เมียใหม่(สำนักพิมพ์ sugar beat)
ใครที่ชอบตบแล้วจูบ จูบแล้วตบ พบกับเมียคนนี้ได้ ทั้งแรง ทั้งเหวี่ยง...เพื่อทวงความเป็นเมีย!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 8

ตอนที่ 8

“เดี๋ยวขอเวลาดิฉันหยิบเอกสารการค้างชำระของป้ามลก่อนนะคะ คุณใหม่รอดิฉันสักครู่เดียว” หล่อนเดินไปที่โต๊ะทำงาน ซึ่งตั้งเยื้องไปทางขวาหน้าห้องเจ้านาย เปิดแฟ้มเล่มหนาตรงหน้า หยิบแผ่นบนซึ่งแปะเอาไว้เป็นพิเศษ

“ฉันขอดูหน่อยสิ”

มิรันตีรีบคว้ามาจากมือของอีกฝ่าย ในกระดาษแผ่นสีขาวมีเส้นหมึกระบุที่ตั้งของบ้านเช่าหลังหนึ่ง กากบาทเป็นสัญลักษณ์พร้อมเขียนชื่อผู้เช่ากำกับ และตอนล่างของแผ่นก็มีหมายเลขแผงร้านค้าไว้ขายของในตัวตลาดสด รวมถึงตัวเลขซึ่งเรียงกันหลายสิบแถว มองผิวเผินรู้สึกงงเล็กน้อย

นุชนารถเห็นท่าทางไม่เข้าใจ จึงแจงให้ฟัง “อย่างนี้ค่ะคุณใหม่ ตัวเลขพวกนี้แต่ละแถวเป็นรายการค้างจ่าย ซึ่งดิฉันจดไว้คร่าวๆ แต่ที่ขีดฆ่าไปบ้างแล้ว ก็เพราะได้รับการชำระมาเมื่อวานนี้ ส่วนที่ค้างอยู่ก็คือตัวเลขรวมกันอย่างที่เห็น”

“ที่ค้างนี่คือค่าเช่าบ้านหรือคะ”

“ใช่ค่ะ...ค้างทั้งหมดสามเดือน ตัวเลขนั้นยังไม่รวมค่าน้ำกับค่าไฟด้วยนะคะ ยังมีจดไว้ต่างหาก จริงๆแล้วคุณทีปต์ก็บอกดิฉันให้อะลุ้มอล่วยต่อกัน เพราะเห็นว่าเช่ามาตั้งสองปีแล้ว จ่ายช้าบ้าง ค้างบ้าง ก็ค่อยคุยกัน แต่ดิฉันเห็นว่าถ้าเราผ่อนผันอยู่เจ้าเดียว เกรงว่ารายอื่นจะเอาแบบอย่างบ้างสิคะ จะมีปัญหาภายหลัง”

ผู้ฟังหน้านิ่วลง ด้วยรู้แก่ใจว่าเหตุใดผู้เช่ารายนี้ถึงยังค้างค่าเช่า แต่ก็อดถามไม่ได้ “แล้วพอจะรู้ไหมคะ ว่าป้าคนนี้ เขามีปัญหาในการจ่ายเงินช้าเพราะอะไร”

“จะอะไรซะอีกละคะคุณใหม่ ถามจากแม่ค้าด้วยกัน เห็นว่าป้ามลแกชอบเล่นไพ่ อาทิตย์นึง บางครั้งก็เข้าไม่ต่ำกว่าสองสามครั้ง แล้วการพนันเท่าที่ดิฉันเห็น มักจะเสียมากกว่าได้...ลองเสียแล้ว ก็อยากได้คืน แต่พอถึงคราวได้ ก็ติดลม ไม่อยากจะเลิกซะอย่างนั้น”

คนพูดถอนหายใจยืดยาว แต่ก็ยังเล่าต่อ คราวนี้ลดเสียงลงคล้ายกระซิบ “จริงๆแล้วดิฉันคิดว่าป้ามลแกไม่น่าจะค้างค่าเช่าด้วยซ้ำไปนะคะ ได้ยินแถวตลาดเขาพูดกันให้แซ่ด ว่าหลานสาวของแกน่ะค่ะ เป็นหนูตกถังข้าวสาร แต่ดิฉันก็ไม่ทราบนะคะว่าหลานแกคือคนไหน ข่าวจริงหรือเท็จก็ไม่รู้”

มิรันตียิ้มเฝื่อนให้เลขาฯของทีปต์ พลางแก้เก้อ

“ข่าวก็คือข่าว...บางทีก็ชอบเขียนกันมั่ว จนคนอื่นเสียหาย”

