กรงรักมายาหัวใจ
ความรักที่เย็นฉ่ำดุจละอองเกล็ดหิมะ หัวใจที่รุ่มร้อนดังเพลิงเพราะรัก

ฟ้าได้ลิขิตให้ทั้งสองมาเจอกัน ก่อนจะพลัดพราก เมื่อหญิงคนรักทิ้งเขาไปอย่างเลือดเย็น เขามีแต่ความเจ็บปวด เจ็บแค้น อันแน่นในหัวใจ เมื่อต้องกลับมาเจอเธออีกครั้ง เขาจะจัดการกับเธออย่างไร ในเมื่อไม่เคยลืมรักครั้งแรก

ปารีส (พระเอก) ชายหนุ่มลูกครึ่งไทย-แคนาดา เขารักปาริสาอย่างหมดหัวใจ ทว่าหล่อนกลับทิ้งเขาไป เมื่อต้องกลับมาเจอกันอีกครั้ง ทั้งที่ยังรัก และไม่เคยลืมจากหัวใจ อยากจะคว้าตัวหล่อนมากอด แต่ทำเพียงแค่แสดงความโกรธ และเย็นชาเท่านั้น โดยเก็บรักขังไว้ในกรงหัวใจ
ปาริสา (นางเอก) หรือที่ใครๆ หลายคนมักเรียกว่า ริสา เพียงแค่ไม่กี่เสี้ยววินาทีได้ตัดสินใจ เดินออกมาจากชีวิตของเขาด้วยเหตุผลบางอย่าง ทว่าหล่อนกลับใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อลืมเขา การต้องกลับมาเจอกับเขาอีกครั้งสร้างความไหวหวั่น หัวใจเหมือนโดนเศษแก้วบาดลึก ต่อความเย็นชา และอารมณ์โกรธของเขา หญิงสาวเก็บกักความรู้สึกซ่อนลึกในกรงหัวใจ ทำตัวเองประหนึ่งเป็นกระจกสะท้อนเงา เมื่อเขาร้ายหล่อนร้ายตอบ เจอความเย็นชา หล่อนก็พร้อมจะเป็นน้ำแข็งขั้วโลกใต้ ทว่าสิ่งที่ทำให้กลัวจับใจ คือความลับที่ปกปิดไว้ไม่ให้เขารู้
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 8 สองเราใต้เงาแห่งรัก

มาอัพแล้วค่ะ...ก่อนอื่นต้องขออภัยมาอัพช้ากว่ากำหนดไป 1 วัน เพราะอยากเขียนให้ได้ยาวๆ สักหน่อย แล้วค่อยอัพ เรื่องนี้ไม่มีสต๊อกเขียนไปอัพไปเรื่อยๆ แต่อย่างไรก็จะพยายามอัพสัปดาห์ละตอนค่ะ

...............

ทั้งทวีปและเขมิกาต่างพากันจ้างรถของทางโรงแรมเพื่อเดินทางมุ่งหน้าไปยังแคมป์ลานสกีของแจสเปอร์ เนชั่นเนล ปาร์ค นับตั้งแต่แสงสว่างแรกปรากฏขึ้นในเช้าของวันใหม่ พายุหิมะสงบไปนานแล้ว ทว่าพวกเขาไม่สามารถติดต่อใครได้แม้แต่คนเดียวปารีสปิดมือถือ ส่วนปาริสากลับมีสัญญาณเสียงที่ไม่ปรากฏเงาเจ้าของกดรับสาย นักวางแผนจับคู่สองรายจึงต้องมาผุดลุกผุดนั่งอยู่บริเวณโซฟามุมห้องในสำนักงานของสถานที่แห่งนี้เพื่อให้ช่วยประกาศเสียงตามสาย หากกระนั้นก็ยังไร้วี่แวว เจ้าหน้าที่ให้ความร่วมมือช่วยเหลือเป็นอย่างดี ไม่นานนักก็กลับเข้ามา


“ตกลงเจอพวกเขาทั้งคู่ไหมครับ” ทวีปพูดขึ้น ส่วนเขมิกาก็รีบถามย้ำอีกรอบ

“รถของพวกเขายังจอดอยู่เปล่าคะ”

“ไม่เจอครับ” เจ้าหน้าที่ส่ายหน้าพลางบอก “เราได้เช็กจากกล้องวงจรปิดแล้ว รถทะเบียนและลักษณะที่บอกมา ออกไปจากที่นี่นานแล้วครับ ก่อนจะมีพายุหิมะตกหนักเสียอีก ทางเราได้ช่วยประสานกับทางตำรวจในเขตพื้นที่ ก็ไม่ได้รับรายงานเรื่องอุบัติเหตุเหมือนกัน” ทั้งคู่กล่าวคำขอบคุณ ก่อนจะพากันเดินออกจากสำนักงาน เขมิกาถึงกับทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ด้วยความกังวล

“พี่ทวีป เราจะทำยังไงกันดี พวกเขาหายไปไหนกัน”

“นั่นน่ะสิ พี่กำลังสงสัยอยู่” ทวีปหันไปบอก “มันผิดปกติเกินไปแล้ว ถึงขนาดปิดมือถือ อีกคนก็ไม่ยอมรับสาย”

“หรือว่าอาจจะเป็นแผนของพี่ปารีส” สาวข้างตัวพูดอย่างเพิ่งคิดได้

“แผนอะไร?” ทวีปสงสัย

“ก็เขาอาจจะกำลังแก้เผ็ดเราสองคน ที่วางแผนให้พวกเขาอยู่กันตามลำพังไง” ทวีปส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วยพลางบอก

