ยังนึกชื่อเรื่องไม่ออกค่ะ
นางพริมา กีรติอนันต์ พัฒนภิรมย์ กับ นายภัทร์ พัฒนภิรมย์ คู่สามีภรรยาที่ครองรักกันมากว่า 6 ปี และมีพยานรักเป็นเด็กชายน่ารัก 2 คน ต้องจบชีวิตคู่ที่เริ่มจากรั้วมหาวิทยาลัยลงเพราะฝ่ายชายไปมีเมียน้อยซึ่งกำลังจะมีลูกสาวด้วยกัน หญิงสาวยอมหย่าให้และยอมเป็นแม่หม้ายในวัยเพียง 30 ปี ชีวิตคู่ที่พังทลายกลับสร้างพริมาคนใหม่ให้แกร่งกว่าเดิม เธอเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวขึ้น กระดังงาลนไฟดอกนี้จึงกลายเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มทั้งหลาย รวมทั้งภัทร์ พัฒนภิรมย์ ที่เพิ่งสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของอดีตภรรยา จนทำให้ความรักที่เขาคิดว่าได้มอดเชื้อไปแล้วนั้นปะทุขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
รักครั้งใหม่กับคนเดิมจะสมหวังได้หรือไม่ เพราะฝ่ายชายก็มีครอบครัวใหม่แล้ว ส่วนฝ่ายหญิงก็มีชายหนุ่มมากมายมาเข้าแถวให้เลือก อานุภาพของความรักจะประสานรอยร้าวของหัวใจสองดวงให้กลับมาหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้งหรือไม่ โปรดติดตาม......อาทิตา

Tags: รักร้าว

ตอน: ตอนที่ 1

ตอนที่ 1

ณ คฤหาสน์ ‘พัฒนภิรมย์’ ที่กินพื้นที่เกือบ 10 ไร่ของใจกลางกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีราคาที่ดินแพงลิบลิ่วเพราะเจ้าของอยู่ในขั้นอภิมหาเศรษฐีลำดับต้น ๆ ของประเทศ คฤหาสน์พัฒนภิรมย์ ที่มีชื่อคล้องกับธนาคารเอกชนแห่งหนึ่ง ‘พัฒนทรัพย์ เพราะมีเจ้าของเป็นคน ๆ เดียวกัน คือ นายพัฒน พัฒนภิรมย์ ซึ่งปัจจุบันมีอายุ 65 ปี มหาเศรษฐีท่านนี้เป็นคนก่อตั้งและพัฒนาธนาคารแห่งนี้มาด้วยตนเองกว่า 40 ปีแล้ว จากธนาคารเล็ก ๆ ที่มีเงินลงทุนไม่กี่สิบล้านบาทในวันวาน เติบใหญ่จนมีหุ้นมูลค่าหลายพันล้านบาทในวันนี้ด้วยสมองที่มองการณ์ไกลและสองมือที่บากบั่นของเขา ‘พัฒนทรัพย์’ เป็นหนึ่งในไม่กี่ธนาคารของไทยที่มีสาขาในเมืองสำคัญ ๆ ทั่วโลก นอกจากจะมีคฤหาสน์ ‘พัฒนภิรมย์’ หลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางของพื้นที่ทั้งหมดแล้ว ในบริเวณเดียวกันก็ยังมีบ้านอีก 2 หลังใหญ่ปลูกขนาบคฤหาสน์อยู่ทั้ง 2 ด้าน ซึ่งแต่ละหลังก็มีขนาดใหญ่โตและสวยงามไม่น้อยหน้ากัน ทางด้านขวาของคฤหาสน์นั้นเป็นบ้านทรงยุโรปสีเหลืองนวลขนาดสามชั้นของลูกชายคนโตของท่านเจ้าของบ้าน นายภัทร์ พัฒนภิรมย์ ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานกรรมการธนาคารพัฒนทรัพย์ เพราะบิดาซึ่งวางมือจากการบริหารแล้วผันตัวเองมาอยู่เป็นกองหลังและคอยช่วยเหลือให้คำแนะนำบุตรชายเพียงคนเดียวในการคุมบังเหียนทั้งหมดของธนาคาร ผู้เป็นพ่อยอมเดินลงจากบัลลังก์ทั้ง ๆ ที่ยังมีเรี่ยวแรงวังชา เพราะเหตุผลที่ว่า “พ่อมาช่วยแกดูแลอยู่เบื้องหลังในวันที่พ่อยังช่วยไหว ดีกว่าปล่อยให้แกทำคนเดียวในวันที่พ่อหมดแรงแล้ว”
ส่วนอีกหลังก็เป็นบ้านทรงยุโรปเช่นเดียวกันเพียงแต่คนละแบบและคนละสี บ้านงามหลังนั้นเป็นของครอบครัวของลูกสาวคนเดียวของเจ้าของบ้าน นางภัทรา พัฒนภิรมย์ เรืองอร่ามเมธิน เจ้าของกิจการ ภัทราพลาซ่าและร้านเสื้อผ้ายี่ห้อดัง ‘By Patra’
บนชั้นสองของบ้านหลังงามทางขวามือนั้น พริมาหรือปริม ภรรยาสาวสวยของเจ้าของบ้านและนายธนาคารหนุ่มไฟแรงกำลังนั่งดูแผ่นกระดาษในมืออย่างเลื่อนลอย ‘ใบสำคัญการสมรส’ หรือที่รู้จักกันดีว่า ‘ทะเบียนสมรส’ ระหว่างเธอ นางสาวพริมา กีรติอนันต์ กับ นายภัทร์ พัฒนภิรมย์ ถึงแม้ดวงตาคู่งามจะจดจ้องอยู่บนตัวหนังสือแต่ห้วงนึกคิดคำนึงกลับล่องลอยไปไกล....ไกลจากวันเวลาในปัจจุบัน มันพาเธอย้อนไปหาอดีตเมื่อประมาณ 11 ปีก่อน วันแรกที่เธอได้พบกับเขา คู่ชีวิตที่ร่วมล่องลำนาวากันมากว่า 6 ปีแล้ว.....
