ไร่แห้วไม่จำกัดรัก
น้ำ ลมและดอยต่างก็เป็นเด็กำพร้าที่อาศัยอยู่ในไร่แห้ว พวกเขากำลังจะได้พบกับความรักที่หลากหลาย และอาจได้ค้นพบหัวใจของตัวเอง
Tags: รัก แห้ว

ตอน: ตอนที่ 2 อึดอัด

ไร่แห้ว...ไม่จำกัดรัก ตอนที่ 2 อึดอัด

เสียงพูดคุยแทรกกันก็ดังขึ้น ทั้งธราที่ไม่ค่อยพูด ทั้งอภิรมย์ที่ยังงงๆ อยู่ ก็พูดไม่ได้สรรพแข่งกันใหญ่ จนอรรณต้องเคาะที่พื้นดังๆ เพื่อให้หยุดฟังยาย

“พี่น้ำรู้เรื่องนี้มาก่อนเหรอ” อภิรมย์ถามพี่สาวที่ท่าทางสงบ

“ก็รู้พร้อมๆ กันนั่นแหละ แต่จะแย่งกันพูดทำไม ฟังอุ๊ยให้จบก่อน” อรรณสุขุมกว่าพี่น้อง จึงคอยปรามน้องๆ ได้

“คืออย่างนี้ ช่วงก่อน ท่านสุชาติมาหามานั่งคุยกันเรื่องเรื่อยเปื่อย แล้วมาจบเรื่องน้องพิงค์ลูกสาวนั่นเนาะ พี่พิงค์ไง เมื่อก่อนถ้าท่านสุชาติมาเยี่ยมอุ๊ย ก็ต้องพาพี่บลูกับพี่พิงค์มาอยู่เรื่อย” ยายแจ่มจันทร์พยายามช่วยหลานๆ จำให้ได้

“อ๋อ แต่จะดีเหรอ อุ๊ย” อภิรมย์พอจำพี่สาวที่ไม่ได้มาที่นี่นานได้ แล้วก็มองพี่ชายจอมซกมกของตัวเองแล้วแบบว่าจะไปกันรอดอย่างนั้นเหรอ

“เอาน่าฟังให้จบก่อน” ยายแจ่มจันทร์ปรามหลานสาว ก่อนชี้แจงออกมาให้สั้นที่สุด “อุ๊ยก็คุยๆ กับท่านสุชาติ เพราะว่าอุ๊ยก็หนักใจ อยากให้ไอ้ดอยมันมีครอบครัวเหมือนกัน แต่อุ๊ยกับท่านสุชาติก็เปิดเผยทุกเรื่อง แล้วต่างก็มองว่าถ้าไอ้ดอยมันเข้ากับน้องพิงค์ได้ ก็เป็นเรื่องที่ดี ต่างฝ่ายต่างก็มีคนคอยดูแลไง”

“ฉันน่ะไม่มีปัญหาหรอก อุ๊ย แต่สงสารพี่พิงค์ ดูฉันสิ มันเหมาะกับลูกสาวผู้กำกับที่ไหน ไม่มีตำรวจหนุ่มท่าทางไว้ใจได้สักคนเลยเหรอ อุ๊ย” ธราก็ชี้ประเด็นขึ้นมา เพราะรู้จักตัวเองดี ว่าเขาไม่ดีพอสำหรับผู้หญิงที่ควรมีอนาคต

“ไม่รู้ล่ะ ยังไงก็ตามนี้ ดูตัว เรียนรู้กัน แล้วจะแต่งหรือเปล่า อีกหกเดือนค่อยมาตัดสินใจกันอีกที จบไหม” ขันเงินสรุปแทนป้าตัวเอง

เสียงถอนหายใจที่แตกต่างอารมณ์ก็ดังขึ้น สามพี่น้องมองหน้ากัน ก่อนพูดขึ้นพร้อมกันแบบไม่ได้ตั้งใจ

“เราออกไปดูสวนกันดีกว่าเน้อ”

ยายแจ่มจันทร์กับขันเงิน ต่างก็รู้ว่าสามพี่น้องคงอยากคุยกัน เพื่อปรึกษาแล้วก็เรื่องอื่นๆ อีกด้วย

**************************************


เสียงถอนหายใจดังที่เพิงปลายนา เพราะต่างก็เห็นพ้องกันว่า สงสารพี่พิงค์ของน้องๆ ที่จะต้องมาจมปลักอยู่ที่ปลายนา ปลายไร่ ที่มีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นไร่แห้ว พวกเขาเตรียมตัวเตรียมใจที่จะแห้วกับชีวิตรัก แต่การต้องลากใครสักคนมาแห้วด้วยเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวอย่างแรง

“สงสารพี่พิงค์เนาะ ถึงไม่ได้เจอกันมานาน แต่เมื่อก่อนก็เคยวิ่งเล่นกันมาอ่ะ ไม่ได้ว่าอ้ายดอยไม่ดีเน้อ แต่ใครมันจะอยากมาอยู่ในสวนในไร่อย่างเรา” อภิรมย์พูดตามตรง

ธราพยักหน้าช้าๆ ถอนหายใจ

“คอยดูเรื่องดูตัวดูใจกันอีกพัก แต่ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยน แก ไอ้ดอย แกจะแต่งงานกับพี่พิงค์หรือเปล่า รู้ใช่ไหมว่า แต่งงาน ชีวิตคู่ ไม่ใช่แค่หาใครมาร่วมเตียง แต่เป็นเรื่องของการสร้างครอบครัว ขยายครอบครัว” อรรณถามน้องชายให้แน่ใจอีกครั้ง

ธราก็ถอนหายใจมาอีกครั้ง “พี่น้ำ ผมแต่งงานกับใครก็ได้ มันไม่ใช่ปัญหาของผมหรอก แต่พี่พิงค์ต่างหาก”

อภิรมย์ก็ยิ้มทะลึ่งขึ้นมา ก่อนจะขยายความ “อ้ายดอย พี่น้ำถามน่ะ หมายถึง อ้ายน่ะทำลูกเป็นไหม”

“ไอ้ลม! ทะลึ่ง!” ธราหันไปดุน้องสาวเสียงอ่อยๆ ก่อนหันไปพูดกับพี่สาว “เรื่องแบบนี้มันก็เป็นธรรมดาอยู่แล้วล่ะพี่ แต่งงานก็ต้องมีลูก มีครอบครัวก็ต้องหาเลี้ยงครอบครัว ผมเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ผมคิดว่าผมคงทำได้ดีพอควร แต่ผมไม่คิดจะไปจากที่นี่หรอกนะ ผมรักที่นี่ อยู่กับอุ๊ยดีกว่า”