“ไม่มีทาง เพื่อนพี่ไม่ใช่คนเล่นสนุกแบบล้อเล่นกับความรู้สึกคนอื่นอย่างไม่ใส่ใจแบบนี้”

“แล้วพวกเขาหายเงียบไปไหนกัน โดยไม่ยอมติดต่อกลับ” เขมิกาถอนหายใจหน้าเครียด “นี่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา เราคงมีส่วนผิดที่คิดแผนจับคู่โดยปล่อยให้พวกเขาไปกันตามลำพัง”

“อย่าเพิ่งคิดมากเลย” ทวีปรีบพูดปลอบใจแฟนสาว “พวกเขาอาจไปหลบพายุอยู่ที่ไหนสักแห่งที่เป็นจุดอับไม่มีคลื่นสัญญาณโทรศัพท์ อ้อ มือถือของนายปารีสอาจแบตเตอรี่หมดก็เป็นได้”

“แล้วทำไมมือถือของริสาถึงมีสัญญาณ แต่ไม่มีคนรับล่ะ” ทวีปจนปัญญาจะอธิบาย ก่อนจะตอบแบบเดาสุ่มไปเอง

“บางทีริสาอาจทำโทรศัพท์หล่นหายที่ไหนสักแห่งก็ได้”

“น่าจะเป็นอย่างนั้นใช่ไหม” เขมิกาสำทับให้ตัวเองสบายใจ “พวกเขาคงไปหยุดค้างกลางทางที่ไหนสักแห่ง”
“คงเป็นแบบนั้น” ทวีปเห็นด้วย “ทางที่ดีพวกเรากลับไปรอพวกเขาที่โรงแรมดีกว่า เชื่อเถอะเดี๋ยวพวกเขาคงติดต่อมาเอง ตำรวจก็ยืนยันแล้วว่าไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นในพื้นที่”

เขมิกาพยักหน้ารับพลางพากันเดินกลับไปขึ้นรถของโรงแรมที่ให้จอดรอ ระหว่างทางเสียงโทรศัพท์มือถือของทวีปก็ดังขึ้น คนข้างตัวขมวดคิ้วแปลกใจกับอาการชะงักของอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าใครโทรเข้ามา

“พวกเขาติดต่อมาแล้วใช่ไหม” เขมิกาถามอย่างคาดหวัง

“เปล่า” เขาตอบปฏิเสธ “ก่อนจะกดรับสายด้วยน้ำเสียงนอบน้อมเป็นพิเศษ”

“สวัสดีครับคุณหญิง” ทวีปรอให้ปลายสายกล่าวจบ จึงตอบไปอีกครั้ง “เราอยู่ที่ลานสกีของแจสเปอร์ เนชั่นเนล ปาร์ค ครับ”

“แล้วทำไมฉันถึงติดต่อหลานชายไม่ได้” ปลายสายถามเสียงเข้มงวด

“คือเขากำลังฝึกเล่นสกีอยู่ครับเลยปิดมือถือ” ทวีปโกหกเพราะไม่อยากให้ปลายสายกังวลใจ “หลังจากฝึกซ้อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมจะบอกให้เขาโทรกลับหาคุณหญิงนะครับ” หลังจากกดวางสายนายทวีปถึงกับเป่าลมออกจากปากดังพรืด สาวข้างกายเลียบเคียงเข้ามาถาม

“คุณหญิงที่กำลังพูดถึง คือใครเหรอ?”

“อ๋อ ผู้ปกครองที่ดูแลนายปารีสมาตั้งแต่เด็ก” ทวีปหันไปตอบก่อนจะเลิกคิ้วสูงอย่างสงสัย “พี่เคยเล่าให้เธอฟังหรือยังว่าพ่อกับแม่ของปารีสเสียชีวิตทั้งคู่จากอุบัติเหตุเครื่องบินขนาดเล็กที่เช่าเพื่อทำเซอร์ไพรส์ในวันครบรอบแต่งงานตกกระแทกพื้น” คนถูกถามพยักหน้า


“เคยบอก” เขมิกาตอบ “แต่ไม่ได้เล่ารายละเอียด”

“เหรอ ไว้เดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟังแล้วกัน กลับโรงแรมกันเถอะชักหิวแล้ว” ทวีปชักชวนกลับขยับเข้าไปเปิดประตูรถยนต์ยุโรปคันสีขาวที่มีโลโก้ของโรงแรมติดอยู่ รีบยัดตัวเองเข้าไปหลังจากเขมิกาขยับไปนั่งด้านในเรียบร้อยแล้ว