ปริมสาวน้อยวัย 19 ปีในชุดนิสิตปีหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นตึกเรียนสูง 7 ชั้นของคณะ ตึกนี้มีลิฟต์สำหรับนิสิตเพียง 2 ตัวเท่านั้น และทุกครั้งก็จะมีผู้คนมากมายมารอใช้บริการ ทั้งเหล่านิสิตในและนอกคณะ บรรดาคณาจารย์และบุคลากรทั้งหลาย หรือแม้แต่บุคคลภายนอกที่มาติดต่อธุระกับคณะอักษรศาสตร์แห่งนี้ ต่างก็ต้องรอเข้าคิวเพื่อขึ้นลิฟต์ ซึ่งแต่ละครั้งก็ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 5 นาที วันนี้หญิงสาวมีสอบปลายภาควิชาสุดท้าย ‘ตรรกวิทยา’ ในคาบแรกก่อนที่จะปิดภาคเรียนที่ 1 ในสัปดาห์หน้า แต่เพราะฝนที่ตกตลอดทั้งคืนจึงทำให้ถนนหลายสายมีน้ำท่วมขังและส่งผลให้เธอมาถึงที่หมายสายกว่าปกติ ขนาดเดินทางด้วยรถไฟฟ้ามหานครแล้วก็ตาม เธอจึงไม่สามารถที่จะยืนรอลิฟต์ร่วมกับคนอื่น ๆ ได้ หญิงสาวน้องใหม่ของภาควิชาภาษาตะวันตกจึงตัดสินใจวิ่งขึ้นบันไดเพื่อตรงไปยังห้องสอบบนชั้น 4 ด้วยตัวเอง
“ปริม ๆ ทางนี้” เสียงใส ๆ ของภัทราเพื่อนสนิทเรียกให้เธอตรงไปยังที่นั่งข้าง ๆ ที่จองเอาไว้ให้เพื่อนสาว ห้องเรียนหรือโถงเรียนแห่งนี้ที่มีการจัดที่นั่งแบบโรงละคร สามารถจุนิสิตได้ถึง 120 คน ภัทรา พัฒนภิรมย์ หรือปั๊ปนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางห้องเรียนเลยก็ว่าได้ ที่เด่นเป็นสง่าก็เพราะผ้าคาดผมสีส้มบาดตาบนศีรษะของแม่คุณ ‘คุณหนูไฮโซของตระกูล พัฒนภิรมย์’ ที่สามารถเรียกความสนใจจากทุกสายตาที่เดินเข้ามาในโถงนี้ได้เป็นอย่างดี
“ปริมแกโชคดีมากเลยนะ เพราะอาจารย์อัปสรก็เพิ่งมาถึงเมื่อกี้นี้เอง เห็นบ่นว่าปากซอยบ้านแกน้ำท่วมน่ะ”
“จริงเหรอปั๊ป โห! ฉันอุตส่าห์รีบแทบตายเลยนะ นี่รีบวิ่งขึ้นบันไดมาเลยนะ โชคดีที่วันนี้ใส่รองเท้าส้นเตี้ย ไม่งั้นคงได้สะดุดล้ม อวด กอ กอ นอ ให้คนแถวนี้ได้เป็นตากุ้งยิงกันบ้างแน่ ๆ” ปริมพูดไปหอบไป แต่ก็ยังแทรกอารมณ์ขันเพราะดีใจที่เข้ามาทันสอบแล้วนั่นเอง
“ฮิๆๆ แล้ววันนี้แกใส่สีอะไรมาล่ะ ของฉันสีส้มล่ะ”
“ไอ้บ้าปั๊ป! ทะลึ่ง! ใครจะไปอยากรู้ยะ” พริมาแหวใส่
“ก็ฉันอยากให้เข้าชุดกะผ้าคาดผมนี่นา เมื่อเช้าพี่ชายฉันยังชมว่าสวยเลยนะแก” ภัทราผู้ซึ่งรักในการแต่งตัวเป็นชีวิตจิตใจและเฝ้าตามเทรนด์แฟชั่นอยู่ตลอดเวลา ด้วยกำลังทรัพย์ที่มีมากมายหญิงสาวจึงสามารถสรรหาเครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ รวมทั้งกระเป๋าและรองเท้าจากทั้งแบรนด์ดังและไร้แบรนด์มาแต่งตัวได้อย่างเฉิดฉาย ชุดนิสิตของเธอจะต้องมีอะไรมาเรียกสายตาของผู้พบเห็นอยู่แทบทุกวัน อย่างเช่นผ้าคาดผมสีแสบตาในวันนี้
“ปั๊ป พี่แกชม กอ กอ นอ แกน่ะเหรอ ฮิๆๆ” พริมาแหย่เพื่อนสาวที่เพิ่งมารู้จักและสนิทสนมกันอย่างรวดเร็วเมื่อตอนช่วงรับน้องที่ผ่านมาไม่นานนี่เอง
