เงาใจสลักทราย
เมื่ออดีตกาลนับพันปีแห่งดินแดนไอยคุปต์ถูกรื้อฟื้นขึ้นพร้อมดวงวิญญาณรักผู้ต้องการทวงหทัยองค์ฟาโรห์แลพื้นพิภพแห่งตนกลับคืนมา!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๑ อดีตแห่งราตรีกาล

ย่ำสู่ราตรีกาล สุริยเทพ อามุน-เร กำลังเลื่อนลับลง ณ ที่ซึ่งผืนน้ำจรดกับปลายฟ้า ก่อนจะเสด็จไปยังดินแดนปรโลก เพื่อเตรียมพร้อมกับการกำเนิดใหม่ในอีกอรุณแรกของวันต่อไป...

รัตติกาลแห่งไอยคุปต์แผ่คลุมทั่วหล้า จันทราชักใบขึ้นเหนือทุกสรรพสิ่ง สาดแสงผ่านหมอกควันแห่งกาลเวลาที่ยื่นมือสยบทุกสิ่งในอาณัติเข้ามาโอบอุ้มไปทั่วผืนปฐพี เงาดำทะมึนน่าพิศวงปรากฏอยู่ประปราย พบความเคลื่อนไหวยุบยับอยู่ตรงขอบดินนั้นเอง ผู้คนมากมายพร้อมใจกันหลั่งไหลเข้ามายังสถานที่อันเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความศักดิ์สิทธิ์ เสียงแซ่ซ้องระคนคร่ำครวญหวนไห้ดังระงม จากปากทางด้านบน ดิ่งลงสู่พื้นผิวใต้ล่าง อิฐดิบชื้นแฉะครอบคลุมทุกพื้นที่ เสียงสวดอ้อนวอนอามุน-เร ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ชนทั่วหล้าต่างหวังใจว่า ความตั้งใจ ความจงรักภักดีของตน อาจทำให้เทพเจ้าผู้เป็นใหญ่ทรงเมตตา แลคืนผัสสะแก่ร่างฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นตัวแทนแห่งพระองค์อีกครั้ง

แผ่นดินใต้ล่างซึ่งตัดขาดจากประชาราษฎร์ลงมานั้น มีเพียงสตรีสูงศักดิ์ พร้อมด้วยขบวนแห่ยาวเหยียด ยากระบุจำนวน เหล่านักบวช ทหารหาญ ขุนนางชั้นสูง ฤากรมอาลักษณ์ เท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์พิเศษในครานี้...คงเพราะการสำคัญครั้งนี้ ยิ่งใหญ่เกินกว่าชนชั้นธรรมดา ไปจนถึงเหล่าทาสจะมีสิทธิ์เยื้องกราย การสำคัญสุดแสน...การสำคัญเพื่อผู้ล่วงลับ แลเหล่าเทพผู้ปกป้องผืนปฐพี

คบไฟดวงใหญ่ คือประทีปส่องทางสู่ที่หมาย ตะเกียงน้ำมันอีกหลายร้อยถูกจุดขึ้น...เพิ่มความสว่าง สะดวกต่อการดำเนินตามเส้นทางลึกลับ คดเคี้ยวดั่งเขาวงกต สถาปนิกผู้ออกแบบ ช่างชำนาญการ และมองการณ์ไกลต่อความหายนะจากเหล่าหัวขโมยผู้โลภา ประตูศิลากลมากมายถูกนำมาใช้กับสถานที่ชั้นใต้ดินแห่งนี้