ปาริสาค่อยๆ กะพริบขนตางอนยาว ก่อนจะรู้สึกตัวตื่นหายอาการงัวเงียเป็นปลิดทิ้ง ดวงตาคู่หวานเบิกกว้างด้วยความตกใจ...มันคือความจริงหล่อนไม่ได้ฝันไป เมื่อพบว่าตัวเองกำลังนอนแนบสนิทในอ้อมกอดของชายหนุ่ม หญิงสาวหน้าแดงจัดเพราะรับรู้ว่าตนกำลังอยู่ในสภาพเปลือยตลอดร่างไร้อาภรณ์ติดกาย มีเพียงเสื้อผ้ากันหนาวทั้งของหล่อนและของเขาคลุมปกปิดไว้ ผิวเนื้ออุ่นจัดสัมผัสซึ่งกันและกัน ทำให้ตลอดค่ำคืนแสนทรมานจากสภาพอากาศเลวร้ายติดลบสามสิบกว่าองศา สามารถผ่านพ้นไปด้วยดี หล่อนหลับในวงแขนแข็งแรงของเขาจนถึงเช้า หญิงสาวสังเกตได้จากลำแสงสว่างสีขาวจ้าที่เล็ดลอดทะลุมาตามช่องว่างขนาดแคบเล็กของผนังไม้สน ร่างบางมองใบหน้าคมคายที่กำลังหลับตาสนิทลมหายใจสม่ำเสมอ ก่อนจะเริ่มขยับตัวทว่ากลับถูกวงแขนราวเชือกบ่วงตวัดรัดกระชับแน่นกว่าเดิม...เขาไม่ได้หลับสนิทอย่างที่หล่อนคิด

“จะรีบไปไหนกัน” เขาพูดขณะลืมตาขึ้นสบประสาน ปาริสาหลุบเปลือกตาเปลี่ยนรักษาระยะไว้แค่ปลายคางเขาเท่านั้น เมื่อนึกถึงสภาพตัวเองตอนนี้ หล่อนไม่อาจทนสู้มองหน้าเขาได้ด้วยความกระดากอายสุดจะบรรยาย

"กำลังอุ่นสบายเลย ขอนอนกอดเฉยๆ ต่ออีกนิดเถอะ”

“เช้าแล้วค่ะ” หล่อนบอก “เราควรรีบกลับ ป่านนี้พี่ทวีปกับเขมิกาคงเป็นห่วงแย่แล้ว”


เขาไม่ตอบรับคำใดออกจากปาก นอกจากใช้ปลายนิ้วเชยปลายคาง หล่อนจึงต้องสบตาคมกริบอย่างช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เมื่อถูกบังคับให้เงยหน้ามองม่านตาสีน้ำตาลเข้มคมกริบเป็นประกายเหมือนมีดวงดาวนับร้อยทอแสงระยิบอยู่ในนั้น เขาก้มลงกดริมฝีปากหยักลึกได้รูปประทับเรียวปากบางทว่าเม้มสนิทเพราะเจ้าตัวตั้งใจไม่ให้ปารีสรุกล้ำไปมากกว่านั้น ร่างสูงถอนจุมพิตพลางหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

“กู๊ดมอร์นิ่งคิส” ปาริสาปล่อยเสียงอุทานเมื่อเขาใช้ฝ่ามือตบสะโพกกลมกลึง หล่อนรีบถลึงตาใส่ “ถ้าอย่างนั้นอย่ามัวมานอนโอ้เอ้ รีบลุกแต่งตัวให้เรียบร้อยเถอะ จะได้รีบออกเดินทาง”

ปารีสคลายวงแขนอย่างนึกเสียดายความอบอุ่นและรสสัมผัสที่ได้รับจากเรือนร่างนุ่มเนียนละมุนดุจแพรไหม ชายหนุ่มขยับยันตัวขึ้นจากการมัวแต่แกล้งนอนหลับอ้อยอิ่งกอดหล่อนเสียนานด้วยความอดทนที่จะไม่กระทำบางอย่างเพื่อปลุกให้สาวคนรักต้องตื่นจากนิทรา ปาริสาต้องรีบกระเด้งตัวตามราวติดสปริง เพราะเจ้าสิ่งคลุมปกปิดไว้ดันร่นหนีหายไปกับการลุกขึ้นนั่งของเขา ก่อนจะคว้าเสื้อกันหนาวที่รีบฉวยติดมือ นำมาคลุมร่างกายตั้งแต่คอแถมหดขางอเข่าแนบลำตัวเรียกว่าไม่มีส่วนใดโผล่ให้เห็น นอกจากใบหน้าแดงระเรื่อภายใต้กรอบเส้นผมยุ่งพันกันแทบไม่เป็นทรง

“พี่ปารีสช่วยหันหลังหน่อยได้ไหมคะ” หญิงสาวขอความร่วมมือเพราะความอาย “ริสาจะได้แต่งตัว”

“จะอายไปทำไมครับ มองหรือไม่มองก็มีค่าเท่ากัน”
ชายหนุ่มพูดขึ้นพลางนึก...ในเมื่อเขาเห็นหมดแล้วแทบทุกตารางนิ้วบนเรือนรางบอบบางทว่าอวบอิ่มไปทั้งตัว...หล่อนงดงามราวประติมากรรมชิ้นเอกของโลก เขาสามารถนั่งมองหล่อนได้ทั้งวันโดยไม่รู้จักเบื่อ

ร่างบางเม้มริมฝีปาก เหลือบมองขวดเหล้าที่ไม่เหลือน้ำเมาสักหยดกลิ้งอยู่กับพื้น ปาริสาจำได้ว่าหลังการจุมพิตอันเร่าร้อนของเขาผ่านไปไม่นานนัก ปารีสก็ยอมถอนริมฝีปากออกมานั่งพิงพนังเงียบๆ ทำเพียงจับกุมมือหล่อนที่เอาแต่ก้มหน้าเขินอายไว้เท่านั้น ยิ่งเวลาผ่านไปปาริสารู้สึกกำลังจะเหมือนปลาถูกแช่แข็งเข้าไปทุกขณะ พิษจากความหนาวช่างแสนสาหัสกำลังกัดกินร่างกาย จนต้องรีบคว้าขวดเหล้ามากรอกปาก กระเพาะว่างที่ยังไม่มีอาหารตกถึงท้องร้อนวาบเหมือนแผ่กระจายไปทั่วร่าง รู้สึกติดใจจนต้องกระดกหมดขวดคนเดียว แล้วหลังจากนั้นทุกอย่างดูเลือนรางเต็มที ปาริสาค่อยๆ มุดหน้าตัวเองหายไปกับขอบเสื้อกันหนาว สำนึกได้ว่าหล่อนเป็นฝ่ายโผเข้ากอดเขาก่อน พร้อมกับพูดเสียงสั่นขาดเป็นห้วงๆ รู้สึกเหมือนกำลังจะขาดอากาศหายใจตายเพราะความหนาวติดลบหลายองศา