“บ้า! ที่คาดผมสิยะ หรือแกให้พี่ชายแกดู กอ กอ นอ แกฮะนังปริม ฮ่า ๆๆ” ภัทราตอกกลับพร้อมทั้งหันหน้ามาทำท่าเชิดใส่เพื่อนสาวอย่างสะใจเพราะถือว่าตนเองสามารถโต้ตอบได้เจ็บแสบกว่า ถึงหญิงสาวทั้งสองจะมักหยอกล้อด้วยการโต้คารมกันแบบ ‘แรง ๆ’ อยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่เคยผูกใจเจ็บกันเลย ตรงกันข้ามสองสาวต่างสนิทสนมกันมากทั้ง ๆ ที่เพิ่งมารู้จักกันได้ไม่นาน เพียง 5 เดือนกว่า ๆ เท่านั้นเอง แต่ก็กลายเป็นเพื่อนซี้คู่ปาท่องโก๋อีกคู่หนึ่งของคณะอักษรศาสตร์ให้ใคร ๆ ได้พูดถึงอยู่บ่อย ๆ เพราะความร่ำรวยมั่งคั่งของ ‘สาวปั๊ป’ เจ้าแม่แฟชั่นตัวจริงเสียงจริงที่ถึงแม้จะใช้ชีวิตฟู่ฟ่าเกินฐานะนิสิตปีหนึ่ง แต่หญิงสาวก็มีนิสัยน่ารัก เพียงแค่ชอบกัดใคร ๆ ให้ได้เจ็บ ๆ คัน ๆ เท่านั้น ไม่ได้มีจิตใจคิดร้ายกะใคร ปั๊ปเป็นกันเองกับเพื่อน ๆ ทุกคน เธอไม่เคยถือตัวว่าเป็นลูกสาวมหาเศรษฐี ส่วนอีกคน ‘สาวปริม’ ที่มีความสวยหวานแบบใส ๆ กิริยามารยาทที่ดูเหมือนผ้าพับไว้สมกับเป็นลูกสาวผู้ว่าฯ แต่ถ้าได้ลองพูดคุยแล้วล่ะก็จะรู้ว่าไม่ใช่สาวหวานเสียทีเดียว เพราะเธอก็มีมุกให้ผู้ฟังได้อมยิ้มและสะอึกอยู่เหมือนกัน ประมาณว่า ‘หวานอมเปรี้ยว’ อย่างไรอย่างนั้น คู่หูคู่นี้ช่างสมน้ำสมเนื้อกันมาก เลยได้ฉายาจากเพื่อนร่วมชั้นปีไปว่า ‘คู่ซี้ตัว ป’
หากเปรียบเทียบรูปร่างหน้าตาของ ‘คู่ซี้ตัว ป’ กันแล้ว ภัทรา พัฒนภิรมย์ นั้นมีสีผิวที่ขาวกว่า พริมา กีรติอนันต์ เรียกว่าขาวจัดก็ย่อมได้ เพราะมีบรรพบุรุษฝ่ายมารดาเป็นชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ในขณะที่พริมาเพื่อนสนิทเป็นคนเชื้อสายไทยเต็มตัว แต่พริมาโชคดีที่มีผิวพรรณขาวใสแบบอมชมพู ผิวเธอไม่คล้ำเหมือนคนไทยแท้ ๆ ทั่วไป ภัทราได้ชื่อว่าเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาชวนมองและมีบุคลิคภาพที่ดีเยี่ยม ซึ่งอาจเป็นเพราะหญิงสาวเป็นคนแต่งตัวได้เก๋ไก๋ เข้าสังคมเก่ง และความมีสตางค์ก็ทำให้เธอเป็นคนมี ‘คลาส’ ได้ไม่ยาก แต่หากเปรียบเทียบกับพริมาแล้ว พริมาจะได้เปรียบที่มีใบหน้าวงรี สวยหวาน พวงแก้มสีชมพูระเรื่อ ดวงตาคมโตสีดำสนิทล้อมกรอบด้วยแพขนตางอนหนาซึ่งช่วยเสริมให้ดวงตาคู่นั้นน่ามองและน่าค้นหามากยิ่งขึ้น สันจมูกเล็กโด่งได้รูป ริมฝีปากแดงอิ่มมักมีเพียงลิปกรอสสีมชมพูอ่อน ๆ ปิดพรางสีที่แท้จริงไว้ พริมามักมัดผมยาวสลวยถึงกลางหลังเป็นหางม้าด้วยผ้าคาดผมสีหวาน แต่ภัทรากลับดัดผมเป็นลอนใหญ่ ๆ แล้วปล่อยสยายเต็มแผ่นหลัง สองสาว ‘คู่ซี้ตัว ป’ จึงดูแตกต่างกันมาก คนหนึ่งค่อนข้างเฉี่ยว ทันสมัย อีกคนดูหวานน่าทนุถนอม เฟรซชี่ทั้งสองจึงเป็นที่ ‘ต้องตาต้องใจ’ ของหนุ่ม ๆ ทั้งในและนอกคณะ ที่พยายามเวียนวนมาขายขนมจีบอยู่บ่อย ๆ แต่ทั้งสองสาวก็ยังไม่ได้รับใครไว้พิจารณาเป็นตัวเป็นตน เพราะยังสนุกกับกิจกรรมมากมายในชีวิตรั้วมหา’ลัย อีกทั้งต้องปรับตัวกับการเรียนที่แตกต่างจากสมัยมัธยมปลาย จึงยังไม่มีเวลาให้กับความรัก......‘ปี 2 ค่อยว่ากันนะคะ’ ประโยคเด็ดที่ภัทรามักใช้บอกหนุ่ม ๆ ทั้งหลายทั้งที่เข้ามาจีบตัวเธอเองและพริมาเพื่อนสนิท

************************

พริมาที่สอบเสร็จก่อนออกมานั่งรอภัทราหน้าห้องสอบด้วยการอ่านนิยายฆ่าเวลา ‘แฮร์รี่ พ็อตเตอร์ เล่ม 7’ ภาคภาษาอังกฤษ พริมาชอบหนังสือเรื่องนี้มาก อ่านได้ตั้งหลายรอบไม่รู้เบื่อ เธอบอกว่ายิ่งอ่านมากยิ่งเข้าใจได้แจ่มแจ้งและสนุกมากขึ้น เธอบอกใครต่อใครที่ไม่เคยอ่านหนังสือแต่กลับเลือกเสพภาพยนตร์ที่ออกฉายครบทุกภาคแทนว่า ‘อรรถรสของหนังสือนั้นเหนือชั้นกว่าการดูหนังมากมาย เพราะผู้เขียนเขียนพรรณนาได้ดีมาก แถมไอเดียของวิเศษและความสามารถพิเศษต่าง ๆ ของเหล่าพ่อมดแม่มดนั้นสุดยอดจริง ๆ อยากให้มีโลกแบบนั้นจริง ๆ จังเลย’