ความมืดมิดโศกสลดครอบคลุมทั่วบริเวณ คละคลุ้งไปด้วยฝุ่นควัน กลิ่นไอดินชื้นๆ บรรยากาศรอบด้านชวนให้อึดอัดยิ่งนัก เหงื่อกาฬทุกผู้หลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย อบอ้าวด้วยไอร้อนที่สั่งสมไว้ในทิวาวาร หากทว่าดวงตาแห่งโฮรัสที่คอยคุ้มครอง แสงไฟทั่วทุกมุมประดุจดั่งดวงตาพญาเหยี่ยว นำพาซึ่งความวางใจในสวัสดิภาพของทุกชีวิต สตรีนางนั้นเปี่ยมด้วยความเศร้าโศกเหลือประมาณ หากรัศมีแห่งความงดงาม และแสนสง่ายังคงฉายชัดต่อทุกสายตาที่ได้ประสบเห็น นางเป็นใคร? คำถามนี้ยังคงดังก้องอยู่ในใจ อาจเป็นสิ่งซึ่งยากแก่การคาดเดา ทว่าการที่นางได้เดินนำหน้าขบวน ตามติดด้วยเหล่านักบวช พร้อมสรรพด้วยชายฉกรรจ์ตามอารักขา...น่าจะบ่งบอกระดับชั้นทางสังคมที่สูงส่งพอควร กระนั้นแล้วก็ยังคงยากแก่การระบุให้แน่ชัดถึงตำแหน่งแห่งที่ แลจุดหมายปลายทางของนางในครั้งนี้ นางยังคงดำเนินไปตามเส้นทางที่น่าหวาดกลัว เลี้ยวลับซับซ้อน นางกำลังจะไปที่ใด?!

และแล้วสตรีผู้เป็นเลิศนางนั้นก็หยุดยืนอยู่ข้างแท่นศิลาที่มีศพมัมมี่อันเป็นวิทยาการเลอค่าหาชนชาติใดมาเทียบ ศพนั้นประดับยศอย่างเต็มเปี่ยม เครื่องทองมากมายประดับประดาอยู่บนผิวนอก ผ้าคลุมประดับศีรษะเนเมส แลสัญลักษณ์เหนือหน้าผากรูปนกแล้ง ..กอปรด้วยอสรพิษวัดจิต ใช่แล้ว! สัญลักษณ์แห่งการรวมแผ่นดิน...ตัวแทนแห่งอียิปต์บน...แลอียิปต์ล่าง แน่นอนแล้ว ศพนั้นต้องสูงศักดิ์...ยิ่งใหญ่ กุมอำนาจเหนือใครในแผ่นดิน หากแต่จะให้ระบุแน่อีกคงมิได้ ฟาโรห์ผู้ล่วงลับผู้นั้นเป็นใคร สตรีผิวผุดผาด หากใบหน้าปราศจากความชัดเจนผู้นั้นเป็นใคร?

นางผู้นั้นย่อกายลงข้างแท่นศิลาใหญ่ ก่อนจะแนบผิวเนื้อนวลลออลงบนพระอังสาของฟาโรห์ นางร่ำไห้อีกแล้ว โศกาเรื่องอันใดหนอ ถึงได้ร่ำร้องเจียนขาดใจเพียงนั้น....มิรู้หรอก...หากรู้เพียงว่า...นางช่างน่าสงสาร..น่าทะนุถนอมเหนือใครทั้งหมดในที่นี้ ใบหน้านางนั้นเพ่งพินิจอย่างไรก็ไม่เห็นชัด รังสีแห่งความมืดดำบางประการห้อมล้อมตัวนาง หากสิ่งที่พานพบได้คือผิวพรรณละอองอ่อน แตกต่าง แลโดดเด่น เส้นผมละเอียดเล็ก สยายยาวถึงบั้นเอว อยากจะพินิจให้ชัดเจนไปถึงอาภรณ์กับเครื่องประดับที่นางสวมใส..แต่ใยจึงมีเพียงเงาตะคุ่มเยี่ยงนั้น

เสียงคร่ำครวญ โหยไห้จากเหล่าประชาราษฎร์ เบื้องบนสงบลง ออกจะเฉียบพลันเสียมากกว่าที่จะค่อยๆจางหายไปกับกระแสลมอย่างละมุนละม่อม..แน่นอนมันคือสัญญาณแห่งความผิดปกติบางอย่าง..ดูเหมือนสตรีนางนั้นจะรู้สึกไม่ต่างกัน นางหันรีหันขวาง สายตาเต็มไปด้วยความหวาดระแวง แม้ทหารหาญที่รายล้อมก็มีท่าทีกระวนกระวายไม่แพ้กัน เสียงเริ่มดังขึ้น..ดังขึ้น เป็นเสียงแห่งความหนักหน่วง เสียงเบื้องบนที่เงียบหาย บัดนี้กลับกลายเป็นโห่ร้องยินดี ราวกับกำชัยไว้ในสองมือ..ความโหดร้ายฉุดคร่าจิตวิญญาณของนางอย่างเจ็บแสบ นางพยายามมองหาบริวารที่อยู่ใกล้ ดวงตาของนางเปี่ยมไปด้วยความเจ็บแค้น...พยาบาท...ลำแสงสุดท้ายที่พานพบ สะท้องเงาข้ารับใช้สาวคนสนิท ความเจ็บปวด..ทุกข์ทนพุ่งขึ้นอย่างเฉียบพลัน ก่อนทุกอย่างจะดับวูบลงทั้งมวล

“ไม่!!!!!!”

