดเสียง ร่างบอบบางถูกดึงเข้าไปยังแสงสว่างราวดวงจันทร์กลมโตตรงหน้า หล่อนหลับตาปี๋ เพราะนึกกลัวสิ่งที่ต้องเจอและรอคอยเมื่อหลุดพ้นไปจากตรงที่แห่งนี้ ความอึดอัดราวจะหายใจไม่ออกหายเป็นปลิดทิ้ง หญิงสาวค่อยๆ เปิดเปลือกตากลับพบเพียงแสงสว่างจากเปลวไฟเล็กๆ จ่อมาตรงหน้า
“รู้สึกตัวแล้วเหรอ เฮ้อ โล่งอกไปที”
ปาริสาเรียบเรียงเรื่องราวความฝันกับความเป็นจริง จึงนึกได้ว่าคนที่พูดกับหล่อนคือชายหนุ่มที่ชื่อปารีส พร้อมกับเปลวไฟดวงเล็กถูกดึงออกห่างไปอยู่ตรงใบหน้าของเขา ดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อเห็นเลือดตรงขมับซ้าย
“พะ...พี่ เลือดไหล พี่ปารีสหัวแตก” ร่างบางพยายามพยุงกายลุกขึ้นนั่ง แต่กลับไม่มีแรง และรู้สึกเวียนศีรษะพร้อมกับอาการปวดเจ็บ
“อย่าเพิ่งลุกขึ้นเลย นอนนิ่งๆ ไปก่อนเถอะ ให้ร่างกายปรับตัวก่อน” ปารีสบอกเสียงสั่นจนหญิงสาวสังเกตได้ “ส่วนเลือดที่เห็นคงโดนหิมะที่จับตัวเป็นก้อนน้ำแข็งกระเด็นใส่ แต่ไม่ต้องห่วง คงเป็นเพียงคราบเลือด เพราะมันแห้งหยุดไหลไปนาน สงสัยอากาศหนาวจัดมากไปหน่อย แม้แต่เลือดยังแข็งตัว”
นอกจากเสียงสั่นริมฝีปากเขาก็ยังซีดเซียว ปาริสาต้องตกใจเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเสียสละเสื้อกันหนาวของตัวเองคลุมร่างหล่อนไว้ เขาจึงมีเพียงเสื้อสเวตเตอร์ไหมพรมสีดำแขนยาวอยู่ตัวเดียว แม้แต่มือที่ถือไฟแช็คนั้นก็ยังสั่นอย่างเห็นได้ชัด ปาริสาจับมือตัวเองภายใต้เสื้อกันหนาวอีกชั้นที่เขาคลุมให้ จึงพบว่าถุงมือหนังอย่างดีของเขาสวมทับกับถุงมือไหมพรมธรรมดาของหล่อนอีกชั้น...มิน่าถึงรู้สึกว่ามือสองข้างอบอุ่นตลอดเวลา หญิงสาวไม่อาจทนนอนนิ่งอยู่เฉยๆ ได้อีกต่อไป จึงรีบลุกขยับเข้าไปใกล้เอาเสื้อกันหนาวคลุมไหล่สองข้างของพลางบ่น
“ทำไมพี่ต้องเสียสละเสื้อมาให้ริสา แล้วต้องมานั่งทนหนาวอยู่แบบนี้ด้วย”
“ก็พี่กลัวนี่หนา” เขาบอกเสียงยังคงไม่หายสั่น
“กลัวอะไรคะ”
“กลัวว่าเธอต้องหนาวตายก่อนพี่ไง” ปาริสารู้สึกหัวตาร้อนผ่าวด้วยความซาบซึ้ง แต่ยังไม่เลิกเอ็ดเขาด้วยความเป็นห่วง
“แล้วพี่จะยอมหนาวตายก่อน โดยทิ้งริสาไว้ในที่แบบนี้คนเดียวหรือไงคะ” น้ำตาปาริสาไหลโดยไม่รู้ตัว
“ร้องไห้ทำไมพี่ยังไม่ตาย”
“พี่ควรจะวางไฟแช็คลง” หญิงสาวแนะนำพลางสูดจมูกจากอาการน้ำมูกไหลเพราะการร้องไห้หรืออากาศหนาว หล่อนเองก็ไม่แน่ใจ “พี่จะได้สวมเสื้อกันหนาวให้เรียบร้อย ไม่ต้องมานั่งตัวสั่นอยู่แบบนี้” เขาเหลือบตาขึ้นมามอง ก่อนจะบอกเสียงเหมือนจะตลก แต่หล่อนไม่ขำด้วยหรอก
“พี่ก็อยากจะวางเหมือนกัน แต่ตอนนี้รู้สึกมือมันแข็งไปหมด แทบจะขยับไม่ได้ เขาเรียกว่าอะไรนะ น่าจะเป็นอาการนิ้วล็อค”
“แล้วพี่จะถือแบบนั้นไว้ตลอดทำไมกัน” ปาริสาแว๊ดใส่อย่างเหลืออด “ควรวางมันทิ้งไปตั้งแต่แรกแล้ว”
“ก็มันเป็นเพียงแสงอบอุ่นเดียวที่พี่พอจะหาให้เธอได้”
ผู้ชายคนนี้กำลังทำให้ปาริสาแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่อีกแล้ว เพราะนึกขึ้นได้ว่าทันทีเมื่อลืมตารู้สึกตัว ก็เห็นเปลวไฟดวงเล็กอยู่ตรงหน้า แสดงว่าตลอดเวลาเขาถือมันไว้อย่างนั้นเพื่อหวังว่าลำแสงเพียงน้อยนิดจะให้ความอบอุ่นกับหล่อนได้
หญิงสาวจัดการกุมมือเขาไว้ ก่อนจะเป่าไฟแช็คให้ดับลง และมือเกร็งแข็งเย็นจัดนั้นก็เป็นคิวต่อไป หล่อนใช้ลมร้อนๆ จากปากตัวเองเพื่อทำให้มือเขาอุ่นขึ้น จากนั้นจึงค่อยงัดนิ้วมือออกจนไฟแช็คร่วงตกพื้น ปาริสารีบถอดถุงมือตัวเองออกทั้งหมด ก่อนจะใช้ความร้อนจากมือบอบบางถูมือของเขาไปมา ตลอดเวลาการกระทำของหญิงสาวตรงหน้าปารีสมองเงาดำตะคุ้มของหล่อนตาแทบไม่กะพริบ
“เรากำลังอยู่ที่ไหนคะ” ร่างบางถาม
“อ๋อ คงเป็นกระท่อมของพวกล่าสัตว์ หรือไม่อาจเป็นกระท่อมพักของนักปีนเขาทำขึ้น”
"แล้วพี่รู้จักที่นี่ได้ยังไง”
“เจอโดยบังเอิญนานแล้วตอนมาเล่นสกีที่นี่ แล้วเคยแวะมานั่งพัก”
ชายหนุ่มตอบขณะเริ่มรู้สึกว่าลมร้อนที่ออกมาจากเรียวปากของหล่อนทำให้มือที่แทบจะแข็งเป็นหินอุ่นจัดขึ้น แต่แปลกนักเขากลับร้อนวูบวาบไปทั้งกาย ปาริสาจัดการสวมถุงมือหนังอย่างดีคืนเจ้าของ หลังจากมือข้างนั้นเริ่มคลายความเกร็งและเย็นจัด ก่อนจะบอกกับเขา
“ขยับมืออีกข้างของพี่มาใกล้มือข้างนี้สิคะ มันมืดมองไม่เห็น ริสาจะได้ช่วยสวมถุงมือให้” หญิงสาวอาสาอย่างเต็มใจ เพราะตลอดเวลาที่ไม่รู้สึกตัว เขาเองก็เสียสละอดทนช่วยเหลือเธอมามากแล้ว
“เออ...คือ มืออีกข้างพี่กำลังกำขวดเบียร์อยู่ มันก็มีอาการไม่ต่างจากมือข้างนี้ของพี่หรอก” ปาริสาถึงกับถอนหายใจเฮือกเมื่อได้ฟัง
“นี่พี่ชอบกินเบียร์มาก ถึงกับขนาดวางไม่ลงเชียวเหรอคะ”