นุชนารถได้แต่ยิ้มเจื่อนลง เมื่อเห็นเจ้านายสาวแสดงความไม่พอใจประกอบคำพูด หล่อนคว้ากระเป๋าใบจิ๋วใต้โต๊ะทำงาน แล้วตัดบท “เราไปกันเถอะค่ะ จะได้ไม่เสียเวลา เดี๋ยวดิฉันจะได้พาคุณใหม่ไปแนะนำกับพนักงานที่นี่ด้วย”

แต่ไม่ทันไร มีลุงแก่ๆคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นมาจากบันไดชั้นล่าง มาถึงก็ตรงรี่มายังโต๊ะทำงานของเลขาฯสาว แล้วก็รีบพูดเป็นชุด อย่างกับใครเอามืออุดปากของลุงผู้นั้นไว้ จนพนักงานสองคนที่วิ่งตามมายังคว้าตัวไว้ไม่ทัน

“อีหนูเอ๊ย...ไหนวันก่อนพนักงานที่นี่บอกกับลุงว่า เดือนนี้น่าจะมีแผงขายของในตลาดว่างให้เช่า แล้วพอลุงมาถาม ทำไมถึงมาพูดว่ามันเต็มซะแล้วล่ะ ในเมื่อตอนนั้นยังบอกให้ลุงเตรียมเงินมามัดจำค่าเช่าแผงไว้ล่วงหน้าไง”

นุชนารถได้แต่อึกอัก เพราะสิ่งที่ลุงผู้นั้นพูด ไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่หล่อนเคยรับผิดชอบ “ใจเย็นๆก่อนค่ะลุง ดิฉันว่าต้องมีการเข้าใจผิดแน่นอนค่ะ เดี๋ยวจะลองตรวจสอบให้นะคะ”

“ไม่รู้ล่ะ ยังไงก็น่าจะรับผิดชอบคำพูดกันหน่อย...ลุงอุตส่าห์ไปกู้หนี้ยืมสินเขามาเพื่อจะวางมัดจำ แล้วก็เตรียมทุนทำมาหากินเรียบร้อยแล้ว”

“ค่ะคุณลุง เดี๋ยวหนูจะจัดการสอบถามดูก่อน ว่าใครเป็นคนรับเรื่องไว้”

“ถ้าไม่ได้เรื่อง ลุงจะไปป่าวประกาศให้ชาวบ้านชาวช่องเขารู้ให้หมด ว่าที่นี่แต่ก่อนเป็นยังไง...เดี๋ยวนี้พอมีคนมาเช่ามากขึ้นหน่อยเดียว แล้วเป็นยังไง” ลุงบ่นไปตามประสา

ทว่าเสียงดังโวยวายนั้น ทำให้ผู้เป็นนายได้ยิน จึงผลักบานประตูออกมา ยิ้มแย้มแจ่มใส แล้วยกมือสวัสดีชายสูงวัยกว่า “สวัสดีครับคุณลุง เดี๋ยวไปนั่งทานน้ำเย็นในห้องผมสักแก้วนะครับ แล้วเราค่อยคุยกันว่ามีปัญหาติดขัดตรงไหน”

ทีปต์ผายมือเชื้อเชิญแขก มิได้ดูแคลนว่าคนเหล่านั้นเป็นเพียงพ่อค้าแม่ขาย ซึ่งด้อยกว่าตนอย่างไร กลับต้อนรับด้วยรอยยิ้มกันเอง จนท่าทางของลุงขี้โวยวายนั้นถึงกับอ่อนลง

มิรันตีได้แต่แอบมองอยู่เงียบๆ ดูการตัดสินใจแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของผู้บริหารสูงสุด...ได้แต่นิยมชมชื่นอย่างไม่รู้ตัว

พอเขาเหลือบมาทางนี้ หล่อนจึงเอ่ยขอตัว “ถ้าอย่างนั้นคุณนุชอยู่จัดการธุระตรงนี้ให้เรียบร้อยดีกว่านะคะ เดี๋ยวฉันจะไปดูบ้านคุณป้าคนนี้ให้ มีแผนที่แล้ว คงไม่หลงทาง”

หล่อนชูแผ่นกระดาษในมือ แล้วหมุนตัวกลับไป โดยคิดแต่ว่า โล่งอกไปที ที่ไม่ต้องไปถึงบ้าน ‘ลูกค้าเจ้าปัญหา’ รายนั้นพร้อมกับนุชนารถ

ทีนี้หล่อนคงต้องไปถามกับป้ามลเสียหน่อย ว่าเหตุใด จึงไม่นำเงินที่หล่อนจ่ายค่าเช่าบ้านไว้ ไปชำระอย่างที่รับปาก

.......................................................