“สมมติว่ามีเมียแล้ว ก็ต้องคิดวางแผนชีวิตให้ดี พี่พิงค์อ่ะ ลมไม่รู้นะว่าเปลี่ยนไปแค่ไหน อย่างที่อ้ายดอยกังวลใจ เราก็รู้ว่าเราไม่ใช่สายเลือด เราก็สำนึกดีว่าเราก็กึ่งๆ คนอยู่อาศัย อีกอย่างคุณนายนงเยาว์ แม่พี่พิงค์คงไม่ค่อยชอบพวกเราเท่าไรหรอก ก็รู้กันดีว่าชีเป็นยังไง” อภิรมย์ใส่ภาษาวัยรุ่นลงในคำสนทนาไปด้วย

อรรณกับธราพยักหน้า ใครๆ ก็ต่างรู้ว่าคุณนายนงเยาว์เป็นคนขี้เหนียว ถึงจะไม่คิดให้สามีทำผิดกฏหมาย แต่ก็คิดเรื่องเงินๆ ทองๆ อยู่ตลอดเวลา ยิ่งเด็กกำพร้าสามคนที่ได้มีชีวิตที่ดีอยู่บนกองเงินของยายแจ่มจันทร์ ยิ่งเป็นสิ่งที่คุณนายนงเยาว์คิดว่าไม่ยุติธรรม เพราะญาติคนอื่นๆ จะไม่ได้อะไรจากยายแจ่มจันทร์ จากเจตน์จำนงที่ตั้งใจจะยกทุกอย่างให้เด็กกำพร้าสามคนเท่านั้น

“เฮ้อ ไม่เจอพี่พิงค์หลายปีไม่รู้ว่าจะเหมือนคุณนายนงหรือเปล่า รู้นะ ถ้าคุณนายนงยอม คงหวังว่าจะได้สมบัติของอุ๊ยแจ่มบ้างนั่นแหละ ดีแล้วที่อุ๊ยยกให้อ้ายดอยแค่หนึ่งในสี่ ถ้าให้มากกว่านั้นเห็นจะจัดงานเลี้ยงเวียนรอบอำเภอ” อภิรมย์อยู่ในพื้นที่ตลอดย่อมรู้ความเป็นไปรอบข้างของยายแจ่มจันทร์แน่นอน

“เรื่องมันจะเป็นยังไงก็อย่าเพิ่งไปตัดสิน รอดูท่าทีก่อนดีกว่า เรื่องแบ่งสมบัติน่ะ แน่ใจนะว่าไม่มีปัญหา” อรรณถามน้องๆ ให้แน่ใจอีกครั้ง

“ยิ่งกว่าไม่มีปัญหาอีกครับ” ธราพยักหน้าช้าๆ แบบไร้กังวล

“ไอ้ลมล่ะ เพราะแกดูแลที่นี่มามากกว่าใคร แกต้องรู้สึกอะไรบ้าง” อรรณพยายามถามน้องสาวคนเล็กของทุกคน

อภิรมย์นิ่งคิด แล้วถอนหายใจ ก่อนจะพูดขึ้น “พี่น้ำก็รู้นะ ถ้าอุ๊ยไม่รับเลี้ยงพี่น้ำก่อน มีหรือจะรับเลี้ยงพวกเราสองคน ป่านนี้พวกเราคงไปอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าสักที่แล้วล่ะมั้ง อีกอย่างตั้งแต่รู้ความมาเนี่ย ยังไม่คิดเลยว่าอุ๊ยจะยอมแบ่งสมบัติให้เรา ถึงแกจะประกาศอยู่เรื่อยๆ ได้แค่นี้ยิ่งกว่าเยอะแล้ว ที่ผ่านมา อ้ายดอยไม่ได้ช่วยทำงานไร่ ยังได้ส่วนแบ่ง เรื่องน้ำใจนี่ ให้ไปก็ไม่มีวันหมด พี่ก็อย่าไปกังวล คนเราไม่ได้มีอะไรติดตัวมาตั้งแต่เกิด พอได้มาแล้วยังจะเอาอะไรอีก”

“ที่พี่กังวล เพราะพี่หาเงินได้มากกว่า พี่ถึงไม่อยากได้รับอะไรมากเกินกว่าน้องของพี่ทั้งสองคน เราไม่ได้คุยกันเรื่องนี้จริงจังตั้งแต่กลับมาเลยนะเนี่ย” อรรณยอมรับตามจริง เพราะมัวแต่ฟื้นความจำเรื่องงานไร่งานสวน และติดตั้งอุปกรณ์ไฮเทคให้ตัวเองยังคงหารายได้ได้มากพอควร

อภิรมย์กับธราต่างก็ขมวดคิ้ว เพราะงงอยู่ว่าพี่สาวหารายได้มากจากไหน หลังจากกลับมาอยู่เมืองไทย

“พี่อยู่ในห้องตลอด เพราะทำงานเหรอ” อภิรมย์ถามพี่สาวอย่างงงๆ

“ใช่ พี่ทำงาน ตอนที่ตลาดหุ้นนิวยอร์คเปิดทุกวันนั่นแหละ ก็พี่เคยชินนี่ พี่ยังทำงานที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นหลายๆ ที่ เทคโนโลยีช่วยให้เราก้าวไกล ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ทำงานได้หมดนั่นแหละ” อรรณอธิบายให้น้องๆ ฟัง ก่อนจะพูดอะไรก็เห็นป้าเดินมาแต่ไกล

“พวกแกมาอยู่ที่นี่เอง อุ๊ยลืมบอกอีกเรื่อง คือ วันหนึ่งถ้าพวกแกแต่งงานกันไป อุ๊ยเขาจะให้สร้างบ้านอยู่กันเองนะ เออ แม่ไปก่อนก็คิดๆ กันไปทีละนิดก็แล้วกัน” ขันเงินพูดจบก็เดินไปตามไร่นา

แกสวมเสื้อแขนยาว ผ้าถุงคลุมกางเกงขายาวตัวใน สวมถุงเท้า มีผ้าปิดหน้าไว้กันแดด รองเท้าบูทกันน้ำ ซึ่งเป็นชุดที่ดูร้อน แต่ก็ป้องกันความร้อนจากแสงแดดได้ดี

อรรณมองตามเหมือนน้องๆ ก่อนถอนหายใจ “ใครจะแต่งก่อนล่ะเนี่ย”

อภิรมย์ฟังแล้วก็หัวเราะ “ต้องอ้ายดอยแล้วล่ะ น้องยังไม่มีทั้งผัวหรือเมียนั่นแหละ”

“พี่น้ำสิ ออกไปโชว์ตัวหน่อย รับรองตาลุกวาวทั้งอำเภอ” ธราผ่อนคลายท่าทีลง ก่อนนึกได้ “จะเอาเงินที่ไหนมาสร้างบ้านล่ะเนี่ย ต้องไปทำเรื่องกู้ไหม แบบว่าถ้าพี่พิงค์ยอมแต่งงานน่ะ”