หลังจากถามเขาเชิงประชดก็รีบจัดการช่วยเหลือเขาเหมือนเช่นเดิมอีกครั้ง ขณะที่หูสองข้างที่อยู่ไม่ห่างจากใบหน้าเขานักได้ยินเขาบอกเสียงเรียบ
“พี่ค้นหาเจอในนี้พร้อมกับไฟแช็ค ตั้งใจจะเอาเบียร์กรอกปากของเธอเผื่อดีกรีของมันจะทำให้ร่างกายของน้องริสาอุ่นขึ้น แต่ดันโชคร้ายเบียร์จับตัวกลายเป็นวุ่นเกล็ดน้ำแข็ง พี่เลยต้องกำไว้เผื่อมันจะละลาย”
หญิงสาวได้แต่เงยมองเงามืดใบหน้าของปารีสเงียบกริบ พลางคิด...อีกแล้วการกระทำทุกอย่างเพียงเพราะหล่อนคนเดียว ปาริสารู้สึกผิดอีกครั้งแต่ต้องหน้าแดงระเรื่อกับคำพูดต่อมา
“ตอนแรกกะจะเทเข้าปากตัวเองอมให้มันละลายแล้วค่อยป้อน แต่ก็เปลี่ยนใจ”
“ขอบคุณค่ะที่เปลี่ยนใจ และก็ขอโทษด้วยที่ต้องทำให้พี่ต้องมาลำบากแบบนี้ ถ้าริสายอมเชื่อฟังพี่รออยู่ในรถก็ดีหรอก ลำพังพี่ตัวคนเดียวคงเอาตัวรอดได้สบาย”
“ช่างมันเถอะอย่าโทษตัวเองเลย มันไม่ใช่ความผิดของใคร” เขาบอกพลางยัดแขนตัวเองเข้าแขนเสื้อกันหนาวแล้วดึงรูดซิบปิดถึงคอ
“ริสาคงนอนหมดสติไปนาน ตอนโดนหิมะถล่มใส่ยังสว่างอยู่เลย รู้สึกตัวอีกทีก็มืดแล้ว” ปาริสาชวนคุย
“โชคดีที่พี่คว้าตัวเธอแล้วพุ่งตัวหลุดออกมาได้ทันอย่างฉิวเฉียด ถ้าช้ากว่านี้อีกนิดเราสองคนคงถูกฝั่งใต้หิมะแน่ๆ แต่ก็ยังโดนก้อนน้ำแข็งกระแทกจนหัวแตก น้องริสาโดนบ้างไหม เห็นสลบไปนานพี่ก็ใจคอไม่ดี พยายามดูแล้วไม่เห็นว่ามีอาการบาดเจ็บ”
“คงโดนแค่สะเก็ดก้อนเล็กค่ะ รู้สึกเจ็บนิดหน่อย แต่ที่เป็นลมไปคงเพราะตกใจมากกว่า” หล่อนเว้นจังหวะเพียงเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง “เสียงของพี่ปารีสยังสั่นอยู่เลย เสื้อกันหนาวตัวนอกอีกตัวที่ถอดให้ริสาสวมก่อนนั้นเอากลับไปใส่เถอะค่ะ”
“ไม่เป็นไรแค่ตัวนี้ตัวเดียวพี่ก็ทนหนาวได้แล้ว”
เขาปฏิเสธ แสงสว่างปรากฏขึ้นอีกครั้งเมื่อไฟแช็คถูกจุดโดยมือของหญิงสาว ร่างสูงที่นั่งอยู่ตรงหน้าสังเกตเห็นได้ว่าหล่อนตาแดงก่ำปลายจมูกก็แดงระเรื่อ ปาริสากำลังใช้มือตัวเองทั้งสองข้างสลับอังบนเปลวไฟดวงเล็กนั้น ก่อนที่หล่อนจะเอาฝ่ามือทั้งสองข้างมาแนบกับแก้ม ชายหนุ่มไม่คาดคิดว่าปาริสาจะทำเพื่อเขาถึงขนาดนี้
“เป็นไงอุ่นขึ้นไหมคะ”
“อืม...อุ่นมาก เหมือนจะละลายเชียวล่ะ” หัวใจของเขากำลังละลายเพราะผู้หญิงคนนี้ ความมืดช่วยไม่ให้ปาริสาเห็นประกายร้องแรงในดวงตาคมกริบของเขา เพราะไม่อย่างนั้นหล่อนคงต้องชักมือหนี
“พี่เอามือถือติดตัวมาไหม มือถือของริสาอยู่ในกระเป๋าทิ้งไว้ในรถ”
“เอามา แต่บนนี้ไม่มีสัญญาณ”
“ถ้าอย่างนั้นเราต้องอยู่บนนี้ทั้งคืนสิ เพราะติดต่อขอความช่วยเหลือไม่ได้” หญิงสาวพูดแล้วถอนหายใจ
“ก็คงต้องเป็นแบบนั้น ถึงติดต่อได้คงยังไม่มีใครขึ้นมาช่วยตอนนี้หรอก ไม่ได้ยินเสียงข้างนอกหรือไง กำลังมีพายุ ถ้าน้องริสาเอามือไปแนบกับผนังที่ทำจากไม้สนก็จะรู้ว่ามันสั่นเพราะแรงลมกับโดนหิมะปะทะ เราควรอยู่ในนี้จนกว่าจะเช้า เป็นวิธีที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด”
หญิงสาวพยักหน้ารับเพราะเห็นว่าเป็นทางเลือกสุดท้าย เมื่อฟังเหตุผลของรุ่นพี่หนุ่ม ก่อนจะขยับถอยหลังไปนั่งพิงผนังไม้ตรงจุดเดิมที่เคยนอนสลบนิ่งไปนาน แววตาคู่หวานมองนิ่งไปยังเปลวสีเหลืองอมแดงจากไฟแช็คที่ตนเองกำลังประคองอยู่ในมือ แสงสว่างจากโทรศัพท์มือถือที่ร่างสูงกดเปิดดึงความสนใจให้ปาริสาเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นเขาเดินไปยังอีกมุมเป็นกองถุงกระดาษและพลาสติกหลายใบวางซ้อนสุมรวมกันระเกะระกะ ชายหนุ่มเริ่มรื้อค้นอย่างเอาจริงเอาจัง ใช้เวลาอยู่พักใหญ่เขาก็เดินกลับมา
“ทายสิ ว่าพี่ไปเจออะไรมา” เขาถามพลางเดินเข้ามาใกล้แล้วย่อตัวลงนั่งข้างหญิงสาว ยื่นสิ่งที่อยู่ในมือให้ดู “โชคดีชะมัดเจอขวดเหล้า แอลกอฮอร์จะทำให้เรารู้สึกอุ่นขึ้น มาฉลองให้กับความโชคร้ายของเราดีกว่า” ชายหนุ่มจัดการเปิดขวดก่อนจะส่งไปให้คนนั่งข้าง เจ้าหล่อนส่ายศีรษะ
“ไม่เอาดีกว่าเดี๋ยวเมาไม่รู้เรื่อง แค่ไวน์หนก่อนก็ถึงกับน็อก”
“จิบแค่อึกสองอึก ไม่ถึงกับหมดสติหรอก มันจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น ขนาดพี่ที่ว่าอดทนกับความหนาวได้ดี ยังรู้สึกตัวสั่นเลย ถ้าเธอไม่ยอมดื่มเชื่อเถอะ อีกสักพักจะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกแช่แข็ง” ได้ยินแค่นั้นปาริสาเลิกบ่ายเบี่ยงรีบคว้ายกขวดขึ้นจ่อปากแล้วดื่มไปหนึ่งอึกใหญ่ แล้วส่งคืน
“จริงด้วย ริสารู้สึกร้อนวาบตั้งแต่ลำคอไปยังกระเพาะ มันช่วยให้อาการสั่นจากข้างในทุเลาได้จริงๆ” หญิงสาวหันหน้าไปทางเขา
“ทำไม...”
