บุหรงรังเพลิง
เมื่อคนรักไร้ความซื่อสัตย์ งานวิวาห์จึงกลายเป็นทะเลเพลิง
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 4

ตอนที่ 4

ปราชญ์กลับถึงบ้านเมื่อเวลาเกือบสามทุ่ม ภายในบ้านสองชั้นขนาดกลางบนเนื้อที่ครึ่งไร่ อยู่แถบชานเมืองในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง แม้บ้านหลังจะไม่ใหญ่โตเท่าใดนัก แต่ก็มีพื้นที่ใช้สอยในบ้านพอที่หนึ่งครอบครัวจะอยู่ร่วมกันสี่คน

คนจำนวนไม่มาก ประกอบขึ้นเป็น ‘ครอบครัว’ คงจะอยู่ดีมีสุข ถ้าทุกอย่างจะเกี่ยวพันทางสายเลือดโดยตรง ทว่าความสัมพันธ์ในครอบครัวของปราชญ์ มีเพียงคุณปรีชาที่เป็นเสาหลักของบ้านเท่านั้น ซึ่งเกี่ยวพันกันในฐานะพ่อกับลูก

ส่วนคุณปิ่นมณี ในฐานะภรรยาใหม่ของบิดา ซึ่งเลี้ยงดูเขามาแต่เล็กแต่น้อย ก็นับว่าเป็นบุคคลซึ่งเขาให้ความเคารพดุจมารดาแท้ๆ แม้ว่าจะไม่สนิทใจนัก อันสืบเนื่องมาจากบุตรชายของคุณปิ่นมณี ซึ่งเกิดกับบิดาของเขา

ดังนั้นปักษคม จึงมีศักดิ์เป็นน้องร่วมสายเลือด มีบิดาเดียวกัน...ดูเผินๆก็น่าจะไม่มีปัญหาใดในครอบครัว แต่ข้อเท็จจริงนั้นก็ไม่ได้ต่างไปจากชีวิตในละคร ข้อที่ว่าแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยง...คงไม่แปลกถ้าคุณปิ่นมณีจะรักลูกตนเองมากกว่า ข้อเปรียบเทียบระหว่างบุตรชายสองคนจึงถูกตั้งแง่มาตลอด

แต่นับว่าเป็นโชคดีที่ตัวของปราชญ์ไม่ได้เกเร ไม่ได้เรียกร้องความสนใจ อย่างที่ลูกเลี้ยงแบบในละครนั้นเป็น แต่กลับตรงกันข้าม ยิ่งคุณปิ่นมณีเอาอกเอาใจปักษคมเท่าไร เขาก็ยิ่งกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจ หนักข้อ ก็กลายเป็นเกกมะเหรกเกเร ไม่เอาการเอางาน วันๆเอาแต่เที่ยวเตร่ บ้านเพื่อนเป็นที่สิงสถิตมากกว่าที่จะกลับบ้านเสียด้วยซ้ำ

นั่นจึงเป็นข้อแตกต่างระหว่างสองพี่น้องอย่างเห็นได้ชัด ความขี้เกียจกับความขยันเป็นเรื่องจริงในชีวิต ที่สามารถสร้างคนหรือทำลายคน โชคดีที่ปราชญ์ประพฤติตนไปทางความขยัน ส่วนปักษคมหลงไปทางความขี้เกียจ ดังนั้นทั้งคู่จึงถูกคนแวดล้อมนำมาเปรียบเปรย

ปักษคมกลายเป็นคนมีปมด้อย ยิ่งใครต่อใครชื่นชมปราชญ์มากเท่าไหร่ เขายิ่งฝังความอิจฉาต่อพี่ชายไว้มากขึ้นเท่านั้น

แล้วขณะที่กำลังขับรถเข้าไปจอดในโรงรถ ตัวบ้านยังคงเปิดไฟทิ้งไว้ ปราชญ์เดาได้ว่า ปักษคมก็คงไม่อยู่บ้านตามเคย

ทันทีที่ลงรถ เสียงเขียวปั้ดของคุณปิ่นมณีก็ดังขึ้น “กลับบ้านกลับช่องให้มันมืดค่ำเสียทุกวันนะ ตั้งแต่รู้ตัวว่าจะไปเป็นหนุ่มนักเรียนนอก แหม...มันช่างโก้หรูเสียจริง ไอ้ที่ว่าจะไปเรียนต่างประเทศ เลยทำตัวเป็นเทวดาเข้าไปทุกวัน”