“นั่นสิ อ้ายดอย น้องก็ไม่ได้มีเงินเยอะแยะหรอกเน้อ มีกันเรือนแสน ไม่มีเงินล้าน” อภิรมย์คิดหนัก นอกจากหาคู่ครองแล้ว ยังต้องปวดหัวเรื่องสร้างบ้านอีก

“ในฐานะที่พี่เป็นพี่ แล้วพี่ก็ไม่อยากให้น้องๆ ต้องลำบาก เพราะงั้นพี่จะออกเงินค่าสร้างบ้านให้น้องๆ แล้วก็จะคอยช่วยเหลือน้องๆ ไปจนตายกันเลย” อรรณโอบไหล่น้องทั้งสองไว้พร้อมๆ กัน

“พี่น้ำ พี่น้ำจะเอาเงินที่ไหนมาสร้างบ้านราคาเป็นล้าน” อภิรมย์ยังไม่ค่อยเข้าใจ เพราะคิดว่าพี่สาวมีรายได้แค่สี่ห้าหมื่นเท่านั้น

“เอาน่า พี่มีก็แล้วกัน แต่ต้องไปคุยกับอุ๊ยก่อนว่า เราจะสร้างบ้านในส่วนของที่ดินบ้านตอนนี้เรียงต่อกัน อยู่ใกล้กันต่อไป” อรรณบอกกับน้องๆ

“โย่ว ได้เลยๆ แบบนี้ลมก็ชอบใจนัก แต่ของลมเอาไว้ก่อนเน้อ ถ้าหาผัวหาเมียได้แล้วจะค่อยว่ากัน” อภิรมย์สรุปในตอนท้าย

“โห ไอ้ลม แกจะมีทั้งผัวทั้งเมียเลยเหรอวะ” ธราถามน้องสาว

“อ้ายดอยนี่ปากหมา มีอย่างใดอย่างหนึ่งกะวะ ปะๆ ไปเสาะว่าหากินกันเถอะ” อภิรมย์สรุปอย่างอารมณ์ดี

เมื่อมีความเข้าใจและเกรงใจกัน เรื่องสายเลือดแท้จริงก็ไม่มีความสำคัญ

อรรณมองน้องชายแล้วพิจารณาก่อนพูดขึ้น “พี่ว่าสักวันจะเอาไอ้ดอยไปห้าง จับมันเปลี่ยนรูปลักษณ์สักหน่อย”

อภิรมย์พยักหน้าเห็นด้วย เมื่อมองสภาพเสื้อเก่าๆ เปื่อยๆ ผมยาวๆ ไม่เคยทำทรง ตอนออกไปสอนนักศึกษาก็แค่รวบเฉยๆ ไม่ค่อยได้สนใจเท่าไรนัก ขณะที่ธราหัวเราะแห้งๆ ได้แต่ยอมรับเท่านั้น

**************************************


“คุณพ่อจะให้หนูไปดูตัวกับดอยเหรอคะ ลูกบุญธรรมย่าแจ่มจันทร์เนี่ยนะคะ” นงลักษณ์ถามให้แน่ใจว่า

“ใช่ พ่อว่าไม่เห็นจะเสียหาย ยังไงก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กแล้วนี่ ให้โอกาสดอยบ้างสิ เขาเป็นถึงอาจารย์มหาวิทยาลัย ตอนที่พ่อไปเยี่ยม เขาก็ยังยกมือไหว้เลย แต่เป็นคนไม่ค่อยพูดเท่านั้น” สุชาติพยายามแก้แทนหลานชาย

ตอนนี้เขาขอแค่มีลูกเขยที่ไม่เจ้าชู้ ไม่โลเลเปลี่ยนใจง่าย ถึงเจ้าหลานชายต่างสายเลือดคนนี้จะเงียบขรึม ชอบอ่านหนังสือเป็นกิจวัตร และดูน่าเบื่อสำหรับสาวสมัยนี้ เขาก็คิดว่ายังดีกว่าผู้ชายบางคนที่ออกไปตะลอนๆ ไปทั่วแล้วทำให้ลูกสาวเขาหัวใจสลายครั้งแล้วครั้งเล่า

“แต่คุณ ไอ้ดอยมันก็แค่เด็กกำพร้าที่ย่าแจ่มเลี้ยงไว้เท่านั้นนะ หัวนอนปลายเท้ามันเป็นใครก็ไม่รู้ ได้ข่าวว่าท่าทางซกมกสกปรกกว่าขอทานข้างถนนเสียอีก” นงเยาว์นึกแล้วก็ขยะแขยงขึ้นมา


“แม่ ดอยมันเป็นถึงอาจารย์มหาวิทยาลัย ถึงจะเป็นมหาวิทยาลัยในจังหวัด แต่เป็นมหาวิทยาลัย มีหน้าที่การงานมั่นคง ส่วนเรื่องการแต่งตัวอะไรน่ะ มันก็แค่ไม่สนใจเท่านั้น ดีเสียอีก ไม่สิ้นเปลือง เป็นคนรู้จักใช้จ่าย ไม่ใช่คนที่เอาเงินไปใช้ฟุ่มเฟื่อยเหมือนผู้ชายบางคนที่ เอาเงินไปจ่ายเข้าสปา แต่งหล่อแต่งสวยกว่าผู้หญิง กว่ากระเทยเสียอีก” สุชาติชี้แจงคุณนายภรรยาที่แสดงท่าทีรังเกียจชัด

“มันไม่ใช่ประเด็นค่ะ คุณพ่อ ดอยอายุน้อยกว่าหนูอีกนะคะ” นงลักษณ์พยายามจะแย้ง

“แล้วไง มันไม่ใช่ปัญหา เห็นป้าแจ่มบอกว่าเป็นคนมีความรับผิดชอบอยู่นะ ไปทำงานทุกวัน พยายามค้นคว้าหาทางทำให้วิชาที่ตัวเองสอนเข้าใจง่าย ซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้าในสวนได้ไหม แม้แต่เครื่องยนต์ มันมีความสามารถ เพียงแต่ต้องดูแลกันหน่อย เรื่องส่วนตัว เพราะมันไม่ค่อยสนใจเรื่องอื่นนอกจากเรื่องนี้” สุชาติบอกลูกสาวตามตรง

“คุณคะ คุณคิดยังไง จะให้ลูกเราไปดูแลไอ้เด็กพรรค์นั้น แค่ฟังก็ปวดหัวแล้วล่ะ เด็กนั่นอายุเท่าไรแล้วล่ะ ยี่สิบกว่า ยี่สิบห้าแล้วมั่ง ยังต้องมีคนคอยดูแลอีกเหรอ” นงเยาว์ไม่ค่ยเห็นด้วย และก็เพิ่งรู้จากสามีตอนนี้เช่นเดียวกับภรรยา