คำถามชะงักค้างอยู่แค่นั้น เมื่อเห็นร่างสูงกำลังยกขวดเหล้าขึ้นดื่มกลืนหลายอึก จากลำแสงไฟแช็คที่หล่อนถืออยู่ในมืออีกข้างไม่ยอมวาง...อย่างนี้มันเรียกว่าจูบทางอ้อมชัดๆ ปาริสารู้สึกใบหน้าร้อนวูบวาบ ชายหนุ่มดึงขวดเหล้าห่างออกจากปากแต่ยังถืออยู่ในมือหันไปทางคนนั่งข้าง ระยะห่างเรียกว่าลำแขนสองข้างแทบชนกัน
“น้องริสาจะถามอะไร” ร่างบางเบือนหน้าหนีประกายของแววตาคมกริบยามสะท้อนกับแสงเปลวไฟ ถามข้อสงสัยของตัวเองโดยไม่ยอมมองเขา
“ทำไมเหล้าถึงไม่เป็นเกล็ดวุ้นเหมือนเบียร์ ตอนริสากินยังเห็นเป็นน้ำเหลวปกติเพียงแค่รู้สึกเหมือนดื่มน้ำเย็นเท่านั้น” ปารีสคลี่ยิ้มกับคำถาม เขารู้สึกว่าหล่อนน่ารักยามช่างซักช่างถาม
“อุณหภูมิแม้จะติดลบ 30 องศา ยังไม่เพียงพอจะทำให้เหล้าจับตัวเป็นน้ำแข็งได้หรอก” เขาตอบก่อนจะบอกเหมือนเป็นคำสั่งกรายๆ “แล้วควรจะปิดไฟแช็คได้แล้ว เอาไว้ใช้ยามจำเป็น พี่เองยังต้องปิดมือถือ”
“ก็ได้” หญิงสาวตอบเสียงเบาเพราะไม่เต็มใจอยากจะอยู่กับเขาตามลำพังในความมืด
“จะดื่มอีกไหม” เขาถาม
“ไม่ค่ะ ไว้ดื่มเวลาจำเป็น”
น้ำเสียงแบบกระเง้ากระงอดทำให้ปารีสถึงกับหัวเราะในลำคอ หญิงสาวหันไปย่นจมูกใส่ แถมแอบแลบลิ้นให้อีกต่างหากเพราะมั่นใจว่าเขามองไม่เห็น ก่อนจะลุกหนีไปนั่งอยู่ยังผนังฝั่งตรงข้าม ปารีสที่รู้สึกปรับสายตาให้ชินกับความมืดได้แล้ว จึงมองเห็นเงาเลือนรางที่นั่งห่างออกไป
“เลิกงอนเถอะ แล้วมานั่งใกล้กันดีกว่า” ร่างสูงพูดเสียงเรียบ “อย่างน้อยหากเรานั่งเบียดกัน ไอร้อนจากร่างกายจะทำให้เราลดความหนาวลงได้”
“ริสาไม่ได้งอน แค่อยากนั่งคนเดียวมากกว่า” หล่อนไม่ยอมทำตามอย่างว่าง่าย
“รู้ไหมว่านกเพนกวินเอาตัวรอดจากความหนาวของหิมะหรือน้ำแข็งขั้วโลกใต้ได้ยังไง พวกมันจะล้อมวงเข้ามารวมตัวเป็นกระจุกกลุ่มใหญ่ เพื่อพิงไออุ่นซึ่งกันและกัน” ปาริสานั่งนิ่งเหมือนเดิมพลางโต้ตอบเขาอยู่ในใจ ‘ไม่ต้องบอกก็รู้เพราะชอบดูรายการสารคดีสัตว์โลก’
“แต่ริสาไม่ใช่นกเพนกวินสักหน่อย” หล่อนตอบกำปั้นทุบดิน
“ตามใจแล้วกัน” ร่างสูงพูดพลางลอบถอนหายใจเขาก็แค่หวังดีกับหล่อนเท่านั้น “ถ้าหนาวจนทนไม่ไหว จะดื่มเหล้าอีกก็บอกได้นะ” เงียบกริบไม่มีคำตอบใดใดหลุดออกมาจากปากเจ้าหล่อน ปารีสยกริมฝีปากยิ้มก่อนจะถามอีกครั้ง “ริสา เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม”
“ยังหายใจอยู่ค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง”
จากนั้นทุกอย่างในกระท่อมไม้หลังเล็กก็ตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีการคุยโต้ตอบกันอีก หญิงสาวที่หนีไปนั่งกอดเข่าจุกตัวอยู่คนเดียวได้ยินแต่เสียงลม และเสียงหายใจกับเสียงฟันกระทบเพราะความหนาวสั่นของตัวเอง ไม่นานก็ได้ยินเสียงบางอย่างโหยหวน นึกว่าตนคงหูฝาดไปจึงเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจอีกครั้ง
‘สะ...สะ...เสียงหมาหอน’ ตอบตัวเองตะกุกตะกักอยู่ในใจเพียงเท่านั้น ก่อนจะลุกพรวดซอยเท้าถี่ยิบเพียงไม่กี่ก้าวก็ไปนั่งเกาะแขนคนตัวสูงฝั่งตรงข้าม
“เป็นอะไร” เขาถามเพราะประหลาดใจกับคนที่พยายามหลีกเลี่ยงแทบไม่อยากอยู่ใกล้ กลับมานั่งเบียดเกาะแขนเขาเสียแน่น
“เสียงหมาหอนพี่ได้ยินไหม”
“อ๋อ คงเป็นเสียงหมาป่า”
“ก็ไหนพี่บอกว่าแถวนี้ไม่มีสัตว์ร้ายไง” เธอถามเขาเสียงเข้มเล็กน้อยเพราะความกลัว
“ที่ได้ยินเสียงหอนแว่วๆ เบาขนาดนั้น เพราะมันไม่ได้อยู่แถวนี้ แต่อยู่ไกลออกไป เราอยู่ใต้ลมเสียงคงลอยมาให้ได้ยินบ้างเป็นธรรมดา”
“แล้วแถวนี้มีผีไหม”
คนเกาะแขนแทบไม่กระดิกตัวยังไม่เลิกถาม แต่แปลกนักเขากลับรู้สึกชอบมากกว่าจะรู้สึกรำคาญ ก่อนจะถามขึ้นเมื่อนึกถึงคำพูดของหล่อนก่อนหน้านั้น
“ไหนบอกว่าไม่กลัวผีไง”
“นั่นมันกลางวัน แต่นี่มันกลางคืนนี่นา”
ร่างสูงหัวเราะก่อนจะป้อนคำถามอีกรอบ เพราะเขาชอบฟังเสียงกังวานเป็นจังหวะสูงและต่ำยามเจ้าหล่อนเจรจา ไพเราะราวกับเสียงเปียโนที่ดีดบรรเลงในโบสถ์ เขานับถือศาสนาคริสต์ตามบิดาชาวแคนาดา แต่ก็ไม่เคยลืมความเป็นไทยเพราะเลือดของมารดาที่เคารพรักยังคงไหลเวียนหล่อเลี้ยงหัวใจเขาอยู่ และประตูหัวใจดวงเดียวกันตอนนี้ ราวกับกำลังถูกหัตถ์ของพระเจ้าเปิดแง้มออกแล้วยื่นมาเกาะกุมบีบแล้วคลายออก รู้สึกหายใจติดขัดขณะเดียวกันก็อบอุ่นอย่างประหลาดและเต้นตุบตับแบบแปลกพิกล เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าถามหล่อนออกไปด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเพียงใด
“แล้วระหว่างผีกับพี่ น้องริสากลัวอะไรมากกว่ากัน?”