ปราชญ์ไม่ตอบ เดินเลี่ยง แต่แม่เลี้ยงก็ยังตามมาบ่นฉอดๆ “ทำเป็นทนฟังไม่ได้ เดินหนีฉันทำไมกันยะ ที่ฉันพูดเนี่ย ก็อยากให้เธอได้รู้สำนึกไว้บ้างหรอก ว่าไปอยู่เมืองนอก มันต้องเสียค่าใช้จ่ายอีกบานตะไท เวลาไปอยู่ มันจะได้ไม่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ช่วยกันรู้จักประหยัดมั่ง เงินพ่อเธอที่มีเก็บไว้เดี๋ยวมันจะหมดจนหาไม่ทัน”

ปราชญ์หยุดเท้ากึก หมุนตัวกลับ อยากจะเถียง แต่ก็พูดเสียงไม่ดังนัก “น้าปิ่นมีเรื่องจะพูดเท่านี้ใช่ไหมครับ”

“ใครว่าที่ฉันอยู่รอ ยังไม่หลับไม่นอน ก็เพราะจะรอมานั่งบ่นเธอซะเมื่อไหร่ ฉันก็แค่อยู่เป็นเพื่อนพ่อเธอ โน่น...เขานั่งคอยตั้งแต่เย็น อยากจะคุยกับเธอ”

แล้วคุณปิ่นมณีก็ยังบ่นไม่หยุดอีกเป็นชุด แม้กระทั่งเขาจะเดินไปหาบิดา ซึ่งนั่งคอยอยู่บริเวณสวนหลังบ้าน

ภายใต้ความมืดปกคลุม แสงสีส้มนวลตาจากโคมไฟสูง ส่องให้เห็นเสี้ยวหน้าของคุณปรีชา เห็นชัดถึงรอยกังวลบางอย่างอยู่ในนั้น

ปราชญ์มองผ่านผนังไม้ตีซี่ระแนงทาสีน้ำตาลเข้ม ลอดช่องเล็กๆเห็นหน้าบิดาเต็มตา ชายสูงวัยผู้นั้นนั่งคอยอยู่ที่เดย์เบดตัวยาวสานด้วยหวาย เบาะรองสีเขียวตุ่นรับกับต้นจั๋งญี่ปุ่น อยู่ในกระถางปูนขัดเคลือบเงา

“พ่ออยากพบผมเหรอครับ”

เขาลงนั่งเก้าอี้หวายตัวเล็กเข้าชุด ยิ้มบางๆเมื่อเห็นถึงความโรยราตามวัยของบิดา แล้วก็เหลือบตาไปมองแม่เลี้ยงซึ่งยืนค้ำอยู่ด้านหลัง

“จะไปดูหนังดูละคร ก็ไปเถอะ เดี๋ยวผมขอคุยกับลูกชายหน่อย”

คุณปิ่นมณีจึงมองค้อนอย่างไม่พอใจ แล้วหมุนตัวกลับไป แต่กระนั้นก็ยังพูดทิ้งท้ายให้รกหู “ถือหางกันเข้าไป ตามใจกันเข้า...มันจะได้เป็นเทวดาของจริงก็คราวนี้ล่ะ”

พอคล้อยหลังคุณปิ่นมณี ผู้เป็นพ่อจึงเอ่ยปลอบ “อย่าไปถือสาอะไรน้าปิ่นเขาเลยนะ อยู่กันจนโตมาขนาดนี้ ไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆแบบแต่ก่อนเสียเมื่อไหร่ น้าปิ่นก็คงจะพูดเพราะหวังดีนั่นล่ะ”

เขารับคำ พยายามไม่ถือสา ‘ความหวังดี’ ที่ตรงข้ามกับคำพูดของแม่เลี้ยง

“ผมทราบครับพ่อ ว่าน้าปิ่นเธอเป็นห่วงผม เหมือนที่แม่ทุกคนก็เป็นกัน พ่อสบายใจเถอะครับ ไม่ว่าน้าปิ่นจะพูดว่าอะไร ผมไม่เก็บมาคิดให้รกสมอง”

ปราชญ์ทำเช่นนั้นอย่างที่พูดจริง เพราะที่ผ่านมาคำพูดของคุณปิ่นมณี ล้วนเป็นหอกทิ่มแทงใจเขามาตลอด ยิ่งเลี้ยงปักษคมได้ย่ำแย่เท่าไร เขากลับยิ่งถูกคุณปิ่นมณีกระทบกระเทียบแดกดันสารพัด ถ้าเขาไม่ใช่คนใฝ่ดี กตัญญูรู้คุณ เดินตามรอยของคนมีคุณธรรมนำใจอย่างที่บิดาสอน เขาก็คงไม่เติบโตขึ้นมาเป็นคนมีคุณภาพเช่นวันนี้