“ออกมาแล้วเหรอ เป็นไงบ้างปั๊ป” พริมาวางหนังสือในมือลง แล้วถามเพื่อนสนิทที่มานั่งข้าง ๆ และเอียงศีรษะมาพิงเธออย่างหมดแรง
“ยากมากกกกกก” ภัทราตอบก่อนที่จะถามเพื่อนรักว่า
“แกทำได้หมดเหรอปริม” ภัทราหันมามองเพื่อนสนิทคนสวย
“ก็พอได้น่ะ พอดีเมื่อคืนให้พี่เปรมช่วยติวให้น่ะ”
“งั้นแกก็ทำได้ชัวร์ เล่นให้หมอติวให้แบบนี้ ฉันสิ ทำได้ไม่ถึงครึ่งเลย ที่เหลือเขียนมั่ว ๆ ไป รู้งี้อ่านสัก 3-4 รอบก็ดี” ภัทราพูดอย่างคนท้อแท้
“ว่าที่คุณหมอจ้ะ พี่ชายฉันยังเรียนไม่จบ เหลืออีก 2 ปีถึงจะได้เป็นคุณหมอจริง ๆจ้ะ” พริมากลาวถึงพี่ชาย เปรม กีรติอนันต์ นักศึกษาแพทย์ปี 4 ของมหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐด้วยความชื่นชม สองพี่น้องเข้ามาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ ตั้งแต่จบชั้น ม.ต้น เพราะพ่อและแม่ต้องการให้สอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยมีชื่อของรัฐบาลได้ การเรียนในเมืองหลวงย่อมได้เปรียบกว่าต่างจังหวัด นอกจากนั้นบิดาของทั้งสองคนก็รับราชการเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดที่ต้องโยกย้ายอยู่บ่อย ๆ เมื่อลูกทั้งสองต้องมาอยู่เมืองหลวง นายบุรินทร์ กีรติอนันต์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตในขณะนั้น และคุณนายเปรมิกาจึงลงทุนมาซื้อคอนโดขนาด 2 ห้องนอนให้ลูก ๆ ได้อาศัยในช่วงเรียนหนังสือหรืออาจยาวไปถึงช่วงทำงาน เพราะลูกชายคนโตที่เรียนแพทย์อยู่นั้นจะต้องทำงานใช้ทุนหลังเรียนจบอีกหลายปี
“แต่คะแนนเก็บแกก็ทำไว้ดีแล้วนี่ปั๊ป อย่าไปซีเรียสเลย ไหน ๆ ก็สอบเสร็จแล้ว เราไปฉลองกันดีกว่า” พริมาพยายามพูดให้กำลังใจเพื่อนรัก
“คนทำได้ก็ไม่ซีเรียสสิจ้ะ ถ้าฉันได้เกรดเฉลี่ย 3.5 ขึ้นไปน่ะ พ่อจะให้ไปเที่ยวอเมริกากับพี่โป๊ปตอนช่วงปีใหม่เลยนะ ไม่รู้วิชานี้จะมาดึงเกรดหรือเปล่า เฮ้อออออ” ภัทราอธิบายพลางเพิ่มสีสันบนใบหน้าไปพลาง
“ว่าแต่เราจะไปฉลองที่ไหนกันดีล่ะ” ภัทราที่เพิ่งทาลิปสติกเสร็จหันมาถามพริมา
“ไม่รู้สิ แกอยากกินอะไรล่ะ ฉันน่ะอะไรก็ได้” พริมาตอบเพราะหญิงสาวไม่ใช่คนเรื่องมากในเรื่องอาหารการกิน เธออยู่ง่ายกินง่ายมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
“งั้นอาหารเพื่อสุขภาพแล้วกัน แกก็ชอบ ฉันก็ชอบ โอเคป๊ะ” อาหารสุขภาพที่ว่านั้นภัทราหมายถึงส้มตำ อาหารประจำชาติไทยนั่นเอง ซึ่งทั้งสองมีร้านประจำอยู่แถว ‘สยามสแควร์’
“โอเค ส้มตำก็ส้มตำ ไม่มีปัญหา” พริมาตอบตกลงพร้อมลุกเดินนำไปยังลิฟต์โดยสาร
“ปั๊ปกะปริมจะไปกินส้มตำกันเหรอ ฉันกะอัณณ์ขอไปด้วยสิ” วรปรัชญ์ สิทธิกุล หนุ่มหน้าหล่อแต่หัวใจเป็นสาวเพื่อนร่วมชั้นปีที่เดินเคียงคู่มากับเพื่อนซี้ พิชญธิดา บวรภัค หรืออัณณ์เอ่ยถามหลังจากได้ยินประโยคสนทนาของ ‘คู่ซี้ตัว ป’