“พายุหิมะตกหนักขนาดนี้พวกเขาคงกลับมาไม่ได้” คนที่นั่งเฉยทำทองไม่รู้ร้อนพูดขึ้น จนอีกคนต้องหันไปย่นจมูกใส่ชายคนรักก่อนจะกล่าวโทษ
“เพราะแผนจับคู่ของพี่ทวีปคนเดียว”
“อ้าว ทำไมต้องมาโทษพี่คนเดียว มิกาเองก็เห็นด้วยไม่ใช่หรือไง” ทวีปพูดขึ้นบ้าง “เลิกกังวลเถอะบนแค้มป์มีที่พักพอให้พวกเขาหลบสภาพอากาศเลวร้ายแบบนี้ได้หรอกน่า” เขมิกาพยักหน้าพลางถอนหายใจหันมาโทษตัวเอง
“อย่างน้อยถ้ามิกาไปด้วย ริสาคงมีเพื่อน ดีกว่าไปติดแหง็กที่นั่นกับผู้ชายสองต่อสอง”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เพื่อนพี่คนนี้ไว้ใจได้ รับรองริสาปลอดภัยแน่ๆ”
“ด้านไหน?” ทวีปชะงักไปนิดกับคำถามแฟนตัวเอง ก่อนจะตอบอย่างจริงจัง
“ก็ถ้าพูดถึงว่าหากมีเหตุการณ์อะไรอันตรายเกิดขึ้น คนอย่างนายปารีสต้องยอมเสี่ยงเอาชีวิตตัวเองปกป้องริสา โดยไม่ห่วงความปลอดภัยของตัวเอง” เขมิกาขยับเข้าไปนั่งเก้าอี้อีกตัวฝั่งตรงข้ามหรี่ตามองทวีป
“ทำไมต้องมองหน้าพี่อย่างนั้น”
“แล้วถ้าเพื่อนพี่คือสิ่งที่เป็นอันตรายสำหรับริสาเสียเองล่ะ” คนฟังเลิกคิ้วสูงแปลกใจกับความคิดของเขมิกา ก่อนจะหัวเราะเห็นเป็นเรื่องขำ
“ขอบอกว่านายปารีสเป็นสุภาพบุรุษทั้งแท่ง ไม่มีทางที่จะทำแบบนั้นกับริสา”
“ก็เพราะพี่เขาเป็นสุภาพบุรุษทั้งแท่งไง ถ้าเขาเป็นเกย์ มิกาจะมานั่งห่วงริสาให้เสียเวลาทำไม”
“โอ๊ย!” เขมิกายกมือจับหน้าผากตัวเองเมื่อโดนคนรักดีดหน้าผาก มองตาประหลับประเหลือก “เจ็บนะ” หญิงสาวรีบขยับลุกเข้าไปใกล้ตั้งท่าจะเอาคืน ทว่าถูกจับมือทั้งสองข้างไว้
“ปล่อย และนั่งอยู่นิ่งๆ ด้วย ห้ามขยับไปไหน” ทวีปเห็นสีหน้าจริงจังตาลุกวาวของแฟนสาวจำต้องทำตามแต่โดยดี ก่อนจะโวยวายกุมหน้าผากตัวเอง
“เธอโดนแค่ครั้งเดียวเองนะ แต่เล่นดีดหน้าผากพี่ตั้งสองครั้ง” เขมิกายักไหล่พลางอมยิ้ม เดินกลับไปนั่งที่เดิม แล้วหันไปบอก
“ครั้งแรกสำหรับมิกา ครั้งที่สองสำหรับริสา”
“แล้วริสามาเกี่ยวอะไรด้วย”
“ก็พี่ดีแต่พูดเข้าข้างเพื่อนตัวเอง โดยไม่สนใจมองในแง่มุมของริสาบ้าง ถึงยังไงริสาก็เป็นผู้หญิง และพี่ปารีสก็เป็นผู้ชาย”
“อืม ไม่ต้องบอกพี่ก็รู้” ทวีปย้อนกลับอย่างกวนประสาท “แล้วไง”
“ก็ผู้หญิงกับผู้ชายเมื่อมีโอกาสอยู่กันตามลำพังสองต่อสอง ก็เปรียบเหมือนน้ำมันอยู่ใกล้ไฟ ถึงมิกาจะไม่ได้เจอและพูดคุยกับพี่ปารีสบ่อยครั้ง แต่ท่าทีทำเป็นเย็นชาไม่สนใจสาวคนไหนจนได้รับฉายาว่าเจ้าชายหิมะ หรือเจ้าชายน้ำแข็ง ที่สาวๆ ในมหาวิทยาลัยพากันพูดถึง จะบอกให้ว่าเพื่อนพี่คนนี้ไม่ได้เป็นคนไร้ความรู้สึก เขาไม่ต่างอะไรกับภูเขาไฟที่รอวันปะทุ ส่วนริสาแม้มิกาจะเพิ่งได้รู้จักไม่นาน แต่เธอเป็นผู้หญิงอ่อนไหวและหวั่นไหวได้ง่าย คิดดูว่าถ้าสองคนนี้ต้องอยู่ด้วยกันในบรรยากาศเป็นใจ อะไรจะเกิดขึ้น”
เสียงตบมือดังขึ้นเป็นจังหวะเมื่อเขมิกาพูดจบ
“บราโว่! ว้าว!” น้ำเสียงโอเวอร์แอ็คติ้งที่หลุดออกมาสร้างความหมั่นไส้ให้คนได้ยินไม่น้อย “แฟนพี่น่าจะไปเรียนด้านจิตแพทย์ ไปเป็นนักจิตวิทยามากกว่าด้านการบริหารโรงแรมและการท่องเที่ยวเสียอีก”
“ไม่ต้องมาประชด” เขมิกาต่อว่าหน้างอง้ำเป็นจวัก
“พี่พูดจริง”
“ก็เพราะจิตวิทยากับการวิเคราะห์คนก็เป็นส่วนหนึ่งของนักบริหารที่ดี มิกาก็ต้องศึกษาไว้บ้าง” ทวีปยิ้มทะเล้นก่อนจะถาม
“แล้วเคยวิเคราะห์ตัวเอง หรือวิเคราะห์แฟนตัวเองบ้างไหม เราสองคนก็เป็นผู้หญิงกับผู้ชายเหมือนกันแถมเป็นคู่รักกันอีก โอกาสอยู่กันตามลำพังสองต่อสองก็บ่อยครั้งกว่าสองคนนั้น ถ้าพูดตามความจริงปารีสกับริสาก็เหมือนคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันด้วยซ้ำ เลิกกังวลเถอะ หันมากังวลตัวเองดีกว่าว่าทำไมถึงไม่เคยเกิดอะไรขึ้นระหว่างเราได้แค่จับมือกับมองตากันเท่านั้น สรุปเราคงไม่ใช่น้ำมันกับไฟเป็นแน่ ไหนลองบอกสิ ว่าพี่กับเธอเปรียบเป็นอะไรดี”
ถ้อยความยืดยาวอย่างมีเหตุมีผล ย้อนเข้าหาตัวเอง ทำเอาเขมิกาชะงักคอแข็งใบหน้าร้อนผ่าว... ตาบ้าเอ๊ย! เขาจะรู้บ้างไหมว่าแฟนสาวตัวเองเคยมีความคิดอยากจะลองจูบสักครั้ง เพราะเคยเห็นหนุ่มสาวชาวต่างชาติจุมพิตกันหน้าตาเฉยทั้งที่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย ทว่าหญิงไทยอย่างหล่อนก็ต้องสงวนท่าที เรื่องแบบนั้นควรให้ผู้ชายเป็นฝ่ายเริ่มก่อนถึงจะถูก คิดมาถึงตรงนี้เมื่อเขาถามมาจึงตอบออกไปอย่างไม่ลังเล
“พี่ก็เป็นแค่ตาแก่คนหนึ่ง ส่วนฉันก็เป็นเด็กน้อย ที่พี่ไม่กล้าทำอะไรไปมากกว่าจับมือกับมองหน้า เพราะกลัวโดนข้อหาพรากผู้เยาว์” เขมิกาลุกขึ้นยืนก่อนจะสะบัดหน้าใส่แล้วเดินไปเปิดประตูกลับห้องพักฝั่งตรงข้าม ปล่อยให้ทวีปนั่งจมอยู่กับความคิดตัวเองว่าแฟนสาวของเขากำลังสื่อถึงอะไร