เดินออกจากอาคารสำนักงานซึ่งเป็นตึกสามชั้น มิรันตีเดินเลียบไปยังถนนแคบๆ ซึ่งเป็นทางลัดไปยังบ้านเช่าของป้ามลได้ใกล้ที่สุด แต่ก็เป็นทางที่เสี่ยงต่อสายตาคนเดินพลุกพล่านมากที่สุดเช่นกัน

มิรันตีคุ้นเคยกับตลาดสดแห่งนี้อยู่บ้าง ถึงแม้ว่าจะไม่เคยมาพักเป็นล่ำเป็นสันที่บ้านเช่าของผู้เป็นป้า อันเนื่องมาจากก่อนหน้า ตัวหล่อนแยกไปอยู่ต่างหาก อาศัยแบ่งค่าเช่าห้องกับเพื่อนร่วมงานคนละครึ่ง เพื่อให้เดินทางได้สะดวกเวลาทำงาน จะแวะมาหาบ้างก็เป็นครั้งคราว ยังโดนป้ามลต่อว่าอยู่บ่อยครั้ง

‘หัดไปๆมาๆหากันมั่ง ฉันมันแก่ปูนนี้แล้ว ปล่อยให้อยู่ตามลำพัง วันหลังหัวร้างข้างแตกไป จะมีใครทันพาไปส่งโรงพยาบาลไหมล่ะ’

ป้ามลมักบ่นด้วยภาษาอย่างเดียวกับที่ใครขนานว่า ‘ปากตลาด’ มิรันตีเองก็ซึมซับวิธีการสื่อสารเช่นนั้น จนพูดในแบบใกล้เคียงกัน

แต่ถึงจะต่อว่าเช่นนั้นอยู่เรื่อย มิรันตีก็ไม่ได้แวะมาถี่อย่างที่ป้ามลต้องการ โดยใช้พี่สาวเป็นข้ออ้าง ‘พี่หมอกก็อยู่ด้วยทั้งคน ดูแลป้าได้สบายอยู่แล้ว’

‘แกอย่านึกว่ารู้ไม่ทันนะ อยากจะออกไปอยู่เป็นอิสระล่ะสิไม่ว่า...ระวังเถอะ อยู่พ้นหูพ้นตา แล้วได้เที่ยวร่อนออกกลางค่ำกลางคืน สักวันจะป่องไม่มีพ่อ’

ป้ามลก็บ่นไปเรื่อยเปื่อย แต่ทว่าในเวลานี้ คำพูดนั้นกลับสะกิดใจมิรันตีทุกขณะที่ย่างก้าวทีเดียว...

แดดยามสายแม้ไม่แรงจัด แต่ก็อบอ้าวเอาการ หล่อนจึงเลือกเดินผ่านทางที่เชื่อมจากตัวตลาด เพื่อเข้าร่มเลี่ยงการเดินกลางแดด อีกทั้งย่นระยะทางได้ใกล้กว่า เสียแต่ว่ามีผู้คนที่มาจับจ่ายในตลาดมากพอควร

ระหว่างทางเดินผ่านอาคารตรงกลาง จะมองเห็นบรรดาพ่อค้าแม่ค้านั่งจับจองอยู่บนแผงปูน ซึ่งได้จัดสรรล็อกไว้ขนาดพอเหมาะ ไฟดวงส้มตามโครงเหล็กด้านบนส่องสว่างให้สินค้าหลายชนิด ทั้งผัก ผลไม้ รวมถึงของสดทั้งเนื้อหมู เนื้อไก่ แม้กระทั่งอาหารสดจากทะเลแลดูน่ารับประทาน

หล่อนเห็นหมายเลขล็อกแผงหนึ่งจากระยะแถวกลาง เป็นหมายเลขแผงของป้ามล ซึ่งตอนนี้ว่างเปล่า ไม่มีคนมาขาย และยังไม่ได้ปล่อยให้ใครมาเช่าช่วง...ผ่านบริเวณตลาดสด ก็จะเป็นอาคารพาณิชย์ตั้งเรียงกันเป็นตรอกซอกซอย แบ่งสันปันส่วนจวนจะกลายเป็นหมู่บ้านขนาดย่อม ผู้คนในยามสายเดินพลุกพล่าน มีสายตาหลายคู่มองมาเป็นระยะ หล่อนจึงเร่งฝีเท้า

ไม่อยากทักใคร และก็ไม่อยากให้ใครทัก เพราะขี้เกียจตอบคำถามด้วยประการทั้งปวง

พ้นช่วงมุมตึกในโครงการสุดท้าย จึงเลี้ยวไปยังบ้านเช่าซึ่งปลูกติดกันเป็นห้องแถว เรียงกันต่อช่วงราวสิบถึงสิบห้าห้อง ส่วนใหญ่เวลาสายเช่นนี้ ประตูแต่ละห้องจะปิด ชาวบ้านไม่ค่อยมาสุงสิงกันเท่ากับยามเย็นไปแล้ว