“อ้าวปรัชญ์ อัณณ์ ได้สิ ไปกันหลาย ๆ คน เวลากินสนุกดี ได้เม้าท์มอยชาวบ้าน ฮิๆๆ” ภัทราเอ่ยปากอนุญาตด้วยอารมณ์ขัน อันที่จริงทั้ง 4 คนก็รู้จักกันดีเนื่องจากเรียนวิชาเอกเดียวกัน ‘ภาษาฝรั่งเศส’ เคยทำงานกลุ่มกันมาหลายครั้งแล้ว แถมคุยกันถูกคอเพราะมีนิสัยคล้าย ๆ กัน สองคู่เพื่อนซี้ที่แต่ละคู่ต่างก็มีนิสัยแตกต่างกัน เคยมีเพื่อนร่วมคณะหลายคนบอกว่าน่าจะสลับคู่ ให้เปรี้ยวกะเปรี้ยวอย่างภัทราและวรปรัชญ์อยู่ด้วยกัน ส่วนพริมาก็ต้องอยู่กะพิชญธิดาเพราะเป็นสาวหวานด้วยกันทั้งคู่ แต่วรปรัชญ์ก็จะแย้งกลับไปว่า “ไม่เอาหรอก อยู่กะนังปั๊ปน่ะ ฉันจืดตายพอดี อยู่กะนังอัณณ์น่ะดีแล้ว ฉันได้ดูสวยเปรี้ยวกว่าเยอะ”

************************

ระหว่างที่ทั้ง 4 สาวแท้และเทียมกำลังนั่งรออาหารที่สั่งอยู่นั้น ต่างก็พูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ
“ปิดเทอมนี้ฉันจะไปเที่ยวบ้านปริมที่ภูเก็ตล่ะ ปรัญช์กะอัณณ์ไปด้วยกันไหม” ภัทราที่นั่งติดกับพริมาเอ่ยปากชวนแทนเจ้าของบ้านเพราะรู้นิสัยดีว่าพริมาเป็นคนใจคอกว้างขวาง
“ไปพักที่จวนผู้ว่าฯเลยเหรอปั๊ป” วรปรัชญ์ทำตาโตเพราะใฝ่ฝันมานานที่จะได้เข้าไปสัมผัสบ้านเรือนของพวกท่านข้าหลวงในสมัยก่อน ยิ่งจวนผู้ว่าฯของจังหวัดภูเก็ตที่สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมชิโน-โปรตุกีสด้วยแล้วยิ่งน่าสนใจเป็นพิเศษ
“จ้ะ ไปไหมล่ะปรัชญ์ อัณณ์ด้วย” พริมากล่าวชวนทั้งสองคนอีกครั้ง
“อยากไป ๆ แต่ติดที่ฉันกะอัณณ์วางแผนว่าจะไปเที่ยวปายแล้วนะสิ ไปปายช่วงนี้คนยังไม่เยอะสักเท่าไร แถมจองตั๋วจองโรงแรมกันไว้แล้วด้วย เสียดายจัง ไว้โอกาสหน้านะปริม ไม่พลาดแน่” วรปรัชญ์ผู้รักในการท่องเที่ยวตอบด้วยสายตาละห้อย
“นั่นสิ เสียดายจัง นาน ๆ คุณวรปรัชญ์จะได้มีโอกาสเข้าไปนอนในจวนผู้ว่าฯ กับเขาสักที แต่ที่อยากไปมากไม่ใช่ติดจงติดใจจวนผู้ว่าฯ หรอกนะ ติดใจลูกชายผู้ว่าฯ ต่างหาก ฮ่าๆๆๆ” พิชญธิดาแกล้งกระเซ้าเย้าแหย่เพื่อนรัก ซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะจากอีกสองสาวได้เป็นอย่างดี เพราะเคยได้ยินวรปรัชญ์พร่ำเพ้อเอามากหลังจากที่ได้เห็นพี่ชายของพริมาที่มารับมาส่งเธอช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ ๆ ขนาดถึงกับเอาไปฝันเพ้อเจ้อเป็นเรื่องเป็นราวว่าอยากเป็นแฟนคุณหมอรูปหล่อ
“ย่ะ แม่คนรู้ทัน” วรปรัชญ์โต้กลับอย่างไม่ลดละ
ทันใดนั้นภัทราที่นั่งหันหน้าไปทางประตูก็เห็นลูกค้าที่เดินเข้ามาใหม่สองคน ชายหนุ่มรูปงามที่เดินจูงมือเข้ามากับหญิงสาว ทั้งสองอยู่ในชุดนิสิตสถาบันเดียวกันกับเธอ แต่ฝ่ายหญิงนุ่งกระโปรงสั้นกว่าพวกปีหนึ่งอย่างเธอมาก…..ยิ่งอยู่ชั้นโต ยิ่งนุ่งสั้นลง
“พี่โป๊ป ๆ” ภัทราร้องเรียกผู้ที่เข้ามาใหม่พร้อมทั้งโบกไม้โบกมือให้กับอีกฝ่ายด้วยความยินดี
“อ้าวปั๊ป” ภัทร์ พัฒนภิรมย์ หรือพี่โป๊ปของหนูปั๊ปย่างตรงมาที่โต๊ะของน้องสาว โดยให้แฟนสาวที่มาด้วยกันเดินไปนั่งรอที่โต๊ะว่างก่อน
“แฟนใหม่เหรอพี่โป๊ป ไม่เคยเห็นหน้า” ภัทราถามอย่างไม่เกรงใจ ก่อนที่จะบอกเพื่อน ๆ ว่า