จากช่วงเวลาที่ขาดหายไร้ความรู้สึกแต่จิตใต้สำนึกเหมือนตัวเองกำลังตกอยู่ในฝันร้าย หล่อนกำลังร่วงตกลงไปจมสู่ก้นทะเลลึกที่มีแต่ความหนาวเหน็บและรอบตัวผืนน้ำเหมือนถูกระบายละเลงด้วยสีดำทุกด้านจนมองไม่เห็นสิ่งใด ฉับพลันมีแสงสว่างปรากฏขึ้น จากนั้นค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ ปาริสาจ้องมองอย่างตะลึงพ่อการันอยู่ตรงหน้ามีแสงเรืองรองสีขาวรอบตัว ท่านยิ้มพร้อมยื่นมือมาให้
‘พ่อคะ ลูกตายแล้วใช่ไหม กลายเป็นวิญญาณ เราถึงได้เจอกันอีกครั้ง’
หล่อนแน่ใจว่าได้ถามออกไปอย่างนั้นทั้งๆ ที่เรียวปากกลับเม้มแน่นไม่สามารถเผยอราวกับแข็งเป็นหิน หรือนี่เป็นการสื่อสารกันด้วยกระแสจิต หญิงสาวส่งมือตัวเองไปวางลงบนอุ้งมือหนา เขาว่าคนที่ตายไปแล้วร่างกายจะเย็นจัด ปาริสายิ้มทั้งน้ำตาเมื่อสัมผัสได้ว่ามือข้างนี้ที่เคยจับจูงลูกสาวเดินยังคงอบอุ่นเหมือนเดิม
‘พ่อมารับริสาไปอยู่ด้วยใช่ไหมคะ’ บิดาส่ายหน้า
พ่อไม่ได้มารับหนูไปอยู่ด้วย เพราะมันยังไม่ถึงเวลา แต่จะพากลับไปยังที่ที่ลูกควรจะอยู่’
‘ไม่ค่ะ’ ปาริสารีบปฏิเสธ ‘ถ้าที่นั่นไม่มีพ่ออยู่ด้วย ริสาก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกตัวคนเดียว’
‘ใครบอกว่าลูกจะอยู่ตัวคนเดียว กลับเถอะเขาคนนั้นคอยริสาอยู่นะ’
‘ใครคะ?’
พ่อการันไม่ได้ตอบคำถามทันที กลับจูงมือพาหันเดินไปยังทิศทางอีกด้าน พลางร้องเพลงโปรดของตัวเองที่มักชอบร้องให้ลูกสาวได้ยินเสมอตอนอยู่เมืองไทย ปาริสาเดินตามหลังไปอย่างเงียบกริบตั้งใจฟังท่วงทำนองไพเราะจับใจนั้น โดยไม่ซักถามอะไร จนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่ตรงจุดหนึ่ง บิดาหันมามองลูกสาวก่อนจะชี้ไปยังข้างหน้าเห็นราวกับแสงสว่างปลายอุโมงค์ท่ามกลางความมืดมิด หญิงสาวรู้สึกเคว้งคว้างทันทีทันใดเมื่อถูกปล่อยมือ ปาริสาพยายามต่อต้านกระแสน้ำไหลวนเชี่ยวกราด ราวจะพยายามดูดร่างของหล่อนไปยังช่องว่างสีขาวทรงกลมอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก พ่อการันยิ้มให้ราวกับจะเป็นรอยยิ้มครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินผลักห่างออกไป ปาริสาพยายามวิ่งตามทว่ากลับก้าวขาไม่ออกเพราะเหมือนมีแรงมหาศาลบางอย่างฉุดดึงรั้งไว้
‘พ่อคะ กลับมาก่อน อย่าเพิ่งไป’ บุตรสาวร้องเรียกทั้งน้ำตา ‘ริสาเดินตามหลังพ่อไม่ได้อีกแล้ว’
‘กลับไปเถอะลูก’ บิดาพูดเสียงกังวานก้องโดยไม่ยอมหันหน้ากลับมา ปล่อยให้หล่อนเห็นเพียงแผ่นหลังเลือนราง ‘กลับไปหาผู้ชายคนนั้น เขากำลังรอลูกอยู่’
‘เขาเป็นใครคะ ที่พ่อพยายามผลักไสไปให้ โดยยอมทิ้งริสาไปแบบนี้’ ปาริสากล่าวตัดพ้อ ยิ่งใจเสียมากขึ้นเมื่อแผ่นหลังกว้างแสนอบอุ่นที่บิดาเคยให้ขึ้นขี่หลังประคองเดินกล่อมจนหลับเมื่อตอนเป็นเด็ก หายไปกับความมืดพร้อมเสียงก้องสะท้อนลอยมาจากที่ไหนสักแห่งไกลๆ
‘เมื่อลูกลืมตา เปิดหัวใจ ก็จะเห็นเขาเอง พ่อไม่ได้ทิ้ง อีกไม่นานพ่อจะกลับไปอยู่กับลูก แต่ตอนนี้...ลาก่อนลูกรัก’
‘พ่อคะ!’
หญิงสาวตะโกนสุดเสียง ร่างบอบบางถูกดึงเข้าไปยังแสงสว่างราวดวงจันทร์กลมโตตรงหน้า หล่อนหลับตาปี๋ เพราะนึกกลัวสิ่งที่ต้องเจอและรอคอยเมื่อหลุดพ้นไปจากตรงที่แห่งนี้ ความอึดอัดราวจะหายใจไม่ออกหายเป็นปลิดทิ้ง หญิงสาวค่อยๆ เปิดเปลือกตากลับพบเพียงแสงสว่างจากเปลวไฟเล็กๆ จ่อมาตรงหน้า
“รู้สึกตัวแล้วเหรอ เฮ้อ โล่งอกไปที”
ปาริสาเรียบเรียงเรื่องราวความฝันกับความเป็นจริง จึงนึกได้ว่าคนที่พูดกับหล่อนคือชายหนุ่มที่ชื่อปารีส พร้อมกับเปลวไฟดวงเล็กถูกดึงออกห่างไปอยู่ตรงใบหน้าของเขา ดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อเห็นเลือดตรงขมับซ้าย
“พะ...พี่ เลือดไหล พี่ปารีสหัวแตก” ร่างบางพยายามพยุงกายลุกขึ้นนั่ง แต่กลับไม่มีแรง และรู้สึกเวียนศีรษะพร้อมกับอาการปวดเจ็บ
“อย่าเพิ่งลุกขึ้นเลย นอนนิ่งๆ ไปก่อนเถอะ ให้ร่างกายปรับตัวก่อน” ปารีสบอกเสียงสั่นจนหญิงสาวสังเกตได้ “ส่วนเลือดที่เห็นคงโดนหิมะที่จับตัวเป็นก้อนน้ำแข็งกระเด็นใส่ แต่ไม่ต้องห่วง คงเป็นเพียงคราบเลือด เพราะมันแห้งหยุดไหลไปนาน สงสัยอากาศหนาวจัดมากไปหน่อย แม้แต่เลือดยังแข็งตัว”
นอกจากเสียงสั่นริมฝีปากเขาก็ยังซีดเซียว ปาริสาต้องตกใจเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเสียสละเสื้อกันหนาวของตัวเองคลุมร่างหล่อนไว้ เขาจึงมีเพียงเสื้อสเวตเตอร์ไหมพรมสีดำแขนยาวอยู่ตัวเดียว แม้แต่มือที่ถือไฟแช็คนั้นก็ยังสั่นอย่างเห็นได้ชัด ปาริสาจับมือตัวเองภายใต้เสื้อกันหนาวอีกชั้นที่เขาคลุมให้ จึงพบว่าถุงมือหนังอย่างดีของเขาสวมทับกับถุงมือไหมพรมธรรมดาของหล่อนอีกชั้น...มิน่าถึงรู้สึกว่ามือสองข้างอบอุ่นตลอดเวลา หญิงสาวไม่อาจทนนอนนิ่งอยู่เฉยๆ ได้อีกต่อไป จึงรีบลุกขยับเข้าไปใกล้เอาเสื้อกันหนาวคลุมไหล่สองข้างของพลางบ่น