สุชาติไม่กล้าปรึกษาภรรยา ก่อนพูดกับลูกสาว เพราะยังไงคงโดนค้าน แต่เขาก็ต้องแย้งให้ชนะ “ขอถามหน่อยนะ ลูกสาวเราอายุสามสิบแล้วยังเป็นครูสอนเด็กมัธยมอยู่ แล้วถ้าจะไปดูตัวกับอาจารย์มหาวิทยาลัย มันแย่ตรงไหน อีกอย่างดอยก็มีฐานะที่มั่นคง มีเงินเก็บพอสมควร เขาไม่ได้ทำให้เราเดือดร้อนเลยสักนิด ทำไมไม่ลองไปคุยพร้อมพ่อดูอีกสักรอบ”

นงลักษณ์กระแทกลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน “คุณพ่อคะ หนูเกือบแต่งงานแล้วยกเลิกการแต่งงาน ถ้าดอยดีแบบนั้น เขาจะอยากได้หนูอยู่เหรอคะ ของมีตำหนิ” เธอกระแทกลงนั่ง แล้วถอนหายใจหลายรอบ

“อยากให้พ่อยกพวกไปจัดการไอ้หมอเฮงซวยนั่นไหม” สุชาติถามอย่างไม่จริงจังนัก เพราะไม่เคยใช้หน้าที่ในทางที่ผิด

“อย่าค่ะ คุณพ่อ ให้มันจบไปเถอะ” นงลักษณ์รีบห้ามทันที

“คบกันมาสิบปี ไอ้เลวนั้นกลับยกเลิกการแต่งงานแล้วไปหาผู้หญิงคนอื่นเนี่ยนะ ถ้าลูกยังเรียกตัวเองเป็นของมีตำหนิ ก็พอเถอะ พ่อก็ไม่อยากให้หลานพ่อต้องแต่งงานกับของมีตำหนิเหมือนกัน” สุชาติอารมณ์เสียขึ้นมาทันที

นงลักษณ์ปล่อยโฮออกมา แล้วร้องไห้

“คุณก็ ลูกร้องไห้แล้วนะ” นงเยาว์กอดปลอบลูกสาว

“ปีเดียว ลูกทำใจไม่ได้อีกเหรอ การทำแบบนั้นมันไม่เลว มันยังคู่ควรกับความรักของลูกสาวพ่ออยู่เหรอ แล้วผู้ชายดีๆ ที่เขามีข้อเสียบางข้อ ที่พ่อมองว่าแก้ไขได้ ตอนนี้ดอยมันมีข้อเสีย ข้อติ แต่มันยังไม่มีครอบครัว มันยังลอยชายไปเรื่อยๆ สาวก็ไม่สน มันมุ่งมั่นทำงานทำหน้าที่ ใช้ชีวิต มากกว่าจะสนใจเรื่องพวกนี้ ก็ยังดีกว่า ไอ้หมอใจโลเลไม่มีความแน่นอนเสียอีก แค่สองอาทิตย์ที่ไปเจอพยาบาลตอนสัมนา มันก็ทิ้งแกไป พ่อสงสัยอยู่ว่าคนแบบนี้มันเหมาะสมนักเหรอ คู่ควรเหรอ” สุชาติก็ระบายความอัดอั้นที่เก็บเงียบมาตลอด

“หนูก็รู้ แต่เวลาสิบปี ไม่ใช่ว่าจะลืมก็ลืมได้นะคะ คุณพ่อไม่เคยรักใครนานแบบนั้นเหรอคะ การเลิกรากันมันยากสำหรับหนู” นงลักษณ์ร้องไห้สะอึกสะอื้น พยายามข่มใจแต่ก็ยากเต็มที่

“ก็แม่ของลูกไง พ่อกับแม่แต่งงานกันมาสามสิบกว่าปีแล้ว แต่เพราะเรารักกันจริงๆ เราถึงไม่มีการเลิกรา แล้วไอ้หมอเลวๆ ของลูกล่ะ มันดีนักเหรอ ถ้ามันรักลูกจริง มันคงไม่เลิกกับลูกไปคบกับผู้หญิงคนอื่นหรอกน่า” สุชาติพยายามพูดให้ลูกสาวได้สติบ้าง หลังจากเงียบมาเป็นปีแล้ว

บ้านก็เลือกแล้ว วันก็กำหนดแล้ว การ์ดก็เริ่มพิมพ์แล้ว แต่ต้องยกเลิกทุกอย่าง แถม มันยังหลบหน้าไม่มาบอกด้วยตัวเอง เพราะกลัวปืนลั่นในบ้านผู้กำกับตำรวจ

“พ่อจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองอีก ดอยเนี่ยแหละ ถ้าลูกได้รู้จักมัน ลูกจะรู้ว่ามันเป็นคนดี” สุชาติตั้งใจเอาไว้อย่างแน่วแน่

“ไม่มีตำรวจชั้นผู้น้อยที่ดีพอบ้างเหรอคะ” นงเยาว์พยายามหาทางเลือกอื่น

“เธอจะให้ฉันไปขอร้องให้ลูกน้องมารับลูกเราไปเป็นเมียเหรอ พอมันทำผิด ฉันก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะมันเป็นลูกเขยฉันเนี่ยนะ อย่าทำให้ฉันต้องทำผิดต่อหน้าที่ความรับผิดชอบที่ไม่เคยด่างพร้อยมาตลอดสามสิบปี ฉันไม่เอาหรอก แล้วฉันก็เห็นว่า การที่ดอยเป็นอาจารย์ก็มีหน้าที่เป็นครูเหมือนกัน ต้องเข้าอกเข้าใจกันเป็นธรรมดา เวลามีปัญหาเรื่องงาน เรื่องเด็ก ลูกยังคุยกับเขาได้ เพียงแต่ว่าย่าแจ่มบอกพ่อว่า คงต้องทำให้มันสนใจให้ได้ก่อนล่ะนะ” สุชาติอธิบายแล้วถอนหายใจ

“ขอเวลาหนูคิดหน่อยนะคะ” นงลักษณ์บอกอย่างลังเล

“ได้สิ แต่ยังไงพ่อก็จะพาลูกไปคุยกับย่าแจ่มที่บ้าน พ่อกับย่าแจ่มนัดกันไว้แล้ว ป่านนี้ย่าแจ่มก็คงบอกดอยมันแล้วล่ะ ไว้ถึงวันนั้นค่อยให้คำตอบก็แล้วกัน” สุชาติตัดบท ก่อนเช็ดน้ำตาให้ลูกสาว “คนเรานะ ล้มแล้วต้องรู้จักลุก พ่ออยากฝากลูกสาวไว้ในมือกลุ่มคนที่น่าไว้ใจที่สุด ดอยน่ะมีย่าแจ่ม มีน้องน้ำ มีน้องลม แล้วก็มีพี่เงิน ยังไงก็ไม่ต้องกลัวว่าใครจะรังแกลูกพ่อ พ่ออดทนมากนะ ที่จะไม่ทำร้ายไอ้หมอเลวๆ นั่น”