“พี่ชายฉันเอง พี่โป๊ป ปี 3 เศรษฐศาสตร์ หล่อแต่ไม่โสด ฮ่าๆๆ” ถึงภัทราไม่บอกสรรพคุณของพี่ชายสุดหล่อแก่เพื่อน ๆ แต่ทุกคนในโต๊ะโดยเฉพาะวรปรัชญ์ก็เห็นพ้องต้องตามอย่างไม่กังขา ‘หล่อมากเสียด้วย’ ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่มีใบหน้าคมเข้มด้วยนัยน์ตาโตสีดำสนิทและคิ้วที่ดกดำทำให้รูปหน้านั้นดูโดดเด่นตัดกับสีผิวที่ขาว สันจมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากหยักลึก และทรงผมตั้งที่แต่งเข้ารูปซึ่งมีความยาวละเพียงต้นคอ
“ยุ่งน่า” ผู้เป็นพี่ตอบ ก่อนที่จะหันไปรับไหว้จากเพื่อน ๆ ของน้องสาว
“หวัดดีครับ พี่ชื่อโป๊ปนะครับ” ภัทร์ทักทายทุก ๆ คน ก่อนที่จะมาหยุดนิ่งที่ดวงหน้าหวานซึ่งผู้เป็นเจ้าของกำลังส่งยิ้มทักทายมาให้แก่ชายหนุ่ม เขารู้สึกสะดุดตาสะดุดใจเป็นพิเศษกับเพื่อนน้องสาวคนที่นั่งติดกัน ‘สวย ใส น่ารัก ดูน่าทนุถนอม’ ชายหนุ่มรู้สึกพึงพอใจความสวยน่ารักของน้องใหม่ร่วมมหาวิทยาลัยคนนี้ราวกับเด็กชายตัวน้อยที่ถูกใจของเล่น หรือไม่ก็จากสัญชาติญาณนักล่าที่มีอยู่ในตัวเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติ
“พี่โป๊ป นี่ปรัชญ์ อัณณ์ และก็ปริมเพื่อนปั๊ปค่ะ เรียนคณะเดียวเอกเดียวกับปั๊ปหมดเลย” ภัทราแนะนำเพื่อน ๆ ให้พี่ชายรู้จัก นิสิตปีหนึ่งทั้งสามไหว้ทักทายพี่ชายเพื่อนอย่างนอบน้อม
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คนนี้เองเหรอปริม พี่ได้ยินชื่อปริมจากปั๊ปอยู่บ่อย ๆ เพิ่งได้เจอตัวเป็น ๆ วันนี้เอง” หนุ่มเจ้าชู้คาสโนว่าอย่างภัทร์เริ่มออกลวดลาย
“ปั๊ปเขานินทาว่าอะไรปริมให้พี่ฟังบ้างละคะ” พริมาถามพร้อมเอียงคอและส่งยิ้มให้พี่ชายเพื่อน
“นี่ ๆ พอเลย ไม่ต้องเลยพี่โป๊ป มุกเก่า ๆ” ภัทรารีบดักคอผู้เป็นพี่ชาย เพราะรู้ทันว่าผู้เป็นพี่นั้นคงตกหลุมเสน่ห์แม่เพื่อนสาวหน้าหวานเข้าให้แล้ว แต่เธอต้องกันเอาไว้ก่อน เพราะรู้ดีว่าดีกรีความเจ้าชู้ของพี่ชายตนเองนั้น ระดับ ‘คาสโนว่าตัวพ่อ’ เธอไม่อยากเห็นเพื่อนสาวต้องมาเสียใจภายหลังกับความเจ้าชู้ของภัทร์ ภัทราจึงต้องรีบตัดไฟเสียแต่ต้นลม
“โน่น! แฟนพี่หันมามองพร้อมส่งรังสีอำมหิตมาให้แล้ว กลับไปที่โต๊ะได้แล้ว ไป๊! ที่เรียกมานี่อะนะจะให้เลี้ยงสักหน่อย กับน้องกับนุ่งไม่ค่อยพามาเลี้ยงข้าว ทีกับสาว ๆ ทุ่มเต็มที่ไม่มีเบรคเลยนะ”
“งั้นพี่ขอตัวก่อนนะครับ เดี๋ยว ‘เพื่อน’ เขาจะรอ” ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนสถานะให้คู่ควงที่เพิ่งเดินจูงมือเข้าร้านมา ก่อนจะกล่าวลาทุกคนด้วยรอยยิ้มกระชากใจที่ทำเอาสาวแท้สาวเทียมถึงกับตาปรอย
“ไปก่อนนะครับ แล้วคงได้พบกันอีก” ภัทร์หันไปสบตากับพริมาราวกับพูดประโยคนั้นกับเธอเพียงลำพัง ชายหนุ่มส่งสายตาแพรวพราวพร้อมสื่อความนัย ภัทราที่ลอบสังเกตอาการของพี่ชายอยู่นั้นได้แต่มองอย่างเคืองใจ แต่หญิงสาวก็เลือกที่จะเงียบมากกว่าจะกล่าวอะไรออกไปเพราะกลัวว่าจะเป็นการชี้โพรงให้กระรอกเจ้าชู้ยักษ์ตัวนั้น
“ปั๊ป ตกลงมื้อนี้ให้เก็บตังค์ที่โต๊ะพี่นะ” ภัทร์หันไปบอกน้องสาว ก่อนที่จะโบกมือบ้ายบายให้ทุกคน
“ขอบคุณนะฮะพี่โป๊ป” วรปรัชญ์รีบชิงกล่าวขอบคุณก่อนใคร พิชญธิดาและพริมาจึงต้องหันมาขอบคุณชายหนุ่มอีกครั้ง