เสียงกรีดร้องเจียนขาดใจดังขึ้นปลุกหญิงวัยกลางให้ตื่นขึ้นก่อนตรงดิ่งข้ามห้องเข้ามาอย่างเร่งรี่ ดวงหน้านวลแอร่มบนฟูกหนามีเม็ดเหงื่อเกาะพราว ร่างแบบบางพลิกตัวกระสับกระส่าย สีหน้าของหล่อนฉายชัดถึงร่องรอยแห่งความเจ็บปวดทุกข์ทน แสนทรมานจนกนกมาลาต้องรีบทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงแล้วเข้าโอบกอดบุตรีไว้แน่น หวังปลอบประโลมให้เบาคลาย หล่อนสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของลูกสาว กล้ามเนื้อมัดน้อยใหญ่หดเกร็งทั่วร่าง ขนงเรียวเข้มสีมะเกลือขมวดเข้าหากันก่อนจะคลายออก..และขมวดกลับครั้งแล้วครั้งเล่า

หากในที่สุด ‘โรมรัศมี’ ก็หลุดพ้นจากความโหดร้ายอันเป็นปริศนา ความเจ็บปวดประหลาดทั้งหลายผ่อนคลายลงแล้ว หล่อนตื่นจากฝัน..นิทราสุดแสนทรมานทั้งจิตวิญญาณและร่างกาย อีกครั้งในรอบปี...มันเคยเกิดขึ้นแล้วก่อนหน้านี้ ในวันครบรอบวันเกิดวัยสิบห้าแรกดรุณของหล่อนนั่นเอง และคราวนี้ ฝันร้ายถัดจากคราวนั้นราวห้าเดือนเศษ ความโหดร้ายครั้งที่สองเวียนมาบรรจบ ทำให้ชีวิตทีดำรงอยู่ในศีลธรรมใต้ร่มเงาแห่งพระศาสดาต้องสั่นคลอน ความเชื่อมั่นเริ่มหดหาย แทนที่ด้วยความกริ่งเกรง...ฤาภยันตรายร้ายกำลังจะมาเยือน!

“มะ....แม่...แม่คะ” หล่อนหายใจกระชั้น หอบถี่ และติดขัด เพื่อรับเอาออกซิเจนไปชดเชยให้ทันกับพลังงานมหาศาลที่สูญสิ้นไป “มันเกิดขึ้นอีกแล้ว...หนะ..หนู..หนูกลัวค่ะแม่” เด็กสาวระล่ำระลักบอก คนเป็นแม่เพียงพยักหน้าช้าๆแทนการรับรู้ หล่อนมีท่าทีสงบเย็นตามแบบฉบับของศาสนิกชนผู้รู้จักการควบคุมสติสัมปัชชัญญะ และเท่าทันจิตของตนอยู่ทุกขณะ หล่อนเองก็คงมีความประหวั่นไม่แพ้บุตรีนัก แต่หล่อนเลือกจะเก็บมันไว้ภายใต้สีหน้าแย้มยิ้ม ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อเด็กสาวมากที่สุดในตอนนี้

“แม่รู้...ลูกเพียงฝันร้าย” กนกมาลากล่าวปลอบเสียงนุ่มนวล ใจคอเด็กสาวเริ่มกลับคืนสู่สภาวะปกติอีกครั้ง “โรมลูกรัก..จำไว้นะ..ลูกต้องดำรงในศีล..และหมั่นทำทาน โดยเฉพาะอภัยทาน มันสำคัญกับหนูมาก...แล้วจะไม่มีอะไรน่ากลัวสำหรับหนูทั้งนั้น” กนกมาลาสอนสั่งบุตรสาว เหมือนที่เคยทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มือบางนุ่มนิ่มอย่างคนที่ไม่ค่อยผ่านงานนักหนาอะไรเอื้อมมือไปสางผมเส้นละเอียดเล็กราวไหมให้คลี่ออก ก่อนจะลูบศีรษะเด็กสาวอย่างเอ็นดู