‘ชะ...ชะ...ช่วยริสาด้วย ริสา ทะ...ทะ...ทนไม่ไหวแล้ว’


ช่วงเวลานับตั้งแต่วินาทีนั้นหล่อนเข้าใจว่ามันคือความฝันที่แสนหวานและซาบซ่านด้วยความสุข รู้สึกดีกับหัวใจที่กำลังเต้นระรัว...เพราะนั่นหมายความว่าตนกำลังยังมีชีวิตอยู่ หญิงสาวถอนหายใจเฮือกก่อนจะเงยหน้าบอกเขาเสียงอ่อย


“เมื่อคืนริสาเมามาก คงดื่มเยอะไปหน่อย” คงไม่ใช่แค่หน่อยเดียว เพราะซดไปหมดขวดไม่ยอมแบ่งให้ใคร...หล่อนนึกคุยอยู่กับตัวเอง

“หมายความว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเพราะริสาเมา แล้วจะไม่ยอมรับผิดชอบพี่อย่างนั้นเหรอครับ” ปาริสาอ้าปากค้างกับคำพูดหน้าตาเฉยของเขา โดยไม่สังเกตเห็นแววตาระยับคู่นั้นแสดงชัดว่าเขาแค่ต้องการแกล้งหยอกล้อหล่อนเล่นเท่านั้น

“รับผิดชอบ” หญิงสาวทวนคำเสียงสูง ก่อนจะฮึดฮัดบอกเขาไป “ทำไมริสาต้องรับผิดชอบ”

ตาบ้า! เขามีแต่ได้กับได้ หล่อนสิต้องเป็นฝ่ายเสียหาย มันควรเป็นคำพูดของตนต่างหากที่จะเรียกร้องความรับผิดชอบ ถึงแม้เหตุการณ์จะก้ำกึ่งระหว่างสมยอมเพราะไม่มีการขัดขืนกับเกิดขึ้นเพราะเขาเป็นนักฉกฉวยโอกาสมืออาชีพ

“อีกอย่างถึงแม้ริสาจะเมา แต่ตอนนั้นพี่ก็มีสติปกติดีทุกอย่าง ทำไมต้องฉวยโอกาสด้วย”

หล่อนเม้มปากแน่นถลึงตาเบิกกว้างมาให้ ชายหนุ่มพยายามกลั้นหัวเราะจนแทบปวดกรามสองข้าง เขารู้สึกชอบมองสีหน้าแววตาและท่าทางของหญิงสาวตอนนี้มาก หล่อนดูมีเสน่ห์น่าค้นหาและเซ็กซี่อย่างประหลาด ทำให้ปารีสนึกย้อนไปถึงสมัยเป็นเด็กชายตัวเล็กวัยเรียนชั้นประถม เขาชอบแกล้งเด็กผู้หญิงห้องอนุบาลตัวอ้วนกลมถักเปียสองข้างทุกครั้งที่ได้เจอตัว โดยมักชอบหยิกแก้มป่องเหมือนซาลาเปาจนทำให้เด็กคนนั้นบ่อน้ำตาแตกเกือบทุกวัน และบังเอิญในวันหนึ่งมารดาของเขาถ่ายรูปเก็บไว้และเขียนหลังภาพใบนั้นว่า

‘เด็กผู้ชายมักชอบแกล้งเด็กผู้หญิงที่ตัวเองสนใจ ปล.เลิกแกล้งน้องได้แล้วนะจ๊ะลูกรัก’

ทุกวันนี้ภาพนั้นยังเก็บไว้ในอัลบั้มและไม่คิดจะทิ้ง เพื่อไว้เป็นสิ่งระลึกถึงท่านที่ด่วนจากไปก่อนจะมีโอกาสได้เห็นบุตรชายตัวเล็กซุกซนชอบแกล้งคนอื่น กลายเป็นคนเก็บตัวเงียบและค่อยๆ หล่อหลอมจนเขากลายเป็นชายหนุ่มเคร่งขรึมไปโดยไม่รู้ตัว ปาริสาทำให้เขานึกได้ว่าเมื่อก่อนตนเป็นคนรักสนุกชอบแกล้งคนอื่นเล่นขนาดไหน

“ใช่พี่ปกติดีทุกอย่าง” เขาหันไปบอกด้วยรอยยิ้มมุมปาก “แล้วผู้ชายปกติที่ไหนบ้าง เมื่อเห็นหญิงที่ตัวเองรัก มาแก้ผ้าต่อหน้าแล้วไม่รู้สึกอะไรเลย แถมน้องริสาเองเป็นคนมารูดซิปเสื้อกันหนาวพี่ เร่งให้รีบถอดออกด้วยซ้ำ”