“ขอบคุณมากค่ะ”
“ยินดีครับ” ชายหนุ่มกล่าวก่อนหมุนตัวเดินกลับไปยังโต๊ะของแฟนสาวที่กำลังสั่งอาหารอยู่
“แหม! ตาปรอยเชียวนะยะคุณวรปรัชญ์” พิชญธิดาแกล้งแซวเพื่อนซี้
“ก็แกดูสิ หล่อ ล่ำ ซะขนาดนั้น น่าเอาหน้าซบลงไปกับอกเป็นมัด ๆ หืมมมม...หมั่นเขี้ยว นังปั๊ปมีเพื่อนชายหล่อขนาดนี้ไม่เคยบอกเพื่อนบอกฝูงเลยนะยะ”
“นี่! ฉันขอเตือนไว้ก่อนเลยนะว่าอย่าไปหลงรูปและคารมพี่ชายฉันเข้านะยะ นั่นน่ะ คาสโนว่าตัวพ่อเลยนะ เปลี่ยนแฟนเป็นว่าเล่น อันที่จริงจะเรียกว่าแฟนก็ไม่ถูก เรียกว่าแค่คู่นอนก็พอ” ภัทราชี้แจงแถลงไขแก่ทุกคนอย่างละเอียดไม่มีหมกเม็ด แต่คนที่ต้องการสื่อความหมายเป็นพิเศษก็คือคนที่นั่งข้าง ๆ มากกว่าใคร แต่เจ้าตัวกลับไม่ทุกข์ร้อนอันใดเพราะหญิงสาวไม่ได้ตกหลุมบ่วงเสน่ห์ของนายพรานหนุ่มแต่อย่างใด
“ไม่กลัวหรอก คาสโนว่าก็คาสโนว่าเถอะ หล่อลากดินแบบนี้ วรปรัชญ์ไม่ยอมแพ้อยู่แล้ว ได้ซบอกอุ่น ๆ สักครั้ง ชาตินี้เกิดมาคุ้มแล้ว” คนที่ตกหลุมเสน่ห์รีบประกาศเจตนารมณ์
“แต่พี่ชายฉันเขาไม่ชอบลองของแปลกหรอกย่ะ” ภัทราล้อเพื่อนชายใจสาว
“โอ๊ย! นังปั๊ป ของแบบนี้น่ะ ไม่ลองไม่รู้หรอก ฉันเห็นมาเยอะแล้ว ไอ้ที่บอกว่าไม่ชอบกะเทยอย่างพวกฉันน่ะ พอเจอ ‘ลีลาลิ้นสวาท’ เข้าหน่อย ขี้คร้านจะลืมชะนีอย่างพวกหล่อนไปเลย” วรปรัชญ์ตอกกลับมาเป็นชุด เหล่า ‘ชะนี’ ทั้งสามจึงได้แต่ทำหน้าเบ้และเบะปากใส่กับความจริงที่วรปรัชญ์พูดออกมา
“เดี๋ยวจะโทรไปเล่าพวก ‘นางฟ้า’ ให้อิจฉาซะหน่อยว่าฉันนะได้เจอกับ ‘เดือน’ คณะเศรษฐศาสตร์มาแล้ว แถมเขายังเลี้ยงข้าวฉันอีกด้วย ฮิๆๆๆ คนอะไรหล่อได้หล่อดี” วรปรัชญ์พูดอย่างอารมร์ดีและ ‘นางฟ้า’ ที่วรปรัชญ์หมายถึงก็ คือ พรรคพวกเดียวกันกับเขาที่คณะที่รวมกลุ่มในชั้นปีเดียวกันได้เกือบ12 คน
“ที่พี่เขาเลี้ยงเพราะน้องสาวเขาหรอกนะ” พิชญธิดาขัดคอ
“จะเลี้ยงเพราะใครก็ช่าง ยังไงก็ถือว่าเลี้ยงฉันด้วยคนหนึ่งละน่ะนังอัณณ์” วรปรัชญ์สวนกลับก่อนที่จะพูดต่อว่า
“แหม! เสียดายจริงเมื่อกี้ลืมขอถ่ายรูปกับว่าที่นายธนาคาร พัฒนทรัพย์ จะได้เอาไว้ประกอบเอกสารเวลาไปขอกู้เงินผ่อนบ้าน มีรูปเจ้าของแบบนี้ จะได้ผ่านฉลุย ดอกเบี้ยศูนย์เปอร์เซ็นต์ 10 ปีไปเลย ๆ ฮ่าๆๆๆ” วรปรัชญ์
“แกก็เดินไปขอถ่ายที่โต๊ะสิปรัชญ์ อยากจะดูว่าพี่โป๊ปจะทำหน้ายังไง” น้องสาวตัวแสบเริ่มหาเรื่องให้พี่ชาย
“ไปให้ชะนีคนนั้นมาด่าฉันเอาเหรอ นี่! นังปั๊ป ถึงฉันจะสวยเกินหน้าเกินตาพวกแก แต่ก็ไม่ได้โง่นะยะ ฉันนะทั้งสวยทั้งฉลาด” วรปรัชญ์ย้อนกลับ
“ย่ะ แม่คนงามมมมมมมม แม่สมองมีรอยหยักเป็นล้าน” ภัทราพูดติดตลกซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะจากอีกสองสาวได้เป็นอย่างดี
“นี่! แต่ฉันพูดจริง ๆ นะเรื่องความเจ้าชู้ของพี่ฉันน่ะ เห็นหล่อ ๆ อย่างนี้เถอะ เวลาบอกเลิกแฟนเก่านะ น้ำตาสาว ๆ ทำอะไรพี่โป๊ปไม่ได้เลยนะ ถ้าลองเจอใหม่ที่ถูกใจแล้วล่ะก็ ร้องไห้ให้ตายก็ไม่ใจอ่อนหรอก ฉันขอเตือนพวกแกไว้ก่อน โดยเฉพาะแก ปริม อัณณ์ด้วย แบบพวกแกนี่แหละ สเป็คพี่ฉันเลยล่ะ ถ้าไม่เชื่อก็ตามใจ เวลาน้ำตาเช็ดหัวเข่า อย่ามาว่าฉันก็แล้วกัน” ภัทราเตือนเพื่อนสาวอย่างเป็นห่วง