แล้วความสำเร็จก็เป็นเหมือนขั้นบันได เมื่อจบปริญญาตรี ก็เข้ารับราชการครูอยู่ที่โรงเรียนเดียวกับบิดา ซึ่งคุณปรีชาเป็นถึงผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในตัวจังหวัดสมุทรสาคร เขาทำงานที่แห่งนี้ราวสามปี โดยใช้ชีวิตเรียบง่าย แต่ก็ยังไม่หยุดที่จะพัฒนาตนเองในสาขาอาชีพ ดังนั้นจึงร่ำเรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยชื่อดังในประเทศ ด้วยการสอบชิงทุน

การประสบความสำเร็จอันรวดเร็วด้วยวัยเพียงยี่สิบแปดปี ทำให้เขามองหาโอกาสเพิ่ม ยิ่งได้รับการสนับสนุนจากบิดาให้ลองสอบชิงทุนปริญญาเอก แล้วฝันเพียงเอื้อมมือนั้นก็เป็นจริง เขากำลังจะไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ

“เรื่องที่ลูกจะไปเรียนต่อปริญญาเอกนั่นเรียบร้อยดีไหม แล้วจะไปเมื่อไหร่”

“ประมาณเดือนหน้าครับพ่อ ตอนนี้ทางโน้นก็ตอบรับเรื่องสถานที่พัก เรื่องวีซ่า เรียบร้อยดีทุกอย่างครับ ไม่น่ามีปัญหาอะไร”

ผู้สูงวัยพยักหน้ารับ และเอ่ยในสิ่งที่เขาเพิ่งจะโดนแม่เลี้ยงแขวะเมื่อครู่ “เรื่องที่น้าปิ่นพูดเรื่องเงินเรื่องทองนั่น ลูกไม่ต้องกังวลไปนะ เพราะค่าใช้จ่ายทางโน้น พ่อได้แบ่งเงินก้อนเตรียมไว้ให้ลูกแล้ว คงไม่ต้องไปรบกวนเงินกองกลาง หรือว่าเงินส่วนตัวของใคร”

“ไม่ต้องห่วงครับพ่อ อยู่ทางโน้น ผมจะทำงานพิเศษที่ร้านอาหาร ทางผู้ใหญ่ที่ติดต่อบ้านแหม่มที่ผมไปพัก ก็แจ้งว่ามีร้านที่สนิทสมกัน จะให้ผมไปทำงานพิเศษ”

“อย่าไปหักโหมเรื่องงานมากนะลูก อย่าลืมว่าเราไปทำอะไร...หน้าที่ของเราคืออะไร”

“ผมทราบครับพ่อ ห่วงแค่เรื่องเดียว พ่อยิ่งไม่ค่อยสบาย เห็นปวดหัวบ่อย อาการเป็นยังไงบ้างครับ”

คุณปรีชาโคลงศีรษะเบาๆ “พ่อไม่เป็นอะไรมากหรอกลูก โรคคนชราน่ะ อีกสองปีก็ใกล้จะเกษียณแล้ว มันก็ต้องเป็นนู่นเป็นนี่บ้างตามประสาคนแก่”

“แต่พ่อเพิ่งมาเป็นช่วงปีหลังนี่เองไม่ใช่เหรอครับ แต่ก่อนพ่อก็แข็งแรงออกจะตายไป หรือว่าพ่อไม่สบาย ไปหาหมอตรวจสุขภาพซะหน่อยดีไหมครับ เดี๋ยวไปพรุ่งนี้เลย”

“ไม่ไปล่ะ พ่อไม่ค่อยถูกกับหมอ”

ปราชญ์รู้ดีว่าเมื่อเอ่ยถึงการไปตรวจโรคที่โรงพยาบาล เป็นต้องได้รับการปฏิเสธเสียทุกครั้ง ครั้นจะบังคับ บิดาก็ไม่ยอมท่าเดียว เขาเองก็จนใจ เพราะถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่อง ‘ดื้อ’ สำหรับคนสูงวัยแทบทั้งนั้น

สองพ่อลูกถ้อยทีถ้อยอาศัย พูดคุยถึงหลายเรื่อง จนวกเข้ามายังเรื่องที่ทำให้คุณปรีชานั่งหน้าเครียดก่อนที่ลูกชายจะกลับเข้าบ้าน

“ช่วงนี้เห็นกลับบ้านดึกดื่นทุกวัน มีธุระที่ไหนรึเปล่า”

คนเป็นลูกได้แต่อึกอัก “เอ่อ...ผม ก็แค่...”