“โรมไม่ลืมคำสอนของแม่หรอกค่ะ..แต่โรมกลัว กลัวจริงๆนะแม่” โรมรัศมีบอกเสียงแผ่ว หากครู่เดียวก็มีความตื่นตระหนกเข้าครอบงำจิตใจ หล่อนหันซ้ายหันขวา เพื่อหากระจกสักบาน “ดวงตาของหนู....ไม่เหมือนวันนั้นใช่ไหมแม่”

กนกมาลาถอนใจเบาๆ หญิงวัยกลางนิ่งเงียบแทนคำตอบ นัยน์ตาสีนิลสนิททอแววเห็นใจ แต่หล่อนก็ยังคงปลอบประโลมอย่างที่เคยทำมาครั้งหนึ่งว่า “ไม่มีอะไรหรอก...บอกแล้วไง..แค่ปฏิกิริยาเฉพาะตัวของหนูเท่านั้น”

แต่นั่นกลับทำให้เด็กสาวยิ่งกระวนกระวายไม่เป็นสุข คำตอบชัดเจนอยู่แล้ว ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิม เด็กสาวดีดตัวขึ้นจากที่นอน ก่อนจะวิ่งตรงไปยังโต๊ะกระจกทรงโบราณมูลค่าสูงที่มุมห้อง

ภาพสะท้อนจากกระจกเงากรอบลายกนกบานนั้นทำเอาโรมรัศมีใจอ่อนยวบ แม้มารดาจะยืนยันตามหลักการแพทย์ที่น่าเชื่อถือสักปานใด แต่ภาพที่ปรากฏแก่หล่อนเป็นครั้งที่สองนี้ ช่างเหลือจะรับได้ในฐานะมนุษย์เดินดินธรรมดาคนหนึ่งอย่างหล่อน ดวงตาคมกริบลุ่มลึก ประดับแผงขนตางอนยาว เปี่ยมมนต์สะกดดึงดูดใจยิ่งยวดต่อใครก็ตามที่พบเห็น เอกลักษณ์แห่งดวงตา ที่เปรียบประดุจสตรีงามในดินแดนอันไกลโพ้น ดวงตาที่สะกดชนทุกชาติให้หลงใหลไม่มีเสื่อมคลาย คงจะน่าภูมิใจอยู่หรอก หากมันจะไม่แปรเปลี่ยนนัยน์ตาสุกสกาวของหล่อนคู่นี้ให้กลายเป็นดั่งเปลวเพลิงลุกโชติช่วง นัยน์ตาซึ่งเคยดำขลับดั่งราตรีเดือนมืดกลับแดงก่ำราวสายเลือด!

“หายใจลึกๆเข้าโรม..ตั้งสติให้มั่น ทำสมาธิให้นิ่ง” กนกมาลาตะโกนบอกบุตรสาว ซึ่งก็ได้ผลชะงัดนัก โรมรัศมีทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย และภายในชั่วพริบตา ทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ เด็กสาวหันหลังให้กระจกด้วยความโล่งใจสุดบรรยาย สาวเท้ายาวๆกลับมาหามารดา หล่อนคุกเข่าลงกับพื้น แนบหน้าลงบนตักผู้ให้กำเนิด ก่อนจะโอบกอดเอาไว้ด้วยความรู้สึกหลากหลาย

“มันหายไปแล้วแม่” เด็กสาวเอ่ยเสียงเครือ น้ำใสจากดวงตาคู่งามซึมลงบนเนื้อผ้าบางเบาของผู้เป็นแม่จนเปียกชุ่ม หากกนกมาลาก็ไม่ถือสาแต่อย่างใด ปล่อยให้บุตรสาวระบายความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในอกตามสบาย หล่อนมีความรักเปี่ยมล้นต่อลูกสาวคนเดียวคนนี้ โรมรัศมีเป็นดั่งไข่มุกแห่งโรมัน หล่อนเกิด ณ ใจกลางกรุงโรม เมื่อครั้งที่หญิงวัยกลางผู้เป็นแม่ติดตามสามีซึ่งดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจำอิตาลี นั่นคือที่มาของชื่อเรียกอันแปลกประหลาดหากเต็มไปด้วยความภาคภูมิของสองผู้ให้กำเนิด โรมรัศมี...หล่อนเป็นดั่งรัศมีแห่งโรม หล่อนเติบโตขึ้นมาอย่างงดงาม ทุกคนต่างชื่นชมกับรูปลักษณ์สะดุดตา...ความสามารถพิเศษบางประการของหล่อน และในขณะเดียวกันก็พิศวงกับความเป็นมาของหล่อนไปด้วย...โดยเฉพาะอย่างยิ่ง....ปริศนาในวันวารที่เวียนมาบรรจบเป็นรอบที่สาม...มันเริ่มต้นขึ้นในวันที่เด็กสาวลืมตาดูโลกเป็นวันแรก