ห้องของป้าหล่อนอยู่หลังริมสุด ด้านข้างมีโต๊ะม้าหินอ่อนวางอยู่ใต้ต้นมะม่วง และเห็นมอเตอร์ไซค์จอดเรียงกันสองถึงสามคัน จึงเดาได้ทันทีว่าคงไม่พ้นพวกรถเด็กซิ่ง ที่วันๆไม่ทำงานทำการอะไร คอยแต่จับกลุ่มตั้งวงกินเหล้าไม่ก็เอาไว้เป็นที่หลีหญิง

มิรันตีเดินมาเกือบถึงหน้าห้องเช่าของผู้เป็นป้า เสียงวี้ดวิ้วลอยมาตามลม พร้อมกับคำแซว “ว่าไงจ๊ะคนสวย...ไม่ค่อยเห็นหน้าเห็นตาเลย ไปอยู่ที่ไหนมาจ๊ะ”

หล่อนไม่อยากตอบโต้ เพราะรู้แก่ใจว่าคนพวกนี้ ถ้ายิ่งต่อคำให้มากความ พวกนั้นยิ่งคุยกันสนุกปาก จึงทำเพียงแค่เงียบ แต่กระนั้นเสียงใครในกลุ่มก็พูดจี้ใจดำขึ้นมาจนเดือดปุดๆ

“พวกมึงนี่ไม่รู้อะไร คนสวยเขาไปลงหนังสือพิมพ์ด้วยนะเว้ย...เห็นลงหน้าหนึ่งตั้งหลายฉบับ ดังระเบิดระเบ้อ แถวบ้านกูเขาบอกว่าไปเป็นเมียเจ้าของตลาด...แต่ก็ไม่รู้คนไหนว่ะ”

หล่อนหันไปมองตาเขียว พวกนั้นก็ยังไม่หยุดปาก “คนสวยเขามองตาขวางแล้วโว้ย พวกมึงระวังตัวดีกว่าว่ะ”

มิรันตีหมดความอดทน มองตามพื้น เห็นรองเท้าแตะวางเกลื่อน จึงคว้าขึ้นมาปาไปยังกลุ่มนั้น จนหนุ่มๆผู้ปากเปราะทั้งหลายวิ่งกระเจิง ต่างคว้ารถมอเตอร์ไซค์แล้วเผ่นแน่บ...หันมาโบกไม้โบกมือและยิ้มร่า ไม่ได้มีใครถือโกรธเป็นจริงจัง กลับเห็นเป็นเรื่องสนุก

แต่คนที่ถูก ‘ตอก’ อารมณ์นั่นปะไร ตัวสั่นอย่างบอกไม่ถูก

แล้วเป็นเพราะเสียงโห่ฮิ้วของผู้ชายพวกนั้น เจ้าของห้องจึงเปิดประตู เตรียมคำด่าอย่างเต็มที่ “ไอ้พวกเด็กเปรต มาเห่าหอนอยู่ได้แถวนี้ จะไปไหนก็ไป...ไป๊”

ในมือหญิงร่างท้วมถือตะหลิว เงื้อง่าขึ้นสูง คงหวังจะขู่ แต่เมื่อเห็นว่าผู้ที่ตนต้องการด่าขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกไปหมดแล้ว เหลือเพียงแต่หญิงผู้เป็นหลาน เจ้าตัวถึงกับร้องทักเสียงหลง

“ยายใหม่...แกหายหัวไปตั้งหลายวัน ไหนว่าจะโทรศัพท์ส่งข่าวมาหา เล่นหายเงียบเข้าป่าช้า จนกูจะบ้าตายอยู่แล้ว”

อารมณ์ดี ก็แทนตัวเองว่า ‘ป้า’ อย่างนั้นอย่างนี้ แต่พออารมณ์เสีย ก็เอะอะมึงมาพาโวย คำก็ ‘กู’ สองคำก็ ‘กู’ ตามเดิม

“อะไรกันล่ะป้า เจอหน้าแทนที่จะทักทายกันดีๆ แล้วในมือถือตะหลิวออกมาทำไมน่ะ กำลังทอดไข่กินอยู่หรือไงกัน”

ผู้เป็นป้าแสร้งหยิกต้นแขนหลานสาว ปากก็บ่นงุบงิบ “ก็เออสิวะ ไม่ทำกินเอง แล้วจะให้หมาให้แมวที่ไหนมาทำให้”

“แล้วกลิ่นอะไรน่ะป้า...” มิรันตีทำจมูกฟึดฟัด

ป้ามลจึงร้องวี้ดเสียงดัง วิ่งตาลีตาเหลือกกลับไปหลังครัว “ไข่กูไหม้หมดแล้ว...”