“ทำไมพี่ต้องเสียสละเสื้อมาให้ริสา แล้วต้องมานั่งทนหนาวอยู่แบบนี้ด้วย”
“ก็พี่กลัวนี่หนา” เขาบอกเสียงยังคงไม่หายสั่น
“กลัวอะไรคะ”
“กลัวว่าเธอต้องหนาวตายก่อนพี่ไง” ปาริสารู้สึกหัวตาร้อนผ่าวด้วยความซาบซึ้ง แต่ยังไม่เลิกเอ็ดเขาด้วยความเป็นห่วง
“แล้วพี่จะยอมหนาวตายก่อน โดยทิ้งริสาไว้ในที่แบบนี้คนเดียวหรือไงคะ” น้ำตาปาริสาไหลโดยไม่รู้ตัว
“ร้องไห้ทำไมพี่ยังไม่ตาย”
“พี่ควรจะวางไฟแช็คลง” หญิงสาวแนะนำพลางสูดจมูกจากอาการน้ำมูกไหลเพราะการร้องไห้หรืออากาศหนาว หล่อนเองก็ไม่แน่ใจ “พี่จะได้สวมเสื้อกันหนาวให้เรียบร้อย ไม่ต้องมานั่งตัวสั่นอยู่แบบนี้” เขาเหลือบตาขึ้นมามอง ก่อนจะบอกเสียงเหมือนจะตลก แต่หล่อนไม่ขำด้วยหรอก
“พี่ก็อยากจะวางเหมือนกัน แต่ตอนนี้รู้สึกมือมันแข็งไปหมด แทบจะขยับไม่ได้ เขาเรียกว่าอะไรนะ น่าจะเป็นอาการนิ้วล็อค”
“แล้วพี่จะถือแบบนั้นไว้ตลอดทำไมกัน” ปาริสาแว๊ดใส่อย่างเหลืออด “ควรวางมันทิ้งไปตั้งแต่แรกแล้ว”
“ก็มันเป็นเพียงแสงอบอุ่นเดียวที่พี่พอจะหาให้เธอได้”
ผู้ชายคนนี้กำลังทำให้ปาริสาแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่อีกแล้ว เพราะนึกขึ้นได้ว่าทันทีเมื่อลืมตารู้สึกตัว ก็เห็นเปลวไฟดวงเล็กอยู่ตรงหน้า แสดงว่าตลอดเวลาเขาถือมันไว้อย่างนั้นเพื่อหวังว่าลำแสงเพียงน้อยนิดจะให้ความอบอุ่นกับหล่อนได้
หญิงสาวจัดการกุมมือเขาไว้ ก่อนจะเป่าไฟแช็คให้ดับลง และมือเกร็งแข็งเย็นจัดนั้นก็เป็นคิวต่อไป หล่อนใช้ลมร้อนๆ จากปากตัวเองเพื่อทำให้มือเขาอุ่นขึ้น จากนั้นจึงค่อยงัดนิ้วมือออกจนไฟแช็คร่วงตกพื้น ปาริสารีบถอดถุงมือตัวเองออกทั้งหมด ก่อนจะใช้ความร้อนจากมือบอบบางถูมือของเขาไปมา ตลอดเวลาการกระทำของหญิงสาวตรงหน้าปารีสมองเงาดำตะคุ้มของหล่อนตาแทบไม่กะพริบ
“เรากำลังอยู่ที่ไหนคะ” ร่างบางถาม
“อ๋อ คงเป็นกระท่อมของพวกล่าสัตว์ หรือไม่อาจเป็นกระท่อมพักของนักปีนเขาทำขึ้น”
"แล้วพี่รู้จักที่นี่ได้ยังไง”
“เจอโดยบังเอิญนานแล้วตอนมาเล่นสกีที่นี่ แล้วเคยแวะมานั่งพัก”
ชายหนุ่มตอบขณะเริ่มรู้สึกว่าลมร้อนที่ออกมาจากเรียวปากของหล่อนทำให้มือที่แทบจะแข็งเป็นหินอุ่นจัดขึ้น แต่แปลกนักเขากลับร้อนวูบวาบไปทั้งกาย ปาริสาจัดการสวมถุงมือหนังอย่างดีคืนเจ้าของ หลังจากมือข้างนั้นเริ่มคลายความเกร็งและเย็นจัด ก่อนจะบอกกับเขา
“ขยับมืออีกข้างของพี่มาใกล้มือข้างนี้สิคะ มันมืดมองไม่เห็น ริสาจะได้ช่วยสวมถุงมือให้” หญิงสาวอาสาอย่างเต็มใจ เพราะตลอดเวลาที่ไม่รู้สึกตัว เขาเองก็เสียสละอดทนช่วยเหลือเธอมามากแล้ว
“เออ...คือ มืออีกข้างพี่กำลังกำขวดเบียร์อยู่ มันก็มีอาการไม่ต่างจากมือข้างนี้ของพี่หรอก” ปาริสาถึงกับถอนหายใจเฮือกเมื่อได้ฟัง
“นี่พี่ชอบกินเบียร์มาก ถึงกับขนาดวางไม่ลงเชียวเหรอคะ”
หลังจากถามเขาเชิงประชดก็รีบจัดการช่วยเหลือเขาเหมือนเช่นเดิมอีกครั้ง ขณะที่หูสองข้างที่อยู่ไม่ห่างจากใบหน้าเขานักได้ยินเขาบอกเสียงเรียบ
“พี่ค้นหาเจอในนี้พร้อมกับไฟแช็ค ตั้งใจจะเอาเบียร์กรอกปากของเธอเผื่อดีกรีของมันจะทำให้ร่างกายของน้องริสาอุ่นขึ้น แต่ดันโชคร้ายเบียร์จับตัวกลายเป็นวุ่นเกล็ดน้ำแข็ง พี่เลยต้องกำไว้เผื่อมันจะละลาย”
หญิงสาวได้แต่เงยมองเงามืดใบหน้าของปารีสเงียบกริบ พลางคิด...อีกแล้วการกระทำทุกอย่างเพียงเพราะหล่อนคนเดียว ปาริสารู้สึกผิดอีกครั้งแต่ต้องหน้าแดงระเรื่อกับคำพูดต่อมา
“ตอนแรกกะจะเทเข้าปากตัวเองอมให้มันละลายแล้วค่อยป้อน แต่ก็เปลี่ยนใจ”
“ขอบคุณค่ะที่เปลี่ยนใจ และก็ขอโทษด้วยที่ต้องทำให้พี่ต้องมาลำบากแบบนี้ ถ้าริสายอมเชื่อฟังพี่รออยู่ในรถก็ดีหรอก ลำพังพี่ตัวคนเดียวคงเอาตัวรอดได้สบาย”
“ช่างมันเถอะอย่าโทษตัวเองเลย มันไม่ใช่ความผิดของใคร” เขาบอกพลางยัดแขนตัวเองเข้าแขนเสื้อกันหนาวแล้วดึงรูดซิบปิดถึงคอ
“ริสาคงนอนหมดสติไปนาน ตอนโดนหิมะถล่มใส่ยังสว่างอยู่เลย รู้สึกตัวอีกทีก็มืดแล้ว” ปาริสาชวนคุย
“โชคดีที่พี่คว้าตัวเธอแล้วพุ่งตัวหลุดออกมาได้ทันอย่างฉิวเฉียด ถ้าช้ากว่านี้อีกนิดเราสองคนคงถูกฝั่งใต้หิมะแน่ๆ แต่ก็ยังโดนก้อนน้ำแข็งกระแทกจนหัวแตก น้องริสาโดนบ้างไหม เห็นสลบไปนานพี่ก็ใจคอไม่ดี พยายามดูแล้วไม่เห็นว่ามีอาการบาดเจ็บ”