“ฉันไม่ชอบคนเจ้าชู้หรอก เกลียดมาก แฟนฉันไม่ต้องหล่อขนาดนี้พี่แกหรอก เพราะยิ่งหล่อสาว ๆ ยิ่งเยอะ และเราก็จะยิ่งปวดหัว” พิชญธิดาอธิบายให้เพื่อน ๆ ฟัง แต่ตัวเธอคงไม่รู้ว่าในอนาคตจะได้พบกับเนื้อคู่ที่หน้าตาหล่อเหลาไม่แพ้กับภัทร์เลย
“ปั๊ป แกคิดมากไปหรือเปล่า พี่เขานั่งเอาอกเอาใจแฟนซะขนาดนั้น แถมแฟนก็ทั้งสวยทั้งเซ็กซี่ พี่แกคงไม่มีเวลามาชายตาดูพวกฉันหรอก” พริมาที่นั่งเงียบเป็นผู้ฟังที่ดีมาตลอดพูดขึ้นบ้าง
“เออ! ไม่เชื่อก็ตามใจ เขาไม่ดูไม่คิดอะไรก็ดีแล้ว แต่ถ้าเขาคิดขึ้นมา แกก็อย่าไปตบมือร่วมด้วยช่วยกันล่ะ ฉันขอเตือนไว้ก่อนเลยนะ ยิ่งเมื่อกี้เห็นสายตาที่พี่โป๊ปมองแกแล้ว ฉันล่ะอดเป็นห่วงอนาคตลูกสาวผู้ว่าฯอย่างแกไม่ได้ ยิ่งซื่อ ๆ อย่างแก ไม่มีทางตามทันคนอย่างพี่ชายฉันหรอก นั่นน่ะเสือ สิงห์ กระทิง แรด เรียกพี่เลยนะแก” ภัทราเตือนเพื่อนสนิทด้วยความหวังดีอีกครั้ง
“โอเค ฉันจะจำเอาไว้จ้า” พริมาตอบพลางส่ายหัว เพราะไม่คิดว่าจะมีอะไรในกอไผ่ระหว่างเธอกับพี่ชายของเพื่อน
“อ้าวนังปั๊ป! แล้วแกไม่ห่วงฉันเหรอ ไม่เห็นตงเห็นเตือนอะไรฉันบ้างเลย เตือนแต่พวกนังชะนีหน้าจืด” วรปรัชญ์ทะลุกลางปล้องขึ้นมา
“โอ้ย! อย่างแกไม่ต้องเตือนหรอก ฉันต้องไปเตือนพี่ชายฉันโน่นว่าให้ระวังแกจะ ‘แทง’ ข้างหลัง ฮ่าๆๆ” ภัทราพูดพลางหัวเราะลั่นพลาง
“พูดได้ถูกใจฉันมากเลยปั๊ป ฮ่าๆๆ” พิชญธิดาผสมโรงด้วย
“ขอให้ได้ ‘แทง’ เถอะ แล้ววันนั้นแกก็ต้องกลายเป็นน้องสาวของสามีฉัน ฉันก็จะกลายเป็นพี่สะใภ้แก ฮ่าๆๆๆ” วรปรัชญ์พูดไปลอยหน้าลอยตาใส่ภัทราอย่างไม่ยอมลดละ
เพราะเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยของทั้ง 4 คนที่ดังมาตลอดไม่ขาดสาย ทำให้ภัทร์ต้องหันไปมองอยู่บ่อยครั้ง และด้วยเสียงหัวเราะอันชอบใจของวรปรัชญ์ที่ดังเป็นพิเศษในครั้งนี้ จึงทำให้ชายหนุ่มต้องหันไปอีกครั้ง และครั้งนี้ภัทร์ก็ได้สบตากับพริมาอย่างบังเอิญ ชายหนุ่มจ้องมองตาฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่กะพริบ จนหญิงสาวที่ถูกมองอย่างไร้มารยาทต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาเอง อาจเพราะเชื่อในคำเตือนของเพื่อนสาว หรือไม่ก็เพราะสายตาขุ่นเคืองที่มองตามมาของคนร่วมโต๊ะกับชายหนุ่มก็เป็นได้

************************




อาทิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 มิ.ย. 2555, 00:08:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 มิ.ย. 2555, 00:08:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 1273





อาทิตา 1 มิ.ย. 2555, 00:26:36 น.
ขอให้ชื่อเรื่องว่า มนตรากระดังงา ไปพลาง ๆ ก่อนนะคะ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นต์ค่ะ


พนาศิลป์ 2 มิ.ย. 2555, 09:30:45 น.
ดราม่าป่าวคะเรื่องนี้
ตามมาอ่านค่ะ มีอัณณ์ตอนเฟรชชี่ด้วย^^


อาทิตา 2 มิ.ย. 2555, 15:11:32 น.
ยิ่งกว่าดราม่าค่ะ เพราะมีเค้ามาจากเรื่องจริง (ของคนรอบ ๆ ตัว) กร๊ากกกก
อืมมม สงสัยจะถนัดแต่แนวนี้อะค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account