...........................................

มิรันตีเข้าไปในห้องเช่า ซึ่งทั้งแคบทั้งอับ ช่างแตกต่างจากสภาพบ้านหลังใหญ่ที่หล่อนไปอาศัยอยู่ในยามนี้...แต่ทำไมหล่อนกลับรู้สึกว่า ในสถานที่โอ่โถง ความสุขสบายครบครันนั้น กลับเต็มไปด้วยความร้อนระอุราวกับหลังคาบ้านเปิดโล่ง รับแสงอาทิตย์ตลอดวัน ยามกลางคืนก็ต้องลมที่กรรโชกจนหนาวสั่น หาความสุขได้ไม่...ในห้องเล็กแคบตรงนี้เสียอีก แม้จะไม่มีวัตถุที่ส่งเสริมให้หล่อนดูมีราศี แต่มันก็เต็มไปด้วยความอบอุ่น อย่างที่ตอนนี้ ความรู้สึกนั้นกำลังเร้าให้น้ำใสๆเอ่อขึ้นขอบตาสองข้าง

ยิ่งเห็นผู้เป็นพี่นั่งอยู่บนเก้าอี้โยก เหม่อมองไปนอกหน้าต่างบานเกล็ด สายตาทอดสร้อยอ้อยอิ่ง เสมือนอยู่เดียวดายบนโลกใบนี้ แม้หล่อนจะเรียกชื่อซ้ำถึงสามครั้ง เจ้าตัวก็นิ่งเฉย ไม่เหลียวกลับมามอง

“พี่หมอก...เป็นยังไงบ้าง”

มิรันตีย่อตัวจนเข่าเกือบถึงพื้น และโผเข้ากอดมาลาตีแน่น...ความทุกข์ในอกจากที่บังคับให้จมไว้ก้นบึ้งหัวใจ มันค่อยๆเริ่มเอ่อออกมาราวกับน้ำทะเลขึ้น จนกำลังจะล้นทะลัก

มาลาตีเอียงคอมองผู้โอบกอดราวกับเป็นคนแปลกหน้า...จำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่กระนั้นก็มีรอยยิ้มผุดขึ้นบางๆ มิรันตีจึงซุกศีรษะลงบนบ่าของฝ่ายนั้น สายตาพลันเหลือบไปเห็นมือสองข้างของพี่สาวฝาแฝด กำลังกุมหน้าท้องน้อยๆของตนอยู่ ลูบเบาๆอย่างทะนุถนอม

มิรันตีเสียงแหบพร่า เมื่อพูดประโยคถัดไป “ลูกของพี่หมอกอยู่ในท้องไง...หลานของใหม่”

อยากจะพูดมากกว่านี้ แต่เหมือนในอกมันจะตีบตัน พอดีกับที่ป้ามลโผล่มาจากในครัว มือถือจานข้าวมาสองใบ มีไข่เจียวสีเหลืองสุกแกมน้ำตาลเกือบไหม้โปะหน้ามา

“แกทานข้าวมาหรือยังล่ะ จะกินไข่เจียวไหม จะได้ไปทอดให้”

มิรันตีปาดน้ำใสๆจากหัวตา ฝืนปั้นหน้าให้เป็นปรกติ ไม่ต้องการให้ป้ามลเห็น “ฉันอิ่มแล้วจ้ะ ป้าทานเถอะ ส่วนจานนั้น เดี๋ยวฉันจะป้อนพี่หมอกเอง”

หล่อนรับจานข้าวมาถือไว้ แล้วก็ตักไข่ปนกับข้าวสุก เป่าให้เย็น จึงยื่นไปจ่อที่ปาก...พี่สาวหล่อนก็อ้าปากทานอย่างว่าง่าย ไม่อิดออด

“เรื่องกินข้าวกินปลา ค่อยยังชั่วหน่อย ไม่ต้องบังคับ...พูดง่าย กินง่าย” ป้ามลพูดไป ตักข้าวใส่ปากไปพลาง “วันๆก็ไม่ค่อยออกไปไหนเท่าไหร่ นั่งเหม่อมันอยู่ตรงหน้าต่างเกือบทั้งวัน มองออกไปก็เห็นแต่ต้นไม้ใบหญ้า แล้วก็กำแพงปูน”

“พี่หมอกไม่ออกไปไหนบ้างหรือคะป้า...ถ้าอยู่แต่ในนี้มันน่าอึดอัดจะตาย”