“ขอบคุณค่ะ แต่หนูขอเวลาหน่อยนะคะ” นงลักษณ์พยายามฝืนยิ้มให้พ่อ

สุชาติพยักหน้าช้าๆ แล้วเดินออกไปจากห้อง ขณะที่นงเยาว์นิ่งอึ้งไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เพราะขนาดลูกร้องไห้ สามียังไม่ล้มเลิกเรื่องนี้ ก็ทำให้พอเข้าใจได้ว่า คงยากจะเปลี่ยนแปลงความคิดของสามีได้อีก

“ลูกจะต้องอดทนมากๆ นะ แม่ก็จะอดทนมากๆ เหมือนกัน” นงเยาว์ปลอบลูกสาว

เธอรู้ว่าตนเองต้องอดทนมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น แล้วจะพยายามทำทุกอย่างไม่ให้ลูกสาวได้แต่งงานกับนายดอย เธอต้องหาเพื่อนๆ เพื่อถามถึงลูกชายของเพื่อนๆ คิดว่าต้องมีสักคนเหลืออยู่บ้าง

**************************************


วันแห่งความอึดอัดก็มาถึง เมื่อธราจะได้พบกับคู่ดูตัวของเขาอีกครั้ง หากเขาก็คอยหลบตาเสมอ เพราะรู้สึกเกรงใจและเจียมเนื้อเจียมตัว ขณะที่อภิรมย์สังเกตญาติต่างสายเลือดที่อาจจะมาเป็นพี่สะใภ้

ผู้กำกับสุชาติทักทายหลานๆ ต่างสายเลือดเป็นอย่างดี ขณะที่คุณนายนงเยาว์เพียงรับไหว้แล้วยิ้มน้อยๆ เท่านั้น ก่อนมองว่าที่ลูกเขยตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า แต่เพราะความที่สามีหัวดื้อ เธอก็ได้แต่จำทน

“ไม่เจอกันนาน โตๆ กันแล้วนะ ไง พิงค์ จำน้องๆ ได้ไหม” สุชาติพยายามทำให้ลูกได้คุยกับหลานๆ อีกครั้ง

“พอจำได้ค่ะ” นงลักษณ์ไม่กล้าสบตาน้องต่างสายเลือดสักคน เพราะเข้าใจไปว่าทุกคนคงคิดว่าเธอจนตรอก จนต้องมาขอร้องให้ญาติแต่งงานด้วยเป็นแน่

“พี่พิงค์ไม่ต้องเกร็งไปหรอกนะ พวกเราก็ปวดหัวกับเรื่องนี้เหมือนกัน” อภิรมย์สังเกต แล้วก็แอบเข้าไปกระซิบปลอบ

“เธอไม่เข้าใจความรู้สึกพี่หรอก พี่อาย” นงลักษณ์กระซิบสารภาพตามตรง และมองธราที่เอาแต่นั่งอ่านหนังสือ ราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง “พี่ชายเธอคิดยังไงกับเรื่องนี้”

“สงสารพี่น่ะสิ เราน่ะยังไงก็ได้ กลัวว่าจะต้องลากพี่มาอยู่อย่างลำบาก หมายถึงคนที่อยู่แต่ในเมืองจะอยากมาอยู่ในสวนในไร่อย่างพวกเราเหรอ เงียบเชียบแบบนี้ อีกอย่างเราก็เกรงใจพี่พิงค์ด้วยอ่ะนะ” อภิรมย์บอกมองบรรยากาศเงียบกริบแบบนั้นอย่างอึดอัด

“ท่านสุชาติทานอะไรมาหรือยัง ลมไปเอาของว่างมาให้ท่านกับคุณนายสิ” แจ่มจันทร์พูดกับหลานชายอย่างให้เกียรติ

“ป้าไม่ต้องแกรงใจก็ได้ครับ ลมไม่ต้องหรอก เรามาคุยเรื่องสำคัญดีกว่า” สุชาติเรียกเด็กๆ มานั่งรวมกัน เพื่อคุยเรื่องสำคัญ ก่อนถาม “ดอยได้คิดเรื่องพี่เขาหรือยัง”

ธรายังคงอ่านหนังสืออย่างมีสมาธิ พอโดนถามก็ไม่ได้ยิน จนพี่สาวกระทุ้ง ค่อยเงยหน้าขึ้น

“ลุงชาติถามว่า ได้คิดเรื่องพี่พิงค์หรือยัง” ลมเป็นคนถามซ้ำแทน

“อ๋อๆ” ธราขยับแว่นเล็กน้อย ก่อนหันไปทางอื่นแล้วบ่นพรึ่มพร่ำ “ผมยังไงก็ได้ครับ”

แจ่มจันทร์มองหลานชายแล้วส่ายหน้า ยิ่งเวลาอึดอัดเจ้าหลานคนนี้ มันถนัดอ่านหนังสือกว่าปกติเสียอีก “น้ำ เอาหนังสือไปโยนทิ้งที แล้วให้มันสนใจเรื่องที่คุยกันอยู่นี่ก่อนได้ไหม”

อรรณยึดหนังสือมาจากน้อง แล้วเอามาวางไว้ใกล้ๆ ยายแทน “ดอย เรื่องนี้เป็นเรื่องของอนาคตของแกกับพี่พิงค์ ยังไงก็ฟังผู้ใหญ่คุยกันหน่อย อย่าเอาแต่หลบอยู่หลังหนังสือเลยนะ เรื่องแบบนี้หนังสือเล่มไหนก็แก้ไขปัญหาไม่ได้หรอก พูดมาเถอะค่ะ คุณลุง”

“แหม น้ำนี่เป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะ แล้วก็เป็นที่พึ่งของน้องๆ ได้อย่างที่ป้าว่าจริงๆ นะครับ” สุชาติมองหลานสาวต่างสายเลือดอย่างชื่นชม

“หนูยังไม่ได้ทำอะไรหรอกค่ะ เรื่องที่อยากจะจับคู่ดอยกับพี่พิงค์ หนูขอเสนอว่าให้เวลาหกเดือน ให้เขาได้เรียนรู้กันก่อนดีไหมคะ เราไม่ได้เจอกันมาสิบกว่าปีแล้ว ก็เหมือนคนเพิ่งรู้จักกันนะคะ คุณลุงคิดว่ายังไง” อรรณพูดแทนน้องชายเสียเลย และก็เห็นใจนงลักษณ์ญาติผู้พี่