“คงโดนแค่สะเก็ดก้อนเล็กค่ะ รู้สึกเจ็บนิดหน่อย แต่ที่เป็นลมไปคงเพราะตกใจมากกว่า” หล่อนเว้นจังหวะเพียงเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง “เสียงของพี่ปารีสยังสั่นอยู่เลย เสื้อกันหนาวตัวนอกอีกตัวที่ถอดให้ริสาสวมก่อนนั้นเอากลับไปใส่เถอะค่ะ”
“ไม่เป็นไรแค่ตัวนี้ตัวเดียวพี่ก็ทนหนาวได้แล้ว”
เขาปฏิเสธ แสงสว่างปรากฏขึ้นอีกครั้งเมื่อไฟแช็คถูกจุดโดยมือของหญิงสาว ร่างสูงที่นั่งอยู่ตรงหน้าสังเกตเห็นได้ว่าหล่อนตาแดงก่ำปลายจมูกก็แดงระเรื่อ ปาริสากำลังใช้มือตัวเองทั้งสองข้างสลับอังบนเปลวไฟดวงเล็กนั้น ก่อนที่หล่อนจะเอาฝ่ามือทั้งสองข้างมาแนบกับแก้ม ชายหนุ่มไม่คาดคิดว่าปาริสาจะทำเพื่อเขาถึงขนาดนี้
“เป็นไงอุ่นขึ้นไหมคะ”
“อืม...อุ่นมาก เหมือนจะละลายเชียวล่ะ” หัวใจของเขากำลังละลายเพราะผู้หญิงคนนี้ ความมืดช่วยไม่ให้ปาริสาเห็นประกายร้องแรงในดวงตาคมกริบของเขา เพราะไม่อย่างนั้นหล่อนคงต้องชักมือหนี
“พี่เอามือถือติดตัวมาไหม มือถือของริสาอยู่ในกระเป๋าทิ้งไว้ในรถ”
“เอามา แต่บนนี้ไม่มีสัญญาณ”
“ถ้าอย่างนั้นเราต้องอยู่บนนี้ทั้งคืนสิ เพราะติดต่อขอความช่วยเหลือไม่ได้” หญิงสาวพูดแล้วถอนหายใจ
“ก็คงต้องเป็นแบบนั้น ถึงติดต่อได้คงยังไม่มีใครขึ้นมาช่วยตอนนี้หรอก ไม่ได้ยินเสียงข้างนอกหรือไง กำลังมีพายุ ถ้าน้องริสาเอามือไปแนบกับผนังที่ทำจากไม้สนก็จะรู้ว่ามันสั่นเพราะแรงลมกับโดนหิมะปะทะ เราควรอยู่ในนี้จนกว่าจะเช้า เป็นวิธีที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด”
หญิงสาวพยักหน้ารับเพราะเห็นว่าเป็นทางเลือกสุดท้าย เมื่อฟังเหตุผลของรุ่นพี่หนุ่ม ก่อนจะขยับถอยหลังไปนั่งพิงผนังไม้ตรงจุดเดิมที่เคยนอนสลบนิ่งไปนาน แววตาคู่หวานมองนิ่งไปยังเปลวสีเหลืองอมแดงจากไฟแช็คที่ตนเองกำลังประคองอยู่ในมือ แสงสว่างจากโทรศัพท์มือถือที่ร่างสูงกดเปิดดึงความสนใจให้ปาริสาเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นเขาเดินไปยังอีกมุมเป็นกองถุงกระดาษและพลาสติกหลายใบวางซ้อนสุมรวมกันระเกะระกะ ชายหนุ่มเริ่มรื้อค้นอย่างเอาจริงเอาจัง ใช้เวลาอยู่พักใหญ่เขาก็เดินกลับมา
“ทายสิ ว่าพี่ไปเจออะไรมา” เขาถามพลางเดินเข้ามาใกล้แล้วย่อตัวลงนั่งข้างหญิงสาว ยื่นสิ่งที่อยู่ในมือให้ดู “โชคดีชะมัดเจอขวดเหล้า แอลกอฮอร์จะทำให้เรารู้สึกอุ่นขึ้น มาฉลองให้กับความโชคร้ายของเราดีกว่า” ชายหนุ่มจัดการเปิดขวดก่อนจะส่งไปให้คนนั่งข้าง เจ้าหล่อนส่ายศีรษะ
“ไม่เอาดีกว่าเดี๋ยวเมาไม่รู้เรื่อง แค่ไวน์หนก่อนก็ถึงกับน็อก”
“จิบแค่อึกสองอึก ไม่ถึงกับหมดสติหรอก มันจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น ขนาดพี่ที่ว่าอดทนกับความหนาวได้ดี ยังรู้สึกตัวสั่นเลย ถ้าเธอไม่ยอมดื่มเชื่อเถอะ อีกสักพักจะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกแช่แข็ง” ได้ยินแค่นั้นปาริสาเลิกบ่ายเบี่ยงรีบคว้ายกขวดขึ้นจ่อปากแล้วดื่มไปหนึ่งอึกใหญ่ แล้วส่งคืน
“จริงด้วย ริสารู้สึกร้อนวาบตั้งแต่ลำคอไปยังกระเพาะ มันช่วยให้อาการสั่นจากข้างในทุเลาได้จริงๆ” หญิงสาวหันหน้าไปทางเขา
“ทำไม...”
คำถามชะงักค้างอยู่แค่นั้น เมื่อเห็นร่างสูงกำลังยกขวดเหล้าขึ้นดื่มกลืนหลายอึก จากลำแสงไฟแช็คที่หล่อนถืออยู่ในมืออีกข้างไม่ยอมวาง...อย่างนี้มันเรียกว่าจูบทางอ้อมชัดๆ ปาริสารู้สึกใบหน้าร้อนวูบวาบ ชายหนุ่มดึงขวดเหล้าห่างออกจากปากแต่ยังถืออยู่ในมือหันไปทางคนนั่งข้าง ระยะห่างเรียกว่าลำแขนสองข้างแทบชนกัน
“น้องริสาจะถามอะไร” ร่างบางเบือนหน้าหนีประกายของแววตาคมกริบยามสะท้อนกับแสงเปลวไฟ ถามข้อสงสัยของตัวเองโดยไม่ยอมมองเขา
“ทำไมเหล้าถึงไม่เป็นเกล็ดวุ้นเหมือนเบียร์ ตอนริสากินยังเห็นเป็นน้ำเหลวปกติเพียงแค่รู้สึกเหมือนดื่มน้ำเย็นเท่านั้น” ปารีสคลี่ยิ้มกับคำถาม เขารู้สึกว่าหล่อนน่ารักยามช่างซักช่างถาม
“อุณหภูมิแม้จะติดลบ 30 องศา ยังไม่เพียงพอจะทำให้เหล้าจับตัวเป็นน้ำแข็งได้หรอก” เขาตอบก่อนจะบอกเหมือนเป็นคำสั่งกรายๆ “แล้วควรจะปิดไฟแช็คได้แล้ว เอาไว้ใช้ยามจำเป็น พี่เองยังต้องปิดมือถือ”
“ก็ได้” หญิงสาวตอบเสียงเบาเพราะไม่เต็มใจอยากจะอยู่กับเขาตามลำพังในความมืด
“จะดื่มอีกไหม” เขาถาม
“ไม่ค่ะ ไว้ดื่มเวลาจำเป็น”
น้ำเสียงแบบกระเง้ากระงอดทำให้ปารีสถึงกับหัวเราะในลำคอ หญิงสาวหันไปย่นจมูกใส่ แถมแอบแลบลิ้นให้อีกต่างหากเพราะมั่นใจว่าเขามองไม่เห็น ก่อนจะลุกหนีไปนั่งอยู่ยังผนังฝั่งตรงข้าม ปารีสที่รู้สึกปรับสายตาให้ชินกับความมืดได้แล้ว จึงมองเห็นเงาเลือนรางที่นั่งห่างออกไป
“เลิกงอนเถอะ แล้วมานั่งใกล้กันดีกว่า” ร่างสูงพูดเสียงเรียบ “อย่างน้อยหากเรานั่งเบียดกัน ไอร้อนจากร่างกายจะทำให้เราลดความหนาวลงได้”
“ริสาไม่ได้งอน แค่อยากนั่งคนเดียวมากกว่า” หล่อนไม่ยอมทำตามอย่างว่าง่าย