ป้ามลบ่นอุบทั้งที่ยังเคี้ยวตุ้ยๆ “โอ๊ย...ขืนให้มันออกไปข้างนอกบ่อยๆ ป้านี่ล่ะจะได้อกแตกตาย พอออกไปได้ เรียกกลับเข้าบ้านยากเย็นจนปากจะฉีกถึงรูหู เมื่อสองวันที่แล้วพามันออกไปนั่งเล่นใต้ต้นมะม่วง พอตกเย็นจวนจะค่ำอยู่แล้ว น้ำค้างมันจะลง เดี๋ยวไม่สบาย ยายหมอกมันอาละวาดซะจนอุ้มเข้าบ้านแทบไม่ทัน นี่ดีว่ามันป่วยหรอกนะ ไม่อย่างนั้นได้เห็นดีกัน”

พูดจบป้ามลก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “ว่าแต่แกเถอะยายใหม่ ไปอยู่บ้านเศรษฐีแล้วเป็นยังไงมั่ง โดนมันจิกหัวใช้มั่งไหมล่ะ แต่ป้าว่าคนอย่างแกคงไม่มีทางยอมก้มหัวให้มันแน่ รู้นิสัยกันดี...แล้วเป็นยังไง มีวี่แววว่าแม่ผัวเฮงซวยมันจะยอมรับยายหมอกบ้างหรือยัง ต่อไปเผื่อจะได้สุขสบายกันหน่อย ไม่ต้องทนใช้ชีวิตเส็งเคร็งแบบนี้ แล้ววันนี้แกมาหา ได้ติดเงินมาให้สักก้อนไหมล่ะ ที่ให้ไว้ใช้วันก่อน มันเกือบจะหมดแล้ว”

พูดไปพูดมา ป้ามลก็วกเข้าเรื่อง ‘เงิน’ แล้วมันก็เข้าประเด็นทันที โดยที่มิรันตีไม่ต้องเอ่ยปาก “นี่ล่ะ...เรื่องที่ฉันจะมาพูดกับป้า ฉันให้เงินป้าไปจ่ายทั้งค่าเช่าแผงที่ตลาด จ่ายค่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แล้วทำไมทางสำนักงานเขาถึงแจ้งมาว่าป้ายังค้างเขาตั้งสามเดือน ค่าไฟ ค่าน้ำก็ยังติดไว้ นี่เขาร่ำๆจะมาทวงแล้ว ฉันเห็นท่าไม่ดี ก็เลยรีบมาดักเอาไว้ก่อน”

“โว้ย! อะไรกันวะ ขอผลัดแค่ไม่กี่วัน ช้านิดช้าหน่อย ทำมาเป็นทวง”

ป้ามลโวยวาย กระแทกจานข้าวลงกับพื้น ทั้งที่ยังนั่งชันเข่า ผู้เป็นหลานรีบพูดดักคอ “ป้ากำลังกลบเกลื่อนอยู่หรือเปล่า ไหนสัญญากับฉันแล้วยังไง ว่าจะไม่กลับไปเล่นไพ่อีก...นี่ป้าเอาเงินที่ฉันให้ไว้จ่ายค่าเช่าบ้าน ไปเล่นไพ่จนหมดเลยใช่ไหม”

“บ๊ะ...อย่ามาแค่นให้เสียอารมณ์ แค่ยืมไปต่อทุนนิดหน่อย ทำเป็นขึ้นเสียง ทีตัวเองไปอยู่สุขสบาย แต่กูนี่ต้องมานั่งลำบากลำบน อึดอัดจะตายโหง”

มิรันตีนิ่งอั้น ไม่คาดคั้นอะไรอีก แล้วรีบตัดบท “เอาเถอะป้า เดี๋ยวฉันจะไปจ่ายให้ที่สำนักงาน แล้วบอกว่าเก็บกับป้าได้เรียบร้อย...ป้าก็อย่าลืมล่ะ ว่าอย่าแพร่งพรายบอกใครทั้งนั้น เรื่องของฉันกับพี่หมอก ส่วนใครจะสงสัย ช่างซักช่างถาม ป้าก็ตอบเลี่ยงๆให้มันกำกวมเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นก็โวยวายใส่พวกชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้าน เดี๋ยวก็เงียบกันไปเอง”

“เออๆ...ถึงกูจะเกิดมาจน แต่ก็ไม่โง่ขนาดต้องให้หลานมากรอกหูรอบที่ร้อยรอบที่พันหรอก” พูดเสร็จก็ลุกถือจานข้าวกลับไปหลังครัว

มิรันตีจึงมีโอกาสนั่งสังเกตพี่สาวฝาแฝดอย่างเงียบๆ...