“นั่นก็ได้ ลุงเห็นด้วย” สุชาติฟังเหตุผลของหลานสาวแล้วพยักหน้าเห็นด้วย

“แต่ลุงก็คงเห็นแล้วนะคะว่า ดอยน่ะชอบอยู่บ้านไม่ค่อยไปไหน หนูก็ไม่คิดว่าพี่พิงค์จะอยากมาที่นี่เท่าไร แล้วยุคสมัยนี้การคลุมถุงชนเป็นเรื่องที่มักจะทำให้เกิดการต่อต้านในใจด้วยนะคะ แล้วมันจะกลายเป็นปัญหาครอบครัว หนูก็เลยอยากให้พี่พิงค์กับดอยได้เรียนรู้กันไปก่อนค่ะ โดยให้พี่พิงค์มาอยู่ที่นี่จะได้ไหมคะ ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีไม่งาม เพราะดอยชอบนอนในห้องทำงานอยู่แล้ว ไม่ขึ้นมาอยู่ข้างบนนี่หรอกค่ะ” อรรณเสนออีกเรื่อง

“เอาอย่างนั้นเลยเหรอ น้องน้ำ” ยายแจ่มจันทร์ถามหลานสาวให้แน่ใจอีกครั้ง

“ค่ะ หนูคิดว่า ถ้าพี่พิงค์ได้รู้จักดอยจริงๆ บางทีนะคะ พี่พิงค์อาจตัดสินใจได้ดีขึ้น ว่าจะแต่งหรือไม่แต่ง ส่วนดอยมันยังไงก็ได้ มันไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะแต่งงานค่ะ” อรรณชี้ประเด็นให้เร็วที่สุด และเห็นน้องๆ พยักหน้าเห็นด้วย

สุชาตินิ่งคิด เพราะยังไม่รู้ว่าจะเอายังไงดี และมีภรรยาคอยสะกิดอยู่เรื่อย จึงหันไปถาม “เธอจะว่ายังไง”

“ไม่ดีกว่านะ แบบนี้เรามีแต่จะเสียหาย ให้ลูกเรามาอยู่ที่นี่ก่อน ทั้งที่ยังไม่แน่ว่าจะมีการแต่งงานหรือเปล่า อีกอย่างดอยก็ไม่มีอะไรให้น่าเรียนรู้ใช่ไหมลูก” นงเยาว์หันไปหาเสียงสนับสนุน

“ยุคนี้ไม่มีอะไรเสียหายแล้ว คุณนาย พี่น้ำก็บอกแล้วว่ารับรองว่าไม่มีเรื่องเสียหาย ยังไงพวกเราก็เกรงใจลุงชาติอยู่แล้ว ท่านเป็นถึงผู้กำกับตำรวจเลยนะ ใครจะไปกล้าทำอะไรลูกสาวท่านล่ะ อีกอย่างถ้าคิดจะแต่งงานกับคนบ้านนี้ก็ต้องอยู่ที่นี่นั่นแหละ เราสามคนพี่น้องไม่คิดจะย้ายออกไปจากที่ดินผืนนี้ ถ้าใครจะแต่งงาน คู่แต่งงานก็ต้องมาอยู่ที่นี่แหละค่ะ” อภิรมย์อธิบายชัดเจน

“เฮ้ยๆ ไอ้ลมเบาๆ หน่อย ยังไงก็เป็นผู้ใหญ่ อุ๊ยล่ะไม่ชอบเลย แกโตมากแล้วเป็นผู้ใหญ่ก็จริง แต่อย่าให้ถึงกับลามปามผู้ใหญ่นะเว๊ย เดี๋ยวใครจะคิดว่าอุ๊ยไม่ได้สั่งสอน เรื่องนี้เรื่องใหญ่ ก็ต้องให้ผู้ใหญ่เขาตัดสินใจกันดีๆ” แจ่มจันทร์ดุหลานสาวสุดห้าม ก่อนหันมาให้การรับรองกับหลานชาย “ท่านสุชาติก็ไม่ต้องกังวลใจ นี่เป็นเพียงข้อเสนอ แล้วถ้าเกิดว่าน้องพิงค์ยอมมาอยู่ที่นี่ เพื่อเรียนรู้ศึกษาไอ้ดอย ก็จะไม่มีเรื่องไม่ดีไม่งามเกิดขึ้นแน่นอน ป้าขอสัญญา”

“ต้องให้พิงค์ตัดสินใจมากกว่านะครับ ลูกก็ลองคิดดูให้ดีก็แล้วกัน” สุชาติตอญาติผู้ใหญ่ ก่อนหันไปบอกลูกสาวให้คิดดีๆ แล้วหันมาคุยกับป้าต่อ ตามประสาคนคิดการณ์ไปไกล “สมมติว่าอีกหกเดือนเด็กๆ ตัดสินใจว่าจะแต่งงานกัน ทีนี้จะทำยังไงล่ะครับ ถึงตอนนั้นค่อยมาสร้างเรือนหอกว่าจะได้แต่งงานก็คงอีกเป็นปีแน่ๆ”

“ท่านสุชาติรีบร้อนเหรอ ว่าไงล่ะ น้องน้ำมีความเห็นหรือเปล่า” ยายแจ่มจันทร์หันไปถามหลานสาวคนโปรด

“ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ หนูกับน้องๆ คุยกันเรื่องสร้างบ้านขึ้นในที่แห่งนี้อีกสองหลัง หลังหนึ่งของดอย อีกหลังของลมมัน ของไอ้ดอยหลังแนวต้นหมากตรงนั้น ของไอ้ลมมันจะเอาก่อนแนวต้นสัก กำลังคุยๆ กับสถาปนิกว่าจะเอาแบบไหนยังไงดีอยู่ค่ะ” อรรณบอกยายแล้วเห็นผู้ใหญ่หัวเราะ

“โอ๊ย! เด็กสมัยนี้คิดไวจนอุ๊ยจะตามไม่ทันแล้วเนี่ย” แจ่มจันทร์ออกจะภูมิใจในตัวหลานๆ ก่อนถามขึ้น “แล้วไม่เห็นมาขอเงินอุ๊ยเลย”

“เรื่องบ้านสองหลังนี้ อุ๊ยไม่ต้องออกเงิน คอยดูบ้านหลังสวยๆ คิดว่าเอาสักสามห้องนอน มีห้องน้ำทุกห้อง แล้วก็มีครัวเล็กๆ แล้วก็มีห้องน้ำสำหรับแขกที่ชั้นล่าง แต่แบบเดี๋ยวเพื่อนลมจะเอามาให้ดูทีหลัง” อภิรมย์บอกยายแล้วยิ้มแป้น

“พวกแกจะย้ายออกทันทีที่บ้านเสร็จเลยหรือเปล่า อุ๊ยคงเหงาแย่” ยายแจ่มจันทร์พูดขึ้นอย่างเหงาๆ ก่อนเสริมอีก “ไอ้ดอย อุ๊ยไม่ค่อยเท่าไร เพราะมันไม่ค่อยขึ้นมานอนบนบ้าน ชอบอยู่ในห้องทำงานของมัน แต่ไอ้ลมนี่สิ เสียงกระทืบตีนแกมันดังจนอุ๊ยชินซะแล้ว ใช่ไหมขัน”