คราวนี้หญิงสาวมองเขาตาค้าง ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวทั้งที่อากาศหนาวสะท้าน แต่หล่อนยังคงมองใบหน้าคมเข้มไม่มีหลบ เพราะขืนหลุบเปลือกตาลงคงได้เห็นท่อนบนเปลือยเปล่าล้วนประกอบไปด้วยกล้ามเนื้องดงามอย่างนักกีฬาที่ชอบออกกำลังกายอยู่เสมอ

“ไม่จริง” หล่อนเถียงกลับ “พี่กำลังโกหก”

“ถามจริงริสาจำไม่ได้เลยหรือครับ ว่าได้พูดอะไรไว้บ้าง” เขาถาม ร่างบางหรี่ตามอง ทำสีหน้าครุ่นคิด เหมือนจะนึกอะไรได้บางอย่างทว่าไม่ชัดเจน ราวกับจะเลือนรางอยู่ในความฝัน หากต้องยอมรับเท่าที่จำได้ชัดว่าตัวเองเป็นฝ่ายเข้าไปกอดเขาก่อน

“ริสาพูดอะไร?” หล่อนถามให้หายสงสัย

“ก็หลังจากริสาเข้ามากอด บอกให้ช่วย เพราะทนไม่ไหวแล้ว” เขาเว้นจังหวะหยุดพูดแค่นั้น ก่อนจะยกริมฝีปากยิ้มอธิบายต่อ “ยอมรับตอนแรกพี่ก็รู้สึกประหลาดใจบ้าง ไม่นึกว่าเธอจะเป็นผู้หญิงร้อนแรงขนาดนี้”

อดทนไว้ริสา...กลั้นใจฟังเขาพูดให้จบ หญิงสาวบอกตัวเองพยายามวางสีหน้าเรียบเฉย

“พี่ได้แต่มองตาค้าง เมื่อน้องริสาผลักออก แล้วเริ่มถอดเสื้อผ้าตัวเอง” ปาริสาตกใจเมื่อได้ฟังการกระทำของตัวเอง ภาพเลือนรางเหมือนฝันสะท้อนกลับเข้ามาในโสตประสาท เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ถ้าอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่ความฝัน

“พี่คงมองตาแทบไม่กะพริบเลยใช่ไหม” หญิงสาวแกล้งถามดักคอพยายามข่มความอับอายซ่อนไว้ไม่ยอมให้แสดงออกทางสีหน้า

“โทษทีตอนนั้นพี่ลืมคิดไป” เขาบอก “พี่น่าจะหลับตาหรือหันหน้าหนี” คนได้ฟังถึงกับย่นจมูกพลางนึก...ลืมคิดหรือแกล้งลืมกันแน่

“สรุปพี่ก็นั่งจ้องอยู่อย่างนั้น” หล่อนย้อนกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเหมือนไม่สะทกสะท้าน “โดยไม่คิดจะช่วยห้ามริสาบ้างหรือไงคะ”

“พี่พยายามห้ามแล้ว อากาศหนาวขนาดนั้นจะถอดเสื้อผ้าทำไม แถมยังขยับเข้าไปจับมือน้องริสาไว้ตอนกำลังถอดชิ้นสุดท้าย” ฟังมาถึงตรงนี้เจ้าตัวถึงกับเบิกตากว้างหน้าตื่นหลุดเสียงตะกุกตะกัก

“ชะ...ชะ...ชิ้นสุดท้าย”

เขาพยักหน้า ก่อนที่หล่อนจะเหลือบมองไปยังชิ้นสุดท้ายที่วางสงบนิ่งอยู่ไม่ไกลจากมือ ปาริสารีบคว้ามาซ่อนเก็บไว้ภายใต้เสื้อกันหนาวที่ใช้คลุมร่างเปลือยไม่ให้เปิดเผยต่อสายตาชายหนุ่มที่นั่งเยื้องห่างกันเล็กน้อย ทว่ากลับมีบางอย่างยื่นมาตรงหน้า พร้อมรอยยิ้มแววตาคมกริบทอแสงระยับ ในมือของเขามีผ้าเนื้อบางสีชมพูซ้อนทับด้วยผ้าลูกไม้สีเดียวกัน

“ชิ้นนี้ต่างหากชิ้นสุดท้าย” เขาบอก “คัพบีเสียด้วย” หญิงสาวหน้าแดงรีบกระชากหลุดมาจากมือของคนที่อุตส่าห์มีน้ำใจหยิบยื่นมาให้

“อย่างที่เห็น พี่ไม่สามารถห้ามเธอได้ เพราะริสาเอาแต่สะบัดมือพี่ออก แถมหันมารูดซิปเสื้อของพี่ สั่งเสียงจริงจังเร่งให้ถอดออก อย่างที่บอกไว้ให้ฟังก่อนนั้น”

“อย่าบอกนะคะว่าริสาเป็นคนลงมือถอดเสื้อผ้าให้พี่ด้วยตัวเอง” หล่อนยิ่งตกใจมากกว่าเดิมเสียอีก ร่างสูงส่ายศีรษะ

“เปล่า” เขาปฏิเสธ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “พอได้ฟังเหตุผลจากปากของน้องริสา พี่ถึงเข้าใจ เลยช่วยจัดการกับตัวเอง”

คิ้วเรียวบางของปาริสาขมวดเข้าหากันด้วยสงสัยและอยากรู้จึงรีบถามออกไปอย่างไม่ลังเล

“เหตุผลอะไรคะ”