“ลูกผู้ชายต้องพูดความจริง”

เขาสบตาบิดาตรงๆ เห็นชัดถึงรอยกังวลในนั้น เขาจึงบอกถึงช่วงตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ว่าไปทำธุระที่ไหนมาบ้าง ซึ่งเป็นประเด็นที่พ่อเขาอยากรู้

“พ่อไม่สบายใจกับเรื่องนี้เลย พูดตรงๆ การที่ลูกไปไหนต่อไหนกับหนูดาว พ่อเกรงว่ามันจะกลายเป็นชนวน ลูกเองก็น่าจะรู้แก่ใจว่าตอนนี้หนูดาว เธอกำลังจะแต่งงานแล้ว พ่ออยากให้ลูกอยู่ห่างๆหนูดาวไว้ น่าจะดีกว่า”

“แต่ผมไม่ได้คิดอะไรกับดาวแล้วนะครับ”

คนเป็นพ่อส่ายหน้า อ่อนอกอ่อนใจ เพราะเป็นที่รู้กัน ว่าบุตรชายผู้นี้ เป็นคนใจอ่อนมาแต่ไหนแต่ไร การที่จะไปไหนกับพันดาว เพราะความรู้สึกสงสารเห็นใจฝ่ายนั้น รังจะเกิดแต่ผลเสีย ยิ่งประวัติของพันดาว เท่าที่คุณปรีชาทราบ ผู้หญิงคนนั้นมีโลกของการใช้ชีวิตที่แตกต่าง ซึ่งปราชญ์อาจเข้าไม่ถึงทีเดียว

“พ่อแค่อยากเตือนสติลูก”

“เชื่อผมนะครับพ่อ ผมไม่ได้คิดอะไรกับดาวแล้วจริงๆ ผมเพียงแค่ไปเป็นเพื่อนเธอ เพราะตอนนี้...” เขาไม่อยากเล่าถึงเรื่องส่วนตัวพันดาวที่ลึกไปกว่านี้

“ลูกไม่ต้องเล่าหรอก พ่อรู้ว่าตอนนี้หนูดาวกับแฟนของเธอกำลังมีปัญหากันอย่างหนัก พ่อรู้แม้กระทั่งว่าผู้ชายคนนั้นก็ไม่ใช่คนดีเด่อะไร ลูกกับเมียเก่าก็มี แถมยังไม่ได้หย่ากันเป็นทางการ พ่อมองเห็นแต่ปัญหา พ่อถึงอยากให้ลูกออกห่างจากหนูดาวไว้ น่าจะดีที่สุด”

คุณปรีชาพูดจนหมดเปลือกว่าความต้องการคืออะไร และเชื่อในตัวลูกชาย รู้ดีว่าปราชญ์จะไม่มีวันก้าวเท้าเข้าไปเหยียบขี้เลนให้เปื้อนเปรอะ

“ต่อไป...ผมจะไม่ไปไหนกับดาวตามลำพังอีกครับ พ่อสบายใจได้”

คำสัญญาของลูก ทำให้บิดาใจชื้นขึ้น ทั้งคู่คุยเรื่องอื่นอีกจิปาถะ ก่อนที่ปราชญ์จะพยุงบิดาขึ้นไปพักผ่อนยังห้องนอน...ส่วนตัวเขาก็กลับลงมานั่งยังสวนหลังบ้านที่เดิม

เห็นทีจะต้องตัดใจให้ขาด แล้วเลิกยุ่งกับพันดาวเสียที

..................................................

กว่าที่ปราชญ์จะเตรียมตัวเข้านอน ก็เลยเวลาเที่ยงคืน ระหว่างกำลังปิดประตูบ้าน เสียงประตูรั้วก็เลื่อนออก พร้อมกับร่างสูงของปักษคมกำลังเดินตุปัดตุเป๋ลงมาจากรถแท็กซี่

ปราชญ์ยืนรออยู่พักใหญ่ที่กรอบประตูบ้าน เมื่อคนเป็นน้องเดินมาถึง ต่างคนต่างจ้องหน้ากัน หากแต่ความคิดกลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง

“ทำไมกลับบ้านดึกนัก น้าปิ่นเป็นห่วงนายมากนะ”

ปักษคมย้อนทันที “นายก็กลับดึกเหมือนกันนั่นล่ะ หายหัวไปไหนมาล่ะ ทำมาเป็นพูดดี”