นับจากเกิดเรื่องอันเป็นสิ่งเจ็บปวด ชอกช้ำแก่ชีวิตของพี่สาวฝาแฝด มิรันตีต้องเก็บกลืนก้อนสะอื้นลงคอทุกครั้งที่อยู่กันตามลำพังสองพี่น้อง นั่งมองร่างของมาลาตี ที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง มีลมหายใจเช่นมนุษย์ปกติ หากแต่ไม่รับรู้เรื่องราวความเป็นไป ซึ่งเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน ของใครทั้งนั้น

ผิวขาวซึ่งเคยผุดผ่องเป็นยองใย จากการทะนุถนอมดูแลของมาลาตี ยามนี้ดูซูบซีดลงไปถนัดตา ดวงตากลมโตซึ่งมีแพขนตาดกดำเคยหวานล้ำแม้ยามนิ่งเฉย แต่ยามนี้ต่อให้เผยยิ้มกว้างเพียงใด ก็เห็นแต่ดวงตาเหม่อลอย โรยราไร้ชีวิต

แก้มนวลตอบลงอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากอวบอิ่มก็แห้งผาก ไร้รอยยิ้มอันเต็มอิ่มไปด้วยความนุ่มนวล อ่อนโยนเช่นเคย อย่างที่มิรันตีเคยพบเห็นมายาวนานยี่สิบสามปี เท่ากับชีวิตหล่อน

ความสวยบนใบหน้ามน ราวกับตุ๊กตาแก้วเจียระไน แม้นจะเหมือนกับมิรันตีทุกกระเบียดนิ้ว แต่ยามนี้ เมื่อหล่อนนั่งเฝ้ามองพี่สาวในระยะใกล้ แลเห็นได้ชัดว่า มัน ‘ต่าง’ จนแทบไม่เหลือเค้าเดิม

ความงามในตัวมาลาตี ราวกับดอกมะลิที่ราโรย กลีบขาวเริ่มถูกสีน้ำตาลคล้ำกลืนไปทั้งดอก และมันคงจะเหี่ยวเฉาไปตามกาล จวบถึงวันที่แห้ง และกรอบเป็นสีน้ำตาลหม่นไหม้ในสักวัน

โดยเฉพาะเส้นผมที่เคยยาวสลวย เป็นเงาดำขลับ ราวผืนไหมย้อมสีน้ำตาลเข้ม...บัดนี้ที่เห็น มันทั้งสั้นเต่อ ซอยกุด และชี้โด่ชี้เด่ไม่เป็นทรง อันเกิดจากรอยกรรไกรตัดเล็ม ทั้งแหว่งทั้งกระเดิด

ป้ามลกรีดร้องเสียงดังลั่นทีเดียว เมื่อในวันหนึ่งก่อนหน้าจะประสบชะตากรรม พบมาลาตีกำลังถือกรรไกรปลายแหลม ตัดเส้นผมที่เคยยาวสลวย จนขาดวิ่นราวกับเป็นเศษผ้าอันสกปรก ไม่ควรติดอยู่กับร่างกาย

มาลาตีร้องไห้สะอึกสะอื้น ราวกับคนบ้า พูดจาพร่ำเพ้อ ไม่รู้เรื่อง ‘ฉันมันทุเรศ ฉันมันน่าเกลียด ทำยังไงมันก็ไม่มีวันดีขึ้น’

หล่อนพูดซ้ำๆไปมา จนผู้เป็นป้าแท้ๆ ต้องเข้าไปกระชากกรรไกรออกจากมือ พลางปลุกปลอบหลานสาว แต่ก็ไม่เป็นผลในทีแรก กว่าจะเกลี้ยกล่อม จนผู้เป็นหลานอ่อนแรง กินเวลาเกือบชั่วโมง

ป้ามลแกเล่าว่า ‘ลำพังแค่ไปขายของที่ตลาด กูก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด กลับบ้านมากะว่าจะอาบน้ำอาบท่า ให้มันสบายเนื้อสบายตัว ดันเกิดมาเจอเรื่องวุ่นวายให้มันปวดหัวซะได้ กว่ายายหมอกมันจะยอมหุบปาก เลิกโวยวาย เล่นเอาฉันแทบลมจับ ถามอะไร มันก็ตอบไม่รู้เรื่อง พูดพร่ำไม่ต่างจากคนบ้า’

สาวใหญ่วัยใกล้ห้าสิบ ผู้มีร่างท้วม เนื้อตัวอวบด้วยไขมัน ยังคงเล่าต่อเมื่อมิรันตีถาม ‘ป้าก็ไม่รู้จะเอาคำตอบจากมันได้ยังไง กะว่าถ้ารำคาญมากๆ ก็จะเอากรรไกรที่แย่งมาจากในมือมัน ง้างปากซะให้เข็ด’