ขันเงินหัวเราะ ก่อนพูดขึ้น “นั่นสิ แหม มือหนักตีนหนักอย่างมันพื้นบ้านแทบถล่ม”

“จะว่าอ้วนก็ว่ามาเถอะ เชอะ!” อภิรมย์ทำเป็นงอน

สุชาติก็หัวเราะด้วย มีแต่ภรรยาเขาเท่านั้นที่ไม่คิดร่วมด้วย

“คิดเรื่องสินสอดทองหมั้นกันหรือเปล่าคะ ไม่ใช่วิวาห์เหาะจะได้ไม่ต้องคิดเรื่องนั้น ถึงเด็กมันจะยังไม่แน่ว่าจะแต่งไหม แต่ก็ควรพูดเรื่องนี้ก่อนจริงไหมคะ” นงเยาว์พูดเรื่องที่อยากจะรู้นัก

“เอ้อ ป้ายังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลย คุณนายนง ว่ายังไงล่ะ ท่านสุชาติ คิดเรื่องนี้ไว้หรือยัง” ยายแจ่มจันทร์ไม่คิดว่าหลานสะใภ้จะถาม แต่เมื่อถามก็ต้องหาคำตอบ

“ก็ต้องแล้วแต่ทางฝ่ายชายจะว่ามา ทางฉันไม่ได้คิดตั้งค่าสินสอดอะไรหรอกครับ” สุชาติหันไปมองภรรยาอย่างดุและปรามๆ

นงเยาว์ทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วพูดขึ้น “ครั้งก่อนของพิงค์ ฝ่ายชายให้สินสอดเป็นเงินสดหนึ่งล้านบาท ทองอีกยี่สิบบาททั้งยังเครื่องเพชรอีกหนึ่งชุดด้วยนะคะ”

ทีนี้คนห้าคนก็มองหน้ากันใหญ่ แล้วก็พยายามเก็บอารมณ์กันสุดฤทธิ์ ยกเว้นคนที่มีปัญหาเรื่องเก็บอารมณ์มากที่สุด...อภิรมย์

“มันต้องมากอย่างนั้นเลยเหรอคะ เอ่อ คือว่า เราควรตีค่าพี่พิงค์ด้วยเงินมากอย่างนั้นเลยเหรอคะ ไม่ใช่ เราควรตีค่าของคนด้วยเงินด้วยเหรอ แบบนี้...” อภิรมย์กำลังจะพูดต่อ แต่โดนขันเงินปิดปากเสียก่อน

“ไม่พูดไม่มีใครว่าเป็นใบ้หรอกนะ” ขันเงินดุหลานสาว “ขอโทษจริงๆ นะคะท่านสุชาติ ไอ้ลมมันปากไวไม่ค่อยได้กลั่นกรองก่อนพูดนะเจ้า”

“ไม่เป็นไรหรอก พี่เงิน เด็กมันตกใจ” สุชาติหันไปดุภรรยาแทน “เธอจะมาพูดอะไรแบบนี้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เราจะพูดกันตอนนี้”

“ลุงชาติคะ หนูบอกแทนทุกคนได้เลยค่ะว่า เราคงไม่สามารถให้สินสอดตามครั้งก่อนเลย ที่แน่ๆ เราไม่มีเครื่องเพชร ส่วนเรื่องเงินสินสอด เราคุยกันว่าดอยต้องเป็นคนรับผิดชอบเอง ดอยมีเงินเก็บอยู่ไม่ถึงล้าน คิดว่าเขาคงให้ตามที่เหมาะสมเท่านั้น เพราะถ้าเอาเงินเก็บทั้งหมดมาเป็นเงินสินสอด คงไม่ได้แน่” อรรณพูดแทนทุกคน เพราะได้คุยกับน้องๆ มากกว่า

“คงได้อดตายทั้งผัวทั้งเมียน่ะสิ” อภิรมย์โพล่งออกมาอย่างสุดทน

“อะไรกัน คุณป้าก็มีสมบัติตั้งเยอะ จะแต่งงานหลานชายทำไมไม่ให้สมกับฐานะหน่อย” นงเยาว์ทำน้ำเสียงเยาะนิดๆ เพราะไม่คิดให้ลูกสาวอยู่ที่นี่อยู่แล้ว จึงไม่มีท่าทีลดราวาศอก

“คุณนายพูดก็ไม่ถูก ต่อให้มีเงินมากอย่างนั้น เหลือเฟือ เราก็ไม่มีทางใช้เงินที่หามาได้อย่างยากลำบาก อย่างไร้เหตุผลหรอกนะ” แจ่มจันทร์ออกปาก เพราะรู้ว่านงเยาว์ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการดูตัวครั้งนี้เท่าไรนัก

“หนูมีเงิน แต่คงไม่ให้น้องชายเอามาทำอะไรแบบนี้หรอกนะคะ ชีวิตคนและค่าของคนไม่ใช่นำเงินมาวางกองแล้วเอามาวัดค่าได้ พี่พิงค์วัดค่าไม่ได้ด้วยเงินหรอกนะคะ คุณนาย แต่ต้องวัดค่าด้วยความดี ความอดทน และความเอื้ออาทรกัน คนที่นี่เขาใช้น้ำใจวัดกันค่ะ ถ้าคุณนายคิดว่าน้ำใจคนบ้านนี้รับไม่ได้ ก็คงต้องหยัดเรื่องทั้งหมดไว้นะคะ” อรรณพูดสุภาพแต่บาดลึกสำหรับผู้กำกับสุชาติ

“นี่แก เป็นเด็กกล้าว่าผู้ใหญ่ฉอดๆ คิดว่าลูกสาวฉันไม่มีปัญหาไปหาใคร เลยต้องมาคว้าเอาไอ้...” นงเยาว์พูดไม่จบ สามีก็จ้องก่อนพูดเสียงดังขึ้นมา

“เงียบ!” สุชาติเขาพูดคำเดียวชัดถ้อยชัดคำ ก่อนหันไปมองหลานๆ อย่างดุๆ และถามขึ้น “น้ำ ลุงขอถามดอยหน่อยแล้วกัน ไม่งั้นป้าเขาคงไม่สบายใจเท่าไร ดอยคิดว่าสินสอดที่ดอยสามารถให้ได้ ถ้าจะแต่งงานกับลูกสาวลุงเนี่ยยังไง”