ทั้งสองหนุ่มมีอายุห่างกันถึงสี่ปี แต่ความไม่นับถือพี่ชายคนละแม่ ปักษคมจึงไม่เคยเอ่ยเรียกปราชญ์ว่าพี่สักครั้ง จนเกิดความเคยชินและไม่มีใครถือสา หากแต่นั่นเป็นปมแรกๆด้วยซ้ำ ที่ทำให้น้องปีนเกลียว ไม่รู้จักความเป็นอาวุโสตามลำดับ

“นายจะเหมาว่าพี่กลับดึกเหมือนกันไม่ได้หรอก เพราะพี่ไปธุระ ส่วนนายเอาแต่เที่ยว ดื่มแต่เหล้าแบบนี้ทุกวัน...นายน่าจะรู้บ้าง ว่าคนที่บ้านเป็นห่วง นี่น้าปิ่นก็เพิ่งจะเข้านอนเมื่อครู่”

ปักษคมยกมือยกไม้โบกปัดอย่างรำคาญใจ พลางบ่นอุบขณะสาวเท้าเดินเฉียดไหล่คนเป็นพี่ “ฮู้ย! จะมาเป็นห่วงอะไรกันนักหนา ผมก็ไม่ใช่เด็กสิบขวบแล้ว ที่จะมากำหนดเวลาห้ามกลับบ้านเกินสองทุ่ม”

“แม่นายจะไม่ห่วงเลย ต่อให้กลับบ้านตีสองตีสาม หรือว่าจะไม่กลับ...ถ้านายไม่ทำตัวสำมะเลเทเมาแบบนี้”

ปราชญ์หวังเพียงเตือนผู้เป็นน้องชาย ให้รู้จักใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม แต่เจตนาของเขามักถูกปักษคมมองไปเป็นแง่ร้ายเสมอ

“ว่าแต่คนอื่น นายทำตัวดีนักนี่ นึกว่าคนอื่นเขาไม่รู้เรื่องที่ไปไหนมาไหนกับยายดาวนั่นรึไงกัน”

ปักษคมหันมามองผู้เป็นพี่ตาคว่ำ เหยียดปากอย่างดูถูก “คอยตามแต่ผู้หญิงที่กำลังจะแต่งงานไปมีผัว นายคิดว่ามันดูเท่รึไงกัน”

“ปัก นายชักจะก้าวร้าวมากไปแล้ว”

“พูดแทงใจดำรึไง แค่นี้ทำเป็นทนฟังไม่ได้ ถ้างั้นทีหลังอย่าเที่ยวมายุ่งเรื่องของคนอื่นอีก ไปจัดการเรื่องของตัวเองให้รอดซะก่อนเถอะ”

“นายเป็นน้อง ทำตัวให้มันสมกับที่เป็นน้องหน่อย อย่าลามปามให้มากนัก”

แม้ปราชญ์จะไม่ชอบคำพูด หรือพฤติกรรมของอีกฝ่ายอย่างไร แต่เขาก็เป็นคนรู้จักระงับอารมณ์ เมื่อตั้งสติได้ จึงพยายามลดระดับเสียงไม่ให้เห็นว่าเขาไม่พอใจ

“เลิกมาอ้างว่าเป็นพี่สักทีเถอะ เราไม่เคยนับ...นายกับเรามันก็แค่คนร่วมโลก ที่แค่อาศัยพ่อคนเดียวกันก็เท่านั้น”

สายตาของปักษคมขุ่นข้น ราวกับโกรธเคืองผู้เป็นพี่มานับหลายปี เขายังคงผรุสวาทด่าทออีกไม่รู้จบ แต่ละคำล้วนหยาบคาย และขาดความเคารพ ทว่าปราชญ์ก็ได้แต่นิ่งเงียบ เพราะนึกเสมอว่าชายตรงหน้าคือน้อง จะอย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ก็มีบิดาคนเดียวกัน ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปได้

“ทำไมนายพูดอย่างนั้น ถ้าพ่อได้ยิน พ่อจะเสียใจแค่ไหน”

ปักษคมเกาหัวอย่างหงุดหงิด เดินโผเผย้อนกลับมาใกล้เขา “อย่าเอาพ่อมาอ้างเลยดีกว่า นายก็รู้ว่าพ่อไม่เคยรักเราเท่ากับที่เขารักนาย เรามันก็แค่ลูกกาฝาก ไม่มีดีอะไร...พ่อไม่เคยเห็นเราอยู่ในสายตาหรอก เอะอะก็นาย แม้แต่หางตา พ่อก็ไม่เคยมองเรา”

ปราชญ์รีบเถียง “พ่อไม่เคยคิดอย่างนั้น นายก็รู้”