มิรันตีรู้ว่าผู้เป็นป้า ไม่ได้คิดจะทำอย่างที่พูดหรอก แต่อารมณ์ของคนปากร้าย คงกำลังหัวเสียจัด เหน็ดเหนื่อยจากการงานทั้งวันตั้งแต่เช้ามืด ไปขายผักสดในตลาด พอบ่ายคล้อยก็ออกไปอีกรอบ ความที่ใช้ปากเลี้ยงดูหล่อนกับพี่สาวมาแต่เล็กแต่น้อย เรื่องพร่ำบ่นเรื่องร้อยแปด จึงเป็นสิ่งที่เคยชิน

มิรันตีฟังหูซ้ายทะลุหูขวา เพราะรู้ว่าน้อยครั้ง ที่ป้ามลจะพูดเรื่องมีสาระ จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเราทุกคนที่นับญาติกันอยู่เพียงสามชีวิต ต่างต้องปากกัดตีนถีบ หาเช้ากินค่ำ เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง...ก็เรียกได้ไม่เต็มปาก

ดีหน่อยก็ตรงที่หลานสาวทั้งสองหัวดี เรื่องเรียนตั้งแต่เด็กจนโต จึงแทบไม่ต้องเคี่ยวเข็ญ หญิงสาวทั้งสองผลัดกันได้ที่หนึ่งกับที่สองมาตลอด

มิรันตีจึงภูมิใจเสมอ ที่หล่อนใฝ่ดีในเรื่องเรียน ถึงแม้จะจบเพียงแค่อนุปริญญาก็ตาม เพราะรู้ดีว่ายิ่งเรียนสูงเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ก็จะยิ่งเป็นภาระของป้า จนบ่าที่แบกเอาความสำเร็จของหลานสองคน มันทั้งหนักและเหนื่อย

หญิงสาวจึงเลือกที่จะหางานทำทันที ที่เรียนจบ ด้วยการไปสมัครงานเป็นเลขานุการ ตามความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา และมันก็ดูจะเข้าทางกับความสวยความงามที่หล่อนมี อาชีพที่หล่อนเลือกจึงนำพาให้ชีวิตดีขึ้นเป็นลำดับ

หากมาลาตีนั้นเล่า ด้วยความที่เป็นคนหัวอ่อนกว่า เห็นน้องสาวฝาแฝด ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวไม่เรียนต่อปริญญาตรีสองปีหลัง ผู้เป็นพี่จึงตัดใจออกมาหางานทำเช่นกัน ทั้งที่มิรันตีรู้ดีว่าพี่สาวอยากจะเรียนสูงกว่านี้ ในวันที่มาลาตีตัดสินใจไม่เรียนต่อ หล่อนบอกกับน้องสาวว่า ‘หมอกคงจะทำงานเหมือนกับใหม่ดีกว่า เรื่องเรียนต่อ เดี๋ยวพอเก็บหอมรอมริบ มีเงินก้อนส่งเสียตัวเอง ถึงเวลานั้น หมอกค่อยกลับไปคิด’

ความสวยของมาลาตีก็ไม่ต่างกัน ชักนำให้ได้งานประเภทเดียวกับน้องสาว เพียงแต่อยู่กันคนละบริษัท ความที่มิรันตีเป็นฝ่ายออกไปอยู่ที่อื่น จึงทำให้โอกาสพบเจอแฝดผู้พี่น้อยลงตามลำดับ จนไม่เคยรู้ตื้นลึกหนาบางถึงการใช้ชีวิตของกันและกัน

มาลาตีซึ่งเป็นคนเก็บตัว พูดน้อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เรื่องราวทั้งหมดจึงเป็นเหมือนไฟสุมอยู่ในอก โดยไม่รู้จะไประบายกับใคร ในที่สุดจึงเผาไหม้หัวใจของตนเอง

ไม่มีใครรู้กระทั่งความสัมพันธ์ลับของมาลาตีกับป้อมปราบ ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ในตอนไหน...และมันก็เลยเถิดจนกระทั่งทุกอย่างมันสายเกินไป จนเป็นเช่นนี้

เฉกเดียวกับชีวิตอันเจ็บช้ำ ซึ่งกำลังย้อนรอยไปเหมือนมารดา

.............................................





พู่ไหมบุรามฉัตร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 มิ.ย. 2555, 12:44:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 มิ.ย. 2555, 12:44:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 1394





<< ตอนที่ 7   ตอนที่ 9 >>
ดาริยา 6 มิ.ย. 2555, 17:42:54 น.
แวะมาส่งกำลังใจให้ "เมียใหม่" ด้วย ^^


พู่ไหมบุรามฉัตร 6 มิ.ย. 2555, 17:55:54 น.
จุ๊บๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account