วันนั้นรังสรรค์ยืนกุมมือหญิงสาววัยเบญจเพสผู้ให้กำเนิดบุตรีคนแรกแก่เขา...กำลังใจเหลือล้นได้มอบให้กับภรรยาคนสวยด้วยความรัก ในห้องพิเศษสุดหรูห้องหนึ่งของโรงพยาบาลเอกชนกลางกรุงโรม ประเทศอิตาลี

“เราได้ลูกสาว..ผมดีใจที่สุดเลย..คุณดีใจเหมือนผมไหม” เสียงเอ่ยถามอย่างอ่อนโยนแฝงความยินดีจากผู้เป็นสามีดังขึ้นที่ข้างหู กนกมาลาพยักหน้ารับ ก่อนยิ้มละไมด้วยความรู้สึกไม่ต่างกันนัก

“ดีใจมากค่ะ...ฉันดีใจที่สุด..แต่” หล่อนหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน ความวิตกกังวลบังเกิดขึ้นแทนที่ความดีใจ “ลูกของเราไม่ได้ผิดปกติใช่ไหมคะ....ทำไม..”

รังสรรค์ยกมือหนาใหญ่ขึ้นปิดริมฝีปากที่กำลังจะเผยอพูดอะไรบางอย่างออกมา...บางอย่างที่เขาไม่อย่างจะเอ่ยถึงมันยิ่งนัก...มันทำให้เขารวมทั้งภรรยาไม่สบายใจ

“หมอเขาบอกแล้วไง..ว่าไม่มีอะไร...บางทีพวกเราอาจตาฝาดกันก็ได้”เมื่อเห็นภรรยาสุดรักยังคงร่องรอยแห่งความวิตกเอาไว้ ทำให้รังสรรค์ต้องกำชับเสียงหนักแน่นเพื่อความสบายใจของหญิงสาว “อีกอย่างมันหายไปแล้ว...เกิดขึ้นไม่ถึงนาทีเลยด้วยซ้ำ”

สองสามีภรรยาส่งสายตาให้กันอย่างพยายามทำความเข้าใจ และยอมรับกับสิ่งที่เกิด ยอมรับกับคำยืนยันของสูตินรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญชาวอิตาเลียน และดั่งแทนคำสัญญา พวกเขาจะไม่มีวันทำให้ลูกต้องสงสัยในที่มาและวิตกกังวลกับความผิดปกติบางประการของตน ทุกอย่างคือธรรมชาติ...มันเป็นเพียงปฏิกิริยาในร่างกาย ซึ่งอาจเป็นทฤษฎีใหม่ของโลก ที่วงการแพทย์ยังศึกษาไปไม่ถึง

ดวงตาดุจเปลวเพลิงแดงฉาน...วิหคทะเลทรายรูปร่างแคระแกร็นตัวนั้น...มันเป็นธรรมชาติ...เกิดขึ้นแล้วดับไปเพียงชั่วพริบตาเดียว..ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง...ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล...

‘โรมรัศมี’ คือของขวัญจากเมืองฟ้า...และนั่นเป็นสิ่งเดียวที่สำคัญสูงสุดในชีวิตของเขาทั้งสอง



ศิลาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ส.ค. 2555, 22:52:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ส.ค. 2555, 22:52:46 น.

จำนวนการเข้าชม : 1256





tutas 15 ส.ค. 2555, 16:11:17 น.
บทแรกก็ชวนให้ติดตามแล้วค่ะ อยากอ่านตอนต่อไปแล้วค่ะ ^_^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account