“เฮอะ! นายเที่ยวไปหลอกเด็กอมมือดีกว่า อย่าเสียเวลามาเป่าหูเราเลย”

ปักษคมไม่สนใจฟังคำพูดต่อจากนั้น ก้าวโหย่งๆขึ้นบันได ทั้งที่ตัวเองก็ค่อนข้างเมา สติไม่ครบร้อย แต่ละก้าวจึงค่อนข้างขลุกขลักพอควร

แม้จะรู้ว่าคุยกับปักษคมอย่างไร ก็คงยากจะเปลี่ยนความคิดอันถูกฝังหัวด้วยเหตุผลหลายประการ เขายอมรับว่าการที่คนอื่นชื่นชมหรือเชิดชูเขา เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนเป็นน้องพยายามทำตัวเรียกร้องความสนใจ จึงสร้างแต่ปัญหามาตลอด

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่อยากเห็นปักษคมจมดิ่งลงเหวลึกไปกว่านี้

...................................................

หุบเหวในใจคนมันยากเกินหยั่งถึง...ประโยคนี้น่าจะใช้ได้กับมนุษย์ทุกผู้คน ดังนั้นจึงไม่อาจคาดเดาได้ว่า เมื่อเกิดความเกลียด ชังน้ำหน้า ประสมความโกรธกรุ่น บุคคลผู้มีความรู้สึกเช่นนั้นจะทำอะไรได้บ้าง

เช้าวันนี้ปักษคมจึงตื่นขึ้นอย่างหงุดหงิด หลังจากใช้เวลาข่มตานอนอย่างยากเย็น หลังจากปะคารมกับผู้เป็นพี่เมื่อคืน เครื่องดื่มมึนเมาแม้จะช่วยให้เขาพ้นทุกข์ในใจได้บ้างชั่วครั้งชั่วคราว แต่มันก็ไม่อาจข่มความทุกข์จากจิตใต้สำนึกได้หมดสิ้น

ปักษคมพลิกกายไปมาบนเตียง มองดูนอกหน้าต่าง เห็นกิ่งไม้ซึ่งทอดแขนงจนเกือบชิดบานมุ้งลวด มองแค่นั้นก็รู้สึกมันรกหูรกตา รู้สึกได้ทันทีว่าชีวิตของปราชญ์คงเหมือนกิ่งก้านพวกนั้น ที่เกะกะ

ถ้ามันไปอยู่ที่เมืองนอก ก็คงดี...จะได้ไปให้พ้นจากบ้านนี้ซะที

หากกระนั้นก็ยังคงเกิดความอิจฉา กับความได้ดิบได้ดีในชีวิตของปราชญ์ เขาลุกขึ้นดึงผ้าห่มคลุมร่างออก ฟึดฟัดอย่างไร้เหตุไร้ผล

ทำไมมันถึงได้ดี แล้วตัวเราทำไมถึงไม่เห็นได้ดีแบบมัน

แล้วความคิดบางอย่างก็แวบเข้ามาในหัวสมอง เมื่อเสียงหวานฉอเลาะของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นอยู่ที่หน้าประตูบ้าน

ปักษคมลุกขึ้นไปมองที่หน้าต่าง เห็นพันดาวกำลังยืนเกาะประตูรั้ว มารดาของเขากำลังเดินออกไปยืนคุยที่หน้าบ้าน ดังนั้นเขาจึงรีบสวมเสื้อ แล้วก้าวยาวๆเพื่อไปหาหล่อนทันที

เวลานี้ประมาณเจ็ดโมงเช้า จึงเดาได้ว่าพี่ชายของเขาคงจะไปวิ่งออกกำลังกายแต่เช้าที่สวนสาธารณะแล้วยังไม่กลับ ดังนั้นเขาจึงควรฉวยโอกาส เข้าไปยุแยงบางอย่างแก่หญิงสาว

คุณปิ่นมณีทำหน้าไม่อยากเชื้อเชิญผู้มาเยือนเท่าไหร่ ขณะที่เขาก้าวมายืนข้างกายมารดา “หนูดาวจะมาหาปราชญ์เหรอ ตอนนี้ไม่อยู่หรอก กลับไปก่อนเถอะ”

หากปักษคมรีบพูดขัด “เข้ามาก่อนสิครับคุณดาว ผมอยากคุยด้วยพอดี”

ผู้เป็นมารดาจึงหันมามองตาขวาง ที่ลูกชายเจ้ากี้เจ้าการเชื้อเชิญพันดาวเข้าบ้าน “หนูดาวเธอไม่ได้มาหาลูก จะเชิญเข้ามาทำไม”