“รู้ไหมว่านกเพนกวินเอาตัวรอดจากความหนาวของหิมะหรือน้ำแข็งขั้วโลกใต้ได้ยังไง พวกมันจะล้อมวงเข้ามารวมตัวเป็นกระจุกกลุ่มใหญ่ เพื่อพิงไออุ่นซึ่งกันและกัน” ปาริสานั่งนิ่งเหมือนเดิมพลางโต้ตอบเขาอยู่ในใจ ‘ไม่ต้องบอกก็รู้เพราะชอบดูรายการสารคดีสัตว์โลก’
“แต่ริสาไม่ใช่นกเพนกวินสักหน่อย” หล่อนตอบกำปั้นทุบดิน
“ตามใจแล้วกัน” ร่างสูงพูดพลางลอบถอนหายใจเขาก็แค่หวังดีกับหล่อนเท่านั้น “ถ้าหนาวจนทนไม่ไหว จะดื่มเหล้าอีกก็บอกได้นะ” เงียบกริบไม่มีคำตอบใดใดหลุดออกมาจากปากเจ้าหล่อน ปารีสยกริมฝีปากยิ้มก่อนจะถามอีกครั้ง “ริสา เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม”
“ยังหายใจอยู่ค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง”
จากนั้นทุกอย่างในกระท่อมไม้หลังเล็กก็ตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีการคุยโต้ตอบกันอีก หญิงสาวที่หนีไปนั่งกอดเข่าจุกตัวอยู่คนเดียวได้ยินแต่เสียงลม และเสียงหายใจกับเสียงฟันกระทบเพราะความหนาวสั่นของตัวเอง ไม่นานก็ได้ยินเสียงบางอย่างโหยหวน นึกว่าตนคงหูฝาดไปจึงเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจอีกครั้ง
‘สะ...สะ...เสียงหมาหอน’ ตอบตัวเองตะกุกตะกักอยู่ในใจเพียงเท่านั้น ก่อนจะลุกพรวดซอยเท้าถี่ยิบเพียงไม่กี่ก้าวก็ไปนั่งเกาะแขนคนตัวสูงฝั่งตรงข้าม
“เป็นอะไร” เขาถามเพราะประหลาดใจกับคนที่พยายามหลีกเลี่ยงแทบไม่อยากอยู่ใกล้ กลับมานั่งเบียดเกาะแขนเขาเสียแน่น
“เสียงหมาหอนพี่ได้ยินไหม”
“อ๋อ คงเป็นเสียงหมาป่า”
“ก็ไหนพี่บอกว่าแถวนี้ไม่มีสัตว์ร้ายไง” เธอถามเขาเสียงเข้มเล็กน้อยเพราะความกลัว
“ที่ได้ยินเสียงหอนแว่วๆ เบาขนาดนั้น เพราะมันไม่ได้อยู่แถวนี้ แต่อยู่ไกลออกไป เราอยู่ใต้ลมเสียงคงลอยมาให้ได้ยินบ้างเป็นธรรมดา”
“แล้วแถวนี้มีผีไหม”
คนเกาะแขนแทบไม่กระดิกตัวยังไม่เลิกถาม แต่แปลกนักเขากลับรู้สึกชอบมากกว่าจะรู้สึกรำคาญ ก่อนจะถามขึ้นเมื่อนึกถึงคำพูดของหล่อนก่อนหน้านั้น
“ไหนบอกว่าไม่กลัวผีไง”
“นั่นมันกลางวัน แต่นี่มันกลางคืนนี่นา”
ร่างสูงหัวเราะก่อนจะป้อนคำถามอีกรอบ เพราะเขาชอบฟังเสียงกังวานเป็นจังหวะสูงและต่ำยามเจ้าหล่อนเจรจา ไพเราะราวกับเสียงเปียโนที่ดีดบรรเลงในโบสถ์ เขานับถือศาสนาคริสต์ตามบิดาชาวแคนาดา แต่ก็ไม่เคยลืมความเป็นไทยเพราะเลือดของมารดาที่เคารพรักยังคงไหลเวียนหล่อเลี้ยงหัวใจเขาอยู่ และประตูหัวใจดวงเดียวกันตอนนี้ ราวกับกำลังถูกหัตถ์ของพระเจ้าเปิดแง้มออกแล้วยื่นมาเกาะกุมบีบแล้วคลายออก รู้สึกหายใจติดขัดขณะเดียวกันก็อบอุ่นอย่างประหลาดและเต้นตุบตับแบบแปลกพิกล เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าถามหล่อนออกไปด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเพียงใด
“แล้วระหว่างผีกับพี่ น้องริสากลัวอะไรมากกว่ากัน?”

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 พ.ค. 2555, 13:11:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 พ.ค. 2555, 13:34:20 น.
จำนวนการเข้าชม : 1775
<< จับมือผมไว้แล้วคุณจะปลอดภัย | ตอน 7 คำตอบของหัวใจ...และไออุ่นแห่งรัก >> |

มุกมาดา 29 พ.ค. 2555, 13:20:12 น.
ขอบคุณทำกำลังใจที่กดเข้ามาอ่านและกดไลด์ให้นะคะ...เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนได้มีแรงใจปั่นผลงานมาให้อ่านต่อไป ^^
คุณ wane = ใช่ค่ะ ติดพายุ และยังเป็นค่ำคืนที่ยาวนาน อิ อิ
คุณ pseudolife = ปลอดภัยทั้งคู่ค่ะ แบบฉิวเฉียด ^^
คุณปอแก้ว = ขอบคุณค่ะที่ยังตามมาเหยียบหิมะต่อ ^^
คุณฝนปราย = ขอบคุณค่ะที่คอยติดตามอ่าน ส่วนความถี่ในการอัพ ผู้เขียนได้อธิบายไว้ในคอมเม้นท์ตอนที่แล้วเรียบร้อยแล้วค่ะ ^____^
ขอบคุณทำกำลังใจที่กดเข้ามาอ่านและกดไลด์ให้นะคะ...เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนได้มีแรงใจปั่นผลงานมาให้อ่านต่อไป ^^
คุณ wane = ใช่ค่ะ ติดพายุ และยังเป็นค่ำคืนที่ยาวนาน อิ อิ
คุณ pseudolife = ปลอดภัยทั้งคู่ค่ะ แบบฉิวเฉียด ^^
คุณปอแก้ว = ขอบคุณค่ะที่ยังตามมาเหยียบหิมะต่อ ^^
คุณฝนปราย = ขอบคุณค่ะที่คอยติดตามอ่าน ส่วนความถี่ในการอัพ ผู้เขียนได้อธิบายไว้ในคอมเม้นท์ตอนที่แล้วเรียบร้อยแล้วค่ะ ^____^

pseudolife 30 พ.ค. 2555, 14:47:25 น.
อ๊ายยยย พี่ปารีสถามอะไรคะเนี่ย เขินๆ
อ๊ายยยย พี่ปารีสถามอะไรคะเนี่ย เขินๆ

ฝนปราย 3 มิ.ย. 2555, 15:46:42 น.
พี่ปารีสกลับมาแล้ว อยากรู้เร็ว ๆ ว่าพระ-นาง ต้องจากกันเพราะอะไร
พี่ปารีสกลับมาแล้ว อยากรู้เร็ว ๆ ว่าพระ-นาง ต้องจากกันเพราะอะไร