“พี่จะถอดเทปทุกคำพูดของน้องริสาให้ฟังแบบไม่มีเสริมแต่งเพิ่มเติมแต่อย่างใด แต่พี่คงพูดเสียงยานๆ เหมือนคนเมาแบบน้องริสาไม่ได้ ขอบอกแบบน้ำเสียงปกติแล้วกัน พระเจ้าเป็นพยานว่าเรื่องที่เล่ามาทั้งหมดคือความจริง” เขาบอกย้ำกับหล่อน ก่อนจะกระแอมในลำคอแล้วพูดขึ้น

“เราต้องทำแบบนี้ถ้าอยากมีชีวิตรอด ริสาหนาวจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว พี่เคยดูรายการสารคดีที่เขาสัมภาษณ์สามีภรรยาคู่หนึ่งไหมที่รอดตายจากอากาศหนาว...พี่จึงตอบไปว่าไม่เคย...แล้วน้องริสาก็โต้กลับมาว่า ตาทึ่มเอ๊ย! คงมัวแต่เล่นสกีบ้ากีฬาไปวันๆ จนไม่สนใจอะไร...แล้วน้องริสาก็หัวเราะคิกคักก่อนจะพูดขึ้นว่า...แต่พี่จูบเก่งชะมัดคงสนใจผู้หญิงอยู่บ้าง...พี่ก็เลยถามกลับไปว่าเป็นไงชอบไหม ริสาตอบกลับมาทันที ชอบมาก แล้วจากนั้น...”

หญิงสาวทนฟังไม่ไหวแทบจะมุดหน้าแทรกแผ่นดินหนีความอาย แล้วจากนั้นที่เขากำลังพูด คงหมายถึงหล่อนยื่นเรียวปากบางเย็นจัดไปจุมพิตเขาเบาๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะถอยออกมานั่งหัวเราะชอบใจอยู่คนเดียว ถ้ามันตรงข้ามกับความคิดว่าทุกอย่างเป็นเพียงฉากในความฝันที่กำลังวิ่งวุ่นอยู่ในสมอง ปาริสาจึงรีบขัดจังหวะทันที

“พี่ไม่ต้องเล่าละเอียดขนาดนั้นก็ได้ รีบสรุปเลยดีกว่า” ร่างสูงหัวเราะก่อนจะยักไหล่

“โอเค...ไม่มีปัญหา”

“น้องริสาบอกว่าพวกเขาติดอยู่ในรถที่ถูกฟังจมใต้หิมะเป็นเวลานาน แต่มีชีวิตรอดด้วยการถอดเสื้อผ้านอนกอดกันเพื่อใช้ความร้อนจากร่างกาย พี่ถึงเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของน้องริสาไง เลยจำเป็นต้องทำตาม”


“จำเป็น หรืออยากจะทำตามด้วยความเต็มใจกันแน่คะ” คนได้ฟังอดพูดประชดตอบกลับไปไม่ได้ “แล้วทำไมพี่ปารีสถึงไม่ทำแค่นอนกอดริสาไว้เฉยๆ ก็พอ” หญิงสาวตัดพ้อ

“ริสาคิดเหรอว่าสามีภรรยาคู่นั้นแค่นอนกอดกันแน่นๆ เฉยๆ ในรถ โดยไม่เกิดอะไรขึ้น” ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม “เราสองคนกับพวกเขาคงไม่ต่างกันมากนักหรอก และพี่ก็ไม่ใช่ก้อนหินที่จะไม่รู้สึกอะไร เมื่อผู้หญิงที่ตัวเองรักและเพิ่งขอคบเป็นแฟนมานอนเปลือยกายให้กอดแบบนั้น” ปาริสาเม้มปากก่อนจะต่อว่า

“แล้ว ทะ...ทำไม พี่ต้องถอดกางเกงด้วย ถอดแค่เสื้อก็พอ”

“ก็เดี๋ยวน้องริสาจะมาว่าพี่ทีหลังได้ว่าเอาเปรียบ ไม่ยอมถอดกางเกงเหมือนกัน” ร่างสูงกล่าวริมฝีปากปรากฏรอยยิ้ม

“คนผีทะเล!”
หล่อนบ่นอุบเบาๆ พอให้เขาได้ยิน เพราะจนใจหาคำพูดใดมาตำหนิเขาได้อีก ลอบถอนหายใจยาว ปาริสาไม่ได้นึกโทษเขาคนเดียวหรอก ความจริงแล้วตัวเองก็มีส่วนผิดอยู่บ้าง ถ้าไม่พาตัวเองมาอยู่ในสถานการณ์ท่ามกลางธรรมชาติหนาวยะเยือกติดลบอย่างโหดร้ายแบบนี้ และไม่ดื่มของมึนเมาเข้าไปในร่างกาย ตนคงสามารถควบคุมสติความยั้งคิดได้ดีกว่านี้ และหล่อนมั่นใจว่ามันคงไม่เกิดอะไรที่เกินเลยไปมากกว่าการแสดงความรักแค่การกอดหรือจุมพิตบ้างตามประสาคู่รักโดยทั่วไป

“พี่ว่าเราเลิกโต้เถียงกันดีกว่าไหมครับ”

“ดีค่ะ”

“เรายังรักกัน” เขาหันมาพูด “ความรู้สึกระหว่างเรายังเหมือนเดิมใช่ไหมครับ” หญิงสาวพยักหน้าอมยิ้ม หากทว่าไม่ยอมสบสายตาด้วย