“หาๆ!” ธราหันหน้ากลับมามองทุกคน แล้วพยายามตั้งสติ ก่อนน้องสาวบอกข้อความที่ลุงต้องการถาม เขาก็พูดตามตรง “ตอนนี้ผมมีเงินอยู่เจ็ดแสน คิดว่าถ้าเป็นสินสอดคงเป็นเงินสี่แสนแล้วก็เป็นทองสิบบาทครับ รวมๆ แล้วก็เกือบเจ็ดแสน ผมก็จะมีเงินเหลือเอามาใช้จ่ายในครอบครัวอีกนิดหน่อย แล้วก็เงินเดือนหมื่นกว่าบาทของผม พี่น้ำบอกว่าค่าน้ำค่าไฟไม่ต้องเสีย เพราะใช้ร่วมกับบ้านใหญ่ ข้าวก็มาทานที่นี่ก็ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอกครับ แต่มันคงน่าเบื่อสำหรับพี่พิงค์ ที่ต้องมาติดอยู่กับคนอย่างผม”

“คนอย่างเรามันเป็นยังไงเหรอ” สุชาติถามขึ้น แล้วแอบพอใจที่ได้เข้าเรื่องจริงๆ ที่อยากรู้สักที

ธราหันไปมองยาย ป้า แล้วพี่น้องอย่างลังเล

“บอกท่านไป แล้วท่านก็จะพิจารณาเอง” แจ่มจันทร์ปลอบหลานชาย

“ผมเป็นแค่อาจารย์ เลิกงานแล้วก็กลับบ้าน ไม่ค่อยชอบเที่ยว เสาร์อาทิตย์ก็หมกตัวอยู่แต่ในห้องทำงานที่ผมชอบทำงาน นานๆ ออกไปซ่อมข้าวของที่เสียหายในสวน เสื้อผ้าใหม่ๆ ก็ไม่ค่อยออกไปซื้อ อย่างเสื้อตัวนี้ก็ใส่มาสองปีแล้ว แต่ซักตลอดนะครับ ลมจะเอาไปซักเสมอ เสื้อผ้าผมก็มีแต่แบบเดียวกัน ผมไม่ชอบเลือกมันเสียเวลา กินอยู่ก็ง่าย อะไรก็ได้ไม่มีปัญหา แต่ผมชอบอ่านมาก พี่พิงค์คงเบื่อเสียก่อน” เขาก็พูดตามตรง

“เธอเคยไปเที่ยวกับผู้หญิงบ้างไหม” สุชาติก็ถามอ้อมเกือบตรง

“ไม่ครับ ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากจะชวนผมเที่ยวหรอก จริงๆ ผมก็รำคาญเสียงพวกเธอเหมือนกัน อะไรนิดอะไรหน่อย ก็แว่ดๆ วี๊ดว๊าย ผมชอบความสงบครับ” ธราบอกตามตรง

เขามีน้องสาวที่เคยบ่นเขาอยู่เรื่อยแล้ว คงไม่คิดหาคนที่สองมาคอยบ่น แต่เพราะเป็นน้องสาวที่คอยดูแลเขามาตลอด เขาจะว่าอะไรได้ หากเป็นหญิงอื่น เขาคิดหนักเลยทีเดียว เพราะอยู่ตามลำพังได้

“รักสงบก็ดีแล้ว ผู้ชายสมัยนี้ไม่เจ้าชู้ก็กวนประสาท มีเงินแล้วคิดแต่ว่าอยากยกเลิกงานแต่งเมื่อไรก็ได้” สุชาติพูดกระทบภรรยา

“แต่ตอนที่งานแต่งงานยกเลิก เราก็ได้สินสอดพวกนั้นไม่ใช่เหรอคุณ” นงเยาว์แอบกระซิบสามี

“งั้นดอย ถ้าหลานได้แต่งงานกับพิงค์ ลุงขอยกสินสอดทั้งหมดให้หลานกับพิงค์ไว้ใช้ เพราะลุงได้รับเงินสินสอดมาแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าจะมีการแต่งงาน เอาล่ะ ทำไมไม่ลงไปคุยกันดูบ้าง จะได้เรียนรู้กันไป” สุชาติไล่เด็กๆ ก่อนมองภรรยาอย่างปรามๆ แล้วเริ่มคุยกับแจ่มจันทร์ญาติผู้ใหญ่ที่นับถือ โดยไม่สนใจภรรยาที่ทำเหมือนจะอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น

อรรณก็ดึงน้องชายลงไปข้างล่าง แล้วส่งสายตาไปยังพิงค์ที่เงอะงะทำอะไรไม่ถูก ให้ลงตามลงไปด้วย ก่อนเดินไปนั่งที่ศาลาด้านล่าง แล้วถอนหายใจกันเฮือกใหญ่

**************************************

สวัสดีค่า
ตอบเม้นไม่ไหวเพราะตาจะปิดทั้งที่เพิ่งตื่น
อากาศไม่ค่อยดีเลยนะคะ
ยังไงดูแลสุขภาพด้วยค่ะ อาทิตย์หน้าค่อยมาตอบเม้นค่า
ขอบคุณที่ติดตามอ่านนิยายนะคะ



เพลิงวารี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ส.ค. 2555, 00:42:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ส.ค. 2555, 00:42:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 1985





<< 001ดูตัว   03 ต้องสงสัย >>
konhin 31 ส.ค. 2555, 02:36:11 น.
ว้าวววว บ้านนี้ตรงกันดีจริงๆ


oolong 31 ส.ค. 2555, 06:08:50 น.
ดีใจมีเรื่องใหม่ของคุณให้ได้อ่านอีกแล้ว...


Pat 31 ส.ค. 2555, 06:44:35 น.
รู้สึกเป็นคอมมาดี้ขึ้นมาหน่อยแล้วค่ะ


ตุ๊งแช่ 31 ส.ค. 2555, 08:35:15 น.
แน่ใจนะว่า ดูตัวแต่งงาน 55 ยังกะจะเซ็นต์สัญญาทำธุรกิจนะนี่ ...


saralun 31 ส.ค. 2555, 10:09:57 น.
ชอบ ชอบ ชอบ ^^


ใบบัวน่ารัก 31 ส.ค. 2555, 13:33:03 น.
ปัญหาครอบครัวและสังคมนะเนี่ย
เป็นอาจารย์ ไม่ไปไหน ประหยัด
เป็นคนดี ลองคบกันไปก่อน น้องน้ำก็เก่งจัง


หนอนฮับ 31 ส.ค. 2555, 15:42:18 น.
หนอนชอบลมจัง...อิอิ ซัดจนคุณนายของขึ้น อิอิ


sai 31 ส.ค. 2555, 16:24:41 น.
สนุกๆๆตามสไตล์เพลิงวารี


anOO 31 ส.ค. 2555, 18:24:18 น.
ตกลงกันทั้งๆ ที่ยังไม่ได้รักกันเลย เจ๋งดีแหะ


nateetip 1 ก.ย. 2555, 11:33:21 น.
น่ารักดีค่ะ


Orathai 18 ก.ย. 2555, 00:34:14 น.
ดอยน่ารักเหมือนกันนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account