หน้าที่แม่บ้านอย่างเดียวของคุณปิ่นมณี ใช่ว่าจะไม่รู้กิตติศัพท์หรือข่าวฉาวของผู้หญิงตรงหน้า ที่ลือหึ่งไปทั่วตลาด ดังนั้นจึงไม่อยากให้ลูกชายไปสุงสิง ลำพังแค่เป็นขี้ปากเรื่องที่ปราชญ์ยังไปวอแวกับหล่อน ก็คงทนรำคาญเสียงซุบซิบมาพอดู

นี่กระไร ปักษคมถึงทำท่าดูสนิทสนมกับหล่อน

“ก็ให้คุณดาวเข้ามารอในบ้านก่อนสิแม่ บ้านเธอก็อยู่แค่ปากซอย ทำเป็นเหมือนคนอื่นคนไกลไปได้”

“เอ๊ะ! ลูกคนนี้ พูดยังไง”

คุณปิ่นมณีแม้จะรักลูกชายคนนี้มาก แต่เมื่อถูกขัดใจ หล่อนก็ตีโพยตีพายเช่นกัน แต่เห็นท่าทางไม่ยอมอ่อนข้อของเขา หล่อนจึงสะบัดหน้าหนี แต่ก็ไม่วายกำชับ

“นั่งคุยกันแค่โต๊ะหน้าบ้านก็พอนะ พ่อเราไม่ค่อยสบาย เดี๋ยวไปเอะอะเสียงดังในบ้านรบกวนท่าน พอดีจะไม่เป็นวันหยุดกัน”

ปักษคมขี้เกียจโต้เถียง เพราะรู้ว่ากับมารดาของเขา ลองถ้ายอมเงียบให้บ้าง เดี๋ยวคุณปิ่นมณีก็ใจอ่อน แล้วก็เดินหนี ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม

ชายหนุ่มเปิดประตูรั้ว เชื้อเชิญพันดาวเข้ามานั่งยังโต๊ะสนาม ใต้ต้นก้ามปูขนาดใหญ่ ซึ่งขึ้นสูงอยู่ริมรั้ว เงาของต้นไม้ทอดไปยังผืนหญ้าให้ร่มเป็นวงกว้าง พอให้อากาศยามเช้าที่แสงแดดเริ่มส่องไม่ร้อนเกินไปนัก

“คุณดาวมาหานายนั่นเหรอ มีธุระอะไรรึเปล่า”

พันดาวส่งสายตาหวานฉ่ำให้กับอีกฝ่ายตามความเคยชิน แต่ก็ยังสงวนท่าทีไว้ “ว่าจะมาชวนพี่ชายของปักไปเป็นเพื่อนน่ะ เขาไม่อยู่เหรอ”

“ใช่ นายนั่นไปออกกำลังกาย แต่อีกเดี๋ยวก็คงกลับมาแล้ว”

พันดาวทำท่าอึกอัก “จะดีเหรอที่ให้ดาวมาคอย เดี๋ยวดาวค่อยมาใหม่ก็ได้นะ”

“อยู่คอยนั่นล่ะ เดี๋ยวนายนั่นก็มา”

เขาตีหน้าขรึมลง...จะปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอยไปได้อย่างไร แค่แผนการยั่วโมโหเล็กๆแค่นั้น จำเป็นต้องถ่วงเวลา เพราะเขาเชื่อเต็มร้อยว่าปราชญ์ยังคงไม่อาจตัดใจจากพันดาวได้สมบูรณ์ ฉะนั้นถ้าปราชญ์เห็นหล่อนนั่งคุยกระหนุงกระหนิงกับเขา อย่างน้อยต้องออกอาการบ้างล่ะ

หากความคิดตื้นๆแบบเด็กๆนั้น กำลังจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ในชีวิตของปราชญ์ทีเดียว

“คุณดาวจะแต่งงานจริงๆเหรอครับ ผมอิจฉาแฟนคุณดาวจริงๆ ที่ได้คุณดาวเป็นเจ้าสาว” เขาปะเหลาะชมหล่อน

หญิงสาวหน้าแดงเรื่อ แม้ไม่ได้มีใจแก่ปักษคม แต่เมื่อโดนชมซึ่งหน้า จึงไม่อาจซ่อนรอยยิ้ม “ปักก็พูดเกินไป ดาวก็เห็นพูดประโยคนี้กับผู้หญิงทุกคนล่ะมั้ง”

“พอพูดจริง ก็หาว่าผมพูดเล่น”