“แต่สำหรับพี่ไม่เหมือนเดิม”
ปารีสบอกเสียงเรียบจนจับความรู้สึกไม่ได้ รอยยิ้มบนเรียวปากบางค่อยๆ จางหาย ก่อนจะผงกหัวขึ้นมองใบหน้าคมคายของเขาอย่างเต็มตา หล่อนพูดอะไรไม่ออกได้แต่จ้องนิ่งอยู่อย่างนั้น ร่างสูงยื่นมือเข้ามาปัดผมปรกใบหน้า ก่อนจะขยับมาใกล้กว่าเดิมเพื่อปลดสายสร้อยที่ตนใช้คล้องแหวนทองคำเกลี้ยงออกจากลำคอขาวนวลเรียวระหง หัวตาสองข้างของหญิงสาวเริ่มร้อนผ่าว แม้แต่แหวนเขาก็ยังคิดจะเอาคืน


“เห็นด้านในไหม” เขาถามพลางพลิกแหวนให้ดู หล่อนมองแบบไม่มีอารมณ์สนใจมากนักเพราะเคยเห็นแล้ว อีกอย่างกำลังช็อกไปเล็กน้อยกับคำ ‘ไม่เหมือนเดิม’

“มันสละไว้ว่า รักนิรันดร์ เป็นแหวนที่พ่อสวมให้แม่ในวันเข้าโบสถ์ทำพิธีแต่งงาน พี่สวมติดนิ้วมาตลอด ขยับเปลี่ยนนิ้วไปเรื่อยๆ จากนิ้วโป้งจนสุดท้ายมาหยุดตรงนิ้วก้อย” เขาหยุดพูดก่อนจะแบฝ่ามือมาตรงหน้า แล้วบอก “ขอมือพี่หน่อย”

ปาริสาชักมือข้างถนัดสุดออกมาส่วนอีกข้างยังคงจับยึดเสื้อกันหนาวไว้แน่น แล้วยื่นไปวางแหมะบนฝ่ามือรออยู่แล้วโดยไม่ทันคิดอะไร

“มือซ้ายครับ” ปารีสบอกอีกครั้ง หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอมองตาแทบไม่กะพริบ...เขากำลังจะสวมแหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายให้หล่อน ปาริสาแย้มริมฝีปากยิ้มทั้งหยาดน้ำตาคลอเบ้า “เป็นอย่างที่คิด ว่าน้องริสาต้องสวมมันได้พอดี ห้ามถอดเอาไปคล้องคออีกนะครับ”

“ค่ะ”
หญิงสาวตอบเสียงสั่นพลางพยักพเยิดหน้า ชายหนุ่มยกหลังมือหล่อนขึ้นจุมพิตประทับรอยบนแหวนทองตรงนิ้วนาง ก่อนจะชักมือของปาริสาไปเกาะกุมแนบกับอกเปลือยตรงตำแหน่งหัวใจข้างซ้ายของเขา ถึงผิวกายจะเริ่มเย็นจัด ทว่าร่างบางรับรู้ได้ดีว่าสิ่งที่เต้นตุบตับอยู่ภายในนั้นอบอุ่นนัก

“มองตาพี่สิ” เขาสั่งเสียงอ่อนโยน “มีบางอย่างที่อยากจะบอกกับน้องริสา” หญิงสาวจึงเงยหน้ามองประกายแรงกล้าจากสายตาของเขาอย่างเขินอาย

“ที่ว่าไม่เหมือนเดิม สำหรับพี่เมื่อก่อนริสาแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่บังเอิญเดินเข้ามาในชีวิต และเพราะความบังเอิญตั้งแต่ครั้งแรก พี่เฝ้าถามตัวเองด้วยความสงสัยว่าทำไมถึงรู้สึกสนใจเป็นพิเศษชนิดที่ไม่เคยรู้สึกกับใครแบบนี้มาก่อน เมื่อวานริสาคือเพื่อนร่วมทางผจญภัย และค่ำคืนที่ผ่านมาริสาคือแฟนที่คบหาอย่างเป็นทางการ ส่วนเช้าวันนี้ริสาคือภรรยา แต่งงานกันเถอะ และนี่คือสิ่งที่พี่ต้องรับผิดชอบเพราะความรัก ไม่ใช่เพราะรู้สึกผิด” หยดน้ำตาไหลอาบแก้มสองข้างของปาริสาเพราะรู้สึกซาบซึ้งอิ่มเอมในหัวใจราวพองโตคับอก

“ตะ...ตะ...แต่งงานกัน” หล่อนหลุดเสียงตะกุกตะกักเพราะอารมณ์หลากหลายอย่างตื่นเต้นสับสนผสมกับความรู้สึกกังวลบางอย่างแบบแปลกๆ อย่างไรชอบกล

“ใช่ครับ เราจะแต่งงานกันปีหน้าทันทีที่พี่เรียนจบ ริสาเลือกได้ตามใจชอบว่าจะแต่งที่นี่ หรือจะกลับไปจัดพิธีกันที่เมืองไทย”

“ตอนนี้ริสาคิดอะไรไม่ออกว่าควรตัดสินใจยังไง”

“จริงด้วยสิ” ชายหนุ่มพูดขึ้น “พี่ยังไม่ได้ยินคำตอบรับขอแต่งงานจากน้องริสาเลย คิดไม่ออกตัดสินใจไม่ถูกอย่างนี้ ชักมีวี่แววว่าจะโดนสาวปฏิเสธแฮะ”

“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ ริสายินดี และดีใจกับคำขอแต่งงานของพี่มากค่ะ” ร่างสูงขมวดคิ้วเข้มก่อนจะนึกขึ้นได้

“อ๋อ...น้องริสาคงกำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องเรียนของตัวเอง” ปารีสทำสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะพูดความต้องการของตัวเอง “พี่อยากให้ริสาหยุดเรียนแล้วกลับเมืองไทยพร้อมกัน”

หญิงสาวพูดไม่ออกเหมือนน้ำท่วมปาก ไม่กล้าจะบอกกับเขาตรงๆ ตามความจริงว่าตนได้ทำเรื่องหยุดเรียนและได้รับการอนุมัติให้พ้นสภาพการเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยไรเยอร์สันเรียบร้อยแล้ว ตามแผนเดิมของตัวเองแค่ทำงานในร้านอาหารหาเงินสำหรับค่าตั๋วเครื่องบินกลับบ้านเกิดเท่านั้น เพื่อเก็บเงินก้อนสุดท้ายที่บิดาส่งเข้าบัญชีมาให้ ไว้เป็นทุนไปตั้งต้นชีวิตใหม่ เมื่อเหตุการณ์เปลี่ยนอย่างกะทันหันไม่ทันตั้งตัว หล่อนจึงคิดขอผัดเวลาสำหรับบอกเรื่องนี้กับเขา

“เรื่องหยุดเรียนไว้ค่อยพูดกันอีกทีดีกว่าค่ะ เรายังมีเวลา” ปาริสาบอกเสียงอ่อย

“ได้ครับ ตอนนี้อย่างน้อยน้องริสาก็ตอบรับคำขอแต่งงานของพี่แล้ว” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นขอเสื้อของพี่คืนด้วยครับ” เขาพูดพลางฉวยเสื้อกันหนาวสีแดงยื่นไปให้แทน “เราควรรีบลงไปจากที่นี่ก่อนจะหมดแรงเดินเพราะความหิว”

“พี่ปารีสหลับตาก่อนสิคะ”

ร่างสูงถอนหายใจยาวพลางโคลงศีรษะ ทว่ากลับยินยอมทำตามความประสงค์ของปาริสาแต่โดยดี หล่อนไม่มีทางรู้ได้เลยว่าขณะที่เขายื่นมือมารับเสื้อกันหนาวสีดำตัวใหญ่ คนตรงข้ามได้แอบหรี่ตามองสำรวจ ก่อนจะเห็นหญิงสาวหันแผ่นหลังขาวเนียนอมชมพูแล้วสวมเสื้อผ้าอย่างเร่งรีบจนดูทุลักทุเล ส่วนปารีสก็หันมาจัดการความเรียบร้อยของตัวเองพลางชำเลืองมองไปทางหญิงคนรักเป็นระยะพร้อมกับรอยยิ้มนึกขำปนเอ็นดู เกือบจะหลุดหัวเราะอยู่หลายครั้ง เมื่อปาริสาสวมเสื้อกลับด้านจนต้องถอดมาสวมใหม่ ยัดขาเรียวขาวลงไปในกางเกงเรียบร้อยแล้วก็ต้องถอดมาใหม่อีกเหมือนเช่นเดิม เพราะเจ้าหล่อนลืมสวมชิ้นเล็กสุดที่ทำจากผ้าซาตินสลับลายลูกไม้สีชมพู ก่อนจะเสียหลักเซลงไปนั่งตะแคงกับพื้นเพราะความรีบร้อนขณะยัดเท้าเข้าไปในกางเกงยีนขายาว ดูท่าเจ้าหล่อนคงจะไม่เลิกเป็นผู้หญิงขี้อายง่ายๆ สงสัยต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าปาริสาจะปรับตัวให้คุ้นชินจนเลิกรู้สึกประหม่าหรือกระดากขวยเขินยามอยู่ต่อหน้าเขา



มุกมาดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 มิ.ย. 2555, 18:38:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 มิ.ย. 2555, 21:50:41 น.

จำนวนการเข้าชม : 1846





<< ตอน 7 คำตอบของหัวใจ...และไออุ่นแห่งรัก   ตอนที่ 9 ( I love you and will love you always and forever) >>
มุกมาดา 13 มิ.ย. 2555, 18:42:21 น.
ขอบคุณทุกกำลังใจกดอ่านกดไลด์ให้ค่ะ ^^

คุณฝนปราย (ขอบคุณมากค่ะสำหรับกำลังใจติดตามอ่านและคอมเม้นท์เป็นกำลังใจ และขอบคุณที่ช่วยตรวจคำผิดให้ด้วยเช่นกันค่ะ ^^)


มุกมาดา 19 มิ.ย. 2555, 18:23:02 น.
ถึงนักอ่าน ของ viengkawe สัปดาห์นี้ขออนุญาตเว้นอัพนิยายนะคะ เนื่องจากงานเยอะมาก ต้องทำเอกสารประกอบประชุมฯ ประชุมแทบวันเว้นวันกรรมการหลายชุดมาก เขียนได้นิดหน่อยเองค่ะ หยุดเสาร์อาทิตย์นี้ไม่มีงานต้องหอบกลับไปทำที่บ้านแล้วค่ะ จะตั้งใจปั่น และสัปดาห์หน้าจะอัพ 2 ตอนรวดให้แทนนะคะ


pseudolife 29 มิ.ย. 2555, 11:59:41 น.
น่ารักจริง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account