ชายหนุ่มทำตาพราวหวานใส่หล่อนอย่างไม่กริ่งเกรง เพราะนี่คือการหว่านให้หล่อนสะดุดหลุมเล่น เนื่องจากรู้ดีว่าพันดาวเป็นคนเช่นไร

“ผมยังเสียดายคุณดาวแทนนายนั่นเลย ไม่รู้ปล่อยคุณดาวให้หลุดมือไปได้ยังไง ถ้าเป็นผมนะ...” เขายิ้มมีเลศนัย

หล่อนตีหน้าฉงนในคำพูดเขา “ทำไมคะ”

“ผมจะไม่มีวันปล่อยให้คุณดาวหลุดมือไป”

ปักษคมเอื้อมไปกุมมือหญิงสาว เพียงแค่นึกสนุกไม่ได้จริงจัง ทว่าอีกฝ่ายกลับก้มหน้างุด แต่ก็ไม่ได้ถอนมือกลับอย่างที่ควรจะเป็น ชายหนุ่มจึงเป็นฝ่ายรุกคืบทั้งคำพูดและท่าทาง ลองเชิงดูทีท่าว่าพันดาวที่เขาเคยได้ยินข่าวว่า ‘หลายใจ’ จริงแท้จะเป็นอย่างที่ลือไว้หรือไม่

ตัวของปักษคมเองก็คบหาผู้หญิงมานักต่อนัก จึงรู้จักจับจุดอ่อนของผู้หญิงได้เป็นอย่างดี ว่าชอบหรือไม่ชอบสิ่งใด แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้หญิงทุกคนชอบคือการถูกป้อชมด้วยคำหวาน

ดังนั้นเพียงแค่พูดไม่กี่คำ เขาก็จับจุดได้แล้ว ว่าพันดาวมีปฏิกิริยาตอบรับเขาเป็นอย่างดี และถ้าหากเขาคิดจะแอบควงหล่อนเป็นครั้งคราว รับรองว่าต้องไม่พลาด เพราะผู้ชายหน้าตาคมเข้มอย่างชายไทยเช่นเขา แม้ผิวจะคล้ามแดดไปบ้าง แต่ความโดดเด่นจากหุ่นสูงสง่าผ่าเผย เมื่อบวกรวมกับเครื่องหน้าได้ส่วน ยิ่งสะกดใจสาวๆได้ติดชนักทีเดียว

โดยเฉพาะรอยยิ้มละไม ซึ่งผสานไปกับดวงตาเบิกยิ้มไม่ต่างจากผู้เป็นพี่ชายด้วยแล้ว หากใครเผลอจ้อง รับรองได้ว่าเหมือนต้องมนต์ขลังทีเดียว

แล้วตอนนี้พันดาวก็กำลังจ้องตาเขาไม่ยอมหลบเหมือนทีแรก

ในที่สุดจังหวะที่ปักษคมรอคอยก็มาถึง เมื่อปราชญ์ซึ่งปั่นจักรยานมาจอดที่ประตูรั้ว หยุดนิ่งทันทีที่เห็นเขานั่งอยู่กับพันดาว

แม้สายตาของผู้เป็นพี่ออกจะเรียบเฉยไปบ้าง แต่เขาก็ไม่ลดละ แกล้งป้อยอคำหวานใส่พันดาวไม่หยุด จนหล่อนนั้นแทบอายม้วนต้วน

“ไม่เชื่อเหรอครับ งั้นผมจะกระซิบที่ข้างหู”

พันดาวทำทีเป็นยั่วตอบ จึงเอียงคอมาใกล้ เขาเหลือบตามองปราชญ์ที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ และใช้จังหวะนั้นหอมแก้มของพันดาวจนเต็มฟอด

เหลือบตามองไปอีกที หวังจะเห็นดวงตาวาวโรจน์จากปราชญ์ แต่กระนั้นกลับคาดเดาผิด เพราะดวงตาของพี่ชายเขาไม่ได้แสดงท่าทีอย่างที่เขาคาดแม้แต่น้อย

มีแต่ดวงตาอีกคู่ ซึ่งจดจ้องอยู่ถัดไปไม่ไกล ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เขารับรู้ได้ชัดเจนกว่าว่าดวงตาคมของชายวัยใกล้หกสิบ กำลังโกรธเกรี้ยว ราวกับเปลวเพลิงกองใหญ่

“แกทำอะไรน่ะ ไอ้ปัก”

...................................................




พู่ไหมบุรามฉัตร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ส.ค. 2555, 17:14:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ส.ค. 2555, 17:14:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 1269





<< ตอนที่ 3   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account